ท่านเทพมาแล้ว 380-383
บทที่ 380 แท้จริงแล้วเป็นใคร?
โดย
Ink Stone_Romance
“จิ๋วจิ่ว รุ่ยเจี๋ยพาอาฝูไปเดินเล่น ส่วนลู่ยากำลังนั่งสมาธิ เจ้าไปพักผ่อนสักพักก่อนเถอะ จะกินข้าวตอนนี้ยังเร็วไปนัก”
เสี่ยวซิงถือถาดเดินมาพูดกับนาง
“ข้ารู้แล้ว” มู่จิ่วโบกมือ
นางชอบความเรียบง่ายเป็นกันเองเช่นนี้ ทุกวันตื่นมาเจอหน้าคนที่คุ้นเคย ทิวทัศน์ที่คุ้นตา ชีวิตประจำวันที่เหมือนเดิม กระทั่งมีลู่ยาเทพชั้นสูงจากสวรรค์ชั้นฟ้าลงมาอยู่ข้างกาย ก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดแปลก เหมือนกับทุกอย่างสมบูรณ์แบบไปหมด มากเกินไปส่วนหนึ่งก็รู้สึกยุ่งยาก น้อยเกินไปส่วนหนึ่งก็รู้สึกว่างเปล่า
แต่หากลู่ยาคือชายชุดเขียว เช่นนั้นทุกอย่างคงเปลี่ยนไป
เหตุที่นางรู้สึกว่าบ้านสงบสุขนั้น เป็นเพราะว่าเรื่องที่เกิดข้างนอกไม่ส่งผลกระทบถึงที่นี่ ไม่ว่านางจะเจอเรื่องอันตรายและแปลกประหลาดขนาดไหนจากข้างนอก บ้านนี้จะให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่นางมากที่สุด รวมถึงความรู้สึกที่เป็นจริงด้วย เหมือนกับว่าหากมีวันหนึ่งนางประสบเข้ากับปัญหาใหญ่จริง อยากจะละทิ้งไม่ทำแล้ว เพียงกลับมาที่นี่ก็สามารถสงบสุขได้เหมือนเดิม
แต่หากลู่ยาเป็นเป็นชายชุดเขียวที่มีแผนการไม่ชัดเจน ที่นี่จะยังสงบสุขอบอุ่นเหมือนเดิมหรือไม่?
นางกลับเข้าห้อง ซุกหน้าลงกับฝ่ามือ รู้สึกกำลังเผชิญหน้ากับทางเลือกที่ยากลำบาก
ตามเหตุผลแล้ว ชายชุดเขียวไม่ทำร้ายนางแน่นอน ถึงแม้ลู่ยาเป็นเขาก็ไม่ส่งผลกระทบกับความรู้สึกระหว่างพวกเขาทั้งสอง แต่หากพูดตามความคิดตัวเองอย่างเห็นแก่ตัว คนรักก่อเรื่องมากมายขนาดนี้ก็เพราะหวังดีต่อเจ้าเท่านั้น นี่ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีเรื่องหนึ่ง
แต่นางกลับไม่อาจรู้สึกเช่นนั้นได้
นางเชื่อว่าลู่ยาไม่ใช่คนทำร้ายคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แต่นางก็ไม่มีหนทางทำให้ตนเองเชื่อว่ากลิ่นไม้กฤษณาที่นางได้กลิ่นจากชายชุดเขียววันนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดไปเอง
ตั้งแต่พาเฟยอีไป…ใช่แล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ที่อยู่ของเฟยอี…ชายชุดเขียวหลอกใช้ความบาดหมางระหว่างหลีหังและอู่เต๋อลามไปถึงชิงชิว จากนั้นก็เป็นความเกี่ยวข้องของตระกูลอวิ๋นและตระกูลอ๋าว ก่อนจะเป็นการแยกจากของซื่ออินและเหลียงจี บางทีเรื่องเหล่านี้อาจไม่นับเป็นความสูญเสียที่นักหนา เพราะล้วนคลี่คลายหมดแล้ว
แต่ความเจ็บปวดในใจก็คือความเจ็บปวด หากเขาทำเรื่องเหล่านี้เพราะนาง อย่างไรนางก็รับไม่ได้
ทว่าหากทำเพื่อหกภพ เหมือนกับที่เขาบอกไว้ว่าช่วยวิญญาณทั้งหกข้ามผ่านด่านเคราะห์ ทำไมถึงต้องซับซ้อนเช่นนี้?
นางปฏิเสธชายชุดเขียวโดยไม่รู้ตัวแต่ยอมรับลู่ยา เป็นเพราะพฤติกรรมของชายชุดเขียวที่นางรู้จักนั้นฝังแน่นอยู่ในหัวนาง นางรู้สึกว่าลู่ยาไม่น่าใช่คนแบบนั้น หากบอกว่าพวกเขาเป็นคนคนเดียวกันจริง เช่นนั้นก็เปรียบดั่งลู่ยาเป็นด้านสว่าง ในขณะที่ชายชุดเขียวเป็นด้านดำมืด
มู่จิ่วไม่มีหนทางยอมรับได้
นางไม่ชอบความเห็นแก่ตัวแบบนี้
ใช้พลังอันแข็งแกร่งของตนเองไปชักใยผู้บริสุทธิ์ที่ไม่สมควรถูกทำร้าย เพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเอง หรือนี่ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว?
ลู่ยาอยู่ใกล้แค่เอื้อม
เพียงแค่เงยหน้าขึ้นนางก็มองเห็นเขาที่นั่งอยู่ด้านในหน้าต่างฝั่งตรงข้าม
แต่มู่จิ่วก็ไม่รู้ว่าจะไปถามเขาอย่างไร ควรเริ่มต้นอย่างไร ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นคนได้ประโยชน์ นางจะเอาฐานะอะไรไปบอกเขาว่าเขาผิด? มิใช่ว่านางกลายเป็นคนที่ได้ประโยชน์แต่ทำเหมือนเสียประโยชน์หรอกหรือ?
แต่ไหนแต่ไร นางไม่เคยไม่อยากเจอเขาเหมือนตอนนี้มาก่อน
นางรู้สึกว่าระหว่างนางกับเขาราวกับมีพรมแดนขวางกั้น ไม่รู้ว่าข้ามไปอย่างไรถึงจะดี
นางยกชาเย็นชืดบนโต๊ะขึ้นดื่มหนึ่งอึก
เห็นดอกโบตั๋นเสาเย่ายังคงบานสะพรั่งอยู่ในแจกัน นิ้วมือยื่นเข้าไปสัมผัสโดยไม่รู้ตัว
บางทีนางควรไปที่คลื่นจิตพสุธาอีกทีเพื่อหาคำตอบ
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นางไม่ควรให้การคาดเดาอันเลื่อนลอยมาทำลายความเชื่อใจระหว่างนางและลู่ยา…
เมื่อคิดดังนี้ก็รู้สึกราวเลือดลมพุ่งพล่านขึ้นมาในอก นางลุกขึ้นทันที มองกระจกพลางสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนหมุนตัวออกจากประตูไป
เมื่อมาถึงระเบียงทางเดิน นางเรียกเสี่ยวซิงที่กำลังยกเก้าอี้ตัวเล็กไปให้ซ่างกวนสุ่น “ใต้เท้าหลิวสั่งให้ข้าไปจัดการธุระที่แรกพยับ ข้าไม่กลับมากินอาหารเย็นนะ ไม่รู้จะได้กลับมาคืนนี้หรือไม่ พวกเจ้าไม่ต้องรอข้า”
เสี่ยวซิงรู้ว่าช่วงนี้นางยุ่ง ไหนเลยจะสงสัยเป็นอื่นได้? แน่นอนว่าต้องปล่อยนางไป
มู่จิ่วออกจากบ้าน
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ลู่ยาสงสัย นางจึงไปที่หน่วยก่อน เมื่อออกจากหน่วยแล้วค่อยไปประตูสวรรค์แดนใต้ ก่อนจะไปสำนักแรกพยับ
เมื่อมาถึง พูดคุยกับสหายร่วมงานที่นั่นเสร็จ ก็หันหลังไปทิศทางตรงข้าม มุ่งไปยังถิ่นทุรกันดารทางเหนือ เลียบไปตามทิวภูเขาแม่น้ำอันเขียวขจี แต่ก่อนเคยชื่นชมอย่างเบิกบานใจ ตอนนี้กลับไม่มีกะจิตกะใจแล้ว
ในความเป็นจริงนางก็ไม่รู้ว่าคลื่นจิตพสุธาอยู่ตรงไหน ครั้งก่อนนางกลับออกมาเร็วเกินไป ความเร็วของเมฆสูงมาก ย่อมต้องมองสภาพโดยรอบไม่ชัด แต่นางจำตอนที่มาตามหาเหลียงจีกับลู่ยาและซื่ออินได้ เขาเคยชี้ตำแหน่งคร่าวๆ ของคลื่นจิตพสุธาให้ เพียงแค่ไปหาดูหน่อย ไม่น่าจะหาไม่เจอ
ตอนนี้ตะวันกำลังตกดิน เงาต้นไม้บนพื้นทอดยาว ไม้เตี้ยๆ ซ่อนตัวไปในเงามืดเรียบร้อย ผืนดินที่อยู่ถัดจากภูเขาจิตอสุนีบาตล้วนทุรกันดาร แสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องลงมาตรงๆ ดูอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก
นางเดินทางเลียบไปรอบด้านหนึ่งรอบ ไปตามทางจนถึงทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แต่กลับไม่มีวี่แววของวังในวันนั้นเลยแม้แต่น้อย
เมื่อตกค่ำนางก็สำรวจถิ่นทุรกันดารทางเหนือจนทั่วแล้ว ทว่าไม่พบเป้าหมาย
นี่แปลกนัก ชัดเจนว่าวันนั้นนางออกมาจากถิ่นทุรกันดารทางเหนือ และมั่นใจว่ามีวังขนาดใหญ่อยู่ จะหายไปได้อย่างไร?
นางครุ่นคิดก่อนหยิบขลุ่ยล่าเซียนออกมาเป่า
ขลุ่ยนี้เอาไว้ตามหาเซียน ในคลื่นจิตพสุธาก็มีวิญญาณเซียนอยู่ หากโชคดีอาจจะใช้ได้?
เมื่อเป่าออกไปท่อนหนึ่ง เสียงขลุ่ยค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่ว แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นางครุ่นคิด ขึ้นไปยังเนินทรายที่สูงที่สุดแล้วลองใหม่อีกครั้ง
ผ่านไปเช่นนี้ครึ่งเค่อ เสียงขลุ่ยทางทิศตะวันออกเฉียงใต้กลับกลายเป็นแหลมบาดหู! ยังไม่ทันที่นางจะเก็บขลุ่ยกลับไป ขลุ่ยหยกขนาดหนึ่งฉื่อก็แหลกเป็นท่อนๆ!
ทิศตะวันออกเฉียงใต้!
นางเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงพื้นราบกว้างใหญ่ เหนือพื้นนั้นว่างเปล่า มีลมเย็นพัดจากกึ่งกลางไปยังทุกทิศทาง ลมนี้อบอุ่นและสดชื่น ชวนให้รู้สึกราวกับลมฤดูใบไม้ผลิ แต่เมื่อพิจารณาดูดีๆ ที่แท้นี่เป็นพลังวิญญาณอันหนาแน่น! นางไม่เคยเห็นพลังที่อบอุ่นและหนาแน่นเช่นนี้มาก่อน หรือนี่จะเป็นคลื่นจิตพสุธา?!
ใจของนางเต้นรัว ถอยไปหลายจั้งโดยไม่รู้ตัว
แต่ ‘ลม’ นั้นกลับเหมือนกำลังตีโค้ง โอบล้อมรอบตัวนาง ไม่เพียงนางจะไม่รู้สึกไม่สบาย แต่ยังรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่งยิ่งนัก!
ตอนที่นางกำลังตกใจ ก็เห็นว่าบริเวณที่พลังวิญญาณผุดขึ้นมาค่อยๆ มีการเคลื่อนไหว แสงที่เหมือนจะแผ่ออกไปทั่วทิศโผล่มาจากพื้นในพริบตาเดียว จากนั้นค่อยๆ ลอยสูงขึ้น ส่องสว่างไปทั่วทั้งฟ้าดิน ไอมงคลปรากฏขึ้นอย่างสวยงาม เสียงดนตรีลอยมาแผ่วเบา รอจนแสงนี้หยุดนิ่งทีละน้อย ประตูสูงตระหง่านหลายจั้งรวมสามบานก็เผยขึ้นมาตรงหน้า!
“วังคลื่นจิตพสุธา?”
นางพึมพำอ่านตัวอักษรบนป้าย ป้ายนี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
ใจของนางสั่นไหวเล็กน้อย เลือกเดินเข้าไปยังประตูใหญ่ตรงกลาง
…………………………………
บทที่ 381 เป็นที่นี่เอง
โดย
Ink Stone_Romance
หลังจากผ่านประตูมาแล้วก็เจอวังขนาดใหญ่ที่คุ้นเคย!
แต่เมื่อครู่มองผ่านประตูเข้ามาจากข้างนอกนั้นกลับเป็นเพียงแค่พื้นที่ว่างเปล่าเท่านั้น!
มู่จิ่วยืนอยู่ระหว่างประตูวังกับทางเดิน มองไปรอบๆ ไม่ผิด! นี่คือคลื่นจิตพสุธา เป็น ‘บ้าน’ ของชายชุดเขียวที่นางอยู่เมื่อคราวก่อนถึงครึ่งเดือน!
แต่ทำไมนางถึงไม่ถูกพลังวิญญาณทำร้าย?
คราวก่อนเป็นเพราะชายชุดเขียวปกป้องอยู่ แต่คราวนี้ละ?
ทำไมพลังวิญญาณในคลื่นจิตพสุธาถึงได้ปรานีนางนัก?
นางยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีก เดินขึ้นไปบนระเบียงทางเดินอย่างไม่รู้ตัว ผ่านวังเข้าไปทีละชั้น เข้าไปในห้องที่นางเคยอยู่เมื่อคราวก่อน
ช่วงเวลาครึ่งเดือนนั้นนางเดินเล่นอยู่ในวังเสียมาก รู้จักทางอยู่ไม่น้อย
ตลอดทางนั้นสงบเงียบยิ่งนัก สงบกว่าครั้งก่อนอีก
นางกลืนน้ำลาย เดินบนระเบียงทางเดินระหว่างวังอย่างระมัดระวัง
นางไม่รู้ว่าชายชุดเขียวอยู่หรือไม่ เขาบอกว่าเวลาส่วนใหญ่เขาอยู่ที่นี่ ตอนนี้ นางทั้งอยากเจอและไม่อยากเจอเขา อยากเจอเพราะว่ามีเพียงเจอเขาเท่านั้นนางถึงจะสามารถคลี่คลายความสงสัยในใจได้ แต่ที่ไม่อยากเจอเพราะกลัวว่าเขาจะเป็นลู่ยาจริงๆ หากเป็นจริงแล้ว นางจะทำอย่างไร?
นางจึงเครียดขึ้นมา เดินก็ช้าลง
แต่ไม่ว่าจะช้าเพียงไร ก็ข้ามผ่านประตูไป จนมาถึงวังที่นางเคยอยู่
โคมบนระเบียงทางเดินยังอยู่ แต่กลับดูเก่าลงเล็กน้อย
ห้องที่นางเคยอยู่ถูกปิดไว้ แต่ห้องตรงระเบียงทางเดินกลับเปิดกว้างไว้ ด้านในมืดสนิท
นางก้าวเท้าเดินเข้าไปทันที มาถึงบานประตู ในห้องว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย!
โต๊ะเอย เก้าอี้เอย โคมเอย ไม่มีอะไรเหลือ!
ที่เหลืออยู่มีเพียงโต๊ะหยกเก้าอี้หยกไม่กี่ตัวที่มีอยู่เดิม
เขาไม่อยู่?
เขาไม่อยู่ที่นี่?
นางนิ่งอึ้งอยู่ตรงประตู ก่อนจะหันกลับไป ‘ห้องของตัวเอง’ เปิดประตูออก ในห้องก็มีเพียงโต๊ะเก้าอี้หยกชุดหนึ่งเท่านั้น
นอกจากโคมสายนั้นบนระเบียงทางเดินแล้ว ก้ไม่มีร่องรอยว่าเคยมีคนอยู่มาก่อนเลย!
หากไม่มีโคมไฟสายนี้ นางต้องคิดว่าเรื่องที่นางเคยอยู่ที่นี่มาราวครึ่งเดือนนั้นเป็นภาพลวงตาแน่!
นางหยุดอยู่ที่ประตู เหลือบสายตาขึ้นมองโคมไฟเหล่านี้ ใจก็หนักลงไปที่ละหน่อย
ก่อนหน้านี้นางยังหวังว่าชายชุดเขียวจะอยู่ที่นี่ เช่นนั้นจะได้มั่นใจได้ว่าเขาไม่ใช่ชายชุดเขียว
แต่ตอนนี้ ที่นี่กลับไม่มีคนเลย และตอนนี้ลู่ยาก็อยู่บ้าน
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เรื่องเพียงเท่านี้แล้วนางจะปักใจเชื่อเลยว่าชายชุดเขียวก็คือลู่ยา เพราะก็มีหลายครั้งที่ลู่ยาอยู่กับนางยามที่ชายชุดเขียวก่อเรื่อง แต่ลู่ยาสามารถแยกร่างได้ สำหรับเขาแล้วการแบ่งร่างเปลี่ยนเป็นอีกคนเพื่อหลอกคนอื่นเป็นเรื่องง่ายมาก…ใช่แล้ว หลอก นางเลือกใช้คำนี้
ในใจของนางถูกถ่วงด้วยความไม่เข้าใจและความโกรธ
นางกลืนน้ำลาย กลับไปยังห้องตรงระเบียงทางเดินอีกครั้ง
ไม่ว่าดูอย่างไร ในห้องยังคงไม่มีเบาะแสอะไรที่น่าเอ่ยถึง ดูออกว่าเครื่องเรือนที่อยู่ในห้องทั้งสองเป็นสิ่งที่เขาเสกขึ้นมา
นางเริ่มจากตรงนี้ เดินเข้าบนระเบียงทางเดินเข้าไปดูแต่ละห้องๆ ครั้งนี้สำรวจไม่เหมือนครั้งก่อน ครั้งก่อนสำรวจด้วยความใคร่รู้ ไม่มีเป้าหมายอื่น แต่ครั้งนี้เป้าหมายชัดเจน ไม่เพียงเพื่อหาชายชุดเขียว แต่ยังต้องการขุดความลับที่อยู่เบื้องหลังเขา! เมื่อดูจากการที่เขาสร้างเขตพลังไว้ข้างหน้าและเลือกที่นี่เป็นที่พักพิง ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคลื่นจิตพสุธาต้องไม่ธรรมดา
นางมองไปแต่ละห้องละห้อง ซึ่งส่วนใหญ่ว่างเปล่า ทั้งยังไม่พบอะไรพิเศษออกไป
สุดท้ายนางค่อยๆ เข้าใกล้กำแพงวังทางด้านเหนือ อาคารบริเวณนี้พลันกว้างใหญ่ขึ้นผิดหูผิดตา นี่เป็นวังหลักของคลื่นจิตพสุธา พลังวิญญาณที่แผ่ออกมานั้นแข็งแกร่งกว่าที่อื่นอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่พบอะไร
นางกระโดดขึ้นไปบนยอดหลังคา ขมวดคิ้วมองไปรอบๆ สุดท้ายสายตากลับไปตกอยู่ที่วังที่อยู่ห่างออกไปหลังหนึ่ง วังนี้ถูกสร้างบนเส้นแนวใจกลางของเขตวังทั้งหมด ทั้งสี่ด้านมีพื้นที่ว่างกว้างครึ่งลี้ เรียกได้ว่าโดดเดี่ยวอยู่ตรงกลาง รูปแบบก็ดูแน่นหนาเป็นพิเศษ วัสดุที่ใช้ก่อสร้างทั้งหมดล้วนเป็นของชั้นหนึ่ง รูปสลักที่อยู่ด้านหน้าเต็มไปด้วยสรรพสัตว์บนฟ้าดินนี้
หากนางจำไม่ผิด วังนั้นชื่อว่าวังวิญญาณเทพ อยู่ใจกลางของที่นี่พอดี
แต่คราวก่อนทุกครั้งที่นางเดินผ่านที่นี่ประตูที่จะเข้าถึงตัววังจะปิดอยู่ตลอด นางจึงไม่เคยเข้าไป
ใจของนางสั่นเล็กน้อย กระโดดขึ้นเมฆลอยไป
ตอนที่นางลงพื้นร่างกายโงนเงนเล็กน้อย มีพลังวิญญาณพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง แต่นางรู้สึกได้ว่ามันทั้งอบอุ่นและหนาแน่นมาก เหมือนกับไอน้ำทำให้คนรู้สึกสบายยิ่งนัก
ประตูใหญ่ยังคงปิดอยู่ นางลองผลักดู แต่ก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย
นางมองซ้ายขวาบนล่าง นอกจากรูปสลักตี้เจียงสองตัวแล้ว ก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
แต่เมื่อมองอย่างละเอียด บนหัวของตี้เจียงสลักคำว่า ‘ขวาน’ อีกตัวคือ ‘มีดเหลือง’ นางอ่านชื่อทั้งสองออกมาโดยไม่รู้ตัว พลันได้ยินเสียงกริ๊กลอยมาหนึ่งเสียง ประตุใหญ่ที่ปิดสนิทด้านหลังกลับเปิดออกแล้ว!
นางหยุดชะงักอย่างยากจะระงับความตื่นตระหนกไว้และมองเข้าไป เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอันตรายอะไร จึงค่อยเดินเข้าไป
ด้านในนั้นก็ว่างเปล่า แต่มีทางเดินหินหยกสายหนึ่งมุ่งไปทางตรงข้ามของห้อง
นางเดินเข้าไป มาถึงด้านหน้าของห้อง ประตูนี้ก็ปิดเช่นกัน แต่เมื่อผลักไปมันก็เปิดออก
เมื่อเปิดออก ก็เหมือนกับเปิดโลกอีกใบหนึ่ง
แสงสว่างอาบไปทั่วห้องราวกับเงินรั่วออกมาจากพื้น ตามประตูที่ถูกเปิดออกไป มันพุ่งเข้าหานางอย่างไม่มีสัญญาณแม้แต่น้อย! ทั้งยังมีคลื่นที่รุนแรงจนพูดไม่ออกสายหนึ่ง กำลังผลักนางเข้าไปข้างใน และราวกับมีเสียงที่ฟังไม่ชัดจำนวนมากสะท้อนอยู่ริมหู นางรู้สึกต่อต้านอยู่บ้าง พยายามแข็งใจเดินเข้าไป
แสงสว่างค่อยๆ หายไป กลายเป็นไอมงคล เสียงที่ริมหูก็ค่อยๆ ไพเราะขึ้น
นางตั้งสติเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงกำแพงหยกขนาดใหญ่ที่ด้านหน้า มีแสงบางๆ กำลังเคลื่อนไหวอยู่ ทั้งทางด้านซ้ายของผนังยังมีแผนผังแปดทิศอยู่ รอบผังแปดทิศนั้นมีลูกแสงกลมๆ ของวิญญาณทั้งหกอยู่ เมื่อมองไปอย่างละเอียดก็พบว่าล้วนมีภูเขาแม่น้ำฟ้าดินอยู่หมด
มู่จิ่วมองสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แสงสว่างแห่งปัญญาพลันส่องเข้ามาในหัวนาง หรือนี่จะเป็นทางเข้าคลื่นจิตพสุธา ส่วนลูกแสงวิญญาณเหล่านี้น่าจะเป็นหกวิญญาณที่คอยเฝ้าที่นี่อยู่? นางมองไปรอบๆ จากนั้นสายตาก็ไปตกที่ป้ายคำสั่งของผังแปดทิศ ตามที่หลิวหยางเคยสอน แม้นางจะเขียนยันต์ไม่เก่ง แต่อย่างไรก็นับว่าอ่านเป็นบ้าง…ป้ายคำสั่งประกาศิตนี้ เป็นปฐมวิญญาณสร้างขึ้นมา!
นี่คือทางเข้าคลื่นจิตพสุธาอย่างไม่ต้องสงสัย!
และลูกแสงนี่ก็คือหกวิญญาณ!
ใจของนางเต้นแรง ไม่รู้ว่าตนเองสามารถสัมผัสหกวิญญาณแล้วยังจะปลอดภัยหรือไม่?
แต่นางยิ่งสงสัย ชายชุดเขียวบอกว่าเรื่องทั้งหมดเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องเลวร้ายในอนาคต แต่ตอนนี้มองไม่ออกว่าหกวิญญาณจะมีภัยตรงไหน อีกอย่าง หนึ่งหมื่นปีไม่นับว่ายาวไม่นับว่าสั้น ทำไมเขาต้องเริ่มวางแผนไว้ก่อนนานขนาดนั้น?
นางขมวดคิ้วมองแผนผังแปดทิศ จากนั้นหันไปมองกำแพงวิญญาณตรงข้ามประตู
กำแพงวิญญาณนี้กินพื้นที่ทั้งกำแพง เป็นสีเขียวเข้มโปร่งแสง กลับระยิบระยับสว่าง มู่จิ่วจ้องมันอยู่ครู่หนึ่ง พลันรู้สึกเวียนหัว! เท้าเริ่มไม่มั่นคง ทำให้นางต้องยื่นมือไปจับมัน มือของนางเพิ่งวางลงไป กำแพงหยกตรงหน้าพลันกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่….
……………………………………………
บทที่ 382 นี่คือเคราะห์ภัย
โดย
Ink Stone_Romance
ในหลุมนั้นมีแม่น้ำทะเลภูเขา ป่าเขียวขจี สิ่งที่น่าประหลาดใจคือที่นี่มีวังซึ่งเหมือนกับวังคลื่นจิตพสุธาทุกประการอยู่ นางเข้าไปในเขตกำแพงวัง สติค่อยๆ พร่าเลือนลงและตกเข้าสู่ความสับสนตามกระแสลมที่ไหลวนอยู่ตรงกลาง
มีเสียงมากมายดังอยู่ริมหู เหมือนลมกำลังกรีดร้อง เหมือนกระแสสายฟ้าฟาด! แต่ละเสียงล้วนบาดหูขนาดนั้น ทรมานจนนางคิดอะไรไม่ออก
จนกระทั่งทุกอย่างสงบลง มู่จิ่วลืมตาขึ้นมองไปรอบๆ…นางยังคงอยู่ในวัง แต่ด้านหน้าไม่ไกลออกไปกลับมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกคน!
“ลู่ยา?!”
นางร้องออกไปอย่างตกใจ
เขาขัดสมาธิอยู่บนพื้น มองมายังนางตรงๆ ถึงแม้จะสวมเสื้อขาวดุจหิมะ การแต่งกายต่างจากปกติ เขาที่รูปร่างสูงใหญ่ยิ่งดูสง่างามขึ้น แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคให้นางจำเขาไม่ได้!
มู่จิ่วยืนขึ้น อยากจะพุ่งเข้าไปหา อยากถามว่าทำไมเขามาอยู่ที่นี่ แต่กลับมีเสียงหนึ่งดังเข้ามาเร็วยิ่งกว่า “เจ้าช่างหล่อเหลาจริงๆ”
มีคนผู้หนึ่งออกมาจากร่างนาง หญิงสาวผมยาวร่างเปลือยเปล่าเดินไปหาลู่ยา จากนั้นยื่นมือไปกอดเขา
มู่จิ่วหึงหวง คิดจะเข้าไปดึงนางออก แต่ไหนเลยจะรู้ว่ามือที่ยื่นไปกลับทะลุผ่านร่างหญิงสาวคนนั้น…นางกลายเป็นผีไปแล้ว! ไม่เพียงกลายเป็นผี พวกลู่ยาก็ไม่เห็นนางด้วย!
นางพุ่งไปข้างหน้าหญิงสาวอย่างอดไม่ได้ แต่เมื่อมองไปก็ต้องตะลึง…ใบหน้านี้เหมือนกับนางราวพิมพ์เดียวกัน! ไม่เพียงใบหน้าเหมือน รูปร่างเหมือน กระทั่งมือและร่องรอยบนร่างกายยังไม่ต่างกันเลย!
นี่คือนางอีกคนหรือ?
มู่จิ่วสับสน ไม่รู้ว่ากำลังเจอกับอะไรอยู่ ภาพตรงหน้าค่อยๆ พร่าเลือนขึ้น ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้อะไรเลย หัวใจนางเต้นรัวแรง ควบคุมตนเองไม่ได้ จนกระทั่งภาพตรงหน้ากลับมาชัดเจนอีกครั้ง ตอนนี้ลู่ยากำลังเลือกรองเท้าให้นาง…
……
ตอนที่มู่จิ่วกลับมาจากหน่วย ลู่ยากำลังนั่งสมาธิ จนเมื่อเขาออกมานางก็กลับไปแรกพยับแล้ว
ถึงแม้รู้ว่าช่วงนี้นางยุ่งมาก ออกไปทำงานกะทันหันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กลับไม่มาบอกเขาก่อนก็ออกไปเสียแล้ว ทำให้เขาสงสัยอยู่บ้าง เมื่อลองหยักนิ้วตรวจดูถึงพบว่านางไปแรกพยับจริง ในหน่วยงานก็ไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไร เขาถึงวางใจลง
ตกกลางคืนฝึกวิชาให้รุ่ยเจี๋ยและอาฝู ลู่ยาที่ปกติสมาธิดีมาก คืนนี้กลับใจไม่ค่อยอยู่กับตัว หลายครั้งอาฝูต้องกัดแขนเสื้อเขา เขาถึงรู้ตัวว่าอาฝูกำลังถามอยู่
อันที่จริงอาการแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น ควรบอกว่าตั้งแต่กลับจากแรกพยับเขาก็เป็นเช่นนี้แล้ว หลายวันมานี้มู่จิ่วเงียบผิดปกติ หลังกลับมานางไม่เอ่ยถึงชายชุดเขียวเลยแม้แต่น้อย เขาเคยเปิดโอกาสให้ถามหลายครั้ง เขาจะได้อาศัยช่องทำลายความสงสัยของนาง แต่นางไม่เอ่ยถึง เขาก็เลยไม่พูดเช่นกัน
เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีมาตลอด นางสงสัยเขาอย่างมากแล้ว
ถึงแม้ความเงียบของนางจะทำให้เขารู้สึกอึดอัดบ้าง ทว่าก็ลบความรู้สึกนี้ไปไม่ได้
ลู่ยาเลิกฝึกศิษย์ ให้พวกเขาทั้งสองคนฝึกกันเอง แล้วจึงออกจากบ้านไป
แสงจันทร์สว่างส่องลงมา ต้นไม้ใบหญ้าในสวนกำลังดูดรับพลัง เสียงเสียดสีของใบไม้ทำให้ใจคนไม่สงบ
เขามองไปยังห้องนางฝั่งตรงข้าม ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนเดินเข้าไป
กลิ่นกุหลาบป่าลอยเข้ามาปะทะหน้า แต่ก่อนเขารังเกียจกลิ่นที่ธรรมดาสามัญเช่นนี้ยิ่งนัก แต่ตอนนี้ได้กลิ่นจนชินแล้ว รู้สึกว่ากลิ่นอะไรก็สู้กลิ่นกายนางไม่ได้
ดอกไม้ที่เด็ดกลับมายังคงบานอยู่บนโต๊ะ ด้านข้างมีแท่นฝนหมึกและกระจกสำริดรูปทรงบุปผาวางอยู่ บนกระจกมีเกสรดอกไม้ติดอยู่เล็กน้อย ริมขอบยังมีชาดสีแดงเปื้อนโดยไม่ได้ตั้งใจรอยหนึ่ง และกล่องบรรจุชาดก็อยู่ใต้กระจกนั่นเอง
เขาเปิดกล่องชาด แตะผงขึ้นมาจำนวนหนึ่งและบี้มันเล็กน้อย
ทุกการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรเป็นพิเศษ
แต่ช่วงที่ผงชาดติดอยู่บนมือ ใจของเขาพลันสั่นสะท้าน กล่องก็ปิดลงดังปึง!
นี่คือชาดที่นางเคยใช้มาก่อน ด้านในล้วนเต็มไปด้วยพลังของนาง
เวลานี้พลังของนางควรจะสงบราบเรียบ ถึงแม้จะเกิดการเคลื่อนไหวก็ย่อมไม่เด่นชัดมาก แต่ตอนนี้เขากลับรับรู้การสั่นไหวของใจนางได้ชัดเจน กระทั่งไม่อาจใช้คำว่าสั่นไหวมาบรรยายได้แล้ว ควรจะบอกว่าเป็นคลื่นยักษ์ถึงจะถูก!
เขาเงียบไปครึ่งวินาที ก่อนจะพุ่งออกจากประตูไปในวินาทีถัดมา
…..
ในกำแพงวิญญาณ มู่จิ่วมองลู่ยาที่บอกลานางด้วยรอยยิ้ม หัวใจชาไปหมด
“กับผู้หญิงคนอื่น?” นางได้ยินตนเองถาม
นางไม่รู้ว่าตนเองรออยู่สามวัน เพื่อที่จะฟังคำบอกลาเมื่อเขากลับมา
นางไม่เคยคิดจะแยกจากเขาไปไหน นางคิดว่าแม้ตายก็ยังอยู่ด้วยกันกับเขา คิดว่าเขาจะมอบความทรงจำที่งดงามและตราตรึงใจให้แก่นาง ถึงแม้เทพหญิงแห่งหกวิญญาณเช่นนางจะอยู่บนโลกนี้ได้ไม่นาน นางก็ไม่สนใจ นางรู้สึกว่าความหมายอันยิ่งใหญ่ที่ตนมาเกิดบนโลกนี้ก็เพื่อมาพบเขา หากไม่มีเขา นางก็เป็นเพียงเครื่องมือกำจัดปีศาจเท่านั้น
“ใช่แล้ว…”
เสียงของเขาดังก้องอยู่ริมหู นางฟังไม่ได้ศัพท์แล้ว
นางรู้ว่าสามวันนี้เขาไปทำอะไร รู้ว่าหนี่ว์วาได้ให้ทางเลือกอะไรแก่เขา แต่นางเข้าใจไปว่าเขาคิดตรงกับนาง ใครจะต้องการชีวิตยืนยาวน่าเบื่อหน่ายไม่ตายหนึ่งหมื่นปีนั่นกัน? นางรู้ชะตาชีวิตของตนเองดี แต่ชะตาชีวิตของนางไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการอยู่ร่วมกันของพวกเขา นางมีชีวิตสั้น ไม่ต้องการอยู่ค้ำฟ้า ขอเพียงแค่ดับสูญไปพร้อมกับพลังร้ายในเวลาสำคัญไม่ได้หรือ?
หญิงสาวที่ไปตกปลากับเขามาจากไหน?
เทพเซียนที่มีชีวิตอยู่มานานขนาดนี้อย่างเขา กลับคิดเรื่องหลอกเด็กเช่นนี้ได้
เขาคิดว่านางโง่อย่างนั้นหรือ?
เขามองนางเป็นอะไร?
เขานึกว่านี่คือสิ่งที่นางต้องการหรือ?
…ปวดหัวยิ่งนัก คำพูดมากมายผุดอยู่ในหัว แต่นางกลับพูดไม่ออก
นางรู้สึกว่าตนเองกระโดดขึ้นไปบนฟ้า ใช้ความเร็วที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนไปยังที่ไกลๆ จากนั้นเข้าไปสู่ห้วงแห่งความดำมืด ทั้งร่างของนางอัดแน่นด้วยพลังที่ไม่อาจแยกจาก คละเคล้าด้วยโทสะและความเจ็บปวด กรีดร้องพลางเข้าสังหารฝ่ายตรงข้าม!
นางไม่รู้ว่าตนเองโดนโจมตีไปเท่าไหร่ แต่อานุภาพของพลังร้ายยิ่งใหญ่นัก
นางไม่เกรงกลัว มองความตายเหมือนการกลับบ้าน สุดท้ายก็ใช้พลังทั้งหมดโจมตีไปด้วยฝ่ามือ ซัดพลังหมายชีวิตใส่เขา…
นางเห็นเขากรีดร้องพลางหลบหนี แต่นางกลับแตกสลายในม่านหมอก
ความคิดทั้งหมดของนางอยู่บนหกวิญญาณ ในหูเต็มไปด้วยเสียงร้องแทบขาดใจของลู่ยา…
“อาจิ่ว!”
ทันใดนั้น เสียงราวสายฟ้าฟาดดังขึ้นข้างหู!
นางหันไปมองทันที เหมือนกับน้ำที่กำลังจะจมลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ
ลู่ยามองวังวิญญาณเทพที่แตกสลายในกำแพงวิญญาณ จากนั้นมองไปยังนางที่คุกเข่าอยู่หน้ากำแพงนั้น ใบหน้าขาวซีด ท่าทางราวกับใจสลาย!
นางในตอนนี้เหมือนคนใกล้ตาย บนหน้าไร้สีสัน แววตาเหม่อลอยและเย็นชา ราวกับอยู่ห่างจากเขาถึงแสนปี!
“อาจิ่ว..”
ใจของลู่ยาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางที่เป็นแบบนี้ทำให้เขากลัว เขารู้สึกเหมือนเห็นนางหลังจากที่พลังระเบิดออกในคุนหลุนตะวันออกอีกครั้ง ทุกส่วนมีแต่ความห่างเหิน เย็นชา เขาอ้าปากแล้วก็หุบลง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ไม่รู้ว่าเมื่อเขาพูดนางจะสูญเสียการควบคุมไปในทันทีหรือไม่!
…………………….
บทที่ 383 เหตุผล
โดย
Ink Stone_Romance
“พวกเราออกไปคุยกันดีหรือไม่?” ลู่ยารู้ว่านางรู้เรื่องหมดแล้ว เมื่อเห็นแบบนี้ เขายังมีอะไรไม่เข้าใจอีก?
คิดไม่ถึงว่าเขาป้องกันสารพัด แต่ยังไม่พ้นเดือนหนึ่งด้วยซ้ำก็ปิดไว้ไม่ได้แล้ว!
เขาประเมินความดึงดันของนางต่ำไป
น้ำเสียงเขาเจือแววอ้อนวอน พยายามให้นางสงบใจลง
มู่จิ่วหันกลับมา นั่งเอนหลังพิงกำแพง มองเขาแล้วเอ่ยว่า “นี่คือชาติก่อนของข้า?”
เสียงของนางราบเรียบ ถึงขั้นราบเรียบเกินไปเสียด้วยซ้ำ ราวกับสามารถเกิดคลื่นใหญ่ได้ทุกเวลา
ลู่ยาเริ่มสงสัยคำพูดของหงจวิน นางในตอนนี้ดูไปแล้วเหมือนลู่จีอย่างชัดเจน ไม่เหมือนมู่จิ่ว!
“หากข้าเดาไม่ผิด นี่คือเคราะห์ของหกวิญญาณในหมื่นปีให้หลังที่เจ้าเคยบอกใช่หรือไม่?” มู่จิ่วมองภาพที่ค่อยๆ จางลงไป พูดอย่างเย็นชา “มิน่าล่ะ อาจารย์ถึงได้บอกว่าหาชาติก่อนของข้าไม่เจอ ความจริงแล้วเป็นเพราะข้ามาจากเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนใช่หรือไม่ ชายชุดเขียว?”
ใจของลู่ยาหนักอึ้งลงเรื่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
“ตอบมาสิ” นางยืนขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เหลือบมองเขาที่ย่อตัวอยู่บนพื้น
ลู่ยารู้สึกถึงพลังวิญญาณที่ลอยอยู่รอบตัวอย่างชัดเจน
เขาลุกขึ้นมองนาง ก่อนพยักหน้า
“ดังนั้นเจ้าก็กำลังหลอกข้าจริง ด้านหนึ่งทำเหมือนเจอข้าโดยบังเอิญ ช่วยข้าทำคดี อีกด้านหนึ่งก็คอยสร้างคดีขึ้นมาลับหลัง?” เสียงในตอนท้ายของมู่จิ่วสั่นเครือ ทั้งร่างดูหนาวเย็นเสียดกระดูกเหมือนน้ำแข็งหมื่นปีบนยอดเขาหิมะ โดยเฉพาะแววตายิ่งเย็นชาจนคล้ายพืชพันธุ์ไม่อาจงอกงามได้แล้ว
“ไม่” ลู่ยาขมวดคิ้วส่ายหน้า “ไม่ใช่หลอกลวง เพียงแค่มีความลับ..”
“มีความลับ?” มู่จิ่วเดินเข้าไปใกล้เขา ในที่สุดความเย็นชาบนใบหน้าก็เผยออกมา ทำให้สีหน้าอารมณ์แตกออกเป็นผุยผง
“ข้าไม่คิดเลยว่าจตุรเทพผู้อยู่บนสวรรค์อันสูงส่งจะเป็นคนเช่นนี้ สร้างละครฉากใหญ่ขึ้นมาอย่างยากลำบาก เพราะอะไร? ตั้งแต่ต้นข้าก็คือของเล่นในมือของเจ้าหรือ? พวกเจ้าวางแผนทำเช่นนี้ ความลับที่เจ้าว่า นอกจากให้ข้าไปสู้กับพลังชั่วร้ายแล้ว ยังมีความลับอื่นอีกหรือไม่?”
“ไม่ใช่!” ลู่ยารีบพูด เขาพยายามอดกลั้นอารมณ์ “เจ้าอย่าเพิ่งโกรธ ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าฟัง เจ้าฟังนะ…”
…ห้องในคลื่นจิตพสุธาไม่มีลม ‘ลม’ ทั้งหมดล้วนเป็นพลังวิญญาณที่หกวิญญาณปลดปล่อยออกมา
มู่จิ่วยืนอยู่ตรงกลางโถง ฟังเสียงลมที่พัดเบาๆ ข้างนอกประตู เสมือนแน่นิ่งกลายเป็นหินอยู่ที่นี่ไปแล้ว
แสงจันทร์ด้านนอกสาดส่องเสาตรงระเบียงทางเดินจนเป็นเงาทอดยาว กระทั่งเปลี่ยนมันเป็นจุดหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนให้เป็นเงายาวอีกครั้ง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เหมือนกับนานทั้งชีวิต แต่ก็สั้นราวฝันตื่นหนึ่ง
“เป็นอย่างนี้เอง” ลู่ยาพูดจนจบ เสียงแหบพร่าเล็กน้อย “ทุกอย่างที่ข้าทำลงไปไม่ใช่เพื่อต่อวาสนากับเจ้าเสียทั้งหมด ทุกคดีที่เกิดขึ้นข้าลงมือจริง แต่เพราะจิตต้นกำเนิดของเจ้ากลับไปเมื่อหนึ่งหมื่นหกพันปีก่อน ดังนั้นเรื่องหลายเรื่องเลยจำต้องเปลี่ยนแปลง มิเช่นนั้นชะตาชีวิตของผู้คนทั้งหมดในฟ้าดินนี้ก็อาจต้องเปลี่ยนไปเพราะการมาเกิดก่อนเวลาของเจ้า”
“และตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง พวกเราก็ไม่รู้ ถึงแม้รู้ แต่ถ้าเทียบกับชะตาชีวิตที่พวกเรามีอยู่และแก้ไขแล้วในตอนนี้จะลำบากกว่ามาก”
“คดีทั้งหมดล้วนมีเหตุมีผล เรื่องรักสามเส้าของหลีหัง ชิงผิง และเฟยอีนั้นต้องเกิดอยู่แล้ว ในชะตาชีวิตของพวกเขาต้องผ่านเคราะห์กรรมนี้ ลัทธิฉ่านยิ่งใหญ่มาหลายปีแต่กลับผยอง ศิษย์พี่ใหญ่ถึงได้ก่อเรื่องระหว่างชิงชิวกับพวกเขาขึ้นมาเพื่อเป็นการเตือน”
“เรื่องของอ๋าวเชินและอวิ๋นเฉี่ยนที่แย่งกุญแจจันทรากัน ข้าก็ไม่ใช่คนจัดการ เพราะปัญหาที่บ้านของอ๋าวเชินทำให้เขาไปหาความรักข้างนอก อวิ๋นเฉี่ยนก็ทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อปกป้องตระกูลของตนเอง ส่วนแมงมุมกลืนวิญญาณที่คุนหลุนตะวันออกเป็นอาคมที่ข้าใช้เพื่อควบคุมชะตาชีวิตเท่านั้น ไม่ใช่ว่าข้าทำเรื่องทั้งหมดขึ้นมา”
“จือเยวี่ยสละชีวิตเพื่อตระกูลอวิ๋นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแสนปีที่แล้ว ร่างของเขาแบกรับชะตาชีวิตของตระกูลหงส์เพลิงไว้ทั้งหมด การสละชีวิตของเขาตอนนั้นปกป้องตระกูลหงส์เพลิงไว้ได้สองรุ่น แต่กลับนำวิญญาณของเผ่าพันธุ์ไปด้วย ดังนั้นโศกนาฏกรรมของพวกเขาจึงเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้น ถึงแม้ไม่มีข้า ตระกูลอวิ๋นก็ต้องสูญสิ้นทั้งตระกูล”
“ข้าเพียงทำร้ายอวิ๋นฉัวที่เป็นร่างกลับชาติมาเกิดของจือเยวี่ย ในขณะเดียวกันก็ทำร้ายอ๋าวเชินด้วย เพื่อเร่งความบาดหมางของพวกเขาให้เกิดเร็วขึ้น”
“ส่วนเรื่องที่ถิ่นทุรกันดารทางเหนือ เจ้าก็เห็นแล้ว พี่สาวของเหลียงจีแต่งให้กับเสือลายเหลืองเป็นชะตาชีวิตที่ถูกกำหนดไว้แล้ว สุดท้ายก็ตายด้วยเงื้อมมือเขา เรื่องนี้ทำให้เกิดสงครามระหว่างโหย่วเจียงและหนานเซียง หากเสือลายเหลืองไม่มีวิญญาณร้ายที่ข้าหลอมไว้คอยช่วย ย่อมต้องสูญเสียอย่างหนัก แน่นอนว่าซื่ออินก็ต้องพบเจออันตรายเกือบตาย ภายหลังหนานเซียงก็ยังจะถูกโหย่วเจียงทำลายอยู่ดี”
“ในเรื่องนี้ข้าเพียงพาเหลียงจีออกมา ให้เสือลายเหลืองมีพลังต่อต้านโหย่วเจียงสักหลายปีหน่อย เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะเร่งให้พวกเขาบาดหมางกันเร็วขึ้น ให้เจ้าสามารถคลี่คลายคดี สะสมบุญกุศล แต่ข้าไม่คิดว่าเหลียงจีจะส่งอาฝูออกมา เขาเกิดมาได้จังหวะพอดี ทั้งยังมาอยู่ข้างกายเจ้า”
“เรื่องทั้งหมดยังเป็นไปตามลิขิตสวรรค์”
“รวมถึงเรื่องหลินเจี้ยนหรู เพราะข้ารู้ว่าความโกรธแค้นในใจเขาจะทำให้เขากลายเป็นมาร เลยไม่ได้ขัดขวางการกระทำใดๆ ของเขา ข้าเคยกระทั่งพูดกับเขา หากเขายืนกรานไม่ฆ่าคน ไม่ทำผิดต่อฟ้า ข้าก็จะไม่ทำอะไร ข้าก็เห็นแก่ความตั้งใจแรกของเขา แต่เรื่องราวบนโลกไหนเลยจะเปลี่ยนแปลงง่ายดายเช่นนั้น? สุดท้ายเขาก็เลือกเดินทางนั้นอยู่ดี”
“หากเจ้าตัดสินว่าการเป็นมารของเขาคือความผิดข้า เช่นนั้นในชาติก่อนข้าไม่ได้ยื่นมือเข้ายุ่ง เขาก็ยังคงเดินไปสู่จุดจบนั้นด้วยตัวของเขาเอง”
“สิ่งที่ข้าทำมีเพียงรักษาทิศทางส่วนใหญ่ของแต่ละคนไว้ ไม่ได้เข้าร่วมการตัดสินใจของพวกเขา หากหลินเจี้ยนหรูไม่ฆ่าคน ไม่กลับไปแก้แค้นคนของแรกพยับ เขายังมีพลังที่ข้าให้ สามารถก่อตั้งสำนักของตนเอง กระทั่งใช้ชีวิตอิสระอย่างม่อเหยียนได้”
“แต่เขากลับไม่เลือกเช่นนั้น ข้าไม่ใช่คนให้รากฐานมารแก่เขา มันเกิดขึ้นจากใจเขาเอง ข้าไม่ได้บังคับเขาไปทำเรื่องชั่วช้า ไปฆ่าคน และไม่ได้ต้องให้เขากลายเป็นมารเท่านั้น หากบอกว่าข้าให้พลังเขาเป็นการสนับสนุนให้เขาทำชั่ว เช่นนั้นทัพทหารสวรรค์ให้อาหารแก่เขา ทำให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ มิใช่ว่าเป็นผู้สนับสนุนเช่นเดียวกันหรือ?”
ลู่ยามองนางพลางยันพื้นลุกขึ้นมา ปรับลมหายใจก่อนพูดต่อ “เรื่องที่ข้าทำทั้งหมดย่อมเพื่อให้เจ้าสำเร็จเป็นเซียนโดยไว แต่เป้าหมายในการสำเร็จเป็นเซียนของเจ้าไม่ใช่เพียงเพื่อแก้ไขความผิดพลาดเมื่อครั้งอดีตของพวกเรา มิใช่เพื่อให้ข้าชดเชยแก่เจ้า เรื่องทั้งหมดนี้สำหรับข้าแล้วสำคัญมากนัก แต่หมื่นปีให้หลัง โศกนาฏกรรมของพวกเจ้าก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดี”
“เพื่อให้หกภพสงบสุข พลังร้ายต้องถูกกำจัด และเจ้าคือนักรบของชะตาฟ้า ข้าอยากเคียงคู่ไปกับเจ้า ลืมเรื่องที่ผ่านมา แต่ก่อนหน้านั้นพวกเราต้องกำจัดภยันตรายในอนาคต ถึงจะอยู่ด้วยกันได้อย่างแท้จริง”
“พลังร้ายในเวลานี้ยังไม่ก่อร่างขึ้นโดยสมบูรณ์ ด้วยพลังของเจ้ากับข้า โอกาสชนะมีมากยิ่ง นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกเราต้องส่งเจ้ากลับมาเวลานี้ และก็เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องให้เจ้ารีบสำเร็จเป็นเซียนด้วย อาจิ่ว ข้าทำผิดต่อลู่จีย่อมรู้สึกเสียใจ โทษตนเอง อีกทั้งเจ็บปวด แต่ตอนนี้เวลานี้ข้าเพียงอยากใช้ชีวิตนี้ให้ดีกับเจ้า”
………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น