ท่านเทพมาแล้ว 376-379
บทที่ 376 เขายังเยียวยาได้!
โดย
Ink Stone_Romance
มู่จิ่วมองยันต์ที่ยังคงกะพริบอยู่ คิ้วยิ่งขมวดแน่นขึ้น จากนั้นนางเป่าขลุ่ยล่าเซียน มองไปยังทางที่คลื่นเสียงเคลื่อนไป แววตาก็ทะมึนลง
แสงของยันต์นั้นกะพริบมาหลายชั่วยามแล้ว เขายังคงอยู่ใกล้ๆ นี้ไม่ไปไหน หรือว่ากำลังรอโอกาสลงมือ?
เขาคิดจะทำอะไร ละทิ้งหนทางมีชีวิต ลากคนทั้งสำนักแรกพยับตายตกไปกับเขาและเหลียงชิวฉานหรือ?
“อยู่นิ่งๆ ก่อน ลาดตระเวนตามปกติพอแล้ว และก็อย่าทำให้เหล่าผู้อาวุโสบนเขาตกใจ รอพวกเขารู้เรื่องก่อนค่อยว่ากัน ยังไม่แน่เลยว่าจะเป็นเขา” นางพูด
เหล่าพวกผู้อาวุโสล้วนคนเป็นชั้นเซียน พลังอาคมย่อมเหนือกว่าหลินเจี้ยนหรู การหาตัวเขาพบไม่ใช่เรื่องยาก
คนในสำนักแรกยับมีดีไม่กี่คน เหล่าผู้อาวุโสก็เช่นกัน เวลาปกติโอ้อวดตนว่าเป็นสำนักฝ่ายธรรม แต่พอเกิดเรื่องกลับหลบหลีกไปไกลกันหมด เมื่อพื้นฐานเป็นแบบนี้ ก็ไม่แปลกอะไรที่ยอมให้เหล่าศิษย์ในสำนักรังแกหลินเจี้ยนหรู ดังนั้นมู่จิ่วจึงไม่ได้มองพวกเขาดีเท่าไหร่นัก
นางซุ่มรออยู่บนเขาเช่นนั้น
หลินเจี้ยนหรูก็อดทนนัก อยู่ในถ้ำมาหลายวันแล้ว
เขารู้ว่ามู่จิ่วมาถึงแล้ว ราวกับพวกเขาเปิดเผยการเคลื่อนไหว แต่กลับไม่รู้ว่านางมาทำอะไร
เขาอยากให้พวกนั้นจากไปเร็วหน่อย ถึงแม้มีเวลาเพียงหนึ่งเค่อ เพียงพวกเขาก้าวเท้าหน้าจากไป เขาก็จะตามขึ้นเขาทันที
กระทั่งจะเข้าโจมตีจากมุมไหน เข้าสยบใครก่อน เขาก็คิดไว้หมดแล้ว หลินเจี้ยนหรูเก็บฟืนอยู่ที่แรกพยับมาหลายปี ล่าสัตว์อยู่บนเขาไม่รู้กี่รอบ เขาย่อมรู้ตื้นลึกหนาบางดี
ลู่ยายังไม่รู้เรื่องตอนที่มู่จิ่วออกจากบ้าน จนเขาออกไปแล้วได้ยินว่านางไปแรกพยับก็ชะงักอยู่บนระเบียงทางเดิน แต่ก็ไม่ได้คิดจะตามไป ยิ่งยามที่มู่จิ่วยังสงสัยเขาอยู่เช่นนี้ ไม่ว่าทำอะไรก็เกรงว่าจะเป็นการกระตุ้นให้นางคิดฟุ้งซ่าน เขาอยู่นิ่งเฉยจะดีกว่า
แต่ทางด้านมู่จิ่วยังไม่ได้รายงานไปที่หน่วยงาน หลิวจวิ้นก็รู้เรื่องแล้ว
ไม่นานเขาก็นำกำลังคนมาที่แรกพยับ
มู่จิ่วกำลังคิดจะไปหาหลินเจี้ยนหรู เมื่อพบหลิวจวิ้นก็ตกใจไป “ใต้เท้ามาได้อย่างไรเจ้าคะ?”
หลิวจวิ้นตอบ “ได้ข่าวว่าหลินเจี้ยนหรูปรากฏตัวแล้วหรือ อยู่ใกล้ๆ แถวนี้นี่เอง?”
มู่จิ่วไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี นางไม่เคยคิดอยากบอกเขาเลย ถ้าเขามาหลินเจี้ยนหรูจะหนีไปได้อย่างไร?
“ยังไม่แน่ชัดเจ้าค่ะ อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ข้าไม่คิดว่าเขาโง่ขนาดนั้น” นางพูดตะกุกตะกัก กระทั่งตนเองยังรู้สึกว่าพูดมั่วซั่วไปหมด
“กัวมู่จิ่ว!” หลิวจวิ้นหน้าตึง “นี่เป็นคดีที่สวรรค์เบื้องบนสั่งการมา เจ้าคิดจะทำอะไร?!”
มู่จิ่วใจสั่น มือกระชับกระบี่ ไม่กล้าส่งเสียงใดอีก
ตามหลักเหตุผลแล้ว หลิวจวิ้นพูดได้ไม่ผิดแม้แต่น้อย นางสมควรจะจับเขาส่งทางการทันที แต่เมื่อนับถึงความเป็นเพื่อนแล้ว นางไม่อาจลงมือทำได้อย่างหมดจดจริงๆ
“ส่งคำสั่งของข้าออกไป ให้พลทหารลาดตระเวนเฉินอิงนำกำลังพลสามพันนายมาทันที ล้อมสำนักแรกพยับไว้ในระยะห้าร้อยลี้!” หลิวจวิ้นตะโกนสั่ง จากนั้นกัดฟันมองนาง “กัวมู่จิ่ว เจ้าอย่าลืมว่าเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายธรรม ต่อมาก็เป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ผู้รักษากฎระเบียบ และสุดท้ายถึงค่อยเป็นเพื่อนของหลินเจี้ยนหรู!”
“เจ้าบำเพ็ญตนเพื่ออะไร? เพื่อให้เห็นสัจธรรม! เจ้ารักษากฎระเบียบทำไม? ก็เพื่อปกป้องความยุติธรรม! วันนี้ไม่ต้องพูดว่าหลินเจี้ยนหรูเป็นเพียงเพื่อนเจ้าเท่านั้น ถึงแม้เขาเป็นพี่น้องของเจ้า เจ้าก็ต้องรักษาความตั้งใจเดิมในการบำเพ็ญเป็นเซียนโดยไม่สนใจความสัมพันธ์ส่วนตน! ทัพทหารสวรรค์ไม่ต้องการคนโลเลไม่เด็ดขาด เจ้าไม่ชัดเจนแบบนี้ จะให้ผู้อื่นไว้ใจได้อย่างไร?!”
ใจของมู่จิ่วเต้นราวกับรัวกลอง มือกุมกระบี่แน่นขณะพูดอะไรไม่ออก
นางอยากบอกว่านางไม่ได้โลเลไม่เด็ดขาด แต่นางอยากปรานีหลินเจี้ยนหรูสักหน่อย ไม่ใช่ว่านางไม่โกรธที่เห็นเขาฆ่าคนต่อหน้าต่อตา ทั้งยังเคยคิดจะฆ่าเขาเช่นกัน แต่ในเมื่อรู้ที่มาที่ไปทั้งหมด การตามล่าสังหารผู้ที่ถูกบีบคั้นให้ทำผิดเช่นนี้เป็นเรื่องดีแล้วหรือ?
หลิวจวิ้นเดินนำไปก่อนโดยไม่สนใจนางอีก
เหล่าพลทหารแต่ละกองกลับสวรรค์ไปเกณฑ์ทหารมา
มู่จิ่วกำหมัดแน่น แต่ก็ต้องตามออกไปเช่นกัน
นางไม่อยากให้หลินเจี้ยนหรูโดนจับคือเรื่องจริง แต่หลิวจวิ้นออกคำสั่งมาแล้ว นางจึงไร้หนทางใดอีก หวังเพียงว่าเขาจะมีไหวพริบ สามารถหาทางรอดให้ตนเองได้ก่อนที่ทหารสามพันนายจะมา
มู่จิ่วไล่ตามหลิวจวิ้นไปที่ประตู “ใต้เท้าไว้ชีวิตเขาได้หรือไม่เจ้าคะ? อย่าฆ่าเขาเลย? ข้าไม่คิดว่าเขาจะไร้หนทางเยียวยา”
“จับได้ก่อนค่อยว่ากัน!”
หลิวจวิ้นถลึงตาใส่นาง ก่อนเดินออกไป
พื้นที่โล่งด้านนอกมีศิษย์สำนักแรกพยับมารวมตัวกันเต็มพื้นที่
ในฐานะที่หลิวจวิ้นเป็นหัวหน้าบัญชาการหน่วยลาดตระเวน ข่าวการมาถึงของเขาย่อมกระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว
มู่จิ่วประมาทความเร็วในการเคลื่อนทัพของหน่วยลาดตระเวนเกินไป คำสั่งเพิ่งออกไปได้ไม่เกินเวลาครึ่งก้านธูป หลี่อี้ก็เดินเข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว “รายงานใต้เท้าทั้งสอง นายพลเฉินนำทัพทหารมาถึงแล้ว ตอนนี้รวมพลอยู่ที่ตีนเขา เหล่าผู้อาวุโสในสำนักแรกพยับหลายคนที่ได้ข่าวก็นำศิษย์ลงไปต้อนรับแล้ว คนเหล่านั้นต่างกำลังด่าว่าฆาตกรเลวทรามแซ่หลินอยู่หน้าทัพ”
มู่จิ่วขมวดคิ้ว ผู้อาวุโสในสำนักแรกพยับแต่ละคนล้วนต่ำตมเห็นแก่ตัว ไม่รู้ว่ามีสิทธิ์อะไรไปเรียกผู้อื่นว่าเลวทราม?
“รับทราบ” หลิวจวิ้นตอบ จากนั้นก็ไม่สนใจหลิวเติงเต้าเหรินที่กำลังพูดคุยกับเขาอย่างเป็นกันเองอีก กุมกระบี่เดินลงเขาไป
มู่จิ่วเหลือบมองหลิวเติงเล็กน้อย จากนั้นเดินลงเขาไปกับหลี่อี้
ตรงใต้ผานั้นมีพลทหารรวมตัวอยู่ทั้งหมดสามพันนาย แต่ละคนตัวตรงหน้าเคร่ง กระทั่งมือที่ถือทวนเหล็กก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย มู่จิ่วรู้สึกหนักใจ แบบนี้หากหลินเจี้ยนหรูยังไม่หนีไป จะเอาตัวรอดไปได้อย่างไร?
“จัดขบวน! ขวางทางเข้าออกทั้งหมด อย่าให้นกสักตัวหลุดรอดไปได้!” หลิวจวิ้นสั่งอยู่บนเก้าอี้ที่พลทหารนำมาให้
หลินเจี้ยนหรูอยู่ในถ้ำ รักษาบาดแผลไปพลาง รอพวกมู่จิ่วถอนตัวไปพลาง
เขานึกในใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจดึงนางเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยได้ คิดดูแล้วชาตินี้เขาคงไม่อาจมีอะไรตอบแทน ทำได้เพียงรอนางจากไปจึงค่อยลงมือ ให้นางหลุดพ้นจากการนองเลือดต่อจากนี้ไปเสีย ก็ถือว่าเป็นการตอบแทนแล้วกระมัง
รอบด้านมีสมุนไพร เขาเด็ดมาทาก็นับว่าได้ผลอยู่
ตอนกำลังนั่งสมาธิพลันรู้สึกว่ามีพลังวิญญาณเคลื่อนไหวอยู่ที่หน้าผาใกล้ๆ ใจกระเพื่อมไหวขึ้นมาอย่างไร้ที่มาที่ไป จึงรวมสมาธิสำรวจ เมื่อเห็นแล้วใบหน้าก็ถอดสี!
เป็นคนของทัพทหารสวรรค์!
เขาอยู่บนสวรรค์มาสองสามปี จะแยกไม่ออกได้อย่างไร?!
หรือมู่จิ่วรู้แล้วว่าเขาอยู่ใกล้ๆ จึงตั้งใจส่งทหารมาล้อมจับเขา?
เขาพุ่งไปยังปากถ้ำด้วยใจที่หนักอึ้ง เคลื่อนพลังมองไปยังทิศสำนักแรกพยับ ทะลุผ่านป่าไม้ไปก็เห็นพลทหารหลายพันคนรวมตัวตั้งขบวนล้อมจับอยู่ในอาณาบริเวณของสำนักแรกพยับแล้ว
เขาชะงักไปสามวินาที ก่อนจะวูบไหวหายไปตรงชายป่า!
เขารู้กำลังของตนเองดี เขาต่อกรกับทัพทหารสวรรค์ไม่ได้! และไม่คิดจะตายในเงื้อมมือพวกเขาเช่นนี้ด้วย เขาต้องหนี!
ขอเพียงหนีออกไปได้ เขายังมีโอกาสครั้งถัดไปอีก!
เขาไม่อาจยอมให้คนในสำนักแรกพยับมีโอกาสกดหัวเขา ล้อเลียนเขาด้วยการมองเยี่ยงสุนัขตัวหนึ่ง มองเขาโดนคนจับตัวไป จากนั้นก็ใช้ชีวิตต่อไปอย่างเย่อหยิ่ง และทำร้ายคนที่พวกเขาสามารถทำร้ายได้!
ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านในใจเขาเมื่อหลายวันก่อนหายไปแล้ว ที่แท้เขาก็มองมู่จิ่วผิดไป!
นางไม่ได้ต้องการส่งสัญญาณให้เขาจากไป แต่กลับลอบทำร้ายลับหลังตามหน้าที่!
ใจเขาราวกับมีแผลเก่าถูกกรีดออกจนเลือดไหล เขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ประหนึ่งต้องการวิ่งไปสู่ทางเลือกใหม่อีกทาง
……………………………
บทที่ 377 กลิ่นอายความสงสัย
โดย
Ink Stone_Romance
แต่ยังไม่ทันหนีไปได้ไกลเท่าไหร่ ด้านหน้ากลับพลันมีแสงแรงกล้าหลายสายพุ่งเข้ามาโจมตี!
“จะหนีไปไหน!”
ทหารสวรรค์หลายสิบนายถือทวนยาวเข้ามาขวางทางเขาไว้! เวลานี้เขาไม่มีทางครุ่นคิดมากขนาดนั้น พอชักกระบี่ออกมาก็ล้มไปหลายคน ก่อนรีบหนีไปอีก!
แต่การเคลื่อนไหวทางนี้ก็ชักนำนายทหารมาพร้อมกันอย่างรวดเร็ว เฉินอิงนำคนเข้ามาทันที!
หลิวจวิ้นที่อยู่ตรงตีนเขาเห็นสถานการณ์ก็เด้งตัวลุกขึ้น มู่จิ่วรับรู้ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัร มือนั้นเปียกชุ่ม ทำท่าทางจะรีบเข้าไป หลิวจวิ้นกลับตะโกน “หยุด!” นางจึงทำได้เพียงยืนนิ่ง กัดฟันมองเขา ใจเต้นจนแทบจะกระดอนออกมาแล้ว
เสียงห้ำหั่นจากในป่าดังออกมาไม่ขาดสาย หลินเจี้ยนหรูบ้าคลั่งไปแล้ว!
เขาอยากออกไป เขาต้องมีชีวิตอยู่!
ความบ้าคลั่งของเขาทำให้เหล่าพลทหารสวรรค์หวาดกลัว ทุกคนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนพลังไม่สูง ไม่ต่างจากตอนที่หลินเจี้ยนหรูเข้ามาใหม่ๆ นัก ฝีมือต่างกับเขามากนัก เมื่อเป็นเช่นนี้เลยเห็นความต่างทันที เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดสะท้อนก้องฟ้า คนที่เข้าไปถูกผลักกระเด็นออกมาทีละคน
มู่จิ่วทนไม่ไหวแล้ว “หากใต้เท้าต้องการชีวิตของหลินเจี้ยนหรู ทำไมไม่จัดการเสียเลย? มองเขาทำร้ายผู้ใต้บังคับบัญชามากมายขนาดนี้ มีประโยชน์อะไร!”
หลิวจวิ้นขมวดคิ้ว ชะงักไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยืนขึ้น “ไปกันเถอะ!”
ทั้งสองบินเข้าไปในป่า เห็นเพียงพวกเฉินอิงกำลังล้อมหลินเจี้ยนหรูเป็นวงกลม เขาเหมือนกับสัตว์ป่าดุร้ายตัวหนึ่ง อีกทั้งต้นไม้ทั้งสองด้านล้วนถูกพลังของเขาตัดไปกว่าครึ่ง บนพื้นเต็มไปด้วยไม้ระเกะระกะ เหล่าทหารที่บาดเจ็บถูกพยุงออกไปแล้ว พวกสัตว์ป่าตัวเล็กๆ ที่วิ่งช้าหน่อยถูกลมปราณเข้าก็นอนงอตัวอยู่บนพื้น
เมื่อมู่จิ่วเห็นหลินเจี้ยนหรูที่กำลังต่อสู้อยู่ เลือดลมก็เริ่มกระเพื่อมไหว
นี่เพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน? เขาที่แต่ก่อนดูประณีตเป็นธรรมชาติตลอดเวลา ตอนนี้เสื้อผ้ากลับยุ่งเหยิง เละเทะไปหมด!
“หลินเจี้ยนหรู! เจ้ารีบหยุดเสีย!”
นางอดไม่ได้ ตะโกนออกไปเสียงดัง
“ที่แท้ก็เป็นเขา!” เวลานี้เองเหล่าผู้อาวุโสของสำนักแรกพยับก็นำคนมาถึงแล้ว หลิวเติงเจินเหรินเห็นหลินเจี้ยนหรูที่กำลังต่อสู้อยู่ แววตาก็สว่างวาบ เงื้อมือขึ้นคิดจะออกกระบวนท่า
มู่จิ่วร้องพลางพุ่งเข้ามา “ทัพทหารสวรรค์ทำคดีอยู่ มีที่ให้พวกเจ้าสอดมือเข้ายุ่งหรือ!”
ครั้นสะบัดมือหนึ่งเข้าไป เหล่าผู้อาวุโสไม่อาจลงมือกับนางได้ จึงถอยหลังไปสิบก้าว
หลินเจี้ยนหรูเห็นคนมา ท่วงท่าจึงยิ่งรุนแรงขึ้น เขากัดฟันมองมู่จิ่วคราหนึ่ง ตวัดกระบี่ฟันแขนทหารที่อยู่ด้านหน้าไปเพื่อเปิดทางหนี
“หลินเจี้ยนหรู! เจ้ากลับสวรรค์ไปกับข้า ข้าจะร้องขอความปรานีแทนเจ้า!”
มู่จิ่วอดไม่ได้ตะโกนออกไป ไม่ว่าการหนีครั้งนี้ของเขาจะสำเร็จหรือไม่ แต่เขาก็ไม่เหลือทางถอยอีกแล้ว ไม่ว่าตายด้วยเงื้อมมือทัพทหารสวรรค์ หรือตายเพราะเลือกเอง นางล้วนไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ดีนัก! อวี้ตี้หวังหมู่ต่างก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล พวกเขาให้อภัยอู่เต๋อ ให้อภัยอ๋าวเชิน ย่อมไม่อาจไม่เข้าใจความเจ็บปวดของเขา!
“ร้องขอความปรานี?” หลินเจี้ยนหรูหยุดอยู่ใต้ต้นไม้ หันกลับมาฝืนยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้ายังเชื่อเจ้าได้อีกหรือ? ข้าเคยคิดว่าบนโลกใบนี้ คนที่ไม่อาจออกอุบายกับข้าได้คือเจ้า แต่เจ้ากลับแจ้งทัพทหารสวรรค์ให้มาล้อมจับข้า? จับข้าได้แล้ว คลี่คลายคดีใหญ่สำเร็จ เจ้าย่อมต้องได้รับการชื่นชมอย่างมาก เจ้าจะมีความจำเป็นอะไรต้องร้องขอความปรานีให้ข้า?”
มู่จิ่วอึ้ง นางไปแจ้งทัพทหารสวรรค์ให้มาล้อมจับเขาเมื่อไหร่? เขามองว่านางทำเพื่อผลประโยชน์หรือ?
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว!” นางยังไม่ทันพูด หลิวจวิ้นก็เอ่ยแทน “ข้าไม่ได้มาเพราะกัวมู่จิ่วเรียกมา เป็นข้าได้ยินข่าวเอง ตอนที่ข้ามานางยังร้องขอแทนเจ้า หากไม่เช่นนั้นแล้ว เจ้าคิดว่าทำไมนางถึงเฝ้าอยู่บนเขาอยู่หลายวันโดยไม่ลงมือทำอะไร?”
“ข้าไม่เชื่อ!” หลินเจี้ยนหรูกัดฟันกรอด “ตอนนี้ข้าเป็นมาร พวกเจ้าคือเจ้าหน้าที่สวรรค์อันสูงส่ง จะคิดหาวิธีปกป้องข้าได้อย่างไร? พวกเจ้าที่ถูกเรียกว่าเป็นฝ่ายธรรม นอกจากโอ้อวดทำตัวสูงส่ง ชอบเล่นหมาหมู่ นอกจากนั้นแล้วยังสามารถทำอะไรอีกบ้าง? สิ่งที่ข้าได้รับจากสำนักแรกพยับ ต่อให้ทำลายทิ้งไปทั้งสำนักก็ไม่นับว่าเกินไป!”
หลิวจวิ่นหน้าเคร่ง มือที่กุมกระบี่ก็เกร็งขึ้นมา
มู่จิ่วรีบเอ่ย “เจ้าอย่าได้วู่วาม เพื่อให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างดี เหลียงชิวฉานถึงได้สละชีวิตตนเอง ถึงแม้เจ้าจะไม่รักนาง ดีร้ายอย่างไรก็อย่าได้ทำร้ายความหวังดีของนาง! หากเจ้าไม่ไยดีในชีวิตของตนเอง เจ้าจะให้นางที่อยู่ในปรโลกคิดอย่างไร?!”
“ข้าไม่สนเรื่องพรรค์นั้น!” เขาส่ายหน้า น้ำตาไหลลงมา เขาเดินโงนเงนไปข้างหน้าหลายก้าว ชักกระบี่ชี้เหล่าทหารที่ขวางทางอยู่ “ข้ารู้ว่าในสายตาพวกเจ้า ข้าควรถูกเผาให้กลายเป็นเถ้าถ่าน ข้าก็รู้ ทำเรื่องนี้ลงไปข้าจะต้องเผชิญหน้ากับผลลัพธ์อะไร แต่ข้ายังไม่เข้าใจ ยังน้อยใจ ตอนแรกข้าไม่ใช่คนผิด ทำไมสุดท้ายข้าต้องรับผลกรรมด้วย?”
“หากฟ้ามีตา ทำไมถึงไม่ช่วยเอาคืนคนที่ทำร้ายข้า? ทำไมพอข้าอดทนก็กลับกลายเป็นว่าพวกเขายิ่งกลั่นแกล้งข้าอีก? ข้าไม่เข้าใจว่าข้าติดค้างอะไรพวกเขา? ข้าไม่ได้ติดค้างอะไร บุญคุณที่เลี้ยงดูมายิ่งไม่มี! ไม่ใช่ว่าข้าอยากเกิดมาเป็นลูกนอกสมรส เป็นพวกเขาที่ให้กำเนิดข้าเอง การให้ข้ามีชีวิตอยู่เป็นเรื่องไม่สมควรหรือ?”
“หรือการให้กำเนิดบุตรเลี้ยงดูบุตรนับเป็นการให้ทาน?”
“เดิมทียังรู้สึกไม่สบายใจเรื่องที่ฆ่าหลินเซี่ย ข้าเคยกลัวว่าสำนักแรกพยับจะกลับมาคิดบัญชีข้า ข้ายังเคยรู้สึกผิด แต่ตอนนี้ไม่อีกต่อไปแล้ว เขาสมควรตาย คนทั้งสำนักแรกพยับก็สมควรตาย! ข้าไม่ได้ทำผิด ข้าเพียงถูกบีบให้ใช้วิธีนี้ในการเรียกเกียรติของข้ากลับมา!”
เขายกมือทั้งสองขึ้น ร้องตะโกนพลางซัดฝ่ามือไปทั้งสี่ด้าน พลังเสวียนหมิงอันแข็งแกร่งพุ่งออกไปอย่างบ้าคลั่งจากฝ่ามือเขา เหมือนกับคลื่นยักษ์ซัดเข้าใส่กะทันหัน!
“จุดชีพจรของเขาเปิดออก ทะลวงจุดทั้งหมดแล้ว!”
มู่จิ่วหลุดปากตะโกน
เสียงของนางเพิ่งเงียบหายไป เสียงคร่ำครวญก็ดังขึ้นมาจากทุกทิศ ความเกรี้ยวกราดของหลินเจี้ยนหรู ความร้อนใจของเฉินอิง การปะทะของเหล่าพลทหาร พื้นที่นี่ได้กลายเป็นทุ่งสังหารไปแล้ว
หลิวจวิ้นขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่ากำลังลังเลอะไร
มู่จิ่วไม่อาจกังวลอะไรมากมายได้อีก รีบชักกระบี่พุ่งเข้าไป!
แต่ตอนนี้เอง ด้านนอกป่าพลันปรากฏร่างของคนคนหนึ่งขึ้น ร่างนั้นพุ่งเข้ามายังสนามรบ เพียงสะบัดแขนเสื้อเหล่าพลทหารก็ถอยร่นไป
คนผู้นี้รวดเร็วจนเมื่อมองไปเหมือนกับไม่ได้ขยับร่าง แต่กลิ่นไม้กฤษณาที่คุ้นเคยซึ่งลอยมาตามอากาศทำให้ใจของนางเต้นรัว “ลู่ยา!”
เสียงนี้ไม่ดังนัก มีเพียงพวกหลิวจวิ้นซึ่งอยู่ใกล้ๆ เท่านั้นที่ได้ยิน แต่ตอนนี้คนที่กำลังช่วยหลินเจี้ยนหรูฝ่าวงล้อมออกไปกลับชะงัก หันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว…
ชายชุดเขียว!
มู่จิ่วรู้สึกราวกับลำคอมีกลิ่นคาว ถึงแม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ สั้นจนกระทั่งไม่พอให้กะพริบตา แต่นางยังมองออก ทั้งยังมั่นใจว่าคนผู้นั้นคือชายชุดเขียว!
ทำไมบนร่างเขาถึงมีกลิ่นกฤษณา?
ทำไมถึงหันมาตอนที่นางเรียกชื่อลู่ยา?
………………………………………………
บทที่ 378 พลาดแล้ว
โดย
Ink Stone_Romance
“ลู่ยา!”
นางตะโกนอีกครั้ง ทั้งยังตกตะลึง ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ก็ตะโกนออกไปแบบนี้!
ชายชุดเขียวหันตัวถอยจากไปโดยไม่มีรีรอ พริบตาเดียวก็หายไปในอากาศ!
“ฆ่าเขา!”
ตอนที่นางมึนงงอยู่นั่นเอง หลิวเติงเจินเหรินพลันเรียกเหล่าผู้อาวุโสแรกพยับให้เข้าโจมตีหลินเจี้ยนหรู!
พลังลมปราณเจ็ดแปดสายพัดพาเอากลุ่มทรายผืนหนึ่งพุ่งเข้าหาหลินเจี้ยนหรู!
“ตายซะ!”
มู่จิ่วที่เกลียดคนลอบฉวยโอกาสที่สุดพลันบันดาลโทสะ เข้าไปขวางหน้าหลินเจี้ยนหรู เงื้อมือขึ้นรับลมปราณนี้แทนเขา ทั้งยังผลักมันกลับไปด้วย!
หลิวจวิ้นก็เข้าโจมตีเหล่าคนจากสำนักแรกพยับเช่นเดียวกัน เหล่าผู้อาวุโสจะขวางทางเทพหญิงแห่งหกวิญญาณและเทพสวรรค์รวมกันได้อย่างไร แต่ละคนต่างก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นกุมอกล้มลงไปกับพื้น! หลินเจี้ยนหรูไม่คิดเลยว่ามู่จิ่วจะช่วยเขาในยามเช่นนี้ เขาที่ได้รับบาดเจ็บอยู่แล้วเลือดตีขึ้นในอก กระอักเลือดออกมา น้ำตารินไหลอย่างไม่อาจห้าม ร่วงหล่นลงเปื้อนพื้นดินตรงหน้า
พวกศิษย์ที่ล้อมอยู่รอบๆ ทยอยล้มลงเป็นแถบ บนใบหน้าของหลิวจวิ้นเหลือเพียงความน่าเกรงขาม หลังจากถลึงตาใส่พวกเขาแล้วก็ลอยเข้าไปข้างหลินเจี้ยนหรู หยิบเชือกมัดเซียนออกมามัดเขาไว้ ก่อนออกคำสั่ง “พากลับไปสวรรค์!”
หลินเจี้ยนหรูไม่ดิ้นรนอีก โดนลากขึ้นเมฆไป
ตรงที่เดิมนั้นเหลือเพียงคนของสำนักแรกพยับกับมู่จิ่วที่กำลังนิ่งอึ้งอยู่
เมื่อพินิจพิเคราะห์ดีๆ กลางอากาศยังหลงเหลือกลิ่นอ่อนจางของไม้กฤษณา นางจำไม่ผิดแน่ นางไม่อาจจำกลิ่นบนกายลู่ยาผิดไปแน่นอน หรือชายชุดเขียวจะเป็นลู่ยาจริงๆ? หากไม่ใช่เขา ทำไมเขาถึงหันมามองนางอย่างไวว่อง? ทำไมพอได้ยินนางเรียก เขาถึงได้จากไปทันที? เป็นเขาใช่หรือไม่?
นางครุ่นคิดถึงข้อน่าสงสัยเหล่านี้ มือพลันสั่นเทา
ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะเคยคาดเดาความเป็นไปได้นี้ไว้นับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อคิดดีๆ แล้วกลับไม่มีตรงไหนที่สามารถยืนยันข้อสงสัยนั้นได้ ดังนั้นจึงไม่ได้ให้ความสนใจ แต่ตอนนี้ เมื่อครู่นี้ ราวกับว่านางเพิ่งจับความจริงได้…อย่างน้อยนางก็มั่นใจได้ว่าลู่ยากับชายชุดเขียวต้องเกี่ยวข้องกัน มิเช่นนั้นหลังจากที่ลู่ยากลับมาแล้ว ทำไมท่าทีที่มีต่อชายชุดเขียวถึงได้เปลี่ยนไป? และก็ไม่ได้แสดงท่าทีตึงเครียดเท่าไหร่ด้วย?
นอกเสียจากเขาจะเปลี่ยนใจแล้ว
แต่นางรู้ว่าเขาไม่เปลี่ยนใจแน่นอน
นางรู้
ในเมื่อไม่ได้เปลี่ยนใจแล้วยังมองข้ามเรื่องของนาง หรือว่านางไม่ควรจะสงสัยเรื่องนี้?
“กัวมู่จิ่ว เจ้ายังอึ้งอะไรอยู่อีก?” ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่หลิวจวิ้นแบกกระบี่เดินกลับมา
มู่จิ่วคืนสติมองไปรอบๆ เห็นแต่ผู้คนแยกย้ายกันไปแล้ว เหลือเพียงคนบางส่วนช่วยพยุงคนเจ็บเท่านั้น
หลิวจวิ้นขมวดคิ้วมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “ตอนที่คนผู้นั้นเข้ามาในเขตแดน เจ้าเรียกเขาว่าลู่ยา หรือเขาจะคิดว่าเป็นเต้าจู่?”
“ไม่” มู่จิ่วส่ายหน้า เดินไปข้างหน้าสองก้าว หยุดแล้วจึงเอ่ย “ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร คงเป็นข้าที่มองผิดไปเอง”
ก่อนที่เรื่องราวจะคลี่คลายและมีหลักฐาน นางจะพูดส่งเดชได้อย่างไร?
หลิวจวิ้นก็ไม่ได้ถามต่อ ทำเพียงตามขึ้นมาเอ่ย “ไปเถอะ ต้องกลับไปสอบสวนอีก”
มู่จิ่วพยักหน้า ตามเขาขึ้นเมฆไป
ลู่ยาแอบมองพวกเขาจากไปไกลในมุมมืด อยากจะเคาะหัวตัวเองนัก!
นางมาอยู่สำนักแรกพยับหลายวันนี้ เขาเลยมักจะจับตามองการเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่เสมอ
ตอนนี้เขากับชายชุดเขียวรวมความคิดจิตใจกลับเป็นหนึ่งแล้ว สามารถควบคุมความคิดกับการกระทำของเขาได้ แต่หากไม่ใช่สถานการณ์พิเศษก็ไม่อาจเข้าแทรกแซงเรื่องที่เขาจะทำ หมายความว่าแม้พวกเขาจะรวมจิตเป็นหนึ่งแล้ว เขาใช้ร่างของชายชุดเขียวได้ แต่โดยทั่วไปแล้วยังแยกออกเป็นสองคนอยู่
เรื่องทั้งหมดที่ชายชุดเขียวทำไว้ล้วนทำให้พวกเขาไหลไปตามลิขิตฟ้าตามเหตุและผลของแต่ละคน ผลลัพธ์ไม่ต่างกันมากนัก เพียงแค่เขาใช้พลังของเขาร่นระยะเวลาการเกิดเรื่อง ดังนั้นเดิมทีหลินเจี้ยนหรูควรกลายเป็นมารก่อนถึงจะถูกมู่จิ่วที่เป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์สังหาร
แต่เพราะนิสัยของมู่จิ่วในชาตินี้เปลี่ยนไป เรื่องของนางเกี่ยวกับหลินเจี้ยนหรูก็ย่อมเปลี่ยนตาม แต่เดิมเขาที่เข้าสู่หนทางมาร หลังจากสังหารหลินเซี่ยต้องถูกมู่จิ่วช่วยไว้ พอเมื่อได้รับการช่วยเหลือจากลู่ยาให้เลื่อนขั้น จึงไม่ได้เหี้ยมโหดตามที่ชะตาชีวิตกำหนดไว้ นี่ก็ทำให้โชคชะตาของเขาเปลี่ยนไปมีประโยชน์ต่อมู่จิ่ว
ชายชุดเขียวเข้าขวางทางเขาที่ปรโลก ก็เพราะชะตาชีวิตของเขาเปลี่ยนไปมีประโยชน์ต่อมู่จิ่ว ดังนั้นจึงรับปากว่าจะเปลี่ยนจุดจบของเขา ให้เขาได้กลับไปเวียนว่ายตายเกิดแทนการดับสูญ โดยให้เขารับปากว่าจะเป็นมารโดยไวและเดินไปตามทางที่ควรจะเดิน เพราะถึงแม้เขาไม่ทำเช่นนี้ สุดท้ายก็ช่วยไม่ได้อยู่ดี
ถึงแม้เรื่องราวในภายหลังส่วนใหญ่จะเดินไปตามแผนที่เขาวางไว้ แต่การเปลี่ยนแปลงกลับเกิดขึ้นกับฟากมู่จิ่ว
เดิมทีหลินเจี้ยนหรูควรแค้นเคืองขณะอับจนหนทางแล้วเข้าสู่รอยต่อของหกภพ หลังจากฝึกฝนจนกลายเป็นมารที่แท้จริงแล้วที่นั่น ถึงจะตายด้วยเงื้อมมือของมู่จิ่ว แต่คืนวันนั้นพลังของมู่จิ่วระเบิดออกอย่างอันตรายยิ่ง หลินเจี้ยนหรูก็อยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน เขาถึงต้องปรากฏตัวออกไปขวาง
เรื่องราวในภายหลังจึงเสียการควบคุมไปบ้าง เหลียงชิวฉานตายเพื่อหลินเจี้ยนหรู เขาถึงได้บังเกิดคุณธรรมขึ้นในใจเพราะนาง
และนี่ยังทำให้ไม่เกิดเรื่องที่เขาไปฝึกฝนที่รอยต่อของหกภพด้วย
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่บ้าน เขาก็สัมผัสได้แล้วว่าเกิดเรื่องผิดปกติขึ้นกับหลินเจี้ยนหรู เมื่อทำนายดูก็พบว่าเขาหนีออกไปไม่ได้ จึงได้ยืมร่างของชายชุดเขียวปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยเขาในยามคับขัน ไหนเลยจะรู้ว่ามีจุดอ่อนในแผน เขาลืมลบกลิ่นอายบนร่าง! หลังปรากฏตัวครั้งนี้ นางต้องสงสัยเขาแน่ๆ และหากเขาไม่หนีไป โอกาสที่นางจะกดดันจนเขาเผยร่างเดิมออกมามีสูงมาก
ประมาทเสียจนเกิดเรื่องแบบนี้ภายใต้จมูกของเขา!
เขากัดฟันจนแทบแหลก ก่อนจะใช้กำปั้นทุบลงไปบนต้นไม้ด้านหน้า
คดีของแรกพยับนับว่าลุล่วงแล้วส่วนหนึ่ง แต่ยังคงต้องสืบสวนต่อ ด้วยความซับซ้อนระหว่างนั้น ทำให้ไม่อาจปิดคดีได้เร็วนัก
แน่นอนว่าเพราะหลิวจวิ้นเตรียมการไว้ถึงได้เป็นเช่นนี้ หากไม่แล้วละก็ ด้วยการกระทำโหดเหี้ยมไม่ยำเกรงของหลินเจี้ยนหรู เขาย่อมต้องถูกทำลายจิตต้นกำเนิดและรากฐานเซียนไปในทันที ไม่ใช่ว่าสวรรค์ไม่อาจยอมลงให้กับพวกมาร แต่เซียนมีหนทางของเซียน มารมีหนทางของมาร คำสอนของภพมารอิสระไร้แบบแผน แต่ก็ไม่ใช่สอนให้เข่นฆ่า
หลินเจี้ยนหรูถูกนำตัวไปจองจำในคุก มู่จิ่วกับเฉินอิงเป็นคนพาไป
เขาเงียบมากตลอดทางเดิน ป๋ายเจ๋อกับเถิงเส๋อที่ทางเข้ายังคงกระทบกระทั่งกัน เมื่อเห็นคนมาใหม่กลับเข้ามารับพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย แต่ยังไม่ทันเดินผ่านทั้งสองก็เริ่มทะเลาะกันอีกครั้ง
ในคุกมีคนที่หลิวจวิ้นเลือกไว้อยู่เฝ้าคุม ศิษย์ลัทธิฉ่านมีมากมาย ต้องป้องกันไม่ให้พวกผู้อาวุโสของแรกพยับติดสินบนเข้ามาทำเรื่องร้ายแรง
และตอนกลางดึก ทางด้านแรกพยับก็เพิ่งได้รับคำสั่งจากพลลาดตระเวนซึ่งมู่จิ่วส่งมาด้วยตนเอง ห้ามไม่ให้คนทั้งหมดในสำนักออกไปข้างนอกจนกว่าคดีจะสิ้นสุด เนื่องด้วยแรงจูงใจในการเข่นฆ่าของหลินเจี้ยนหรู คนทั้งหมดบนเขาล้วนมีโอกาสถูกเรียกตัวทุกเมื่อ
ตอนนี้คนทั้งหมดต่างก็หวาดกลัว แบบนี้เรียกว่ากลัวความผิด เมื่อก่อนตอนที่ทำร้ายหลินเจี้ยนหรู มีใครไม่เคยลงมือบ้าง?
วันถัดมา สหายเก่าแก่ต่างก็ถามถึงหลินเจี้ยนหรู ทำหน้าหนามาถามข่าวกับนาง มู่จิ่วไม่สนใจ หันหนีไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
มู่จิ่วมุ่งหน้ากลับบ้านทันทีหลังกลับมาจากสำนักแรกพยับ
สวรรค์ในยามค่ำอบอวลไปด้วยไอเซียน เสียงดนตรีลอยแว่วมา บ้านสกุลกัวด้านหลังป่าไผ่แผ่ความสงบสุขออกมาภายใต้ความเงียบงัน แสงโคมสีเหลืองนวลส่องสว่างหลายดวง มองไปแล้วทำให้หัวใจอบอุ่น
……………………..
บทที่ 379 ต้องช่วยเขา
โดย
Ink Stone_Romance
นางเดินเข้าประตูไปก็เจอกับลู่ยาที่นั่งอยู่ใต้ต้นท้อในลานบ้าน กำลังพิจารณาดอกตูมที่อยู่บนกิ่ง
มู่จิ่วชะงักตรงประตูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไป
“กำลังดูอะไรอยู่หรือ?”
ลู่ยาชายตามองนาง ชี้ไปที่ดอกบนกิ่งไม้ “ข้ากำลังดูดอกตูมนี้ ผ่านมาหลายเดือนแล้วยังไม่บานเสียที ไม่แน่ใจว่ากำลังบำเพ็ญเพียรอยู่หรือไม่?”
พืชพันธุ์บนสวรรค์ต่างจากบนโลกมนุษย์ การบำเพ็ญเพียรเป็นเรื่องปกติ
มู่จิ่วมองใบหน้าด้านข้างของลู่ยา สูดกลิ่นไม้กฤษณาอันคุ้นเคยบนร่างเขาเบาๆ ก่อนเอ่ย “หลายวันมานี้เจ้าไม่ได้ออกไปข้างนอกใช่หรือไม่?”
“ไม่ได้ออกไป” ลู่ยาจูงมือนางไปยังระเบียงทางเดิน น้ำเสียงเป็นธรรมชาติยิ่งนัก “เจ้าไม่อยู่บ้าน ข้าออกไปเดินเล่นข้างนอกก็น่าเบื่ออยู่ดี เป็นอย่างไรบ้าง คดีของแรกพยับสิ้นสุดหรือยัง? หลินเจี้ยนหรูเล่า?”
“จับได้แล้ว อยู่ในคุกเรียบร้อย กำลังรอสอบสวน” มู่จิ่วตอบ หากเป็นเมื่อก่อนนี้ นางคลี่คลายคดีใหญ่ขนาดนี้ได้ นางจะต้องบอกเขาเป็นอันดับแรก จากนั้นวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างตื่นเต้นและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แต่ตอนนี้นางนิ่งเฉยมาก รอจนจัดการเรื่องทั้งหมดเสร็จแล้วค่อยกลับมา อีกทั้งเวลานี้ก็ไม่ได้เล่ารายละเอียดให้เขาฟัง
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ลู่ยาไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน ขึ้นบันไดไปอย่างเงียบๆ เมื่อถึงห้องอาหารก็รินชาให้นาง พอเห็นหยางเหมย (เบอร์รี) ที่รุ่ยเจี๋ยวางไว้ถาดหนึ่ง ก็หยิบไปให้นางเสียหลายลูก
เขาสบายอกสบายใจเช่นนี้ ทำให้นางไม่ค่อยแน่ใจ
หากเขาเป็นชายชุดเขียว ทำไมถึงได้สงบนิ่งเช่นนี้?
มื้ออาหารนี้จบไปอย่างเหม่อลอย เสี่ยวซิงถามนางว่าเป็นเพราะเหนื่อยหรือไม่? นางตอบอย่างขอไปที ไม่ได้พูดถึงต้นเหตุ ด้วยกลัวว่าลู่ยาจะดูความผิดปกติออก จากนั้นจึงรีบเข้าร่วมบทสนทนาอย่างรวดเร็ว
ตกดึกนางไม่ได้ไปหาลู่ยา แต่ลู่ยากลับเป็นฝ่ายมาหานางเอง เขาพานางไปที่ทางช้างเผือกแล้วเป่าขลุ่ยให้นางฟัง
นางยิ่งอึดอัด หากในใจเขามีพิรุธ ทำไมถึงยังหาเวลามาอยู่กับนางมากขึ้น? ไม่กลัวว่าจะเผยพิรุธหรือ?
คืนนี้ดาวยังสว่างดั่งเช่นทุกคืน จนเกือบจะทำให้ตาคนพร่า
ลู่ยาเป่าขลุ่ย เสียงของมันมั่นคงดุจขุนเขา
ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างกำลังบอกนางว่า การที่นางมองเขาเป็นชายชุดเขียวนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดไปเอง
มู่จิ่วรู้สึกไร้สิ้นเรี่ยวแรง
ไม่ว่าเขาจะแสดงออกว่าปกติขนาดไหน อย่างไรนางก็สลัดภาพของชายชุดเขียวที่หันมาตอนอยู่ในป่าไม่หลุด
นางไร้หนทางที่จะอธิบายชั่ววินาทีนั้น เพราะการแสดงออกของเขามาจากสัญชาตญาณโดยแท้
แต่ตอนนี้นางไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น หากเขาทุ่มเทแรงกายแรงใจขนาดนี้เพื่อทำให้นางหายสงสัย เช่นนั้นไม่ว่านางจะถามอย่างไร เขาก็คงไม่ตอบ นางคงต้องหาคำตอบเอาเอง
นางเดินเล่นเป็นเพื่อนเขาแล้วจึงกลับบ้าน
วันถัดมาก็ไปสอบสวนหลินเจี้ยนหรูกับหลิวจวิ้น
ในคุกมีคนเฝ้าอยู่ หากหลินเจี้ยนหรูคิดจะฆ่าตัวตายก็ทำไม่ได้ วันแรกยืนยันจำนวนคนที่เขาฆ่า บันทึกรายชื่อ วันที่สองสอบสวนแรงจูงใจในการฆ่าคนของเขา
มีการเรียกคนเข้ามาเป็นพยานอยู่เรื่อยๆ แต่ล้วนไม่เป็นประโยชน์กับเขาเลย มีคนบางส่วนมาจากสำนักแรกพยับ บางส่วนมาจากทัพทหารสวรรค์ ทางด้านแรกพยับย่อมต้องกล่าวโทษเขา ตอนนี้กระทั่งบางคนในทัพทหารสวรรค์ที่เคยมีสัมพันธ์อันดีกับเขายังทยอยให้การว่าเขาเคยเผยท่าทางโหดเหี้ยมอย่างไรออกมาบ้าง
คนในทัพทหารสวรรค์ส่วนใหญ่เป็นศิษย์ลัทธิฉ่าน คุณธรรมไม่ต่างกัน พวกเขาย่อมต้องผนึกกำลังเข้าข้างกันอยู่แล้ว
มู่จิ่วคาดเดาว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ได้ตั้งแต่แรก จึงไม่ตื่นตกใจนัก
หลิวจวิ้นสอบสวนอยู่หลายวันก็ถามนาง “หากเป็นแบบนี้ต่อไป เขาย่อมต้องหนีไม่พ้นชะตากรรมที่เลวร้ายที่สุด เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเขาจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ?”
มู่จิ่วถอนหายใจ มองเขาแล้วเอ่ย “เช่นนั้นใต้เท้าคิดเห็นอย่างไรเจ้าคะ?”
หลิวจวิ้นไม่ตอบอันใด
มู่จิ่วจึงพูดต่อ “ก่อนข้าจะเข้ามาที่สวรรค์ก็เคยถามคนข้างกาย แท้จริงแล้วเป้าหมายของการบำเพ็ญเป็นเซียนคืออะไร เพื่อสำเร็จวิชาชีวิตยืนยาวไม่แก่ไม่เฒ่า หรือเพื่อปกป้องความสงบสุขของหกภพแทนวิถีฟ้า ตอนนั้นข้าได้รับคำตอบว่าเพื่อไม่ให้แก่และมีชีวิตยืนยาวมากที่สุด แต่ข้าคิดว่าหากทำเพียงเพื่อสิ่งนั้น การมีชีวิตอยู่จะมีความหมายอะไร?”
“ภายหลังข้าจึงไปถามอาจารย์ของข้า เขาบอกว่าการบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนก็เพื่อคุณธรรม เส้นทางนี้เป็นหนทางแห่งฟ้า และเป็นหนทางแห่งใจ หนทางเห็นแจ้งของพวกเราคือการสะสมบุญกุศล ไม่ใช่เพื่อตนเอง แต่เพื่อสรรพสัตว์ ดังนั้นต่อมาข้าจึงได้ทำอะไรอิงตามมโนธรรมในใจ ช่วยเหลือคนอ่อนแอ เข้าร่วมกับคนดี ขจัดคนชั่ว ข้าไม่กล้าเรียกตนเองว่าเป็นผู้ผดุงคุณธรรมอะไร แต่เพียงต้องการทำสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น”
“ข้าเป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ ทั้งยังเป็นเจ้าหน้าที่รักษากฎหมาย หากข้าตัดสินไปตามหลักฐานเท่านั้น เช่นนั้นให้ใครมาทำหน้าที่นี้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นข้า ข้าเชื่อว่าที่ใต้เท้ามอบหมายหน้าที่นี้ให้ข้า ก็เพราะเห็นข้าทำหน้าที่ด้วยความยุติธรรม มิใช่เหตุผลอื่น”
“เหมือนกับที่หลินเจี้ยนหรูพูดไว้ เขาไม่ได้อยากกลายเป็นแบบนี้ ใต้เท้าจะว่าข้าเห็นแก่ส่วนตัวก็ดี ลังเลไม่เด็ดขาดก็ดี อย่างไรข้าก็ไม่อยากผลักคนที่เดิมทีเกิดมาน่าสงสารอยู่แล้วไปยังหนทางที่ยิ่งน่าสงสารขึ้นไปอีก ดังนั้นขอเพียงเขายังมีทางรอด ข้าก็อยากช่วย”
หลิวจวิ้นจับด้ามพู่กัน ไม่เอ่ยคำใด
มู่จิ่วพูดอีก “แท้จริงแล้วคนที่สมควรได้รับโทษคือพวกสำนักแรกพยับ ถึงแม้หลินเจี้ยนหรูมีความผิด โทษก็ไม่ได้หนักกว่าพวกเขา หากข้าเป็นหลินเจี้ยนหรู บางทีข้าอาจจะร้ายกาจกว่าเขาก็เป็นได้”
หลิวจวิ้นมองนาง ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ก่อนเก็บพู่กันกลับลงไปในกระบอกใส่เครื่องเขียน
“ข้าจำได้ว่าก่อนเกิดเรื่อง หลินเจี้ยนหรูมีเพื่อนร่วมห้องชื่อหูเจียงเต๋อ เขาย้ายเข้าไปกะทันหัน เจ้าส่งคนไปพาเขามา ยังมีอีก เหล่าศิษย์สำนักแรกพยับที่หนีไปบนเขาบัวหยก หาทางพาพวกเขากลับมาเสีย พวกเขาอาจจะเป็นพยานคนสำคัญ”
พูดจบเขาก็ยืนขึ้น เดินไปตรงหน้านาง “ฝ่าบาทกับเหนียงเหนียงกลับพูดด้วยง่าย ข้าแค่กลัวว่าไท่ซ่างเล่าจวินจะไม่ยอมปล่อยผ่านง่ายๆ เพราะก่อนหน้านี้มีเรื่องของหลีหังเกิดขึ้น ตอนนี้เขากำลังเคร่งครัดจัดการงานในสำนัก ถึงแม้จะมีใจปล่อยหลินเจี้ยนหรูไป แต่เกรงว่าต้องกังวลไม่ใช่น้อยเหมือนกัน ตอนนี้ข้าทำได้เพียงพยายามรวบรวมพยานที่เป็นประโยชน์ต่อหลินเจี้ยนหรู จากนั้นเขาจะรอดหรือไม่ คงต้องดูที่ลิขิตฟ้าแล้ว”
มู่จิ่วได้ยินดังนี้ ใจก็คลายกังวลลง
นางพูด “มีคำพูดนี้ของใต้เท้าก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ หากทางด้านไท่ซ่างเหล่าจวินคัดค้าน ข้าคงทำได้เพียงไปขอให้ลู่ยาเต้าจู่ช่วยเหลือแล้ว”
หลิวจวิ้นพยักหน้า “ตอนนี้ว่ากันตามนี้ ส่งคนไปจัดการก่อนเถอะ”
มู่จิ่วตอบรับก่อนเดินออกไป
ที่จริงนางดูออกว่าหลิวจวิ้นไม่ใช่คนแล้งน้ำใจ เพียงแต่ทำหน้าที่ขุนนางมานาน ตำแหน่งสูงส่ง ดังนั้นเรื่องที่ต้องกังวลจึงมีมาก สิ่งที่เขาต้องการคือคำพูดนี้ของนาง ซึ่งไม่ได้มาจากความเห็นอกเห็นใจเท่านั้น
เรื่องส่งคนออกไปขอไม่กล่าวถึง
มู่จิ่วกลับไปบ้าน
เสี่ยวซิงกำลังตากผ้าห่มในลานบ้าน แสงอาทิตย์สาดส่องบนร่างนาง ผมสีดำถูกสะท้อนจนทอแสงทอง นางที่หรี่ตาลงดูเหมือนสาวน้อย สองปีที่ผ่านมานี้คงเป็นเพราะการชี้แนะของลู่ยา ทำให้พลังวิญญาณเพิ่มสูงขึ้น ขนคิ้วก็เริ่มขึ้นบ้างแล้ว สีแดงในดวงตาก็จางไปหมดสิ้น
ซ่างกวนสุ่นกำลังซักผ้าปูที่นอนอยู่ ตอนนั้นเขายังเป็นหนุ่มน้อยที่คิดว่าตนถูกเสมอ บัดนี้กลับสุขุมขึ้นมากแล้ว
…………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น