ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 378-379
ตอนที่ 378 อย่างมากก็เป็นอดีตหญิงคนรัก
“เมื่อไปถึงยมโลก พอท่านได้พบกับนาง…. จะมีความละอายบ้างสักนิดหรือไม่?”
ฉางซุนซิ่วหัวเราะจนน้ำตารินไหลออกมา วันนี้ความรู้สึกที่ถูกเก็บกดเอาไว้ในหัวใจมาเนิ่นนานหลายปีได้ถูกตีแผ่ออกมาจนหมดเปลือก เขาค่อยสามารถผ่อนคลายตนเองลงได้
จีเฉวียนทรงกุมกระบี่เหมันต์ในพระหัตถ์เอาไว้ สีพระพักตร์เย็นชา
เรื่องในตอนนั้น พระองค์ไม่มีอะไรจะต้องมาอธิบายอีก
ก่อนที่จะได้พบกับตู๋กูซิงหลัน เมื่อทรงตัดสินพระทัยจะเป็นฮ่องเต้ผู้มีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ พระองค์ไม่เคยมีหวั่นไหวพระทัยไปกับผู้ใดทั้งนั้น
สำหรับฉางซุนอิงนั้น……
เหล่าคนที่เคยทำร้ายนาง ตอนหลังล้วนถูกพระองค์เชือนเนื้อออกมาป้อนสุนัขไปจนหมดแล้ว
ศีรษะของคนเหล่านั้น ล้วนถูกพระองค์เตะส่งเข้าไปในสุสานไร้ญาติ
หลังจากที่ฉางซุนอิงตายแล้ว พระองค์ทรงเฝ้าอยู่หน้าสุสานของนางเจ็ดวันเจ็ดคืน ชาตินี้พระองค์ติดค้างนาง หากว่านางยังมีชีวิตอยู่ละก็ พระองค์จะต้องทรงพยายามอย่างที่สุดที่จะทำทุกสิ่งเพื่อชดใช้ให้นาง
หลายปีที่นางติดตามพระองค์ไปนั้น ต้องทนรับความยากลำบากอย่างที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยเจอ เผชิญกับประสบการณ์ความดำมืดของมนุษย์
นางเคยบอกเอาไว้ว่า ความปรารถนาเดียวในชาตินี้ก็คือขอให้ใต้หล้าสงบสุข ไม่มีการแก่งแย่งชิงดี ขอให้พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ผู้ปราชญ์เปรื่อง
ทั้งหมดนั้น….พระองค์ทรงทำอยู่ทีละก้าว ทีละก้าว
“เจ้าไม่เคยเข้าใจ ความปรารถนาของอาอิง” จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูฉางซุนซิ่วที่กำลังคลุ้มคลั่ง ส่ายพระเศียรเบาๆ
อาอิง แค่คำๆ เดียว พระองค์ไม่เคยตรัสเรียกมาสิบกว่าปีแล้ว
นับตั้งแต่ที่ฉางซุนอิงตายไป ก็ไม่เคยตรัสอีกเลย
ต่อให้เป็นยามอยู่เบื้องหน้าฉางซุนซิ่วก็ไม่เคยตรัสถึงมาก่อน
คราวนี้ ฉางซุนซิ่วตกตะลึงจนแข็งค้างไป
เขาเงยหน้าขึ้นมองดูจีเฉวียนอย่างเนิ่นนาน พอกระพริบตา น้ำตาก็ไหลหยดลงมา “ที่ไม่เข้าใจคือฝ่าบาทต่างหาก”
“ท่านคิดแต่ว่าตอนเยาว์วัยตนเองมีชีวิตอย่างปราศจากความสุข ตนเองต้องรับความยากลำบากและถูกรังแก แต่กลับไม่รู้เลยว่า ใต้หล้านี้ยังมีคนที่ต้องทนทุกข์ทรมานมากมายขนาดไหนเพราะท่านเป็นเหตุ….”
เพราะเขากับน้องสาวไม่เคยเอ่ยมาก่อนเลย
“แต่ละคนล้วนต้องมีเรื่องราวหนหลังของตนเอง ต่างก็มีสุขทุกข์โศกศัลย์ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าท่านจะแตกต่างออกไป”
แต่ว่าความสุขทุกข์ของเขาและน้องสาวในชาตินี้ ล้วนขึ้นอยู่กับพระองค์เพียงผู้เดียว
ฉางซุนซิ่วเงยศีรษะขึ้นมา ให้น้ำตาทั้งหมดไหลย้อนกลับไป
เขาเองก็เหมือนกับจีเฉวียน ที่เก็บงำความรู้สึกได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด
แต่ว่าตอนนี้ กลับทนไม่ไหวอีกแล้ว
ตู๋กูซิงหลันที่แอบอยู่ในมุมๆ หนึ่ง นางไม่อาจจะบรรยายความรู้สึกในตอนนี้ของตนเองออกมาได้เลย
วิญญาณทมิฬเองก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย หากว่าเรื่องทั้งหมดในตอนนั้นเป็นเช่นที่ฉางซุนซิ่วบอกออกมาจริงๆ นี่เท่ากับว่าสาวน้อยวัยแรกแย้มผู้หนึ่งกลับต้องมาตายอย่างอนาถเพราะจีเฉวียน
แต่หลายสิบปีมานี้เขากลับไม่เคยเก็บนางเอาไว้ในใจเลยแม้แต่น้อย….
เช่นนั้นบุรุษผู้นี้ก็ไร้รักเสียจนน่าหวาดกลัวแล้ว
แต่ถ้าหากว่าจีเฉวียนมีฉางซุนอิงอยู่ในใจ…..
แล้วจะให้หลันหลันทำเช่นไร?
สตรีที่โง่เขลาผู้นี้….ยังไม่รู้จักยอมรับหัวใจของตนเองอีกหรือ?
หากไม่ใช่เพราะว่าชอบจีเฉวียน นางไหนเลยจะไม่แม้แต่จะคิด ก็ออกจากแคว้นต้าโจวทั้งยามค่ำคืน เข่นฆ่ามาตลอดทาง……
จนไม่ได้หลับพักผ่อนมาตลอดสามวันสามคืน
กระทั่งนาทีที่ได้เห็นว่าเขาปลอดภัย ถึงได้วางใจลงได้
“อย่างมากก็เป็นแค่อดีตหญิงคนรัก….ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย” วิญญาณทมิฬคิดๆ ดูแล้ว ก็รู้สึกว่าสมควรจะต้องปลอบใจนางสักหน่อย “เจ้าดูสิวังหลังยังมีพระสนมมากมายขนาดนั้น ซูเม่ยก็ยังแบกท้องใหญ่โต….”
เพราะว่านี่ก็เป็นครั้งแรกที่หลันหลันหวั่นไหวใจมิใช่หรือ?
พอมันหันศีรษะไปดู ก็เห็นว่าตู๋กูซิงหลันมีสีหน้าหนักอึ้ง
นางไม่ได้นอนหลับพักผ่อนมาสามวันสามคืน เส้นผมบนศีรษะล้วนรุ่ยร่าย ขอบตาดำคล้ำลึกโบ๋
เพราะว่ากังวลในตัวจีเฉวียนมากจนเกินไป นางจึงไม่ได้กินอะไรเลยมาตลอดทาง เพียงแค่ดื่มน้ำไม่กี่คำ สีหน้าก็ซีดขาวอย่างที่สุด
วิญญาณทมิฬพยายามจะสัมผัสถึงความรู้สึกของตู๋กูซิงหลัน
แต่ว่ามันกลับรู้สึกได้แต่เพียงความว่างเปล่า
นางตัดขาดความรู้สึกของตนเองออกจากมัน
สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้น้อยมาก….ครั้งก่อน คือตอนที่ศิษย์น้องของนางตายในทะเล
เมื่อสัมผัสความรู้สึกไม่ได้ นี่จึงจะเรียกว่าน่ากลัวจริงๆ
จนถึงตอนนี้มันก็ยังจำได้ว่า หลังจากที่ศิษย์น้องตายไป…..
การรับรู้ของตู๋กูซิงหลันก็พังทลายไปเกือบครึ่งเดือน
ช่วงนั้นนางเอาแต่มืดมนอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่ร้องไห้เป็นต้องเสียอกเสียใจจนหัวใจแทบสลาย
จนมีคนให้ฉายาว่า พี่สาวเจ้าน้ำตา
ปกตินางมักจะเข้มงวดกับตนเอง…..ยิ่งเป็นเรื่องการร้องไห้ ยิ่งต้องหาเหตุในการร้องที่จริงจัง
ตอนนี้เพียงเพราะแค่เรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาของฮ่องเต้สุนัข….นางก็ถึงกับตัดขาดความรู้สึกของตนเอง
วิญญาณทมิฬรู้แต่ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี แต่พอหันไปมองดู ก็เห็นสีหน้าของนางเรียบเฉย นอกจากเคร่งขรึมไปหน่อยแล้ว ก็แทบจะไม่มีอะไรที่ดูผิดปกติ?
ในตอนนั้นเอง สายตาของฉางซุนซิ่วก็จับจ้องไปยังกระบี่ในพระหัตถ์ของจีเฉวียน เขายิ้มอย่างเย็นชาออกมา “ตอนนี้แคว้นเหยียนก็กลายเป็นเพื่อนร่วมกลบฝังของนางแล้ว ความมุ่งหวังเดียวในชีวิตของข้าก็สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว ถึงแม้ว่าจะยังมีเรื่องที่น่าเสียดายอีกมาก แต่เมื่อเทียบกันแล้วก็ไม่ได้มีค่าสักเท่าไร ท่านก็ฆ่าข้าเสียเถอะ”
หากต้องปะทะกับพระองค์ เขาก็ยังไม่ใช่คู่มือของพระองค์อยู่ดี ทั้งยังคร้านที่จะต่อสู้ดิ้นรนอีกด้วย
“ได้ตายในเงื้อมือของฝ่าบาท นับว่าเป็นจุดจบที่ไม่เลวแล้ว”
“เจ้าเป็นพี่ชายของอาอิง เราจะไม่ฆ่าเจ้า” จีเฉวียนเก็บกระบี่เหมันต์ในพระหัตถ์ไป
พอคิดถึงฐานะที่สำคัญของเขา พระองค์ยิ่งไม่มีทางปล่อยให้ฉางซุนซิ่วตายได้ง่ายๆ
ก็เพราะคิดถึงฐานะกับสิ่งที่หลายปีมานี้เขาได้ทำให้พระองค์ยอมอดทนให้เขาท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่า
ตอนนี้ เนื่องเพราะเรื่องของซิงซิงและอีกหลายชีวิตมากมาย พระองค์ไม่อาจจะปล่อยเขาไปได้อีกแล้ว
“ไม่ฆ่าข้าหรือ?” ฉางซุนซิ่วหน้าเปลี่ยนสี “นั่นเท่ากับว่าจะทรมานข้าไปชั่วชีวิต? จะจับข้าไปใส่ไว้ในคุกหรือว่าขังในตำหนักลงทัณฑ์ของราชวงศ์กันละ? ทำลายอิสระภาพชั่วชีวิต ให้ต่ำต้อยดุจมดตัวหนึ่ง?”
“จีเฉวียน เห็นแก่ความสัมพันธ์ของพวกเรา ท่านให้ความรวบรัดกับข้าได้หรือไม่?”
ฉางซุนซิ่วเป็นคนที่หยิ่งทนงผู้หนึ่ง ไหนเลยจะยอมถูกกักขังอยู่ในที่ที่ไร้เดือนไร้ตะวัน ออกไปไหนไม่ได้ชั่วชีวิต
หากเป็นเช่นนี้มิสู้ฆ่าเขาให้ตายๆ ไปเสีย ยังรวบรัดสมใจยิ่งกว่า!
ในตำหนักบรรทมยังมีเหล่าองครักษ์จำนวนหนึ่ง เหล่าพระสนม และแม้กระทั่งเหยียนหยุนก็อยู่ด้วย
เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าจีเฉวียน และฉางซุนซิ่ว พวกเขาก็เป็นได้เพียงฉากหลังที่เลือนลางเท่านั้น ไม่มีใครกล้าพูดจาหรือว่าเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น
เนื่องเพราะว่าฮ่องเต้ผู้ชราของเขาและฮ่องเต้พระองค์ใหม่….คนหนึ่งอยู่ทางซ้าย คนหนึ่งอยู่ทางขวา ต่างก็นอนร่างแข็งทื่อไปแล้ว
ใครเล่าจะกล้าคิดว่า คนที่ยั่วยุวางแผนให้ฮ่องเต้ผู้ชราแพร่เชื้อผีดิบใส่ผู้คน จะเป็นราชครูแห่งแคว้นต้าโจวนั่นเอง?
หากมิใช่ว่าตอนนี้คนทั้งสองกลายเป็นศัตรูกัน พวกเขาย่อมต้องสงสัยแน่ว่าทั้งสองร่วมมือกันทำร้ายผู้อื่น
ขณะที่ฟังคำพูดของฉางซุนซิ่ว สีหน้าของเหยียนหยุนก็วุ่นวายใจอย่างยิ่ง
พอย้อนคิดกับไปถึงเรื่องเหล่านั้นเขาก็จดจำมันได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องของฉางซุนอิง
ตอนนั้นจีเฉวียนอายุยังน้อย ด้วยฐานะที่เป็นตัวประกันของเขาจึงมักจะถูกกลั่นแกล้งอยู่เสมอ ทุกสองสามวันเป็นต้องถูกจับยัดเข้าคุกไปโดนทุบตีอยู่เรื่อย
แต่ถึงอย่างนั้นก็มักจะมีเด็กหญิงที่เงียบงันอยู่คนหนึ่งคอยอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา
เด็กหญิงผู้นั้นหน้าตางดงาม พูดจาแต่น้อย มักจะเอาแต่ก้มหน้า สวมใส่เสื้อผ้าเก่าขาด ไม่กล้าสบตาใครทั้งสิ้น
ต่อให้ซื้อซาลาเปามาได้สักลูกหนึ่ง ก็จะเก็บไส้ไว้ให้จีเฉวียน ตนเองกินแต่เปลือก
ตอนนั้นเพียงเพื่อขอเงินไม่กี่ตำลึง ถึงกับยอมมาทำงานเป็นนางกำนัลซักล้างในตำหนักของเขาอยู่สามเดือน
เหล่าคนรับใช้มักจะกลั่นแกล้งนาง …… แต่นางก็ไม่เคยบ่นว่า ขนาดถูกตีก็ยังยิ้มได้ อะไรก็ยอมรับว่าเป็นความผิดของตนเองอยู่เสมอ
อายุเพียงแค่เจ็ดแปดขวบเท่านั้น……ต้องทำตัวต่ำต้อยราวสุนัขตัวหนึ่ง
เหยียนหยุนจดจำนางได้อย่างแม่นยำ…..
ปีนั้นที่นางอายุได้สิบสามปี จีเฉวียนเองก็มีที่ทางยืนหยัดอยู่ในแคว้นเหยียนได้แล้ว
เขาเลี้ยงดูนางให้อยู่ดีมีกิน ฐานะของพวกเขาค่อยๆ เขยิบขึ้นมาเรื่อยๆ …..
ตอนที่ 379 เฉวียน หลายปีมานี้ข้าคิดถึ...
แคว้นเหยียนนิยมการต่อสู้กับสัตว์ร้าย แม้แต่ในเมืองหลวงยังมีการแสดงการต่อสู้กับสัตว์เพื่อสร้างความบันเทิงอยู่เสมอ
จีเฉวียนป่ายปีนขึ้นมาจากทาสที่ต่อสู้กับสัตว์จนมาถึงระดับเทพนักสู้กับสัตว์อสูรของต้าเหยียน แต่ในสายตาของชนชั้นสูงของต้าเหยียน เขาก็ยังเป็นเพียงแค่ทาสตัวประกันที่เอาไว้ต่อสู้กับสัตว์ร้ายเท่านั้น
เขาไม่เคยได้รับเกียรติหรือความเคารพนับถือใดๆ ทั้งสิ้น
ต่อมาแคว้นต้าเหยียนจับสัตว์อสูรหงเหมิงได้ตัวหนึ่ง ….สัตว์อสูรตัวนั้นแค่กางกรงเล็บออกมาก็สามารถตบคนตายไปสิบคน
ทาสนักสู้นับพันนับหมื่นตายไปใต้กรงเล็บของมัน
ในตอนนั้น เหล่าผู้สูงศักดิ์ในแคว้นเหยียนถึงได้คิดถึง ‘เทพนักสู้สัตว์อสูรขึ้นมา’
จึงได้บีบบังคับให้จีเฉวียนไปต่อสู้กับสัตว์อสูรหงเหมิงตัวนั้น…..
สาวน้อยหวาดกลัวแล้ว กลัวว่าเขาจะต้องไปต่อสู้จริงๆ …..
ดังนั้นนางจึงเที่ยวขอร้องคนไปทั่ว …… สุดท้าย เหยียนเฉียวหลัวก็ให้ความหวังกับนาง
พอคิดถึงเหยียนเฉียวหลัว สีหน้าของเหยียนหยุนก็เปลี่ยนเป็นย่ำแย่
เหยียนเฉียวหลัวถูกใจจีเฉวียน แต่น่าเสียดายที่ได้รับแต่การปฏิเสธจากเขามาโดยตลอด….ทั้งข้างกายเขาก็ยังมีสาวน้อยที่สุดจะงามผู้หนึ่ง
บางทีอาจเป็นเพราะความรักที่ก่อให้เกิดความชัง…. นางถึงได้ฉวยโอกาสนี้พาสาวน้อยผู้นั้นไปพบกับแม่ทัพใหญ่ที่ทรงอำนาจมากที่สุดในตอนนั้น
ทั้งยังบอกกับนางว่า ขอเพียงสามารถทำให้ท่านแม่ทัพใหญ่ผู้นี้พอใจได้ จีเฉวียนก็จะไม่ต้องไปต่อสู้กับสัตว์อสูร
สาวน้อยผู้นั้น ทั้งๆ ที่ก็เคยผ่านประสบการณ์ดำมืดในใต้หล้ามามากมาย แต่ก็ยังคงใสซื่อ….คำพูดของเหยียนเฉียวหลัวนางก็ยังจะยอมเชื่อ
ในจวนของแม่ทัพใหญ่ผู้นั้น นางตกเป็นของเล่นของเหล่าผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย…..
เหล่าบุรุษที่อยู่ในคืนนั้น…..ทั้งหนุ่มทั้งแก่มีกันทั้งหมดสิบสองคน
สาวน้อยที่บอบบางวัยสิบสามปี ต้องตายอนาถภายใต้การทรมาน
เกรงว่าจีเฉวียนและฉางซุนซิ่วจนถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยรู้ว่า คนที่เป็นต้นคิดแผนการในวันนั้นก็คือเหยียนเฉียวหลัว
เหยียนเฉียวหลัวตายไปในสระสวรรค์ของแคว้นเซอปี่ซือแล้ว เรื่องนี้จึงไม่จำเป็นจะต้องเอ่ยถึงขึ้นมาอีก
เหยียนหยุนย้อนคิดขึ้นมาในตอนนี้ ในใจก็ได้แต่รู้สึกละอาย…..
ตอนนั้นเขาบังเอิญพบเหยียนเฉียวหลัวกำลังพาตัวฉางซุนอิงไปยังจวนแม่ทัพใหญ่อยู่แท้ๆ ….
แต่เขากลับมิได้รั้งนางเอาไว้
มิเช่นนั้น สาวน้อยที่ใสบริสุทธิ์ผู้นั้นก็อาจจะไม่ต้องตาย
ใครใช้ให้ตอนนั้น…..เขาชิงชังจีเฉวียนถึงเพียงนั้นกัน
ตอนนี้เขาได้แต่เกาะไม้เท้าอยู่ด้านข้าง ช่วงนี้เขาได้แต่ติเตียนตนเอง ติเตียนแคว้นเหยียน
เพราะยิ่งทีก็ยิ่งได้พบว่า แคว้นเหยียนมีความดำมืดซุกซ่อนอยู่มากเพียงไร
ตอนนั้นจีเฉวียนสามารถป่ายปีนขึ้นมาจากเส้นทางที่ดำมืดเช่นนั้นได้ เขาจะต้องมีความมุ่งมั่นและกล้าหาญถึงเพียงไหน
เหยียนหยุนพบว่า ที่แท้เขาก็พ่ายแพ้ให้กับจีเฉวียนตั้งแต่แรกแล้ว พ่ายแพ้อย่างหมดรูป
…….
อีกด้านหนึ่ง จีเฉวียนเก็บกระบี่ลงไป ทอดพระเนตรดูฉางซุนซิ่ว “เราจะปล่อยเจ้าไป”
ฉางซุนซิ่วเลิกคิ้วขึ้นมา ไม่เข้าใจว่าพระองค์ทรงหมายความเช่นไร
หลังจากนั้นก็ได้ยินจีเฉวียนรับสั่งว่า “ขอเพียงเจ้ายอมสารภาพ……ถึงอำนาจที่อยู่เบื้องหลังออกมาทั้งหมด”
ได้ยินแล้ว ฉางซุนซิ่วก็หัวเราะเสียงเย็นชาออกมา “ข้ายังนึกว่า….เจ้าคำนึงถึงน้ำใจเก่าก่อนเสียอีก…..ที่แท้ก็คิดถึงเรื่องนี้อยู่หรือ?”
พอถึงตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจ ว่าที่ผ่านมาทั้งหมด จีเฉวียนจงใจปล่อยเบ็ดยาวเพื่อตกปลาใหญ่นั่นเอง
ที่พระองค์วางพระทัยปล่อยตู๋กูซิงหลันเอาไว้ในวังที่เมืองหลวงแต่เพียงผู้เดียว ก็เพราะคาดเดาอย่างแม่นยำแล้วว่าการเสด็จมากำราบแคว้นเหยียนครั้งนี้ เขาจะต้องลงมือแทรกแซงอย่างแน่นอน
พอพระองค์ปล่อยเบ็ดยาวเช่นนี้ออกไป…..ที่พระองค์ทรงยอมปล่อยให้เขาได้เคลื่อนไหวอย่างลับๆ มาตลอด ก็เพื่อให้เขาเป็นฝ่ายเปิดเผยเบื้องหลังของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนออกมาทั้งหมด
ฮ่องเต้แห่งต้าโจว …..ที่สุดแล้วก็เป็นคนที่ไร้น้ำใจอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นไหนเลยจะยอมปล่อยเขาไปโดยง่าย?
ฉางซุนซิ่วยิ้มขมขื่นจากหัวใจ “ในที่สุดฝ่าบาทก็รู้จักหวั่นเกรงขุมกำลังจากภายนอกบ้างแล้ว?”
“ไม่ต้องรีบหรอก…. ขุมกำลังเหล่านั้นยังแข็งแกร่งกว่าที่พระองค์คาดคิดเอาไว้มากมาย พวกเขาย่อมไม่ยอมล้มเลิกง่ายๆ ขอเพียงท่านยังไม่ตาย แคว้นโจวยังไม่ล่มสลาย พวกเขาจะต้องตามพัวพันท่านอย่างไม่เลิกลา”
“ใต้หล้านี้ มิใช่มีแต่ข้าเพียงผู้เดียวที่ไม่ต้องการให้ท่านได้อยู่อย่างสงบสุข”
น้ำตาบนใบหน้าเหือดแห้งไปแล้ว เขาจึงหัวเราะออกมาอย่างมีลับลมคมนัย
“ประมุขของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนที่สุดแล้วคือผู้ใด เกี่ยวข้องอันใดกับเรา กับแคว้นต้าโจว?” จีเฉวียนตรัสเสียงเข้ม หากว่าเปลี่ยนเป็นผู้อื่น พระองค์จะต้องใช้ความทรมานให้สารภาพเป็นแน่น แต่ว่าคนผู้นี้คือฉางซุนซิ่ว
ถึงแม้ว่าขุมกำลังของพระองค์จะแข็งแกร่ง แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับตำหนักซิวหลัวเตี้ยน องครักษ์ของพระองค์กลับไม่สามารถตรวจสอบได้สักเท่าไหร่ รู้แต่เพียงว่าเป็นขุมกำลังที่ลี้ลับแห่งหนึ่งเท่านั้น
และเหล่าผู้คนที่เป็นส่วนหนึ่งของขุมกำลังนี้ล้วนเป็นผู้เข้มแข็ง
คนอย่างเช่นเสียนไท่เฟย ศพคืนชีพชรา และอันหร่วน อย่างมากก็เป็นเพียงแค่หมากตัวเล็กๆ ที่ไม่อยู่ในสายตาของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเท่านั้น
แต่เพียงแค่ตัวหมากที่ไม่เข้าตาเหล่านี้ ก็สามารถทำให้เกิดความไม่สงบได้แล้ว
หากว่ายังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเกรงว่าทั่วทั้งแคว้นต้าโจวคงจะต้องตกอยู่ในอันตรายโดยไม่รู้ตัว
พระองค์จับจ้องเขาอย่างเงียบงัน เห็นดวงตาทั้งคู่ของฉางซุนซิ่วหม่นหมองลง
“ฝ่าบาทจับอันหร่วน บีบบังคับให้สารภาพ หรือไม่ทรงทราบว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่าคำสาปผนึกวาจาอยู่?” ฉางซุนซิ่วกล่าวอย่างคลุ้มคลั่ง
เขาชี้ไปที่สมองของตนเอง “ทางที่ดี ฝ่าบาทช่วยไปให้ไกลจากกระหม่อมหน่อย…. มิเช่นนั้นอีกเดียวพระองค์จะทรงได้ยินเสียงแตกดัง ‘โผละ’ …..จากสมองของกระหม่อม….”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เขาหัวเราะออกมาอย่างสะใจ “ท่านว่ามันน่าสนใจไหมเล่า ท่านไม่ฆ่าข้า เพราะต้องการถามเรื่องของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนจากข้า นี่มิเท่ากับว่าบีบบังคับให้ข้าต้องตายหรอกหรือ? ฮ่า ฮ่า ฮ่า จีเฉวียน ท่านมันเป็นคนที่สับสนในตนเองจริงๆ!”
ขณะที่ฉางซุนซิ่วหัวเราะอยู่นั้น ในมือของตู๋กูซิงหลันก็ปรากฏยันต์แผ่นหนึ่งขึ้นมา
คำสาปผนึกวาจาเช่นนี้……มิใช่ว่าจะไม่มีหนทางแก้ไข
ขณะที่นางกำลังเอ่ยคาถากำกับขึ้นมาก็ได้ยินเสียงๆ หนึ่ง
“พี่จ๋า”
น้ำเสียงที่นุ่มนวลของอิสตรี ลอยเข้ามาจากนอกตำหนัก
เพียงแค่เสียงเบาๆ คำเดียว ก็ทำให้จีเฉวียน ฉางซุนซิ่ว และตู๋กูซิงหลันต้องหันหน้ากลับไปมอง
จากนั้นก็เห็นรองเท้าปักลายดอกบัวคู่หนึ่งล่องลอยผ่านประตูใหญ่เข้ามาในตำหนักบรรทม
จากนั้นในสายตาก็ปรากฏเงาร่างของสาวน้อยในชุดสีฟ้าขาวผู้หนึ่ง
ท่ามกลางวันที่อากาศหนาวเย็นนางกลับสวมใส่ชุดที่บางเบา กระโปรงชั้นในเป็นสีฟ้า ชั้นนอกเป็นผ้าโปรงสีขาว เป็นสีฟ้าและขาวที่เข้ากันอย่างงดงาม
ผิวของนางขาวมาก….ขาวจนแทบจะไม่มีสีเลือด ริมฝีปากที่เป็นสีแดงสดทำให้ผิวหน้าของนางยิ่งดูขาวจนไร้สีเลือดไปกว่าเดิมอีก
นางมีคิ้วโค้วยาวดุจเนินเขา
แม้ดวงตาของนางมิได้โต แต่ก็โค้งมน เมื่อประกอบกับหัวคิ้วรูปเนินเขาก็ยิ่งเสริมให้ดูอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก
เส้นผมที่ยาวสลวยของนางถักเป็นเปียยาวเอาไว้ด้านข้าง
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาเส้นกระดิ่งที่เท้าก็ดังกรุ้งกริ้ง
นี่เป็นสาวน้อยที่บริสุทธิ์งดงามผู้หนึ่ง……
ขณะที่ผ่านหน้าของตู๋กูซิงหลันไปนั้น นางก็หยุดชะงักเล็กน้อย และหันมาเหลือบตามองดูเป็นพิเศษแวบหนึ่ง
จากนั้นก็เร่งฝีเท้าจากไป จนกระดิ่งส่งเสียงกรุ้งกริ้งไปตลอดทางนางเดินไปจนถึงข้างกายฉางซุนซิ่วและจีเฉวียน
พอมองดูพวกเขา นางก็ขยับเข้าไปหาจีเฉวียนก่อน
นางเขย่งปลายเท้า ยื่นมือออกไปคล้องพระศอของพระองค์ลงมา กอดเอาไว้อย่างแนบแน่น ซุกศีรษะลงไปบนบ่าของพระองค์ กล่าวเสียงเบาว่า “เฉวียน หลายปีมานี้ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน”
ร่างของนางสูงเพียงแค่พระพาหาของจีเฉวียน เมื่อจะคล้องพระศอของพระองค์ก็ต้องพยายามให้มากแล้ว
แต่นางก็ยังเขย่งขึ้นไปอีกจุมพิตเบาๆ ลงบนบาดแผลบนพระศอ “เฉวียน ท่านบาดเจ็บแล้ว พอจูบก็จะไม่เจ็บแล้วใช่ไหม?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น