กระบี่จงมา 377.1-378.2
บทที่ 377.1 อาวุธของวิญญูชน
ผู้ฝึกตนโอสถทองพลันพูดด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้คุณชายคือลูกศิษย์ของสำนักนิติธรรม มิน่าเล่า”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงเข้าใจผิดเช่นนี้
เซียนดินที่น่าจะคุ้นเคยกับขนบธรรมประเพณีในแคว้นชิงหลวนเป็นอย่างดียิ้มตาหยีกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ควรประชันฝีมือกันสักหน่อย”
แสงกระบี่พลันสาดประกายเจิดจ้าอยู่ในเทือกเขา
ผู้ฝึกตนอิสระเคยชินกับเหตุการณ์ที่คุยกันอยู่ดีๆ ก็ฉีกหน้าแตกหักกันมานานแล้ว คนตายเพราะทรัพย์สิน นกตายเพราะอาหาร ใครบ้างไม่ยินดีที่จะได้เงินร้อนน้อยเพิ่มมาอีกห้าสิบเหรียญ? เงินบริสุทธิ์ได้มาย่อมดี แต่เงินสกปรกที่หามาได้น้อยจะไม่ดีงั้นหรือ? ผู้ฝึกตนอิสระที่ถูกที่ว่าการของราชสำนักรับสมัครตัวมา หรือไม่ก็พวกที่ต้องการได้ตำแหน่งผู้ถวายงานของตระกูลเซียนจึงใช้เส้นสายช่วยให้พวกเขาได้ยันต์คุ้มกันกายมาครอง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกที่ทำเรื่องเลวร้ายบางอย่างมาก่อน ยกตัวอย่างเช่นช่วยราชสำนักสังหารแม่ทัพใหญ่หรือขุนนางบุ๋นของแคว้นศัตรู แก้แค้นให้กับพวกเซียนซือในทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ไม่เหมาะให้ทำเรื่องเช่นนั้นด้วยตัวเอง
เซียนดินโอสถทองกวาดตามองไปรอบด้านอย่างเนิบช้าคล้ายกำลังตรวจสอบดูสนามรบ
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากวัวดินเลือกที่จะพลิกตัว ชักนำเส้นทางใต้ดินให้สั่นสะเทือนจะมีชาวบ้านที่เดือดร้อนกี่หมื่นคน?”
เซียนดินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้ารับอย่างจริงใจ “เมื่อมีขอบเขตเช่นข้า ย่อมต้องรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว”
สำหรับเรื่องนี้พวกผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มนี้ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเท่าใดนัก
มีเพียงลวี่หยางเจินอาจารย์แห่งค่ายกลเท่านั้นที่ขมวดคิ้ว แต่กลับซุกซ่อนอารมณ์ไว้อย่างดีเยี่ยม
เฉินผิงอันถามอีก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าสามารถควบคุมแผ่นดินไหวได้หรือไม่?”
เซียนดินไม่ได้ตอบคำถามโดยตรง แต่ยิ้มกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ง่ายหรอก หากไม่ทำตามที่เพื่อนเจ้าบอก นั่นคืออาศัยการเผาผลาญเงินจัดวางค่ายกลเป็นวงกว้าง สร้างความมั่นคงให้กับเส้นทางใต้ดิน ลดทอนระดับสั่นของแผ่นดินไหวให้น้อยลง ก็ต้องให้ผู้ฝึกลมปราณที่ได้ครอบครองสมบัติก่อนกำเนิดจำพวกไข่มุก ให้นำสมบัติประเภทนั้นมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต เพื่อที่จะ ‘ตั้งภูเขาซ่อนเส้นทางใต้ดิน’”
เห็นว่าเฉินผิงอันไม่ถามอะไรอีก เซียนดินท่านนี้ก็มองประเมินเฉินผิงอันอย่างละเอียดอีกรอบ “ไว้เจอกันใหม่คราวหน้า”
ดูเหมือนผู้ฝึกตนโอสถทองจะล้มเลิกความคิดที่จะ ‘ประชันฝีมือ’ เขามองไปยังคนสำคัญของภูเขาลูกต่างๆ ในกลุ่มผู้ฝึกตนอิสระ ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าชุดดำที่นั่งอยู่บนจิ้งจอกสีดำห้าหาง ลวี่หยางเจินอาจารย์ค่ายกล ใช้เสียงในใจไล่บอกถึง ‘สถานที่แบ่งทรัพย์สิน’ ซึ่งจะต้องมอบค่าตอบแทนที่เหลืออยู่นอกเหนือจากค่ามัดจำให้พวกเขาไปทีละคน จากนั้นก็ทะยานลมจากไป
ผู้ฝึกตนอิสระทุกคนติดตามเซียนดินจากไป เพียงแต่ว่าไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน คิดดูแล้วผู้ฝึกตนโอสถทองคนนั้นคงจะนัดหมายวันเวลาและสถานที่ที่ต่างกันในการจ่ายเงินเทพเซียนให้กับคนทั้งสี่กลุ่ม หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ฝึกตนอิสระไม่บ่นว่าน้อยไป แต่บ่นว่าไม่เท่าเทียมกัน
จางซานเฟิงกำหมัดทุบเฉินผิงอันเบาๆ หนึ่งที เอ่ยสัพยอกว่า “ใช้ได้นี่นา เอาเงินร้อนน้อยมาใช้เป็นเงินเกล็ดหิมะแล้ว”
สวีหย่วนเสียลุกขึ้นยืนนานแล้ว เก็บดาบเข้าฝัก ใช้นิ้วลูบหนวดที่เกาะกันเป็นกระจุกเพราะคราบเลือดจากบนลงล่าง “ตอนนี้ถือว่าปลอดภัยชั่วคราว กลัวก็แต่ว่าเซียนดินโอสถทองคนนี้จะเป็นงูเจ้าถิ่นที่มีเจตนาชั่วร้าย หากไม่ได้จริงๆ พวกเราก็อย่ารอเข้าร่วมงานโต้วาทีพุทธและเต๋าที่เมืองหลวงแคว้นชิงหลวนเลย รีบจากไปโดยเร็วจะดีกว่า”
จางซานเฟิงลังเลเล็กน้อย “กระบี่เจินอู่ที่เฉินผิงอันให้ข้ายืมและมีดสั้นเล่มนั้นของเจ้าจะต้องทิ้งไว้ในกองบัญชาการณ์ทหารสูงสุดจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันแก้ไขให้ใหม่ “ไม่ได้ให้ยืม”
แม้ว่าสวีหย่วนเสียจะเสียดาย แต่ก็ยังพูดด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “กองบัญชาการทหารที่ใหญ่ขนาดนั้น มันไม่ได้มีขาเดินได้สักหน่อย วันหน้าย่อมต้องมีโอกาสมาเอากลับคืน หากกองบัญชาการทหารเป็นตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการล้อมสังหารครั้งนี้ ก็เท่ากับพวกเราพาตัวไปติดร่างแห ฮ่องเต้สกุลถังแคว้นชิงหลวนเป็นพวกหัวแข็งและยโสโอหัง อีกทั้งผู้บัญชาการทหารคนนั้นยังเป็นคนรู้ใจของลูกหลานสายตรงฮ่องเต้สกุลถัง จึงง่ายที่พวกเราจะตกเป็นเป้าให้ทุกคนหมายหัว อีกทั้งต่อให้มีเหตุผลก็ไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจน คนอื่นแค่สาดน้ำโคลนสกปรกมาใส่ พวกเราหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น”
จางซานเฟิงเคยมีนิสัยไม่ชนกำแพงทิศใต้ไม่หันหลังกลับ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางละทิ้งการเรียนรู้หลักการของลัทธิขงจื๊อ หันไปเป็นนักพรตเต๋า การเดินทางไกลลงใต้จากอุตรกุรุทวีปมาถึงแจกันสมบัติทวีป เขาได้พบได้เห็นอะไรมามากมาย มีทั้งอุปสรรคและมีทั้งผลเก็บเกี่ยว ทำให้เติบโตขึ้นไม่น้อย ได้ยินคำอธิบายของสวีหย่วนเสียก็ไม่ยืนกรานในความคิดของตัวเองอีก
เฉินผิงอันใคร่ครวญอยู่นานถึงจะคิดหาคำพูดที่สมเหตุสมผลได้ ทั้งไม่ดึงจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียเข้ามาในปัญหาของตน ทั้งทำให้คนทั้งสองไปยังกองบัญชาการณ์ทหารได้อย่างวางใจ “ข้าได้ของดีชิ้นหนึ่งมาจากสำนักศึกษาของใบถงทวีป เป็นแผ่นหยกแผ่นหนึ่ง สามารถเอามาใช้ปกป้องชีวิตในช่วงเวลาสำคัญ แม้จะบอกว่าตอนนี้ในแคว้นชิงหลวนมีทั้งปลาและมังกรปะปนกัน พวกเราไม่ควรประมาท แต่เมื่อมี…แผ่นหยกที่เท่ากับวิญญูชนของสำนักศึกษามาเยือนเองแผ่นนี้ โอสถทองและก่อกำเนิดทั่วไปก็ล้วนไม่กล้าลงมือเข่นฆ่าสังหาร ดังนั้นหากพวกเราคิดจะไปเอากระบี่เจินอู่และมีดสั้นเล่มนั้นกลับคืนมาคงไม่เป็นปัญหามากนัก”
การจัดการกับเรื่องราวใดๆ ควรจะพิถีพิถันในเรื่องปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจก็จริง แต่หากทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในอันตราย ทำให้ต้องเผชิญกับหายนะดับชีพอย่างเมื่อครั้งที่เฉินผิงอันเจอกับตู้เม่า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เรียกว่าจริงใจแล้ว แต่เรียกว่าไร้หัวจิตหัวใจ ไม่ชำนาญเรื่องทางโลก
เผยเฉียนกับคนทั้งสี่ในภาพวาดเดินเข้ามาใกล้แล้ว
พวกเขาต่างก็สนใจใคร่รู้ในสถานะของนักพรตหนุ่มและจอมยุทธ์เคราดกอย่างมาก มองดูไม่เหมือนคนบ้านเดียวกับเฉินผิงอัน แต่เหมือนสหายที่พบเจอกันระหว่างที่ท่องเที่ยวหาประสบการณ์มากกว่า
เว่ยเซี่ยนสี่คนต่างก็มองออกว่านักพรตหนุ่มเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณที่มีตบะธรรมดา ส่วนชายฉกรรจ์เคราดกก็คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าที่รากฐานพอใช้ได้เท่านั้น แค่นี้น่ะหรือ?
เผยเฉียนลอบมองประเมินคนทั้งสองตลอดเวลา เวลานี้ในมือนางถือไม้เท้าเดินป่า ตรงเอวห้อยดาบไม้ไผ่และกระบี่ไม้ไผ่ที่เฉินผิงอันทำให้เองกับมือ นางยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน พูดด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีพี่ชายนักพรต สวัสดีท่านอามือดาบ ข้าชื่อเผยเฉียน ข้าเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของท่านอาจารย์!”
สวีหย่วนเสียหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ อยู่ดีๆ ก็ได้สถานะนี้มาเปล่าๆ
ส่วนจางซานเฟิงที่แม้จะถูกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่แทงทะลุไหล่ ใส่ยาไปแล้ว แต่ก็ยังหน้าซีดขาว ทว่าพอเห็นเด็กหญิงผอมแห้งที่บอกว่าตัวเองคือลูกศิษย์ใหญ่ของเฉินผิงอันผู้นี้ มุมปากของนักพรตหนุ่มก็ตวัดโค้งขึ้น พูดทักทายกับแม่นางน้อยด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีเผยเฉียน อายุเท่าไหร่แล้ว?”
เผยเฉียนยิ้มตาหยี “เพิ่งจะเจ็ดขวบเอง เพราะฉะนั้นถึงได้สูงแค่นี้”
เฉินผิงอันเขกมะเหงกลงไป
เผยเฉียนที่ต่อให้ตายก็ต้องรักษาหน้าตาและเพิ่งโดนลงโทษรีบพูดหน้าม่อยทันที “อันที่จริงข้าอายุสิบเอ็ดขวบแล้ว”
เฉินผิงอันหมุนตัวกลับนั่งยองลง ก่อนหันมามองสวีหย่วนเสีย “ได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้ จะทำอย่างไร?”
สวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงต่างก็ทรุดตัวนั่งยองตามไปด้วย ชายฉกรรจ์เคราดกลูบหนวดพลางพูดอย่างครุ่นคิด “ไม่พูดถึงเซียนดินโอสถทองที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ คนนั้น พูดถึงแค่ผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มของคนที่ขี่จิ้งจอกดำ จิตใจของพวกเขาไม่เที่ยงตรง หากพวกเราปล่อยวัวดินไว้อย่างนี้ไม่สนใจ ถ้าอย่างนั้นก็อยู่แค่ที่ว่ามันจะตายช้าหรือตายเร็วเท่านั้น ก่อนหน้านี้มีประโยคหนึ่งที่เจ้าพูดได้ถูกต้อง ไม่ว่าเงินของใครก็ไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้า ไม่ได้กวาดหาเอาจากสายลม ทำดีก็ทำให้ถึงที่สุดเถอะ ตอนนี้ให้มันใช้ร่างจริงติดตามอยู่ข้างกายพวกเราก่อน รอจนบาดแผลหายดีแล้วค่อยหาทางใต้ดินเส้นหนึ่งที่สามารถซ่อนตัวได้ ถึงเวลานั้นค่อยแยกย้ายกันก็ยังไม่สาย แต่หากเป็นเช่นนี้ ภาระที่เจ้าเฉินผิงอันต้องแบกย่อมหนักหน่วงมาก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เพิ่งจะจากกันได้ไม่เท่าไหร่เอง ทำตัวห่างเหินแบบนี้แล้วหรือ?”
สวีหย่วนเสียหัวเราะเสียงดัง “คำพูดเกรงใจไม่ต้องให้ข้าจ่ายเงินเสียหน่อย”
เผยเฉียนพยักหน้ารับรัวๆ ราวกับไก่จิกเมล็ดข้าวสารเพราะเห็นด้วยอย่างถึงที่สุด คำพูดเกรงใจ คำพูดประจบเอาใจ ไม่ต้องจ่ายเงินจริงๆ ท่าอาหนวดดกผู้นี้น่าจะถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกับตน
เมื่อเทียบกับเผยเฉียนแล้ว คนทั้งสี่ในภาพวาดกลับมองไปไกลและคิดไปไกลยิ่งกว่า
เว่ยเซี่ยนสุยโย่วเปียนสี่คนไม่เคยเห็นเฉินผิงอันสอบถามความคิดเห็นของใครมาก่อน อีกทั้งยังรับฟังอย่างเป็นธรรมชาติ ทุกอย่างเป็นดั่งน้ำมาคลองเสร็จ ต้องรู้ว่าตลอดทางที่ผ่านมานี้พวกเขาสี่คนรบราฆ่าฟันกันมาไม่น้อย สุยโย่วเปียนตายไปตั้งหลายครั้งแล้ว ทว่าการแสดงออกในแต่ละครั้งของเฉินผิงอันล้วนเผยให้เห็นถึงด้านที่หัวแข็ง ยืนกรานและเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ แต่ขณะเดียวกันก็ให้ความเคารพนับถือพวกเขาทั้งสี่คนมากพอ ต่อให้เป็นเว่ยเซี่ยนก็ยังต้องยอมรับว่า คำว่า ‘มีคุณสมบัติของราชาผู้เผด็จการ’ ที่เขาเคยเอ่ยประจบเฉินผิงอัน อันที่จริงส่วนที่เป็นน้ำนั้นมีไม่มาก ต้องรู้ว่าหากเอาไปวางไว้ในกลียุคของพื้นที่มงคลดอกบัว ไม่แน่ว่าเฉินผิงอันอาจกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่เจอกับเขาบนสนามรบแล้วก็เป็นได้
เฉินผิงอันมองไปยังวัวดินสีเหลืองตัวนั้น “เจ้าเผยกายด้วยร่างของคนได้หรือไม่ หากข้าจำไม่ผิด เมื่อเลื่อนสู่ขอบเขตชมมหาสมุทรหรือขอบเขตประตูมังกรก็น่าจะจำแลงกายกลายเป็นคนได้แล้วกระมัง? ข้ามียารักษาบาดแผลอยู่ขวดหนึ่ง หากเจ้าทาลงบนร่างของคน ประสิทธิผลจะดียิ่งกว่าเดิม”
ก่อนจะออกมาจากนครมังกรเฒ่า น้ากุ้ยได้บอกให้คนนำกล่องเก็บสมบัติที่ทำมาจากไม้กุ้ยใบหนึ่งมามอบให้ ด้านในบรรจุยาสิบสองขวด ไม่ได้มีมูลค่ามากมาย แต่ทุกขวดล้วนเป็นสิ่งของจำเป็นสำหรับเซียนดิน และสำหรับทุกขั้นบันไดของห้าขอบเขตกลางก็ล้วนถือว่าคุ้มค่ามีประโยชน์มากที่สุด
ได้ยินคำถามของเฉินผิงอัน ปีศาจขอบเขตประตูมังกรที่ถูกทำร้ายไปถึงรากฐานมหามรรคาก็ส่ายหน้า
จางซานเฟิงอธิบาย “เมื่อเทียบกับภูตแห่งภูเขาและแม่น้ำทั่วไปแล้ว มันค่อนข้างจะพิเศษ ก็เหมือนกับเจียวหลงเผ่าพันธุ์น้ำที่ห้าธาตุยิ่งบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ การจำแลงร่างกลายเป็นคนก็ยิ่งยากลำบากมากเท่านั้น อย่างมันต้องรอให้เลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองก่อนถึงจะได้”
เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง “ไม่เป็นไร พวกเราเดินทางไปยังกองบัญชาการทหารครั้งนี้ก็พยายามอ้อมผ่านเมืองใหญ่ เลือกเดินบนทางสายเล็กระหว่างป่าเขาก็แล้วกัน”
จางซานเฟิงยิ้มพูด “เรื่องนี้พวกเราคล่องแคล่วมากเลยล่ะ สองปีมานี้พวกเราเตร็ดเตร่ไปหลายแห่งในแคว้นชิงหลวน แคว้นชิ่งซาน”
รอจนเฉินผิงอันควักยาเม็ดหนึ่งที่เหมาะสำหรับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกรออกมา วัวดินสีเหลืองกินเข้าไปหนึ่งก้านธูปก็สามารถดิ้นรนลุกขึ้นยืนได้ แม้ว่าทั่วร่างจะยังคงเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ก็สามารถเดินได้ไม่มีปัญหา ถึงอย่างไรเดิมทีเผ่าพันธ์ปีศาจของบนโลกก็มีร่างกายที่แข็งแกร่ง มีความอดทนมากจนเป็นที่เลื่องลืออยู่แล้ว อีกทั้งปีศาจขอบเขตประตูมังกรตนนี้ยังกล่าวว่า ตนได้หลอมขวดกระเบื้องเคลือบใบหนึ่งมาเป็นหนึ่งในวัตถุแห่งชะตาชีวิตของตน สามารถบรรจุและสะสมปราณวิญญาณฟ้าดิน เฉินผิงอันได้ยินประโยคนี้ก็ฟังความนัยของถ้อยคำนี้ออก จึงยกยาปราณวิญญาณขวดนั้นให้กับวัวดินสีเหลืองทั้งหมดอย่างใจกว้าง ให้มันเก็บไว้ในขวดกระเบื้องเคลือบแห่งชะตาชีวิต ค่อยๆ ดึงดูดปราณวิญญาณไปรักษาบาดแผล
บทที่ 377.2 อาวุธของวิญญูชน
หลังจากที่สี่ขาของวัวดินสีเหลืองเหยียบลงบนพื้น ในกรอบดวงตาก็เอ่อคลอด้วยน้ำตา จ้องมองนิ่งไปยังคนหนุ่มที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวตรงหน้าผู้นี้ “เซียนซือมีคุณธรรมสูงส่ง จะตอบแทนอย่างไร?”
มันกล่าวอย่างละอายใจ “ข้าฝึกตนอยู่ที่นี่มาสองร้อยกว่าปี แค่คอยเฝ้าพิทักษ์อยู่ในเส้นทางมังกรเส้นนี้ ก่อนหน้านั้นบังเอิญเจออาวุธวิเศษและสมบัติอาคมสองชิ้น ล้วนเอามาหล่อหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตหมดแล้ว นอกจากนี้ก็ไม่มีสมบัติวิเศษอย่างอื่นอีก เซียนซือทั้งมีพระคุณช่วยชีวิตข้า ทั้งยังแสดงน้ำใจและคุณธรรมต่อข้าอีก…”
เผยเฉียนถอนหายใจหนึ่งที
ต้องโทษข้า
เหตุใดเพิ่งออกจากนครมังกรเฒ่า ตนก็กลายเป็นตัวขาดทุนอีกแล้วเล่า? ตอนอยู่ท่าเรือหางผึ้งก็เกือบจะต้องเสียเงินเกล็ดหิมะไปสองเหรียญ มาอยู่ที่ภูเขาลูกนี้ก็ยิ่งขาดทุนไปถึงบ้านยาย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว่า “ไม่เป็นไร หากเจ้ามีใจอยากตอบแทนจริงๆ รอให้บาดแผลของเจ้าหายดี และสร้างโอสถทองได้สำเร็จ สามารถใช้ร่างของคนเดินทางไปทั่วสี่ทิศได้แล้ว วันหน้าสามารถไปที่บ้านเกิดของข้าได้ ที่นั่นมีภูเขาเขียวขจีน้ำใสสะอาด เปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณ ยินดีต้อนรับเจ้ามาเป็นแขก…”
เมื่อเฉินผิงอันพูดถึงตรงนี้ สวีหย่วนเสียก็กล่าวอย่างแฝงความนัยลึกซึ้ง “เหตุใดต้องรอให้เป็นโอสถทองก่อนแล้วค่อยไป รักษาบาดแผลหายแล้วก็ไปที่บ้านเกิดเจ้าเลยเถอะ ไม่แน่ว่าอาจจะสร้างโอสถอยู่ที่นั่นได้โดยตรง มีอริยะเฝ้าพิทักษ์โชคชะตาขุนเขาและแม่น้ำ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะชักนำให้เกิดเหตุการณ์วัวดินพลิกตัวอีก”
วัวดินสีเหลืองสีหน้าเลื่อนลอยคล้ายไม่เข้าใจ
ขณะที่เฉินผิงอันตั้งใจใคร่ครวญว่าจะทำเช่นนี้ได้จริงหรือไม่ สวีหย่วนเสียกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มเสียก่อน “ไม่ต้องรีบร้อน ยังต้องเดินทางกันไปอีกช่วงหนึ่ง ดูก่อนว่านิสัยใจคอเข้ากันได้หรือไม่ แล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย หากนิสัยเข้ากันไม่ได้ ไม่สู้เก็บความทรงจำที่ดีไว้จะดีกว่า วันหน้าเมื่อมีวาสนาค่อยกลับมาพบกันใหม่ ย่อมดีกว่าอยู่ด้วยกันนานวันเข้าแล้วสุดท้ายกลายเป็นความขัดแย้ง โชควาสนาดีๆ ครั้งหนึ่งจะเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์”
จางซานเฟิงเอ่ยคล้อยตาม “ใช่แล้ว”
เฉินผิงอันจึงไม่มีความเห็นต่างอีก
คนทั้งกลุ่มเดินกันไปช้าๆ ออกจากหุบเขามุ่งหน้าไปยังกองบัญชาการทหารสูงสุดที่มีชื่อเสียงสยบไปทั้งแคว้นชิงหลวน
เฉินผิงอันเล่าประสบการณ์การเดินทางบางเรื่องที่เล่าได้ให้จางซานเฟิงกับสวีหย่วนเสียฟัง
คนทั้งสองก็เล่าเรื่องราวในยุทธภพของพวกเขาหลังจากแยกกันที่หอชิงฝูให้เฉินผิงอันฟังเช่นกัน
……
เชื้อพระวงศ์สกุลถังแคว้นชิงหลวนส่วนใหญ่เมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องล้วนไม่ได้ไปอยู่พื้นที่ศักดินา ไม่ว่าจะเป็นชินอ๋องหรือจวิ้นอ๋องก็ล้วนมีจวนของตัวเองอยู่ในเมืองหลวง อีกทั้งจวนเหล่านั้นเป็นเพียงที่พักอาศัยซึ่งไม่มีอำนาจใดๆ หากสูญเสียตำแหน่งบรรดาศักดิ์ไปก็จะถูกริบกลับคืน
แคว้นชิงหลวนมีกองบัญชาการทหารสูงสุดอยู่ห้าแห่ง นอกจากสี่แห่งที่อยู่สี่ทิศแล้ว พื้นที่ใจกลางยังมีอีกแห่งหนึ่ง มีอำนาจอย่างถึงที่สุด รับผิดชอบเรื่องสำคัญหลายอย่างที่เป็นดั่งเส้นชีพจรชีวิตของแคว้นเช่นการขนส่ง การค้าเกลือและเหล็ก เป็นต้น กษัตริย์ทั่วไปพยายามจะหลีกเลี่ยง ‘ภัยจากการที่ขุนนางเป็นผู้กุมอำนาจ ความกังวลจากการแบ่งแยกดินแดน’ ในประวัติศาสตร์หลายร้อยปีของแคว้นชิงหลวน ผ่านลมฟ้าลมฝนมาได้อย่างราบรื่น แคว้นร่มเย็นประชาชนเป็นสุข อีกทั้งเหล่าขุนนางยังปรองดอง คนนอกคิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออก หรือว่าขุนนางใหญ่ผู้มีอำนาจในท้องถิ่นซึ่งอยู่ห่างไกลจากฮ่องเต้ทั้งหลายไม่มีใครที่เกิดใจทะเยอทะยานบ้างเลยหรือ? แต่ละคนตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย อุทิศตนทุ่มเทชีวิตให้แก่ฮ่องเต้สกุลถังและลูกหลานของเขาเท่านั้นหรือ?
ไม่ว่าจะอย่างไร แคว้นชิงหลวนที่ตั้งอยู่บนทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ก็เป็นประหนึ่งแดนสุขาวดีนอกโลก มีแต่ความสงบร่มเย็น โดยเฉพาะหลังจากที่สงครามในภาคกลางลุกลามไปดุจไฟลามทุ่ง ชักนำให้เกิดกระแสปัญญาชนเดินทางลงใต้ ทอดทิ้งบ้านเกิดทางเหนืออยู่หลายระลอก และในสามแคว้นอย่างชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียวนี้ก็ดึงดูดลูกหลานชนชั้นสูงที่เดินทางย้ายจากใต้มาได้เป็นจำนวนนับหมื่น ซึ่งแคว้นชิงหลวนมีจำนวนคนไปเยือนมากที่สุด
ผู้บัญชาการห้าคนของแคว้นชิงหลวนในปัจจุบัน สี่คนที่ประจำการอยู่ใกล้กับชายแดนต่างก็เป็นแม่ทัพที่อาศัยคุณความชอบบนสนามรบหรือไม่ก็อาศัยสถานะของพระญาติฝั่งภรรยาฮ่องเต้ มีเพียงจวนผู้บัญชาการที่ตั้งอยู่ใจกลางเท่านั้นที่ใช้แซ่เหวยมาโดยตลอด เจ้านายคนปัจจุบันอาศัยการสืบทอดจากร่มเงาบรรพบุรุษสืบเนื่องกันมาหลายยุคหลายสมัย อีกทั้งเกือบสามร้อยปีที่ผ่านมานี้ ควันธูปของตระกูลล้วนอาศัยต้นกล้าต้นเดียวประคับประคองมาโดยตลอด มองดูเหมือนง่อนแง่นคลอนแคลน แต่กลับไม่เคยล้มลง เป็นผู้บัญชาการใหญ่ ‘พืชไร่ก้านเหล็ก’ (เปรียบเปรยถึงคนที่ไม่ทำงานแต่ก็มีเงินเดือน) มาถึงสามร้อยกว่าปี
ผู้บัญชาการเหวยท่านนี้ก็คือชนชั้นสูงผู้กุมอำนาจของแคว้นชิงหลวนที่รีดไถกระบี่เจินอู่และมีดสั้นไปจากจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสีย หลังจากได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์มา เขาก็ไม่เอาแต่เที่ยวเล่นไปตามป่าเขาลำเนาไพรอีก แต่เก็บตัวอยู่ในจวนอย่างสันโดษ ทว่าอาศัยเรื่องเล่าลือหลากหลายในอดีตจึงพอจะมีชื่อเสียงเล็กๆ อยู่ระหว่างแคว้นชิงหลวนสามแคว้น เชี่ยวชาญด้านการเขียนคำเขียว อักษรฉ่าวซู อรรถาธิบายพระไตรปิฎก รวมไปถึงการวาดภาพคัมภีร์พุทธ โดยเฉพาะอย่างหลังที่ได้รับการขนานนามว่า ‘โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์’ ตลอดทั้งบนและล่างราชสำนัก ภาพวาดของเขายากจะได้มาครอบครอง เกี่ยวกับผู้บัญชาการเหวยที่อยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ผู้นี้ คำวิจารณ์เกี่ยวกับเขาท่ามกลางกลุ่มปัญญาชนและนักประพันธ์นั้นดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด ถูกขนานนามให้เป็นผู้ที่มีท่วงทำนองงดงามเป็นหนึ่ง สง่างามและผ่อนคลาย พลิ้วไหวประหนึ่งต้นสนไหวเอนไปตามสายลม…ท่ามกลางกลุ่มสตรีชนชั้นสูงและกลุ่มหญิงสาวในห้องหอก็ยิ่งได้รับความนิยม เล่าลือกันว่าตอนที่ผู้บัญชาการใหญ่ท่านนี้แบกหีบหนังสือออกทัศนาจร ได้ขึ้นเขาไปเยี่ยมเยียนเซียนกับสหายสนิทหลายคน เขาถูกนายพรานคนหนึ่งเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเจ๋อเซียนจึงโขกหัวคำนับ ร้องอุทานเรียกเขาว่าเทพเซียน
งานโต้วาทีพุทธเต๋าที่มีชื่อเสียงโด่งดังซึ่งจะจัดขึ้นในเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนครั้งนี้ ผู้บัญชาการเหวยจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยของเมืองหลวง จึงได้รับอนุญาตให้นำพากองทัพทหารฝีมือดีหกพันนายเดินทางขึ้นเหนือไปปักหลักอยู่ในสถานที่สำคัญอย่างเมืองหลวง!
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้สกุลถังให้ความไว้ใจและให้ความสำคัญต่อคนผู้นี้อย่างมาก
เป็นเหตุให้ในยุทธภพมีข่าวลือเล็กๆ ที่ไม่อาจหาที่มา บอกว่ากษัตริย์และขุนนางมีความสัมพันธ์เป็นต้วนซิ่ว (ตัดแขนเสื้อ หรือหมายถึงชายรักชาย) ต้องรู้ว่างานโต้วาทีพุทธเต๋าครั้งนี้ กษัตริย์สองพระองค์อย่างสกุลเหลียนแคว้นอวิ๋นเซียวและสกุลเหอแคว้นชิ่งซานต่างก็จะเดินทางมาเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน และการที่ฮ่องเต้สองแคว้นมองเรื่องที่ผู้บัญชาการเหวยนำทัพขึ้นเหนือเป็นเรื่องปกติ โดยไม่คิดจะเปลี่ยนใจ กลับเป็นเรื่องที่น่าประหลาดยิ่งกว่า
วันนี้จวนผู้บัญชาการทหารสูงสุดมีคนหนุ่มร่างกำยำผู้หนึ่งมาเยือน คนนอกไม่มีใครรับรู้
ผู้บัญชาการเหวยเลี่ยงรับรองแขกอยู่ในห้องหนังสือ ปีนี้เหวยเลี่ยงเพิ่งจะอายุสามสิบกว่า รูปโฉมหล่อเหลาดุจดั่งต้นไม้หยก
สถานะของเหวยเลี่ยงสูงส่ง แต่กลับทำตัวสบายๆ ต่อชายหนุ่ม ทั้งไม่มีมารยาทที่ห่างเหิน แล้วก็ไม่ได้จงใจทำตัวกระตือรือร้น ส่วนชายกำยำผู้นั้นก็เห็นได้ชัดว่าเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของผู้บัญชาการใหญ่ท่านนี้ เขาไม่ได้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเหวยเลี่ยง แต่ยืนอยู่ใต้ชั้นหนังสือ พลิกเปิดหนังสือไปมา
เหวยเลี่ยงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “เจียงอวิ้น ดูท่าคนในตระกูลจะโปรดปรานเจ้าไม่น้อยเลยนะ ยินดีมอบเรื่องนี้ให้เจ้าจัดการ เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ประหยัดแรงกายแรงใจลงไปได้เยอะ ถึงเวลานั้นข้าอยู่ที่แจ้ง เจ้าอยู่ที่มืด เชื่อว่างานโต้วาทีพุทธเต๋าปลายฤดูใบไม้ผลิปีนี้ต้องไม่มีคลื่นมรสุมอะไรที่ใหญ่เกินไปอย่างแน่นอน”
ชายร่างกำยำก็คือคนที่พักอยู่สุดตรอกของท่าเรือหางผึ้ง คงเป็นเพราะออกมาจากท่าเรือตระกูลเซียนซึ่งเป็นเหมือนบ้านเกิดตนเองครึ่งหนึ่ง จึงร่ายเวทอำพรางตาไว้ที่ ‘เข็มขัด’ โซ่เหล็กซึ่งถูกนำมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นที่จับตามองของชาวบ้านร้านตลาดในเมืองมากเกินไป
ชายฉกรรจ์นามว่าเจียงอวิ้นพลิกเปิดตำราเล่มหนึ่ง ด้านข้างมีคำอธิบายระบุไว้แน่นขนัด อีกทั้งยังมีทั้งหมึกสีดำและหมึกสีชาด เห็นได้ชัดว่าหนังสือเล่มนี้ท่านผู้บัญชาการใหญ่เหวยเลี่ยงคงไม่ได้อ่านแค่รอบเดียว
เจียงอวิ้นหันหน้ามา “เหล่าเหวย เจ้าห้ามประมาทเด็ดขาดเลยนะ ฮ่องเต้ของพวกเจ้าสร้างปัญหาใหญ่ไว้ขนาดนี้ ตอนนี้เรื่องทางโลกซับซ้อนวุ่นวาย นอกจากข้าแล้ว ดูเหมือนในตระกูลจะมีคนที่แอบแฝงตัวอยู่อย่างลับๆ อีกทั้งตบะย่อมไม่ต่ำอย่างแน่นอน”
เหวยเลี่ยงเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด
เจียงอวิ้นรู้สึกระอาใจเล็กน้อย “แคว้นชิงหลวนเล็กๆ แห่งหนึ่งกลับกล้าจัดงานโต้วาทีพุทธเต๋า อีกทั้งยังจงใจจัดให้เอิกเกริกขนาดนี้ ฮ่องเต้สกุลถังไม่เข้าใจความอันตรายของการแข่งขันระหว่างสามลัทธิ แต่เจ้าเหล่าเหวยจะไม่รู้งั้นหรือ? เหตุใดตอนนั้นสกุลเจียงอวิ๋นหลินของพวกเราถึงย้ายมาอยู่แจกันสมบัติทวีป? ครั้งนี้ข้าออกมาจากท่าเรือหางผึ้ง ตลอดทางก็คอยตามหาสถานที่คึกคักมาโดยตลอด เอ่ยประโยคหนึ่งที่ไม่เกินจริงไปนัก ตอนนี้มีผู้ฝึกลมปราณอยู่เต็มถนน ขนาดในท้องถิ่นยังเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมืองหลวงของพวกเจ้าเลย พวกเจ้าไม่กลัวจริงๆ รึ?”
เหวยเลี่ยงวางกล่องไม้ใบหนึ่งลงบนโต๊ะ พอเปิดออกไอเย็นก็พลันแผ่เต็มห้อง เขาชัก ‘มีดบุ๋น’ เล่มหนึ่งออกมาจากกล่องไม้ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เพราะความสัมพันธ์ที่ได้รับสืบทอดมาจากอาจารย์ เจ้าถึงได้รู้สึกเห็นใจผู้ฝึกตนอิสระ แต่ข้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ก่อนจะถึงช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ขอแค่เป็นผู้ฝึกลมปราณที่มีคดีความ ไม่ว่าจะทำความผิดในอาณาเขตแคว้นชิงหลวนหรือที่อื่น ข้าก็จะรวบแหช้อนตัวมาให้หมด จะเป็นหรือตายก็ล้วนทำตามกฎเกณฑ์ ขี้หนูก้อนเดียวยังทำให้โจ๊กทั้งหม้อเสียได้ แล้วนับประสาอะไรกับงูและหนูเป็นรังที่ยกโขยงกันเข้ามาในพื้นที่ของคน”
มีดบุ๋นบนโต๊ะหนังสือที่ชื่อฟังสุภาพดูมีความรู้ แม้จะเป็นวัตถุขนาดเล็ก แต่กลับถูกมองเป็น ‘อาวุธของวิญญูชน’
ในกล่องไม้ใบที่อยู่ตรงหน้าเหวยเลี่ยงนี้วาง ‘มีดบุ๋นสืบทอดจากบรรพบุรุษ’ ไว้เรียงกันเกือบสิบเล่ม ซึ่งสามารถแบ่งออกได้สองชนิดคือมีดซูเตา (มีดหนังสือ) ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกับมีดตัดกระดาษที่ใช้ตัดกระดาษเซวียนจื่อ
อย่างแรกมีอีกชื่อหนึ่งว่าเซียวเตา ในยุคโบราณได้แต่ใช้แผ่นไม้ไผ่มาบันทึกตัวอักษร มีดเล่มเล็กที่ใช้แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม้ไผ่ที่ถูกแกะสลักจะเรียกว่ามีดซูเตา ยุคแรกเริ่มสุดทำมาจากทองสัมฤทธิ์ ภายหลังทำมาจากเหล็ก ตอนนี้ทำมาจากวัสดุล้ำค่าอีกหลากหลายชนิด ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วกลายมาเป็นของเล่น ของสะสมของคน สูญเสียประสิทธิภาพเมื่อแรกเริ่มสุดไปนานแล้ว
เวลานี้เหวยเลี่ยงถือมันไว้ในสองมือ ล้วนเป็นมีดตัดกระดาษทั้งคู่
มีดตัดกระดาษเล่มหนึ่งแปะด้วยไผ่เหลือง ฝักมีดที่วางไว้บนโต๊ะสลักคำว่า ‘ยึดมั่นในกฎไม่แปรผัน’
อีกเล่มหนึ่งคือมีดหยกขาวแกะสลักลายมังกรชุบทองที่สลักคำว่า ‘คนทำงานร้อยหลอม’
เจียงอวิ้นวางตำราลง ถอนหายใจ สีหน้าซับซ้อน “ดังนั้นเจ้าจึงวางแผนสังหารผู้ฝึกตนมากมายขนาดนั้นในคราวเดียว?”
“ทำความชั่วมากย่อมพิฆาตตัวเอง ข้าจัดการกับเซียนซือเทียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาเหล่านั้นค่อนข้างเปลืองแรง ไม่ได้สังหารพวกผู้ฝึกตนอิสระเหล่านี้โดยตรงก็ถือว่าให้เกียรติพวกเขามากแล้ว แน่นอนว่าการที่ทำให้เรื่องราวดูซับซ้อนก็เพราะข้าเองมีใจเห็นแก่ตัว แต่ในบรรดาคนเหล่านี้ก็มีพวกหญ้าบนยอดกำแพงอยู่ไม่น้อย ตอนนี้ได้กลายมาเป็นหูเป็นตาในจวนข้าแล้ว วันหน้าจะมีประโยชน์ไม่น้อย เจ้าเห็นไหม หากทำอะไรโดยมีกฎเกณฑ์ เรื่องราวบนโลกก็จะชัดเจนและง่ายดายเช่นนี้”
ระหว่างที่พูดเหวยเลี่ยงก้มหน้าจ้องมองมีด ‘คนทำงาน’ ที่แกะสลักได้อย่างประณีตงดงามอยู่ตลอดเวลา จากนั้นก็ใช้มีดแกะสลักไม้ไผ่ตีลงบนมีดเล่มนี้เบาๆ แล้วหลับตาลงฟังเสียงใสดังกังวานด้วยท่าทางมีความสุขอย่างยิ่ง
แม้ว่าเจียงอวิ้นจะค่อนข้างสนิทสนมกับเหวยเลี่ยง แต่เห็นเช่นนี้ก็ยังอดโมโหไม่ได้ “เจ้าไม่สนสักนิดเลยหรือว่าวิธีของตัวเองเป็นวิธีที่ถูกต้องหรือวิธีที่ชั่วร้าย?”
“วิธีที่ชั่วร้ายก็ยังเป็นวิธีนี่นา”
หลังจากเขาลืมตาก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นด้วยสีหน้าแต้มยิ้มผ่อนคลาย “ไม่พูดเรื่องที่คุยกันอย่างไรก็คุยไม่รู้เรื่องพวกนี้แล้ว ข้าออกเดินทางครั้งนี้ได้เจอกับลูกศิษย์สำนักนิติธรรมสำนักเดียวกับพวกเรา น่าสนใจมาก เพื่อนของเขาทิ้งของสองอย่างไว้ที่จวนข้า หากเจ้าสนใจก็อยู่ต่ออีกสักหลายๆ วันก็ได้”
บทที่ 378.1 กินเต้าหู้เหม็นกันเถอะ
ไม่นึกว่าจะเจอกระท่อมไม้ไผ่ที่ถูกทิ้งร้างมาหลายปีที่ริมทะเลสาบกลางป่าเขาแห่งหนึ่ง ยังพอจะมองออกถึงลักษณะดั้งเดิมของมัน คาดว่าช่วงแรกๆ ที่สร้างขึ้นต้องงามประณีตอย่างมาก มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าผู้สร้างจะเป็นคนเก็บตัวสันโดษซึ่งมีชาติกำเนิดร่ำรวย อีกทั้งยังต้องชอบตกปลามากด้วย
คนทั้งกลุ่มจึงหยุดพักกันที่นี่ แบ่งงานกันไปทำ เฉินผิงอันไปตัดไม้ไผ่มีอายุมากเอามาเหลาเป็นซี่บางๆ สองอัน หนึ่งสั้นหนึ่งยาว ตอนที่กลับมาจูเหลี่ยนก็ก่อกองไฟเรียบร้อยแล้ว เฉินผิงอันนั่งลงข้างกองไฟ ใช้ไฟรมไม้ไผ่ช้าๆ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับคันเบ็ดตกปลา ไม่อย่างนั้นหากสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ในน้ำเห็นแสง เพียงแค่ออกแรงกระชากเล็กน้อย ไม้ไผ่ก็อาจจะหักท่อนได้ เฉินผิงอันมอบไม้ไผ่อันสั้นให้เผยเฉียน บอกให้นางเรียนรู้จากเขา
ในกระท่อมไม้ไผ่ จูเหลี่ยนกำลังแลกเปลี่ยนความรู้จากชายฉกรรจ์เคราดก คนทั้งสองนั่งห่างจากทุกคนไปค่อนข้างมาก ดูเหมือนจูเหลี่ยนจะกำลังโอ้อวดการต่อสู้ระหว่างชายหญิงที่ทำให้ร่างเปียกโซมไปด้วยเหงื่อจากใน ‘ตำราเทพเซียน’ ที่ผู้เฒ่าแซ่สวินมอบให้
นักพรตหนุ่มนั่งอยู่บนเสื่อกับหลูป๋ายเซี่ยง กำลังประชันฝีมือการเล่นหมากล้อม เว่ยเซี่ยนนั่งอยู่ข้างๆ ยังคงรอดูผลว่าใครแพ้ใครชนะ
วัวดินสีเหลืองตัวนั้นช่วยดูต้นทางอยู่ในผืนป่าใกล้กับกระท่อมไม้ไผ่
เผชิญกับภูเขาเขียวน้ำใสของที่แห่งนี้ ฉวยโอกาสที่รอบด้านไร้ผู้คน สุยโย่วเปียนจึงเดินออกจากกระท่อมไม้ไผ่ นั่งลงบน ‘ฐานกระท่อม’ ที่ลักษณะคล้ายกับแพไม้ไผ่ ถอดรองเท้า ปล่อยเท้าสองข้างที่ขาวนวลราวกับหิมะแช่ลงไปในน้ำ กระบี่ชือซินวางพาดขวางไว้บนหัวเข่า มือสองข้างจับตรงหัวและปลายของฝักกระบี่ ทอดสายตามองไปไกล อากาศสดชื่นในป่าเขาทำให้จิตใจคนผ่อนคลาย
ทำคันเบ็ดตกปลาสั้นยาวสองอันเสร็จ เฉินผิงอันลองสะบัดอยู่หลายทีเพื่อทดลองดูระดับความโค้งว่ามากหรือน้อย ส่วนเผยเฉียนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ลองทำตามไปด้วย
อาจารย์และศิษย์หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กเดินมานอกกระท่อม เฉินผิงอันเริ่มผูกเส้นเอ็นและตะขอตกปลา เผยเฉียนยังคงพยายามเลียนแบบ เพียงแต่ว่าในด้านรายละเอียดนางกลับทำได้แย่ไปสักหน่อย เฉินผิงอันจึงต้องช่วยผูกสายเส้นเอ็นที่พันกันเป็นปมให้นางใหม่ ช่วยผูกตะขอตกปลาให้แน่น
จากนั้นก็พาเผยเฉียนไปยังหินก้อนหนึ่งที่อยู่ริมทะเลสาบห่างออกไป หาสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ในน้ำลักษณะคล้ายแมงกะชอนมา
สุดท้ายเฉินผิงอันกลับไม่ได้ตกปลา แค่บอกให้เผยเฉียนนั่งตกปลาเพียงลำพัง เขาเอาคันเบ็ดอันยาวเก็บเข้าไปในหยกพกวัตถุจื่อชื่อที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้ ด้านในนั้นมีทั้งรองเท้าสานคู่เก่าที่เปื่อยผุแล้วแต่กลับไม่ได้โยนทิ้ง มีสิ่งของเครื่องใช้ในหมู่ชาวบ้านที่ไม่สะดุดตาอย่างตะขอ เส้นเอ็นตกปลา แล้วก็มีสุราที่ค่อนข้างมีราคาอย่างเหล้าเซียนบ่อน้ำ รวมถึงใบอู๋ถงที่ออกเป็นสีเหลืองใบนั้น ว่ากันว่าด้านในบรรจุค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาที่มีต้นกำเนิดมาจากภูเขาไท่ผิง สำนักฝูจี และยังมีเงินฝนธัญพืชที่สำนักฝูจีชดใช้มาให้อีกกองใหญ่
เผยเฉียนเป็นคนที่ไม่มีความอดทนมาตั้งแต่เกิด เพียงแต่ว่ามีเฉินผิงอันอยู่ข้างกาย บวกกับที่ได้ฝึกคัดอักษรมาเป็นเวลานาน จึงมีความอดทนเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย นางจึงจ้องมองความเคลื่อนไหวบนผิวน้ำอย่างสงบ ใจนึกอยากจะให้นาทีถัดมามีปลาดำตัวใหญ่หนักร้อยกว่าจินมากินเบ็ด นางจะกระชากมันขึ้นฝั่งเสียเลย
เฉินผิงอันกำลังใคร่ครวญกระบวนท่าที่สี่ในตำราหมัดเขย่าขุนเขาที่ถูกตั้งชื่อว่าท่าฟ้าดิน เป็นท่าหมัดที่ใช้คำเอ่ยอ้างอย่างใหญ่โต นอกจากจะอธิบายวิธีโคจรลมปราณแท้จริงอย่างละเอียดแล้ว ยังมีท่าหมัดที่ผนวกรวมทั้งการเคลื่อนไหวและหยุดนิ่ง ท่าทางออกจะประหลาดไปนิด มีอยู่สามขอบเขตคือเรียกร้องให้คนรุ่นหลังที่ศึกษาหมัดเขย่าขุนเขายืนกลับหัวฝึกหมัด โดยแบ่งออกเป็นใช้ฝ่ามือ ใช้หมัดและใช้นิ้วข้างหนึ่งค้ำยันพื้น จากนั้นก็ ‘ออกเดิน’
เกี่ยวกับท่าหมัดนี้ ในตำรากล่าวด้วยถ้อยคำอันฮึกเหิมว่า ชายชาตรีสามารถค้ำฟ้ายันดิน ผู้ที่ฝึกวิชาหมัดของข้าต้องสั่งสอนให้ฟ้าดินพลิกกลับตามหมัดของข้า
มิน่าเล่าหลังจากผู้เฒ่าเปลือยเท้าอ่านตำราหมัดเขย่าขุนเขาแล้วถึงได้บอกว่าตำราลับวิชาหมัดที่ธรรมดาสามัญนี้ นอกจากจะพูดจาใหญ่โต โอ้อวดอย่างโอหังแล้วก็ไม่มีอะไรอีกเลย
เฉินผิงอันตบพื้นเบาๆ หนึ่งที เรือนกายพลิกกลับอย่างพลิ้วไหว ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งค้ำยันบนพื้นไม้ไผ่ที่ถักทอเป็นแพ
เผยเฉียนหันหน้ามามอง พอเห็นภาพนี้ก็นึกอยากจะหัวเราะ
เฉินผิงอันที่ยืนกลับหัวใช้มือข้างที่ว่างชี้ไปที่ผิวน้ำ บอกเป็นนัยให้เผยเฉียนตั้งใจตกปลาไป
เผยเฉียนจึงหันหน้ากลับไปอย่างเชื่อฟัง เฉินผิงอันเปลี่ยนจากฝ่ามือเป็นหมัด ใช้หมัด ‘ยันดิน’ จากนั้นก็ใช้นิ้วข้างเดียวยันพื้น ร่างของเขาขยับขึ้นสูงทีละนิด โคจรลมปราณที่แท้จริงตามกระบวนท่านี้ของวิชาหมัดเขย่าขุนเขา ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่รู้สึกถึงความยากเลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันหลับตาลง นอกจากใช้นิ้วข้างหนึ่งยันพื้นแล้ว มืออีกข้างหนึ่งยังใช้สองนิ้วประกบกันแล้ววางไว้ตรงหน้า ปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่อาเหลียงถ่ายทอดให้ คอขวดระหว่างหยุดสิบสองและสิบสามยังไม่อาจฝ่าทะลุไปได้ เดิมทีเฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อน เพียงแต่ว่าตอนที่อยู่ร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่าได้สอนสิบแปดหยุดไปให้เผยเฉียน ออกมาจากท่าเรือหางผึ้งได้ไม่นานเท่าไหร่ เผยเฉียนก็พูดด้วยน้ำเสียงลิงโลดน้อยๆ เหมือนหาเงินมาได้สองสามเหรียญทองแดง แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองร้ายกาจอะไรกับเฉินผิงอันว่า นางสามารถโคจรไปได้ถึงสิบสองหยุดแล้ว นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย ได้แต่กำชับกับเผยเฉียนต่อไปว่าห้ามหลงลำพองตน ห้ามใจร้อน ต้องก้าวเดินทีละก้าวไปอย่างมั่นคง
เฉินผิงอันรู้สึกร้อนใจอย่างอดไม่ได้ หรือบางทีควรจะพูดว่ารู้สึกกังวลใจ
หากเผยเฉียนใช้ความเร็วที่น่าตะลึงไต่ทะยานไปบนวิถีวรยุทธ์ สักวันหนึ่งลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่มีนิสัยชอบเล่นสนุกคนนี้ของตนจะเดินเคียงบ่าไปกับอาจารย์อย่างเขาเฉินผิงอัน และหลังจากนั้นยิ่งเดินนางก็จะยิ่งไปไกล นางจะเดินไปบนยอดเขาสูงเพียงลำพัง ก้มหน้าหลุบตาต่ำมองมายังโลกมนุษย์
ลูกศิษย์ไม่จำเป็นต้องด้อยกว่าอาจารย์เสมอไป นี่เป็นประโยคที่เฉินผิงอันพูดให้เจิ้งต้าเฟิงฟังเอง และสีครามเกิดจากต้นครามแต่เข้มกว่าครามก็เป็นข้อถกเถียงดั้งเดิมในบทความความรู้ของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง เฉินผิงอันไม่ได้คิดมากว่าเผยเฉียนจะเดินไปบนวิถีวรยุทธ์ได้สูงและไกลกว่าตน แต่เฉินผิงอันกลับเป็นกังวลกับตัวเองที่เป็นทั้งผู้ถ่ายทอดและผู้ปกป้องมรรคาของเผยเฉียนมากกว่า หากในอนาคตเผยเฉียนเดินเฉออกนอกมหามรรคา ตนควรจะทำอย่างไร? ก็เหมือนกับตอนนั้นที่โยนหินดีงูก้อนนั้นให้กับเจียวหลงเยาว์วัยในร่องเจียวหลง แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า ‘หากเป็นกรรมสัมพันธ์ก็แค่สะบั้นด้วยกระบี่เดียว’ เขาเฉินผิงอันจะทำได้หรือ? ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ต่อให้เขามีใจที่เหี้ยมอำมหิตเช่นนี้จริง ทว่าเวลานั้นระดับความสูงในการเรียนยุทธ์ของเผยเฉียน ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้เฉินผิงอันมองไม่เห็นแผ่นหลังของนาง แล้วเขาจะสะบั้นวิถีวรยุทธ์ของนางได้อย่างไร?
ในพื้นที่มงคลดอกบัว ภายใต้การนำพาของนักพรตผู้เฒ่าตงไห่ เดินทางไกลผ่านพันภูเขาหมื่นสายน้ำ เคยใช้ฐานะของคนนอกสถานการณ์มองการสมคบคิดกันตักตวงผลประโยชน์ของวิญญูชนในราชสำนักหนึ่ง ในช่วงเวลาแปดสิบปี พวกเขาเปลี่ยนจากบุคคลที่เป็นกังวลต่อบ้านเมืองเป็นห่วงอาณาประชาราษฎร์ วางแผนเพื่อชีวิตที่ดีให้แก่ปวงประชา ค่อยๆ กลายมาเป็นคนที่สร้างบรรยากาศขุ่นมัว สร้างสายลมกัดกินกระดูกคน ผู้คนต่างก็เห็นวิญญูชนเป็นแบบอย่าง ในเมื่อเป็นวิญญูชนแล้วจะมีข้อบกพร่องได้อย่างไร? ขอแค่คนผู้หนึ่งตกต่ำถูกลดขั้นในราชสำนัก ไม่มีใครถามว่าผิดหรือถูก คนทั้งราชสำนักล้วนพากันเจ็บแค้น เดือดดาลต่อศัตรูทางการเมือง ทุกคนต่างก็ปลอบโยน ‘สหายสนิท’ ผู้นั้น หักกิ่งหลิวส่งเขาเดินทาง ชูจอกเหล้าดื่มปลอบใจที่เขาต้องเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ทอดถอนใจแทนเขาว่าจิตใจคนไม่บริสุทธิ์ดั่งสมัยโบราณ หมาป่าหมาในสมคบคิดเป็นพวกเดียวกัน แล้วก็จะมีลูกศิษย์เหล่าปัญญาชนวงการวรรณกรรมที่อยู่ห่างไกลในยุทธภพชักนำทิศทางคำวิจารณ์ แต่งประวัติศาสตร์มากมายให้แก่ศัตรูทางการเมืองที่บ้างก็เกินจะทนรับ บ้างก็ปั้นน้ำเป็นตัว
ในเมื่อเฉินผิงอันมีความคิดจะก่อตั้งสำนัก แน่นอนว่าต้องกำจัดสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดอย่างนี้ทิ้งไป
หากแม้แต่เผยเฉียนที่เป็นคนใกล้ชิดใกล้ตัวที่สุดก็ยังไม่อาจสอนได้ดี เฉินผิงอันจะเอาอะไรมากล้าพูดว่าสำนักของตัวเองในอนาคต อีกพันอีกหมื่นปีให้หลังจะไม่ใช่สำนักใบถงแห่งที่สอง? ตนจะไม่ใช่ตู้เม่าคนที่สอง?
เรียนหนังสือรู้มารยาท เรียนวรยุทธ์เพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเอง
นี่ก็คือความตั้งใจเดิมที่เฉินผิงอันมีต่อเผยเฉียน
ในสถานการณ์ทั่วไป นี่ก็เหมือนการใช้สองขาเดินไปบนเส้นทาง หากทุกด้านสมดุลก็ไม่มีปัญหา แต่ประเด็นสำคัญคือพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ของเผยเฉียนสูงเกินไป โชคชะตาฝ่ายบู๊สูงเกินไป สักวันหนึ่งขอแค่นางรู้สึกว่าหลักการเหตุผลในตำราเป็นเพียงแค่งานเหนื่อยยากที่ไว้ใช้รับมือกับเฉินผิงอันเท่านั้น หากวันหนึ่งนางรู้สึกว่าการพูดคุยกับคนอื่นด้วยเหตุผลเป็นเรื่องที่น่ารำคาญและน่าเบื่อเกินไป นางก็จะรู้สึกว่าตัวเองมีวิชาหมัด ตรงเอวมีเตาเจี้ยนชั่ว (กระบี่และดาบสลับกัน) ไม่ว่าเรื่องใดก็เป็นไปตามใจปรารถนา ไม่ต้องรักษากฎ ไม่รู้จักคำว่าสำรวมตน ก่อนหน้านี้เพื่อให้บนโลกมีปีศาจใหญ่โอสถทองที่ช่วยเหลือผู้อื่นเพิ่มขึ้นมาอีกตน จ่ายเงินร้อนน้อยไปห้าสิบเหรียญเฉินผิงอันก็ยังไม่ขมวดคิ้ว ถ้าเช่นนั้นในอนาคตการที่เขาจะสร้างผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าหรืออาจถึงขั้นขอบเขตสิบที่สนแค่จุดยืนและผลประโยชน์ของตัวเอง อย่าได้คิดจะมาพูดเรื่องถูกผิดกับข้า ก็อย่าว่าแต่เงินร้อนน้อยห้าสิบเหรียญเลย ต่อให้เป็นเงินฝนธัญพืชห้าสิบห้าร้อยเหรียญก็ไม่ช่วยอะไร
เฉินผิงอันยืนอยู่ในท่ากลับหัว หลับตาครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง คิดไปคิดมา แต่ก็ยังหาคำตอบที่ดีต่อทั้งสองฝ่ายไม่ได้
หรือว่าเพียงแค่เพราะคำว่า ‘ถ้าหาก’ ในอนาคตนั้น จะต้องสะบั้นเส้นทางวิถีวรยุทธ์ของเผยเฉียนในเวลานี้จริงๆ?
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในหุบเขา เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนอิสระที่มีเจตนาชั่วร้าย แต่กลับยังไม่ได้สร้างโศกนาฎกรรมที่แท้จริง เฉินผิงอันบอกว่า ‘โชคดีที่ไม่ปรากฏผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ดังนั้นจึงสามารถพูดคุยกันด้วยเหตุผลได้’ ไม่อย่างนั้นเหตุใดเฉินผิงอันยังจะต้องใช้วิธีอ้อมไปอ้อมมาเช่นนั้น ก็แค่อาศัยความสามารถของใครของมันเข่นฆ่ากันก็พอ
หลังจากที่เฉินผิงอันเอ่ยคำว่า ‘ถามใจตัวเอง’ ในโรงเตี๊ยมริมชายแดน เมื่อผ่านศึกที่นครมังกรเฒ่า เข้าใจเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงของสำนักใบถงจากคำบอกเล่าของนักพรตหญิงหวงถิง เฉินผิงอันก็ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงความคิดตัวเองอีกเล็กน้อย เพราะเฉินผิงอันรู้สึกว่าควรจะถอยก้าวเล็กๆ เนื่องจากสถานการณ์แตกต่างย่อมต้องปรับใช้วิธีที่เหมาะสม เนื่องจากแต่ละคนไม่เหมือนกันจึงย่อมมีความแตกต่าง ศึกษาทบทวนใน ‘ก้าวเล็กๆ’ นี้ให้มากขึ้น ใคร่ครวญให้มากขึ้น ไม่อย่างนั้นหากทุกคนบนโลกใช้คำว่า ‘ถามใจตัวเองไม่ละอาย’ มาเป็นข้ออ้างกับทุกเรื่อง ถูกและผิดย่อมยังปะปนกันอย่างยุ่งเหยิงอยู่เหมือนเดิม
—–
บทที่ 378.2 กินเต้าหู้เหม็นกันเถอะ
เผยเฉียนที่กำลังหงุดหงิดว่าเหตุใดปลาทั้งหลายถึงไม่เห็นแก่หน้ากันขนาดนี้จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บแก้มนิดๆ แล้วก็เห็นว่าสุยโย่วเปียนกำลังขยิบตามาให้นาง เผยเฉียนมองตามสายตาของสุยโย่วเปียนไปจึงเห็นว่าเฉินผิงอันที่อยู่ห่างไปไม่ไกลขมวดคิ้วแน่น สีหน้าแตกต่างไปจากยามปกติ
สุยโย่วเปียนเก็บนิ้วที่ดีดหยดน้ำไปกระทบแก้มเผยเฉียนกลับมาแล้วทอดสายตามองไปไกลต่ออีกครั้ง
เผยเฉียนวางคันเบ็ดตกปลาลงเบาๆ เดินย่องไปหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน นั่งยองอยู่ตรงนั้นจ้องมองคิ้วของอาจารย์ตัวเอง
หรืออาจารย์เพิ่งจะรู้สึกตัว เวลานี้จึงเริ่มเสียดายเงินร้อนน้อยห้าสิบเหรียญที่เสียไปเปล่าๆ พวกนั้นแล้ว?
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น มองใบหน้าดำปี๋ที่ถูกลมพัดถูกแดดเผาตลอดเวลาจึงยังไม่ขาวขึ้น ถามด้วยรอยยิ้ม “เป็นอะไรไป?”
เผยเฉียนคิดแล้วก็ถามว่า “อาจารย์ มีเรื่องในใจหรือ? เล่าให้ข้าฟังก็ได้นะ”
เฉินผิงอันออกแรงตรงข้อมือเล็กน้อย ร่างก็พลิกกลับมาเปลี่ยนเป็นท่ายืนปกติ จากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิ รู้สึกลังเลตัดสินใจไม่ได้
เรื่องราวอยู่ไกลเกินไป เหตุผลยิ่งใหญ่เกินไป
ตอนนี้เผยเฉียนยังอายุน้อยเกินไปหรือเปล่า? คำพูดและอารมณ์ของตนจะเป็นดั่งก้อนหินยักษ์หนักอึ้งที่กดทับอยู่บนบ่าของนางหรือไม่?
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ดื่มเหล้าดองหลอมเล็กหนึ่งอึก ลมเย็นที่พัดโชยมาระใบหน้าเบาๆ ทำให้อารมณ์ของเฉินผิงอันผ่อนคลายได้เล็กน้อย
ชีวิตคนไม่ยืนยาวถึงร้อยปี ไยต้องมัวแต่พะวงกับเรื่องในอนาคตที่อยู่ไกลเป็นพันเป็นหมื่นปี
เฉินผิงอันดื่มเหล้าไปแล้วก็ยิ้มตาหยี เอ่ยเยาะหยันตัวเองอยู่ในใจว่าตอนนี้เริ่มมีท่าทีเหมือนบัณฑิตบ้างแล้วอย่างนั้นหรือ?
เขาหันหน้ามา ยิ้มกล่าวว่า “เกี่ยวข้องกับเจ้า อยากฟังหรือไม่?”
เผยเฉียนกลืนน้ำลาย รีบย้อนทบทวนว่าตลอดทางที่ผ่านมาตัวเองทำเรื่องเกเรซุกซนอะไรไปบ้าง แล้วก็พอจะรู้ว่าคงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่แค่โดนเขกมะเหงกหนึ่งหรือสองที ดังนั้นจึงพูดหน้าม่อยว่า “ไม่ฟังได้ไหม? รอให้ข้าอายุมากกว่านี้อีกหน่อย จำเรื่องได้มากขึ้นอีกนิด อาจารย์ค่อยพูดให้ข้าฟังดีกว่ากระมัง?”
เฉินผิงอันลูบศีรษะเล็กๆ ของนาง “ไม่ได้เกี่ยวข้องว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี ก็แค่ความในใจบางอย่างของข้า ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเขกหัวหรือถูกบิดหู”
เผยเฉียนที่ไม่เหลือความกังวลใจรีบนั่งตัวตรงทันที หันหน้าเข้าหาเฉินผิงอันที่นั่งหันข้างให้นาง ดวงตาของนางแฝงรอยยิ้ม มือจับประคองเตาเจี้ยนชั่วสองเล่มที่ทำจากไม้ไผ่ตรงเอว แสร้งทำเป็นกล่าวว่า “อาจารย์โปรดพูด! ศิษย์ล้างหูรอฟังแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้ม แล้วก็เบี่ยงตัวกลับมาเล็กน้อย คนทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน เขาถามว่า “หากมีวันหนึ่ง วิชาดาบวิชากระบี่ รวมถึงวิชาหมัดของเจ้าล้วนเก่งกาจกว่าอาจารย์ จากนั้นก็เจอเรื่องหนึ่ง อาจารย์บอกว่าถูก เจ้ารู้สึกว่าผิด จะทำอย่างไร?”
เผยเฉียนตอบอย่างไม่ลังเล “ก็ต้องเชื่อฟังอาจารย์น่ะสิ ยังจะทำอย่างไรได้อีก”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ลองตั้งใจคิดดูอีกหน่อย”
เผยเฉียนเริ่มเกาหัว พูดหน้านิ่วคิ้วขมวด “แต่ข้ารู้สึกว่าถ้าอาจารย์บอกว่าถูกก็คือถูก บอกว่าผิดก็คือผิดนี่นา”
เฉินผิงอันเงียบงันไป
เผยเฉียนจึงได้แต่คิดเหลวไหลไปส่งเดช ความคิดล่องลอยไปไกลนับหมื่นลี้ ถึงอย่างไรก็ดูเหมือนว่าอาจารย์จะไม่รีบอยู่แล้วนี่นา
แล้วจู่ๆ เผยเฉียนก็ถามว่า “หากในอนาคตมีวันหนึ่งที่ข้าเก่งกาจกว่าอาจารย์ นั่นต้องเก่งกาจแค่ไหน?”
เฉินผิงอันตอบ “ยกตัวอย่างเช่นโจรเฒ่าตู้ที่หวงถิงเรียก ตู้เม่าแห่งสำนักใบถง มีตบะขอบเขตบินทะยาน”
เฉินผิงอันยิ้มแล้วพูดเสริมอีกว่า “ตอนนี้พวกเราพูดถึงแค่ตบะ ไม่พูดถึงนิสัยใจคอ”
เผยเฉียนอ้าปากกว้าง พูดด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “โอ้โห ถ้าร้ายกาจขนาดนั้น ในบ้านก็ต้องมีภูเขาเงินภูเขาทองเลยกระมัง จะนับเงินได้หวาดไหวหรือ? นับเงินเหนื่อยเกินไป แต่ถ้าไม่นับให้ชัดเจนก็กลัวว่าจะถูกคนขโมยไป เฮ้อ ความกังวลใจของคนมีเงิน เมื่อไหร่ข้าถึงจะมีได้บ้างนะ…”
เฉินผิงอันมองเด็กหญิงผิวดำเกรียมที่ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นกังวลใจแล้วพลันหลุดหัวเราะพรืด โน้มตัวไปข้างหน้า ตบศีรษะของเผยเฉียนเบาๆ
“ที่บ้านเกิดข้ามีอริยะสำนักการทหารอยู่คนหนึ่ง ช่างหร่วนที่ตีเหล็กหลอมกระบี่ ตอนนี้มาย้อนนึกดูมีอยู่ข้อหนึ่งที่เขาทำได้ดีมาก ก็คือเรื่องเกี่ยวกับการรับลูกศิษย์ ช่างหร่วนจะไม่ดูแค่พรสวรรค์ แต่จะดูว่าใช่คนบนเส้นทางเดียวกันหรือไม่ สามารถเดินไปบนมหามรรคาร่วมกันได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าหาลูกศิษย์ที่พรสวรรค์ดีเยี่ยม แต่นิสัยกลับเข้ากันไม่ได้ หรือไม่ก็เป็นลูกศิษย์ที่ขอแค่อาจารย์มีข้อขัดแย้งกับคนอื่นก็หยัดยืนขึ้นอย่างฮึกเหิม คิดแต่จะตีรันฟันแทงกับคนอื่นท่าเดียว”
เผยเฉียนทำท่าจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันพูดต่อว่า “กลับมาคำถามข้อแรกสุด หากเจ้าทะเลาะกับอาจารย์ ควรจะทำอย่างไร? ไม่ใช่รู้สึกว่าอาจารย์ทำถูกทุกเรื่อง อาจารย์ไม่ใช่อริยะ ย่อมต้องทำผิดพลาดได้ พวกเราควรจะทำเหมือนวันนี้ เจ้ากับข้านั่งเผชิญหน้ากัน จากนั้นก็พูดถูกผิดและเหตุผลของแต่ละคนออกมาอย่างชัดเจน รับฟังคนที่มีเหตุผล ข้าเฉินผิงอันจะไม่ใช้สถานะอาจารย์ของเจ้าเผยเฉียนมากดข่มเหตุผลของเจ้า หากถึงเวลานั้นเจ้าเผยเฉียนร้ายกาจมากแล้ว สามารถต่อยข้าให้ตายได้ด้วยหมัดเดียวอย่างง่ายดาย แต่ก็ไม่สามารถใช้ความสูงส่งของตบะมาทำทุกอย่างตามใจปรารถนาโดยไม่สนใจเหตุผลที่ข้าเฉินผิงอันพูดกับเจ้า”
น้ำตาพลันเอ่อคลอดวงตาของเผยเฉียน
อันที่จริงนางฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่กลับรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างมาก
โดยเฉพาะเมื่อเผยเฉียนได้ยินเฉินผิงอันพูดประโยคที่ว่า ‘ต่อยข้าให้ตายได้ด้วยหมัดเดียวอย่างง่ายดาย’ เผยเฉียนก็เสียใจจนแทบจะใจสลายอยู่แล้ว
เผยเฉียนหันตัวกลับไป แอบหลั่งน้ำตา ไม่มองเฉินผิงอันที่พูดจาเหลวไหลคนนี้อีก
เฉินผิงอันก็หันตัวกลับมานั่งตำแหน่งเดิม หันหน้ามองทะเลสาบ ลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชยมาพาให้ผิวน้ำเกิดคลื่นเป็นริ้วๆ เขายื่นฝ่ามือออกไปแล้วขยับขึ้นสูงเรื่อยๆ “อันที่จริงเหตุผลก็มีแบ่งสูงต่ำ ก็เหมือนวงกลมที่ข้าวาดบนยอดเขาก่อนหน้านี้ที่ก็มีแบ่งเล็กใหญ่เช่นกัน อาจารย์เคยไปเยือนสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าแคว้นไฉ่อี เจอกับปีศาจจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่งในวัดร้าง มันชอบอ่านนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญ แล้วก็ชอบหลอกผู้คนส่งเดช แต่ไม่เคยทำร้ายคนอย่างแท้จริง กลับกันยังช่วยพวกเขาบังลมบังฝน ครั้งนี้พวกเราได้มาเจอวัวดินสีเหลืองที่ต่อให้ตายก็ไม่ยอมพลิกตัวตัวนั้นอีก ถ้าอย่างนั้นนี่ก็หมายความว่าเผ่าปีศาจโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ พวกเราสามารถกระโดดข้ามการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของเหล่าเซียนกระบี่ที่หันปลายกระบี่ไปทางใต้นับพันนับหมื่นปีเพื่อไปให้ความสงสาร ไปซักถามเหล่าเซียนกระบี่ว่าเหตุใดถึงได้อำมหิตโหดเหี้ยม หรือในเผ่าปีศาจจะไม่มีพวกคนที่เคยทำความดีอยู่เลย?”
เผยเฉียนยังคงหันหลังให้เฉินผิงอัน สูดน้ำมูกพูดเสียงสะอื้น “ข้อนี้ข้ารู้ คนเหล่านี้ไม่แบ่งแยกถูกผิดก่อนหลัง ไม่แบ่งแยกหลักการเหตุผลว่าเล็กหรือใหญ่”
เฉินผิงอันใช้มือวาดวงกลมที่ใหญ่ที่สุดวงหนึ่ง อีกมือหนึ่งชูขึ้นเหนือศีรษะ “แต่ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง และยังมีท่านผู้เฒ่าป๋ายที่เล่าลือกันว่าช่วยสร้างกระถางใหญ่และวาดภาพค้นภูเขาให้แก่เผ่ามนุษย์ ข้ารู้สึกว่าเป็นพวกเขาต่างหากที่ถึงจะมีคุณสมบัติพูดถึงหลักการที่ ‘ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน’ พวกเรายังห่างชั้นไกลนัก แต่ทำไมพวกเขาถึงต้องขังตัวเองอยู่ในกงเต๋อหลิน ถูกกักขังอยู่ในหอพิทักษ์เมือง? เพราะแบบนี้ พวกเราก็ควรจะรู้สึกว่าพูดเหตุผลไปก็ไร้ประโยชน์แล้วหรือเปล่า? ระหว่างฟ้าดินแห่งนี้ไม่มีการตอบแทนด้วยความดีและความชั่วอีกแล้ว?”
เผยเฉียนหันกลับมานั่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ก้มหน้าพูดว่า “แต่คนเลวบางคนก็มีชีวิตที่ดีกว่าคนดีอีกนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ดังนั้นภิกษุเฒ่าที่วัดซินเซียงของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนจึงพูดแล้วว่า โลกใบนี้มักจะติดค้างคนดีอยู่เสมอ”
เผยเฉียนถามเบาๆ “แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ?”
เฉินผิงอันไม่ได้ดื่มเหล้าดองหลอมเล็กในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แต่เอาเหล้าหมักกุ้ยฮวากาหนึ่งออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ พอเปิดออกแล้วก็จิบคำเล็กๆ หนึ่งคำ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ในตำราคงจะกำลังรอให้พวกเราไปค้นหากระมัง?”
ในป่าที่ห่างออกไป วัวดินสีเหลืองนอนหมอบอยู่กับพื้นกำลังครุ่นคิด
แม้ว่าสุยโย่วเปียนจะมีสีหน้าเฉยชา แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเงี่ยหูคอยฟังอยู่ตลอดเวลา
เผยเฉียนเช็ดน้ำตา ยิ้มพูดว่า “อาจารย์ คราวก่อนตอนที่ออกจากท่าเรือหางผึ้งได้ไม่นานเท่าไหร่ ตอนที่หุงข้าวกัน บทเพลงพื้นบ้านของท่านร้องว่าอย่างไรแล้วนะ ทำไมถึงไม่มีเนื้อเพลงล่ะ? ท่านลองคลออีกสักครั้งสิ ข้าอยากจะหัดร้องตาม”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “เพื่อนรักของข้าเป็นคนสอนเอง แต่งเนื้ออะไรใส่เข้าไปก็ได้ ที่บ้านเกิดของข้าสามารถเอามาใช้ด่าคนหยอกคน เอามาใช้ผ่อนคลายเวลาทำงานเหนื่อย แล้วก็สามารถเอามาใช้…เวลาดื่มเหล้า”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาหนึ่งคำ แล้วก็เริ่มคลอเพลงในลำคอเบาๆ ยิ้มแล้วชี้มาที่เผยเฉียน “เสี่ยวเอ้อร์ของร้าน ข้าซื้อตำราบางเล่ม รู้จักตัวอักษรหลายตัว สะสมความรู้ไว้เต็มท้อง ขายได้ไม่กี่อีแปะ”
โอ้โห
กำลังพูดถึงนางเผยเฉียนอยู่นะ
เผยเฉียนอารมณ์ดีสุดๆ หลุดปากพูดไปอย่างอดไม่ไหวว่า “เต้าหู้เหม็นอร่อยแต่ซื้อไม่ไหว!”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างรู้ใจ “บนภูเขามีภูตผีปีศาจมากมาย ทะเลสาบแม่น้ำมีผีพราย ตกใจจนต้องหันกลับ ที่แท้ห่างจากบ้านมาไกลหลายปีแล้ว”
เผยเฉียนเอ่ยคล้อยตาม “กินเต้าหู้เหม็นกันแถอะ!”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าอีกหนึ่งอึก ชี้นิ้วไปยังจุดอื่นอย่างไม่ใส่ใจ บังเอิญที่ไปตรงกับตำแหน่งของสุยโย่วเปียนพอดี จึงกล่าวอย่างไม่คิดอะไรมาก “แม่นางน้อยของบ้านใด บนร่างมีกลิ่นหอมกล้วยไม้ เหตุใดร้องไห้หน้าลายพร้อย เจ้าว่าน่าสงสารหรือไม่?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง “ไม่ได้กินเต้าหู้เหม็น น่าสงสารจริงๆ!”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี ชี้นิ้วไปยังจุดสูง คลอเพลงเบาๆ “ลองถามอาจารย์ว่าทำเช่นไร บนกิ่งไม้แขวนว่าวตัวเล็กตากแดดเอาไว้”
เผยเฉียนกุมท้องหัวเราะก๊าก “กินเต้าหู้เหม็นกันเถอะ เต้าหู้เหม็นหอมอร่อย!”
ตรงกระท่อมไม้ไผ่ จางซานเฟิงกับสวีหย่วนเสียมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน
จูเหลี่ยนหลับตายิ้ม โคลงศีรษะตามไปด้วย
หลูป๋ายเซี่ยงตบเข่าเบาๆ
สุยโย่วเปียนไม่ได้โมโหอย่างที่หาได้ยาก กลับกันยังเอามือปิดปากหัวเราะจนดวงตาหยีลง
เว่ยเซี่ยนเอามือเท้าคาง เอียงศีรษะ ไม่รู้ว่ามานั่งอยู่ตรงหน้ากระท่อมตั้งแต่เมื่อไหร่ เขากำลังมองไปยังแผ่นหลังของเด็กหญิงที่มีผิวสีดำเป็นถ่าน
อาจารย์และศิษย์สองคน คนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ เสียงดังกังวานอยู่ท่ามกลางภูเขาเขียวน้ำใส
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น