กระบี่จงมา 375.3-376.2
บทที่ 375.3 พบเจอคนคุ้นเคยในต่างแดน
หลังจากเฉินผิงอันซื้อเหล้าบ่อน้ำโบราณมาอีกสองไห คนทั้งกลุ่มก็มุ่งหน้าไปยังจุดชมทัศนียภาพที่มีชื่อเสียงแห่งสุดท้ายของท่าเรือหางผึ้ง ที่นั่นคือต้นซิ่งโบราณพันปีที่แผ่กิ่งก้านใบปกคลุมอาณาเขตหลายไร่ ช่วงโคนต้นไม้ที่กลวงโบ๋เป็นโพรงมีเหรียญทองแดงและเหรียญเงินก้อนทองถูกโยนไว้จนเต็ม เกี่ยวกับต้นไม้ต้นนี้ ชายฉกรรจ์ที่ถือผ้าห่อบุญซึ่งเรียกตัวเองว่าหลิวกานจื่อผู้นั้นเล่าเรื่องที่น่าสนใจให้ฟังเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้าที่แคว้นชิ่งซานจะลุกผงาดขึ้นมาบนซากปรักของแคว้นเหวินจิ่งก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับต้นซิ่งโบราณต้นนี้แล้ว ในอดีตต้นไม้ต้นนี้ได้ถูกฮ่องเต้สกุลถังผู้บุกเบิกแคว้นชิงหลวนแหกกฎแต่งตั้งให้เป็นไม้แห่งจักรพรรดิ ภายหลังฮ่องเต้แคว้นเหวินจิ่งไม่ยอมตกเป็นรองจึงส่งอัครมหาเสนาบดีแห่งราชสำนักท่านหนึ่งให้มาประกาศคำแต่งตั้งที่นี่ แต่ลดระดับขั้นมาหนึ่งระดับ คนในพื้นที่เรียกมันว่าต้นไม้อัครมหาเสนบดี สุดท้ายฮ่องเต้แคว้นอวิ๋นเซียวก็มาร่วมความครึกครื้นด้วย เมื่อสามร้อยปีก่อนก็คือช่วงที่แคว้นอวิ๋นเซียวเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด แม่ทัพผู้มีคุณูปการท่านหนึ่งขี่ม้ามาถึงที่นี่ ตั้งป้ายศิลาจารึกเอาไว้ ดังนั้นทุกวันนี้ชาวบ้านแคว้นอวิ๋นเซียวจึงเคยชินที่จะเรียกมันว่าซิ่งแม่ทัพ
ไม้จักรพรรดิ ต้นไม้อัครมหาเสนบดี ซิ่งแม่ทัพ ต้นไม้หนึ่งต้นถูกแต่งตั้งถึงสามชื่อ เรียกได้ว่าแปลกประหลาดไม่น้อย
ใต้ต้นไม้ เผยเฉียนหยิบถุงหอมใบเล็กที่น้ากุ้ยมอบให้ออกมา ตอนนั้นข้างในถุงหอมนอกจากใบกุ้ยเขียวปลั่งราวจะเค้นน้ำหลายใบ อันที่จริงยังมีกิ่งกุ้ยยาวเท่านิ้วมือของนางอีกหนึ่งกิ่ง บนกิ่งเต็มไปด้วยดอกกุ้ย ต่อให้จะถูกหักออกมาจากลำต้น แต่กลิ่นหอมกลับไม่ลดน้อยลงเลยสักเสี้ยว อีกทั้งดอกกุ้ยสีทองอร่ามแต่ละดอกจะไม่มีทางร่วงโรย ทั้งกิ่งกุ้ยและใบกุ้ยต่างก็ถูกเก็บไว้ในกล่องสมบัติ ยึดพื้นที่ช่องหนึ่งของกล่องไปเพียงลำพัง เอาแค่ถุงหอมมาใส่เงินเกล็ดหิมะที่เฉินผิงอันมอบให้นางเป็นเงินยาสุ้ยและเงินเหรียญทองแดงอีกหลายเหรียญที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นตอนที่สุยโย่วเปียนต่อราคาสิ่งของจากร้านขายสิ่งของที่ใช้ในวันตรุษจีนตอนอยู่นครมังกรเฒ่า ได้ลดหนึ่งครั้ง นางก็ได้เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ ตอนนั้นนางได้มารวดเดียวเจ็ดแปดเหรียญจึงเอามาใส่ไว้ในถุงหอมใบนี้ทั้งหมด
เพราะเฉินผิงอันบอกว่าถุงหอมไม่ใช่ของธรรมดา ดังนั้นเผยเฉียนจึงไม่กล้าเอามาผูกไว้ที่เอว เวลาปกติแค่เอามาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ตอนนี้นางแอบใช้สองมือประคองเอาไว้เพราะคิดว่าหากได้ใบซิ่งดอกซิ่งมาเพิ่มอีกก็คงจะดี
คนที่มาท่องเที่ยวตรงต้นซิ่งพันปีแห่งนี้มีไม่มาก ชาวบ้านที่เกิดและเติบโตมาในท่าเรือจะมาโยนเงินขอพรในช่วงปีใหม่หรือช่วงเทศกาลสำคัญเท่านั้น ผู้ที่โดยสารเรือข้ามฟากของท่าเรือหางผึ้งส่วนใหญ่คือเหล่าพ่อค้าบนภูเขาที่มีความคล่องแคล่วคุ้นเคยดี ทั้งยังไม่เชื่อเรื่องนี้ แล้วก็ไม่เต็มใจจะสิ้นเปลืองเงินทอง ดังนั้นเวลานี้จึงมีแค่พวกเฉินผิงอันกับกลุ่มเด็กชาวบ้านที่เล่นขี่ม้าลำไผ่ไล่จับกันอย่างสนุกสนานเท่านั้น ห่างออกไปไกลยิ่งกว่าก็มีกลุ่มเด็กจำนวนบางตากำลังเล่นว่าว บนกิ่งสูงของต้นซิ่งยังมีว่าวกระดาษที่โชคไม่ดีสายป่านขาดแขวนต่องแต่งอยู่หลายอัน
เฉินผิงอันได้เห็นต้นซิ่งที่มีปราณวิญญาณเบาบางไหลวนแล้วก็คิดจะจากไป แต่กลับสังเกตเห็นว่าคนจิ๋วดอกบัวมุดออกมาจากใต้ดิน มายืนอยู่ตรงกลางโพรงของต้นซิ่งที่ใหญ่ราวกับประตูบานหนึ่ง ยื่นหน้าออกมา
ไม่นานก็มีหัวอีกหัวหนึ่งโผล่ออกมาจากในกองเงิน มองสบตากับคนจิ๋วดอกบัว
ฝ่ายหลังปีนออกมาจากภูเขาเงิน ยืดเอวตั้งตรง สองมือเท้าเอวฉับ สีหน้าเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ปกปิดความใคร่รู้และแววลิงโลดในดวงตาของมันไม่อยู่
เจ้าตัวน้อยแต่งกายหรูหราและน่าตลก บนร่างสวมชุดคลุมมังกรสีเหลืองสดตัวจิ๋วน่ารัก ตรงเอวห้อยแผ่นหยกงาช้าง และยังห้อยดาบฝักไม้สีแดงอีกเล่มหนึ่ง
เผยเฉียนกระตุกชายแขนเสื้อเฉินผิงอัน เฉินผิงอันคิดแล้วก็หยิบเหรียญเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งออกมาให้เผยเฉียน พูดด้วยรอยยิ้ม “ไปเถอะ จำไว้ว่าต้องพูดคุยกับเซียนซิ่งตัวจิ๋วอย่างมีมารยาท ห้ามล่วงเกินคนเขา”
เผยเฉียนวิ่งปรู๊ดออกไป แล้วไปนั่งยองอยู่ตรงหน้า ‘ประตูบานเล็ก’
ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา เผยเฉียนก็กระโดดโลดเต้นกลับมาพร้อมของเต็มไม้เต็มมือ เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ไม่พูดไม่จาก็เขกมะเหงกลงไป
เพียงแต่ว่าคราวนี้คนจิ๋วดอกบัวกลับยืนอยู่ข้างเดียวกับเผยเฉียนอย่างที่หาได้ยาก มันโบกมือวุ่นวาย ร้องอือๆ อาๆ พยายามอธิบาย
เผยเฉียนร้อนตัวเล็กน้อยจึงหมุนตัวกลับไปแต่โดยดี คิดจะเอาดินและหน่ออ่อนต้นกล้าที่หอบไว้ในมือไปคืนให้ภูตต้นซิ่งตนนั้น น่าเสียดายยิ่งนัก นางต้องควักเงินเกล็ดหิมะตั้งสองเหรียญเพราะสิ่งนี้ การค้าครั้งนี้นับว่าขาดทุนแล้ว
คนจิ๋วดอกบัวค่อนข้างโง่เขลา แม้แต่พูดก็พูดไม่เป็น ทว่าเจ้าตัวน้อยที่แต่งตัวฉูดฉาดกลับค่อนข้างฉลาด พูดภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปได้คล่องยิ่งกว่าเผยเฉียนเสียอีก เจ้าตัวน้อยพูดคุยหงุงหงิงกับคนจิ๋วดอกบัวอยู่เป็นนาน ตอนนั้นเผยเฉียนฟังไม่รู้เรื่อง แต่จากนั้นคนจิ๋วดอกบัวก็ใช้นิ้วเคาะลงบนรองเท้าหุ้มแข้งของเผยเฉียน ยื่นนิ้วชี้ไปที่เงินเกล็ดหิมะซึ่งเผยเฉียนกำไว้ในมือ ไปๆ มาๆ เผยเฉียนก็เริ่มต่อรองราคากับปีศาจน้อยต้นซิ่งตนนั้น แล้วก็ถือโอกาสคุยโม้ให้มันฟังอีกคำรบหนึ่ง บอกว่าในบ้านเกิดของตนมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นยิ่งกว่าที่แห่งนี้ หนาข้นราวกับน้ำ แค่ดื่มหนึ่งคำก็อิ่มท้องได้ สุดท้ายเจ้าตัวน้อยก็ร่ายต้นกล้าต้นหนึ่งออกมาบนพื้นดินตรงหน้าเผยเฉียนด้วยท่าทางโอ้อวด บอกว่าให้เผยเฉียนเอากลับไปที่บ้านเกิด หาสถานที่แห่งหนึ่งปลูกมันลงไป ห้ามปฏิบัติกับมันแย่ๆ เด็ดขาด จะต้องให้มันได้กินปราณวิญญาณที่เข้มข้นเหมือนน้ำจนอิ่มหนำทุกวัน แม้ปากของเผยเฉียนจะตกปากรับคำ ตบอกรับรองเสียงดังสนั่น แต่อันที่จริงแล้วกลับเตรียมพร้อมสำหรับการกินมะเหงกจนอิ่มไว้แล้ว
เฉินผิงอันเข้าใจต้นสายปลายเหตุทั้งหมดแล้วก็รับดินและต้นอ่อนในมือของเผยเฉียนมา เดินมานั่งยองลงตรงข้างต้นไม้
เจ้าตัวน้อยที่สวมชุดคลุมมังกร ห้อยแผ่นหยกและดาบยืนอยู่ในกองเงิน สายตาเต็มไปด้วยแววระแวดระวังภัย
หลังจากสอบถามกันอยู่พักหนึ่ง เฉินผิงอันถึงได้รู้ความจริง ที่แท้มันใกล้จะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลางแล้ว แต่สถานที่แห่งนี้มีปราณวิญญาณไม่เพียงพอ หรือควรจะพูดให้ถูกต้องก็คือมันไม่กล้าดึงเอาปราณวิญญาณมามากเกินไป ถึงอย่างไรผู้ฝึกลมปราณของที่นี่ก็มีมากมาย คือท่าเรือตระกูลเซียน มันสามารถลงหลักปักฐานฝึกตนอยู่ที่นี่ได้ก็แค่อาศัยบรรดาศักดิ์ที่ไม่ถือว่าถูกต้องเหมาะสมสามอย่างนั้น เพราะในความเป็นจริงแล้วราชสำนักของทั้งสามแคว้นต่างก็ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่ แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีกลุ่มอิทธิพลอยู่เบื้องหลังท่าเรือแห่งนี้ ปราณวิญญาณลดน้อยลงเป็นเรื่องต้องห้ามที่ใหญ่ที่สุดของภูเขาตระกูลเซียน ก็เหมือนอย่างที่ตู้เม่าบังคับดึงเอาปราณวิญญาณที่ซุกซ่อนอยู่ในถ้ำสวรรค์เล็กอู๋ถงออกมาใช้ แม้จะบอกว่ามีใจที่เห็นแก่ตัวมากกว่า เพื่อให้ตัวเองได้บินทะยานไปยังที่แห่งอื่น แต่แท้จริงแล้วหากเขาบินทะยานได้สำเร็จ ตามกฎที่หลี่เซิ่งของใต้หล้าไพศาลตั้งเอาไว้ สำนักใบถงก็ถือว่ามีคุณความชอบติดตัว สถานศึกษาและสำนักศึกษาจะปกป้องคำว่า ‘สำนัก’ นั้นอย่างน้อยก็หนึ่งพันปีโดยที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดที่ตู้เม่ากล้าเสี่ยงบินทะยาน ไม่อย่างนั้นแค่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำสวรรค์อู๋ถงไปตลอดก็พอ จั่วโย่วทำลายค่ายกลใหญ่แห่งภูเขาและแม่น้ำได้ แต่ไม่มีทางทำลายตราผนึกของถ้ำสวรรค์ได้แน่นอน
และเมื่อตู้เม่าบินทะยานล้มเหลว ลูกศิษย์แทบทุกคนของสำนักใบถงก็เปลี่ยนจากความเคารพยำเกรง ความรักความเลื่อมใสอย่างถึงที่สุดมาเป็นเคียดแค้นสุดขีด ใช้คำว่าแค้นเข้ากระดูกดำมาบรรยายก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย เห็นเขาเป็นคนที่ทำผิดมีโทษมหันต์ของสำนักใบถง บรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ผายลมสุนัขอะไรกัน ต้องเรียกว่าบรรพบุรุษผู้สร้างความพินาศวอดวายเผาผลาญรากฐานของบรรพบุรุษถึงจะถูก เจตนาเดิมเล็กๆ ของตู้เม่าที่คิดจะพาตัวไปอยู่ในกรงขังใหญ่แห่งอื่นเพื่อหาทางรอดอีกทางให้แก่สำนักใบถงกลับมีคนน้อยมากที่จะคิดถึง ส่วนเจ้าประมุขสำนักใบถงเซียนกระบี่ชุดม่วงผู้นั้น รวมไปถึงผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตหยกดิบผู้ดูแลทำเนียบวงศ์ตระกูลศาลบรรพชน ไม่รู้ว่าคิดพิจารณาเช่นไร ถึงได้ไม่ห้ามปราม ชี้นำและคลี่คลายอารมณ์โกรธแค้นของทุกคนในสำนัก เป็นเหตุให้สายของตู้เม่า ยกตัวอย่างเช่นลูกหลานสายตรงอย่างตู้เหยี่ยน ไม่เพียงแต่สูญเสียข้ารับใช้ก่อกำเนิดคนหนึ่งไป ยังถูกซักไซ้เอาความผิด ครอบครัวตระกูลตู้เกือบจะถูกพลิกค้นจนเกลี้ยงเพื่อเอามาจ่ายให้สำนัก ชดเชยส่วนที่ขาดหายไป
ไม่ใช่อย่างนี้ก็เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ดำก็เป็นขาว
สองปลายฝั่งของไม้บรรทัดเล่มหนึ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวพันกับเรื่องผลประโยชน์ที่แท้จริงของตัวเอง ดูเหมือนว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นอารมณ์ทั่วไปของมนุษย์
เฉินผิงอันหวังว่าหลังจากนี้ หากมีวันนั้นที่ตนก่อสำนักตั้งพรรคขึ้นมาจริงๆ เขายินดีให้ไม่มีใครรู้สึกว่าเขาเฉินผิงอันคืออริยะผู้เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมไร้ข้อบกพร่องมาตั้งแต่ต้นเลยจะดีกว่า เมื่อถึงท้ายที่สุดแล้ว หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ไม่อาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ จะได้ไม่มีใครรู้สึกว่าเขาเป็นคนชั่วช้าสามานย์ที่ทำความผิดมหันต์จนมิอาจให้อภัยได้ ต่อให้ผู้คนเอาใจออกห่างก็ต้องพยายามให้เป็นการพบและพรากจากด้วยดีให้จงได้ พยายามจะทำดีให้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่บนพื้น ก้มหน้าลงมองภูตต้นซิ่งโบราณตนนั้น ถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่ลองปรึกษากับเทพเซียนของท่าเรือหางผึ้งแห่งนี้ดูล่ะ ว่าจะทำหน้าที่เป็นพวกผู้ถวายงานข้ารับใช้ หาห้าขุนเขามาแล้วลงนามสัญญาเป็นพันธมิตรกัน มีราชาใหญ่แห่งขุนเขาที่หนีไม่พ้นห้าขอบเขตกลางเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน พวกเขาน่าจะยินดีกระมัง?”
เจ้าตัวน้อยนั่งแปะลงไปบนยอดของภูเขาเงิน ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์ “ข้าก็อยากอยู่เหมือนกัน แต่พวกคนที่ทั่วร่างมีแต่กลิ่นเงินเหล่านั้นเชื่อใจข้าได้ แต่ข้าเชื่อใจพวกเขาไม่ได้ นี่คือสถานที่ที่มีปัญหามาก ท่าเรือหางผึ้งตั้งอยู่ติดกับสามแคว้นอย่างชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียว มีกลุ่มขั้วอิทธิพลสลับซับซ้อน ใครก็ไม่ยอมลงให้ใคร เพื่อเงินแล้ว ทุกคนต่างก็พยายามคิดหาวิธีตีหัวอีกฝ่ายให้สมองไหล พันธมิตรขุนเขา เจ้าคิดว่าข้าควรจะเลือกห้าขุนเขาของแคว้นใด? ต่อให้ข้าเลือกแคว้นหนึ่งได้จริงๆ อีกสองแคว้นที่เหลือจะไม่เกลียดข้าตายหรอกหรือ? ไม่แน่ว่าวันใดอาจจะแอบสั่งให้คนมาฟันร่างจริงของข้าเอาไปทำเป็นฟืนเผาไฟก็ได้ แม้ว่าตอนนี้ควันธูปจะบางเบา กินอิ่มหนึ่งมื้อหิวสามมื้อ แต่จะดีจะชั่วก็ยังไม่ตาย ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเจ้าชอบพูดว่าตายดีไม่สู้มีชีวิตอย่างไร้ค่าหรอกหรือ อืม และยังมีประโยคที่บอกว่าคนอื่นตายดีกว่าตัวเองตายอีกด้วย”
ประโยคสุดท้ายเฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สำหรับความกลัดกลุ้มของเจ้าตัวน้อยนี้ เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในฐานะภูตต้นซิ่งที่ไร้ที่พึ่งพา คิดจะฝ่าทะลุขอบเขตก็จำเป็นต้องลงนามในสัญญาพันธมิตรขุนเขากับผู้ฝึกลมปราณ ทว่าท่าเรือหางผึ้งตั้งอยู่ในจุดเชื่อมต่อระหว่างสามชายแดน ไม่ได้อยู่ในเขตปกครองของแคว้นใดแคว้นหนึ่ง ดังนั้นนี่จึงเป็นปัญหาที่ไม่เล็กอย่างแท้จริง หากท่าเรือหางผึ้งเป็นของกลุ่มอิทธิพลใดกลับจะพูดง่ายกว่ามาก
เฉินผิงอันอยากช่วยแต่ไร้ความสามารถ
เจ้าตัวน้อยพูดอย่างน่าสงสาร “ได้ยินเด็กขี้เหร่ตัวดำบอกว่า ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลอันเป็นบ้านของเซียนซือสามารถดึงดูดปราณวิญญาณได้ดั่งคนดื่มน้ำ ไม่สู้ช่วยข้าสักหน่อย พาต้นกล้านี้กลับไป หากทำสำเร็จก็สามารถช่วยให้เซียนซือควบคุมปราณวิญญาณแห่งแม่น้ำและภูเขาได้อย่างมั่นคง นี่เป็นเรื่องดีที่ล้วนมีประโยชน์ต่อพวกเราทั้งสองฝ่าย ผู้ฝึกลมปราณธรรมดาทั่วไป ไม่พูดถึงสำนักการค้าที่ในสายตามีแต่เงิน พูดถึงแค่สำนักกสิกรรมกับสำนักโอสถ ใครบ้างที่ไม่เห็นว่านี่เป็นเรื่องดีดุจโชควาสนาที่หล่นลงมาจากฟ้า เซียนซือที่ผ่านทางมาท่านนี้ เจ้าต้องทะนุถนอมเห็นค่าให้มาก!”
เฉินผิงอันวางดินและต้นกล้าลงบนพื้น พูดด้วยรอยยิ้ม “ยังจะต้องพูดประโยคว่า ‘สวรรค์มอบให้ไม่รับไว้ กลับกลายเป็นว่าจะถูกสวรรค์ลงโทษแทน’ ด้วยหรือเปล่า?”
เจ้าตัวน้อยหน้าม่อยคอตก ยกมือเกาแก้มพลางพูดว่า “เจ้าตัวน้อยสองคนหลอกง่าย แต่ตัวใหญ่อย่างเจ้า มีประสบการณ์ในยุทธภพมาอย่างโชกโชน หลอกไม่ง่ายเลยจริงๆ”
หากเฉินผิงอันปลูกต้นกล้านี้ลงไปบนภูเขาของตัวเอง ฝ่ายหลังสามารถช่วยทำให้ปราณวิญญาณแห่งภูเขาและแม่น้ำมั่นคงได้ก็จริง แต่ก็มีขีดจำกัดอย่างถึงที่สุด ที่มากกว่านั้นกลับเป็นการขโมยปราณวิญญาณมาให้ต้นบรรพบุรุษอย่างต่อเนื่องเสียมากกว่า แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นการค้าที่ได้ไม่คุ้มเสีย
เกี่ยวกับเรื่องวงในของภูตต้นไม้เหล่านี้ เนื่องจากตอนนั้นอยู่บนเกาะกุ้ยฮวา และเพราะที่เมืองเล็กบ้านเกิดมีต้นไหวโบราณอยู่ เขาเคยคุยเล่นกับหม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่ของตระกูลฟ่านมาก่อน จึงพอจะรู้อยู่บ้าง
หลังจากเฉินผิงอันคืนดินและต้นกล้าเรียบร้อยแล้ว ภูตดอกซิ่งถือว่าพอจะตามีแววอยู่บ้างจึงคืนเงินเกล็ดหิมะสองเหรียญให้เผยเฉียน
คนจิ๋วดอกบัวทำท่าหงอยเหงา เผยเฉียนเองก็ไหล่ลู่คอตก เจ้าตัวน้อยทั้งสองต่างก็รู้สึกผิดต่อเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันจับคนตัวจิ๋วมาวางไว้บนไหล่ตัวเอง จูงมือเผยเฉียน พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “พวกเจ้าจะรู้สึกผิดไปไย คนที่ควรจะรู้สึกผิดต้องเป็นมันถึงจะถูก”
ใน ‘ประตูใหญ่’ ด้านใต้ต้นซิ่ง ภูตน้อยนอนอยู่บนกองเงิน อ้าปากหาวหวอด “ได้แต่รอให้คนโง่คนต่อไปมาติดเบ็ดแล้ว”
สะลึมสะลือหลับไป มันก็เริ่มฝันหวาน ถึงกับฝันเห็นว่าตัวเองเติบโตอย่างต่อเนื่องอยู่บนภูเขาสูงใหญ่เสียดแทงเมฆ กลายเป็นต้นไม้ใหญ่สูงเทียมฟ้า ใบซิ่งทุกใบล้วนมีประกายศักดิ์สิทธิ์สีทองแผ่ล้น กิ่งไม้ทุกกิ่งต่างก็ถูกกลิ่นหอมและสีทองอร่ามรมจนบริสุทธิ์เกินจะเปรียบ มันกลายเป็นภูตแห่งต้นไม้ดอกไม้ห้าขอบเขตบนเพียงหนึ่งเดียวของแจกันสมบัติทวีป…บนกิ่งสูงเหนือร่างของมันมีเงาร่างที่พร่าเลือนของคนสองคนกำลังมองทะเลเมฆ คนหนึ่งแหงนหน้าดื่มเหล้า อีกคนหนึ่งตรงเอวห้อยดาบและกระบี่ไว้สลับกัน…
หลังจากที่เจ้าตัวน้อยตื่นจากฝัน มันก็อารมณ์ดีอย่างถึงที่สุด ต่อให้จะเป็นแค่ความฝันก็มากพอให้มันอารมณ์ดีไปได้หลายปีแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม พอเอื้อมมือมาเช็ดหน้า ใบหน้ากลับมีแต่คราบน้ำตา
มันนอนเหม่ออยู่ในกองเงิน ครุ่นคิดจนหัวแทบแตกก็ยังไม่เข้าใจ รู้สึกคล้ายจะผิดหวังเหมือนสูญเสียอะไรบางอย่างไป
บทที่ 375.4 พบเจอคนคุ้นเคยในต่างแดน
คนสี่คนในภาพวาดที่ได้รับเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญซึ่งมีมูลค่าเท่ากับเงินเกล็ดหิมะหนึ่งร้อยเหรียญไป ต่างคนต่างก็ได้ผลเก็บเกี่ยวกลับมา จูเหลี่ยนที่เดิมทีตัวเปล่า ตอนออกจากนครมังกรเฒ่า บนไหล่กลับมีห่อสัมภาระเพิ่มมาหนึ่งห่อ ครั้งนี้ออกจากท่าเรือหางผึ้ง ห่อสัมภาระก็หนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม
ตอนนี้จูเหลี่ยนภาคภูมิใจในการเป็นคนอ่านหนังสือของตัวเองมาก ดังนั้นนี่จึงเป็นการแบกหีบหนังสือทัศนาจรสำหรับเขา
คนทั้งสี่ยังคงเดินเท้าไปที่เมืองหลวงแคว้นชิงหลวน สามแคว้นโดยรอบท่าเรือหางผึ้ง เมื่อปีก่อนแคว้นชิงหลวนได้จัดงานสัมมนามหายานอันเป็นพิธีทางศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ไปครั้งหนึ่ง ฮ่องเต้สกุลถังเป็นคนจัดขึ้นด้วยตัวเอง ปีที่สองแคว้นอวิ๋นเซียวและแคว้นชิ่งซานที่ราวกับรับคำท้าต่างก็พากันจัดพิธีหลัวเทียน (พิธีขนาดใหญ่ที่นักพรตเต๋าจัดขึ้นเพื่อขจัดพิบัติภัย) ขึ้นมาแทบจะเวลาเดียวกัน แบ่งเทพเซียนลัทธิเต๋าของฝ่ายต่างๆ ไปจนหมดสิ้น ทำเอาแคว้นชิงหลวนตั้งตัวไม่ทัน ฮ่องเต้สกุลถังไม่ยอมแพ้ ฤดูใบไม้ผลิปีเดียวกันนั้นเขาก็จัดงานโต้วาทีระหว่างพุทธและเต๋าขึ้นมา ต้องการเลือกระหว่างลัทธิเต๋าและลัทธิพุทธให้มาเป็นศาสนาประจำแคว้นชิงหลวน สถานะสูงกว่าลัทธิขงจื๊อเสียอีก แน่นอนว่าฝ่ายที่แพ้ย่อมกลายมาเป็นฐานให้อีกฝ่ายเหยียบยืน
ดังนั้นเฉินผิงอันเชื่อว่าอย่างน้อยปีนี้จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียจะต้องยังอยู่ในเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน
คงเป็นเพราะอยู่ใกล้กับท่าเรือหางผึ้ง รวมไปถึงในเขตปกครองมีวัดวาอารามและทัศนียภาพงดงามมากมาย สามแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นชิงหลวนเองต่างก็ไม่ถือว่าเป็น ‘สถานที่ไร้อาคม’ ที่ปราณวิญญาณบางเบาจนขาดแคลน เทียบกับแคว้นซูสุ่ยที่เฉินผิงอันเดินทางผ่านในปีนั้นแล้ว ปราณวิญญาณมีแต่จะมากกว่า ตอนนั้นเขาที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่งสัมผัสได้ไม่ลึกซึ้งนัก แค่เป็นความรู้สึกคร่าวๆ เท่านั้น ตอนนี้ได้หลอมตราประทับอักษรน้ำเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตแล้ว สามารถดูดซับเอาปราณวิญญาณมาได้ช้าๆ เมื่อเปรียบเทียบกันจึงค้นพบความมหัศจรรย์ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในได้ดีกว่าเดิม
ในแคว้นต่างๆ ทางภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปที่เฉินผิงอันเคยเดินทางผ่าน ยังคงเป็นแคว้นไฉ่อีที่ปราณวิญญาณมากกว่าที่อื่นเล็กน้อย
เกี่ยวกับแคว้นไฉ่อี ตอนนี้ในยันต์ที่เก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่นของเฉินผิงอันยังมีผีงามโครงกระดูกที่ลงนามทำสัญญากับเขาอยู่ตนหนึ่ง
เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันไม่ชอบนาง หลังออกมาจากเกาะกุ้ยฮวาก็ไม่เคยให้นางออกจากยันต์ประหลาดอันเป็นที่พักพิงของนางมาก่อน
แต่วันหน้าเมื่อไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วก็ค่อยปล่อยนางออกมา มีเทพภูเขาเฝ้าบัญชาการณ์คอยหลุบตามองภูเขาโดยรอบ เชื่อว่าสำหรับผีสาวตนนั้นแล้วนี่ต้องเป็นการข่มขวัญอย่างหนึ่ง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำระบบสืบทอดที่ถูกต้องของราชวงศ์ต้าหลีไม่ใช่สิ่งที่ราชวงศ์ใดๆ ในแจกันสมบัติทวีปจะทัดเทียมได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของต้าหลีจะมีระดับสูงกว่าหนึ่งขั้นอย่างเป็นธรรมชาติ ตอนนี้เป็นเช่นนี้ วันหน้า…พื้นที่ครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปล้วนเป็นของในกระเป๋าของสกุลซ่งต้าหลีแล้ว ขาดแค่ได้รับการยอมรับจากสถานศึกษาบางแห่งของลัทธิขงจื๊อในแผ่นดินกลางเท่านั้น ดังนั้นในอนาคตเกรงว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของต้าหลีกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแจกันสมบัติทวีปก็คงไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่
ตอนที่ออกจากพื้นที่ชายแดนท่าเรือหางผึ้ง พบว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางจากข้างนอกเข้าไปข้างใน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์หรือผู้ฝึกลมปราณก็ล้วนจำเป็นต้องถือยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งที่ซื้อจากประตูทางเข้าท่าเรือ พอเข้าประตูมาแล้วก็จะปรากฎประตูใหญ่ที่เป็นริ้วกระเพื่อมบานหนึ่ง เมื่อคนผ่านเข้าไป ยันต์สีเหลืองแผ่นนั้นจึงคล้ายคลึงกับเอกสารผ่านทางของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ นี่เป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เฉินผิงอันเพิ่งพบเจอเป็นครั้งแรก ท่าเรือแห่งอื่นๆ ล้วนไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าผ่านทางเช่นนี้ แต่หากจะออกจากท่าเรือหางผึ้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยันต์ผ่านทางแผ่นนั้นแล้ว หลังเดินออกจากประตูใหญ่ เฉินผิงอันก็ไปถามคนเฝ้าประตูที่เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้าคนหนึ่งเพื่อขอความรู้จากใจจริง คนผู้นั้นเห็นว่าบุคลิกท่าทางของเฉินผิงอันล้วนไม่ธรรมดา อีกทั้งยังเดินออกมาจากท่าเรือหางผึ้งจึงยิ้มพลางไขข้อสงสัยให้กับเฉินผิงอัน ที่แท้ท่าเรือหางผึ้งมีค่ายกลภูเขาแม่น้ำแห่งหนึ่งที่สำนักหยินหยางและอาจารย์ด้านกลไกร่วมมือกันสร้างขึ้น เซียนดินโอสถทองสามารถเดินผ่านเข้าไปได้โดยตรง ต่ำกว่าโอสถทองลงมาก็จำเป็นต้องซื้อยันต์ผ่านด่านมูลค่าห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะหนึ่งแผ่น หากฝ่าฝืนบุกเข้าไป พวกคนที่ลาดตระเวนอยู่บนท่าเรือหางผึ้งก็จะพากันกรูเข้ามา ส่วนยันต์แผ่นนั้นก็คือสาขาแยกของยันต์ทำลายค่ายกล ซึ่งท่าเรือหางผึ้งก็ขอร้องให้เซียนซือพรรคมหายันต์สร้างขึ้นมาโดยวัดประเมินจากค่ายกลแห่งนี้
เมื่อเฉินผิงอันถามว่าเหตุใดท่าเรือแห่งอื่นถึงไม่จำเป็นต้องใช้ยันต์เปิดทาง ผู้ฝึกลมปราณก็คลี่ยิ้มคลุมเครือ ใช้เท้าเหยียบลงบนพื้นเบาๆ ถามว่าที่นี่คือถิ่นของใคร
ตำแหน่งที่ตั้งของประตูใหญ่แห่งนี้มุ่งหน้าไปในอาณาเขตของแคว้นชิงหลวน เฉินผิงอันย่อมต้องตอบว่าสกุลถังชิงหลวน ไม่รอให้ผู้ฝึกลมปราณอธิบายอย่างละเอียด เฉินผิงอันก็พลันกระจ่างแจ้งในฉับพลัน แล้วก็ต้องทอดถอนใจให้กับความฉลาดในการหาเงินของฮ่องเต้สกุลถังผู้นั้น
เมืองหลวงแคว้นชิงหลวนห่างจากท่าเรือหางผึ้งไปหนึ่งพันหกร้อยลี้ และอยู่ห่างจากงานโต้วาทีพุทธเต๋าซึ่งจะเริ่มขึ้นในช่วงฝนธัญชาติ (คือฝนที่ตกมาทำให้ธัญชาติที่ปลูกเจริญเติบโตงอกงาม ตรงกับวันที่ 19, 20 หรือ 21 เมษายน) อีกประมาณสองเดือนกว่า ดังนั้นเดินเท้าไปที่นั่นจึงไม่เป็นปัญหาใดๆ
การเดินทางหลังจากนั้นพวกเขาก็เจอวัดวาอารามน้อยใหญ่ไปตลอดทาง คนทั้งกลุ่มต่างก็ไม่ได้ศรัทธาในศาสนาพุทธหรือศาสนาเต๋าสักเท่าไหร่ หากเข้าไปเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงมาก่อน เฉินผิงอันกับเผยเฉียนก็แค่จุดธูปสามดอกเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างนอบน้อมเท่านั้น เว่ยเซี่ยนไม่เชื่อเรื่องนี้จึงไม่เข้าไป จะรออยู่ตรงหน้าประตู จูเหลี่ยนก็ไม่เชื่อ แต่ก็เดินเข้าไปเป็นเพื่อนเฉินผิงอันกับเผยเฉียน หลูป๋ายเซี่ยงจะเข้าแค่วัดเพื่อไปจุดธูปกราบไหว้พระโพธิสัตว์ด้วยความจริงใจเท่านั้น ส่วนสุยโย่วเปียนจะเข้าแค่อารามเต๋าซึ่งก็มีความจริงใจมากเช่นกัน
เฉินผิงอันเอ่ยเตือนเผยเฉียนว่า จุดธูปกราบไหว้นั้นได้ แต่ไม่ควรขอพรส่งเดช ยิ่งไม่ควรเห็นเหล่าเทพเซียนเหล่าพระโพธิสัตว์องค์ใดก็ตามในวัดวาอารามแล้วไล่โขกหัวขอพรไปเสียทั้งหมด
แต่ก็บอกเผยเฉียนว่า หากวันใดเกิดความรู้สึกอยากจะขอพรจริงๆ ก็ต้องทำอย่างตั้งใจ ต้องจำเนื้อหาของพรที่ขอให้ได้ รวมถึงจำว่าไปจุดธูปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใดที่วัดหรืออารามแห่งใด หากความปรารถนาเป็นจริงแล้ว วันหน้าไม่ว่าหนทางจะไกลแค่ไหนก็ต้องกลับมาทำตามที่สัญญาเอาไว้ให้ได้
เห็นว่าเฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ทำเอาเผยเฉียนตกใจจนไม่กล้าขอพรใดๆ แค่จุดธูปกราบไหว้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นพอคิดว่าหากไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้วยังต้องกลับมาทำตามสัญญาที่แคว้นชิงหลวน นางก็รู้สึกว่าหากตนไม่เหนื่อยตายก็ต้องเสียใจจนไส้เขียว ร้องไห้จะเป็นจะตายระหว่างที่เดินทางมาแน่นอน
อีกทั้งตอนที่เข้าไปจุดธูปกราบไหว้ เฉินผิงอันยังมีกฎอีกข้อหนึ่ง บอกว่าเงิน ‘เชิญธูป’ จะขอยืมจากคนอื่นไม่ได้ จำเป็นต้องให้นางเผยเฉียนออกเอง
ยังดีที่ตลอดทางมานี้ เฉินผิงอันใช้งานเผยเฉียนอยู่หลายครั้ง เด็กหญิงผอมแห้งจึงเก็บเงินได้หลายตำลึง พอเอามาแลกเป็นเหรียญทองแดงแล้ว คิดจะเชิญธูปในวัดและอารามก็ถือว่าเพียงพอ
เผยเฉียนไม่ได้รู้สึกว่าเฉินผิงอันขี้งกเงินเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญนี้
ยิ่งนานวันนางก็ยิ่งรู้สึกว่า เฉินผิงอันใจกว้างกับนางที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่บุกเบิกขุนเขามากกว่าพวกเหล่าเว่ยสี่คนมากนัก
นี่ทำให้เผยเฉียนดีใจอย่างมาก
ช่วงแมลงตื่นจากการจำศีล ในผืนป่ารกร้างของอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งแคว้นชิงหลวน ต่อให้อยู่ห่างจากที่นี่ไปร้อยกว่าลี้ พวกเฉินผิงอันก็ยังรู้สึกได้ว่าแผ่นดินไหวภูเขาโยกคลอน ห่างออกไปไกลมีฝุ่นตลบมืดฟ้ามัวดิน มีปีศาจใหญ่ยักษ์ตนหนึ่งที่เห็นเพียงเค้าโครงรูปร่างอย่างพร่าเลือนคล้ายจะได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน มันแหงนหน้าร้องคำราม ทำเอานกจำนวนนับไม่ถ้วนในผืนป่ากระพือปีกบินแตกฮือ
เฉินผิงอันคิดแล้วก็บอกให้เว่ยเซี่ยนกับสุยโย่วเปียนไปสืบดูว่าเกิดอะไรขึ้น ดูว่ามีผู้บริสุทธิ์ที่ต้องเดือดร้อนหรือไม่
ตอนนี้บาดแผลของตัวเขาเองยังไม่หายดี อีกทั้งยังต้องปรับสมดุลระหว่างทะเลสาบช่องโพรงที่กักเก็บปราณวิญญาณกับปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ซึ่งเป็นดั่งน้ำกับไฟ แม้จะบอกว่าคอขวดขอบเขตห้าของวิถีวรยุทธ์ยังคงอยู่ แต่ศักยภาพที่แท้จริงกลับเป็นแค่มาตรฐานของขอบเขตสี่เท่านั้น
ในมือเว่ยเซี่ยนกุมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานซีเยว่ สุยโย่วเปียนสะพายกระบี่ชือซินไว้ด้านหลัง คนทั้งคู่มีทั้งความสามารถในการโจมตีและการตั้งรับ ต่อให้พบเจออันตรายระหว่างทาง แต่หากร่วมมือกัน คิดจะถอยกลับมาอย่างเต็มตัวก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เฉินผิงอันไม่ได้จงใจเร่งเดินทางให้เร็วขึ้น รอจนสุยโย่วเปียนกับเว่ยเซี่ยนกลับมาก็บอกว่าทางฝั่งนั้นเกิดวัวดินพลิกตัว คือผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มใหญ่ที่ไม่รู้ว่าไปเจอวัวดินซึ่งจำศีลอยู่ใต้ดินแห่งนี้มาหลายร้อยปีได้อย่างไร พวกเขาคิดจะล้อมสังหารมัน หวังเอาวัตถุวิเศษที่มีอยู่ทั่วเรือนกายของวัวดินมาครอง แต่ถูกคนสองคนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นขัดขวาง คนหนึ่งคือนักพรตหนุ่มที่ใช้กระบี่ไม้ท้อ อีกคนหนึ่งคือชายฉกรรจ์เคราดกพกดาบ ทั้งสองฝ่ายไม่ทันได้พูดคุยกันก็ลงไม้ลงมือกันแล้ว ศักยภาพของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมาก ฝ่ายที่ล้อมสังหารย่อมได้เปรียบ เพราะในกลุ่มของพวกเขามีคนหนึ่งเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองซึ่งเป็นคนควบคุมสถานการณ์ จุดจบไม่ต้องคิดก็พอจะรู้ได้
เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งที ทะยานตัวขึ้นสูง กระบี่บินชูอีสืออู่พากันพุ่งออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แล้วเฉินผิงอันก็เดินไปทีละก้าวบนกระบี่บินที่พุ่งมารองรับ ประหนึ่งเซียนทะยานลมจากไปไกลอย่างรวดเร็ว
คนในภาพวาดทั้งสี่หันมามองหน้ากันเอง
เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่าอยู่ในมือ มองซ้ายมองขวา เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
สุยโย่วเปียนพุ่งวูบหายตัวไป
จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แล้วก็ทะยานตัววูบตามไปติดๆ “จะได้ตีกันอีกแล้ว สะใจ!”
เว่ยเซี่ยนแบกเผยเฉียนขึ้นหลัง
หลูป๋ายเซี่ยงติดตามไปเงียบๆ
ค่อนข้างแปลกใจว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงเสียกิริยาขนาดนี้?
หรือว่ามีคนรู้จักอยู่ที่นั่น?
แต่เฉินผิงอันที่มาจากตรอกหนีผิงถ้ำสวรรค์หลีจู ต่อให้เป็นคนรู้จักก็ไม่ควรเป็นพวกคนอย่างเจิ้งต้าเฟิงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า หลี่เอ้อร์ปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตสิบ เฉาซีเซียนกระบี่ หรือเทียนจวินเซี่ยสือหรอกหรือ?
บ้านเกิดของเฉินผิงอันเป็นสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบจนแทบจะไร้เหตุผลเลยนี่นา
ต่อให้วันใดมีผู้เฒ่าประหลาดขอบเขตบินทะยานโผล่มากะทันหัน ตอนนี้พวกคนทั้งสี่ในภาพวาดอย่างหลูป๋ายเซี่ยงก็ไม่ตกใจมากจนเกินไปแล้ว แต่หากจู่ๆ มี ‘คนบทบาทเล็กๆ’ อย่างพวกห้าขอบเขตกลางอะไรโผล่มาบอกว่าตัวเองคือเพื่อนของเฉินผิงอัน พวกเขาสี่คนกลับรู้สึกไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่
ต่อให้จะมีกระบี่บินสองเล่มคอยช่วยเหลือ แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีบาดแผลติดตัว อีกทั้งปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ขุมนั้นก็เหมือนจะถูกขัดขวางเล็กน้อย ดังนั้นความเร็วจึงยังคงพอๆ กับพวกสุยโย่วเปียนที่อยู่บนพื้น
ในเทือกเขาขนาดใหญ่ยักษ์ซึ่งมีเศษหินจำนวนนับไม่ถ้วน วัวดินสีเหลืองที่บาดเจ็บสาหัสจนจำต้องเผยร่างจริงนอนจมอยู่ท่ามกลางกองเลือด ด้านหน้าของมันคือนักพรตหนุ่มกับจอมยุทธ์เคราดกที่สภาพสะบักสะบอม คนทั้งสองหันหลังชนกัน ผู้ฝึกลมปราณยี่สิบกว่าคนที่อยู่รอบด้านประหนึ่งฝูงหมาป่าที่รุมล้อมพวกเขา
ภายใต้สายตาที่จับจ้องมองมาของทุกคน เรือนกายล่องลอยของคนหนุ่มชุดขาวที่ไม่รู้ว่าทะยานลมหรือขี่กระบี่ปรากฎขึ้นประดุจเทพเซียนแท้จริงซึ่งอยู่เหนือโลกีย์ทั้งมวล
เห็นเพียงว่าเซียนซือชุดขาวผู้นั้นลดตัวลงต่ำอย่างเร่งร้อน พอพลิ้วกายลงบนพื้นก็เดินก้าวมาเบาๆ ข้างหน้าห้าหกก้าว เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าคนทั้งสอง คลี่ยิ้มพลางชูฝ่ามือสองข้างให้กับพวกเขา
นักพรตหนุ่มและมือดาบเคราดกอึ้งตะลึงอย่างไม่อยากจะเชื่อ นักพรตหนุ่มถึงกับขยี้ตา จากนั้นรอยยิ้มก็แผ่กระเพื่อมอยู่เต็มดวงตาคู่ที่ใสกระจ่างของนักพรต
นักพรตหนุ่มกับจอมยุทธ์เคราดกต่างก็ยื่นฝ่ามือกันออกมาคนละข้าง ตีมือกับเซียนซือหนุ่มผู้นั้นหนักๆ ไม่เหลือสีหน้าห่อเหี่ยวอีกต่อไป คนทั้งสองพลันเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาสดใส อารมณ์เบิกบานสุดขีด
เฉินผิงอันมองคนทั้งสอง สายตาของเขาในเวลานี้สว่างไสวยิ่งกว่าดวงตาของเผยเฉียนที่มีดวงตะวันและจันทราเสียอีก เขาจับมือของสหายทั้งสอง พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ข้ารู้อยู่แล้วเชียว! ใต้หล้านี้มีเพียงสหายสองคนนั้นของข้าอย่างจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียเท่านั้นที่ถึงจะยินดีทำเรื่องเปลืองแรงแต่ไม่ได้รับผลตอบแทนเช่นนี้!”
บทที่ 376.1 ผู้ฝึกตนอิสระมีหลากหลาย
ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งลักษณะเหมือนคนอายุสามสิบต้นๆ ยืนอยู่บนหินใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่ง ใบหน้าของเขาเปรอะฝุ่นมอมแมม ถ่มเลือดคำหนึ่งออกมาเบาๆ
การต่อสู้ครั้งนี้มีแต่เรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากมาย เวลาคิดบัญชีตอนจบเรื่อง หากจะขอเงินเพิ่มจากเซียนดินโอสถทองผู้นั้นอีกนิดคงไม่เกินกว่าเหตุกระมัง วัตถุดิบวิเศษทั่วร่างของวัวดิน ของดีๆ เจ้าล้วนเอาไปหมด ไม่ว่าจะเป็นโอสถทอง เขาวัว เอ็นและกระดูก ฯลฯ พวกเขาก็ได้แค่เครื่องในและเลือดเนื้อไปเท่านั้น ผลกลับกลายเป็นว่านี่ยังต้องต่อสู้อีกสองรอบ หากแม้แต่เงินร้อนน้อยไม่กี่เหรียญยังไม่เต็มใจจะควักออกมา ก็อย่าโทษหากพวกเขา…ชี้หน้าด่าแม่ลับหลังก็แล้วกัน
ผู้ฝึกลมปราณคนนี้ชื่อว่าลวี่หยางเจิน มีชาติกำเนิดจากชนบท ครอบครัวเป็นนายพรานกันมาหลายรุ่นหลายสมัย ตอนนี้คือผู้ฝึกตนอิสระที่ไร้ที่พักพิงคนหนึ่ง เมื่อปีก่อนเพิ่งจะข้ามผ่านธรณีประตูบานใหญ่มาได้ จึงกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิต แม้ว่าจะเป็นขอบเขตที่ต่ำที่สุดของห้าขอบเขตกลาง แต่สำหรับผู้ฝึกตนอิสระแล้ว การได้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตก็คือการเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว ก้าวนี้เดินออกไปก็จะได้ทำหน้าที่ในจวนตระกูลเซียนที่ระบบการสืบทอดถูกต้อง สามารถไปเป็นผู้ถวายงานให้กับฮ่องเต้ของโลกมนุษย์ เป็นเค่อชิงที่ทำงานให้กับจวนของชนชั้นสูงหรือพวกขุนนาง หรือเปลี่ยนมาพูดอีกอย่างหนึ่ง ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตถ้ำสถิตก็ถือว่าเริ่มมีมูลค่าในตัวเองแล้ว
ความฝันของลวี่หยางเจินก็คือหวังว่าตัวเองจะโชคดีกว่าพวกโครงกระดูกผู้ฝึกตนที่เจอตรงโพรงริมหน้าผาตอนนั้นสักหน่อย ได้ตำราเซียนระบบเต๋าเล่มหนึ่งที่ชี้ตรงไปยังขอบเขตเซียนดินบนมหามรรคามาครอบครอง ต่อให้ชีวิตนี้ไม่อาจเป็นเซียนดินโอสถทองที่อยู่สูงเหนือผู้ใด แต่หากได้ยืนอยู่นอกประตู ยื่นมือออกไปก็สามารถสัมผัสกับธรณีประตูของเทพเซียนพสุธาได้ เขาก็พึงพอใจแล้ว
และความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดในส่วนลึกของหัวใจลวี่หยางเจิน หรือควรจะพูดว่าความเพ้อฝัน นั่นคือหวังว่าวันใดวันหนึ่งตนเองซึ่งอายุเกือบหกสิบปีจะพบกับโชคดีใหญ่เทียมฟ้า อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งขึ้นมา ดังนั้นพอลวี่หยางเจินเห็นเซียนซือหนุ่มชุดขาวพลิ้วกายลงบนพื้น มีแสงสองเส้นพุ่งหายเข้าไปในน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดตรงเอว เขาก็พลันตาแดงก่ำ กระบี่บิน ต้องเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตแน่นอน!
ไหนบอกว่า ‘หกสิบปีถ้ำสถิตเฒ่า ร้อยปีเซียนกระบี่ยังคงหนุ่ม’ อย่างไรล่ะ?
หรือว่าคนตรงหน้าผู้นี้คือผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่มีวิชารักษาความเยาว์วัย?
หากเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งก็เจอปัญหาใหญ่เทียมฟ้าแล้ว
หากเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่เก็บตัวสันโดษ คาดว่าการวางแผนอย่างรัดกุมเพื่อล้อมสังหารช่วงชิงสมบัติครั้งนี้คงจะต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายกันมหาศาลแล้ว
หลังจากอารมณ์ตื่นเต้นในช่วงสั้นๆ ผ่านไป ลวี่หยางเจินก็สงบสติอารมณ์ลงได้อย่างรวดเร็ว
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่สามารถเลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาได้ หลังเผยกายบนโลก กระบี่บินนั้นยังสามารถต้านทานพายุลมกรดและการขัดเกลาจากปราณชั่วร้ายบนโลก นอกจากความน่ากลัวของตัวพวกเขาเองอย่างพลังการต่อสู้ที่น่าตะลึง ชอบตัดสินเป็นตายในเสี้ยววินาทีเมื่อต้องเข่นฆ่ากับใคร จุดที่ทำให้ผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเขากริ่งเกรงกันมากที่สุดนั้นอยู่ที่ผู้ฝึกกระบี่แทบทุกคนในแจกันสมบัติทวีปล้วนเป็นลูกรักของตระกูลเซียนบนภูเขา ใครกล้าแตะต้องแม้แต่ปลายเล็บก็ต้องสะเทือนไปถึงศาลบรรพจารย์ในสำนักของพวกเขาแน่นอน
ลวี่หยางเจินใช้หางตาชำเลืองมองไปรอบด้าน
นอกจากเซียนดินโอสถทองที่ร่ายเวทอำพรางตาปกปิดโฉมหน้าที่แท้จริงผู้นั้นซึ่งมองการเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าไม่ออกแล้ว
ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่เหมือนกับลวี่หยางเจินล้วนมีสภาพจิตใจไม่ต่างกับลวี่หยางเจิน เพียงแต่ว่าบางคนก็ขี้ขลาดกว่า รู้จักบังคับเรือตามลมมากกว่า จึงเก็บอาวุธ หันไปแสดงท่าทีเป็นมิตรกับผู้ฝึกกระบี่ท่านนี้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองกลายเป็นมะพลับนิ่มที่ถูกแขกไม่ได้รับเชิญผู้นี้บีบเล่น โดนอีกฝ่ายปลิดชีพด้วยหนึ่งกระบี่เพื่อแสดงอำนาจบารมี แล้วก็มีบางคนที่ไม่กลัวตาย ซุกซ่อนประกายร้อนแรงในดวงตาไว้อย่างมิดชิด ทว่าการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ที่ลวี่หยางเจินใคร่ครวญออกมาได้ก็ได้เปิดเผยความคิดในใจที่แท้จริงของพวกเขา จัดการไปพร้อมกับวัวดินตัวนั้น หากทำการค้าครั้งใหญ่ที่น่าตะลึงพรึงเพริดนี้ได้สำเร็จก็มากพอจะทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่กลายเป็นเศรษฐีภายในค่ำคืนเดียว! อย่างมากนับแต่บัดนี้ก็ไปให้ไกลจากพื้นที่แคว้นชิงหลวน ผู้ฝึกตนอิสระที่ถูกตระกูลเซียนบนภูเขามองเป็นสุนัขป่าคุ้ยเขี่ยหาอาหาร เดิมทีก็เป็นดั่งจอกแหนไร้รากอยู่แล้ว ฝึกตนอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
อีกอย่างต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีหมวกสูงค้ำให้อยู่
ดังนั้นพวกลวี่หยางเจินจึงพากันเหลือบมองเซียนดินโอสถทองอยู่หลายครั้งตามจิตใต้สำนึก ยอดฝีมือท่านนี้มีที่มาไม่แน่ชัด เมื่อครึ่งปีก่อนก็รวบรวมพวกเขามาเป็นพรรคพวก ถ้อยคำคร่าวๆ ของเขาก็คือสถานที่แห่งนี้มีปีศาจใหญ่วัวดินซึ่งอำพรางตัวอยู่ท่ามกลางเส้นทางมังกรที่ผุพังซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานเส้นหนึ่งเป็นเวลานานถึงสองร้อยกว่าปีแล้ว สั่งสมฝึกตนจนได้ตบะเทียบเท่ากับขอบเขตประตูมังกรของผู้ฝึกลมปราณ หากฝ่าไปถึงขอบเขตโอสถทองได้ ตอนที่สร้างโอสถทอง แคว้นชิงหลวนจะต้องเผชิญหน้ากับโศกนาฎกรรมที่แผ่นดินสะท้านสะเทือนเพราะการพลิกตัวของวัวดิน เมืองหลายแห่งที่อยู่ในอำเภอและเขตการปกครองรอบรัศมีพันลี้จะต้องมีคนบาดเจ็บและล้มตายนับไม่ถ้วน ดังนั้นก่อนหน้าที่มันจะกลายเป็นโอสถทองก็จำเป็นต้องกำราบและสังหารมันให้ได้เสียก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้มันเป็นภัยต่อแคว้น…
ลวี่หยางเจินกับผู้ฝึกตนอิสระสองคนที่จับกลุ่มกันชั่วคราวเพื่อเดินทางตามหาสมบัติได้ยินเหตุผลที่ฟังดูแล้วเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมนี้ ตอนนั้นหากไม่เป็นเพราะกลัวตบะโอสถทองของคนผู้นี้ก็คงหลุดส่งเสียงหัวเราะออกไปแล้ว
การที่เขาจับมือเป็นพันธมิตรกับคนทั้งสองชั่วคราวแล้วเดินทางไปเยือนหลายแคว้นอย่างแคว้นชิงหลวน แคว้นชิ่งซาน ฯลฯ ก็เพราะผู้ฝึกตนสองพี่น้องนั้นมีคนหนึ่งที่เป็นตี้ซื่อซึ่งหายากคนหนึ่ง
ตอนนี้สองพี่น้องต่างก็ขยับเข้ามาใกล้เขาอย่างเงียบเชียบ
ครั้งนี้สามารถแบ่งน้ำแกงหนึ่งถ้วยมาจากจานอาหารของผู้ฝึกตนโอสถทอง ลวี่หยางเจินและผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นต่างก็มีคุณความชอบ ลวี่หยางเจินเชี่ยวชาญค่ายกล สามารถสยบความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเมื่อวัวดินพลิกตัวได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ตระกูลเซียนที่แท้จริงจับตามองมา ถึงเวลานั้นจะกลับกลายเป็นว่าทุกคนยุ่งกันมาเกินครึ่งวันเพื่อสังหารสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง แต่สุดท้ายกลับเป็นการตัดชุดแต่งงานให้คนอื่น
ส่วนวิชาที่ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นเชี่ยวชาญก็คือเงื่อนไขสำคัญที่เซียนดินโอสถทองยินดีรับคนทั้งสามมาร่วมงาน เทพเซียนท่านนี้แค่พอจะระบุขอบเขตที่วัวดินซ่อนตัวได้คร่าวๆ แต่กลับยังคงตามหาไม่เจอว่ามันอยู่ตรงไหนกันแน่ ดังนั้นนักพรตหญิงที่ไม่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าผู้นี้จึงถึงเวลาขึ้นเวทีแสดง
หญิงสาวสวมชุดงดงาม ลักษณะท่าทางเหมือนสตรีแต่งงานแล้ว เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้า พรสวรรค์ไม่ถือว่าดีนัก เพียงแต่ว่าหากอยู่ท่ามกลางผู้ฝึกตนอิสระก็ถือว่าไม่เลว ความประทับใจที่นางมีต่อลวี่หยางเจินก็ดีพอสมควร ครั้งนี้เข้าร่วมแผนการกับเซียนดินโอสถทองคนหนึ่ง อย่างน้อยพวกเขาสองพี่น้องและลวี่หยางเจินก็ถือว่าปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจ เวลานี้ได้ใช้คลื่นเสียงในทะเลสาบหัวใจสื่อสารกัน “ผู้มาเยือนมีเจตนาไม่ดี เห็นได้ชัดว่าเป็นสหายของสองคนนั้น จะเอาอย่างไร?”
ลวี่หยางเจินลูบใบหน้า “นิ่งรอดูสถานการณ์ก่อนเถอะ”
หญิงสาวพยักหน้ารับ การล้อมสังหารครั้งนี้ นางคือคนที่โดดเด่นที่สุด หลังจากศึกใหญ่เปิดฉากขึ้น นางอยู่ว่างสบายยิ่งกว่าพี่ชายและลวี่หยางเจินเสียอีก ถึงขั้นพูดได้ว่าไม่ต้องทำอะไรเลย
เพราะนางคือตี้ซื่อคนหนึ่งของสายรองสำนักหยินหยาง
พี่ชายของนางคือชายฉกรรจ์สูงแปดฉื่อ ถือขวาน สวมเสื้อเกราะสีเขียวที่สลักอักขระยันต์ไว้มากมาย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือด แต่โชคดีที่เป็นแค่บาดแผลภายนอกที่เกิดจากผิวหนังปริแตกเท่านั้น เนื่องจากวาสนานำพาทำให้เขาเดินไปบนเส้นทางของผู้ฝึกตนสำนักการทหาร แต่ก็เหมือนแค่ภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น เขาก็แค่ได้รับตำราลับที่สูญหายไปของตระกูลเซียนสามสาขาที่ระบุถึงการหล่อหลอมร่างกายและสร้างจิตวิญญาณให้มั่นคงมาครอง บวกกับในอดีตได้ทุ่มทรัพย์สมบัติมหาศาลซื้อชุดเกราะวิเศษชิ้นนี้มา ถึงได้เป็นดั่งพยัคฆ์ติดปีก ค่อนข้างจะมีชื่อเสียงบารมีในแถบของชายแดนแคว้นชิ่งซาน
ทว่าคนที่หาเงินได้อย่างแท้จริงกลับไม่ใช่ชายฉกรรจ์สวมเกราะที่พลังการต่อสู้ไม่ธรรมดาผู้นี้ แต่เป็นน้องสาวที่เป็นตี้ซื่อของเขาผู้นั้น
ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา โดยเฉพาะผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่ได้รับการสืบทอดจากสำนัก ในเรื่องการตามหาสมบัติวิเศษนี้ค่อนข้างจะมีเคล็ดลับและความรู้อยู่มาก
นอกจากจับผลัดจับผลูไปเจอกับโชควาสนาบนมหามรรคา ยังสามารถตามหาเบาะแสร่องรอยจากในอักขรากรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่น บวกกับแผนที่ทางชัยภูมิที่เก็บเป็นความลับอยู่ในที่ว่าการของทางการ จำเป็นต้องตรวจสอบให้ตรงจุด และยังต้องสอบถามเอาจากชาวบ้านที่ขึ้นเขาลงห้วยเป็นประจำอย่างพวกนายพราน ชาวประมง ฯลฯ ถึงพอจะมีโอกาสค้นพบหนทางร่ำรวย
นี่จึงจำเป็นต้องให้พวกเซียงกวานและตี้ซื่อเปิดภูเขาถามเส้นทาง เซียงกวาน เล่าลือกันว่าสามารถเห็นโฉมหน้าของฟ้าดินได้อย่างชัดเจน สามารถอาศัยการดูดาวทำนายโชคชะตาของคนที่มาทำนาย โชคชะตาของแคว้น ส่วนตี้ซื่อนั้นเชี่ยวชาญในการตามหาช่องโพรงเส้นทางมังกร โดยเฉพาะการจับความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นกับปราณวิญญาณที่ยิ่งมีความรู้สึกเฉียบไวเป็นพิเศษ
เมื่อหาพบก็ยังมีด่านที่ต้องข้ามผ่านไป วัตถุดิบวิเศษในโลกมักจะมีภูตผีให้การคุ้มกันอย่างแน่นหนาเสมอ
และนี่ก็เป็นด่านยากที่อันตรายถึงชีวิตของผู้ฝึกตนอิสระมาโดยตลอด ผู้ฝึกตนอิสระมักจะเดินทางเพียงลำพัง พละกำลังน้อยนิด ไม่เหมือนพวกสำนักบนภูเขาที่มีถ้ำสถิตเทพเซียนที่หากค้นพบสถานที่แบบนี้ก็สามารถระดมพลพาคนจำนวนมากไปตรวจสอบ หากไม่ได้จริงๆ ก็หาตระกูลเซียนแห่งอื่นที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ดังนั้นจึงมีน้อยครั้งที่พวกเขาจะพลาดไป ส่วนผู้ฝึกตนอิสระที่หากแน่ใจว่าไม่สามารถฮุบกลืนมาได้เพียงลำพังก็ได้แต่หาคนมาร่วมมือด้วย ไม่อย่างนั้นก็แทบไม่มีความเป็นไปได้
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดถึงไม่ไปตามหาสำนักตระกูลเซียนบนภูเขา ความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จจะไม่มากกว่าหรอกหรือ?
หนึ่งเพราะผลเก็บเกี่ยวน้อยเกินไป ทั้งๆ ที่เป็นคนค้นพบวัตถุดิบวิเศษหรือตำราลับบรรพกาลก่อนใคร แต่กลับง่ายที่จะมีจุดจบเป็นแค่คนที่ได้กินเศษน้ำแกงเหลือเดน นอกจากนี้ยังมีจุดจบที่น่าอนาถยิ่งกว่า นั่นก็ถือถูกตระกูลเซียนลอบสังหาร ต้องรู้ว่าผู้ฝึกตนอิสระถูกเซียนซือของระบบสืบทอดดั้งเดิมดูแคลน รังเกียจ มองเป็นผีเร่ร่อนท่ามกลางผู้ฝึกลมปราณ เป็นดั่งหนอนที่ชอนไชอยู่ตามปราณวิญญาณของฟ้าดิน คือผู้ฝึกตนเถื่อนที่ไม่เลือกวิธีการ
เหตุใดผู้อาวุโสขอบเขตหยกดิบในประวัติศาสตร์ของท่าเรือหางผึ้งคนนั้นถึงมีชื่อเสียงที่สูงส่งและดีงามอย่างยิ่งท่ามกลางผู้ฝึกตนอิสระของแจกันสมบัติทวีป? นั่นก็เป็นเพราะผู้อาวุโสท่านนี้เคยเอ่ยความในใจของผู้ฝึกตนอิสระนับพันนับหมื่นออกมา ‘ข้าผู้อาวุโสจะยืนกินจนอิ่ม!’
ชื่อถูกบันทึกไว้ในตำรา ส่วนหนึ่งอยู่ในศาลบรรพชนของสำนัก ส่วนหนึ่งอยู่ในราชสำนักบางแห่งที่อยู่ใกล้กับสำนัก ผู้ฝึกลมปราณประเภทนี้ถูกเรียกว่าเซียนซือแห่งทำเนียบวงศ์ตระกูล หากไม่ได้อยู่ในทำเนียบนี้ก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนอิสระแล้ว
ราชสำนักและทางการของท้องถิ่นต่างก็ไม่ชอบผู้ฝึกตนอิสระประเภทนี้ เพราะนิสัยเปลี่ยนแปลงง่าย ง่ายที่จะก่อเรื่อง ล่องลอยไม่อยู่นิ่ง มักจะทำให้พวกเขาต้องตามเช็ดก้นให้เป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ฝึกตนอิสระที่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางซึ่งสังหารเข่นฆ่าผู้คนได้อย่างเฉียบขาด คือคนอำมหิตที่เดินออกมาบนเส้นทางท่ามกลางลมคาวฝนเลือดนับครั้งไม่ถ้วน อารมณ์ของพวกเขาแปรปรวน ไม่เห็นใจใคร ยามที่ท่องอยู่บนโลกมนุษย์ก็มักจะทำอะไรกำเริบเสิบสาน แต่หากจะบอกว่าชีวิตของผู้ฝึกตนอิสระทุกคนไร้ค่าดั่งต้นหญ้าก็ย่อมเป็นคำพูดที่เกินจริงอย่างแน่นอน เพียงแต่ทั้งสามฝ่ายอย่างตระกูลเซียนบนภูเขา ที่ว่าการของราชสำนักและสำนักฝ่ายธรรมะในยุทธภพต่างก็ชอบพูดเลยเถิดเช่นนี้ เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนอิสระกลายเป็นดั่งหนูที่วิ่งผ่านถนนแล้วผู้คนวิ่งไล่ตีมานานปีแล้วปีเล่า
ผู้ฝึกตนอิสระที่พอจะมีความสามารถก็มักจะขอสถานะมาจากราชสำนักบางแห่ง หรือไม่ก็ขอสถานะผู้ถวายงานที่ได้รับส่วนแบ่งอย่างมากจากกองกำลังบนภูเขาบางลูก ใช้ชื่อเซียนซือในทำเนียบวงศ์ตระกูลในการฝึกตนอย่างอิสระเสรี
พวกลวี่หยางเจินสามคน เนื่องจากคนหนึ่งคืออาจารย์ด้านค่ายกลที่ไม่เชี่ยวชาญการโจมตี อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกตนสำนักการทหารเถื่อนที่เน้นด้านการป้องกัน อีกคนหนึ่งก็ยิ่งเป็นตี้ซื่อที่ ‘มือไร้แรงจะมัดไก่’ ดังนั้นแต่ละคนจึงถือว่าค่อนข้างหนักแน่น
ทว่าคนอีกกลุ่มหนึ่งที่จับกลุ่มกันเจ็ดแปดคน สายตาที่มองเซียนซือหนุ่มผู้นั้น นอกจากจะมองประเมินเพื่อวิเคราะห์และประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์แล้ว ยังแฝงแววอำมหิตดุร้ายออกมาเสี้ยวหนึ่ง
คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่สนิทกันมานานแล้ว คือผู้ฝึกลมปราณแปลกหน้าที่อยู่ใกล้เคียงกับแคว้นชิงหลวน เกินครึ่งคือมาร่วมความครึกครื้นของงานสัมมนามหายานและพิธีหลัวเทียน หวังลองมาเสี่ยงดวง การล้อมปราบปีศาจที่เป็นเผ่าพันธ์วัวดินครั้งนี้ พวกเขาออกแรงค่อนข้างมาก มีทั้งผู้ฝึกตนสำนักการหทารที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัว แล้วก็มีทั้งนักพรตนอกรีตซึ่งเชี่ยวชาญด้านยันต์และหุ่นเชิด ผู้ฝึกตนผีที่ใช้ธงเรียกวิญญาณ ชายฉกรรจ์กำยำผู้หนึ่งที่วัตถุแห่งชะตาชีวิตคือโล่หวาย โล่เหยี่ยวและโล่เหล็กสามชิ้น รับผิดชอบช่วยป้องกันการโจมตีให้กับสหายที่หลบเลี่ยงไม่ทัน
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนหนึ่งที่ยังคงเป็นห้าขอบเขตกลาง กระบี่บินเล่มหนึ่งพอออกจากช่องโพรงลมปราณมาก็ก่อตัวกลายเป็นของจริง กระบี่บินทั้งเล่มเป็นสีดำสนิท ยาวสองฉื่อกว่า ห่อหุ้มสายลมและสายฟ้า กลิ่นคาวเลือดเข้มข้น เนื่องจากยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิต ยังไม่ได้ ‘บุกเบิกจวน’ อย่างแท้จริง ดังนั้นปราณวิญญาณทั่วร่างจึงไม่สามารถประคับประคองให้กระบี่บินเผยกายได้นานนัก ส่วนใหญ่จึงมักจะโจมตีหนึ่งครั้งแล้วย้อนกลับเข้าช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตที่อบอุ่น ใช้เงินเกล็ดหิมะมาชดเชยปราณวิญญาณที่หายไปในช่องโพรงเพื่อรอการออกกระบี่ในครั้งถัดไป บาดแผลที่ถึงแก่ชีวิตหลายจุดบนร่างวัวดินสีเหลืองตัวนั้น มีถึงครึ่งหนึ่งที่เป็นฝีมือของกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนนี้
หัวใจหลักของคนกลุ่มนี้คือผู้เฒ่าที่สวมชุดดำคนหนึ่ง เขานั่งอยู่บนจิ้งจอกดำตัวใหญ่ยักษ์ที่มีห้าหาง
ผู้เฒ่าหันหน้าไปมองผู้ฝึกตนโอสถทองที่อำพรางตัวตนอย่างมิดชิด ความหมายของเขานั้นง่ายดายมาก ครั้งนี้เจ้าต้องควักกระเป๋าใช้เงินเกล็ดหิมะมาแลกเปลี่ยนของวิเศษตลอดทั้งตัวของปีศาจวัวดิน ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็ออกแรงกันไม่น้อย เรื่องที่ควรทำก็ทำไปหมดแล้ว ตอนนี้มีผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่รู้ความเป็นมาเข้ามาก่อกวน จะสู้หรือจะถอย เจ้าเป็นคนตัดสินใจ หากยังคิดจะสู้ให้ตายกันไปข้าง มีเรื่องกับผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนี้ ค่าตอบแทนจะไม่ใช่เงินร้อนน้อยอย่างที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้อีกแล้ว หากคิดจะถอย ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็จ่ายค่ามัดจำล่วงหน้าไปแล้ว ทั้งสองฝ่ายสามารถแยกย้ายตัดขาดความเกี่ยวข้องกันได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย
ผู้ฝึกตนโอสถทองที่บังคับลมหยุดลอยตัวอยู่กลางอากาศกลับไม่ได้ใช้เสียงในใจบอกกล่าวแก่ผู้ฝึกตนอิสระยี่สิบกว่าชีวิต ไอหมอกในขุนเขาปกคลุมอยู่บนใบหน้าของเซียนดินผู้นี้ เขามองไปยังคนหนุ่มที่สวมชุดขาวแล้วเอ่ยตามตรงว่า “เจ้าคิดจะตัดขาดทางทำมาหากินของคนอื่นจริงๆ หรือ? ข้ารับปากพวกเจ้าได้ ขอแค่พวกเจ้ายินดีถอยออกไปจากภูเขา ไม่สอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ ของวิเศษบนร่างของวัวดินสีเหลืองที่เดิมทีควรเป็นของข้าจะหักส่วนหนึ่งมาเปลี่ยนเป็นเงินเกล็ดหิมะ หลังจบเรื่องข้าจะประคองสองมือส่งให้เจ้าเอง”
หลังจากที่ฟังจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียอธิบาย เฉินผิงอันก็พอจะรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวคร่าวๆ
วัวดินสีเหลืองที่นอนจมอยู่กลางกองเลือดด้านหลังตัวนี้ แม้จะถือว่าเป็นปีศาจเผ่าวัวดินของบนโลก แต่เกิดมากลับมีนิสัยอ่อนโยน คำว่าวัวดินพลิกตัวที่ชาวบ้านชอบพูดถึงกันไม่เกี่ยวกับมันแม้แต่น้อย มันซ่อนตัวอยู่ที่นี่มาสองร้อยกว่าปีก็เพราะอยากจะซ่อมแซมเส้นทางมังกรบรรพกาลที่แตกพังแห่งนั้นให้เป็นสถานที่สำหรับบุกเบิกจวนในวันหน้า ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้มันเผยร่างจริงในลักษณะนอนอยู่ตลอดเวลา ร่างของมันเหมือนเทือกเขาที่มีหินภูเขากองทับถมกัน ‘บนภูเขา’ มีต้นไม้เขียวขจีขึ้นรกครึ้มมานานแล้ว
คำว่าวัวดินพลิกตัวที่แท้จริงคือฝีมือของเต่ายักษ์ แมงกะชอน ไส้เดือนและคางคกยักษ์ที่จำศีลอยู่ใต้ดินมาอย่างยาวนาน ภูตแห่งภูเขาและแม่น้ำเหล่านี้ชอบอยู่เฉยๆ ไม่ชอบเคลื่อนไหว อาศัยพรสวรรค์ที่มีจึงมักจะชอบใช้ร่างของตัวเองเชื่อมโยงเข้ากับรากของภูเขา ดึงดูดเอาปราณวิญญาณบนผืนแผ่นดินมาอย่างเชื่องช้า กลัวเสียงฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ หากพวกมันเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตห้าขอบเขตกลาง หรือไม่ก็ช่วงที่ใกล้จะสร้างโอสถทองได้สำเร็จก็ล้วนจำเป็นต้องสูบกลืนปราณวิญญาณฟ้าดิน เนื่องจากซ่อนตัวอยู่ใต้ดินเป็นเวลานาน กินโชคชะตาแห่งขุนเขาเป็นอาหาร หากฝ่าทะลุขอบเขตจะเกี่ยวพันกับโชควาสนาบนมหามรรคา จึงมักจะสำแดงสันดานเดิม เผยความดุร้ายออกมาอย่างชัดเจน ดังนั้นถึงได้มีคำกล่าวที่ว่าวัวดินพลิกตัว เต่ายักษ์พลิกกระดองซึ่งชักนำให้เกิดโศกนาฏกรรมแผ่นดินไหวหลายต่อหลายครั้ง
—–
บทที่ 376.2 ผู้ฝึกตนอิสระมีหลากหลาย
ก่อนหน้านี้จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียสองคนก็ถือเป็นคนที่ถูกอีกฝ่ายรับสมัครตัวมาเหมือนกัน เพียงแต่ว่าถึงแม้จางซานเฟิงจะตบะไม่สูง แต่กลับเชี่ยวชาญด้านประวัติความเป็นมาของภูตผีแห่งภูเขาและน้ำมากมาย สำหรับรากฐานและนิสัยของวัวดินสีเหลือง เขาก็ยิ่งคุ้นเคยเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงปฏิเสธคำเชื้อเชิญของอีกฝ่าย
ส่วนที่ยุ่งยากอย่างแท้จริงนั้นอยู่ที่จางซานเฟิงรู้ดีว่าหากวัวดินสีเหลืองตัวนั้นเป็นขอบเขตประตูมังกร ห่างจากการสร้างโอสถอีกแค่ก้าวเดียวจริงๆ ถ้าเช่นนั้นหากถูกล้อมสังหาร ขนาดพระโพธิสัตว์ยังมีไฟโทสะ คนซื่อก็ยังมีช่วงที่เลือดลมเดือดพล่าน แล้วนับประสาอะไรกับปีศาจตนหนึ่ง? ดังนั้นจางซานเฟิงจึงกลัวว่าก่อนที่วัวดินจะตายอาจไปชักนำเส้นทางใต้ดิน นั่นก็จะเกิดเหตุการณ์วัวดินพลิกตัวครั้งใหญ่อย่างแท้จริง ในรัศมีพันลี้รอบด้านจะเกิดแผ่นดินไหว เมืองสองแห่งที่อยู่ใกล้ที่แห่งนี้ที่สุด ไม่แน่ว่าอาจมีชาวบ้านผู้บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนบาดเจ็บล้มตาย
สวีหย่วนเสียขึ้นเหนือล่องใต้มาจนทั่ว ประสบการณ์ค่อนข้างโชกโชน จึงไม่ได้เอ่ยคำพูดที่แสดงถึงการผดุงคุณธรรมบอกให้ผู้ตนอิสระเหล่านั้นล้มเลิกความคิดที่จะล้อมสังหารวัวดินไปโดยตรง แต่อธิบายถึงความเป็นไปได้และความอันตรายที่จะเกิดขึ้นหากวัวดินพลิกตัวให้พวกเขาฟังอย่างละเอียด หวังว่าผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่งที่ตอนนั้นเรียกตัวพวกเขาสองคนมาจะเอาคำพูดนี้ไปบอกแก่คนที่อยู่เบื้องหลัง ให้เขาจ่ายเงินอีกเล็กน้อยจ้างอาจารย์ด้านค่ายกลหลายท่านมา พยายามลดระดับผลกระทบที่เกิดจากวัวดินพลิกตัวให้เหลือต่ำที่สุด อย่างน้อยที่สุดก็อย่าให้ชาวบ้านหลายหมื่นคนต้องตายหรือพลัดพรากจากถิ่นฐาน ถือเป็นการจ่ายเงินสั่งสมบุญ ผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตคนนั้นตบอกรับรองว่าจะนำความไปบอก ตอนนั้นสวีหย่วนเสียแสร้งทำเป็นแกล้งโง่เออออตามไป และยังพูดคุยปราศรัยกับผู้ฝึกตนคนนั้นไปอีกพักหนึ่ง ทว่าหลังจากนั้นเขากับจางซานเฟิงกลับแอบสะกดรอยตามอีกฝ่ายไปอย่างลับๆ จนกระทั่งเขาค้นพบว่าในกลุ่มของเซียนดินโอสถทองมีแค่อาจารย์ค่ายกลคนเดียวที่คอยเฝ้าบัญชาการณ์ค่ายกล ก็รู้แล้วว่านี่ต้องกลายเป็นหายนะที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนแน่นอน
จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียวางแผนร่วมกัน คนสองคนแยกย้ายกันไปทำงาน สวีหย่วนเสียไปตามหาสำนักบนภูเขาที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วบอกเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายรู้อย่างชัดเจน ไม่หวังว่าเซียนซือในทำเนียบวงศ์ตระกูลเหล่านั้นจะลงมือขัดขวางเซียนดินก่อกำเนิดที่ชั่วร้ายผู้นี้ แค่สร้างความกดดันให้อีกฝ่ายก็พอ หรือไม่ก็เตรียมการไว้ก่อนโดยช่วยสยบสถานการณ์อันตรายที่อาจจะเกิดจากเส้นทางใต้ดินที่สั่นสะเทือนไปพันลี้ ส่วนจางซานเฟิงที่เพราะมีสถานะถูกต้อง ถือเป็นนักพรตต่างแซ่สายนอกของภูเขามังกรพยัคฆ์แผ่นดินกลางที่อยู่ในกุรุทวีป ดังนั้นจึงไปเยือนที่ว่าการ ไปหาขุนนางใหญ่ที่มีอำนาจเต็มในการบริหารท้องถิ่น หวังว่าราชสำนักแคว้นชิงหลวนจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ทางที่ดีที่สุดคือฮ่องเต้สกุลถังสามารถส่งผู้ถวายงานของเชื้อพระวงศ์มา ‘คุมค่ายกล’ ของที่แห่งนี้ ต่อให้จะมาเป็นกำลังเสริมแก่เซียนดินโอสถทองคนนั้น หรือพยายามใช้วิธีผูกมัดใจของเขาก็ได้ เพียงแต่ว่าบริเวณโดยรอบที่วัวดินสีเหลืองซ่อนตัวอยู่จำเป็นต้องวางค่ายกลใหญ่แห่งภูเขาและแม่น้ำหลายแห่งไว้แต่เนิ่นๆ
ขุนนางใหญ่ผู้กุมอำนาจอย่างแท้จริงผู้นั้นค่อนข้างจะพูดคุยได้ง่าย เขารับปากว่าจะรายงานเรื่องนี้ให้ทางราชสำนักทราบในทันที จะไปขอความช่วยเหลือจากตระกูลเซียนบนภูเขาที่อยู่ในเขตการปกครองเพื่อให้พวกเขาส่งกระบี่บินไปที่เมืองหลวง
แต่ขุนนางผู้มีอำนาจของแคว้นชิงหลวนคนนี้ค่อนข้างจะเฉลียวฉลาด เปิดปากก็บอกว่าต้องการให้จางซานเฟิงมอบของที่มีค่าออกมาสองชิ้น ไม่อย่างนั้นนี่อาจจะดูเป็นเรื่องที่ตื่นตูมกันไปเอง หรือไม่ก็เป็นคำพูดเหลวไหลจากนักพรตต่างถิ่นอย่างจางซานเฟิง แล้วถึงเวลานั้นเขาจะอธิบายให้เซียนซือบนภูเขาและฮ่องเต้ฟังอย่างไร?
จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียต่างก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล จึงมอบกระบี่อาคม ‘เจินอู่’ และมีดสั้นที่ได้มาจากศึกในแคว้นไฉ่อีเล่มนั้นออกไป
ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือสภาพการณ์ที่เห็นกันอยู่ตอนนี้
คุยกันด้วยเหตุผลไม่รู้เรื่อง
ดูเหมือนว่าการที่ผู้ฝึกตนอิสระไขว่คว้าหาผลประโยชน์จะเป็นหลักการที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ก็เหมือนกับที่ผู้ฝึกตนโอสถทองคนนั้นพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า ตัดขาดทางทำมาหากินคนอื่น นี่ก็คือการกระทำที่ทำให้ทั้งคนและเทพในกลุ่มผู้ฝึกตนอิสระต่างพากันโกรธแค้น
ส่วนผู้ฝึกลมปราณกลุ่มนี้ที่ ‘หวังผลประโยชน์มาตั้งแต่ต้น’ แน่นอนว่าต้องมีคำพูดที่สนับสนุนการกระทำของตัวเองได้อยู่แล้ว ในสถานที่เงียบสงัดไร้ผู้คนซึ่งแม้แต่นกก็ยังไม่มาขี้ใส่แห่งนี้ แค่ล้อมสังหารปีศาจตนหนึ่ง พวกเขาไม่เคยฆ่าคนชิงทรัพย์ ยิ่งไม่เคยใช้คาถาเทพเซียนหรืออาวุธตระกูลเซียนทำร้ายชาวบ้าน ต่อให้เป็นเซียนซือในทำเนียบวงศ์ตระกูลก็ยังเทียบไม่ได้ หาเงินมือสะอาดขนาดนี้แล้ว ยังจะต้องการอะไรอีก? นักพรตหนุ่มที่ปากไร้หนวด (เปรียบเปรยถึงคนที่ทำอะไรไม่น่าเชื่อถือ เพราะประสบการณ์ยังน้อย) กับผู้ฝึกยุทธ์ในยุทธภพคนหนึ่งที่มีหนวดอยู่ไม่น้อย มาเอ่ยอ้างว่าวัวดินจะชักนำเส้นทางใต้ดิน ก่อให้เกิดแผ่นดินไหวไกลเป็นพันลี้ พวกเจ้าเป็นหอมต้นไหน?
หลังจากนั้นพวกจางซานเฟิงก็แอบติดตามร่องรอยมาถึงที่นี่ เห็นกับตาตัวเองว่าปีศาจวัวดินสีเหลืองร่างใหญ่โตดุจขุนเขาที่มีนิสัยอ่อนโยนได้สลัดก้อนหินและต้นไม้จำนวนนับไม่ถ้วนบนแผ่นหลัง คุมเชิงอยู่กับผู้ฝึกลมปราณยี่สิบกว่าคน ตอนแรกมันยังคิดจะหนี จึงทั้งรบทั้งถอย แต่ก็ยังถูกไล่ฆ่าจนมีสภาพชวนสังเวช นั่นถึงทำให้มันเริ่มจู่โจมกลับ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนฟ้าสะท้านดินสะเทือน
จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียได้แต่ปกป้องอยู่ตรงหน้าวัวดินสีเหลืองตัวนั้น ในขณะที่มันบาดเจ็บสาหัสจนจำต้องเผยร่างจริงซึ่งมีขนาดไม่ต่างจากควาย และหากจู่โจมจนมันตาย สถานการณ์ก็ไม่อาจพลิกฟื้นกลับคืนมาได้แล้วจริงๆ
เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม ปีศาจใหญ่ที่นอนจมอยู่ในกองเลือดเห็นว่าคนทั้งสองไม่เพียงแต่ไม่ได้ลงมือกับมัน กลับยังพยายามช่วยเหลือมันสุดชีวิต ปีศาจพยายามดิ้นรนใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง แม้จะรู้ความคิดของพวกเขาสองคนอย่างคร่าวๆ ว่าคงจะกลัวตนชักนำให้เกิดแผ่นดินไหว เป็นเหตุให้เทือกเขาและแผ่นดินปริแตกยาวไปเป็นพันลี้ สุดท้ายมันจึงไม่ได้เลือกจะให้พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย กลับเพียงแค่ปล่อยให้พลังชีวิตไหลหายไป
เฉินผิงอันมองจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสีย
ผู้ฝึกลมปราณกลุ่มนั้นน่าจะคิดว่ากุมชัยชนะไว้ในมือได้มั่นคงแล้วจึงไม่ได้ลงมือสังหารคนทั้งสองให้ตาย
นักพรตหนุ่มได้รับบาดเจ็บภายนอกเล็กน้อย เพียงแต่ว่าถูกกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่แทงทะลุไหล่ เลือดจึงไหลไม่หยุด หลังจากโปะยาลงไปแล้วกลับไม่ได้ผลมากนัก น่าจะบาดเจ็บไปถึงกระดูกและเส้นเอ็น ถึงอย่างไรก็เป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่ง ไม่ใช่แค่สองคำว่าคมกริบจะสามารถอธิบายได้
บนหนวดของชายฉกรรจ์เคราดกเต็มไปด้วยเลือดสดๆ หนวดหลายหย่อมพันกันเป็นก้อนเป็นกระจุก มองดูแล้วน่าตลกไม่น้อย
เวลานี้ผู้ฝึกตนโอสถทองผู้นั้นถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว
จางซานเฟิงกังวลว่าเฉินผิงอันจะรับปาก จึงจับแขนของเขา พูดอย่างร้อนใจว่า “ทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
ผู้ฝึกตนโอสถทองยิ้มกล่าว “ตอนนี้ปีศาจตนนั้นแค่รอความตายอย่างเดียวแล้ว และไม่มีวี่แววว่ามันจะดิ้นรนก่อนตายด้วย เหตุใดผู้ผดุงธรรมทั้งสองและเซียนซือที่เพิ่งมาถึงท่านนี้ถึงต้องทำในสิ่งที่เกินความจำเป็น จะต้องเข่นฆ่าคนกันเองไปไย?”
สวีหย่วนเสียประคองตัวเองไม่อยู่แล้วจึงนั่งแปะลงไปบนพื้น สีหน้าดำคล้ำ มือหนึ่งกำดาบวางไว้บนพื้น อีกมือหนึ่งเช็ดหนวด “เหตุผลเป็นเช่นนี้ก็จริง แต่กลับรู้สึกอัดอั้นตันใจอยู่บ้าง”
ชายฉกรรจ์เคราดกหันหน้าไปมองวัวดินสีเหลืองตัวนั้น “ยังคงรู้สึกผิดต่อมัน”
จางซานเฟิงถอนหายใจ เก็บกระบี่ไม้ท้อไว้ด้านหลัง ปล่อยมือข้างที่จับแขนเฉินผิงอัน กล่าวอย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าคงจะทำได้แค่นี้แล้วกระมัง?”
แต่กลับใช้น้ำเสียงสอบถาม
อันที่จริงทุกคนซึ่งรวมถึงผู้ฝึกตนโอสถทองต่างก็สังเกตเห็นผู้ติดตามสี่คนของเซียนกระบี่หนุ่มมานานแล้ว
ทุกคนต่างเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่มีพลังอำนาจน่าตะลึง
เชื่อว่านี่ต่างหากที่เป็นสาเหตุแท้จริงที่พวกเขายังอยู่นิ่งเฉย ยอมพูดคุยกันด้วยเหตุผลดีๆ
เฉินผิงอันตบบ่าจางซานเฟิง “ข้าจะแก้ไขปัญหาให้เอง”
จางซานเฟิงอึ้งตะลึง ก่อนจะยิ้มกว้าง “ไม่ว่าเจ้าจะทำอย่างไร พวกข้าสองคนก็ไม่มีความเห็นต่าง ไม่ทำให้เจ้าลำบากใจหรอก จริงๆ นะ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ หันหน้าไปมองเซียนดินโอสถทองที่บังคับลมยืนอยู่กลางอากาศผู้นั้นแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าเจ้ามาจากตระกูลเซียนบนภูเขาลูกใด หรือว่ามาจากหน่วยบัญชาการทหารสูงสุดของแคว้นชิงหลวน?”
สวีหย่วนเสียที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นยิ้มอย่างรู้ใจ โอ้โหแหะ ตอนนี้เจ้าเด็กน้อยเฉินผิงอันมีไหวพริบและกลอุบายขึ้นไม่น้อย ประโยคเดียวก็ถามโดนทิศทางการคาดเดาในใจตนอย่างจัง
น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าขอบเขตวรยุทธ์จะไม่ขยับเคลื่อนหน้าสักเท่าไหร่ ยังเป็นขอบเขตสามอยู่เหมือนเดิม?
นี่ก็เป็นเรื่องปกติ ครั้งก่อนที่แยกจากกันเพิ่งจะผ่านไปแค่สองปีกว่าๆ ตอนนี้เฉินผิงอันเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง สิบเจ็ดปีกระมัง? รากฐานขอบเขตสามของเขาปูมาดีขนาดนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว อยู่ในยุทธภพก็สามารถถูกเรียกขานว่า ‘ผู้มีพรสวรรค์ด้านการเรียนวรยุทธ์’ อย่างไม่กระดากใจแล้ว
ด้านนอกคนทั้งสามคือฝูงหมาป่าหมาในที่ล้อมเป็นวง
สี่คนในภาพวาดอย่างเว่ยเซี่ยนสุยโย่วเปียนต่างก็ไม่ได้เดินเข้าไปอยู่ข้างกายเฉินผิงอันที่อยู่ในวงล้อม แต่ยืนอยู่นอกวงล้อมห่างออกไป ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวทั้งสี่ที่ทุกคนมองความตื้นลึกอย่างละเอียดไม่ออกนี้ คิดจะ ‘โอบล้อม’ ผู้ฝึกลมปราณทั้งยี่สิบคนอย่างนั้นหรือ?
ผู้ฝึกตนโอสถทองคนนั้นคลี่ยิ้ม “ข้าเป็นใคร ไม่เกี่ยวข้องกับว่าเซียนซือน้อยจะจัดการอย่างไรกระมัง”
เฉินผิงอันถาม “ในสายตาของเจ้า วัวดินสีเหลืองตัวนี้มีค่ากี่เหรียญเงินเกล็ดหิมะ?”
ผู้ฝึกตนโอสถทองคิดแล้วก็ตอบอย่างจริงจัง “หากเป็นราคาตลาดก็ประมาณเงินร้อนน้อยยี่สิบถึงสามสิบเหรียญ เพียงแต่ว่าเผ่าพันธุ์วัวดินนี้หาได้ยากอย่างถึงที่สุด มีแต่ราคาแต่ไม่มีตลาดให้วางขาย ดังนั้นราคาแท้จริงจึงเพิ่มไปอีกเป็นเท่าตัว หากคำนวณตามราคานี้ก็ประมาณห้าพันเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ทำไม เซียนซือคิดจะคำนวณดูว่าสัดส่วนของตัวเองจะได้เป็นเงินเกล็ดหิมะกี่เหรียญอย่างนั้นหรือ? หรือรู้สึกว่าหนึ่งส่วนนั้นน้อยเกินไป ผิดต่อศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง ต้องการสองส่วน หรือไม่ก็มากกว่านั้น?”
แม้ว่าเซียนดินโอสถทองท่านนี้จะพูดกลั้วหัวเราะในประโยคหลัง แต่ความเยียบเย็นที่ซุกซ่อนอยู่ ผู้ฝึกตนอิสระทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ฟังออก
นี่คือสัญญาณของการฉีกหน้ากันแล้ว
พลังคุกคามอันมากไพศาลซึ่งมองไม่เห็นที่เซียนดินโอสถทองท่านหนึ่งแผ่ออกมา ต่อให้เป็นผู้เฒ่าชุดดำที่นั่งอยู่บนปีศาจจิ้งจอกสี่ดำก็ยังรู้สึกหายใจหายคอไม่คล่อง
ขอแค่เป็นคนที่สร้างโอสถทองได้สำเร็จก็สามารถยืมพลังมาจากฟ้าดินได้
“แม้ว่าพวกเจ้าจะไม่มีเหตุผล และอันที่จริงก็เป็นสหายสองคนของข้าที่ทำให้เกิดสถานการณ์อย่างในตอนนี้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การที่สุดท้ายแล้วเรื่องราวไม่ได้ดำเนินไปถึงก้าวที่เลวร้ายที่สุด ไม่มีโศกนาฎกรรมที่วัวดินพลิกตัวแผ่นดินไหวพันลี้ก็ถือว่าหาได้ยาก ดังนั้นตอนนี้พวกเราสามารถมาปรึกษากันดีๆ ได้แล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ คิดตามราคาห้าสิบเหรียญเงินร้อนน้อยที่เจ้าบอกมาก่อนหน้านี้ หักส่วนหนึ่งของข้าออกไป นี่คือเงินร้อนน้อยสี่สิบห้าเหรียญ เอาไปซะ”
ทุกคนเห็นเพียงว่าเซียนซือผู้ฝึกกระบี่ชุดขาวโยนเงินร้อนน้อยกำใหญ่ไปทางเซียนดินโอสถทองที่อยู่ห่างไปไกลมาก
เซียนดินผู้นั้นขมวดคิ้ว โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เงินร้อนน้อยสี่สิบกว่าเหรียญก็เป็นเหมือนธารน้ำไหลที่ล้อมวนอยู่รอบกายเขาห่างออกไปหนึ่งจั้ง ไม่ยอมให้พวกมันขยับเข้าใกล้ตัวเองอย่างแท้จริง จากนั้นเขาก็จ้องนิ่งไปบนเหรียญแต่ละเหรียญ ไม่เห็นว่าบนเงินเทพเซียนพวกนี้ผ่านการเล่นตุกติกมาก่อน แต่เป็นเงินร้อนน้อยของแท้แน่นอน
ลวี่หยางเจินและผู้ฝึกตนอิสระทุกคนต่างก็ตาแดงก่ำด้วยความอยากได้ ทั้งยังระแวงสงสัย
ใต้หล้านี้มีวิธีการทำการค้าแบบนี้จริงๆ หรือ?
ผู้ฝึกตนโอสถทองไม่ได้เก็บเงินร้อนน้อยซึ่งเท่ากับเงินสี่ล้านห้าแสนตำลึงเงินในราชวงศ์โลกมนุษย์ไปทันที ไม่พูดถึงแคว้นชิงหลวนซึ่งมีชื่อเสียงด้านความร่ำรวยโด่งดังไปทั่วทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป เอาแค่แคว้นชิ่งซาน ปีหนึ่งราชสำนักได้ภาษีเท่าไหร่กันเชียว? ดังนั้นนี่จึงถือว่าเป็นทรัพย์สินก้อนใหญ่มากแล้ว ต่อให้เป็นเซียนดินท่านนี้ก็ยังไม่รู้สึกว่าเป็นรายรับที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ เซียนดินไล่ตรวจตราเงินเทพเซียนที่ไหลวนไปรอบกายต่อพลางเอ่ยถามว่า “ขอถามคุณชายท่านนี้ บ้านเกิดของท่านอยู่ที่ใด?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ข้าถามว่าเจ้ามาจากที่ไหน เจ้าก็ไม่ตอบเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
เซียนดินโอสถทองยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นขอถามคุณชายว่าที่จ่ายเงินซื้อวัวดินสีเหลืองตัวนี้เพราะมีเรื่องเร่งด่วนอะไรหรือไม่?”
“เรื่องพวกนี้ผู้อาวุโสไม่ต้องสนใจหรอก”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็โยนเงินร้อนน้อยอีกห้าเหรียญไปให้เซียนดินผู้นั้น “เงินห้าเหรียญนี้รบกวนผู้อาวุโสแบ่งให้เซียนซือคนอื่นๆ ถือซะว่าเป็นของขวัญชดเชยที่ข้า ‘มาทีหลังแต่กลับได้ไปก่อน’ ก็แล้วกัน”
เมื่อเป็นเช่นนี้สีหน้าของผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลายจึงดีขึ้นไม่น้อย
ถึงอย่างไรเงินร้อนน้อยห้าเหรียญที่ได้เพิ่มมานี้ก็ถือว่าได้มาฟรีๆ พวกเขาผู้ฝึกลมปราณยี่สิบกว่าคน อันที่จริงหากแบ่งเป็นภูเขาก็มีภูเขาน้อยใหญ่สี่แห่งแล้ว พวกลวี่หยางเจินสามคนคือภูเขาที่เล็กที่สุด กลุ่มของผู้เฒ่าชุดดำขี่จิ้งจอกคือภูเขาลูกที่ใหญ่ที่สุด ไม่ว่าจำนวนคนหรือศักยภาพก็ล้วนโดดเด่นอย่างถึงที่สุด ดังนั้นเงินร้อนน้อยห้าเหรียญที่ได้มาเพิ่มอย่างไม่ทันคาดคิดนี้ ไม่แน่ว่าอาจถูกแบ่งไปสองเหรียญโดยตรง
เซียนดินโอสถทองยิ้มกล่าวว่า “คุณชายมีความกล้าหาญและเงินทองมากจริงๆ สามารถมอบเงินร้อนน้อยให้คนอื่นแทนเงินเกล็ดหิมะได้ขนาดนี้ ต่อให้เป็นข้าน้อยก็ยังละอายใจที่สู้ไม่ได้”
คำพูดนี้เอ่ยออกมา
ความคิดของผู้ฝึกตนอิสระก็เกิดริ้วกระเพื่อมขึ้นมาอีก
เพราะคำพูดนี้ของเซียนซือทิ่มแทงใจเกินไป ผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเขาเอาหัวผูกไว้ที่เอวกางเกง (เปรียบเปรยถึงอาชีพที่อันตราย หากไม่ทันระวังก็อาจเสียชีวิต) ทุ่มเทชีวิตแก่ๆ สุดชีวิต ปีหนึ่งจะหาเงินร้อนน้อยได้สักกี่เหรียญกันเชียว?
“คำพูดดีๆ ก็เอ่ยไปแล้ว เรื่องดีๆ ก็ทำไปแล้ว อันดับต่อไปข้าจะพูดคุยเรื่องที่จริงจังเสียหน่อย”
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน พูดอย่างเฉยเมยว่า “ใต้หล้านี้ไม่ว่าเงินของใครก็ล้วนไม่ได้หล่นลงมาจากท้องฟ้า บนร่างข้ายังมีเงินร้อนน้อยอยู่อีกเล็กน้อยจริงๆ หากทุกท่านอยากได้ก็อาศัยความสามารถมาเอาไปครอง แต่หากลงมือแล้วยังเอาไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องเอาชีวิตของพวกเจ้าไว้แทน”
เซียนดินโอสถทองพลันเก็บเงินร้อนน้อยทั้งห้าสิบเหรียญไป ถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่กังวลว่าข้าจะจากไปอย่างไม่ใยดี? ตัวเองไม่มีปัญญาแบกวัวดินสีเหลืองตัวนี้ไป และต่อให้แบกไปได้ก็จะดึงดูดความสนใจของผู้คน พกเงินร้อนน้อยห้าสิบเหรียญย่อมไปไหนมาไหนได้อิสระเสรีมากกว่าไม่ใช่หรือ?”
เซียนดินโอสถทองถามอีก “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเอาเงินร้อนน้อยห้าสิบเหรียญที่ได้มาอยู่ในมือเรียบร้อยแล้วนี้ซื้อชีวิตของพวกเจ้ารึ? ไปๆ มาๆ ทุกคนซึ่งรวมถึงข้าต่างก็ได้กำไรมาเพิ่มสองส่วน แบบนั้นจะไม่น่ายินดีกว่าหรือไร?”
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง “เอาไปได้ตามสบาย หรือจะซื้อขายก็ตามใจเจ้า ขอแค่เจ้าอารมณ์ดีก็พอ”
ขัดหูขัดตาเจ้ามานานแล้ว เจ้าจะหนีหรือจะลงมือจู่โจมก็ตามใจ ข้าจะได้ฆ่าเจ้าง่ายขึ้น
เซียนดินโอสถทองเงียบงันไม่เอ่ยคำใด คล้ายกับกำลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย
ผู้ฝึกตนอิสระทุกคนก็กำลังรอการตัดสินใจจากโอสถทองท่านนี้
และเวลานี้เอง วัวดินสีเหลืองที่บาดเจ็บสาหัสตัวนั้นพลันเอ่ยภาษาคนพร้อมกันหันมามองแผ่นหลังของคนชุดขาว “เหตุใดเซียนซือต้องทำเช่นนี้ด้วย?”
เฉินผิงอันไม่ได้หันตัวกลับ มือจับประคองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอว พูดเบาๆ ว่า “ข้ารู้สึกว่าเจ้าเหมือนคนมากกว่าคนอีกหลายคน ง่ายๆ เพียงเท่านี้ นับแต่วันนี้ไป หวังว่าเจ้าจะตั้งใจฝึกตนให้ดี วันหน้าบนโลกจะได้มีผู้ฝึกตนโอสถทองที่ทำดีช่วยเหลือผู้อื่นเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น