กระบี่จงมา 379.1-380.3
บทที่ 379.1 ภิกษุชุดขาว
ยี่สิบวันต่อมา พวกเฉินผิงอันก็เดินทางผ่านภูเขาสูงลูกหนึ่งที่ลาดชันดุจคิ้วของหญิงสาว พอเดินข้ามเขตชายแดนมา เดินบนทางเล็กในภูเขาครู่สั้นๆ แค่หนึ่งก้านธูปก็ได้เจอกับชายหญิงสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือคนสิบกว่าคนที่มีกลิ่นอายของความสูงศักดิ์ร่ำรวย ส่วนใหญ่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลขุนนาง องค์รักษ์ผู้ติดตามหลายคนล้วนพกดาบยาวลักษณะเดียวกันทั้งหมด มีทั้งแก่เด็กและชายหญิง อีกกลุ่มหนึ่งมีกลิ่นอายยุทธภพเต็มร่าง รวมแล้วมีทั้งหมดหกคน สี่คนคือบุรุษอายุประมาณห้าสิบปี ลมหายใจหนักแน่นมั่นคง ยามเดินไร้เสียง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นพวกที่มีวรยุทธ์อันดับหนึ่งในยุทธภพของแคว้นชิงหลวนอย่างแน่นอน ผู้นำคือผู้เฒ่าจมูกเหยี่ยวงองุ้มคนหนึ่ง สายตาเฉียบคม ข้างกายมีเด็กสาวหน้ากลมคนหนึ่งติดตามมา แม้ว่าหน้าตาของนางจะไม่โดดเด่น แต่กลับมีดวงตาที่ใสกระจ่าง ส่องประกายเรืองรองน่ามอง
คนสองกลุ่มต่างก็เดินขึ้นไปบนภูเขา ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเจอกับกลุ่มคนที่มาจากทางการก็เป็นฝ่ายเดินเข้าไปถามถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของสถานที่แห่งนี้ อีกฝ่ายแนะนำให้ฟังอยู่ครู่หนึ่ง เฉินผิงอันถึงได้รู้ว่าบนยอดเขาชิงเย่าแห่งนี้มีอารามจินกุ้ยอยู่ลูกหนึ่ง ในอารามเต๋ามีเทพเซียนฝึกบำเพ็ญตน เพียงแต่ว่าตลอดทั้งปีมักจะปิดประตูไม่รับรองแขก หน้าหนาวของปีที่แล้ว อารามเต๋าให้นายพรานนำความมาแจ้งต่อว่าเตรียมจะรับลูกศิษย์เก้าคน ขอแค่อายุต่ำกว่าสิบหกปีลงไป ไม่ถามชาติกำเนิด ดูแค่บุพเพวาสนา ดังนั้นช่วงนี้จึงมีคนไม่ต่ำกว่าสามร้อยคนพาเด็กหนุ่มเด็กสาวบ้างก็เด็กชายเด็กหญิงในตระกูลเดินทางมาไม่ขาดสาย พากันกรูเข้ามาในภูเขาชิงเย่า
เฉินผิงอันคิดถึงว่าตอนนี้ยังมีทั้งกระบี่เจินอู่และมีดสั้นฝากไว้ที่จวนผู้บัญชาการทหารสูงสุดจึงไม่คิดจะไปร่วมความครึกครื้นนี้ ตลอดสองปีที่ผ่านมานี้จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียขึ้นเขาลงห้วยมาจนปรุ โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นงานสัมมนามหายานของแคว้นชิงหลวนและงานพิธีหลัวเทียนของแคว้นชิ่งซานมาก่อน จึงไม่สนใจการรับลูกศิษย์ของภูเขาลูกหนึ่งมากนัก ส่วนเรื่องที่ว่านักพรตของอารามจินกุ้ยเป็นเทพเซียนตัวจริงหรือตัวปลอม คนทั้งกลุ่มก็ยิ่งไม่เก็บเอามาใส่ใจ
ในแคว้นปกติทั่วไปของแจกันสมบัติทวีป เซียนดินโอสถทองถือว่าเป็นบุคคลที่สูงส่งจนไม่อาจปีนป่ายแล้ว ถึงอย่างไรบุคคลที่เป็นมังกรหมอบพยัคฆ์ซ่อนอย่างคนของราชวงศ์ต้าหลี มองไปทั่วใต้หล้าไพศาลก็มีให้เห็นไม่มากนัก
เมื่อกองทัพม้าเหล็กของสกุลซ่งต้าหลีเหยียบย่ำบนทิศเหนือห่างจากสำนักศึกษากวานหูไปไม่ไกล นอกจากสถานศึกษาจะมอบชื่อที่ถูกต้องเหมาะสมให้แล้ว ในความเป็นจริงแล้วตอนนี้เท่ากับต้าหลีควบรวมแผ่นดินครึ่งหนึ่งของหนึ่งทวีปไปแล้ว ยิ่งนานคำกล่าวที่บอกว่าต้าหลีคือราชวงศ์ใหญ่อันดับสิบในใต้หล้าก็ยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ
ตอนที่เจอกับคนกลุ่มที่สอง ความตกตะลึงที่วูบผ่านดวงตาของเด็กสาวหน้ากลมไม่เคยหยุดพัก คนหนุ่มชุดขาวที่สะพายหีบไม้ไผ่ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดหนึ่งใบ เด็กหญิงผิวดำเกรียมที่ขี่อยู่บนหลังวัวดินสีเหลือง ตรงเอวห้อยทั้งดาบและกระบี่ไม้ไผ่ โฉมสะคราญงามล้ำที่สะพายกระบี่เล่มยาว…และยังมีนักพรตหนุ่มกับมือดาบเคราดก ช่างเป็นกลุ่มนักเดินทางที่ประหลาดจริงๆ หรือว่านี่ก็คือผู้ฝึกตนอิสระที่ท่านปู่เคยพูดถึง?
ยังดีที่ถึงแม้มองปราดๆ ผู้เฒ่าชุดดำจะไม่เหมือนคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย แต่ในฐานะคนเก่าแก่ในยุทธภพก็ยินดีที่จะเคารพกฎเกณฑ์ของยุทธภพ เพียงไม่นานก็ห้ามปรามเด็กสาวที่สอดส่ายสายตามองไปทั่วอย่างไร้ความยำเกรง ไม่เพียงเท่านี้ เขายังผงกศีรษะให้เฉินผิงอัน ถือเป็นการขออภัยแทนเด็กรุ่นหลัง
เฉินผิงอันกุมหมัดส่งยิ้มไปให้ ถือเป็นการเคารพกลับคืน
เดินทางอยู่ในยุทธภพ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการพบปะกันอย่างผิวเผินเช่นนี้ เพียงแต่ว่าคนสองกลุ่มที่เดิมทีควรต่างคนต่างแยกย้ายกันไปคนละทางกลับได้มาเจอกันอีกครั้งเพราะฝนกระหน่ำที่มาเยือนกะทันหัน
พายุฝนโหมแรงที่หาได้ยากทำให้ดินโคลนบนทางเล็กในภูเขาเหนียวแฉะเดินยาก เดิมทีอากาศหนาวของฤดูใบไม้ผลิก็หนาวเข้ากระดูกอยู่แล้ว เมื่อลมภูเขาพัดผ่าน พายุฝนครั้งนี้จึงยิ่งหนาวเหน็บเยียบเย็นเป็นพิเศษ เผยเฉียนถูกฝนเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองตกกระทบใส่จนมึนงงไปหมด ยามที่เม็ดฝนกระแทกลงบนใบหน้าจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อน เพียงไม่นานริมฝีปากก็ซีดเขียว สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง นี่ยังเป็นสภาพร่างกายหลังจากที่เผยเฉียนฝึกวรยุทธ์แล้วด้วย หากเป็นก่อนจะฝึกวรยุทธ์ คาดว่าเวลานี้ที่ต้องตากลมตากฝนก็มากพอจะทำให้เผยเฉียนล้มป่วยจนลุกไม่ขึ้นแล้ว
เฉินผิงอันบอกให้จูเหลี่ยนไปตรวจสอบเส้นทาง ดูว่าบริเวณใกล้เคียงนี้มีสถานที่ให้หลบฝนหรือไม่ ผู้เฒ่าหลังค่อมเรือนกายปราดเปรียวดุจวานรที่ตีลังกาหมุนกระโดดไปมาอยู่ท่ามกลางต้นไม้และก้อนหิน เพียงไม่นานก็ย้อนกลับมา บอกว่าเบื้องหน้าห่างออกไปไม่ไกลมีช่องโพรงหินขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอยู่แห่งหนึ่ง ตอนนี้มีคนกลุ่มหนึ่งพักเท้าอยู่ที่นั่นแล้ว กำลังก่อไฟสร้างความอบอุ่น เฉินผิงอันแบกเผยเฉียนขึ้นหลัง สวมงอบกันฝน แล้วยังหยิบเอาชุดกันฝนชุดหนึ่งออกมา พยายามให้เผยเฉียนโดนลมและฝนน้อยที่สุด
จางซานเฟิงแทบจะลืมตาไม่ขึ้น เขาเดินอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน พูดเตือนเสียงดัง “ฝนใหญ่ครั้งนี้ผิดปกติ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ หยิบยันต์กระดาษสีเหลืองที่วัสดุค่อนข้างจะธรรมดาแผ่นหนึ่งออกมา ซึ่งก็คือยันต์ปราณหยางส่องไฟที่มีระดับขั้นต่ำที่สุดของ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ เมื่ออยู่ท่ามกลางภูเขาแม่น้ำ วัดร้าง อารามเก่าโทรมหรือสุสานไร้ญาติ เฉินผิงอันจะต้องใช้ยันต์แผ่นนี้เปิดทาง ตรวจสอบระดับความเข้มข้นของปราณชั่วร้ายที่มีอยู่ในพื้นที่แถบนั้น เฉินผิงอันใช้สองนิ้วคีบยันต์ สะบัดเบาๆ หนึ่งที กรอกปราณวิญญาณแท้จริงลงไปข้างในแล้วยันต์ก็ติดไฟลุกไหม้ทันที โชคดีที่ความเร็วในการเผาไหม้ของยันต์บนปลายนิ้วไม่เร็วมาก เทียบกับเมื่อครั้งที่บุกเข้าไปในศาลเทพอภิบาลเมืองไฉ่อีเพียงลำพังแล้วนับว่าน้อยกว่ามาก เพื่อความไม่ประมาท เฉินผิงอันจึงไม่ได้ดับไฟบนยันต์ในทันที แต่ถือยันต์เปิดทาง หลีกเลี่ยงไม่ให้เบื้องหน้ามีกับดัก
ศึกกลางหุบเขา ไม่เพียงแต่ผูกปมแค้นกับเซียนดินโอสถทอง ไม่แน่ว่าอาจชักนำให้ผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มนั้นเกิดใจละโมบอยากได้ทรัพย์สินของเขา ไม่ระวังตัวไม่ได้
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น เฉินผิงอันยังสอบถามวัวดินสีเหลืองตัวนั้นว่าบนภูเขาแถบนี้มีปีศาจใหญ่ที่ทำตัวเป็นราชันแห่งขุนเขาหรือไม่ แม้วัวดินจะยังไม่จำแลงร่างเป็นมนุษย์ แต่กลับพูดภาษาคนได้ มันส่ายหน้ากล่าวว่า “ในช่วงเวลาห้าร้อยปีที่สติปัญญาข้าเปิดกว้าง ไม่พูดถึงช่วงสองร้อยปีล่าสุดที่จำศีลอยู่ใต้ดิน ก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าแคว้นชิงหลวนมีภูตผีปีศาจอาละวาด แต่เมื่อสามร้อยปีก่อน เคยเห็นภาพเหตุการณ์ที่ภิกษุสอนพระธรรม ดอกกุ้ยตกลงมาดั่งเม็ดฝนในวัดพุทธแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากที่แห่งนี้ไปสามร้อยลี้ มหัศจรรย์อย่างยิ่ง ตอนนั้นมีข่าวลือว่าดอกกุ้ยสีทองที่ตกอยู่เต็มพื้นของวัดมาจากต้นกุ้ยที่อยู่บนภูเขาชิงเย่าแห่งนี้”
สวีหย่วนเสียใช้มือประคองงอบ หัวเราะเสียงดัง “วัดพุทธแห่งนั้นข้ากับจางซานเฟิงเคยไปเยือนมาแล้ว ชื่อเสียงโด่งดังมาก ไม่ไปไม่ได้ เพียงแต่ว่านอกจากคำขวัญตัวใหญ่ที่เขียนเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองแล้ว อย่างอื่นก็มองประวัติความเป็นมาอะไรไม่ออกอีก ซากปรักของสถานที่ที่เคยเกิดคดีซับซ้อนทางพุทธศาสนาก็ถูกล้อมปิด ไม่อนุญาตให้ผู้มีจิตศรัทธาเข้าไป พวกเราสองคนเดินเล่นกันเป็นครึ่งๆ วันกลับได้พบภาพเหตุการณ์อย่างหนึ่งที่ข้าต้องเขียนไว้ในบันทึกการเดินทาง ท่ามกลางแสงสนธยามีเณรน้อยสองรูปที่รับผิดชอบขนตู้บริจาค คงเป็นเพราะรู้สึกว่าคนมาทำบุญมีบางตา ไม่มีคนนอกแล้ว เณรน้อยสองรูปจึงเขย่งปลายเท้า เอื้อมมือไปควานหาเงินในตู้บริจาค คลำอยู่นาน สุดท้ายเณรน้อยที่หยิบเงินเหรียญหนึ่งออกมาได้หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง คนทั้งสองแบกตู้บริจาคไว้บนไหล่อีกครั้ง เณรน้อยที่ควักเงินมาได้เดินอยู่ด้านหน้า ข้ากับจางซานเฟิงเห็นแล้วก็หัวเราะขำ ที่แท้พวกเขาต้องขนตู้บริจาคไปไว้ที่ด้านหลัง และยังต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกไกล แน่นอนว่าคนที่เดินอยู่ข้างหน้าต้องได้เปรียบ คนที่ต้องแบกตู้อยู่ด้านหลังย่อมต้องลำบาก”
สำหรับเรื่องของพระพุทธศาสนา เฉินผิงอันมีความเข้าใจไม่มากนัก ศาสนาพุทธในแจกันสมบัติทวีปไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่ ถึงขั้นพูดได้ว่าเป็นทวีปที่มีควันธูปน้อยที่สุดในเก้าทวีปใหญ่ เป็นเหตุให้เฉินผิงอันที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวต้องไปเยือนวัดซินเซียงซึ่งอยู่ติดกับตรอกจ้วงหยวนเป็นประจำถึงพอจะสัมผัสกับพระธรรมมาบ้าง จึงกล่าวอย่างสงสัยว่า “ไหนบอกว่าสองมือของภิกษุห้ามแตะต้องเงินทองไม่ใช่หรือ?”
จางซานเฟิงคลี่ยิ้ม “ใต้หล้านี้มีกฎเกณฑ์ใดที่ฟ้าผ่าแล้วไม่สั่นคลอนบ้างเล่า”
สวีหย่วนเสียเอ่ยสัพยอก “ไม่เสียแรงที่ไปเยือนวัดวาอารามเหล่านั้น คำพูดนี้พูดได้อย่างมีนัยซะซับซ้อนมากเลย”
น้อยครั้งนักที่วัวดินจะเปิดปากพูด เว้นเสียแต่ว่ามีคนเอ่ยถาม มันถึงจะพูด
คราวนี้จึงเงียบเสียงไป เพียงแต่มันจำได้อย่างชัดเจนว่าวัดโบราณแห่งนั้นสร้างอยู่บนตีนเขาของภูเขาลูกหนึ่ง ตอนนั้นมันที่เป็นขอบเขตชมมหาสมุทรแล้วได้มองวัดแห่งนั้นอยู่ท่ามกลางผืนป่ารกครึ้มบนยอดเขา เพราะไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้ควันธูปของโลกมนุษย์มากเกินไป ทั้งกลัวว่าจะรบกวนผู้คนบนโลก ยิ่งกลัวว่าจะทำให้บุคคลที่เป็นดั่งเทพเซียนรังเกียจ มันจึงแค่มองดูภิกษุหนุ่มที่สวมชุดสีขาวหิมะคนหนึ่งอยู่ไกลๆ เขายืนอยู่ใต้ชายคาที่ผูกม้าเหล็ก ยื่นมือออกมา ดอกกุ้ยสีทองก็ร่วงตกลงบนฝ่ามือของเขาเหมือนเม็ดฝน
ระหว่างที่เฉินผิงอันพูดคุยเล่นกับจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสีย ฝีเท้าก็เดินไปอย่างว่องไวราวกับบิน เขาเก็บยันต์ส่องไฟที่เหลืออยู่ครึ่งแผ่นกลับลงไป เพราะพวกเขามาถึงโพรงหินที่จูเหลี่ยนพบแห่งนั้นแล้ว ขนาดค่อนข้างใหญ่คล้ายศาลบรรพชนในหมู่ชาวบ้าน มากพอจะบรรจุคนได้สักสามสิบสี่สิบคน
ตลอดทางที่เดินมานี้ ยันต์ปราณหยางส่องไฟเผาไหม้อย่างเชื่องช้า อีกทั้งเมื่ออยู่ห่างจากเส้นทางขึ้นเขาเส้นนั้นมากเท่าไหร่ ความเร็วในการลุกไหม้ก็ยิ่งช้าลงเท่านั้น ฝนอึมครึมเยียบเย็นที่มาเยือนกะทันหันครั้งนี้ มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าเป็นการกระทำของผู้ฝึกลมปราณที่มีต่อการรับลูกศิษย์อย่างเอิกเกริกของอารามจินกุ้ยครั้งนี้
กลุ่มคนที่มาถึงช่องโพรงหินก่อนล้วนเป็นสตรี มีประมาณเจ็ดแปดคน คนที่อายุมากสุดคือหญิงชราผมขาว คนที่อายุน้อยสุดคือเด็กสาวที่อายุแค่ประมาณสิบสามปี เพราะเจอกับฝนห่าใหญ่ ผ้าคลุมหน้าที่เดิมทีใช้อำพรางรูปโฉมจึงกลายมาเป็นภาระ จึงถูกวางไว้ข้างเท้าพร้อมกับงอบและชุดกันฝน เวลานี้พวกนางกำลังนั่งผิงไฟ เห็นพวกกลุ่มของเฉินผิงอัน สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นเย็นชา หลายคนในนั้นขยับเปลี่ยนตำแหน่งเข้าไปใกล้กับกองไฟ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการจะพูดคุยสื่อสารกับพวกเฉินผิงอันให้มากความ
เฉินผิงอันอดหันไปชำเลืองตามองจูเหลี่ยนไม่ได้ ฝ่ายหลังยิ้ม ‘ซื่อ’ ส่งมาให้
สตรีที่มาจากสำนักเดียวกันเหล่านี้น่าจะเข้ามาในโพรงหินตั้งแต่ตอนฝนเริ่มตก จึงสามารถเก็บรวบรวมกิ่งไม้แห้งมาได้ตั้งแต่แรก ตอนนี้นอกโพรงหินลมพัดแรงจนทำให้บ้านปลิวได้ ฝนเทกระหน่ำเช่นนี้ พวกเฉินผิงอันจึงได้แต่ยืนมองอยู่เฉยๆ จางซานเฟิงที่เป็นผู้ฝึกลมปราณ แม้ตบะจะไม่สูง แต่ก็สามารถก่อไฟด้วยวิธีที่เข้าขั้นบางอย่างได้ไม่ยาก เพียงแต่ว่าออกมานอกบ้าน การร่ายเวทคาถาตามใจชอบคือข้อห้ามใหญ่ในการฝึกตน
เฉินผิงอันช่วยตั้งกระโจมหนังวัวให้เผยเฉียน จากนั้นก็หยิบเสื้อผ้าสะอาดในหีบไม้ไผ่ของนางออกมา บอกให้สุยโย่วเปียนช่วยเปลี่ยนให้เผยเฉียน
รอจนเผยเฉียนเดินกระโดดโลดเต้นออกมาจากกระโจมได้ กลุ่มชาวยุทธ์ที่เจอกันก่อนหน้านี้ก็ย้อนกลับมาทางเดิม เข้ามาหลบฝนในช่องโพรงหินด้วยสภาพสะบักสะบอมไม่ต่างกัน
ฝนครั้งนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ในยุทธภพก็ยังต้องก้มหน้าค้อมเอวให้
เฉินผิงอันเห็นผู้เฒ่าจมูกงองุ้มคนนั้นก็เป็นฝ่ายพยักหน้าให้ก่อน ฝ่ายหลังจึงผงกศีรษะกลับ ถือเป็นการทักทายกันแล้ว
ในเมื่อเฉินผิงอันเกรงใจขนาดนี้ พวกจูเหลี่ยนสี่คนจึงขยับเปลี่ยนตำแหน่งเว้นที่ว่างให้อีกฝ่ายเงียบๆ
เด็กสาวหน้ากลมที่มีสภาพเหมือนลูกเจี๊ยบตกน้ำถูกห้อมล้อมอยู่ท่ามกลางข้ารับใช้เพื่อบดบังสายตาของคนนอกนานแล้ว เพราะถึงอย่างไรฝนก็เปียกซึมเข้าไปในเสื้อผ้า ทำให้ส่วนเว้าส่วนโค้งของเด็กสาวปรากฎออกมาอย่างชัดเจน
หลังจากคนในยุทธภพเหล่านี้หาที่นั่งกันแล้ว เด็กสาวหน้ากลมก็เริ่มมองประเมินผู้หญิงเหล่านั้น ก่อนจะถามด้วยดวงตาเป็นประกาย “พวกเจ้าคงจะไม่ใช่โผอี๋ (คำเรียกสตรีที่แต่งงานแล้วหรือภรรยา) ของเรือนแยนจือแคว้นอวิ๋นเซียวกระมัง?”
ก่อนหน้านี้เด็กสาวแค่มองประเมินพวกเฉินผิงอันไม่กี่ครั้ง ผู้เฒ่าชุดดำก็ออกปากห้ามปราม แต่ครั้งนี้คำพูดของเด็กสาวแสดงความไม่เคารพจนทบจะใกล้เคียงกับการท้าทาย แต่ผู้เฒ่ากลับยังคงหลับตาทำสมาธิ ทำราวกับไม่ได้ยิน
ทางฝั่งนั้น สตรีแต่งงานแล้วอายุยังน้อยที่ระหว่างคิ้วตาเต็มไปด้วยความคมกริบหันหน้ามาพูดอย่างเดือดดาล “บังอาจ!”
เด็กสาวหน้ากลมไม่กลัวแม้แต่น้อย นางยิ้มตาหยีถามกลับ “แค่ถามนิดๆ หน่อยๆ จะมาบอกว่าข้าบังอาจได้อย่างไร?”
สตรีพวกนี้มาจากเรือนแยนจือชนชั้นสูงในยุทธภพของแคว้นอวิ๋นเซียวจริงๆ เด็กสาวอายุสิบสามปีที่เยาว์วัยที่สุดคางแหลมดั่งไข่ห่าน ใบหน้างามพิสุทธิ์ นางเบิกตากว้าง มองประเมินคนวัยเดียวกันที่พูดจาโอ้อวดอย่างไร้ยางอาย คนที่กล้าท้าทายเรือนแยนจือเช่นนี้ ในยุทธภพของแคว้นอวิ๋นเซียวมีน้อยจนนับนิ้วได้ ถ้าอย่างนั้นก็คงจะมาจากพรรคใหญ่บางแห่งของแคว้นชิงหลวนหรือแคว้นชิ่งซานสินะ?
เด็กสาวคางแหลมผู้นี้ยื่นนิ้วโป้งออกมาลูบตัวอักษรจารึกบนดาบสั้นที่ทำขึ้นอย่างประณีตบนเอวตามจิตใต้สำนึก ฝักดาบทำมาจากไม้ไผ่สีเหลือง เรียบลื่นแวววาวน่ามอง สลักสองคำไว้ว่า ‘จุ้ยเอ่อร์’
ศิษย์พี่หญิงสำนักเดียวกับนาง สตรีแต่งงานแล้วอายุยังน้อยที่ตรงเอวห้อยดาบยวนยางหนึ่งคู่ เวลานี้กำด้ามดาบ สีหน้าเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง พูดเสียงหนัก “ถ้าอย่างนั้นก็มาลองประมือกัน ดูว่าใครฝีมือลึกล้ำ ใครฝีมือตื้นเขินไหมล่ะ?”
ประมือคือการประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างคนกับคนในยุทธภพซึ่งค่อนข้างจะสง่างาม เป็นการต่อสู้ที่ค่อนข้างสุภาพ เห็นเลือดได้ยาก เพราะขอแค่ฝ่ายแพ้เลือดตกยางออก ก็ถือว่าฝ่ายชนะได้ชัยชนะมาอย่างไม่สมเกียรติ ไม่ใช่เรื่องที่มีหน้ามีตาสักเท่าไหร่
เด็กสาวหน้ากลมทำหน้าทะเล้นใส่สตรีแต่งงานแล้ว “อาศัยอายุมาก เรียนทักษะการต่อสู้มาหลายสิบปีมารังแกเด็กรุ่นหลัง นับว่าเป็นจอมยุทธ์หญิงได้อย่างไร?”
สตรีแต่งงานแล้วโมโหไม่น้อย ตอนนี้นางยังอายุไม่ถึงสามสิบ อะไรที่เรียกว่าเรียนทักษะการต่อสู้มาหลายสิบปี?
หญิงชราผมขาวสีหน้าท่าทางสุภาพอ่อนโยนพูดกับสตรีแต่งงานแล้วที่อยู่ข้างกายเบาๆ ว่า “จะโมโหเด็กคนหนึ่งไปทำไม? ฝึกฝนด้านการระงับอารมณ์ไม่เข้าขั้น ความสำเร็จในการเรียนวรยุทธ์ก็คงไม่สูงไปยังไง”
เห็นได้ชัดว่าสตรีแต่งงานแล้วเคารพหญิงชรามาก จึงรีบก้มหน้าลงทันที “ข้าจดจำไว้แล้ว”
เด็กสาวหน้ากลมที่ห่างไปไม่ไกลยิ้มหวาน “ยังคงเป็นหมัวมัวผู้เฒ่าท่านนี้ที่เข้าใจมารยาท”
อันที่จริงนี่ก็ยังเป็น ‘คำพูดน่าฟัง’ ที่ไม่ชวนฟังอยู่ดี
เฉินผิงอันวางตัวอยู่นอกเรื่องราว รู้สึกเพียงว่าเด็กสาวหน้ากลมมีความสามารถในการใช้มีดทิ่มแทงใจคนอื่นของไม่น้อยเลยจริงๆ
หญิงชราไม่ถือสาการล่วงเกินประเภทนี้ นางย้ายสายตาไปมองผู้เฒ่าจมูกเหยี่ยว “ใช่หัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋แห่งพรรคต้าเจ๋อหรือไม่?”
ผู้เฒ่าชุดดำลืมตาขึ้น ยิ้มกล่าว “ข้าไม่ได้ออกจากสำนักมาเกือบสามสิบปีแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะยังมีคนรู้จักชื่อของข้าด้วย?”
หญิงชรายิ้มบางๆ “ต่อให้ผ่านไปอีกสามสิบปี ในยุทธภพก็ยังคงจดจำชื่อเสียงและบารมีของหัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋ได้อยู่ดี”
หลังจากที่หญิงชราพูดตัวตนของอีกฝ่ายออกมา เหล่าสตรีของเรือนแยนจือก็หน้าเปลี่ยนสีกันไปเล็กน้อย
มารเฒ่าจู๋เฟิ่งเซียนแห่งพรรคต้าเจ๋อมีชื่อเสียงเรื่องความโหดร้ายเลื่องลือไปทั่ว เมื่อสามสิบปีก่อนชอบนั่งรถม้าสีแดงสดคันหนึ่งเดินทางท่องไปทั่วทิศ ห้อตะบึงผ่านยุทธภพของหลายแคว้น เปรอะเปื้อนเลือดนับไม่ถ้วน คนของฝ่ายธรรมะที่ตายด้วยน้ำมือของคนผู้นี้หากไม่มีร้อยคนก็แปดสิบคน จู๋เฟิ่งเซียนยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นลูกศิษย์อีกแปดคน มีฉายาว่ามัจจุราชแปดตำหนัก ชื่อเสียงบารมีเลื่องระบือไปแปดทิศทั่วแคว้นชิงหลวน เพียงแต่ว่าเมื่อสามสิบปีก่อนพรรคต้าเจ๋อได้รับบาดเจ็บสาหัส จู๋เฟิ่งเซียนจึงเริ่มปิดด่าน ลูกศิษย์แปดคนตายไปครึ่งหนึ่ง คนในพรรคที่เดิมทีมีห้าหกพันคนก็แยกย้ายกระจัดกระจายกันไปเกินครึ่ง นับแต่นั้นมาเรื่องราวของอดีตผู้นำแห่งยุทธภพที่เคยออกคำสั่งแก่เหล่าผู้กล้าในแคว้นชิงหลวนจึงเงียบหายไปเป็นระยะเวลาสามสิบกว่าปี
บทที่ 379.2 ภิกษุชุดขาว
และในขณะที่จู๋เฟิ่งเซียนเตรียมจะหลับตาทำสมาธินั้นเอง หญิงชราที่มีบุคลิกเป็นที่น่าประทับใจพลันเอ่ยขึ้นว่า “แต่วันนี้ไม่เหมือนวันวาน เมื่อเทียบกับเมื่อสามสิบปีก่อน น้ำในยุทธภพลึกขึ้นแล้ว เวลาที่ไม่อยู่ในถิ่นของตัวเอง ทางที่ดีที่สุดควรดื่มสุราคารวะให้มาก โอ้อวดให้น้อย โขกหัวให้มาก พูดจาให้น้อย”
เด็กสาวหน้ากลมพลันเบิกตากว้าง รู้สึกเหมือนได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในใต้หล้า นางจ้องหญิงชราผมขาวผู้นั้นเขม็ง อยากจะรู้ว่าหญิงแก่ผู้นี้เป็นบ้าแล้วหรือไร
จู๋เฟิ่งเซียนพูดอย่างเฉยเมย “หากข้าจำไม่ผิด นับตั้งแต่ที่บรรพบุรุษของเรือนแยนจือเจ้าสร้างสำนักขึ้นมา เวลาสองร้อยกว่าปีก็ยังเป็นได้แค่สำนักลำดับรองของแคว้นอวิ๋นเซียวเท่านั้น ใช้ชีวิตอย่างน่าเวทนามาโดยตลอด ทำไม ภายในสามสิบปีนี้ มีใครมาอยู่เหนือร่างสตรีอย่างพวกเจ้าแล้วงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนหัวโตขึ้นมากะทันหัน เหตุใดแค่เข้ามาหลบฝนก็ต้องมาเจอกับบุญคุณความแค้นในยุทธภพเช่นนี้ด้วย? ก่อนหน้านี้เผยเฉียนยังบ่นอยู่ว่า หลังออกจากท่าเรือหางผึ้ง เดินมาตั้งนานขนาดนี้ ทำไมได้เจอกับวัวดินสีเหลืองตัวเดียว หลังจากนั้นก็ไม่เจอภูตผีหรือตัวประหลาดอะไรอีก
ตอนนี้เผยเฉียนจึงตั้งใจฟังอย่างมาก นี่ก็คือยุทธภพสินะ วันหน้าตนก็จะออกไปท่องยุทธภพเช่นกัน ตอนนี้ก็ต้องดูให้มาก เรียนรู้ให้มาก
จูเหลี่ยนแอบพยักหน้าอยู่กับตัวเอง คำพูดนี้ของเจ้าคนแซ่จู๋ต้องขบคิดให้ลึกซึ้งแล้ว
หญิงชราหัวเราะหยัน “หากไม่ผิดไปจากที่คาด หัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋คงคิดจะพาแม่นางน้อยคนนี้เข้าไปฝึกวิชาตระกูลเซียนในอารามจินกุ้ยกระมัง ถ้าอย่างนั้นหัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋รู้หรือไม่ว่า เจ้าอารามจินกุ้ยเป็นคนรู้จักเก่าแก่กับเรือนแยนจือของพวกเรา? ในบรรดาลูกศิษย์เก้าคนก็มีรายชื่อของเรือนแยนจือพวกเราแล้วคนหนึ่ง แถมเรื่องนี้ยังเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าที่เอ่ยปากเองด้วย ดังนั้นขึ้นเขาครั้งนี้ก็แค่ทำพอเป็นพิธีเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม่นางน้อยที่ปากคอเราะร้ายข้างกายหัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋ผู้นี้ หากมีพรสวรรค์ในการฝึกตนจริงๆ อีกทั้งท่านผู้เฒ่าเจ้าอารามยังถูกชะตาก็นับว่ามีโอกาสจะเรียกชิงเฉิงของพวกเราว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่แล้ว”
เด็กสาวใบหน้ารูปไข่ห่านของเรือนแยนจือหน้าแดงน้อยๆ ด้วยความเขินอาย
เด็กสาวหน้ากลมมองนาง หัวเราะคิกคักกล่าวว่า “เจ้าชื่อชิงเฉิน (ยามเช้า) เหรอ ข้าชื่อหว่านซ่าง (ยามเย็น)”
จู๋เฟิ่งเซียนยิ้มบางๆ “เจ้าอารามจินกุ้ยคือเทพเซียนตัวจริงที่หาได้ยาก ครั้งนี้เขาเปิดภูเขารับลูกศิษย์ ดังนั้นข้าถึงได้ยินดีออกมาเยือนยุทธภพอีกครั้ง เพียงแต่ว่าแคว้นชิงหลวนไม่ได้มีแค่ตระกูลเซียนอย่างอารามจินกุ้ยแห่งเดียวเท่านั้น ข้าสามารถสังหารพวกเจ้าให้สิ้นซากก่อน จากนั้นก็พาหลานสาวไปเยี่ยมเยือนเซียนของที่อื่น หรือไม่ก็ไปจากที่นี่โดยตรง ให้ลูกศิษย์พรรคต้าเจ๋อของข้าแอบปกป้องสตรีที่พวกเจ้าพาขึ้นเขาอย่างลับๆ จะได้สอนนางว่าตั้งใจฝึกบำเพ็ญตนควรทำเช่นไร”
สีหน้าของหญิงชราเปลี่ยนมาเป็นไม่น่ามอง แค่นเสียงหยันกล่าวว่า “ไปเยี่ยมเยือนเซียนของที่อื่น พูดได้ง่ายนัก! เหตุใดเทพเซียนผู้เฒ่าของอารามจินกุ้ยถึงต้องจำกัดอายุ? เจ้าจู๋เฟิ่งเซียนไม่รู้อย่างนั้นหรือ? หากช้าไปกว่านี้สักสองสามปี หลานสาวคนนี้ของเจ้าจะยังฝึกเป็นเซียนกับผายลมอะไรอีก ต่อให้เห็นแก่หน้าของพรรคต้าเจ๋อ ยอมให้นางเข้าไปอยู่ในตระกูลเซียน แต่คาดว่าคงเป็นได้แค่สาวใช้ที่ต้องปรนนิบัติคนอื่นกระมัง การฝึกตนของตระกูลเซียนไร้น้ำใจที่สุด ต้องให้ข้าสอนหลักการนี้แก่เจ้าจู๋เฟิ่งเซียนหรือไม่?”
สีหน้าของจู๋เฟิ่งเซียนมืดทะมึน
ต่อให้เป็นเด็กสาวหน้ากลมที่มองดูเหมือน ‘น่ารักไร้เดียงสา’ คนนั้นก็ยังหน้าดำคล้ำ
นางไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว แต่เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามคนหนึ่ง
แม้ว่าสายตาของหญิงชราไม่ดีจึงมองข้อนี้ไม่ออก แต่เด็กสาวก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าบนเส้นทางของการฝึกตน ยิ่งถ่วงเวลาล่าช้าไปสองสามปีในช่วงที่อายุยังน้อย หลังจากกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางแล้วก็ยิ่งจำเป็นต้องใช้เวลาหลายสิบปีถึงจะชดเชยกลับมาได้
ตามคำบอกของท่านปู่จู๋เฟิ่งเซียนและกุนซือท่านนั้นของพรรคต้าเจ๋อ นางคือวัสดุชั้นเยี่ยมในการฝึกตนที่ร้อยปีถึงจะพานพบสักครั้ง น่าเสียดายที่แม้ว่าตำราลับตระกูลเซียนที่ช่วยให้เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางซึ่งมีอยู่เล่มเดียวในคลังอาวุธของพรรคต้าเจ๋อจะระดับขั้นไม่เลว แต่ข้อที่ว่าทำอย่างไรถึงจะเป็นเซียนดินที่ดื่มน้ำค้างกินแสงเรืองรอง ทะยานลมไกลเป็นหมื่นลี้ได้ ตำราเต๋าเล่มนั้นที่มาจากตระกูลเซียนแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของแคว้นชิงหลวนซึ่งควันธูปขาดหายไปแล้วกลับไม่ได้บันทึกไว้ นั่นน่าจะเป็นวิชาการฝึกตนของลูกศิษย์ฝ่ายในเท่านั้น มีเพียงกลายเป็นผู้สืบทอดสายตรงเท่านั้นถึงจะสามารถฝึกวิชาลับของสำนัก ได้รับการสืบทอดจากศาลบรรพชน
เผยเฉียนนั่งยองอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ฟังอย่างเพลิดเพลิน รู้สึกว่าการโต้คารมด้วยฝีปากนี้น่าสนใจที่สุด น่าสนุกยิ่งกว่าตอนที่นางยังเด็กแล้วเห็นสตรีแต่งงานแล้วตบตีกันริมถนนของแคว้นหนันเยวี่ยนเสียอีก
เฉินผิงอันรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน กลัวก็แต่ว่าหากพวกเขาพูดจาไม่เข้าหูกันขึ้นมาก็อาจลงมือกัน โพรงหินก็ใหญ่แค่นี้ จะหลบก็หลบไม่พ้น มีดและกระบี่ล้วนไร้ตา หรือยังจะต้องให้เขาเปิดปากเอ่ยเตือนให้คนสองกลุ่มอย่างพรรคต้าเจ๋อและเรือนแยนจือนี้ออกไปตีกันข้างนอก?
เฉินผิงอันถอนหายใจหนึ่งครั้ง ลุกขึ้นยืน เดินผ่ากลางระหว่างคนสองกลุ่มออกไปหน้าช่องโพรงหินโดยตรง สองนิ้วคีบยันต์ปราณหยางส่องไฟครึ่งแผ่นที่เอาออกมาจากชายแขนเสื้อ เวลานี้ยันต์ติดไฟลุกไหม้อีกครั้ง สะเก็ดไฟสีทองอร่าม ต่อให้จะอยู่ท่ามกลางลมฟ้าลมฝนที่พัดกระโชกแรงก็ยังคงเป็นดั่งต้นหญ้าต้นเล็กที่ส่ายไหวอยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่น จากนั้นเฉินผิงอันก็หันหน้ามายิ้มให้ “ฝนครั้งนี้ค่อนข้างจะประหลาด ลมปราณเยือกเย็นอึมครึมที่ไม่ธรรมดาขุมนี้เริ่มมีมาตั้งแต่ฝนตกจนถึงตอนนี้ ทอดยาวลงมาไม่ขาดสาย มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นฝีมือของผู้ฝึกลมปราณบางคนที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืด ดูจากสถานการณ์แล้ว เหล่าเทพเซียนของอารามจินกุ้ยยังไม่ยอมลงมือ ดังนั้นครั้งนี้พวกเจ้าขึ้นเขาไปที่อารามจินกุ้ยต้องระวังตัวให้มาก ไม่สู้วางบุญคุณความแค้นในยุทธภพลงก่อนชั่วคราว ถึงอย่างไรเส้นทางการฝึกตนที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมของแม่นางทั้งสองก็สำคัญยิ่งกว่า การขึ้นเขาครั้งนี้คงจะถือว่าได้เดินไปบนเส้นทางการฝึกตนแล้ว”
เฉินผิงอันมองเด็กสาวทั้งสองแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดเนิบช้าว่า “เส้นทางแห่งการฝึกตนใต้ฝ่าเท้า จำเป็นต้องยิ่งเดินก็ยิ่งแคบลงด้วยหรือ? หากไม่ถูกชะตากัน มหามรรคากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ แค่ต่างคนต่างเดินไปก็พอแล้ว”
จู๋เฟิ่งเซียนพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม “คุณชายท่านนี้พูดถูกแล้ว หวังว่าวันหน้าหากมีโอกาสจะไปเป็นแขกที่พรรคต้าเจ๋อของข้า ข้าผู้แซ่จู๋จะต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้แน่นอน”
แม้จะเป็นคำพูดที่เอ่ยตามมารยาท ทว่าคำพูดตามมารยาทที่หลุดออกจากปากของจู๋เฟิ่งเซียนมารเฒ่า อย่างน้อยหากอยู่ในยุทธภพของแคว้นชิงหลวนก็ถือว่ามีค่าเทียบกับเงินทองได้เป็นจำนวนไม่น้อย
หญิงชราชุดขาวชำเลืองตามองกระดาษยันต์สีเหลืองแผ่นที่อยู่ในมือของเฉินผิงอัน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คำพูดประโยคนี้ของคุณชายมีค่ายิ่ง ชิงเฉิงของพวกเราต้องจดจำขึ้นใจอย่างแน่นอน”
เด็กหญิงใบหน้ารูปไข่ห่านคลี่ยิ้มหวานให้เฉินผิงอัน
ยันต์ปราณหยางส่องไฟที่อยู่ปลายนิ้วของเฉินผิงอันเผามอดไหม้หมดสิ้นแล้ว สะเก็ดไฟสีทองก็ดับลงตามไปด้วย เฉินผิงอันขยี้นิ้ว คลี่ยิ้ม “เคยมีคนกล่าวว่า ท่องอยู่ในยุทธภพ หมัดสูงไม่ปล่อยไป เป็นเทพเซียน เวทสูงส่งไม่เอามาใช้”
เด็กสาวหน้ากลมยิ้มถาม “ขอถามคุณชาย เป็นคำพูดของยอดฝีมือคนใดหรือ?”
เฉินผิงอันตอบ “เพื่อนข้าคนหนึ่ง”
เด็กสาวหน้ากลมที่เรียกตัวเองว่า ‘เด็กรุ่นหลัง’ ยกนิ้วโป้งให้ จุ๊ปากพูด “ยอมให้เลย!”
แม่นางใบหน้ารูปไข่ที่ชื่อว่า ‘ชิงเฉิน’ รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวตนของคนหนุ่มผู้นี้อยู่บ้าง
จู๋เฟิ่งเซียนและหญิงชราจากเรือนแยนจือสบตากัน ต่างก็เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ นี้ของทั้งสองฝ่าย ไม่มีค่าพอให้พูดถึงหากเทียบกับการฝึกตนของเด็กรุ่นหลังของฝ่ายตัวเอง ต่อให้ในใจยังตะขิดตะขวง แต่ก่อนหน้าที่จะได้เข้าไปในอารามจินกุ้ยอย่างราบรื่น ทั้งสองฝ่ายยังจำเป็นต้องทำตัวดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง หรือถึงขั้นที่ว่าหากพบเจออันตรายระหว่างทาง ไม่แน่ว่าพรรคต้าเจ๋อกับเรือนแยนจือยังต้องร่วมมือกันอย่างจริงใจประหนึ่งคนที่ลงเรือลำเดียวกัน
เฉินผิงอันหันหน้าออกไปมองข้างนอก
ฝนยังคงตกกระหน่ำรุนแรงอย่างน่าตกใจ
ไม่รู้ว่าตอนนี้ในพื้นที่มงคลดอกบัวจะเป็นฤดูอะไร?
ก็ไม่รู้ว่าสิบคนใต้หล้าของที่แห่งนั้นในทุกวันนี้มีใครบ้าง? แต่ราชครูจ้งชิว อวี๋เจินอี้เจ้าสำนักพรรคหูซาน ลู่ฝ่างแห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่นจะต้องเป็นหนึ่งในลำดับนี้แน่
ไม่รู้ว่าบ้านในตรอกแห่งนั้นจะได้เปลี่ยนเทพทวารบาลและกลอนคู่แผ่นใหม่หรือไม่?
เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ
หลังจากปลดหีบไม้ไผ่ลง เฉินผิงอันเวลานี้จึงสะพายแค่ ‘เจี้ยนเซียน’ อาวุธกึ่งเซียนที่ตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่ายืมมือของฟ่านจวิ้นเม่าส่งต่อมาให้เขาเป็นการชดเชย
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น มองไปยังจุดสูงของม่านฝนที่เป็นสีดำสนิท
ปีนั้นยังเด็กไม่รู้ความ จำได้ว่าตอนนั้นมีคนผู้หนึ่งสวมงอบจูงลา ‘คุยโว’ ถึงเวทกระบี่ของเขาบอกว่าหากอยู่ท่ามกลางฝนห่าใหญ่ น้ำฝนยังไม่อาจกระเด็นมาโดน
ตอนนี้แม้แต่เขาเฉินผิงอันก็ยังทำได้แล้ว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตนถึงจะได้กลายเป็นเซียนกระบี่ที่แท้จริง?
สะพาย ‘เจี้ยนเซียน’ (เซียนกระบี่) เล่มนี้ไว้ด้านหลัง แม้แต่จะชักกระบี่ออกจากฝักก็ยังยากสำหรับเฉินผิงอันในเวลานี้ พอคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าอึกใหญ่
แต่ลืมไปว่าเหล้าที่อยู่ในน้ำเต้าไม่ใช่เหล้าเซียนบ่อน้ำหรือเหล้าหมักกุ้ยฮวา แต่เป็นยาดองที่ฟ่านจวิ้นเม่าหลอมระดับเล็ก เฉินผิงอันพลันสะดุ้งโหยง ใบหน้าแดงก่ำ สำลักไอไม่หยุด ได้แต่ใช้หลังมือปิดปาก หมุนตัวเดินไปทางเผยเฉียนด้วยท่าทางขออภัย
พริบตานั้นความสง่างามของเทพเซียนหายวับไปไม่มีเหลือ
……
วัดป๋ายสุ่ยตั้งอยู่ภาคกลางค่อนไปทางทิศใต้ของเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน ในวัดมีน้ำพุซ่อนอยู่ใต้ดิน สายน้ำกลิ้งไหลดุจไข่มุก คือตัวเลือกที่ดีอันดับหนึ่งในการต้มชา เป็นเหตุให้มักจะมีปัญญาชนของแคว้นอวิ๋นเซียวและแคว้นชิ่งซานมาที่นี่เพื่อตักน้ำพุมาต้มชาโดยเฉพาะ ควันธูปของวัดป๋ายสุ่ยโชติช่วงรุ่งเรืองก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ดังนั้นจึงมีชื่อเสียงทัดเทียมกับวัดเป่ยซานที่ตั้งอยูในเมืองหลวง เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับความกระตือรือร้นจะมีส่วนร่วมในราชสำนักของภิกษุวัดเป่ยซานแล้ว ดูเหมือนว่าภิกษุของวัดป๋ายสุ่ยจะไม่ชอบเผยตัวเท่าใดนัก อีกทั้งเมื่อหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาก็ไม่มีฉานซือ (คำเรียกพระภิกษุอย่างให้ความเคารพ) ที่โดดเด่นปรากฏขึ้นอีก จึงตกเป็นที่ต้องสงสัยว่ากินสมบัติเก่าอย่างเลี่ยงไม่ได้
เป็นเหตุให้งานโต้วาทีพุทธเต๋าที่ยิ่งใหญ่อย่างถึงที่สุดในครั้งนี้ วัดเป่ยซานมีหน้ามีตาที่สุด หันกลับมามองทางฝั่งของวัดป๋ายสุ่ยที่มีต้นกำเนิดมานานนับพันปีแห่งนี้ จนถึงวันนี้กลับไม่มีภิกษุสักรูปที่ป่าวประกาศว่าจะปรากฏตัวในงานพิธีใหญ่ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินการจัดเรียงลำดับของสามลัทธิในครั้งนี้เลย
ช่วงที่ผ่านมานี้ฝนฤดูใบไม้ผลิตกติดต่อกันไม่หยุด วัดวาอารามแต่ละแห่งของแคว้นชิงหลวนตั้งอยู่ท่ามกลางม่านหมอกไอฝน ยามสนธยาของวันนี้มีภิกษุหนุ่มสวมจีวรสีขาวราวหิมะคนหนึ่งเดินย่างก้าวเนิบช้าอยู่ในวัดป๋ายสุ่ย
วัดป๋ายสุ่ยปิดประตูหน้าภูเขามาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว น่าสงสารก็แต่เหล่าชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาที่หวังจะมาทำบุญ
สีหน้าของภิกษุหนุ่มเย็นชา ตลอดทางมีภิกษุเฒ่าและเณรน้อยทักทายเขา ภิกษุหนุ่มที่สวมชุดจีวรสีขาวสะดุดตากลับไม่สนใจใยดี ทว่าทุกคนกลับเคยชินเสียแล้ว
ภิกษุหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ข้างรั้วของบ่อน้ำขนาดเล็กที่น้ำในบ่อเป็นสีเขียวเข้ม บ่อน้ำที่ไม่สะดุดตานี้กลับมีคำเรียกขานอย่างน่าฟังว่าบ่อมังกร เพราะเล่าลือกันว่าในบ่อน้ำที่เล็กแต่กลับลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งแห่งนี้มีตะพาบแก่ตัวหนึ่งพักพิงอยู่ ภิกษุคนหนึ่งเป็นคนปล่อยมันในช่วงแรกของการสร้างวัดป๋ายสุ่ย ทุกครั้งที่ภิกษุวัดป๋ายสุ่ยเทศนาพระธรรมจนถึงจุดที่ลึกซึ้งอัศจรรย์ ตะพาบเฒ่าตัวนี้ถึงจะโผล่ออกมาจากน้ำ สำหรับเรื่องนี้ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของแคว้นชิงหลวนก็มีบันทึกไว้อย่างละเอียด และไม่มีใครรู้สึกกังขา
ภิกษุหนุ่มยังคงเดินทอดน่องต่อไปอย่างสบายอารมณ์ เขาเดินอยู่กลางระเบียงยาวฝั่งหนึ่งของด้านหลังตำหนักต้าสงเป่า เดินขึ้นทีสูงไปทีละก้าว ใต้ชายคาแขวนกระดิ่งเงินงดงามเรียงตัวทอดยาว เมื่อภิกษุหนุ่มเดินขึ้นบันไดไป ภูตที่มีชื่อเรียกว่า ‘ม้าเหล็กชายคา’ ซึ่งก่อกำเนิดและพักพิงอยู่ในกระดิ่งเงินเหล่านี้ก็พากันบินออกมาจากกระดิ่ง พวกมันมีปีกโปร่งใสคู่หนึ่งที่กระพือพัดลมให้แก่กระดิ่ง ดูเหมือนภิกษุหนุ่มจะไม่ค่อยชอบเสียงกรุ้งกริ้งและบรรยากาศอันเป็นมงคลของวัดโบราณที่เงียบสงบนี้สักเท่าใด เขาจึงขมวดคิ้วมุ่น
เหล่าภูตน้อยตัวจิ๋วจึงรีบกลับเข้าไปหลบในกระดิ่งเงินทันที
ภิกษุหนุ่มหันหน้ามา หลุบตาลงมองลานขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านหลังตำหนักต้าสงเป่า ที่นั่นก็คือสถานที่แห่งหนึ่งที่ ‘พระสมณศักดิ์สูงเทศนาพระธรรม เหล่านางฟ้าโปรยบุปผา’ ในประวัติศาสตร์ของวัดป๋ายสุ่ย จำได้ว่าวันนั้นมีดอกกุ้ยสีทองร่วงลงมาจากฟ้าจำนวนมาก ภิกษุผู้ถ่ายทอดพระธรรมและภิกษุผู้ฟังพระธรรมต่างก็นั่งกันอยู่ในกองดอกกุ้ย ภิกษุผู้เทศนาพระธรรมปรับตัวกับกลิ่นหอมนั้นไม่ค่อยได้จึงจามอยู่หลายที ผู้ฟังมีใจ รู้สึกถึงความนัยบางอย่างจึงใคร่ครวญจนเกิดเป็นหัวข้อสนทนาบางอย่าง จากนั้นก็เขียนลงไปบนศิลาของวัดป๋ายสุ่ย
เดินขึ้นบันไดมาจนครบทุกขั้น มาถึงยอดบนสุดก็อ้อมผ่านหอเก็บคัมภีร์ เดินไปยังด้านข้างของห้องเจ้าอาวาส เจอกับผนังดินเหลืองสูงครึ่งตัวคน อ้อมออกไปจากฟ้าดินขนาดเล็กแถบนี้ก็เจอกับบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ข้างบ่อมีโต๊ะและม้านั่งหิน
ภิกษุหนุ่มผลักประตูบ้านเล็กที่ทำขึ้นจากไม้ไผ่หยาบๆ เดินไปหยุดอยู่ข้างบ่อน้ำ ปากของบ่อน้ำขนาดเล็กแห่งนี้ถูกปิดตายมานานหลายปีแล้ว
ในอดีตที่นี่เคยเกิดคดีทางพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียงคดีหนึ่ง ว่ากันว่าแม้แต่คนในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยังได้ยิน นี่ต่างหากถึงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกือบร้อยปีมานี้วัดป๋ายสุ่ยไม่มีพระชั้นสูง แต่กลับยังคงหยัดยืนได้ไม่ล้มลง เกี่ยวกับคดีนี้ วัดป๋ายเหอทุ่มเถียงกันมานานหลายร้อยปี วัดใหญ่แห่งต่างๆ ในแคว้นชิงหลวนก็โต้เถียงกัน มีการถกเถียงกันทางพระธรรม ปัญญาชนแต่ละยุคแต่ละสมัยที่สนใจศึกษาพระธรรมกันก็เถียงกันด้วยเรื่องนี้อย่างดุเดือด ลำพังเพียงแค่ปัญญาชน นักประพันธ์ ภิกษุชั้นสูงที่แสดงความคิดเห็นต่อคดีนี้ไว้ตามผนังวัดต่างๆ ก็มากถึงสี่สิบกว่าท่าน
ความอุดมสมบูรณ์ของคัมภีร์ที่ถูกเก็บไว้และคัมภีร์หายากฉบับสมบูรณ์ที่มีเล่มเดียวในวัดป๋ายสุ่ยถือเป็นอันดับหนึ่งของแคว้นชิงสุ่ย แต่ภิกษุหนุ่มที่ยืนเหม่ออยู่ข้างบ่อน้ำคนนี้กลับรังเกียจสถานที่แห่งนั้นมากที่สุด ไม่เคยเหยียบเข้าไปที่นั่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ห่างจากคัมภีร์ จะฝึกตนอย่างไร
ก็แค่ถ่ายมูลลงบนเศียรพระพุทธรูปเท่านั้น (เปรียบเปรยว่าทำให้เรื่องที่ดีมีมลทิน ทำให้สกปรก)
เขานั่งอยู่บนปากบ่อที่พอถูกปิดผนึกแล้วก็เหมือนม้านั่งทรงกลม เขามีคำถามอยู่ข้อหนึ่งที่คิดไม่ตกตลอดหลายปีมานี้
จำได้ว่าในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า อรหันต์ท่านหนึ่งที่กลายเป็นพุทธะในโลกหลัง เทวบุตรมารได้ปรากฏตัวมาข่มขู่เขา ในใจอรหันต์หวาดกลัวจึงไปหาพระบรมศาสดา พระบรมศาสดาจึงมอบคัมภีร์เล่มหนึ่งให้เขา เทวบุตรมารจึงหายไป
ช่วงแรกที่ภิกษุหนุ่มมาถึงที่นี่ เขาไม่เคยครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง เพียงแต่วันหนึ่งพลันสะดุ้งตื่นด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็จมเข้าสู่ความทุกข์ทรมานอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้
ในใจเขาเกิดทิฐิ
“เหตุใดภิกษุตัวเล็กๆ ในวัดเล็กๆ อย่างข้าที่เชื่อมั่นว่าต่อให้เจอเทวบุตรมารก็ยังไม่ถึงขั้นเสียกิริยาเช่นนี้ ถึงถูกกำหนดมาให้เป็นอรหันต์ใหญ่ที่จะกลายเป็นพุทธะ เป็นลูกศิษย์ของพระบรมศาสดา แต่ในใจกลับเกิดความหวาดกลัว กระวนกระวายไม่เป็นสุข? นี่ต่างจากคนธรรมดาที่ไม่เคยเรียนรู้พระธรรมที่ตรงไหน? ปัญญินทรีย์อยู่ตรงไหน? พระธรรมที่เล่าเรียนมาอยู่ที่ใด? แล้วพระธรรมที่พระบรมศาสดาถ่ายทอดให้เล่าอยู่ที่ใด? อรหันต์ที่กลายเป็นพุทธะเช่นนี้ พระธรรมที่ถ่ายทอดจะสูงและไกลได้สักเท่าไหร่?”
ภิกษุหนุ่มครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งแต่ก็ยังคิดไม่ตก เขานั่งอยู่บนปากบ่อเพียงลำพัง น้ำตาไหลอาบหน้า
ภิกษุหนุ่มที่สติปัญญาเปิดกว้างตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้จำได้เลือนๆ ว่าในอดีตตนฆ่าแมวตัวหนึ่งอยู่ที่นี่ ฟันมันขาดเป็นสองท่อนแล้วโยนทิ้งลงไปในบ่อน้ำ
ตลอดหลายปีมานี้ภิกษุหนุ่มพูดน้อยมาโดยตลอด ทว่ากลับอุตสาหะทำงานหนักอยู่ในวัดป๋ายสุ่ย เป็นเหตุให้ทั้งมือและเท้าล้วนเกิดรอยด้าน หน้าหนาวของทุกปี ตุ่มน้ำผุพองจะต้องปริแตกจนเลือดไหลอาบเต็มฝ่ามือ
เขาใช้ฝ่ามือตบปากบ่อที่ถูกปิดตายครั้งแล้วครั้งเล่า เนื้อหนังเริ่มแตกและเลือดสดก็ค่อยๆ ซึมออกมา แต่เขาก็ยังไม่รู้ตัว
ภิกษุหนุ่มเปิดปากพูดด้วยเสียงแหบพร่า สะอึกสะอื้นแทบไม่เป็นคำ แต่กระนั้นก็ยังใช้ฝ่ามือตบฝาบ่อแรงๆ “ผิดแล้วๆ พวกเจ้าผิดอีกแล้ว พระธรรมก็อยู่ข้างในนั้น…ข้าเองก็ผิดแล้ว ปริศนาธรรมมิอาจกล่าว เปิดปากก็ผิดแล้ว แต่ไม่เปิดปากก็ผิดเหมือนกันไม่ใช่หรือ? พวกเราต่างก็ผิดแล้ว ทำอย่างไรถึงจะไม่ผิด…”
บทที่ 380.1 ลางบอกเหตุ
น้ำฝนที่ตกลงมาครั้งนี้แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายเยียบเย็นอึมครึมผิดปกติ หลังจากเฉินผิงอันพูดเปิดโปงความลับด้วยประโยคเดียว กุญแจสำคัญที่ทำให้เหล่าชนชั้นสูงในยุทธภพสองกลุ่มที่อยู่ในโพรงหินหยุดทะเลาะกัน ไม่ได้อยู่ที่คำพูดด้วยความหวังดีว่ายิ่งเดินทางไม่ควรยิ่งแคบลง แล้วก็ไม่ใช่เพราะยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นนั้นของเฉินผิงอัน แต่อยู่ที่ประโยคว่า ‘เหล่าเทพเซียนผู้เฒ่าของอารามจินกุ้ยยังไม่ลงมือ’ ประโยคเดียวเท่านั้น
นี่หมายความว่าหากไม่เป็นเพราะอารามจินกุ้ยวางแผนไว้ก่อนแล้วค่อยลงมือทีหลัง จงใจแสดงความอ่อนแอให้ศัตรูเห็นเพื่อล่องูออกจากโพรง ก็ต้องเป็นเพราะความสามารถสู้ศัตรูไม่ได้ ได้แต่ทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในอาราม หลีกเลี่ยงประกายแหลมคม
ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลข้อไหน เทพเซียนบนภูเขาตีกันเช่นนี้ ต่อให้พอจะมีความสัมพันธ์ควันธูปต่อกัน เหล่าสตรีที่มาจากเรือนแยนจือของแคว้นอวิ๋นเซียวก็ยังไม่ยินดีจะเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง ส่วนจู๋เฟิ่งเซียนมารเฒ่าที่เคยสร้างลมคาวฝนเลือดอยู่ในยุทธภพหลายแคว้นก็ยิ่งเป็นพวกคนที่เยือกเย็นสุขุม ขึ้นเขามาครั้งนี้ก็เพื่อพาดสะพานแห่งการฝึกตนขึ้นไปสู่สวรรค์ให้แก่หลานสาว ส่วนอารามจินกุ้ยก็สามารถถือโอกาสนี้รับลูกศิษย์ผู้ภาคภูมิใจไว้คนหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา พรรคต้าเจ๋อไม่ต่ำต้อยกว่าคนอื่น จู๋เฟิ่งเซียนย่อมไม่ยินดีจะทำหน้าที่เป็นทัพหน้าให้แก่นักพรตอารามจินกุ้ย
เฉินผิงอันกลับมานั่งที่เดิม เผยเฉียนที่ขี้ประจบไม่รู้ไปเอาหินก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งจากไหนมาทำเป็นม้านั่งตัวเล็กให้เฉินผิงอัน นางนั่งยองอยู่บนพื้นแล้วใช้มือเช็ดคราบดินบนก้อนหินออกแรงๆ พลางเงยหน้าเอ่ยปลอบเขาไปด้วย “อาจารย์ ท่านยังคงมีมาดอันสง่างามมากอยู่ดี ก็แค่ช่วงปิดจบมีข้อตำหนิเล็กน้อยเท่านั้น แต่ว่าสามารถมองข้ามไม่นับรวม”
คำว่าช่วงปิดจบนี้นางมักจะได้ยินเวลาที่ดูหลูป๋ายเซี่ยงเล่นหมากล้อมกับคนอื่นจนคุ้นหู อยู่กับคนทั้งสี่ในภาพวาดนานวันเข้า เผยเฉียนจึงได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ มาไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นกลยุทธ์การสร้างขบวนรบของเว่ยเซียนที่บอกว่า ‘การเข่นฆ่าในสนามรบ ไม่มีเวลามาตั้งขบวนรบงูยาว ขบวนรบประตูมังกรอะไรทั้งนั้น ก็แค่เข้าแถวแนวตั้งแนวนอนประจำที่ให้เป็นระเบียบเท่านั้น สุดท้ายก็อาศัยความสามารถของใครของมันยกมีดยกดาบฟาดฟันไปมั่วซั่วอุตลุด’ ได้เรียนรู้หลักเกณฑ์บางอย่างในการเรียนหมากล้อมและพิณมาจากเสี่ยวป๋าย เรียนรู้วิธีทำอาหารกับแกล้มสุราจานเล็กๆ จากจูเหลี่ยน จูเหลี่ยนเห็นว่าเผยเฉียนมาเป็นลูกมือให้ตัวเองบ่อยๆ แล้วก็ถือว่าพอจะทนกับความยากลำบากได้จึงมอบนิยายจอมยุทธ์ที่ท่องอยู่ในยุทธภพเล่มหนึ่งให้กับเผยเฉียน เผยเฉียนอ่านจนลืมกินลืมนอน แล้วยังได้เรียนคำพูดโหดๆ มากมายที่ผู้คนชอบใช้เวลาท่องยุทธภพจากสุยโย่วเปียน ยกตัวอย่างเช่น ‘คิดจะผ่านที่แห่งนี้ ทิ้งชีวิตและทรัพย์สินเอาไว้’ ‘บังอาจเป็นโจรดักปล้นกลางทาง จงกินทวนของข้าซะ’ เป็นต้น
จางซานเฟิงมองม่านฝนข้างนอกแล้วให้เป็นกังวล เขาพูดเบาๆ ว่า “ฝนทะมึนที่ตกหนักและตกนานขนาดนี้ ผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะทนได้ เว้นเสียจากว่าจัดวางค่ายกลเรียกฝนไว้นานแล้ว ทว่าวิธีการเช่นนี้ หากใช้ค่ายกลชักนำมาโดยไม่ได้ใช้มรรคกถาของตัวเองจริงๆ นั่นก็เท่ากับว่าโปรยเงินเกล็ดหิมะจากฟ้าลงบนดินแล้ว ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้ฝึกตนประตูมังกรจึงมีมากกว่า ไม่รู้ว่านักพรตของอารามจินกุ้ยคือผู้ฝึกลมปราณที่มีขอบเขตเท่าใด จะสามารถรับมือกับฝนทะมึนที่ส่งผลกระทบต่อโชคชะตาภูเขาและแม่น้ำนี้ได้หรือไม่”
เสียงของจางซานเฟิงไม่ดังนัก แต่จู๋เฟิ่งเซียนและหญิงชราจากเรือนแยนจือต่างก็เป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ในยุทธภพ แค่ตั้งใจจับสังเกตสักหน่อยก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจน และจู๋เฟิงเซียนก็ไม่ยี่หระที่ตัวเอง ‘แอบฟัง’ เขาหันไปพูดกับหญิงชรา “ในเมื่อเรือนแยนจือมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับอารามจินกุ้ย คิดว่าคงรู้ระดับสูงต่ำของเวทคาถาของเจ้าอารามบ้างกระมัง?”
หญิงชราลังเลอยู่ชั่วขณะก็พยักหน้าตอบว่า “เล่าลือกันว่าเจ้าอารามจางกั่วอายุสองร้อยกว่าปีแล้ว เขามีตบะประตูมังกรที่เป็นดั่งเจียวหลงในทะเลเมฆ เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝน”
จู๋เฟิ่งเซียนขมวดคิ้ว “ช่วงนี้มีเรื่องหนึ่งที่กระหึ่มไปทั่วยุทธภพ ไหนบอกว่าจางกั่วปิดด่านหลายสิบปี ครั้งนี้ออกจากด่านมาได้อย่างราบรื่นจึงเลื่อนขั้นเป็นเทพเซียนพสุธาในตำนานแล้วไม่ใช่หรือ?”
หญิงชรายิ้มขื่น “เซียนดินที่สร้างโอสถทองได้สำเร็จถือเป็นบุคคลที่เลิศล้ำโดดเด่นปานใด ไยยังต้องรับลูกศิษย์? แค่ตั้งใจฝึกตนมุ่งหน้าไปยังมหามรรคาก็พอแล้ว หากเปลี่ยนมาเป็นหัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋ กลายเป็นเทพเซียนแล้ว ยังจะเต็มใจควานหาเงินในบ่อโคลนอีกไหม? ต่อให้ในบ่อโคลนจะมีเงินมีทองอยู่จริง คนในยุทธภพอย่างพวกเราเห็นค่า ยังจะค้อมเอวลงไปคลำในบ่อโคลนอยู่บ้าง แต่เทพเซียนบนภูเขาจะรู้สึกเสียดายงั้นหรือ? แต่เจ้าอารามจางกั่วมีคุณสมบัติในการเป็นเซียนดินจริงแท้แน่นอน หัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋ไม่ต้องสงสัย อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น หลานสาวของเจ้ากราบไหว้จางกั่วเป็นอาจารย์ ฝึกตนอยู่ในอารามจินกุ้ย อนาคตย่อมไม่เลวเป็นแน่”
จู๋เฟิ่งเซียนพยักหน้ารับ สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย
ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร จู๋เฟิ่งเซียนที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดอาจจะยังกริ่งเกรง แต่ไม่ถึงกับหวาดกลัวแน่นอน ผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิต ขอบเขตชมมหาสมุทรที่ตายด้วยน้ำมือของเขาก็มากถึงหนึ่งมือนับแล้ว
ทว่าผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่ในอนาคตมีหวังว่าจะได้เป็นเซียนดินโอสถทอง จู๋เฟิ่งเซียนยินดีที่จะมอบความเคารพนับถือที่มากพอให้ เพราะถือว่ามีคุณสมบัติมากพอที่จะรับหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาให้แก่หลานสาวของตนแล้ว
ทุกปีพรรคต้าเจ๋อจะต้องเอาเงินแสดงความเคารพออกมาก้อนหนึ่ง แล้วสั่งให้คนนำมามอบให้อารามจินกุ้ยบนภูเขาชิงเย่าอย่างลับๆ
จางซานเฟิงถอนหายใจอยู่ในใจ ไม่ใช่คนบนภูเขาก็ไม่รู้เรื่องบนภูเขา เทพเซียนในใจและในสายตาของจู๋เฟิ่งเทียนกับหญิงชราจากเรือนแยนจือสูงส่งเกินเอื้อมจนเท้าไม่เปื้อนดิน แต่เป็นเทพเซียนโอสถทองแล้วอย่างไร ก็ต้องสั่งสมทรัพย์สมบัติอย่างสุขุมรอบคอบและระมัดระวังเหมือนกันอยู่ดีไม่ใช่หรือ เรื่องของการฝึกตนต่างหากที่ถึงจะเป็นหลุมไร้ก้นที่กลืนกินเงินทองได้มากที่สุดในโลกอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าเซียนดินส่วนใหญ่ นอกจากผู้ฝึกตนอิสระที่ใช้ชีวิตอย่างเสรีมาจนชินแล้ว ผู้ฝึกตนใหญ่ที่ได้ครอบครองภูเขาและถ้ำสถิตก็ล้วนไม่จำเป็นต้องทำงานเอง เพราะมีคนในสำนักคอยไปผูกสัมพันธ์กับฝ่ายอื่น ตัวเองแค่ตั้งใจฝึกตนก็พอแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าหญิงชราจากเรือนแยนจือพอจะเดาถูกได้ครึ่งหนึ่ง
และเวลานี้เอง ในป่าลึกท่ามกลางม่านฝนที่อยู่ห่างออกไปไกลพลันเกิดเสียงฟ้าร้องครืนครั่น แผ่นดินสั่นสะเทือน สายลมพัดกระโชกให้เม็ดฝนสาดเอง มีเสียงแผ่นดินไหวดังขึ้นลงเป็นระลอกดุจเสียงเจ้าป่าคำราม
ครู่หนึ่งต่อมาเหตุการณ์ผิดปกติทั้งหลายก็หยุดนิ่ง ระหว่างฟ้าดินเหลือเพียงแค่ฝนเทกระหน่ำเท่านั้น
อีกประมาณหนึ่งก้านธูปให้หลัง สุยโย่วเปียน จูเหลี่ยนและจู๋เฟิ่งเซียนสามคนก็เงยหน้ามองไปด้านนอกโพรงหินแทบจะเวลาเดียวกัน
สีหน้าของจู๋เฟิ่งเซียนเป็นปกติ แต่หัวใจกลับบีบรัดตัว
ในบรรดาผู้ติดตามของเซียนซือหนุ่มคนนั้นถึงกับมีคนสองคนที่มีสัมผัสเฉียบไวไม่เป็นรองตนเชียวหรือ?
ต้องรู้ว่าตนคือหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่ของแคว้นชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียว แม้จะบอกว่าการต่อสู้กับเซียนเมื่อสามสิบปีก่อนทำลายรากฐานวิถีวรยุทธ์ไปบางส่วน รักษาตัวมานานสามสิบปีก็ยังไม่อาจกลับคืนสู่จุดสูงสุดของวิถีวรยุทธ์ได้ กลายเป็นลำดับล่างสุดของสี่ปรมาจารย์ใหญ่ แต่พยัคฆ์ที่แม้จะตายก็ยังไม่ทิ้งลาย เขาจู๋เฟิงเซียนอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าตกอับมากนัก ก็แค่เลื่อนจากอันดับที่สองมาอันดับที่สี่เท่านั้น แต่ก็ยังคงเป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่สมศักดิ์ศรีอยู่เช่นเดิม
ครั้งนี้งานพิธีทางศาสนาพุทธที่จัดขึ้นติดต่อกันสามปีได้ชักนำผู้ฝึกตนที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำมามากมายก็จริง ทว่ายอดฝีมือระดับสูงสุดในยุทธภพนั้นมีน้อยจนนับนิ้วได้ ปรมาจารย์น้อยแต่ละคนก็เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดที่มีแต่ชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้น เพราะรากฐานว่างเปล่ากลวงโบ๋ หากจะต้องสู้ตัดสินเป็นตายกันจริงๆ ย่อมไม่มีทางต้านรับหมัดไม่กี่หมัดของพวกเขาสี่คนใด
เหตุใดการพบกันโดยบังเอิญบนภูเขาครั้งนี้ถึงได้มียอดฝีมือเพิ่มมามากมายขนาดนี้ในคราวเดียว? นอกจากสตรีสะพายกระบี่ที่รูปโฉมงามล้ำและผู้เฒ่าหลังค่อมที่มองดูเหมือนเข้ากับคนได้ง่ายแล้ว บุรุษพกดาบที่มีบุคลิกองอาจห้าวหาญและชายกำยำที่พูดน้อยก็เห็นได้ชัดว่าเป็นยอดฝีมือในยุทธภพที่มีรากฐานแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด นี่ต่างหากถึงเป็นเหตุผลข้อเดียวที่จู๋เฟิ่งเซียนต้องมองเฉินผิงอันในมุมใหม่มาตั้งแต่ต้นจนจบ เมฆมาจากมังกรลมมาจากพยัคฆ์ หากเซียนซือหนุ่มผู้นั้นเป็นพวกฝีมือกระจอกงอกง่อยจะกำราบปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์เหล่านี้อยู่มือได้อย่างไร?
ฝนใหญ่เริ่มซาลง
ท่ามกลางม่านฝนมีนักพรตหนุ่มหลายคนจับกลุ่มมากับนักพรตน้อย นักพรตของอารามจินกุ้ยที่เป็นผู้นำซึ่งเดินนำอยู่หน้าสุดหล่อเหลาปานหยกสลัก รอยยิ้มของเขาชวนให้คนหลงใหล นักพรตที่อยู่ด้านหลังเขานอกจากจะกางร่มให้ตัวเองแล้ว แต่ละคนยังหอบร่มน้ำมันมาเต็มอ้อมอก มีเพียงนักพรตที่เดินนำอยู่ด้านหน้าสุดที่ไม่มีอะไรติดมือมา พอเข้ามาในโพรงหินก็เก็บร่มกระดาษน้ำมันที่เปียกโชก บุคลิกท่าทางของเขาไม่เหมือนกับพวกคุณชายตระกูลร่ำรวย แต่มีท่วงทำนองที่แตกต่างออกไป เขามองทุกคนแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “มีปีศาจอาละวาด พยายามที่จะใช้ฝนทะมึนทำลายภูเขาและแม่น้ำของอารามจินกุ้ยพวกเรา ทุกคนไม่ต้องตื่นตระหนก เจ้าอารามของพวกเรากับสหายอีกสองคนที่เดินทางมาไกลได้เก็บวิชาอภินิหารทั้งหมดลงไปแล้ว พวกเจ้าสามารถขึ้นเขาไปพร้อมกับข้าได้อย่างวางใจ ปีศาจกลุ่มนั้นถูกสังหารจนสิ้นแล้ว หนีไม่รอดแม้แต่ตัวเดียว”
หญิงชราจากเรือนแยนจือชำเลืองมองเด็กสาว ‘ชิงเฉิง’ แวบหนึ่ง ในสายตาของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่ไม่อาจระงับ ก่อนหน้านี้ที่เสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว หญิงชราก็แอบคาดเดาในใจอยู่แล้ว อารมณ์จึงตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด หากเป็นอย่างที่นางคิดจริง การเดินทางมากราบอาจารย์ขอเล่าเรียนวิชาของชิงเฉิงที่สำนักฝากความหวังไว้ให้ครั้งนี้ คงยากที่จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นอีก เวลานี้ได้ยินนักพรตหนุ่มรูปงามช่วยยืนยันว่า ‘เจ้าอารามและสหายลงมือช่วยเหลือ’ หญิงชราก็ไพล่นึกไปถึงรูปโฉมของเทพเซียนบนภาพวาดที่ท่านย่าบุรพาจารย์ของตนเก็บไว้อย่างทะนุถนอมนั้น ความคิดนับร้อยพลันประดังประเดเข้ามา ปีนั้นก่อนที่ท่านย่าบุรพาจารย์จะตายไป ยังคงบอกให้นางที่ยังเป็นเด็กสาวและศิษย์พี่หญิงคนหนึ่งจับปลายสองด้านของแกนภาพวาด คลี่ภาพออกเพื่อให้สะดวกให้นางได้มองบุรุษที่อยู่บนภาพวาดนั้นเป็นครั้งสุดท้าย
เวลานี้พวกนางคุ้มครองพา ‘ชิงเฉิง’ มาส่งเพื่อฝึกตนบนภูเขาอย่างไม่กลัวความยากลำบาก ก็เป็นเพราะบุรุษเทพเซียนผู้นั้นสั่งให้คนนำความมาบอกเรือนแยนจือ ระยะเวลาร้อยกว่าปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายพูดคุยกับเรือนแยนจือก่อน ทุกคนในสำนักต่างก็ปิติยินดีอย่างล้นเหลือ
นักพรตหนุ่มที่รูปงามบุคลิกโดดเด่นยิ้มกล่าวว่า “ร่มกระดาษน้ำมันพวกนี้ ผิวร่มเป็นเพียงกระดาษธรรมดา แต่คันร่มกลับเป็นกิ่งกุ้ยปราณวิญญาณที่ผู้อาวุโสในอารามของพวกเราสร้างขึ้น สามารถป้องกันกลิ่นอายชั่วร้ายที่มาพร้อมลมและฝน ไม่ว่าจะผ่านป่าเขาเข้าไปในบึงน้ำ หรือเดินอยู่ท่ามกลางสุสานไร้ญาติเพียงลำพังยามค่ำคืน ถือร่มกิ่งกุ้ยของอารามพวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีสิ่งชั่วร้ายมารุกราน แค่เห็นร่มคันนี้ พวกมันก็จะถอยหนีหลบเลี่ยงกันไปเอง เจ้าอารามกังวลว่าในกลุ่มของทุกท่านจะมีสตรีบอบบางที่ไม่เคยฝึกวรยุทธ์มาก่อน ก็เลยสั่งให้พวกเราลงจากภูเขาเอาร่มมาส่งให้โดยเฉพาะ”
จากนั้นก็มอบร่มกิ่งกุ้ยสิบกว่าคันที่มีเฉพาะในอารามจินกุ้ยออกมาให้
นักพรตน้อยหน้าขาวปากแดงคนหนึ่งมองเห็นเผยเฉียนที่เป็นคนวัยเดียวกันเพียงคนเดียวอยู่นานแล้ว รอจนอาจารย์อาสั่งให้นำร่มไปมอบให้ก็รีบวิ่งไปหาเด็กหญิงผิวดำเกรียมเป็นถ่านทันที นักพรตน้อยส่งร่มกิ่งกุ้ยในมือออกมาพลางคลี่ยิ้มกว้าง
เผยเฉียนไม่ได้อยากได้ร่มผุๆ ของอารามจินกุ้ยอะไรนี่หรอก แต่เฉินผิงอันยืนอยู่ข้างกาย ดังนั้นจึงยังต้องใช้ ‘ระเบียบอาจารย์กฎบ้าน’ กันสักหน่อย นางจึงปฏิเสธร่มกระดาษน้ำมันจากน้ำพรตน้อยอย่างละมุนละม่อม จากนั้นก็เอ่ยขอบคุณเจ้าตัวน้อยอย่างว่าง่าย
นักพรตน้อยเป็นกังวลเล็กน้อย บอกว่าอย่าดูแคลนฝนทะมึนครั้งนี้เด็ดขาดเชียว มันทำลายพลังหยางของคนได้ง่ายที่สุด คนที่ร่างกายอ่อนแอและคนที่ชะตาชีวิตไม่แข็งแกร่งอาจจะมีต้นตอโรคติดตัว ถึงเวลานั้นกินยาไปก็ไม่ได้ผล ถึงอย่างไรร่มนี้อารามของพวกเขาก็มอบให้พวกเจ้ายืม ไม่เก็บเงิน ทำไมถึงไม่รับไว้ รับไปเถอะ ร่มกิ่งกุ้ยนี้ไม่หนักสักหน่อย
เผยเฉียนได้แต่เจ็บใจที่ตัวเองไม่สามารถกลอกตาใส่อีกฝ่ายได้
มองนักพรตน้อยน่ารักที่พยายามอธิบายถึงความร้ายกาจของฝนทะมึนครั้งนี้ให้เผยเฉียนฟัง เฉินผิงอันก็คลี่ยิ้ม ลูบศีรษะเผยเฉียน บอกให้นางรับร่มกระดาษน้ำมันเอาไว้ จากนั้นก็มองไปยังนักพรตหนุ่มรูปงาม “นักพรตท่านนี้ ได้ยินว่าครั้งนี้อารามของท่านเปิดภูเขารับลูกศิษย์ ไม่ทราบว่าคนต่างถิ่นอย่างพวกข้าที่บังเอิญมาได้จังหวะประจวบเหมาะพอดี จะขอรบกวนขึ้นเขาไปดูงานพิธีอันยิ่งใหญ่ด้วยได้หรือไม่?”
นักพรตรูปงามพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ย่อมได้อยู่แล้ว หลังขึ้นเขาไปแล้วแค่รับสมุดเล็กๆ เล่มหนึ่งมา แล้วจดจำข้อห้ามของสำนักที่ระบุไว้บนนั้นให้ได้ก็พอ”
นักพรตน้อยรีบหันหน้าไปตะโกนพูดกับนักพรตผู้หล่อเหลา “อาจารย์อาน้อย ข้อกำหนดบนสมุด ข้าท่องจำได้ขึ้นใจนานแล้ว ไม่อย่างนั้นให้ข้าท่องให้คุณชายท่านนี้ฟังดีไหม?”
นักพรตรูปงามยิ้มบางๆ ตอบว่า “หากคุณชายเต็มใจจะฟังเจ้าพูดมาก เจ้าก็เดินขึ้นเขาไปเป็นเพื่อนคุณชายก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันกุมหมัดขอบคุณนักพรตอารามจินกุ้ยหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ ยิ้มพูด “ขอบคุณท่านนักพรต รบกวนท่านนักพรตน้อยด้วย”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองจางซานเฟิงกับสวีหย่วนเสีย คนทั้งสองพยักหน้าให้เบาๆ บอกเป็นนัยให้รู้ว่าการขึ้นเขาไปชมงานพิธีครั้งนี้ ไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่เหมาะสม
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว สวีหย่วนเสียกลับรู้สึกดีใจไม่น้อย อารามจินกุ้ยปิดประตูไม่ต้อนรับแขกแทบตลอดเวลา เป็นเหตุให้คนนอกไม่สามารถเข้าไปชื่นชมทัศนียภาพด้านในได้ ด้านล่างภูเขาของแคว้นชิงหลวนมีเรื่องเล่าบอกว่าครั้งนั้นที่นางฟ้าโปรยดอกไม้ ดอกกุ้ยร่วงเต็มพื้นของวัดป๋ายสุ่ย ต้นกำเนิดของดอกกุ้ยสีทองเหล่านั้นก็คือต้นกุ้ยโบราณอายุนับพันปีหลายต้นที่อยู่ด้านหลังอารามจินกุ้ย (กุ้ยสีทอง) และยังมีเซียนท่านหนึ่งที่ท่องเที่ยวไปทั่วฟ้าดินเยื้องกรายลงมาเยือนที่อาราม ชี้นิ้วไปที่ต้นกุ้ยแล้วกล่าวว่า ‘พันธ์บนดวงจันทร์’
ก่อนหน้านี้วัวดินสีเหลืองไม่ได้เข้ามาในช่องโพรงหินด้วย ถึงอย่างไรมันก็มีชาติกำเนิดเป็นปีศาจ อีกทั้งครั้งนี้ยังพบเจอกับเหตุไม่คาดฝัน นักพรตของอารามเต๋าอาจรู้สึกกังขา หากทำให้อารามจินกุ้ยเกิดสงสัยขึ้นมา เฉินผิงอันย่อมต้องหาคำมาอธิบายให้พวกเขาฟัง ยังดีที่วัวดินรู้ถึงความขัดแย้งบนภูเขาอย่างลึกซึ้ง มันที่อยู่ห่างไปจากโพรงหินจึงใช้เสียงในใจบอกกับเฉินผิงอันว่าช่วงนี้มันจะซ่อนตัวรออยู่ด้านล่างภูเขา เว้นเสียจากว่ามีเซียนดินมาลาดตระเวนก็คงไม่ถูกพบร่องรอยได้ง่ายนัก เฉินผิงอันจึงบอกให้มันระวังตัว หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็หนีขึ้นไปบนภูเขาชิงเย่าได้เลย เขาจะออกหน้าอธิบายให้กระจ่างเอง
บทที่ 380.2 ลางบอกเหตุ
อารามเต๋าตั้งอยู่บนยอดเขาของภูเขาชิงเย่า ทางเดินมีแต่ดินโคลนเฉอะแฉะทำให้เดินลำบาก ตั้งแต่ตีนเขาไปจนถึงประตูใหญ่ของอารามเต๋า จุดที่กว้างที่สุดของทางเส้นเล็กก็ได้แค่ให้คนสามคนเดินเคียงไหล่กันเท่านั้น ไม่ต้องคาดหวังว่าจะให้รถม้าเคลื่อนผ่านไปได้ นี่แสดงให้เห็นว่าอารามจินกุ้ยไม่ค่อยยินดีจะคบค้าสมาคมกับคนด้านล่างภูเขาสักเท่าไหร่
ตำหนักพยัคฆ์เขียวของภูเขาชิงจิ้งที่พวกเฉินผิงอันไปเยือนในคราวนั้นได้สร้างบันไดไว้มากถึงสามพันขั้น เทียบกับบันไดหยกในวังหลวงที่เป็นบ้านของฮ่องเต้แล้วยังดูโอฬารยิ่งใหญ่กว่าเสียอีก
อารามจินกุ้ยมีขนาดไม่ใหญ่ แต่สามารถรองรับนักพรตให้มาฝึกตนได้ถึงสี่สิบห้าสิบคน คนของแต่ละฝ่ายที่นำพาเด็กรุ่นหลังขึ้นเขามาต่างก็จ้างให้คนมาสร้างกระท่อมอยู่กึ่งกลางภูเขาชิงเย่าเพื่อเป็นที่พักอาศัยนานแล้ว สำหรับเรื่องนี้อารามจินกุ้ยไม่ขัดขวาง บางคนที่มีไหวพริบ อีกทั้งยังเป็นคนของกองกำลังในยุทธภพแคว้นชิงหลวนเห็นว่าอารามจินกุ้ยพูดคุยได้ง่ายก็ถึงกับจ้างชายฉกรรจ์หลายสิบคนให้มาบุกเบิกที่ดินสร้างหอเรือนที่ขนาดไม่เป็นรองหอสุราหรือโรงเตี๊ยมในหมู่ชาวบ้านเอาไว้
อารามจินกุ้ยคืออารามในป่าที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก เพียงแต่ว่าหากฟังตามคำกล่าวของนักพรตรูปงาม ทรัพย์สมบัติของอารามแห่งนี้ไม่ได้ตกเป็นของสายระบบเต๋าที่พวกเขาอยู่ทั้งหมด และเมื่อเจ้าอารามรับลูกศิษย์ ถึงเวลานั้นจะได้รับทำเนียบตระกูลหยกทองที่ราชสำนักแคว้นชิงหลวนจัดสรรมาให้ ขอแค่กราบไหว้เข้ามาเป็นลูกศิษย์ของเจ้าอารามจางกั่ว ไม่ใช่เป็นนักพรตที่แค่แขวนชื่อไว้ว่าฝึกตนอยู่ในอารามจินกุ้ยเท่านั้น ก็จะถือว่ากลายเป็นเซียนซือคนหนึ่งในเทียบวงศ์ตระกูล เกรงว่านี่ต่างหากถึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ชนชั้นสูงในยุทธภพและเศรษฐีผู้สูงศักดิ์ยินดีพาลูกหลานในตระกูลแห่กันมาเยือนที่แห่งนี้
มีเพียงตำหนักใหญ่ของลัทธิเต๋าเท่านั้นถึงจะมีสามตูห้าจู่สิบแปดโถวครบตำแหน่ง (คือตำแหน่งผู้ดูแลในด้านต่างๆ มาจากระบบสือฟางฉงหลินหรือระบบบริหารจัดการวัดวาอาราม) อารามจินกุ้ยมีคนแค่สี่สิบห้าสิบคน ย่อมไม่พิถีพิถันมากมายถึงเพียงนั้น เว้นเสียจากเจ้าอารามจางกั่วแล้วก็มีผู้ดูแลสองสามคนและห้าหกโถวซึ่งรวมถึงคู่โถว (มีหน้าที่ทำงานทั่วๆ ไปในวัด ดูแลเรื่องรายรับรายจ่ายด้านธัญพืช เงินทอง สิ่งทอ ข้าวสาร เป็นต้น ตำแหน่งต่ำ แต่ภาระงานหนัก) เป็นหนึ่งในนั้นเท่านั้น สวี่ป๋อรุ่ยนักพรตรูปงามก็คือกู่โถว (คนที่รับผิดชอบตีกลองหยุดกลองหรือตีระฆังของวัด) ของอารามจินกุ้ย ถึงอย่างไรต่อให้อารามจะเล็กแค่ไหน ทั้งกลองและระฆังต่างก็ถือเป็นวัตถุที่ขาดไม่ได้
หากจะพูดถึงวัดลูกหลาน (หรือจื่อซุนเมี่ยวหมายถึงวัดที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก ทรัพย์สินในวัดจะตกเป็นของพระที่อยู่ในวัดทั้งหมด พวกเขาสามารถจัดการกันได้เอง พระสามารถรับลูกศิษย์ได้ด้วยตัวเอง โกนหัวบวชให้ลูกศิษย์ได้ แต่ไม่สามารถประกาศให้พระที่บวชใหม่ถือศีล พระที่บวชใหม่ต้องไปรับศีลที่สือฟางฉงหลินเท่านั้น) ที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้านี้ แน่นอนว่าต้องเป็นจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างไม่ต้องสงสัย
จางกั่วเทพเซียนผู้เฒ่าของอารามเต๋าแห่งนี้จะรับลูกศิษย์ในวันมะรืน ในฐานะที่พรรคต้าเจ๋อของจู๋เฟิ่งเทียนคือหนึ่งในงูเจ้าถิ่นที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นชิงหลวน ก็ได้ทุ่มเงินขาวก้อนใหญ่ถึงหนึ่งแสนกว่าตำลึงมาสร้าง ‘คฤหาสน์หลบร้อน’ ไว้กึ่งกลางภูเขานานแล้ว ท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างมากมายจึงดูสะดุดตาอย่างถึงที่สุด ดูท่าเรื่องที่หลานสาวของจู๋เฟิ่งเทียนจะถูกรับเลือกคงเป็นเรื่องแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
เรือนแยนจือเองก็จ้างคนมาสร้างเรือนแห่งหนึ่งที่ประณีตงดงาม ทว่านักพรตสวี่ป๋อรุ่ยกลับพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “หลิวชิงเฉิง จู๋จื่อหยาง พวกเจ้าทั้งสองคนสามารถติดตามข้าผู้เป็นนักพรตเข้าไปในอารามได้เลย อารามจินกุ้ยได้จัดห้องสองห้องไว้ให้แล้ว”
จากนั้นสวี่ป๋อรุ่ยก็หันมายิ้มพูดกับเฉินผิงอันว่า “อารามคับแคบ รับรองทุกท่านได้ไม่ทั่วถึง ตอนนี้เหลือแค่ห้องอยู่สองห้อง หากคุณชายเต็มใจไปเข้าพักเพียงลำพังก็สามารถติดตามข้าผู้เป็นนักพรตขึ้นเขาตอนนี้ได้เลย หากไม่อยากแยกกับสหาย และไม่มีที่อื่นให้ไปพัก ข้าผู้เป็นนักพรตสามารถออกหน้าช่วยพูดกับชนชั้นสูงของแคว้นชิงหลวนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันแทนคุณชาย ให้คุณชายไปพักอาศัยด้วยสักสองสามวันย่อมไม่มีปัญหา ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดีที่ได้ผูกบุญสัมพันธ์กัน”
จู๋เฟิ่งเซียนหัวเราะเสียงดังกังวาน “ไยนักพรตสวี่ต้องยุ่งยากถึงเพียงนี้ ให้พวกคุณชายมาพักอยู่กับข้าก็ได้แล้ว”
หญิงชราจากเรือนแยนจือก็อยากจะเชื้อเชิญพวกเฉินผิงอันเช่นกัน เสียดายก็แต่พวกนางมีแต่สตรี จำเป็นต้องหลบเลี่ยง ไม่สะดวกจะเอ่ยปากจริงๆ จึงได้แต่มองบุญสัมพันธ์ครั้งใหญ่นี้ถูกผู้ฝึกยุทธ์หยาบกระด้างอย่างคนของพรรคต้าเจ๋อช่วงชิงไปกับตา
ฝนบนภูเขาหยุดลงแล้ว เฉินผิงอันสอบถามสวี่ป๋อรุ่ยว่าวันนี้สามารถไปดูต้นกุ้ยของอารามได้หรือไม่ สวี่ป๋อรุ่ยยิ้มกล่าวว่าไม่มีอะไรที่ไม่ได้ แต่ต้องให้เขาเป็นคนนำทาง ห้ามเดินเพ่นพ่านอยู่ในอารามตามใจชอบ
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงพาเผยเฉียน จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียขึ้นเขาไปด้วยกันต่อ ส่วนสี่คนในภาพวาดกลับติดตามจู๋เฟิ่งเซียน ‘มารเฒ่าแห่งแคว้นชิงหลวน’ ไปยังที่พักของเขา
นักพรตน้อยชอบอยู่ข้างกายเผยเฉียน ในอ้อมอกเขาหอบร่มน้ำมันกอบใหญ่ ช่วยไม่ได้ ในอารามเต๋าก็มีแต่เขาที่อายุน้อยสุด คนอื่นๆ ล้วนเป็นคนแก่ที่อายุมากแล้ว อ้าปากก็เหลือฟันอยู่แค่ไม่กี่ซี่ ไม่อย่างนั้นก็เป็นนักพรตที่เข้มงวดจริงจังอย่างสวี่ป๋อรุ่ยอาจารย์อาน้อยของเขา กว่าจะเจอคนรุ่นเดียวกันที่พูดคุยกันได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นักพรตน้อยย่อมลิงโลดอยู่แล้ว
แต่เผยเฉียนกลับไม่สบอารมณ์นัก เหตุใดต้องมาเจอเจ้านกกระจิบน้อยที่พูดเสียงจ้อยๆ อยู่ข้างหูผู้นี้ด้วย คนที่ฝึกตนบนภูเขาไม่ควรจะเหมือนคนหูหนวกตาบอดและเป็นใบ้หรือไร?
เด็กสาวหลิวชิงเฉิงแห่งเรือนแยนจือ เด็กสาวจู๋จื่อหยางหลานสาวของจู๋เฟิ่งเซียนที่พอพ้นจากการปกป้องคุ้มครองของอาจารย์และผู้อาวุโสแล้ว ฝ่ายแรกค่อนข้างจะขลาดกลัว ฝ่ายหลังกลับไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน สอบถามเรื่องเล่าต่างๆ เกี่ยวกับอารามจินกุ้ยจากนักพรตสวี่ป๋อรุ่ยว่าเป็นจริงเท็จ สวี่ป๋อรุ่ยน่าจะเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนโยนคนหนึ่งจึงตอบคำถามนางทีละข้ออย่างอดทน คำตอบของเขาทั้งไม่ใส่เสริมเติมแต่ง แล้วก็ไม่ปิดบังอำพราง ทำให้จู๋จื่อหยางรู้สึกดีต่ออารามจินกุ้ยไปด้วย
หลิวชิงเฉิงปลุกระดมความกล้าถามเด็กสาวหน้ากลมของพรรคต้าเจ๋อเสียงเบา “ที่แท้เจ้าไม่ได้ชื่อ ‘หว่านซ่าง’ หรอกหรือ?”
จู๋จื่อหยางตบหน้าผากตัวเอง “ในยุทธภพมีคนไร้เดียงสาอย่างเจ้าได้ยังไงนะ?”
ไม่ได้พูดออกมาตามตรงว่าเด็กสาวใบหน้ารูปไข่ห่านโง่เขลาก็ถือว่าจู๋จื่อหยางออมฝีปากให้แล้ว
หางตาของจู๋จื่อหยางเหลือบไปเห็นมีดสั้นที่ประณีตงดงามตรงเอวของหลิวชิงเฉิง บนปลอกไม้ไผ่สลักคำว่า ‘จุ้ยเอ่อร์’ นางจึงยิ้มถามว่า “มีดสั้นเล่มนี้ของเจ้าสวยมาก ขอข้าดูหน่อยได้ไหม?”
หลิวชิงเฉิงส่ายหน้า พูดอย่างขลาดๆ “นี่คือของตกทอดที่ท่านย่าบุรพาจารย์ไท่ซ่างของข้าทิ้งไว้ให้ จะมอบให้คนอื่นง่ายๆ ไม่ได้”
จู่จื่อหยางยังจะพูดตื๊อต่อ แต่สวี่ป๋อรุ่ยกลับยิ้มบางๆ กล่าวว่า “จู๋จื่อหยาง ห้ามทำให้คนอื่นลำบากใจ วันหน้าหากฝึกตนอยู่ในสำนักเดียวกันต้องระวังไว้ให้มาก”
สำหรับความรู้สึกที่จู๋จื่อหยางมีต่อนักพรตรูปงามซึ่งเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าอารามจางกั่วนับว่าดีไม่น้อย และอีกไม่นานอีกฝ่ายก็อาจจะกลายมาเป็น ‘ศิษย์พี่’ ของตนในอารามจินกุ้ย ดังนั้นจึงยอมปล่อยแม่นางน้อยแห่งอารามแยนจือที่นิสัยนุ่มนิ่มข้างกายผู้นี้ไป
หลิวชิงเฉิงมองนักพรตหนุ่มด้วยสายตาซาบซึ้งใจ ฝ่ายหลังคลี่ยิ้มให้เป็นการตอบรับ
เฉินผิงอันมองเด็กสาวสองคนที่อีกไม่นานก็จะกลายเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาก็ไพล่นึกไปถึงการพบเจอกันในแคว้นไฉ่อีครั้งนั้น ผู้ฝึกลมปราณเด็กสาวคนหนึ่งที่รัดกระพรวนข้อมือข้อเท้าเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ร่วมกันกำจัดปีศาจปราบมารกับเฉินผิงอัน แม้ว่าตบะของนางจะไม่สูง แต่กลับไม่ได้ช่วยให้แย่ยิ่งกว่าเดิม เป็นแม่นางที่มีจิตมุ่งมั่นจะผดุงคุณธรรมของจอมยุทธ์ ภายหลังนางได้กลายเป็นลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพที่ผู้คนอิจฉาตาร้อน และยังมีคู่พี่ชายน้องสาวที่เผชิญกับความทุกข์ยากซึ่งเจอกันครั้งแรกในห้องเก็บฝืนนั่นอีก ตอนนี้เด็กทั้งสองคนก็น่าจะถือว่าเป็นผู้ฝึกตนครึ่งตัวแล้ว
ความมหัศจรรย์ของเรื่องราวบนโลก อยู่ที่การได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี
มาถึงอาราม จู๋จื่อหยางและหลิวชิงเฉิงเด็กสาวผู้โชคดีสองคนก็ถูกนักพรตหนุ่มพาไปยังที่พักอาศัย ส่วนนักพรตน้อยก็ติดตามเหล่าศิษย์พี่เอาร่มกิ่งกุ้ยไปเก็บ สิ่งของเหล่านี้ล้ำค่าอย่างมาก หากยินดีขายให้คนด้านล่างภูเขา ได้ยินอาจารย์อาน้อยบอกว่าสามารถขายได้ราคาสูงเทียมฟ้าหลายพันตำลึง ไม่เสียแรงที่เป็นกิ่งกุ้ย ‘เยว่กง’ (ตำหนักที่อยู่ในดวงจันทร์ซึ่งเล่าลือกันตามตำนาน แล้วก็เป็นคำเรียกแทนพระจันทร์ด้วย) ที่ตัดมาจากกิ่งของต้นกุ้ยบรรพบุรุษ นักพรตน้อยคิดจินตนาการไปไกล ร่มกิ่งกุ้ยหนึ่งคันก็มีมูลค่ามากขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นหากเอาต้นกุ้ยหกต้นไปขาย ภูเขาชิงเย่าของพวกตนจะไม่กลายเป็นภูเขาเงินภูเขาทองลูกหนึ่งเลยหรือ?
สวี่ป๋อรุ่ยพาพวกเฉินผิงอันเดินผ่านอารามที่เงียบสงบขนาดไม่ใหญ่นักไปยังประตูด้านหลัง แล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ ฟ้าใสหลังฝนตกทำให้การมองเห็นแจ่มชัดและเปิดกว้าง สามารถมองเห็นต้นกุ้ยสูงใหญ่ที่มีอายุเก่าแก่เหล่านั้นได้ว่ามีใบเขียวครึ้มดก ต้นหนึ่งในนั้นสูงชะลูดเสียดฟ้า ต้นกุ้ยโบราณทุกต้นต่างก็มีชื่อเป็นของตัวเอง สวี่ป๋อรุ่ยแนะนำไปทีละต้น บอกว่ามียอดฝีมือบนภูเขาคนใดที่เอ่ยคำทำนายทายทักแก่ต้นใดบ้าง เขาพูดอย่างกระชับได้ใจความ แต่กลับไม่ขาดความน่าสนใจ
ระหว่างต้นกุ้ยคือทางที่ปูด้วยแผ่นหินสีเขียวยาวคดเคี้ยว ใต้ร่มไม้มีโต๊ะและม้านั่งหิน บนหน้าโต๊ะหินใต้ต้นกุ้ยบรรพบุรุษยังถูกทางอารามแกะสลักเป็นรูปกระดานหมากล้อม สวี่ป๋อรุ่ยหยุดพักอยู่ตรงนี้ครู่หนึ่ง เขาใช้นิ้วปาดไปบนตารางหมากล้อมบนผิวโต๊ะ พูดด้วยรอยยิ้มว่าตารางหมากล้อมนี้ไม่ได้แกะจากมีดแกะสลัก แต่เป็นเซียนกระบี่ของต่างถิ่นท่านหนึ่งที่เดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่นี่ได้พ่นปราณกระบี่ของมาหนึ่งคำ ใช้ปราณกระบี่ที่คมกริบมา ‘วัด’ ช่องตาราง นักพรตเต๋าในอารามยังเคยใช้ไม้บรรทัดมาวัดอย่างละเอียด พบว่าระหว่างเส้นแนวตั้งและแนวนอนล้วนมีขนาดเท่ากันเป๊ะ ไม่ต่างกันเลยแม้แต่นิดเดียว นี่แสดงว่าเซียนกระบี่ท่านนั้นอย่างน้อยต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง หรืออาจจะเป็นถึงเซียนกระบี่ก่อกำเนิดท่านหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปที่ไม่ชอบปรากฎตัวในโลกก็เป็นได้
กล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของสวี่ป๋อรุ่ยมีชีวิตชีวาสดใส ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ในอารามของพวกเรามีผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ต้องการสืบเสาะให้รู้ให้ได้ว่าเซียนกระบี่ผู้นั้นเป็นใคร เขาเดินทางไปไกลเป็นหมื่นลี้เพื่อไปเยือนศาลลมหิมะ ภูเขาเจินอู่ ภูเขาตะวันเที่ยงและสวนลมฟ้าโดยเฉพาะ ได้พบผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียงมากมาย สุดท้ายได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นเซียนกระบี่ใหญ่หลี่ หลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้า ผู้นำแห่งก่อกำเนิดของแจกันสมบัติทวีปท่านนั้น น่าเสียดายที่หลังจากผู้อาวุโสท่านนั้นย้อนกลับมาที่อารามก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงใจที่จะย้อนกลับไปยังสวนลมฟ้าเพื่อยืนยันเรื่องนี้อีก ร้อยปีหลังจากนั้น นี่จึงกลายเป็นคดีค้างคาที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้”
เฉินผิงอันเอ่ยคล้อยตาม “ข้าเคยมองผ่านภาพวาดตระกูลเซียนบนเรือข้ามฟากลำหนึ่ง เคยได้เห็นเจ้าสวนหลี่แห่งสวนลมฟ้าออกกระบี่กับตาตัวเอง ร้ายกาจอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่หลังจากเจ้าสวนหลี่ชำระแค้นกับภูเขาตะวันเที่ยงได้แล้ว ได้ยินว่าเขาก็หลุดพ้นด้วยคมอาวุธไปแล้ว (หมายถึงการตายซึ่งเป็นการตายที่ใช้คมอาวุธทำให้ตัวเองหลุดพ้น ถูกฆ่าในสงคราม หรือไม่ก็ฆ่าตัวตาย) เพียงแต่ไม่รู้ว่าสวนลมฟ้าจะสามารถตามหาร่างใหม่ที่เซียนกระบี่ท่านนี้ไปจุติ เพื่อจะได้นำพากลับขึ้นเขามาฝึกตน สืบทอดควันธูปต่ออีกครั้งเจอหรือไม่”
สวี่ป๋อรุ่ยกล่าวอย่างตกตะลึง “เซียนกระบี่ใหญ่หลี่ไปจากโลกนี้ด้วยคมอาวุธแล้ว?!”
ดูท่าหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานี้ อารามจินกุ้ยจะไม่สนใจเรื่องทางโลกเลยจริงๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ได้ยินว่าเป็นเช่นนี้ แต่ความจริงเป็นอย่างไร เซียนกระบี่ใหญ่หลี่มีวิชาอภินิหารค้ำฟ้า ข้าไม่กล้าฟันธง ไม่แน่ว่าอาจจะกำลังหาโอกาสฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตหยกดิบอยู่ก็เป็นได้”
หลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้าถือว่าเป็นหนึ่งในสหายบนภูเขาที่น้อยจนนับนิ้วได้ของเฉินผิงอัน
มีครั้งหนึ่งเพื่อเทพธิดาซูเจี้ย หลิวป้าเฉียวยังขี่กระบี่ไล่ตามเรือข้ามฝากของเฉินผิงอันไป ทั้งสองฝ่ายจึงได้พบหน้ากันหนึ่งครั้ง
ดังนั้นเรื่องที่หลี่ถวนจิ่งตายด้วยคมอาวุธ เฉินผิงอันรู้ว่าเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ในฐานะสหายของหลิวป้าเฉียวย่อมไม่สะดวกจะเอามาพูดยืนยันกับคนนอกเพื่อโอ้อวดว่าตัวเองเป็นคนที่รู้เรื่องวงใน
แต่เฉินผิงอันที่เป็นคนรอบคอบจนเกิดความเคยชินพลันค้นพบว่า เมื่อตนหลุดปากพูดคำว่า ‘ขอบเขตหยกดิบ’ ออกมา สายตาของสวี่ป๋อรุ่ยก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
นี่ถึงทำให้เฉินผิงอันตระหนักได้ว่า ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณทุกคนที่รู้ชื่อเรียกของห้าขอบเขตบน หรือถึงขั้นที่ว่าตลอดทั้งชีวิตก็ได้แต่แหงนมองสองคำว่า ‘เซียนดิน’ เท่านั้น
นี่ก็เหมือนกับที่ปีนั้นจูเหอมั่นใจว่าขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธ์ก็คือขอบเขตเก้าขั้นสูงสุด ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะขยับขึ้นไปด้านบนอีกแล้ว
แต่ตอนนี้เฉินผิงอันไม่ได้สนใจข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ทำลายสถานการณ์โดยรวมเหล่านี้อีกแล้ว ท่องอยู่ในยุทธภพ ผูกบุญคุณความแค้นกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ขึ้นเขาชมทัศนียภาพหรือคบค้าสมาคมกับผู้ฝึกลมปราณ หากจะจับทุกจุดไม่ยอมวาง ได้แต่เก็บทุกเรื่องเอาไว้ในใจ กลับจะกลายเป็นว่าไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป การเปิดเผยความลับสวรรค์บางอย่างที่คล้ายคลึงกับเรื่องนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยลดความยุ่งยากไปได้มาก
ชมต้นกุ้ยของอารามจินกุ้ยที่เซียนเป็นผู้ปลูกเหล่านี้แล้ว การเดินทางมาเที่ยวชมอารามก็ปิดฉากลง ณ บัดนี้ สวี่ป๋อรุ่ยพาพวกเฉินผิงอันมาส่งที่ประตูใหญ่หน้าอารามอีกครั้ง เชื้อเชิญพวกเขาด้วยความจริงใจว่าให้มาชมพิธีที่นี่ในวันมะรืน เขาจะช่วยจัดหาที่นั่งเอาไว้ให้ เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณแล้วก็เดินลงไปที่กึ่งกลางภูเขา เดินออกมาได้ประมาณร้อยกว่าก้าว สวีหย่วนเสียก็หันกลับไปมองนักพรตที่ยังไม่ยอมหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในอารามเสียที ยังคงมองส่งพวกเขาจากไป สวีหย่วนเสียหันกลับมา พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “นักพรตสวี่คนนี้เป็นคนมีใจมุ่งมั่น วันหน้าย่อมต้องมีชีวิตอยู่ในอารามจินกุ้ยได้ไม่เลว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตระกูลเซียนบนภูเขา ถึงอย่างไรก็จำเป็นต้องมีคนเป็นหน้าเป็นตาที่สามารถรับรองคนได้ไม่ขาดตกบกพร่องอยู่คนหนึ่ง”
จางซานเฟิงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่านึกถึงสำนักของตัวเอง ออกมาท่องยุทธภพอยู่ข้างนอกหลายปี ทำให้เริ่มคิดถึงจมูกที่มีคราบสุราและเสียงกรนดังสนั่นดุจเสียงฟ้าผ่าของอาจารย์บ้างแล้ว
หากไม่เป็นเพราะได้พบเจอเฉินผิงอันและสวีหย่วนเสีย เกรงว่าเทียนซือต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ยังไม่ได้เข้าทำเนียบวงศ์ตระกูลผู้นี้คงเดินทางกลับอุตรกุรุทวีปอย่างหม่นหมองไปนานแล้ว
มาถึงเรือนพักขนาดใหญ่ที่พรรคต้าเจ๋อสร้างขึ้นก็มีพ่อบ้านท่าทางเฉลียวฉลาดมากความสามารถคนหนึ่งมายืนรออยู่ตรงหน้าประตูใหญ่นานแล้ว เขาเบี่ยงตัวน้อยๆ ค้อมเอวลงต่ำนำทางพาพวกเฉินผิงอันไปยังที่พัก
บทที่ 380.3 ลางบอกเหตุ
หลังจากที่พวกเฉินผิงอันเข้าพักยังที่พักของตัวเองแล้ว
ในเรือนที่เงียบสงบหลังหนึ่งซึ่งอยู่ลึกเข้าไปยิ่งกว่าต้นกุ้ยที่อยู่ด้านหลังของอารามจินกุ้ย สวี่ป๋อรุ่ยยืนอยู่กลางลานบ้านอย่างนอบน้อม
ระเบียงใต้ชายคากว้างขวางมากทั้งยังสะอาดเอี่ยม ด้านล่างบันไดมีรองเท้าไม้เกี๊ยะสามคู่ถอดวางอยู่ นักพรตเฒ่าที่มีกลิ่นอายของเซียนก็คือเจ้าอารามจางกั่ว ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร
และยังมีแขกอีกสองท่านที่ออกหน้า ‘ช่วยเหลืออย่างมีคุณธรรม’ กำราบเหล่าคนชั่วที่คิดร้าย และอันที่จริงพวกเขาทั้งสองต่างก็มีความเกี่ยวข้องกับเฉินผิงอัน
เจียงอวิ้นชายหนุ่มร่างกำยำ เหวยเลี่ยงผู้บัญชาการใหญ่ของแคว้นชิงหลวน
เวลานี้คนทั้งสามนั่งล้อมโต๊ะตัวหนึ่ง ต่างคนต่างกำลังกินบะหมี่เจใส่หน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิ เห็ดภูเขา บวกกับผักป่าอีกสองสามชนิดที่ขึ้นบนภูเขาช่วงฤดูใบไม้ผลิ หมี่กึงคั่วน้ำมันกับน้ำแกงตุ๋นด้วยไฟอ่อนหนึ่งถ้วย กลิ่นหอมของอาหารตลบอบอวลไปทั่ว
สวี่ป๋อรุ่ยเล่าความรู้สึกที่ตนเองมีต่อคนกลุ่มของเฉินผิงอันให้ฟังคร่าวๆ แล้ว เจ้าอารามจางกั่วก็ยิ้มแล้วบอกให้ลูกศิษย์ผู้นี้กลับไปพักผ่อน
นักพรตเฒ่าเอ่ยถาม “เป็นความบังเอิญ หรือว่าพวกเขาสืบสาวเบาะแสจนตามมาพบที่นี่?”
เหวยเลี่ยงคิดแล้วตอบว่า “น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญกระมัง หากไม่เป็นเพราะสวี่ป๋อรุ่ยหน้าใหญ่ ป่านนี้คนกลุ่มนี้คงไปดักอยู่ที่หน้าประตูจวนข้าแล้ว”
เหวยเลี่ยงหันหน้าไปมองเจียงอวิ้น “ดูจากสีหน้าของเจ้าที่เปลี่ยนไปก่อนหน้านี้ หรือว่ารู้จักคนผู้นี้?”
เจียงอวิ้นพยักหน้ารับ “เขาเป็นคนของถ้ำสวรรค์หลีจู ครั้งแรกที่พบหน้ากันยังเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง หลายปีที่ผ่านมากลับเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดินจนข้าแทบจำเขาไม่ได้ นิสัยเขาไม่เลว แต่ข้าคาดเดาเอาว่าคนผู้นี้น่าจะเกี่ยวพันกับหลายเรื่อง ก่อนหน้านี้ได้เจอกันที่ท่าเรือหางผึ้งแล้ว แต่ข้าก็ยังไม่กล้าพูดคุยกับเขามากนัก”
เหวยเลี่ยงยิ้มกล่าว “ในเมื่อเป็นคนที่เกิดและเติบโตมาในถ้ำสวรรค์หลีจูก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอก”
สำหรับเรื่องนี้เจียงอวิ้นไม่มีความเห็นต่าง
คนต่างถิ่นที่หิ้วเงินเหรียญทองแดงแก่นทองไปหาโชควาสนาอย่างพวกเขา อันที่จริงยังเทียบไม่ได้กับคนในพื้นที่ที่นั่งรอให้โชควาสนาหล่นลงมาใส่หัวเลยด้วยซ้ำ
แต่เขาก็ถือว่าเป็นคนต่างถิ่นที่ค่อนข้างโชคดี สามารถนำโซ่ตรวนมังกรเส้นนั้นกลับมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้ นี่คือความน่ายินดีที่ใหญ่เทียมฟ้า ด้วยตบะของอาจารย์เขาก็ยังรู้สึกตื่นตะลึงเป็นเท่าตัว ดีใจเป็นล้นพ้น ยิ้มพูดว่าไม่แน่ว่าตนอาจช่วงชิงโชคชะตาของสกุลเจียงอวิ๋นหลินไปไม่น้อยถึงได้เจอกับโชควาสนาที่ใหญ่ถึงเพียงนี้ ตอนนั้นเขาหมายตาโซ่เหล็กที่ห้อยย้อยอยู่เหนือปากบ่อของถ้ำสวรรค์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น พอได้มาอยู่ในมือ อาจารย์ก็ไปหาสหายมาให้ช่วยวิเคราะห์ตรวจสอบ ผลสรุปที่ได้ก็คือ อย่างน้อยก็ต้องเป็นของตกทอดที่ล้ำค่าของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตเซียนเหริน หลังจากคลายตราผนึกเวทลับทั้งหมดแล้วก็จะถือว่าเป็นอาวุธกึ่งเซียนของจริงชิ้นหนึ่ง
เล่าลือกันว่าระดับขั้นที่สูงที่สุดของโซ่พันธนาการมังกรเส้นนี้เรียกว่าโซ่สังหารมังกร พลานุภาพเหนือกว่าข้องราชามังกรที่สามารถกักขังเจียวหลงเซียนดินในยุคบรรพกาลเสียอีก ขอแค่ผู้ฝึกตนใหญ่โยนมันออกไปก็สามารถรัดพันเจียวหลงได้อย่างง่ายดาย สะบัดข้อมือหนึ่งครั้งก็สามารถถลกหนังดึงเส้นเอ็นของเจียวหลงได้คาที่ จนกระทั่งเหลือเพียงโครงกระดูกและไข่มุกหนึ่งเม็ดเท่านั้น
ทว่าโชควาสนาที่ใหญ่ที่สุดของถ้ำสวรรค์หลีจูยังคงไม่ใช่พวก ‘วัตถุไร้ชีวิต’ เหล่านี้
แต่เจ้าตัวน้อยทั้งห้านั้นไม่ใช่ว่าใครที่ขุดดินลึกลงไปสามฉื่อแล้วจะหาเจอได้ ได้แต่อาศัยโชคชะตาฟ้าลิขิตเท่านั้น
แม้แต่หน้าของพวกมัน เจียงอวิ้นยังไม่ได้เห็นสักครั้ง
นักพรตผู้เฒ่าจางกั่ววางตะเกียบลง ตบท้อง “เลี่ยงกินธัญพืชมานานหลายปี เพื่อรับรองแขกผู้มีเกียรติอย่างเจ้าทั้งสองจึงยอมแหกกฎหนึ่งครั้ง รู้สึกไม่เลวเลยทีเดียว”
จางกั่วยิ้มตาหยีถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เหวย ครั้งนี้อารามจินกุ้ยออกแรงไปตั้งมาก ทั้งเปิดภูเขารับลูกศิษย์ ทั้งจงใจเปิดเผยความลับที่ว่าต้นกุ้ยบรรพบุรุษของสำนักข้าสามารถนำมาหลอมเป็นอาวุธกึ่งเซียน เพื่อล่อให้พวกคิดร้ายปะปนเข้ามา ถึงได้ปิดประตูตีสนัข ช่วยแคว้นชิงหลวนของพวกเจ้าสังหารผู้ฝึกตนจากต่างถิ่นไปได้หลายสิบคน ฮ่องเต้สกุลถังไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรบ้างหรือ?”
เหวยเลี่ยงยิ้มกล่าว “แสดงความคิดเห็น? มีสิ นี่ข้าก็นั่งกินบะหมี่เจอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ?”
จางกั่วยื่นนิ้วมาชี้หน้าเหวยเลี่ยง “ปีนั้นบุรพาจารย์ของอารามว่าไว้ไม่ผิดเลย เจ้าคนขี้เหนียว! มิน่าเล่าถึงได้บอกไว้ว่าให้อารามจินกุ้ยคบค้าสมาคมกับจวนผู้บัญชาการให้น้อยๆ หน่อย ”
เหวยเลี่ยงยังกินบะหมี่เจเหลืออีกครึ่งชาม แต่เขากลับวางตะเกียบลงแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าถูกชายร่างกำยำแย่งเอาชามไป เหวยเลี่ยงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น พูดกับเจ้าอารามจางกั่วว่า “เจ้ารู้จักพอซะเถอะ เมื่อแรกเริ่มที่อารามจินกุ้ยถูกสร้างขึ้นก็ไม่มีควันธูปอะไร ใครเป็นคนเชิญให้หลี่ถวนจิ่งมากินบะหมี่เจที่นี่? และยังมีครั้งนี้อีก คุณชายใหญ่ของสกุลเจียงอวิ๋นหลินก็มาด้วย เจ้าจางกั่วเป็นคนเชิญมาเองงั้นรึ? แค่บะหมี่เจชืดๆ ถ้วยหนึ่ง ต่อให้เจ้ายกมาวางไว้ตรงหน้าคนเขา เจียงอวิ้นจะยังเต็มใจจับตะเกียบขึ้นหรือไร?”
เจียงอวิ้นก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ พูดอย่างไม่ไว้หน้าเหวยเลี่ยง “แค่ตะเกียบคู่เดียวก็พอ แต่เอาบะหมี่มาหลายๆ ชามหน่อย”
จางกั่วหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง อารมณ์ดีอย่างยิ่ง
ในความทรงจำของเขา ลูกหลานสกุลเจียงอวิ๋นหลินแต่ละคนเย่อหยิ่งไม่เห็นหัวใคร ผู้ฝึกตนหนุ่มที่ชื่อว่าเจียงอวิ้นผู้นี้กลับต่างออกไป ในเมื่อเดินทางมาพร้อมกับเหวยเลี่ยง อีกทั้งยังสนิทสนมกันมาก ก็น่าจะไม่ได้มีชาติกำเนิดมาจากสกุลเจียงสายรอง แบบนี้ก็น่าสนใจแล้ว
เหวยเลี่ยงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “จางกั่ว นังหนูจากเรือนแยนจือผู้นั้น วันหน้าคงต้องรบกวนให้เจ้าช่วยดูแลให้มาก”
จางกั่วยิ้มมีเลศนัย “มีดตัดกระดาษ ‘จุ้ยเอ่อร์’ ที่ห้อยอยู่ตรงเอวของนังหนู น่าจะเป็นของที่ปีนั้นเจ้ามอบให้บุรพาจารย์หญิงบางคนของเรือนแยนจือกระมัง?”
เหวยเลี่ยงถอนหายใจหนึ่งที
จางกั่วไม่คิดได้คืบจะเอาศอก เรื่องราวความรักความแค้นระหว่างชายหญิงเหล่านี้ อันที่จริงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางทุกคนล้วนต้องมีกันมาบ้างไม่มากก็น้อย ย้อนกลับมาดูก็เป็นเพียงแค่หมอกควันที่ลอยผ่านตาไปเท่านั้น
แค่ต้องดูที่ว่าผู้ฝึกตนคนนั้นจะเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนหรือไม่
บุญคุณความแค้นล่างภูเขาในอดีต เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้กลายเป็นตระกูลเซียนแล้ว สถานการณ์จะซับซ้อนอย่างยิ่ง
ผู้ฝึกตนจดจำความแค้น ผ่านไปร้อยปีก็ยังเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ มักจะมีตระกูลชนชั้นสูงของบางพื้นที่ที่อยู่ดีๆ ก็มีหายนะพุ่งมาเยือน อยู่ดีๆ ก็เจอกับภัยพิบัติที่ไม่คาดฝัน และส่วนใหญ่ก็มักจะถูกตัดรากถอนโคนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
ผู้ฝึกตนเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน ถ้าอย่างนั้นลูกหลานรุ่นหลังหลายสิบรุ่นของคนล่างภูเขาบางคน ไม่แน่ว่าอาจได้รับการปกป้องจากร่มเงาของบรรพบุรุษ ได้เสพสุขจากความเมตตากรุณาอยู่ตลอดเวลา ทว่าแม้แต่ตัวพวกเขาเองก็อาจไม่รู้ว่า เหตุใดถึงสามารถหลบพ้นหายนะครั้งแล้วครั้งเล่ามาได้ ราวกับว่ามีมือใหญ่ที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งคอยบังลมบังฝนให้พวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
จางกั่วกล่าว “คนที่มีพรสวรรค์ดีที่สุดคือคุณหนูน้อยของพรรคต้าเจ๋อ หลานสาวของจู๋เฟิ่งเซียน ตอนนี้เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามแล้ว นางน่าจะเป็นคนเดียวที่มีคุณสมบัติในการเป็นเซียนดิน คนที่เหลืออีกเจ็ดคนสิบคน คนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดก็มีแค่แม่นางน้อยจากเรือนแยนจือที่เป็นขอบเขตถ้ำสถิต อย่างมากก็แค่มีหวังว่าจะเป็นขอบเขตชมมหาสมุทร ถ้าอย่างนั้นหากไม่นับจู๋จื่อหยางและหลิวชิงเฉิง อีกเจ็ดคนที่เหลือ ข้าว่าไม่มีสักคนที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลาง”
เหวยเลี่ยงกับเจียงอวิ้นพูดขึ้นพร้อมกัน “ไม่แน่เสมอไปหรอก”
จางกั่วดวงตาเป็นประกาย “คือคนไหน?!”
เหวยเลี่ยงเพียงคลี่ยิ้มเฉย
เจียงอวิ้นเงยหน้าขึ้น ไม่ได้ให้คำตอบเช่นกัน แต่เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นโดยถามว่า “จะไม่จัดการปีศาจเผ่าพันธุ์วัวดินตัวนั้นหน่อยหรือ? เจ้าอยากรับมันมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ จะได้ให้มันรับหน้าที่เป็นพาหนะขององค์เทพขุนเขาเหนือแคว้นชิงหลวนของพวกเจ้า?”
เหวยเลี่ยงส่ายหน้า “ช่างเถิด เรื่องบุญวาสนาได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน อันที่จริงทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือได้พูดกับข้ามานานแล้วว่า วัวดินตัวนี้มองดูเหมือนอ่อนโยนว่าง่าย ทว่าแท้จริงแล้วนิสัยกลับดุร้าย ปีศาจขอบเขตประตูมังกร ใครเล่าจะยินดีถูกพันธนาการอยู่ในภูเขาลูกหนึ่ง เป็นได้แค่พาหนะให้องค์เทพขุนเขาเหนือท่านหนึ่งขี่อยู่บนร่างไปชั่วชีวิต นี่คือจุดจบที่ไม่อาจพลิกเปลี่ยนได้ตลอดกาล หากไปกระตุ้นนิสัยดุร้ายของมัน คาดว่าสำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำของขุนเขาเหนือแล้วจะเป็นภัยมากกว่าโชค”
จางกั่วจุ๊ปากพูด “หากปีศาจตนนี้สามารถนั่งบัญชาการณ์ภูเขาชิงเย่าของข้าผู้เป็นนักพรตกลับจะเป็นเรื่องดีที่ต่างคนต่างได้ผลประโยชน์ อย่างมากก็แค่สองฝ่ายเสมอภาคกัน อารามจินกุ้ยจะบูชามันดุจผู้พิทักษ์ขุนเขา ผู้บัญชาการใหญ่เหวย เจ้าคิดว่าได้หรือไม่?”
เหวยเลี่ยงยังคงส่ายหน้า สายตาฉายประกายลึกล้ำ ยิ้มบางๆ เอ่ยเตือนว่า “ทางที่ดีที่สุดเจ้าอย่าไปมีเรื่องกับเฉินผิงอันผู้นั้นจะดีกว่า หลังออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูก็มีความเป็นไปได้มากว่าคนผู้นี้จะกลายเป็นลูกศิษย์ของยอดฝีมือสำนักนิติธรรมบางคน เจ้าควรจะรู้วิธีการจัดการเรื่องราวของลูกศิษย์สำนักนิติธรรมพวกเราดี บนภูเขาและล่างภูเขา ล้วนปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม”
จางกั่วมีสีหน้าจนใจ “ทราบแล้ว ก็สี่ผีใหญ่บนภูเขาที่รับมือได้ยากนี่นะ ผู้ฝึกกระบี่ผายลมสุนัข คนเชื่อดาบสำนักโม่ นักพรตเรือนซือเตา สุดท้ายก็คือลูกศิษย์สำนักนิติธรรมที่ไร้เหตุผลที่สุดอย่างพวกเจ้า”
เหวยเลี่ยงยิ้มกล่าว “พวกเราไร้เหตุผล?”
จางกั่วรู้สึกร้อนตัว รีบยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นทำไมผู้บัญชาการใหญ่เหวยอย่างเจ้าถึงไม่ไปพูดคุยกับปีศาจวัวสีเหลืองด้วยเหตุผลล่ะ?”
เหวยเลี่ยงตอบอย่างเฉยเมย “กฎหมายในโลก มีคนเป็นรากฐาน”
……
ในห้องหนังสือของเฉินผิงอัน เผยเฉียนกำลังคัดตัวอักษร
จางซานเฟิงที่อยู่ในห้องด้านข้างกำลังตั้งใจฝึกบำเพ็ญตน
นักพรตหนุ่มจากอุตรกุรุทวีปผู้นี้บอกว่าพรสวรรค์ของตัวเองธรรมดา ปีนั้นอาจารย์ก็แค่สงสารที่เขาไม่มีที่ไปถึงได้ฝืนใจรับเขาไว้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย อีกทั้งบนเส้นทางการฝึกตนหลังจากนั้นก็พิสูจน์ให้เห็นว่าสายตาของอาจารย์เขาไม่แย่เลยสักนิด จางซานเฟิงมีพัฒนาการเชื่องช้าอย่างแท้จริง ตอนนี้ก็ยังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางสักที เพียงแต่ว่าสภาพจิตใจของจางซานเฟิงเข้มแข็งแน่วแน่ ไม่เคยย่อท้อมาก่อน มีบางครั้งที่ผิดหวังบ้าง แต่ก็แค่ผิดหวังกับเรื่องที่ความสามารถในการกำจัดปีศาจปราบมารของตนไม่มากพอ ในเรื่องนี้เขามีท่าทีเหมือนกับเฉินผิงอันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ก็แค่เดินไปบนเส้นทางใต้ฝ่าเท้าของตัวเอง ขอแค่ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นก็ไม่ต้องพูดถึงว่าพรสวรรค์ดีหรือแย่แล้ว ถึงอย่างไรก็สามารถเดินไปได้อย่างหนักแน่นและมั่นคง
ฐานกระดูกพรสวรรค์ของผู้ฝึกลมปราณมีความพิถีพิถันอย่างมาก ความมหัศจรรย์นั้นอยู่ที่สองคำว่า ‘ก่อนกำเนิด’ ถ้ำสถิตที่แต่ละคนบุกเบิกก่อสร้างมีแบ่งเล็กใหญ่ เป็นตัวตัดสินว่าจะบรรจุปราณวิญญาณได้มากหรือน้อย นอกจากนี้ความเร็วในการดึงดูดปราณวิญญาณก็มีแบ่งช้าเร็ว ในด้านความช้าเร็วนี้ยังมีความต่างด้านระดับความบริสุทธิ์ของปราณวิญญาณที่ถูกหล่อหลอมด้วย จะเป็นธารน้ำไหลเอื่อยๆ ที่น่าสงสาร หรือเป็นแม่น้ำลำคลองที่ไหลซัดบ่าอย่างน่าตกตะลึง จากนั้นถึงจะมีคุณสมบัติให้ไปพิถีพิถันในเรื่องความสูงต่ำของภาพบรรยากาศในห้องโอสถ รวมไปถึงระดับขั้นของทารกที่ก่อกำเนิดในอนาคต
ทุกวันนี้เฉินผิงอันมักจะฝึกกระบวนท่าฟ้าดินที่ต้องทำท่าทางประหลาดใช้นิ้วยันพื้นอยู่บ่อยๆ แต่ฝึกมานานขนาดนี้ เฉินผิงอันก็พอจะใคร่ครวญจนได้เคล็ดลับบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นฝึกสามท่าของหมัดเขย่าขุนเขาในเวลาเดียวกัน ใช้ท่าฟ้าดินเดินนิ่งหกก้าว จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งทำมุทรากระบี่ ระหว่างนี้ยังโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดไปด้วย
นี่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป
เพียงแต่ว่าก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนบางอย่าง เวลาที่เดินอยู่บนเส้นทางเล็กๆ ของป่าเขาที่รอบด้านไร้ผู้คน เฉินผิงอันมักจะ ‘เดินไปเดินมา’ ก็พลัดหลงไปทางอื่น เดินออกจากเส้นทางที่ทุกคนกำลังเดินกันอยู่ บ้างก็ตกลงไปในธารน้ำ หรือไม่ก็สะดุดลงเนิน
ภายหลังยังคงเป็นเผยเฉียนที่คิดวิธีโง่ๆ ออก นางผูกเชือกไว้ที่ปลายด้านหนึ่งของไม้เท้าเดินป่า แล้วก็ผูกปลายอีกข้างหนึ่งไว้บนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอัน เผยเฉียนเดินอยู่ด้านหน้านำทางเฉินผิงอัน แน่นอนว่าทุกวันนี้นางก็ต้องฝึกเดินนิ่งหกก้าวเช่นกัน
หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่เดินตามกันไปอย่างนี้ สมกับคำว่าคนบนเส้นทางเดียวกันอย่างแท้จริง
เวลานี้เฉินผิงอันกำลัง ‘เดิน’ กลับหัววนรอบโต๊ะ
เผยเฉียนคัดตัวอักษรเสร็จแล้ว นางมองดูเฉินผิงอันฝึกท่าฟ้าดินมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังรู้สึกว่าน่าสนใจอยู่ดี
เฉินผิงอันพลิกตัวกลับ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
ตั้งแต่นครมังกรเฒ่ามาจนถึงท่าเรือหางผึ้ง แล้วก็มาถึงอารามจินกุ้ยของแคว้นชิงหลวนแห่งนี้ หลังจากที่โดน ‘หนึ่งกระบี่’ จากเรือกลืนกระบี่ของตู้เม่าแทงทะลุหน้าท้องมา ศักยภาพขอบเขตสามของเขาก็เริ่มฟื้นฟูกลับมาที่ขอบเขตสี่อย่างในปัจจุบัน แต่หากจะให้ขยับเข้าใกล้ขอบเขตห้าขั้นสูงสุดยังจำเป็นต้องอาศัยการเดินนิ่งและเหล้าดองหลอมเล็ก ต้องใช้เวลาฝึกตนอีกไม่น้อย
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อเสียแน่นอนว่าจะถ่วงความเร็วในการเลื่อนสู่ขอบเขตหกไปอีกนาน ข้อดีก็คือรากฐานของขอบเขตห้าจะยิ่งถูกกระชับให้แน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้น
จูเหลี่ยนเคยเอ่ยสัพยอกว่า ต่อให้ไม่ต้องอาศัยวัตถุนอกกาย ทั้งสองฝ่ายใช้สถานะผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเหมือนกัน เฉินผิงอันก็ยังสามารถใช้ขอบเขตห้าขั้นสูงสุดของเขาเอาชนะขอบเขตหกขั้นสูงสุดอย่างพวกเขาสี่คนได้อย่างมั่นคง
สำหรับเรื่องนี้สุยโย่วเปียนพ่นลมออกทางจมูก หลูป๋ายเซี่ยงกลับค่อนข้างเห็นด้วย
ส่วนน้ำเต้าตันอย่างเว่ยเซี่ยนนั้น เวลานั้นมัวแต่พูดพล่ามไร้สาระอยู่กับเผยเฉียน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น