ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 375-382

 ตอนที่ 375 ความกลัวของอู่เยวี่ย


อู่เยวี่ยถือหนังสือมาวางตรงหน้าโต๊ะอ่านหนังสือ และจึงได้นั่งลงตาม หนังสือเล่มนี้เป็นของนักเขียนชาวต่างชาติที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง มืออันสั่นเทาของเธอค่อยๆ เปิดไปยังหน้าที่มีรอยพับของหนังสืออยู่ เธออ่านด้วยความร้อนรน ยิ่งอ่านไป ในใจเธอก็ยิ่งจมดิ่งไป ดิ่งจนถึงจุดลึกสุดของก้นบึ้งหัวใจ


ในหนังสือเล่มนี้เขียนถึงผู้ชายคนหนึ่งที่มีอาการเดียวกับเธอ มีสิ่งเดียวที่แตกต่างนั่นคือปฏิกิริยาของร่างกาย ชายผู้นี้มีอาการปวดหัว อาเจียน และปวดท้อง และบางครั้งก็ถึงขั้นช็อก แต่เธอกลับมีแค่กลิ่นตัวและอาการท้องเสีย


แต่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้บอกไว้ อาการของโรคทางจิตของแต่ละคนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ต่างกัน บางคนจะมีลักษณะปวดหัว ปวดท้องและอาเจียน บางคนอาจจะสลบไปหรือช็อกไป หรือแม้แต่อาการต่างๆ ที่มักเกิดขึ้นได้ แม้แต่ตัวของผู้เขียนเองยังไม่สามารถรวบรวมออกมาได้ทั้งหมด


แต่ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างระบุแล้วว่าอาการของผู้ป่วยบางรายที่เขาเคยพบเจอมา หนึ่งในนั้นก็คืออาการท้องเสียและการมีกลิ่นตัว อู่เยวี่ยที่ได้เห็นสองสิ่งนี้ สายตาพร่ามัวมืดสนิท ร่างกายแข็งทื่อราวกับอยู่ในอุโมงค์น้ำแข็ง


เธอเองก็มีอาการแบบนี้ไม่ใช่หรือ?


อู่เยวี่ยอ่านต่อไปเรื่อยๆ เธออยากรู้ว่าอาการของโรคนี้สามารถรักษาได้หรือไม่ เธอไม่อยากให้เป็นแบบนี้ เธออยากจะกลับไปเป็นอู่เยวี่ยคนเดิมอย่างเมื่อก่อน!


แต่เธอกลับต้องผิดหวัง


ผู้เขียนบอกว่าในปัจจุบันยังไม่มียาประเภทไหนที่เหมาะสมสำหรับการรักษา สิ่งสำคัญคือต้องดูสภาพจิตใจของผู้ป่วยว่าสู้มากน้อยแค่ไหน เพียงแค่สภาพจิตใจแข็งแรง อาการของโรคก็จะค่อยๆ หายไปเอง


และแน่นอนว่าผู้เขียนก็ได้ให้คำแนะนำต่อผู้ป่วยว่า ควรจะไปพบจิตแพทย์เพื่อทำการรักษาผลตอบรับจะได้ชัดเจนกว่า เพราะตัวเขาเองก็ได้รักษาผู้ป่วยของโรคนี้สิบกว่าราย แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเป็นปกติ


อู่เยวี่ยตัดเรื่องการไปพบกับแพทย์ออก เพราะเธอมีความคิดที่ตรงกับอู่เจิ้งซือ โรคทางจิตก็คือการเป็นโรคประสาทไม่ใช่หรือ? หากคนอื่นๆ รู้ว่าเธอเป็นโรคประสาท ครู เพื่อน และคุณปู่คุณย่ารวมทั้งคนอื่นๆ จะมองเธออย่างไร?


เกรงว่าถึงเวลานั้นสิ่งที่เธอต้องเผชิญจะไม่ใช่ความห่วงใยหรือความเห็นใจสงสาร แต่กลับเป็นการถูกหัวเราะเยาะและความอับอายขายขี้หน้า


อู่เยวี่ยไม่แม้แต่จะกล้าคิดต่อ เธอไม่อยากยอมรับที่จะเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ยากลำบากเช่นนั้น แค่กลัวว่าหากถึงเวลานั้นแล้วเธอจะต้องอึดอัดทนฝืนไปเสียยิ่งกว่าอู่เหมยเมื่อก่อน


ไม่ได้!


เธอจะไม่ยอมไปหาหมอเด็ดขาด เธอจะต้องเอาชนะมันด้วยตัวของเธอเองให้ได้ ไม่ใช่เรื่องนี้เป็นแค่เพราะปัญหาทางจิตหรอกหรือ เพียงแค่เธอไม่ไปนึกถึงมัน ก็คงไม่เป็นอะไรแล้ว


เธอไม่สนใจเลยสักนิดว่าจะสอบได้ที่หนึ่งหรือไม่ ไม่สนใจสักนิดว่าคะแนนจะดีไหม ต่อให้สอบได้ที่โหล่เธอก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจ!


อู่เยวี่ยพยายามบอกกับตัวเองอยู่เรื่อยๆ แต่พอยิ่งพูดไปถึงประโยคหลัง เสียงของเธอก็ค่อยๆ อ่อนลง จนถึงประโยคสุดท้ายไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดออกกมา อู่เยวี่ยซบหน้าลงกับโต๊ะอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมาน และร้องไห้โดยไม่มีเสียงเปล่งออกมา


จะไม่ให้เธอสนใจคะแนนดีหรือแย่ได้อย่างไร?


เธอสนใจคะแนนมากกว่าคนอื่นเป็นไหนๆ


เธอหวังเพียงแค่สอบให้ได้ที่หนึ่ง หากได้ที่สองเธอก็รู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก ทั้งที่เธอสามารถสอบได้ที่หนึ่งแบบสบายๆ อย่างไม่ต้องคิดอะไร แต่ทำไมเธอถึงได้เป็นโรคเกี่ยวกับปัญหาทางจิตได้ล่ะ?


นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?


ในหัวกลับเริ่มผุดเอาคำพูดของอู่เหมยขึ้นมา ‘เป็นเพราะแม่ที่เอาแต่บอกให้พี่สอบให้ได้ที่หนึ่ง นั่นจึงทำให้พี่มีความกดดันมากเกิน’


อู่เยวี่ยเริ่มได้สติขึ้นมาบ้าง ถูกต้องแล้ว ทั้งหมดเป็นความผิดของแม่ เป็นเพราะแม่ที่วันๆ เอาแต่พูดบ่นอยู่ข้างหูเธอ เอาแต่พร่ำบอกว่าคนอื่นจดจำเพียงแค่ที่หนึ่ง ที่สองและที่สามไม่เคยมีใครคิดที่จะจดจำ และยังพูดอีกว่าขอแค่เธอสอบได้ที่หนึ่ง ก็สามารถทำให้แม่มีหน้ามีตาและเป็นเกียรติ…


“เยวี่ยเยวี่ย โจ๊กเสร็จแล้วนะลูก แม่ยังผัดผักดองเผื่อให้ลูกด้วย ลูกรีบๆ กินตอนร้อนๆ เถอะ กินเสร็จแล้วจะได้ทบทวนบทเรียนต่อได้ วันพรุ่งนี้พยายามสอบ…”


เหอปี้อวิ๋นยกถาดอาหารเดินเข้ามา ใบหน้าเต็มด้วยความเป็นห่วงเป็นใยและรักใคร่เอ็นดูเธอ แต่อู่เยวี่ยกลับไม่ได้รับรู้ถึงมันเลย เธอได้ยินเพียงแค่ประโยคที่คุ้นหู ‘วันพรุ่งนี้พยายามสอบให้ได้ที่หนึ่ง’


อีกไม่กี่คำที่อยู่ในประโยคหลัง เธอไม่ต้องฟังก็รับรู้ได้ว่าเหอปี้อวิ๋นจะพูดอะไร ทำให้อารมณ์โมโหของเธอปะทุขึ้นมา เธอจึงได้ตะโกนออกไปอย่างโกรธเคือง “ที่หนึ่ง ที่หนึ่ง ในใจของแม่นอกจากที่หนึ่งแล้วยังมีอะไรอีกไหม?”


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 376 ติดกับดักแล้ว


อู่เยวี่ยตะโกนร้องราวกับตัวเองกำลังเป็นโรคร้ายแรง อู่เจิ้งซือที่กำลังเตรียมการสอนอยู่ในห้องตัวเองยังถึงกับตะลึงงันและตกใจเป็นอย่างมาก เขานึกว่าเกิดเรื่องขึ้นจึงรีบวิ่งออกมาจากห้อง แต่กลับเห็นเหอปี้อวิ๋นที่ยืนตัวแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ ในมือกำลังถือถาดที่มีโจ๊กร้อนๆ และผักดองวางอยู่ด้วย ขณะที่อู่เยวี่ยกลับน้ำตาไหลอาบแก้ม และมีท่าทีเจ็บปวด


“เกิดอะไรขึ้น? เธอพูดอะไรอีกแล้วเหรอ?” อู่เจิ้งซือถามออกไปเสียงต่ำ และมองเหอปี้อวิ๋นด้วยความไม่พอใจ


เหอปี้อวิ๋นรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เธอยังไม่ได้พูดอะไรเลย ทำไมจู่ๆ เยวี่ยเยวี่ยถึงได้โมโหขึ้นมาล่ะ?


“ฉันไม่ได้พูดอะไร ฉันแค่ยกโจ๊กเข้ามาให้เยวี่ยเยวี่ยกิน เยวี่ยเยวี่ย ลูกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?” เหอปี้อวิ๋นไม่ได้นึกโกรธโทษลูกสาวคนโตเลยสักนิด ในทางกลับกันเธอยังคงเอาแต่เป็นห่วง


แต่อู่เยวี่ยกลับไม่เต็มใจรับเอาความรู้สึกสักนิด ตอนนี้เธอได้ปักใจเชื่อบางอย่างไปแล้ว และยังเชื่อสนิทใจอีกด้วย


เธอคิดว่าอาการของโรคทางจิตสาเหตุมาจากเหอปี้อวิ๋นที่เป็นคนทำ เพราะในใจของเหอปี้อวิ๋นเพียงแค่ต้องการให้อู่เยวี่ยเป็นเครื่องมือที่ทำให้เธอได้เชิดชูตาและเป็นเกียรติก็เท่านั้น เพราะอย่างนั้นการที่เหอปี้อวิ๋นทำดีกับเธอก็เพื่อต้องการให้เธอสอบได้ที่หนึ่ง แบบนั้นเหอปี้อวิ๋นก็สามารถออกไปคุยโวโอ้อวดกับคนอื่นๆ ได้


อู่เยวี่ยในตอนนี้คัดค้านต่อตัวของเหอปี้อวิ๋นเอามาก อีกทั้งยังมีความรู้สึกรังเกียจเพราะแบบนี้ความรักใคร่เอ็นดูที่เหอปี้อวิ๋นมีให้ ในสายตาเธอนั้นเป็นเพียงแค่ความเสแสร้ง ความห่วงใยของเหอปี้อวิ๋นเธอก็มองเห็นเป็นแค่แรงจูงใจที่แอบแฝงด้วยผลประโยชน์


สุดท้ายแล้ว ต่อให้เหอปี้อวิ๋นจะพูดอะไร จะทำอะไร อู่เยวี่ยก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ


เหอปี้อวิ๋นเห็นท่าทีของอู่เยวี่ยที่ไม่เข้าข้างเธอดั่งเดิม ก็เกิดความร้อนรนใจ และรีบยื่นมือออกไปแตะที่หน้าผากของอู่เยวี่ย เพื่อดูว่าเธอมีไข้หรือเปล่า อู่เยวี่ยถอยหลังออกห่างด้วยความรังเกียจ จนคิ้วผูกแน่นเป็นปม


“เยวี่ยเยวี่ยนี่ลูกเป็นอะไร?”


เหอปี้อวิ๋นรู้สึกว่า หัวใจของเธอถูกแทงจนเจ็บปวดทรมาน เธอรับรู้ได้ถึงความเหินห่างและเบื่อหน่ายของอู่เยวี่ย แค่รู้สึกว่ามันอธิบายออกมาไม่ได้ และตอนนี้เธอเองก็เจ็บปวดจนไม่อาจเทียบกับสิ่งใดได้


“ไม่มีอะไร หนูจะอ่านหนังสือ แม่อย่าเข้ามายุ่งวุ่นวายกับหนูอีก” อู่เยวี่ยก้มหน้าลงและพูดออกไปเสียงแผ่วเบา ในสายตามีเพียงแค่ความรำคาญ แต่เหอปี้อวิ๋นกลับมองไม่เห็น


เมื่อเห็นว่าเธอเริ่มอ้าปากพูด เหอปี้อวิ๋นเองก็เริ่มสบายใจขึ้น เธอจึงยิ้มและพูดขึ้น “แม่แค่ยกเอาข้าวต้มมาให้ลูกกิน เย็นนี้ลูกยังไม่ได้กินอะไรเลย เรากินโจ๊กเสร็จแล้วค่อยอ่านหนังสือต่อ แบบนั้นถึงจะทำให้มีสมาธินะ!”


“ขอบคุณค่ะแม่”


อู่เยวี่ยฝืนความรู้สึกและพูดขอบคุณเสียงเบา โจ๊กชามนี้ได้ทำให้เธอรู้สึกสะอิดสะเอียน คำพูดจากปากของเหอปี้อวิ๋นถ้าไม่ใช่อ่านหนังสือก็คงมีแค่เรื่องสอบ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยห่วงสุขภาพเธอเลย โจ๊กชามนี้ที่ต้มมาให้ก็คงเห็นแก่การสอบในวันพรุ่งนี้อีกแน่


อู่เยวี่ยที่ก้มหน้าอยู่ได้แต่แสยะยิ้ม และยื่นมือออกไปรับโจ๊กชามนั้นมากรอกใส่ปากตัวเองทีเดียวจนหมด จากนั้นยกชามโจ๊กเปล่าๆ วางคืนไปบนถาด ดวงตาคลอไปด้วยหยดน้ำตา เพราะถูกโจ๊กลวกลิ้น


“หนูกินเสร็จแล้ว ขอบคุณนะคะแม่”


ผ่านไปได้พักหนึ่งกว่าที่เหอปี้อวิ๋นจะได้สติ และรีบหยิบเอาผ้ามาเช็ดปากให้อู่เยวี่ย พูดขึ้นอย่างเป็นห่วง “เยวี่ยเยวี่ยทำไมลูกถึงได้กินโจ๊กไปทีเดียวจนหมดล่ะ ลวกปากไหม? ไหนขอแม่ดูหน่อย!”


“ไม่โดนลวกค่ะ แม่ออกไปเถอะ อย่ารบกวนเวลาอ่านหนังสือของหนูเลย”


อู่เยวี่ยผลักเหอปี้อวิ๋นออกด้วยความรำคาญ ทนฝืนเจ็บจากที่ถูกโจ๊กลวกปากเมื่อครู่ และนั่งลงอ่านหนังสือต่อ เธอไม่สนใจว่าจะอ่านไปได้มากน้อยแค่ไหน ขอแค่ในใจเธอเกิดความมั่นใจก็เพียงพอ


อู่เจิ้งซือคิ้วขมวดแน่น เขาสังเกตได้ถึงอาการผิดปกติของอู่เยวี่ย นี่เป็นอาการที่คล้ายคลึงกับในหนังสือมาก ก่อนที่อาการจะกำเริบหนักผู้ป่วยจะมีแต่ความกังวล โมโหร้าย กระทั่งปากพูดแต่คำพูดหยาบคายๆ


อู่เยวี่ยในตอนนี้ก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ?


อู่เจิ้งซือนิ่งเงียบไป เขาเอาแต่มองสถานการณ์เป็นจริงตรงหน้า ลูกสาวคนโตเดิมทีเคยเป็นถึงความภาคภูมิใจของเขา เป็นไปได้มากที่เธอจะเป็นโรคที่มีปัญหาทางจิตได้อย่างคาดไม่ถึง


อู่เหมยที่ยืนอยู่ตรงประตูด้วยท่าทางสงบนิ่ง แต่ในใจกลับดีใจเป็นที่สุด อู่เจิ้งซือและเหอปี้อวิ๋นเอาแต่สนใจตัวอู่เยวี่ย แต่กลับไม่ได้สนใจอู่เยวี่ยที่เอาหนังสือเล่มนั้นยัดใส่ในลิ้นชัก มีเพียงเธอเท่านั้นที่เห็น


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 377 แท่นบูชาที่ล้มลง


สีหน้าของอู่เยวี่ยเย็นชามาก ขณะที่สีหน้าของเหอปี้อวิ๋นกลับซ่อนถึงความกังวลไว้ไม่มิด เธอเองก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติของอู่เยวี่ย เมื่อก่อนอู่เยวี่ยจะเป็นคนร่าเริงสดใส รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรและก็เป็นเด็กดีมาก เรียกแม่ด้วยน้ำเสียงสดใสมาก แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?


“คุณอู่คะ เยวี่ยเยวี่ยเธอ?”


เหอปี้อวิ๋นมองไปยังอู่เจิ้งซือด้วยความกลัว ในเวลาแบบนี้เธอไม่มีความคิดเห็นอะไร เธอจึงต้องหาที่พึ่งหลักเพื่อถามถึงเหตุผล


หัวคิ้วของอู่เจิ้งซือผูกแน่นเหมือนเดิม เขามั่นใจกับความคิดของตัวเองแล้ว สัปดาห์นี้เขาจะต้องไปหาเพื่อนสมัยเรียนที่โรงพยาบาลให้ได้ เรื่องของอู่เยวี่ยจะปล่อยไว้นานไม่ได้ ต้องรีบหาจิตแพทย์มารักษาอาการของอู่เยวี่ยให้เร็วที่สุด


“เยวี่ยเยวี่ย หนูไม่ต้องอ่านหนังสือแล้ว ออกไปเดินเล่นกับพ่อเถอะ” อู่เจิ้งซือพูดด้วยความอ่อนโยน  เขาไม่อยากให้ความรู้สึกอู่เยวี่ยถูกกระทบกระเทือนอีก


อู่เยวี่ยปฏิเสธออกไปทันทีโดยไม่คิด “พ่อคะ หนูอยากอ่านประวัติศาสตร์ มีบางเรื่องที่หนูยังจำได้ไม่หมด”


เหอปี้อวิ๋นหัวเราะและพูดขึ้น “เยวี่ยเยวี่ยอยากอ่านหนังสือก็ปล่อยให้ลูกอ่านสิ ออกไปตากลมเย็นๆ ด้านนอกจะมีประโยชน์อะไร”


เธอรู้สึกว่าอู่เจิ้งซือเริ่มไร้สาระมากขึ้น ฤดูหนาวตอนกลางคืนไม่อยู่ในบ้าน แต่กลับจะให้ออกไปตากลมด้านนอก เป็นเพราะกินอิ่มเกินไปหรือ!


“หุบปาก!”


อู่เจิ้งซือกดเสียงต่ำและตำหนิเธอ สายตาเย็นชาเป็นอย่างมาก เหอปี้อวิ๋นตกใจจนต้องหดคอ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ออกไป ฉับพลันเธอก็มีสีหน้าโกรธแค้นมาก


“เยวี่ยเยวี่ยไม่ต้องอ่านแล้ว พ่อเชื่อว่าความรู้ที่ลูกสั่งสมมา มันมากพอที่จะทำให้ลูกสอบได้ในวันพรุ่งนี้ ตอนนี้เราต้องออกไปเดินเล่นกัน ไปกันเถอะ!”


อู่เจิ้งซือเดินเข้าไปอยู่ตรงหน้าโต๊ะแล้วหยิบหนังสือในมือของอู่เยวี่ยออก เขาใช้น้ำเสียงที่ยากจะปฏิเสธได้ เขาดึงตัวอู่เยวี่ยออกไปด้านนอกด้วยแรงที่ใช้ถือว่ามีมากพอสมควร อู่เยวี่ยถูกเขาลากๆ ถูๆ ออกไป เธอจึงทำได้เพียงออกไปเดินเล่นพร้อมกับอู่เจิ้งซืออย่างไม่เต็มใจนัก


อู่เหมยได้แต่เบะปากมองและรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หากว่าอู่เจิ้งซือสับสนเหมือนเหอปี้อวิ๋นบ้างคงจะดี แต่นั่นก็ไม่เป็นไร เพียงแค่ทุกๆ วันเธอคอยแต่งแต้มเรื่องราวให้กับอู่เยวี่ย ต่อให้ออกไปเดินเล่นทุกวันก็ไม่มีปประโยชน์


จะต้องมีสักวันที่ความมั่นใจของเธอจะถูกทำลายไปจนสิ้นซาก!


ตอนกลางคืนค่อยให้ฉิวฉิวไปฉีดพ่นน้ำหอมเพิ่มให้เธอ และพรุ่งนี้ต้องใส่ยาน้ำให้เธอด้วย อาการจะกำเริบหนึ่งครั้งในรอบหนึ่งเดือน มาตรงเวลาราวกับประจำเดือน หึๆ!


“ครูอู่กับอู่เยวี่ยก็มาเดินเล่นเหรอ!”


“สีหน้าของอู่เยวี่ยดูไม่ดีนัก ครูอู่ก็อย่าสร้างความกดดันอู่เยวี่ยมากเกินไปสิ ตอนสอบแค่พยายามทำเต็มที่ก็พอแล้ว!”



คนในสนามเห็นสองพ่อลูกอย่างอู่เจิ้งซือ น้อยครั้งมากที่จะเห็นเขาออกมาเดินเล่น หลายคนต่างพากันเข้ามาทักทายอย่างตื่นเต้น มีบางคนที่เป็นห่วงจากใจจริง แต่ส่วนมากก็มักจะเข้ามาพูดประชดประชัน คำพูดที่ออกมาจากปากต่างก็มีความหมายแอบแฝง


อู่เยวี่ยกัดริมฝีปากแน่น สีหน้าท่าทางเย็นชา ต่างไปจากเมื่อก่อนที่สดใสร่างเริงและอ่อนหวาน แต่ตอนนี้กลับพูดจาเย็นชาอย่างไม่เต็มอกเต็มใจ


ในสายตาของใครหลายคนเริ่มมองอู่เยวี่ยอย่างไม่ชอบใจ เมื่อก่อนเอาแต่คิดว่าเด็กคนนี้ปากหวาน หน้าตาก็ดีเรียนก็เก่ง แม้ว่าจะไม่ค่อยชอบการกระทำของเหอปี้อวิ๋น ที่เอาแต่กดขี่ข่มเหงลูกสาวอีกคน แต่กลับทำดีต่ออู่เยวี่ยอย่างไม่มีที่ติ


แต่ช่วงนี้เรื่องในตระกูลอู่เกิดขึ้นเยอะแยะไปหมด โดยเฉพาะยายเด็กอู่เยวี่ย ที่มีข้อบกพร่องในตัวมากถมไป และค่อยๆ ถูกขุดขึ้นมาให้เห็นทีละนิดทีละนิด ทั้งโกหกหลอกลวง เสแร้งแกล้งทำ และยังเห็นแก่ตัวอีก และที่สำคัญไปกว่านั้นคือมือไม้สกปรกแผนสูง ขนาดของของน้องสาวตัวเองยังกล้าขโมยไป และขโมยไปถึงสองครั้งด้วย


โถ่! ทำไมเมื่อก่อนถึงได้ดูไม่ออกนะ วันๆ เอาแต่ชื่นชมที่เหอปี้อวิ๋นพูดจาดีจนลูกสาวคนโตแทบลอยได้ ได้ความมั่นหน้ามาจากไหนหรือ!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 378 ของที่หมดอายุ


แม้ว่าคนพวกนี้จะมองอู่เยวี่ยด้วยความเหยียดหยาม แต่อย่างน้อยก็ต้องรักษาหน้าตาภาพพจน์ไว้บ้าง แต่ทุกคนก็ทำได้เพียงตีวัวกระทบคราด และพูดประชดแค่ไม่กี่ประโยค แน่นอนว่าพวกเขาไม่กล้าพอที่จะพูดถึงอู่เยวี่ยในแง่ลบต่อหน้าของอู่เจิ้งซือ แต่พอกลับถึงบ้าน คนพวกนี้กลับพูดกับลูกหลานของตัวเองอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยบอกให้พวกเด็กอย่าไปข้องเกี่ยวกับอู่เยวี่ยมากนัก


ลูกหลานของพวกเขาจะคบค้ากับคนแผนสูงไม่ได้ เพราะจะทำให้เด็กๆ ของพวกเขากลายเป็นคนไม่ดีได้


อู่เจิ้งซือเองก็ยิ้มและพูดตอบโต้พอเป็นมารยาทกับคนพวกนี้ แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก แต่เขาเป็นคนที่คิดได้ลึกซึ้ง ใบหน้าไม่เคยแสดงออกให้คนภายนอกได้รู้ถึงความรู้สึกนึกคิด ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่


“ผมมักจะบอกลูกๆ และนักเรียนเสมอ ว่าคะแนนไม่ได้สำคัญมาก เพียงแค่พวกเขาทำเต็มที่ก็พอแล้ว ขอแค่พวกเขามีความสุขในการเรียน นั่นถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญ” อู่เจิ้งซือยิ้มและพูดออกไป


“ใช่ๆๆ สมแล้วที่ครูอู่เป็นถึงครูต้นแบบของเมือง หลักการคำสอนก็ทันสมัย” หลายๆ คนต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย


อู่เจิ้งซือจึงพูดต่อ “อู่เยวี่ยเองก็คาดหวังมากเกินไป ไม่ว่าจะทำอะไรก็หวังจะทำให้มันออกมาดีทุกอย่าง ที่ออกมาเดินเล่นก็เพราะผมเองที่ลากออกมาได้ ไม่อย่างนั้นคงเอาแต่อ่านหนังสือทั้งคืน”


“ตายจริง เด็กๆ ของพวกเราถ้าไม่เป็นเพราะพ่อแม่คอยจับตามองอยู่ ไม่มีทางที่จะยินยอมนั่งอ่านหนังสือเองหรอก เยวี่ยเยวี่ยนี่ช่างเป็นเด็กที่มีความคิดความอ่านจริงๆ ครูอู่ช่างโชคดีนัก!”


หลายๆ คนที่ได้ฟังต่างพากันอิจฉา บ้านไหนต่างก็มีลูกที่ดื้อรั้นกันทั้งนั้น แค่ได้รู้ว่าอู่เยวี่ยตั้งใจอ่านหนังสือด้วยตัวเอง ใครล่ะที่จะไม่เกิดความอิจฉา?


เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่เรื่องที่เด็กๆ ตั้งใจอ่านหนังสือด้วยตัวเอง ก็ถือว่าเก่งกว่าเด็กบ้านอื่นมากแล้ว


แค่ครู่เดียวที่บรรยากาศได้เปลี่ยนไปเพราะอู่เจิ้งซืออย่างไม่รู้ตัว โดยเพราะเรื่องที่พูดคุยกันกลับถูกอู่เจิ้งซือดึงดูดไปในทางที่เขาจะสื่อถึง


อู่เจิ้งซือหัวเราะเบาๆ และพูดต่อ “แต่ผมเองก็หวังว่าเด็กๆ จะมีการพัฒนาความสามารถด้านอื่นๆ ด้วย อย่างเช่นด้านการวาดรูป เต้นรำหรือแม้แต่ร้องเพลง เรื่องคะแนนอย่างน้อยแค่อยู่ในระดับกลางๆ ขึ้นไปก็พอแล้ว โชคดีหน่อยที่ลูกๆ ทั้งสองคนไม่ได้ทำให้ผมกังวลมากนัก”


เขาพยายามพูด และเบี่ยงเบนประเด็นได้ “เมื่อก่อนผมเองก็กังวลลูกสาวคนเล็กมากเพราะคะแนนเธอแย่มาก แต่ในเทอมนี้กลับค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาได้ ความสามารถด้านอื่นก็พัฒนาได้เป็นอย่างดี นอกจากเรียนวาดรูปแล้ว ช่วงนี้เธอเองก็ได้ลงเรียนเต้นรำแบบย้อนยุค ครูที่สอนก็บอกเองว่าพรสวรรค์ด้านการเต้นของเหมยเหมยดีกว่าการวาดรูปมาก หากไม่ใช่เพราะปีหน้าจะต้องเข้าแข่งขันที่เมืองหลวง ครูคงจะบังคับให้เหมยเหมยย้ายไปเรียนเต้นแทน”


“โอ้โห! อู่เหมยนี่เก่งจริงๆ วาดรูปก็เก่ง แถมยังเต้นได้ดีอีก รูปร่างก็สมส่วนดีมาก ครูอู่ อีกหน่อยเหมยเหมยคงกลายเป็นหญิงสาวที่มากพร้อมด้วยความสามารถแน่ๆ” มีคนพูดประจบ


ทุกคนที่ถูกอู่เจิ้งซือบ่ายเบี่ยงประเด็น จึงนึกไปถึงลูกสาวอีกคนของเขาแทน


การมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเริ่มจางไป แต่แทนที่ด้วยความอิจฉาริษยาและเกลียดชัง


คนตระกูลอู่นี่ช่างให้กำเนิดลูกได้ดีเสียจริง ลูกสองคนนับวันยิ่งพัฒนาได้ดีกว่ากันเรื่อยๆ คนโตคงไม่ต้องพูดถึงแล้ว เป็นแค่ของที่หมดอายุแล้ว


แต่การปรากฏตัวของลูกคนเล็กนี่สิ!


ดูท่าทีแล้วจะเหนือกว่าคนโตเป็นไหนๆ ดูจากคำพูดของอู่เจิ้งซือสิ ทั้งวาดรูป ทั้งเต้นรำ ทุกอย่างดีไปหมด แล้วคะแนนสอบก็เริ่มพัฒนาขึ้นมาอีก ท่าทางแบบนี้ยังจะมีที่ยืนให้กับลูกของบ้านอื่นอีกหรือ?


อู่เจิ้งซือสามารถกดดันคนพวกนี้ได้โดยใช้เพียงคำพูดที่เรียบง่าย แล้วใครจะกล้าพูดจาประชดประชันอีกล่ะ ทุกคนต่างพากันทยอยห่างออกไป


แต่เขากลับลืมลูกสาวข้างกายอย่างอู่เยวี่ยไป จิตใจของเด็กสาวเย็นชาและแข็งทื่อไปเสียยิ่งกว่าถูกแช่ไว้ในอุโมงค์น้ำแข็ง สีหน้าท่าทางก็เย็นชายิ่งกว่าเดิม ริมฝีปากถูกกัดจนเลือดไหลออกมา


แต่ไหนแต่ไรมาเธอคือความภาคภูมิใจของพ่อ พ่อออกไปไหนมักจะพูดถึงเธอเสมอ ไม่พูดถึงอู่เหมยแม้แต่คำเดียว


แต่ในตอนนี้ เธอเป็นเพียงความอับอายของพ่อ พ่ออายที่จะพูดถึงเธอ แต่กลับพูดถึงอู่เหมยแทน เพราะอู่เหมยในตอนนี้สามารถทำให้พ่อเชิดหน้าชูตาได้


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 379 ความหวังที่สูญสลาย


ในค่ำคืนนั้น ยิ่งดึกยิ่งมีแต่ความเงียบ ลมฤดูหนาวพัดพาอยู่นอกหน้าต่าง อู่เยวี่ยทนทรมานได้ค่อนคืนกว่าจะข่มตาหลับลงได้ เธอเอาแต่ฝันร้าย และฝันเห็นตัวเองกลายเป็นเด็กบ๊วยที่คนเห็นต่างก็พากันรังเกียจ ไม่มีใครชอบเธอ และไม่มีใครยอมเป็นเพื่อนกับเธอ ไม่ต่างไปจากอู่เหมยเมื่อก่อนเลย


พ่อแม่ต่างก็ไม่ต้องการเธอแล้ว คุณปู่และคูณย่าก็ยิ่งไม่สนใจเธอ เธอมีชีวิตที่น่าเวทนาเสียยิ่งกว่าซินเดอเรลล่า


อู่เยวี่ยส่ายหน้าไปมาไม่หยุด เธอพยายามจะตื่นจากฝันนี้ เธอไม่อยากเป็นเหมือนดั่งฝันนี้ ไม่ต้องการ!


กระรอกน้อยฉิวฉิวที่หมอบอยู่บนโต๊ะใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ยเธออยู่ ฝันร้ายสิดีจะตาย จะต้องทำให้ยายผู้หญิงคนนี้ถูกฝันร้ายควบคุมเสมอ เพื่อให้สาสมกับสิ่งที่หล่อนทำไว้ในชาติก่อน


อู่เหมยอารมณ์เสียทีไร มักจะมาพูดกับฉิวฉิวเสมอ และพูดถึงสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเธอในชาติก่อน ฉิวฉิวสงสารและเห็นใจเจ้าหญิงตัวน้อยของมันมาก แน่นอนว่ามันมีความโกรธแค้นต่ออู่เยวี่ยมาก จึงได้ฉีดน้ำหอมใส่เธออย่างไม่ออมแรง


ผู้หญิงคนนี้มีความคิดที่ชั่วช้าเกินไป เจ้านายมันทำกับเธอแบบไหนก็ไม่คิดจะถอยให้เลย!


ฉิวฉิวยกขาหลังขึ้น และปล่อยเอากลิ่นธัญพืชสีเหลืองอ่อนออกมา ราดไปบนหัวของอู่เยวี่ยทั้งหมดจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว


อู่เยวี่ยเริ่มกระพริบตาปริบๆ ฉิวฉิวจึงรีบวิ่งลงไปใต้เตียง และแอบวิ่งออกไปทางกำแพงที่มีรู เขาเพิ่งออกไป อู่เยวี่ยก็ได้ลืมตาขึ้นมาและมองไปทั่วทุกทิศ


ภายในห้องเงียบสนิท ไม่มีสิ่งใดเลย อู่เยวี่ยมีท่าทีระแวงสงสัย เธอรู้สึกว่าภายในห้องมีอะไรบางอย่าง ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตกำลังเคลื่อนไหว แต่ทำไมตอนนี้ถึงไม่มีล่ะ?


หรือว่าจะเป็นหนู?


อู่เยวี่ยคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นหนู พรุ่งนี้เช้าจะต้องบอกกับเหอปี้อวิ๋น บอกให้แม่ซื้อยาเบื่อหนูมาให้ เพียงแค่นึกถึงว่ามีหนูปีนป่ายไปมาบนตัวเธอ เธอก็เกิดความรู้สึกชาไปทั้งตัว


แค่ครู่เดียวอู่เยวี่ยก็กลับเข้าสู่ห้วงนิทรา เพราะพรุ่งนี้ยังมีสอบ เธอจะต้องควบคุมสมาธิให้ดี จะต้องไม่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ อีก


เพียงแค่ หวังว่ามันจะสวยงาม แต่ความจริงกลับเจ็บปวด


หลังจากที่อู่เยวี่ยมาถึงโรงเรียน ถึงได้รู้ว่าความหวังของเธอมันมากเกินไปแค่ไหน สายตาที่เอาแต่รังเกียจเธอ และยังมีท่าทางบีบจมูกอีก นั่นเป็นสิ่งกระทบกระเทือนต่ออู่เยวี่ยเป็นอย่างมากก


แม้ว่าก่อนออกบ้านจะเตรียมใจมาพร้อมมากแค่ไหนก็ตาม แต่เธอก็ไม่สามารถทนได้อยู่ดี ทั้งวันเอาแต่เหม่อลอย ในหัวเอาแต่นึกถึงประโยคคำพูดจากหนังสือเล่มนั้น


ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิต ก่อนสอบมักจะมีความกังวลเกินไป และนั่นทำให้กระทบกับการทำงานของชั้นสมอง จึงส่งผลให้ร่างกายมีกลิ่นที่แปลกเกิดขึ้น ไม่ว่าจะอาการปวดท้อง ปวดหัว อาเจียนและปฏิกิริยาอื่นๆ อีกมาก ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอาจถึงขั้นช็อกหมดสติได้


อู่เยวี่ยพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ บนหน้าผากของเธอเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ แผ่นหลังก็รู้สึกเย็นวาบขึ้น ร่างกายหนาวเหน็บไปหมด ในใจยิ่งเย็นจนแข็งทื่อ ปากสั่นจนฟันกระทบกัน และมือไม้สั่นอย่างรุนแรง ขนาดจับปากกายังจับได้ไม่แน่น


ทั้งที่เธอไม่กังวลเลยสักนิด แต่ทำไมถึงได้มีปฏิกิริยาแบบนี้ได้?


และมีประโยคหนึ่งได้ผุดขึ้นมาในหัวของเธออีกครั้ง ‘ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงกระทั่งคิดว่าตัวเองไม่ได้กังวลหรือเครียด ในทางกลับกันมักจะคิดว่าตัวเองมีลักษณะท่าทางเป็นปกติดี แต่ความเป็นจริงแล้วยังมีความกังวลอยู่ จนกลายเป็นปฏิกิริยาที่แสดงออกกับร่างกายของผู้ป่วยแทน’


อู่เยวี่ยกัดริมฝีปากแน่นมาก หรือว่าเธอจะกลายเป็นผู้ป่วยขั้นรุนแรงแล้วหรือ?


เพราะแบบนั้นเธอเลยไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร และถึงมีปฏิกิริยาที่แสดงออกรุนแรงแบบนี้?


เธอไม่สามารถคิดต่อไปได้แล้ว เพราะตอนนี้ท้องของเธอได้เกิดอาการผิดปกติขึ้นมา อู่เยวี่ยพยายามหยิบกระดาษคำตอบที่ทำเสร็จไปส่ง ไม่มีแม้แต่เวลาจะทวนคำตอบ เธอส่งกระดาษคำตอบแล้วรีบวิ่งไปยังห้องน้ำ


อู่เยวี่ยใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานกว่าสิบนาที ร่างทั้งร่างแทบจะถูกสูบวิญญาณออกไป เธอคุกเข่าลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่อยากแม้แต่จะลุกขึ้นยืน เพราะเธอหมดแรงแล้วจริงๆ


ประตูจากห้องข้างๆ ดังขึ้นไม่หยุด มีคนทยอยมาเข้าห้องน้ำตลอด ทุกคนต่างพากันมาเข้าห้องน้ำเป็นกลุ่ม พวกนักเรียนหญิงมักทำแบบนี้เสมอ น้อยมากที่จะมาเข้าห้องน้ำคนเดียว เพราะแบบนั้นจะทำให้ดูเหมือนว่าเธอไม่เข้าพวก


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 380 คำนินทา


มีเสียงของนักเรียนหญิงหลายคนที่คุ้นหูมาก เป็นนักเรียนคนหนึ่งในห้องของอู่เยวี่ย พวกเธอเข้าห้องน้ำและพูดคุยกันไปด้วย พร้อมทั้งส่งเสียงเจื้อยแจ้ว


“วันนี้กลิ่นบนตัวของอู่เยวี่ยรุนแรงมาก ฉันนั่งห่างจากเธอเป็นสิบเมตรยังได้กลิ่นเลย”


“เฮ้อ! หวังว่าครูจะรีบย้ายอู่เยวี่ยออกไปจากห้องเรานะ มีเพื่อนร่วมห้องแบบนี้ฉันรู้สึกโชคร้ายไปเจ็ดชั่วโคตรเลย!”


อู่เยวี่ยไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะโมโห ตั้งแต่ที่เธอสอบรายเดือนได้คะแนนแย่ คำพูดแบบนี้เธอมักจะได้ยินอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะจากเพื่อนในห้อง หรือเพื่อนคนสนิทต่างก็พากันเข้ามาตีสนิทกับเธอในช่วงแต่ก่อน


อีกทั้งตอนนี้เพื่อนในห้องที่แทบจะไม่ไปมาหาสู่อะไรกับเธอเลย ในเวลานี้กลับอยู่เป็นกลาง เหมือนกับเมื่อก่อนที่ไม่ได้มีความทุกข์ร้อนใดๆ ต่อเธอเลย


อู่เยวี่ยเบื่อหน่ายที่จะโต้เถียงกับคนพวกนี้แล้ว เธอรอให้คนพวกนี้ออกไปก่อน เธอถึงจะตามออกไป เพียงแต่…


“นี่ พวกเธอเคยได้ยินข่าวลือไหม ยัยอู่เยวี่ยไม่เพียงแต่ร่างกายสกปรกนะ ความคิดและแผนการของเธอก็ไม่สะอาดด้วย!” เสียงนักเรียนหญิงคนหนึ่งเบาลง แต่กลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น


อู่เยวี่ยได้ฟังก็เหมือนมีระเบิดลงกลางหัว ทำไมถึงบอกว่าความคิดและแผนการของเธอไม่สะอาดล่ะ?


คนพวกนี้พูดไร้สาระอะไร?


คำพูดของนักเรียนกลุ่มนี้ราวกับระเบิดสายฟ้า กระตุ้นความสนใจของกลุ่มนักเรียนหญิงในห้องน้ำได้เป็นอย่างดี นักเรียนห้องอื่นๆ ก็เข้ามาฟังด้วย ทุกคนต่างรอคอยให้นักเรียนหญิงคนนี้รีบพูดออกมา


นักเรียนหญิงคนนั้นพูดขึ้นอย่างพอใจ “คนที่รู้เรื่องนี้มีอยู่ไม่มาก ไม่ง่ายเหมือนกันที่ฉันจะไปได้ยินมา อู่เยวี่ยเธอมีน้องสาวคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ เด็กประถมชั้นปีที่ห้าน่ะ พวกเธอรู้จักไหม?”


“รู้สิ เหมือนว่าจะชื่ออู่เหมย เมื่อก่อนผลการเรียนแย่มาก รูปร่างหน้าตาราวกับผี แต่เทอมนี้ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กลายเป็นคนสวยไปในข้ามคืน และคะแนนก็พัฒนาได้เร็วมาก ตอนนี้กลายเป็นบุคคลสำคัญของห้องไปแล้ว”


“เรื่องนี้ฉันก็รู้ เหมือนว่าอู่เหมยจะสวยอยู่แล้ว เพียงแต่แม่ของเธอไม่ชอบเธอ แต่ชอบแค่อู่เยวี่ย เหมือนเป็นแม่เลี้ยงที่ปฏิบัติกับลูกคนเล็กเลย พวกเธอรู้ไหมว่าเมื่อก่อนอู่เหมยจัดผมยังไง? เป็นเพราะอู่เยวี่ยที่อิจฉาน้องสาวตัวเอง จึงสั่งให้เธอมัดผมแบบนั้น”


“โถ่ๆ อู่เยวี่ยนี่ใจดำอำมหิตขนาดนั้นเลยเหรอ? ใจร้ายกับน้องตัวเองขนาดนั้นเลย?” ทุกคนที่ฟังอยู่ต่างรู้สึกขนลุกไปหมด ง่ายๆ คือไม่อยากเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเป็นฝีมือเพื่อนร่วมห้องของเธอ


ในทีวียังไม่เคยเห็นพี่สาวที่ร้ายขนาดนี้เลย!


“ชิ! ยัยอู่เยวี่ยนั่นเก่งเรื่องเสแสร้งแกล้งทำจะตายไป ในหนังสือบอกว่าดาบอาบน้ำผึ้งก็คือพูดถึงเธอนั่นแหละ ต่อไปนี้พวกเราก็ห่างๆ กับคนแบบนี้หน่อยนะ จะถูกเธอใช้มีดแทงขึ้นมาวันไหนยังไม่รู้เลย และอีกอย่างนะ ต่อไปนี้พวกเราต้องรักษาเงินและสิ่งของไว้ให้ดีด้วย หากว่าถูกคนอื่นขโมยไปอย่าหาว่าฉันไม่เตือน!”


นักเรียนหญิงคนที่เคยบอกว่าอู่เยวี่ยมีความคิดและแผนการของเธอไม่สะอาดได้พูดเน้นย้ำอย่างชัดถ้อยชัดคำ ความสนใจของทุกคนค่อยๆ ถูกดึงกลับมาที่จุดเดิมอีกครั้ง และต่างเริ่มถามว่าเกิดอะไรขึ้น


นักเรียนหญิงคนนี้ได้พูดเรื่องที่อู่เยวี่ยขโมยข้าวของและเครื่องเงินของน้องสาวตัวเอง แต่ที่เธอรู้ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะไม่ได้รู้แน่ชัดว่าเธอขโมยอะไรไป แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้นักเรียนหญิงหลายๆ คนเกิดความไม่พอใจ


“พระเจ้า! อู่เยวี่ยเป็นคนแบบนี้เหรอ แต่ปกติแล้วเธอเสแสร้งแกล้งทำเหมือนกับสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ราวกับเป็นบัวหิมะ  ช่างน่ารังเกียจจริงๆ!”


“เธอเป็นบัวหิมะ พวกเราเป็นแค่โคลนตมที่ทำให้เธอโดดเด่น ต่อไปนี้ก็อยู่ให้ห่างจากบัวหิมะด้วยล่ะ ระวังจะถูกหลอกใช้เสียเปล่า”


“ใช่ คนแบบนี้เราควรจะอยู่ห่างๆ เข้าไว้ แหย่ไม่ได้แต่เราก็หลีกเลี่ยงได้นี่!”



นักเรียนหญิงกลุ่มนี้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน และพากันชิงชังดูถูกอู่เยวี่ย ส่วนอู่เยวี่ยที่หลบอยู่ในห้องน้ำอีกห้องหนึ่งก็โกรธแค้นเป็นอย่างมาก ยายอู่เหมยมันสมควรตาย!


เรื่องของอู่เหมยกลับไปค่อยคิดบัญชีทีหลัง แต่ในตอนนี้เธอต้องคิดบัญชีกับยายชั่วพวกนี้ก่อน จะยอมให้พวกนี้ทำลายชื่อเสียงของเธอไม่ได้


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 381 ทำลงไปแล้ว


อู่เยวี่ยพยายามฝืนทนเพื่อลุกขึ้นยืน เป็นเพราะความโกรธที่มีอยู่มากจึงทำให้ได้สติขึ้นมา เธอผลักประตูออกในครั้งเดียว และมองกลุ่มนักเรียนหญิงที่ยืนอยู่แถวขั้นบันไดด้วยสาตายแข็งกระด้างและเย็นชาราวกับอุโมงค์น้ำแข็ง


จากตอนแรกที่นักเรียนหญิงกลุ่มนั้นเตรียมตัวจะกลับเข้าห้องเรียน แต่กลับต้องตกใจอู่เยวี่ยเป็นอย่างมาก พวกเธอต่างคาดไม่ถึงว่าอู่เยวี่ยจะแอบซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำ ถ้าอย่างนั้นคำพูดที่พวกเธอเพิ่งพูดออกไป เธอก็คงจะได้ยินมันหมดแล้ว!


นักเรียนหญิงกลุ่มนี้จากหน้าขึ้นสีกลายเป็นซีดเผือดไปตามๆ กัน พวกเธอต่างรู้สึกไม่สบายใจ ถึงอย่างไรก็ถือว่าพวกเธอได้พูดนินทาให้ร้ายคนอื่นลับหลัง และยังโดนคนที่ถูกพูดถึงจับได้คาหนังคาเขา ช่างน่าอายเสียจริง


“อู่เยวี่ย เธอหลบอยู่ในห้องน้ำทำไมไม่ส่งเสียงพูดอะไรเลยล่ะ? พวกเราตกใจหมดเลย!” นักเรียนหญิงคนหนึ่งพูดขึ้นและส่งยิ้มตาหยีให้ ราวกับไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เธอเป็นคนเดียวกันกับคนที่พูดว่าอู่เยวี่ยมีแผนการและความคิดที่ไม่ใสสะอาด


อู่เยวี่ยมองเธอที่ยังกล้าพูดออกมาว่าเธอทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ จึงทำให้อารมณ์โกรธปะทุขึ้น เธอจึงกัดฟันพูดอย่างเยือกเย็น “ถ้าฉันส่งเสียงพูด จะได้ยินเพื่อนร่วมห้องที่ดีของฉัน เอาฉันมานินทาและพูดให้ร้ายลับหลังแบบนี้เหรอ?”


เมื่อพูดจบเธอยังคงไม่หายโมโห จึงพูดเยาะเย้ยต่อ “ต่อหน้าพูดอย่างหนึ่ง ลับหลังกลับพูดอีกอย่างหนึ่ง มาถึงวันนี้ฉันก็เพิ่งรู้ว่าพวกเธอมันเป็นพวกต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก หรือเรียกอีกอย่างคือพวกตีสองหน้า แต่ฉันก็ไม่เคยทำอะไรไม่ดีกับพวกเธอนี่? ทำไมพวกเธอจะต้องทำร้ายฉันด้วย?”


คนอื่นๆ ถูกอู่เยวี่ยต่อว่าจนรู้สึกละอายใจ ทำได้เพียงแค่ก้มหน้างุด และไม่กล้าสบตากับอู่เยวี่ย เพราะอย่างไรพวกเธอก็เป็นฝ่ายผิด


ใครให้พวกเธอเลือกที่จะนินทาคนอื่นลับหลังล่ะ!


นักเรียนหญิงที่เคยขึ้นพูดก่อนหน้านี้หัวเราะเยาะอย่างจองหอง และพูดขึ้นเสียงดัง “พวกเราก็แค่พูดตามความจริงเท่านั้นเอง ถ้าเธอไม่เคยทำจริงๆ ทำไมจะต้องตื่นเต้นขนาดนี้ล่ะ? ดูท่าเธอก็กินปูนร้อนท้องอยู่นะ!”


“ฉันกินปูนร้อนท้องตรงไหน? แกอย่ามาพูดไร้สาระนะ!”


“ถ้าไม่ได้กินปูนร้อนท้อง แล้วทำไมตอนที่พวกฉันพูดถึงเธออยู่ เธอไม่ยอมออกมาล่ะ? เอาแต่ทำตัวลับๆ ล่อๆ และแอบอยู่ในนั้นโดยไม่ส่งเสียง เหอะ! ฉันว่านิสัยแอบฟังคนอื่นของเธอนี่คงจะทำอยู่บ่อยๆ สินะ คนที่มีจิตใจชั่วช้าก็มักจะเป็นแบบนี้”


“แกมันใส่ร้ายป้ายสี แกนั่นแหละที่มีจิตใจชั่วช้า พวกแกก็ด้วย!”


คำว่า ‘จิตใจชั่วช้า’ สี่พยางค์นี้มันได้แทงใจอู่เยวี่ยจนทำให้กระทบไปถึงเส้นประสาท สีหน้าของเธอบูดบึ้งและเปลี่ยนไปเป็นดุร้าย เธอโกรธจนเลือดขึ้นตา เอาแต่จ้องมองเพื่อนร่วมห้องของเธออย่างเย็นชา


บรรดานักเรียนหญิงที่อยู่ตรงนั้นต่างตกใจกับท่าทีของอู่เยวี่ย รู้สึกชาไปทั้งตัว แม้แต่นักเรียนหญิงใจกล้าคนนั้นก็ไม่กล้าแม้แต่จะปริปากพูด มีบางคนเริ่มเดินถอยหลังไปยังประตูเพื่อเตรียมวิ่งออกไป ลักษณะของอู่เยวี่ยในตอนนี้ราวกับสามารถเขมือบคนเข้าไปได้


อู่เยวี่ยในเวลานี้โมโหจนขาดสติ เพราะสิ่งที่กระทบกระทั่งเธออย่างต่อเนื่องทำให้เธอไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ เธอรู้สึกโกรธแค้นอย่างมาก เธอจะสู้เพื่อชื่อเสียงของตัวเธอเอง!


ในเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาพักเที่ยง นักเรียนทุกคนต่างทยอยออกไปทานข้าวกันหมด มีนักเรียนบางกลุ่มที่นั่งรับแดดอยู่บริเวณสนาม บางกลุ่มก็กลับไปที่ห้องเรียนเพื่ออ่านหนังสือและพักผ่อน บรรยากาศในโรงเรียนเงียบสงบมาก


อู่เหมย อู่เชา และสยงมู่มู่พากันออกไปด้านนอกเพื่อทานมื้อเที่ยง ช่วงนี้อู่เหมยมักจะออกไปทานข้าวพร้อมกับอู่เชาเสียส่วนใหญ่ เธอเพิ่งค้นพบร้านอาหารเสฉวนที่มีรสชาติดี ฝีมือการทำอาหารของพ่อครัวดีมาก


เธอและอู่เชาเลือกสั่งเมนูเนื้อหนึ่งผักหนึ่ง อย่างมากราคาแค่หนึ่งหยวนกว่าๆ ทั้งข้าวและซุปให้ฟรี รสชาติอร่อยแถมยังกินได้อย่างอิ่มหนำสำราญ ช่วงนี้พวกเขาทั้งสองมักจะมากินที่ร้านนี้เป็นประจำ หลังจากที่สยงมู่มู่ได้รู้ เขาจึงได้ตามไปด้วยอย่างหน้าตาเฉย เพราะเหตุนี้จึงทำให้สั่งเพิ่มได้อีกหนึ่งเมนู และทำให้เป็นมื้ออาหารที่กินได้อย่างเอร็ดอร่อย


ทั้งสามพากันกินอิ่มจนส่งเสียงเรอออกมา และแบกพยุงท้องที่อิ่มแปล้กลับโรงเรียน แต่พอเดินมาถึงแค่สนาม ก็เจอเข้ากับจี้เหวินฮุ่ยที่วิ่งเข้ามาอย่างหน้าตาตื่น “แย่แล้วๆ อู่เยวี่ยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับนักเรียนคนอื่น!”


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 382 มีสิ่งใดที่แตกสลายอีก


อู่เหมยกะพริบตาปริบๆ และเอาแต่แคะหูตัวเอง นี่เธอฟังผิดไปหรือเปล่า?


คาดไม่ถึงว่าอู่เยวี่ยจะทะเลาะวิวาทกับนักเรียนคนอื่นได้?


ไม่ใช่ว่ายายชั่วนั่นชอบยืมมือคนอื่นมาฆ่าคนหรอกเหรอ?


ทำไมวันนี้ถึงได้ลงมือเองล่ะ?


อู่เชาจับตัวจี้เหวินฮุ่ยไว้เพื่อให้เธอพูดให้ชัดเจน จี้เหวินฮุ่ยพูดอย่างตื่นตระหนก “ฉันจะรู้ได้ไงว่าเกิดอะไรขึ้น? ฉันก็ฟังคนอื่นพูดมาเหมือนกัน ไม่เห็นเหรอว่าฉันกำลังจะเข้าไปดูสถานการณ์น่าตื่นเต้นสุดๆ นั้น อู่เชานายอย่ามาจับฉันนะ”


จี้เหวินฮุ่ยหลุดจากการครอบคลุมของอู่เชา และวิ่งไปยังตึกเรียนของนักเรียนมัธยม จากที่อืดอาดยืดยาดกลับกลายวิ่งเร็วขึ้นเสียยิ่งกว่ากระต่าย


อู่เชาเกิดความกังวลใจเล็กน้อย และพูดขึ้น “พวกเราก็ไปดูกันเถอะว่าเกิดเรื่องขึ้นจริงหรือเปล่า”


อู่เหมยพยักหน้ารับ เธอไม่ได้กังวลว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับอู่เยวี่ย แต่เธอเองก็ไม่ได้ต่างจากจี้เหวินฮุ่ยที่ไปดูก็เพื่อความครึกครื้นสนุกสนาน แต่ถึงอย่างไรเรื่องหน้าตาภาพพจน์ก็ต้องรักษาไว้ เพราะเธอก็อยากจะให้คนภายนอกชื่นชมเธอ!


เหมือนกับอู่เยวี่ยในช่วงก่อน ทุกคนต่างชื่นชมเธอว่าเป็นพี่สาวที่รักใคร่เอ็นดูน้องสาว!


ตรงจุดนี้เธอจะต้องหัดเรียนรู้จากอู่เยวี่ย เพื่อให้ทุกคนชื่นชมว่าเธอเป็นน้องสาวที่รักใคร่เอ็นดูและเป็นห่วงพี่สาว!


ห้องเรียนของอู่เยวี่ยอยู่บนชั้นสองของตึกเรียน สุดทางตรงระเบียงเป็นห้องน้ำ แต่ในเวลานี้เต็มไปด้วยผู้คน และมีความแน่นขนัด ทุกคนต่างยืดคอให้สูงขึ้นเพื่อดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างออกรสออกชาติ


“อู่เยวี่ยแกบ้าไปแล้วหรือไง? อย่าคิดว่าพวกฉันจะกลัวแก พวกเราแค่ไม่อยากทะเลาะกับแกก็เท่านั้น แกหยุดเดี๋ยวนี้นะ!” น้ำเสียงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟของนักเรียนหญิงคนหนึ่งตะโกนออกมา และยังมีเสียงเกลี้ยกล่อมจากนักเรียนหญิงคนอื่นๆ


“พวกแกนี่เป็นพวกจิตใจชั่วช้าเหรอ? ถึงได้คอยแต่จะเอาฉันไปพูดสร้างเรื่องนินทาไปทั่ว คนจิตใจชั่วช้าใจดำอำมหิตอย่างพวกแก ออกจากประตูนี้ไประวังจะถูกรถชนตายนะ!” อู่เยวี่ยพูดขึ้นอย่างเย็นชา สีหน้าท่าทางดูน่ากลัว


สงครามที่เกิดขึ้นในห้องน้ำได้ลุกลามเคลื่อนย้ายออกมาด้านนอก ทุกคนต่างมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น พวกเขามองเห็นท่าทีของอู่เยวี่ยแล้วเกิดรู้สึกตกใจไม่น้อย รวมถึงคำพูดของอู่เยวี่ยได้ทำให้คนฟังมีทัศนคติที่เปลี่ยนไป เพราะเธอเคยเป็นดั่งนางฟ้าคนเก่าของทุกคน


หญิงสาวที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีจริงๆ จะพูดคำสาปแช่งอย่าง ‘ออกประตูนี้ไปขอให้ถูกรถชนตาย’ ออกมาได้ย่างไร?


นักเรียนหญิงที่ถูกอู่เยวี่ยจิกหัวไว้ เกิดรู้สึกโกรธจนควันออกหู เมื่อเธอมองเห็นรอบๆ เต็มไปด้วยคนจำนวนมาก จึงอดไม่ได้ที่จะจำฝังใจ และพูดขึ้นเสียงดัง “อู่เยวี่ย ถ้าแกบริสุทธิ์ใจ แกก็สาบานต่อหน้าของทุกคนสิ หากแกขโมยของไป ขอให้แกมีกลิ่นตัวเหม็นๆ ไปตลอดชีวิต และไม่มีวันที่จะมีกลิ่นตัวหอมไปตลอดชีวิต!”


“ฮ่าๆๆ!”


มีนักเรียนบางคนช่วยหัวเราะเสริม และยังมีนักเรียนบางคนที่ใช้มือบีบจมูกตัวเองไว้ เพื่อช่วยสมทบต่อคำพูดของนักเรียนหญิงคนนั้น


สติสัมปชัญญะของอู่เยวี่ยเหลืออยู่น้อยลงเต็มที เธอถูกนักเรียนหญิงคนนี้จูงจมูกไปได้ และตะโกนออกมาอย่างโกรธแค้น “ฉันไม่ได้ขโมยของ แกใส่ร้ายฉัน ฉันจะตีแกให้ตาย!”


“ถ้าไม่ได้ขโมยของก็สาบานมาสิ ขนาดแค่คำสาบานเธอยังไม่กล้าพูด แล้วใครจะเชื่อ!”


นักเรียนหญิงคนนั้นค่อยๆ บีบและเปิดเผยตัวตนของอู่เยวี่ย เธอเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีแผนการสูง ตอนอยู่ในห้องน้ำเธอยอมให้อู่เยวี่ยบีบ แต่พอออกมาด้านนอกที่คนเริ่มเยอะขึ้นถึงได้เริ่มต่อต้านอู่เยวี่ย


“ทำไมฉันจะต้องสาบานด้วย ฉันบอกว่าไม่ได้ขโมยก็คือไม่ได้ขโมย พวกแกกำลังใส่ร้ายฉัน ฉันจะไปพูดกับครู” อู่เยวี่ยตาแดงก่ำพร้อมทั้งตะโกนออกไปสุดเสียงจนอ่อนแรง


“แกก็ไปหาครูสิ ฉันละไม่เคยพบไม่เคยเห็นคนหน้าด้านไร้ยางอายแบบนี้มาก่อนจริงๆ แกคิดว่ามีฉันคนเดียวเหรอที่รู้ว่าแกขโมยของ? ข่าวแพร่กระจายไปทั่วอี้จงแล้ว ขนาดเด็กสามขวบที่อยู่แถวอี้จงยังรู้เลยว่าแกเป็นคนประเภทไหน เหอะ! ยังคิดจะเสแสร้งทำตัวใส่ซื่อในโรงเรียนอีกเหรอ น่ารังเกียจ!”


นักเรียนหญิงคนนั้นไม่ได้ปกปิดความรังเกียจหรือเหยียดหยามใดๆ คนอื่นๆ ต่างตกใจนิ่งเงียบ จากนั้นได้ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น


ปฏิกิริยาของทุกคนไม่แตกต่างกันเลย มองท่าทีที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของนักเรียนหญิงคนนี้ กลัวว่าจะเป็นเรื่องจริง นึกไม่ถึงเลยว่าอู่เยวี่ยจะเป็นคนที่มีความคิดและแผนการที่สกปรกเช่นนี้


‘เพียะ!’


มีบางอย่างที่แตกร้าว นักเรียนทุกคนต่างจ้องมองท่าทีของอู่เยวี่ยอย่างสับสน


มีทั้งความรังเกียจ ความเห็นใจ ความนึกเสียดาย และความรู้สึกที่หัวใจหล่นวูบฉับพลัน…


เพียงแต่ไม่มีความอิจฉาและริษยาเหมือนก่อน!


…………………………………………………………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)