หมอดูยอดอัจฉริยะ 379-380
ตอนที่ 379 ใช้มือเดียวสยบคาราเต้ (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“วิชากังฟูของพวกแก ใช้ไม่ได้แล้ว!”
บรรพบุรุษของคิตะทาโร่ที่จริงแล้วเป็นนักการทหาร ตั้งแต่เด็กเขามักได้ฟังคนแก่พวกนี้เล่าประสบการณ์ที่ได้พบเจอในประเทศจีนเมื่อครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา รู้แต่เพียงว่า จีนเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่และทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งยังมีความภาคภูมิใจในตนเองเป็นอย่างมาก
ที่พูดกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่นดีนั้น นั่นเป็นเพียงแค่ทางการพูดอย่างเป็นทางการเท่านั้น แท้จริงแล้วชาวจีนมากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ไม่เคยยกโทษให้ประเทศเพื่อนบ้านนี้เลย
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงสำหรับชาวญี่ปุ่นหลายคน ทั้งนี้เพราะความสุขและความยินดีที่ได้รับเมื่อได้รับชัยชนะในการรุกราน ทำให้พวกทหารญี่ปุ่นบางคนลืมตัวมีความคิดที่ไม่ดีออกมา
ดังนั้นต่อให้ลูกพี่ลูกน้องของเขา “มิยาโมโตะเคนตะ” ที่เป็นน้องชายพูดยังไง คิตะทาโร่ก็จะไม่ทิ้งโอกาสที่ดีในการลดทอนความเชื่อมั่นของนักศึกษาชาวจีน เขาต้องการแสดงความแข็งแกร่งของชาวญี่ปุ่นให้นักศึกษาพวกนี้ได้เห็น
“เยี่ยเทียน แกลงมา ฉันจะประลองกับเขา แม่ง ใครกลัวใครกันแน่วะ”
เมื่อได้ยินคิตะทาโร่ยั่วยุ สวีเจิ้นหนานก็หุนหันพลันแล่นอีกครั้ง ไม่เพียงแค่เขา แต่สมาชิกของชมรมศิลปะการต่อสู้คนอื่นก็ทยอยส่งเสียงฮือฮาขึ้น
สีหน้าของเยี่ยเทียนมองมาที่คิตะทาโร่ด้วยสีหน้าที่แปลกประหลาด ถามว่า
“นายอยากต่อสู่ต่อจริงๆ หรือ”
ที่จริงสวีเจิ้นหนานไม่ได้ตั้งใจลงมือให้มิยาโมโตะเคนตะได้รับบาดเจ็บ เยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้มีความคิดที่จะมีข้อพิพาทกับพวกเขา แต่ตอนนี้คิตะทาโร่กลับท้าทาย ทำให้ใจของเยี่ยเทียนลุกเป็นไฟขึ้นมา
“แน่นอน พวกนายใช้วิธีที่น่าอับอายเอาชนะลูกพี่ลูกน้องของฉัน ทำไม ตอนนี้ไม่กล้าที่จะประลองแล้วเหรอ”
ถึงแม้คิตะทาโร่จะไม่ได้เรียนวิชาฟันดาบของตระกูล แต่เขาได้คาราเต้ระดับสายดำเจ็ดชั้น เคยได้รับรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันคาราเต้ในประเทศญี่ปุ่น มีประสบการณ์ในการต่อสู้ค่อนข้างเยอะ
ตอนเอเชียนเกมส์ปี 1994 หากยังไม่อายุน้อยเกินไป ก็คงได้เป็นตัวแทนของประเทศญี่ปุ่นเข้าร่วมเอเชียนเกมส์ไปแล้ว ดังนั้นคิตะทาโร่ค่อนข้างที่จะมั่นใจในตัวเอง
เมื่อมองว่าฝ่ายตรงข้ามยั่วยุคนอื่นด้วยคำพูด เยี่ยเทียนพูดขึ้นว่า “ได้ ฉันจะประลองกับนายเอง คงไม่มีปัญหาใช่ไหม”
“นาย……จะเป็นตัวแทนพวกเขาเหรอ” คิตะทาโร่ไม่รู้จักเยี่ยเทียนมาก่อน แต่สำหรับเขาแล้ว จะต่อสู้กับใครนั้นไม่สำคัญ แค่อยากให้คนจีนรับรู้ถึงความพ่ายแพ้อย่างเจ็บปวดก็เป็นพอ
ในสนามนี้นอกจากอวี๋ชิงหย่า เว่ยหรงหรงและสวีเจิ้นหนานแล้ว ไม่มีใครรู้จักเยี่ยเทียนเลย แน่นอนว่าไม่มั่นใจในตัวเขา คนอ้วนจ้ำม่ำคนนั้นตะโกนร้องขึ้นมา “ให้ฉันไปเถอะ”
“นายเหรอ” เยี่ยเทียนส่ายหัว พูดว่า “วิชามวยเส้าหลินถานทุ่ยของคุณ ถึงแม้จะมีพื้นฐานกังฟูที่ดี แต่ประสบการณ์การต่อสู้จริงมีค่อนข้างน้อย ให้ผมต่อสู้เถอะ”
“ทำไมคุณถึงรู้ว่าที่ผมฝึกคือมวยถานทุ่ยล่ะ”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน คนอ้วนจ้ำม่ำถึงกับตกใจกับคำพูดของเยี่ยเทียน ในชมรมการฝึกศิลปะการต่อสู้ไม่มีใครรู้ว่าศิลปะการต่อสู้ที่เขาเก็บไว้เป็นความลับคือวิชามวยเส้าหลินแบบถานทุ่ย
“คุณถึงแม้จะอ้วนไปหน่อย แต่ตอนที่เดินตรงราวกับเชือก ดูออกง่ายมาก”
เยี่ยเทียนยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรมาก การเคลื่อนไหวแบบมวยถานทุ่ยนั้นต้องใช้ความสามารถมาก ปรับประสานให้เข้ากัน ท่วงท่าการต่อสู้เปลี่ยนได้หลายแบบ การโจมตีและการป้องกันได้อย่างรวดเร็ว จังหวะใหม่ที่เห็นได้ชัด หลี่ซั่นหยวนเพื่อเทิดทูนศิลปะการต่อสู้นี้ ก็เคยฝึกให้เยี่ยเทียนในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ศิลปะการต่อสู้ของจีนเป็นที่รู้จักกันดีในนาม “มวยใต้ขาเหนือ” มวยใต้” ในที่นี่ก็คือ “หงฉวน” และ “ขาเหนือ”แน่นอนก็คือ “ถานทุ่ย”
วิชามวยนี้มีต้นกำเนิดจากวัดหลงถานในจังหวัดหลู จึงเรียกว่ามวยถานทุ่ย ในสมัยราชวงศ์หมิง พระอาจารย์ “เซียงจี่”จากวัดเส้าหลินบนภูเขาซงซาน ได้ไปเยี่ยมชมวัดหลงถานที่เมืองลินฉิง ได้พบกับพระอาจารย์ “เยว่กง” ผู้สืบทอดวิชามวย คุนหลุน
พระอาจารย์ทั้งสองได้แลกเปลี่ยนวิชามวยอรหันต์ของเส้าหลินกับวิชาเตะของคุนหลุน บัญญัติวิชามวยขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นอนุสรณ์ในการพบกัน ต่อมาวัดเส้าหลินก็ได้เพิ่มท่ามวยขึ้นอีกสองท่า หลังจากนั้นมาจึงเรียกว่า “วิชามวยเส้าหลินถานทุ่ย”
หลังจากที่ฟังเยี่ยเทียนวิจารณ์ท่ามวยของตัวเอง ใบหน้าของเจ้าอ้วนจ้ำม่ำก็มีสีหน้าที่ไม่แน่ใจขึ้นมา เขาไม่เข้าใจว่าเยี่ยเทียนที่ไม่มีรูปร่างแบบคนที่เรียนศิลปะการต่อสู้เลย จะดูวิชามวยของตัวเองออกได้ยังไง
“พอแล้ว พวกเขาไม่มีใครโต้แย้งแล้ว มาเริ่มการประลองกันเถอะ”
เยี่ยเทียนหันหน้ามามองที่คิตะทาโร่พูดว่า “คาราเต้ญี่ปุ่นเป็นเพียงทักษะที่รวมเอาการโจมตีของจีนบางอย่างมาเล็กน้อย แกมาขอคำแนะนำมวยจีน ก็เหมือนกับนักเรียนที่มาขอคำแนะนำ สั่งสอนจากอาจารย์ ฉันใช้มือสองข้าง จะเป็นการะรังแก แกมากเกินไป เอาอย่างนี้ไหม ฉันใช้มือแค่ข้างเดียวประลองคาราเต้ญี่ปุ่นกับแก!”
เยี่ยเทียนพูดไป ก็เอามือซ้ายของตัวเองไว้ที่ด้านหลัง มือขวาค่อยๆยกขึ้น มองหน้าคิตะทาโร่อย่างยิ้มแย้ม
“อะไรน่ะ ใช้แค่มือเดียวเหรอ”
“นี่ล้อเล่นหรือเปล่า”
“ลูกพี่สวี่ เพื่อนคุณคนนี้เป็นใครกันเหรอ คงไม่ใช่อาจารย์ศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงนั้นใช่ไหม”
คำพูดนี้เมื่อออกมาจากปากเยี่ยเทียน ทันใดนั้นในสนามประลองก็มีระเบิดลง คำพูดนี้ค่อนข้างที่ปลุกปลอบกำลังใจ ใบหน้าของคนในชมรมศิลปะการต่อสู้เต็มไปด้วยอาการตื่นเต้น ต่างทยอยถามที่มาของเยี่ยเทียนจากสวี่เจิ้นหนาน
ส่วนนักเรียนคาราเต้ที่ติดตามมิยาโมโตะเคนตะมา ใบหน้ากลับมีสีหน้าความโกรธแค้นออกมาชัดเจน พฤติกรรมนี้ของเยี่ยเทียน แทบจะเป็นการเหยียดหยามกีฬาที่ยิ่งใหญ่อย่างคาราเต้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถยอมรับได้
คิตะทาโร่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ปริปากด่าว่า “ไอ้สารเลว!”
“ไอ้บ้า แกลองด่าอีกสักประโยคสิ” ทันใดนั้นใบหน้าของเยี่ยเทียนก็เยือกเย็นขึ้นมา การเปลี่ยนใบหน้าอย่างรวดเร็วทำให้ใจของคิตะทาโร่หนาวเย็นไปหมด
“ขอโทษ ที่เสียมารยาท!”
คิตะทาโร่ที่ได้คาราเต้สายดำชั้นเจ็ดมา ไม่ใช่จะได้มาโดยไม่มีอะไร เขาชนะการแข่งขันนับไม่ถ้วน มีความสามารถในการควบอารมณ์ได้ดี หลังจากที่ระเบิดความโกรธออกมา ก็รีบรวบรวมสภาพจิตใจ และโค้งคำนับเยี่ยเทียน
“แม่ง พวกญี่ปุ่นราคาถูก พูดคุยดีๆกับพวกที่พาลหาเรื่อง พอโกรธหน่อยก็มาอ่อนข้อซะงั้น” เยี่ยเทียนคิดว่าที่ คิตะทาโร่ทำให้ตัวลงสบลงเป็นเพราะว่ากลัวเขา
ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่เยี่ยเทียนมีสีหน้าที่นิ่งสงบ รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ คิตะทาโร่ก็มีสีหน้าที่ดูระมัดระวังขึ้นมา เขาก็หยิบผ้าผืนหนึ่งในกระเป๋ามารัดไว้ที่หน้าผาก หลังจากนั้นก็ตั้งท่าป้องกันตัวของคาราเต้อยู่ตรงกลางสนาม
ความอวดดีบ้าระห่ำของคิตะทาโร่ก็มาจากความยั่วยุโมโหของฝ่ายตรงข้าม แต่ท่าทางที่แสดงออกมา ทำให้ทั้งตัวเขาเปลี่ยนท่าทีที่สุขุมขึ้นมา ไม่มีท่าทีว่าจะลงมีก่อนสักนิด
“มาเถอะ คาราเต้โจมตีหนักป้องกันน้อย ถ้าฉันลงมือก่อน แกก็จะไม่มีโอกาสแล้วนะ”
เยี่ยเทียนยื่นนิ้วออกมานิ้วหนึ่ง ไปกระตุ้นคิตะทาโร่ ใช้ท่าทางที่คิตะทาโร่ดูถูกสวีเจิ้นหนานย้อนกลับไปที่ตัวเขา
เมื่อเป็นแบบนี้ คิตะทาโร่ก็รักษาความสงบของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป ทำผิดพลาดโดยขยับเท้าและร่างกายพุ่งมาที่ข้างหน้าของเยี่ยเทียน ฝ่ามือขวาชิดกัน ฟันไปที่ใบหน้าของเยี่ยเทียน พร้อมกับเปล่งเสียง “โฮ” ออกมา
คาราเต้เป็นกีฬาการโจมตีที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างพละกำลังและทักษะ ฝ่ามือของคิตะทาโร่นี้ สามารถทุบก้อนอิฐ สิบสองก้อนให้แตกกระจายได้
ถึงแม้ในตอนนั้นเขาจะไม่ออกแรงไปทั้งหมด แต่ถ้าโจมตีถูกเยี่ยเทียนแล้ว แน่นอนว่าภายในพริบตาจะทำให้เยี่ยเทียนหมดโอกาสในการต่อสู้ และยังจะได้รับการบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรงด้วย
“อะไร หนะ!”
เมื่อเห็นฝ่ามืออันดุเดือดของคิตะทาโร่ผู้คนที่ล้อมรอบในสนามก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงออกมาพร้อมกับเสียงร้องของคิตะทาโร่ พลังฝ่ามือนี้มีความรุนแรงไม่น้อยไปกว่าที่ พัคจุนฮีโจมตีหลี่เฟิงให้แพ้อย่างราบคาบเลย
“หืม”
เมื่อมองไปที่ฝ่ามือของคิตะทาโร่ เยี่ยเทียนส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชาออกมา ตัวไม่ขยับ ยกมือขวาที่หน้าอกขึ้นมาป้องกันไหล่ไว้
เมื่อฝ่ายตรงข้ามฟันมือลงมาเกือบจะถูกหน้าเขา เยี่ยเทียนใช้นิ้วมืขวาปาดไปที่สันข้อศอกของคิตะทาโร่ ฝ่ามือของ คิตะทาโร่เดิมที่เต็มไปด้วยพลังก็อ่อนลง ฝ่ามือตกลงมา
ปฏิกริยาตอบโต้ของคิตะทาโร่ นั้นรวดเร็วมาก เขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าเยี่ยเทียนบล็อกท่านี้ของเขาได้ยังไง ขาซ้ายกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง ร่างกายของเขานั้นลอยตัวกลางอากาศ และเข่าขวาของเขากระแทกโดนไหล่ของเยี่ยเทียนอย่างแรง
“โยนเข่าขึ้นบนเหรอ? เป็นเทคนิคของประเทศไทย ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไม่มีวัฒนธรรมเป็นจองตัวเองเลยเลย”
ในสายตาของคนอื่น การเคลื่อนไหวของคิตะทาโร่นั้นต่อเนื่องกันตลอด ไม่มีการหยุดกระทันหันระหว่างกลางเลย แต่ในสายตาของเยี่ยเทียน คิตะทาโร่กลับเปิดเผยจุดอ่อนออกมามากมาย แถมมีเวลาในการพิจารณาท่าทางของอีกฝ่ายด้วย
ถึงแม้จะเป็นการเผชิญหน้ากับการโจมตีที่รุนแรงของฝ่ายตรงข้าม ร่างของเยี่ยเทียนก็ยังไม่ขยับเช่นเดิม มือขวาที่กำลังใช้ป้องกันหัวไหล่ทันใดนั้นก็งอเข้า ใช้นิ้วชี้จี้ไปที่หัวเข่าของคิตะทาโร่
ท่านี้ของเยี่ยเทียนไม่เพียงเหนือการคาดหมายของทุกคน คิตะทาโร่เองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน เข่าหนึ่งที่พร้อมจะออกไปกระแทกกับอีกคนที่ใช้นิ้วที่เปราะบาง ทั้งสองอย่างนี้ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลย
เมื่อเข่าสัมผัสกับนิ้วชี้ ทุกคนรวมถึงคิตะทาโร่เองคิดว่าตอนนั้นนิ้วของเยี่ยเทียนคงหักไปแล้ว ทันใดนั้นเองร่างของคิตะทาโร่ก็ลอยไปบนอากาศ จากนั้นก็ตกลงมาบนพรมอย่างหนัก
“เกิดอะไรขึ้น”
“ทำไมถึงตกลงมาได้เหมาะเหม็ง พอดีขนาดนั้นล่ะ!”
“คนญี่ปุ่นคนนั้นเหมือนจะท่าทางดี แต่ก็ทำอะไรไม่ได้งั้นเหรอ”
การเปลี่ยนอย่างฉับพลันแบบทำให้คนในชมรมศิลปะการต่อสู้ถึงกับประหลาดใจ พากันหัวเราะเยาะคิตะทาโร่ ความอับอายต่อการพ่ายแพ้ของหลี่เฟิงเมื่อครู่ได้หายไปแล้ว
“ไอ้สารเลว!”
คิตะทาโร่ที่ล้มลงกับพื้นไม่ได้รับบาดเจ็บ รีบลุกขึ้นมา สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความดุร้าย จ้องมาที่เยี่ยเทียน
“ฉันบอกแกไปแล้ว ทำไมแกถึงไม่จำมันให้ดีหน่อย”
เยี่ยเทียนรู้อยู่แล้วว่า เมื่อครู่ที่เขาใช้นิ้วจี้ไปที่ต้นขาของคิตะทาโร่ ทำให้เขาไม่สามารถปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาได้ แสดงออกมาให้เห็นว่าเขาไม่คิดทำร้ายคิตะทาโร่ และปล่อยเขาไป
ใครจะรู้ว่า คิตะทาโร่ จู่ๅ ก็ด่าคนขึ้นมา นี่ทำให้เยี่ยเทียนในใจเต็มไปด้วยความโกรธ คนจีนเกลียดที่สุดคือที่ถูกคนญี่ปุ่นด่าเป็นภาษาตัวเอง
คิตะทาโร่ไม่ได้ตอบเยี่ยเทียน กลับลุกขึ้นมาอีกครั้งปัดตามเนื้อตัวอย่างรวดเร็วด้วยมือที่เคยใช้โจมตีหัวของเยี่ยเทียน
หลังจากที่ถูกบล็อกจากเยี่ยเทียน คิตะทาโร่ก้าวออกมาครึ่งก้าวเล็กๆ ทันใดนั้นก็ใช้ขาขวาเตะไปที่หว่างขาของเยี่ยเทียนอย่างเงียบๆ
การเลือกท่าของคิตะทาโร่ในครั้งนี้ กลับไม่ใช่วิชาของคาราเต้ แต่เป็นเคล็ดลับการโจมตีของตระกูลคิตะมิยะที่ได้รับการถ่ายทอดมา
คิตะทาโร่ได้ฝึกวิชานี้มาตั้งแต่ยังเด็ก จนกระทั่งสามารถใช้เท้าทุบก้อนอิฐสีครามสี่ห้าก้อนให้แตกได้ ใช้ในการต่อสู้เพื่อทำให้คนพ่ายแพ้ ทำให้บาดเจ็บถึงตาย ถือว่าเหี้ยมโหดมาก
“แม่ง ยังกล้าพูดว่าพวกเราไม่มีคุณธรรมในการต่อสู้ งั้นเหรอ”
ตอนที่คิตะทาโร่เลือกใช้ท่านี้ เขาอยู่ห่างจากเยี่ยเทียนยี่สิบสามสิบเซนติเมตร เยี่ยเทียนรู้สึกถึงลมเย็นที่มาจากภายในต้นขาของเขา
……
ตอนที่ 380 ใช้มือเดียวสยบคาราเต้ (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
การใช้มือโจมตีของคิตะทาโร่นั้นเป็นที่คาดเดาได้ แต่การเตะครั้งนี้เป็นการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและการที่เขาเปลี่ยนท่าอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ถ้าหากการประลองครั้งนี้คู่มือของเขาเปลี่ยนเป็นจ้าอ้วนจ้ำม่ำที่ประสบการณ์ไม่พอ ต้องเตะเข้าเป้าแน่นอน
แต่สำหรับเยี่ยเทียนที่ฝึกวิชามาถึงระดับนี้แล้ว ยังมีระยะห่างของความแข็งแรงที่ไม่สามารถการแอบโจมตีหรือใช้เทคนิคใด ๆ ใด้
สำหรับเยี่ยเทียนแล้ว คิตะทาโร่เปรียบเสมือนเด็กที่เพิ่งหัดเดิน ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็ไม่รอดจากปฏิกิริยาของพลังชี่ของเขา แม้แต่ตอนที่คิตะทาโร่ถอยออกไป เยี่ยเทียนก็รู้แล้วว่าต่อไปเขาจะทำอะไร
มองไปที่ขาข้างที่กำลังจะไปกระทบที่เป้ากางเกง ใบหน้าของคิตะทาโร่แฝงไปด้วยรอยยิ้มที่เยือกเย็น
ไม่เหมือนการเตะอย่างสะเปะสปะของสวีเจิ้นหนานที่ไปโดนท่อนล่างของ มิยาโมโตะเคนตะ คิตะทาโร่ออกแรงอย่างหนัก ขาของเขานี้พอจะทำให้อิฐสีครามแตกได้ ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามจะฝึกวิชาภูษาเหล็กมา หากโดนเตะด้วยเท้านี้ก็คงจะสลบไป
เป็นเรื่องปกติของการประลองที่มักจะพลาดพลั้งทำให้เกิดการบาดเจ็บ นอกจากนี้ในการประลองครั้งนี้ได้มีการตกลงกันไว้แล้วว่าถ้าเกิดการบาดเจ็บ ผู้เข้าร่วมประลองจะรับผิดชอบเอง ตราบใดที่เขาไม่ได้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามตาย ทางมหาวิทยาลัยก็ทำอะไรไม่ได้
รอยยิ้มบนใบหน้าของคิตะทาโร่ยังไม่จางไป ทันใดนั้นขาขวาของเขาที่เตะออกไปก็รู้สึกตึงเหมือนถูกอะไรบางอย่างหนีบไว้ เมื่อก้มหัวลงไปดู คิตะทาโร่ถึงกับช็อค
ที่แท้เมื่อตอนที่คิตะทาโร่ใช้ท่าแขวนตะขอทองคำ เยี่ยเทียนร่างกายไม่ขยับสักนิด แต่ร่างกายจู่ๆกลับเตี้ยลง ส่วนเอวลดต่ำลงไป จิกนิ้วเท้าทั้งสองงอเข้าข้างใน ก็เลยทำให้ขาโก่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ เข่าทั้งสองข้างที่แต่เดิมแบะออกไปด้านข้าง ก็เปลี่นเป็นยื่นออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเองขาที่เตะเข้ามาตรงหว่างขาของคิตะทาโร่จึงถูกเข่าทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนหนีบไว้
ที่เยี่ยเทียนใช้ เป็นท่ามวยที่ดัดแปลงมาจากท่าการขี่ม้าและท่าสะพานเหล็กของ “มวยใต้หนานฉวน” ที่ควบคุมม้าได้อย่างมั่นคงที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “ท่ายืนม้า” โดยการใช้นิ้วเท้าทั้งห้าจิกไปที่พื้น
เยี่ยเทียนที่ฝึกวิชากังฟูมาตั้งแต่ห้าขวบ ได้รับการอบรมสั่งสอนให้รู้จักการ “ยืนม้า” จากหลี่ซั่นหยวนตั้งแต่อายุแปดขวบ
จนถึงทุกวันนี้ เมื่อได้ยินเสียงไก่ขัน เยี่ยเทียนก็ยังคงลุกขึ้นมาฝึกอยู่ทุกวัน แม้จะมีคนตัวใหญ่เข้ามาผลักก็ไม่สามารถจะทำให้เขาขยับได้
ท่ามวยนี้รู้จักกันโดยทั่วไปจากการที่ใช้ในการนั่งม้าหรือแกะ เป็นมวยตระกูลหง ใน หนานฉวน เป็นท่ามวยที่ถูกคิดค้นโดย วีรบุรุษในตำนวน หงซีกวน ลูกศิษย์ฆราวาสของวัดเส้าหลิน หลี่ซั่นหยวนได้ไปเรียนรู้มาจากลูกศิษย์ของ ทิเคียวซา หัวหน้าของสิบพยัคฆ์ร้ายกวางตุ้ง
วิชามวยของ ทิเคียวซา มีอิทธิพลมากกับการฝึกมวยจีนสมัยใหม่ โดยเฉพาะท่า ยืนม้าและท่าสะพานเหล็ก เป็นคนคิดค้าวิชาหมัดเหล็ก ซึ่งต่อมาได้ถูกถ่ายทอดให้กับหวงเฟยหงโดยลูกศิษย์คนแรกของเขา “หลินฝูเฉิง”
เยี่ยเทียนจึงใช้วิชานี้ตอบโต้ หว่างขาเดิมที่เคยเปิดออกในพริบตานั้นก็ถูกปิดเข้ามา บิดเอวออกแรงเข่าทั้งสองข้าง เหมือนเขาสัตว์สองเขาที่อยู่บนหัวแพะ หนีบขาของคิตะทาโร่ไว้อย่างแน่นหนาและง่ายดาย
ถึงแม้ว่าจะไม่ใด้เกิดทางตอนใต้ และท่วงท่า ยืนม้าของเขาจะไม่เหมือนต้นฉบับ แต่ต่อสู้กับคิตะทาโร่นั้นก็เพียงพอแล้ว ภายใต้การหนีบของเยี่ยเทียน คิตะทาโร่ก็ไม่สามารถขยับได้
เยี่ยเทียนเกลียดคิตะทาโร่ที่พูดจาไร้มารยาท หลังจากที่หนีบขาขวาของเขา ใช้ขาทั้งสองข้างหน้าหลัง ทันใดนั้นกำลังที่แข็งแกร่งทั้งหมดก็ได้แพร่กระจายไปยังเท้าของคิตะมาโร่
มีเสียงดังเหมือนคีมหนีบใข่ กระดูกข้อเท้าของคิตะทาโร่ถึงกับแตก คิตะทาโร่ร้องเสียงหลงออกมาด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย ไอ้สารเลว!”
เดิมทีนิสัยของคิตะทาโร่มีนิสัยที่โหดเหี้ยม ตอนอายุสิบสองสิบสามก็กล้าที่จะฆ่าคน ในตอนนี้เป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำ ก็โกรธจนตาแดงฉานไปหมดแล้ว
ในตอนนี้คิตะทาโร่ไม่สนใจขาของตัวเองอีกต่อไปแล้ว หนีบมือขวาเข้าด้วยกันเหมือนปลายมีดที่แหลมคม ฟันมาที่คอของเยี่ยเทียน
คิตะทาโร่ถึงแม้จะไม่ได้สืบทอดวิชาฟันดาบของตระกูล แต่การโจมนี้ก็ไม่มีอะไรต่างกันกับการใช้ดาบจริง สามารถตัดคอของเยี่ยเทียนได้ง่ายๆ เหมือนกัน
“นี่จะเอาชีวิตฉันเลยเหรอ แต่แกไม่สามารถใช้กลยุทธของแกได้หรอก ถ้าเปลี่ยนเป็นยาย พัคจุนฮี ผลลัพธืก็ใกล้เคียงกัน”
ฝ่ามือดาบของคิตะทาโร่ดูเหมือนจะมีความตั้งใจที่จะฆ่า แต่เขาไม่ใด้ฝึกวิชาดาบหรือเคนโดมา ท่าทางในการใช้ท่านี้จึงชัดเจนเกินไป หากเปลี่ยนเป็นคนที่เล่นเคนโดญี่ปุ่นมา อาจจะทำร้ายเยี่ยเทียนได้
เมื่อเผชิญหน้ากับฝ่ามือดาบของคิตะทาโร่ เยี่ยเทียนยังมีเวลาว่างที่จะส่งสายตาไปมองที่ด้านนอกเวทีประลอง มองไปที่พัคจุนฮี เขาอยากรู้มากว่า ลูกศิษย์ของตระกูลคิตะนั้นมีวิชาบรรลุถึงระดับไหน
เยี่ยเทียนเป็นคนยังไงกัน พลังพิฆาตที่เกิดจากการฆ่าคนถึงยี่สิบสองคนในไต้หวัน จนถึงตอนนี้ยังไม่สลายไปเลย ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียงแวบเดียว แต่พลังพิฆาตยั้นก็กลับพุ่งเข้าหาตัวของพัคจุนฮี
“นี่คือใคร ทำ……ทำไมถึงน่ากลัวขนาดนี้”
หลังจากที่ถูกสายตาเยี่ยเทียนเพ่งมา สายตาของพัคจุนฮีที่กำลังมองสองคนที่กำลังประลองกันอยู่บนเวที จู่ๆก็รู้สึกขนหัวลุก ความหนาวเย็นแผ่กระจายไปถึงสันหลัง นาทีนั้นเธอรู้สึกเหมือนว่าได้ถูกตะปบโดยสัตว์ร้าย กระหายเลือด
หลังจากที่สายตาเยี่ยเทียนมองออกไป สติของพัคจุนฮีก็กระเจิดกระเจิง ซึ่งเกิดขั้นในเวลาที่สั้นมาก พัคจุนฮีไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อกี้เป็นภาพลวงตาหรือเปล่า
เยี่ยเทียนเองก็ไม่อยากพัวพันกับคิตะทาโร่แล้ว ใช้มือขวาเป็นกรงเล็บ ฟันสวนไปที่ฝ่ามือดาบ
ตามมาด้วยเสียงดัง “แช้บ……แช้บ” ตัวของคิตะทาโร่ค่อยทรุดลง ไปกองที่พื้นพร้อมกับร้องเสี่ยงดังโหยหวน
ไม่มีใครที่เห็น ตอนที่เยี่ยเทียนหักมือและปล่อยมือที่ใช้โจมตีคิตะทาโร่ มือสะบัดผ่านท้องน้อยของคิตะทาโร่เบาๆและว่องไวราวกับปีศาจร้าย การเคลื่อนไหวนี้เร็วมากแม้กระทั่งกล้องก็ไม่สามารถจับภาพได้
ตั้งแต่เริ่มท่องยุทธภพ เยี่ยเทียนได้รับการปลูกฝังความเชื่อมาแล้วว่จะมีฆาตกรมาฆ่าเขา เมื่อเยี่ยเทียนเห็นรู้สึกได้ถึงความตั้งใจที่อยากจะฆ่าของชายคนนี้ เขาจึงลงมือด้วยความโหดเหี้ยมและไร้ความปราณี
“อ๊าก……อ๊าก ขาของฉัน มือของฉันหักแล้ว!”
คิตะทาโร่ที่ล้มกองอยู่กับพื้นได้สูญเสียความเป็นตัวตนไปอย่างสิ้นเชิง ร้องโหยหวนทุรนทุราย สมาชิกสองสามคนของชมรมคาราเต้ก็วิ่งไปพยุงเขา แต่กลับถูกเขาไล่เตะออกมาอย่างไร้สติ
เยี่ยเทียนเพิ่งใช้วิชาแยกกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็น ไม่ได้ทำลายกระดูก อีกไม่นานก็รักษาให้หายได้ แต่อาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นก็ยากที่จะรับมันได้เหมือนกัน
“ดี ทำได้ดี!”
“ฮีโร่ ฮีโร่จริงๆ!”
“ฆ่าพวกเศษสวะญี่ปุ่น ยกย่องอำนาจของประเทศเรา!”
ตั้งแต่การเริ่มต้นประลองกันระหว่างเยี่ยเทียนกับคิตะทาโร่ ถึงแม้ว่าจะบรรยายไปอย่างช้าๆ แต่ความจริงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเจ็ดแปดวินาที จนกระทั่งคิตะทาโร่ทรุดตัวกองกับพื้นร้องโอดโอยนั้น พวกสมาชิกชมรมศิลปการต่อสู้ที่ชมดูอยู่รายรอบพอเห็นดังนั้น ต่างก็จุดประกายความฮึกเหิม มีหลายคนที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ส่งเสียงตะโกนออกมาเยี่ยเทียนฟังแล้วถึงกับชาไปทั้งหัว
“พวกนายคิดว่านี่เป็นช่วงปี 1920 หรือ 1930 เหรอ?”
เยี่ยเทียนมองขึ้นไปด้านบน แล้วโบกมือเขาลงด้านล่าง เสียงในสนามจึงเงียบลงได้ “นักศึกษาทุกคน จุดประสงค์ของการฝึกศิลปะป้องกันตัวเพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรง หวังว่าต่อไปนี้ทุกคนจะสำนึกถึงจุดนี้ด้วย อย่าไปประลองฝีมือกับคนอื่นอีก”
ความจริงประโยคนี้เยี่ยเทียนตั้งใจจะพูดกับสวีเจิ้นหนาน โบราณบอกว่าคนที่จมน้ำตายต่างก็ว่ายน้ำเป็นทั้งนั้น และคนที่สำเร็จวิทยายุทธเร็วที่สุดก็คือคนที่ไม่พอใจน้ำที่ยังคงเหลืออยู่ครึ่งขวด
พูดได้ว่าวิชามวยแมวสามขาของพวกนี้ ไม่สามารถใช้ได้จริง ไม่คิดว่ายังจะกล้าขึ้นมาประลองกับคนอื่น ถ้าไม่เตือนเขาสักหน่อย เกรงว่าวันหลังถูกคนส่งกลับไปเกิดใหม่
เมื่อเห็นสายตาของเยี่ยเทียนมองมาที่ตัวเอง สวีเจิ้นหนานก็ยิ้มหน้าเหยเกขึ้นมา มือทั้งสองน้อมคำนับเยี่ยเทียน แต่เขากลับอยากให้เยี่ยเทียนไว้หน้าเขาต่อหน้าคนอื่นบ้าง
“แกทำร้ายคนอื่น คิดจะจบแค่นี้เหรอ”
“ใช่ เขาทำคิตะทาโร่จนบาดเจ็บ อย่าให้เขาไป”
“ไม่รู้ว่าคิตะทาโร่บาดเจ็บขนาดไหน ทุกคนล้อมเขาไว้!”
ตอนที่เยี่ยเทียนเตรียมจะออกจากเวทีประลอง นักศึกษาห้าสิบหรือหกสิบคนจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้รีบเร่งเข้ามา
ล้อมเขาไว้ เสียงน่าสงสารของคิตะทาโร่ที่ร้องอย่างเจ็บปวด ทำให้พวกเขากลัว จึงได้ล้อมเยี่ยเทียนไว้ไม่ให้จากไป
แน่นอน การประลองจบสิ้นแล้ว ไม่มีใครกล้าลงมืออีก เพราะไม่อยากเป็นคนต่อไปที่ล้มลงร้องโอดโอย
“เขาไม่เป็นไรใช่ไหม ฉันขอรักษาสักเขาหน่อย”
เยี่ยเทียนไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้ ยิ้มแล้วเดินตรงไปที่คิตะทาโร่ในเวทีประลอง
“นายจะทำอะไร”
พัคจุนฮียืนอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียน คิตะทาโร่เป็นลูกหลานของอาจารย์เคนโด ถ้าได้รับบาดเจ็บอีก พัคจุนฮีคงไม่มีคำอธิบายเมื่อกลับไปญี่ปุ่น
“แค่รักษาอาการบาดเจ็บของเขาเท่านั้น”
เยี่ยเทียนมองมาที่พัคจุนฮี ถึงแม้ว่าเวลาจะไม่รู้สึกถึงพลังพิฆาต แต่ก็ทำให้พัคจุนฮีตกใจถอยออกไปสองก้าว รอเธอไปอยู่ด้านหลังแล้ว เยี่ยเทียนจึงเดินต่อไป
“ทนเจ็บหน่อย!”
เยี่ยเทียนจับมือขวาของคิตะทาโร่ไว้ นิ้วหัวแม่มือทาบและกดตรงข้อมือ เอ็นใหญ่สองเส้นพันกัน ถูไปถูมาด้วยฝ่ามือ เสียงร้องเจ็บปวดของคิตะทาโร่ก็หยุดลง
หลังจากที่ปล่อยมือคิตะทาโร่ เยี่ยเทียนก็หันไปจับข้อเท้าของเขา ในขณะเดียวกันก็ถูไปถูมาด้วยฝามือ ทันใดนั้นอาการปวดก็หายเป็นปลิดทิ้ง คิตะทาโร่มีความรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนรักษาอาการเจ็บปวดของตัวเอง หน้าผากที่ยกขึ้นสูงของคิตะทาโร่ในที่สุดก็ลดต่ำลงมา หลังจากที่ถูกพยุงตัวขึ้น ก็หันมาพูดกับเยี่ยเทียนว่า “ขอบคุณ ฉันแพ้แล้ว!”
“อาการบาดเจ็บของแกไม่เป็นไรมาก พักผ่อนสองสามวันก็หายดีแล้ว” ใบหน้าของเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ในสายตาก็เต็มไปด้วยความเยือกเย็น เขาดูออกว่า ตอนที่คิตะทาโร่ก้มหัวลงมายังมีสายตาของความอาฆาตแค้นและอยากฆ่าเกิดขึ้น
เยี่ยเทียนก็ไม่ใช่คนที่ดีอะไร ในการประลองนี้เขาก็ได้ลงมืออย่างเหี้ยมโหดตั้งแต่แรกแล้ว คาดว่าคิตะทาโร่ก็คงไม่มีโอกาสที่จะแก้แค้นได้อีกแล้ว
……
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น