หมอดูยอดอัจฉริยะ 375-378

 ตอนที่ 375 สมาคมมวยวูซู

โดย

Ink Stone_Fantasy

“พี่ใหญ่ ไม่กี่เดือนที่ไม่ได้เจอหน้ากัน  ทำไมตอนนี้มันถึงกลายเป็นเหมือนไก่ชนไปเสียแล้ว”


เมื่อได้เห็นท่าทางโกรธเคืองของสวีเจิ้นหนาน เยี่ยเทียนมีความรู้สึกตลกนิดหน่อย ถูกคนทำร้ายจนกลายเป็นแบบนี้ ไม่นึกเลยว่ายังเสียงดังโหวกเหวกจะฆ่าคนอื่นให้ตาย


เห็นท่าทางของเยี่ยเทียนที่กลั้นขำ สวีเจิ้นหนานไม่สบายใจอย่างมาก พูดว่า “เยี่ยเทียน เจ้าหมอนี่ แกอย่าคิดดูถูกพี่ใหญ่คนนี้เชียว เมื่อวันก่อนรองหัวหน้าสมาคมคาราเต้ ถูกฉันถีบไปทีเดียวก็ล้มลงไปกองอยู่กับพื้นแล้ว และตอนนี้ฉันก็เป็นกำลังสำคัญที่สุดของสมาคมวูซู”


“ใช่ วันก่อนเจิ้นหนานของพวกเราสุดยอดมาก”


สวีเจิ้นหนานพูดไม่หยุด ทันใดนั้นก็มีเสียงใสของผู้หญิงดังขึ้นมา กลับเป็นหญิงสาวสี่คนที่เดินออกมาจากหอพัก คนหน้าสุดก็คืออวี๋ชิงหย่ากับเว่ยหรงหรง มือของทุกคนเต็มไปด้วยของ


“แหม หรงหรง มันเร็วมากที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเจิ้นหนานแล้ว”


“ก็ใช่ มันชวนให้ขนหัวลุกกว่าอวี๋ชิงหย่าเสียอีก”


พวกสาว ๆ เหล่านี้อยู่หอเดียวกันมาสี่ห้าปีแล้ว มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก เว่ยหรงหรงเพิ่งจะคุยโม้ถึงสวีเจิ้นหนาน แต่ก็ถูกคนจับได้


“ก็คือครอบครัวของพวกเราเอง เป็นอะไร พวกเธอแค่อิจฉา”


เว่ยหรงหรงแม่พริกขี้หนูฉายาของเธอไม่ได้มาเล่น ๆ ทันใดนั้นก็ยืดอกต่อต้านขึ้นมาทันที กลุ่มของผู้หญิงที่อยู่หน้าหอพักก็หัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมา ทำให้กลุ่มของผู้ชายที่เดินผ่านต่างก็พากันกลืนน้ำลาย


“ชิงหย่า เอาของมาให้ฉัน” รอให้พวกผู้หญิงล้อเล่นกันอย่างสนุกสนานเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนก็เปิดท้ายรถ หลังจากนั้นก็รับของที่อยู่ในมือของอวี๋ชิงหย่ามา


หญิงสาวใบหน้ากลม ๆที่ดูทั้งสวยและหวานให้ความสนใจกับท่าทางของเยี่ยเทียน พูดว่า “ดู คนในครอบครัวของอวี๋ชิงหย่าก็ยังมีมารยาท พี่สุดหล่อ ว่ากันว่าแต่ก่อนพี่ก็เคยเรียนที่หวาชิง”


หลังจากที่ได้กลับมาที่มหาวิทยาลัย เยี่ยเทียนรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมามาก นึกถึงแต่ก่อนเหตุการณ์สมัยเข้าเรียน ใบหน้าที่ไร้เดียงสา พูดว่า “ใช่ครับ สวัสดีครับรุ่นพี่”


“เล่ามาเลย ว่าเป็นไงมาไงถึงได้มาจีบชิงหย่าเนี่ย”


“ก็คือว่า สาวสวยอันดับหนึ่งของคณะวารสารศาตร์ถูกคนมาตามจีบ” ต้องสารภาพออกมา


ระยะเวลาที่เยี่ยเทียนอยู่ในหวาชิงสั้นมาก นอกจากเว่ยหรงหรงแล้ว กับอวี๋ชิงหย่านักศึกษาคนอื่น ๆ ก็ไม่มีใครรู้จักเขา เมื่อเห็นเยี่ยเทียนพูดเก่งเช่นนี้ ทุกคนก็ต่างล้อมวงเข้ามา


“จำเป็นต้องเล่าจริง ๆ” สายตาปลิ้นปล้อนของเยี่ยเทียน


“ไม่เอาน่า อย่าทำอะไรแปลก ๆ”


อวี๋ชิงหย่ารู้จักเยี่ยเทียนเป็นอย่างดี ผลักเขาด้วยความโกรธ พูดว่า “พวกพี่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเราก็ต้องแยกจากกันแล้ว วันนี้ฉันเป็นเจ้าภาพ พวกเราไปกินข้าวด้วยกันเถอะ”


“ได้นะ ชิงหย่า แต่ว่าพวกเราต้องเป็นคนเลือกสถานที่นะ”


“ก็คือ วันนี้แฟนเธออาจต้องหมดตัว”


หลังจากสาว ๆได้ยินคำพูดของอวี๋ชิงหย่าแล้ว ทุกคนก็ต่างผงกหัวตกลง


แต่ความจริงแล้วความหมายของพวกเธอคือตั้งใจที่จะควบคุมเยี่ยเทียน สาว ๆคณะวารสารศาตร์มีคนมาตามจีบอย่างไม่ขาดสาย อีกทั้งแฟนหนุ่มของพวกสาว ๆ ก็ต่างเป็นคนมีเงิน เพียงแต่ว่าวันนี้บังเอิญเจอเยี่ยเทียน ก็ต้องให้เขาเป็นเจ้าภาพแล้ว


“ไม่มีปัญหา คุณผู้หญิงทั้งหลาย เชิญขึ้นรถครับ” เยี่ยเทียนยิ้มพร้อมเปิดประตูรถ พูดกับสวีเจิ้นหนานว่า “พี่ใหญ่ พี่นั่งข้างหน้า”


สวีเจิ้นหนานได้ยินแล้วหยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่ง พูดอย่างฝืน ๆว่า “เยี่ยเทียน ฉัน ฉันยังมีธุระที่ต้องจัดการ”


เยียเทียนหัวเราะกับท่าทางของสวีเจิ้นหนาน หัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ว่าเป็นการประลองของพวกนักศึกษาในสมาคมหรือ พี่ไปคนเดียวก็ไม่สามารถจัดการอะไรได้”


เยี่ยเทียน ไม่ใช่ว่าจะพูดอะไรก็ได้ ยูโดกับคาราเต้ของญี่ปุ่นอะไรพวกนี้ ต่างก็คือวิวัฒนาการดัดแปลงจากศิลปะการต่อสู้ของจีน ตอนนี้จะให้บอกว่าเป็นมวยวูซูของจีนก็ไม่ได้ นี่ไม่ใช่การหลอกอาจารย์หรือ


สวีเจิ้นหนานส่ายหัวอย่างจริงจัง พูดว่า “ไม่ได้ ฉันจำเป็นต้องไปดู เยี่ยเทียน ไม่อย่างนั้นพวกเธอก็ไปกินข้าวกันก่อน ฉันตามไปทีหลัง”


“เจิ้นหนาน ฉันจะไปกับเธอ” เว่ยหรงหรงครั้งนี้แสดงท่าทางอ่อนหวานพร้อมกับดึงแขนของสวีเจิ้นหนานพูดว่า “ฉันจะไปเชียร์และให้กำลังใจเธอ”


หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเว่ยหรงหรง ใบหน้าสวีเจิ้นหนานในเวลานั้นก็เต็มไปด้วยความสุขเบิกบาน ยืดอกมากกว่าเดิม ส่งเสียงดังออกมาว่า “ตกลง ฉันจะสั่งสอนเจ้าพวกเด็กน้อยญี่ปุ่นกลุ่มนั้นให้อย่างดีเลย”


รวมตัวเองและสวีเจิ้นหนานทั้งหมดเป็นหกคนที่จะไปกินข้าวด้วยกัน ขาดไปสองคนก็ไม่เป็นไร เยี่ยเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกไปว่า “ได้ หรือว่าพวกเราจะไปเชียร์และให้กำลังใจพี่ใหญ่สวีเจิ้นหนานกัน”


ในความคิดของเยี่ยเทียน วิชาป้องกันตัวมีอยู่เพียงสองประเภทเท่านั้นคือ ประเภทที่หนึ่งคือเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ประเภทที่สองคือเพื่อฆ่าศัตรูในสนามรบ


เหมือนกับเทควันโด้ของเกาหลีใต้และยูโดกับคาราเต้ของญี่ปุ่น แม้ว่าเคยถูกจัดให้อยู่ในรายการการแข่งขันของกีฬาโอลิมปิก แต่ว่าในมุมมองของเยี่ยเทียนนั้น ต่างล้วนแล้วเป็นท่ามวยที่ฉาบฉวย เขาก็ไม่ได้ให้ความสนในโดยสิ้นเชิง


หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน หญิงสาวหน้ากลม ๆก็เอ่ยปากพูดว่า” ตกลง พวกเราไปกันหมดเลย พวกคนญี่ปุ่นนั้นค่อนข้างที่จะบ้า”


อวี๋ชิงหย่าผงกหัว พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นไปกันเถอะ อย่างไรก็ยังมีเวลาอีกเยอะกว่าเราจะไปกินข้าวกัน”


ระยะทางระหว่างสมาคมวูซูไม่ได้ไกลมากจากที่นี่ เยี่ยเทียนจอดรถไว้ข้าง ๆหอพัก ทุกคนต่างเดินไปด้วยกัน


เยี่ยเทียนดึงอวี๋ชิงหย่าแล้วเดินตามหลังคนอื่น พูดเสียงเบา ๆว่า “ชิงหย่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่ใช่ว่าเป็นการประลองของพวกนักศึกษาของสมาคมวูซูกับสมาคมคาราเต้หรอกหรือ ทำอย่างกับร่วมแรงรวมใจกันต่อต้านศัตรู”


เพราะว่าสนิทกับเว่ยหรงหรง อวี๋ชิงหย่าเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี เอ่ยปากพูดว่า “แต่ก่อนคือไม่มีอะไร ทั้งสองสมาคมต่างก็รับสมาชิกเข้ามา แต่ว่าเมื่อเทอมที่แล้วมีนักศึกษาญี่ปุ่นเข้ามาใหม่ บอกว่ามวยวูซูของจีนเทียบไม่ได้กับคาราเต้ของญี่ปุ่น นั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งสองสมาคมเป็นศัตรูกัน”


แต่จริง ๆแล้วคนญี่ปุ่นก็ไม่ใช่พวกที่อวดดีขนาดนั้น แต่แรกหัวหน้าสมาคมคาราเต้กับหัวหน้าสมาคมวูซูปรองดองไปมาหาสู่กันดี หัวหน้าของทั้งสองสมาคมกลับไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกันเลย


แต่ว่าหัวหน้าคนเก่าของสมาคมคาราเต้พอเรียนจบก็กลับไปที่ญี่ปุ่นแล้ว แต่ว่านักศึกษาที่เพิ่งเข้ามาใหม่นักศึกษาญี่ปุ่นคนหนึ่งกลับบ้าระห่ำมาก ชอบไปยั่วยุพวกสมาชิกในสมาคมวูซูอยู่ตลอดเวลา ก็ตั้งแต่นักศึกษาคนนั้นเข้ามา ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝั่งกลายเป็นศัตรูเกลียดชังกันขึ้นมา


นี่ก็ครึ่งปีกว่าได้แล้ว สมาคมวูซูกับสมาคมคาราเต้แลกเปลี่ยนความเห็นซึ่งกันและกันมากมาย ต่างก็มีแพ้ชนะซึ่งกันและกัน การประลองฝีมือของนักศึกษา ก็คือแลกหมัดกันทั้งหมด แต่ก็ไม่เคยมีปัญหาใหญ่อะไรเกิดขึ้น


แต่ว่าระยะเวลาของสวีเจิ้นหนานที่ได้สัมผัสกับมวยวูซูนั้นค่อนข้างสั้น เพราะร่างกายที่แข็งแรงกำยำ หลังจากที่ได้เรียนรู้เทคนิคบางอย่าง อาศัยแรงฮึดนี้สร้างชื่อเสียงออกมา เพียงแต่ว่าทุกครั้งล้วนแล้วทำร้ายศัตรูหนึ่งพันตัวเองบาดเจ็บแปดร้อยก็เท่านั้นเอง


“พี่ใหญ่นี่ เว่ยหรงหรงก็ตามใจ”


เยี่ยเทียนรู้ความตั้งใจเดิมในการฝึกศิลปะป้องกันตัวของสวีเจิ้นหนาน ฟังคำพูดของอวี๋ชิงหย่าครั้งนี้จบ ภายในใจก็รู้สึกฝืนยิ้มไม่ออก การที่เป็นลูกผู้ชายอย่างสวีเจิ้นหนาน ก็นับว่าเป็นดอกไม้ที่งดงามอย่างมหัศจรรย์แล้ว


สนามประลองของสมาคมมวยวูซูในมหาวิทยาลัยหวาชิงนี้ยึดสนามของแบดมินตันมาใช้ พวกเขาสามารถใช้ได้เพียงแค่จันทร์ พุธ และศุกร์ตอนเย็นกับวันหยุด วันนี้เป็นวันเสาร์พอดี เดิมทีเป็นวันที่นักศึกษาทุกคนออกไปเที่ยว แต่ว่าในเวลานี้หน้าประตูของสมาคมวูซู กลับคึกคักอย่างมาก กลุ่มคนสี่ห้าสิบคนกำลังพูดคุยอะไรกันอยู่


“ไม่มีคนญี่ปุ่นหรอ” สายตาโหดเหี้ยมของเยี่ยเทียน จ้องมองไป กลับไม่เห็นใครแต่งชุดคาราเต้เลย


“เฮ้ ลูกพี่สวีมาแล้ว วันนี้ให้เขาคุมสนามที่สาม”


กลุ่มสาวสวยข้างเยี่ยเทียนดึงดูดความสนใจคนเป็นอย่างมาก ยังไม่เดินเข้าไปใกล้ กลุ่มนักศึกษาที่กำลังปรึกษาหารือกันอยู่ก็ถูกเบี่ยงเบนความสนใจมาทันที


“เกิดอะไรขึ้น พวกเขายังไม่มา”


สวีเจิ้นหนานรู้สึกพอใจที่ได้รับการสนับสนุนจากทุกคน คลึงข้อต่อกระดูกทั้งซ้ายขวาของตัวเอง มีเสียง กรอบแกรบ ไม่หยุด พูดว่า “ฝั่งตรงข้ามเป็นอาจารย์คนไหนมา ฉันว่าพวกแกไม่กี่คนก็พอแล้ว”


แม้ว่ากังฟูของสวีเจิ้นหนานจะไม่เท่าไหร่ แต่ว่าก็เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สี่แล้ว อายุก็มากเกิน บวกกับที่เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย ชอบควักเงินเลี้ยงอยู่บ่อย ๆ ทำให้พวกรุ่นน้องต่างก็นับถือเขาอย่างหมดใจ


“ลูกพี่สวี นี่คือเทียบเชิญที่พวกเขาส่งมา พี่ลองดู” ผู้ชายรูปร่างสูงผอมที่โผล่ออกมาจากฝูงชน ในมือถือเทียบเชิญสีดำไว้หนึ่งใบ ส่งมอบให้สวีเจิ้นหนาน


“เทียบเชิญสีดำ ฝั่งตรงข้ามไม่รู้กฎหรือว่าจะลงมือฆ่า”


มองเห็นเทียบเชิญใบนั้น ตาของเยี่ยเทียนก็กระตุกขึ้นมาทันที ถ้าอยู่ในยุทธภพ เทียบเชิญสีดำ มีความหมายว่าไม่ตายก็ไม่หยุด แต่ว่านี้คืออยู่ในมหาวิทยาลัย ทั้งสองฝ่ายไม่น่าจะเกลียดแค้นอะไรกันขนาดนั้น


“สามรอบชนะสอง”


สวีเจิ้นหนานดูข้อความในเทียบเชิญอีกครั้ง พูดกับคนสูงผอมคนนั้นว่า “ได้ หลังจากนั้นก็ให้หลี่เฟิงประลองรอบแรก อาเฟยประลองรอบสอง ฉันประลองรอบสาม ทุกคนว่าอย่างไร”


อาเฟยที่สวีเจิ้นหนานพูดถึง คือคนที่มีความสูงประมาณหนึ่งเมตรแปดสิบ เป็นนักศึกษาที่มีน้ำหนักประมาณร้อยแปดสิบกิโลกรัม หลังจากที่ได้ยินสวีเจิ้นหนานเรียกชื่อตัวเองแล้ว นักศึกษาคนนั้นก็ส่งเสียงตกลงเห็นด้วย


สวีเจิ้นหนานวางแผนแบบนี้ก็ยังมีเหตุผลของตัวเอง เขาเป็นที่รู้จักในสมาคมวูซู และรู้กังฟู มีเพียงแค่เขาที่สามารถจัดการกับรอบสาม


สำหรับรอบหนึ่งกับรอบสอง ก็คือหลี่เฟิงกับอาเฟย หลี่เฟิงเกิดในตระกูลซิงจีวานในมณฑลเหอเป่ย อายุเพียงแค่สิบเก้าปี แต่ว่าวิชากังฟูของเขาแท้ที่จริงก็ไม่เลว เวลาที่สวีเจิ้นหนานประลองกับเขาก็ไม่เกินสามรอบ


และอาเฟยมาจากเหอหนาน อาศัยอยู่ใต้ภูเขา เมื่อตอนอายุห้าขวบถูกพ่อส่งไปโรงเรียนฝึกวิชาศิลปะป้องกันตัวอยู่แปดปี


อย่ามองว่าอาเฟยมีรูปร่างอ้วนตุ๊ต๊ะ แต่เขามีหัวสมองที่ดีมาก ผลการเรียนถือว่าดีเยี่ยม เมื่อปีที่แล้วเขาเป็นคนที่มีคะแนนสูงสุดของเหอหนานที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยหวาชิงได้ สามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถทั้งด้านวิชาการและการต่อสู้ที่สมบูรณแบบ


แม้ว่าจะมีวิชากังฟูติดตัวนิดหน่อย เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆก็ยิ้มพร้อมกับผงกหัว ทั้งสองคนนี้เมื่อเทียบกับหลิวติงติงแล้วยังต่างกันอยู่เยอะมาก แต่ว่าพูดในฐานะเป็นนักศึกษา ก็ถือว่าสุดยอดมากแล้ว


หลังจากที่วางแผนเกี่ยวกับการจัดลำดับในการออกประลองเสร็จเรียบร้อยแล้ว สวีเจิ้นหนานส่งเสียงดังออกมาว่า “ไป พวกเราเข้าไปก่อน ยืนอยู่ตรงนี้รอต้อนรับพวกเขาหรือ”


“ใช่ ยืนอยู่ตรงนี้เดี๋ยวทำให้แรงอ่อนลงหรอก”


“ไป เข้าไปกันทุกคน จัดสนามประลองให้เรียบร้อยก่อน”


หลังจากที่ได้ยินคำพูดของสวีเจิ้นหนาน นักศึกษาห้าหกสิบคนก็เดินเข้าไปข้างในสนาม


สมาชิกของสมาคมวูซูมีเพียงแค่ยี่สิบกว่าคนเท่านั้น นอกนั้นก็เหมือนกับเยี่ยเทียน ตั้งใจว่ามาดูความสนุกสนาน เรียกได้ว่าเชียร์ลีดเดอร์ ผู้หญิงมีมากกว่าครึ่งหนึ่งของพวกเขา


ทุกคนในสนามแบดมินตันก็ช่วยกันพับตาข่ายเก็บลงมา ปูเบาะรองตรงกลางสนามหนึ่งชั้น หลังจากนั้นก็เอาเชือกมาขึงไว้สี่ทิศ หลังจากจัดสถานที่เสร็จแล้ว ทุกอย่างก็ดูดีและพร้อมสำหรับการประลอง


 ………


ตอนที่ 376 เทียบเชิญประลอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากที่ทุกคนจัดเตรียมสถานที่เสร็จเรียบร้อย สวีเจิ้นหนานก็ย้ายก้นของเขาไปนั่งข้างเยี่ยเทียน พูดด้วยความภาคภูมิใจว่า “เยี่ยเทียน เป็นไงบ้าง พี่ไม่ได้เล่นบาสแล้วแต่ฝึกมวยวูซูแทน คราวนี้ดูเหมือนเหมือนกับลมที่พัดน้ำเข้ามา”(เปรียบเทียบว่า คราวนี้ได้พบกับสิ่งที่ชอบและทำได้ดีกว่า)


กลุ่มนักบาสในมหาวิทยาลัยไม่เหมือนสมัยมัธยม คนมีฝีมือดีค่อนข้างเยอะ อีกทั้งส่วนสูงก็จำเป็นต้องมีความสูงมาก สวีเจิ้นหนานสูงแค่หนึ่งเมตรแปดสิบกว่า ๆ  ดังนั้นปะปนอยู่ในกลุ่มของนักบาสก็ไม่ค่อยสมปรารถนาสักเท่าไหร่ ไม่คิดมาก่อนว่าจะหาตำแหน่งของตัวเองเจอในชมรมวูซู


แม้ว่าจะไม่ใช่คนที่มีวิชาศิลปะป้องกันตัวมาก่อน แต่ว่าในชมรมวูซูแล้วความสามารถของสวีเจิ้นหนานก็ถือว่าแข็งแกร่งมาก ปีที่แล้วเมื่อพวกศิษย์เก่าเรียนจบไป เขาก็ได้กลายเป็นหัวหน้าคนปัจจุบันของชมรมวูซู แน่นอนว่าไม่ได้เลือกจากความสามารถในวิชากังฟู


“พี่ใหญ่ อย่าให้คนมาชกจนหน้าช้ำดำเขียวอีกละ”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมา จากประสบการณ์ของเขาและประสบการณ์ที่เคยรอดตายมาได้หลายหน ไม่เคยให้ความสนใจเกี่ยวกับการประลอง ถ้าเกิดว่าไม่ใช่เพราะสวีเจิ้นหนานต้องมา เขาก็จะไม่เสียเวลามานั่งให้กำลังใจอยู่ที่นี่หรอก


“พอแล้ว อย่าคิดว่าแกมีฝีมือคนเดียว สองปีที่ผ่านมาฉันก็ไม่ได้ฝึกโดยเปล่าประโยชน์”


สวีเจิ้นหนานหัวเราะกับคำพูดล้อเลียนของเยี่ยเทียน เขารู้ว่าเยี่ยเทียนมีวิชากังฟูติดตัว แต่ว่าระดับสูงขนาดไหน      สวีเจิ้นหนานเดาไม่ออก เพราะว่าต่อหน้าของเขา เยี่ยเทียนไม่เคยแสดงฝีมือออกมา


“พวกเขามาแล้ว หรงหรง พวกเธอนั่งอยู่ตรงนี้ดีแล้ว มาดูว่าฉันจะจัดการกับพวกเด็กผีพวกนี้อย่างไร”


ในขณะที่พูดอยู่ ก็มีเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาจากทางเข้าของชมรมวูซู ประมาณสี่ห้าสิบคน สวีเจิ้นหนานพอได้เห็นแล้วก็รีบลุกขึ้นมาต้อนรับ


เดินไปหาคนที่อยู่ด้านหน้าของกลุ่ม มีชายหนึ่งหญิงหนึ่งคน และมีคนที่อยู่ข้างหลังทั้งสองคนนี้ ดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บ ถูกพวกนักศึกษาประคองเข้ามาในสนาม


“พวกเขาโหดร้ายจริง ๆ”


คนที่อยู่ด้านหลังของพวกนั้น เยี่ยเทียนรู้สึกคุ้นหน้าตามาก กลับเป็นพวกฝรั่งมาราไกย์ทั้งสี่คน เยี่ยเทียนยิ้มไม่ออก ไม่รู้ว่าพวกเขาเข้ามาปะปนอยู่ภายในมหาวิทยาลัยหวาชิงได้อย่างไรกัน


“ช่างมันเถอะ ขอเพียงแค่อย่ามารบกวนตัวเองก็พอ พวกเขาจะทำอะไรก็ทำไป”


พอได้เห็นมาราไกย์นั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากมาย แต่ให้ความสนใจกับชมรมคาราเต้กลุ่มนั้น


“ทั้งหมดนี้เป็นนักศึกษาของหวาชิงหมดเลยหรือ’’


เมื่อได้เห็นชื่อเสียงและบารมีของฝั่งนั้นที่ไม่ได้น้อยไปกว่าฝั่งตัวเอง เยี่ยเทียนก็หันไปข้าง ๆถามอวี๋ชิงหย่า แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจอะไรมากกับการประลองครั้งนี้ แต่มันก็ยังค่อนข้างน่ารังเกียจเกี่ยวกับคนทรยศในหมู่เพื่อนร่วมชาติของเขา


อวี๋ชิงหย่าผงกหัว พูดว่า “ทั้งหมดเป็นนักศึกษาของหวาชิง แต่ว่าส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ คนจีนก็จะน้อยหน่อย”


“อื้อ ถ้างั้นก็แล้วไป” เมื่อได้ยินคำพูดของอวี๋ชิงหย่า เยี่ยเทียนก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา แม้ว่ามวยวูซูของจีนในยุคปัจจุบันจะลดลง แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกคนญี่ปุ่นจะสามารถมาข่มเหงรังแกได้


“มิยาโมโตะเคนตะ เป็นไรไป ฉันชนะแล้วยังไม่ยอมแพ้ ต้องให้คนมาช่วยหรือ”


ครั้งนี้สวีเจิ้นหนาให้คนไปต้อนรับฝั่งตรงข้ามเรียบร้อยแล้ว เขาไม่รู้จักคู่หนุ่มสาวที่เดินอยู่ด้านหน้านั้น แต่ว่าคำพูดนี้หมายถึงบอกกับคนที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ด้านหลัง


มองสวีเจิ้นหนานที่อยู่ตรงหน้า มิยาโมโตะเคนตะสีหน้าอาฆาตแค้น ตะโกนออกไปว่า “แกมันไม่มีจริยธรรมของผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ เตะท่อนล่างของฉัน ชนะแบบไร้ความยุติธรรม แกมันไม่มีจริยธรรมของผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้”


“นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”


สวีเจิ้นหนานที่อยู่ข้างหน้ายังไม่ได้พูดอะไร เยี่ยเทียนก็นิ่งอึ้งไปเลย เหตุผลชัดเจนเลยว่านี้ไม่ใช่การประลองธรรมดาแต่นี้เป็นการชำระแค้น


เว่ยหรงหรงที่นั่งอยู่ข้าง ๆอวี๋ชิงหย่าพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกไม่สบายใจว่า “ตอนที่พวกเขาประลองกัน เหมือนกับว่าสวีเจิ้นหนาพูดถึงท่อนล่างกันใช่ไหม”


“แม่ง ท่าเตะหยินพิฆาตหรอ ฮ่าฮ่า”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา แม้ว่าในการประลองครั้งนี้เดิมพันไม่ได้ แต่ว่าท่าเตะหยินพิฆาตแท้จริงแล้วสามารถเอาชนะฝั่งตรงข้ามได้ถึงแม้จะเป็นเทคนิคที่แปลก


ท่าเตะหยินพิฆาตคือการใช้เท้าโจมตีไปที่หว่างขาของคู่ต่อสู้ ความเจ็บปวดเกินต้านทาน หนักสุดอาจทำให้เสียชีวิต สิ่งที่น่าอับอายที่สุดที่คนไม่ค่อยกล่าวถึงก็คือ หลังจากได้รับบาดเจ็บแล้วยังทำให้อวัยวะเพศเสียหายอีกด้วย ทำให้ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ สุภาษิตกล่าวว่า สูญพันธุ์


ในยุทธภพ พูดหรือเขียนชี้แนะให้เห็นก็พอ ไม่สามารถทำได้เพราะผิดแนวคิดจริยธรรมของผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ เทคนิคแบบนี้แท้จริงแล้วก็คือหน้าเนื้อใจเสืออย่างที่สุด แต่ว่าสวีเจิ้นหนานก็ไม่ใช่คนในยุทธภพ ใช้เทคนิคนี้กับคนญี่ปุ่น เยี่ยเทียนก็สนับสนุนเห็นด้วย


เสียงหัวเราะของเยี่ยเทียนดังมากกว่าเดิม ทำให้คนที่อยู่ในสนามต้องหันมามอง คนญี่ปุ่นที่ยืนอยู่หน้าสุดมีสีหน้าที่โกรธเคือง พูดภาษาจีนแบบแข็งกระด้างออกมาว่า “ไอ้พวกคนจีน ไม่รู้จักมารยาท”


“เฮ้ ฉันนะ ฉันหัวเราะแล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับแก” เยี่ยเทียนอารมณ์ไม่ดีพูดออกไปว่า “หมัดและเท้าไร้ความปราณี อาวุธที่มองไม่เห็น ประลองแพ้แล้วก็แพ้ไป ยังจะหาเหตุผลอะไรมากมายอีกเพื่ออะไรกัน”


“พูดได้ดี ถ้ากลัวแพ้ก็ไม่ต้องประลองแล้วสิ”


“ก็เพราะว่า หัวหน้าชมรมของพวกเราบาดเจ็บยังไม่หายดี พวกเราก็ไม่ได้พูดอะไรเสียหน่อย”


“คนญี่ปุ่นไม่เคยยอมแพ้ มีปัญญาแล้วค่อยมาประลอง จะว่าไปแล้วหัวหน้าก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะเตะท่อนล่างของเขา”


เยี่ยเทียนพูดออกไป คนของฝั่งสวีเจิ้นหนานก็ส่งเสียงดังขึ้นมา “ว่ากันว่าถ้าเตะไปหว่างขาของฝั่งตรงข้ามก็จะทำให้เขาไม่มีแรงตอบโต้ เดิมทีทำให้คนในชมรมวูซูรู้สึกไร้ศักดิ์ศรี” พอเยี่ยเทียนพูดอกไป ก็ทำให้เกิดเปลี่ยนแปลงขึ้นมา


จริง ๆแล้วตอนนั้นสวีเจิ้นหนานไม่ได้ตั้งใจ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมิยาโมโตะเคนตะ หลังจากที่ล้มลงอยู่หลายครั้งพร้อมกับหน้าก็โดนต่อยไปสองหมัด ตอนนั้นจะจำอะไรได้บ้าง เตะออกไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ก็ดันไปโดนน้องชายของมิยาโมโตะเคนตะเข้าแล้ว


หลังจากได้ยินฝั่งตรงข้ามส่งเสียงออกมา ดวงตาดำ ๆของมิยาโมโตะเคนตะ เหมือนกับจะเป็นลม ตะโกนเสียงดังออกมาว่า “พวกแก พวกไร้ยางอาย”


เมื่อวันก่อนหลังจากที่ถูกเท้านี้เตะ มิยาโมโตะเคนตะก็รู้สึกร่างกายไม่สบายตลอด พอตกกลางคืนก็ปวดจนทนไม่ไหว กลางดึกก็ต้องถูกส่งไปที่โรงพยาบาลตรวจดู แต่กลับเกิดเรื่องที่สะเทือนใจไม่คาดฝันเกิดขึ้น เขามีโอกาสที่จะเสื่อมสมรรถภาพในการให้กำเนิดบุตร


มิยาโมโตะเคนตะเป็นญาติห่าง ๆของวงศ์ตระกูลคิตะของญี่ปุ่น แม้ว่าจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับวงศ์ตระกูล ถึงแม้ว่ามิยาโมโตะเคนตะจะไม่ใช่ญาติสายตรงแต่ก็มีความสัมพันธ์เป็นญาติห่าง ๆ ถ้าเกิดว่าเขาเสื่อมสมรรถภาพในการให้กำเนิดบุตรจริง ก็จะทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตอย่างแน่นอน


“น้องชาย ไม่จำเป็นต้องคุยกับพวกเขาให้มากมาย คนจีนมีสุภาษิตโบราณว่า ทักษะที่แท้จริงคือกังฟูที่ยอดเยี่ยม” มิยาโมโตะเคนตะที่กำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ก็กลับถูกวัยรุ่นที่อยู่ข้าง ๆเขาดึงเอาไว้


“ใช่ พี่ชาย ทั้งหมดนี้ คงต้องฝากไว้กับพี่แล้ว” หลังจากที่ได้ยินคำพูดของวัยรุ่นคนนั้น มิยาโมโตะเคนตะอดกลั้นความปวดที่หว่างขาของเขาไว้อย่างสุดแรง หนีบทั้งสองขาเข้ามา โค้งคำนับไปที่คนตรงหน้าเขา


“ไว้ใจฉันเถอะ”


คนนั้นก็ตบไปที่บ่าของมิยาโมโตะเคนตะ เดินก้าวไปข้างหน้า พูดว่า “ฉันคือคิตะทาโร่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยกรุงโซลในเกาหลี ใต้ และยังเป็นหัวหน้าชมรมคาราเต้และเทควันโด้ของมหาวิทยาลัยกรุงโซล ฉันอยากเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยกรุงโซล อยากจะขอคำแนะนำสักหน่อยเกี่ยวกับมวยวูซูของจีนมหาวิทยาลัยหวาชิง”


“คิตะทาโร่?.


หลังจากที่ได้ยินชื่อนี่ เยี่ยเทียนก็หรี่ตาขึ้นมา ชื่อนี้ตัวเขาเองก็ไม่รู้จัก แต่ทุกครั้งที่มีความรู้สึกถึงการฆ่ากัน เยี่ยเทียนก็จะหรี่ตาโดยไม่รู้ตัว


อยู่ที่ญี่ปุ่น แม้ว่าจะมีคนชื่อคิตะเยอะ แต่สำหรับครอบครัวของศิลปะการต่อสู้ จะมีเพียงตระกูลสำนักดาบคิตะมิยะ เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าวัยรุ่นที่อยู่ในสนามคนนั้น กับตระกูลสำนักดาบคิตะมิยะมีความสัมพันธ์อะไรกันหรือเปล่า


“ดี ก็ยึดตามที่เทียบเชิญประลองเขียนเอาไว้ สามรอบชนะสอง คนที่จะประลองสามคนของพวกแกมีใครบ้าง” สวีเจิ้นหนานไม่อยากจู้จี้ฝั่งตรงข้ามต่อแล้ว พูดถึงเรื่องที่เตะไปที่หว่างขาของคนอื่น เขาก็มีความรู้สึกเสียศักดิ์ศรีนิดหน่อย


“ฉันกับพี่พัคจุนฮีจะประลอง”


ทำให้ทุกคนคิดไม่ถึงเลยว่า ผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆคิตะท่าโร่คนนั้นจะร่วมประลองกับเขา อีกทั้งผู้หญิงคนนั้นก็เป็นคนเกาหลี


“อะไรที่ทำให้คนเกาหลีกับคนญี่ปุ่นดีต่อกันแล้วนะ”


เยี่ยเทียนที่นั่งอยู่ในสนามเมื่อได้ยินแล้วก็เกิดอาการงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง อย่าลืมว่าเกาหลีได้ถูกญี่ปุ่นทรมานและบีบบังคับอย่างมากในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยใช้ประเทศจีนเป็นฐาน คนเกาหลีทั่วไปมักจะเป็นศัตรูกับญี่ปุ่น แต่ว่าเหตุผลอะไรกันที่สาวเกาหลีคนนี้ถึงช่วยคิตะทาโร่ในการประลองครั้งนี้


“ฉันมีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง”


คิตะทาโร่ทันใดนั้นก็ชี้ไปที่เยี่ยเทียน พูดว่า “ขอยึดตามคำพูดที่นักศึกษาคนนั้นได้กล่าวไว้ว่า อาวุธที่มองไม่เห็นหมัดและเท้าไร้ความปราณี ถ้าเกิดว่าทั้งสองฝั่งเกิดอาการบาดเจ็บอะไร ไม่อนุญาตให้ซักถามความรับผิดชอบแทนฝั่งตรงข้าม ถ้าเกิดว่าทุกคนตกลง การประลองก็สามารถเริ่มได้”


“ใครกลัวใครกันแน่ พวกเราจะไม่เป็นเหมือนกับมิยาโมโตะเคนตะ”


“ก็ใช่ไง ลูกพี่สวี ตอบพวกเขากลับไป หลังจากนั้นค่อยเตะส่งพวกเขาสักหน่อย”


“ไปตายไป ไม่เห็นเหรอว่ามีเด็กผู้หญิงอยู่ ท่าเตะหยินพิฆาตใช้กับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้”


คำพูดของคิตะทาโร่ทำให้ชมรมวูซูฝั่งนี้เกิดความฮือฮาขึ้นมา พวกเขาต่างก็อายุประมาณยี่สิบต้น ๆ เป็นลูกวัวที่ไม่กลัวเสือ


“อยากให้ในสนามมีการประลองที่ดุเดือดถ้าเป็นอย่างนั้นได้ถึงจะน่าดูขึ้นมาหน่อย”


“ได้ ฉันรับเงื่อนไขของแก” เมื่อได้ยินเสียงปลุกระดมของทุกคนในชมรมวูซู สวีเจิ้นหนานรู้สึกอารมณ์เดือดพล่าน เอ่ยปากรับคำ


อาเฟยและหลี่เฟิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ แต่ว่าสวีเจิ้นหนานรับปากไปแล้ว พวกเขาทั้งสองก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีกแล้ว


“ถ้าอย่างนั้นก็ดี พวกเรามาเขียนสัญญากันเถอะ เมื่อถึงเวลาฝั่งตรงข้ามจะได้ไม่ก่อกวน”


คิตะทาโร่สีหน้าเย็นชาพูดขึ้น คนที่อยู่ด้านหลังก็ส่งมอบเทียบเชิญประลองหนึ่งใบขึ้นมา เหมือนกับที่พวกสวีเจิ้นหนานได้รับก่อนหน้านี้เป๊ะ ๆ


หลังจากที่คิตะทาโร่ได้เขียนคำพูดลงไปเรียบร้อยแล้ว เซ็นชื่อของตัวเอง ส่งมอบเทียบเชิญให้สวีเจิ้นหนาน


“เขียนก็เขียน ใครกลัวใครกันแน่”


สวีเจิ้นหนานก็ไม่ได้โง่ ภายในใจรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่ว่าในตอนนี้อยู่บนหลังเสือก็ยากที่จะลงมา ถ้าเกิดว่าถอยแล้วก็ ถ้าข่าวแพร่ออกไปก็ไม่มีหน้าจะจัดตั้งชมรมมวยวูซูนี้อีกแล้ว


โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝั่งตรงข้ามเป็นคนญี่ปุ่น ก็ยิ่งจะขายหน้าไม่ได้เลย สวีเจิ้นหนานรับเทียบเชิญนั้นมาแล้ว ดูผ่าน ๆข้อความเหล่านั้น เซ็นชื่อพร้อมกับกัดฟันไปด้วย


“เฮ้  พี่ใหญ่นี้โง่จริง ๆ” เมื่อได้เห็นเหตุการณ์นี้ เยี่ยเทียนส่ายหัวไปมา สวีเจิ้นหนานฝึกวิชามวยวูซูมาสองปี ยังคิดว่าตัวเองจะไร้ศัตรูต่อกรด้วยได้


เทียบเชิญประลองถูกวางอยู่บนโต๊ะกลางสนาม คิตะทาโร่ชี้ไปทีสวีเจิ้นหนาน ตะโกนเสียงดังว่า “เริ่ม รอบแรก ฉันจะท้าประลองกับแก”


พวกแกกลัวว่าฉันจะไม่กล้าลงมือ เมื่อได้เห็นฝั่งตรงข้ามท้าประลองตัวเอง สวีเจิ้นหนานรู้สึกร้อนในใจ ทันใดนั้นก็ถอดเสื้อออก


หลี่เฟิงรู้สึกตั้งแต่แรกแล้วว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ก็รีบดึงสวีเจิ้นหนาน พูดว่า “ลูกพี่สวี ให้ฉันไปก่อน ทำตามแผนของพวกเราเถอะ


 ………


ตอนที่ 377 พัคจุนฮี

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนหลี่เฟิงอายุสี่ขวบยืดขาดึงเส้นเอ็นกับพ่อ ตอนอายุหกขวบเริ่มฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ที่ถ่ายทอดจากตระกูล เพียงแต่ว่ามวยวูซูในปัจจุบันนค่อนข้างเสื่อมลง เขาใช้เวลานานมากเพื่อศึกษา


แต่ถึงอย่างนั้น ตลอดทั้งปีที่ฝึกฝนมวยวูซูก็ทำให้หลี่เฟิงมีความรู้แตกต่างจากคนธรรมดา เวลานี้เขาก็สังเกตได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคิตะทาโร่ดูเหมือนว่าภายในร่างกายจะมีสัตว์ที่ดุร้ายแฝงอยู่หนึ่งตัว ทำให้ภายในใจเขามีความรู้สึกเหมือนตกอยู่ในวิกฤตกาลขึ้นมา


ดังนั้นหลี่เฟิงที่รู้สึกตัวจึงรีบดึงสวีเจิ้นหนานเอาไว้ เพราะเขารู้ว่า สวีเจิ้นหนานถ้าหากว่าขึ้นไปประลองแล้วอาจไม่ตาย แต่ว่าเขาต้องได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสแน่นอน เทียบเชิญประลองของฝั่งตรงข้ามได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามันคือกับดัก


ตกลง หลี่เฟิง ระวังตัวด้วย


ถึงแม้ว่าสวีเจิ้นหนานจะถูกกระตุ้นได้ง่าย แต่ว่าเขาก็ไม่ใช่คนโง่ อีกทั้งเขายังรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ของฝั่งตรงข้าม เพื่อตัวเอง ทันใดนั้นก็พูดกับคิตะทาโร่ว่า สามรอบชนะสอง ฝั่งของฉันขอส่งหลี่เฟิงขึ้นไปประลองก่อนในรอบแรก


เป็นไปตามแผน สวีเจิ้นหนานทำแบบนี้ก็ทำให้ไม่มีเหตุผลที่ต้องวิจารณ์ติเตียน ถึงแม้ว่าคิตะทาโร่ก็ไม่มีอะไรจะพูด


หลังจากที่จ้องสวีเจิ้นหนานอยู่ครู่หนึ่ง คาดไม่ถึงว่าคิตะทาโร่ก็จะถอยหลังมาหนึ่งก้าว แล้วพูดกับผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆว่า พี่พัคจุนฮี รอบแรกและรอบสอง คงต้องรบกวนพี่แล้วนะครับ


พัคจุนฮีมองไปที่คิตะทาโร่ ไม่ได้แสดงถึงความเลื่อมใสอะไรมากนัก พูดเป็นภาษาเกาหลีว่า คิตะทาโร่ แกต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน ฉันติดตามสำนักดาบคิตะมิยะ ไม่ใช่คนรับใช้ที่บ้านของแก


พี่พัคจุนฮี ฉันว่าพี่เข้าใจผิดแล้ว คนจีนดูถูกวิชาคาราเต้และวิชาเทควันโดของคนเกาหลีอย่างพวกพี่ พวกเราก็แค่ทำเพื่อชื่อเสียงของตัวเองเท่านั้น


คิตะทาโร่โค้งคำนับให้พัคจุนฮี แล้วพูดต่อว่า พวกเราตระกูลคิตะที่กำลังจะซื้อบริษัท เจ็ดดาวอิเล็กทรอนิกส์จากประเทศเกาหลี อย่างไรก็ต้องฟังความคิดเห็นของตระกูลพัคก่อนค่อยตัดสินใจ พี่พัคจุนฮี ฝากด้วยนะครับ


กับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า จริง ๆ แล้วคิตะทาโร่ไม่กล้าใช้น้ำเสียงที่เหมือนกับออกคำสั่ง


ไม่ใช่เพราะว่าผู้หญิงคนนี้เป็นหลานสาวของปรมาจารย์พัคจองแทชมรมเทควันโด้ของเกาหลีเท่านั้น แต่ยังเป็นลูกศิษย์วิชาฟันดาบของคนในตระกูลคิตะมิยะที่มีชื่อเสียงคนนั้น คอยติดตามเขาโดยเฉพาะ


ตามคำพูดของคนที่มีชื่อเสียงในตระกูลคนนั้นกล่าวไว้ พัคจุนฮีมีพรสวรรค์มาก ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คนญี่ปุ่น แต่ก็ได้รับการถ่ายทอดและสืบสานจากเขา คิตะทาโร่เองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ


เมื่อได้ยินคิตะทาโร่พูดถึงธุรกิจของตระกูล พัคจุนฮีใช้สายตาที่เลี่ยงไม่ได้จำใจพูดว่า “ตกลง ฉันจะประลองแค่รอบแรก ที่เหลือฉันก็ไม่สนใจละ”


วิกฤตการณ์ทางการเงินในปีนี้ของทวีปเอเชียส่งผลกระทบอย่างมากให้กับเกาหลี เนื่องจากปู่ของพัคจุนฮี พัคจองแทอยู่ที่ญี่ปุ่นมีเส้นสายเยอะมาก ดังนั้นธุรกิจของพัคจองแทกับญี่ปุ่นก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ


แต่ตอนนี้ตระกูลพัคกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากจะควบคุม มีธุรกิจหลายประเภทที่ฝ่ายญี่ปุ่นต้องการถอนเงินทุนกลับไป ดังนั้นทั้ง ๆที่รู้ว่าคิตะทาโร่กำลังใช้อำนาจคุกคาม แต่ว่าพัคจุนฮีกก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องขัดขืน


“คิตะฮิโร ชิงหย่า เธอไม่ได้ยินมาผิดใช่ไหม จริง ๆแล้วว่าเป็นชื่อคิตะฮิโรจริง ๆ”


พัคจุนฮีและคิตะทาโร่ใช้ภาษาเกาหลีคุยกันตลอด แต่ว่าพวกเขาคิดไม่ถึงว่า อวี๋ชิงหย่าอยู่คณะวารสารศาสตร์ นอกจากภาษาอังกฤษแล้ว วิชาเลือกของเธอก็คือภาษาเกาหลีกับภาษาญี่ปุ่น


ดังนั้นตอนที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน อวี๋ชิงหย่าก็ฟังแล้วก็แปลให้เยี่ยเทียนตลอด แต่พอได้ยินชื่อ คิตะทาโร่ ดวงตาของเยี่ยเทียนก็กลายเป็นสายตาดุดันขึ้นมาทันที


“เยี่ยเทียน เธอเป็นอะไร”


อวี๋ชิงหย่าที่นั่งข้าง ๆเยี่ยเทียน มีความรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาทันที หันกลับไปเห็นเยี่ยเทียนกำลังหัวเราะ ไม่ได้ตั้งใจทำให้ตกใจ


“ฉันไม่เป็นอะไร ก็แค่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจกับคนญี่ปุ่นเท่านั้นเอง” เยี่ยเทียนส่ายหัวไปมา แต่กลับไม่ได้พูดอะไร แต่ว่าสายตาจ้องมองคนที่เพิ่งออกมา


“ฉันชื่อพัคจุนฮี วิชาเอกคือศิลปะการใช้ดาบ เป็นนักเทควันโดสายดำห้าเส้น ฝากเนื้อฝากตัวด้วย”


หลังจากพัคจุนฮีตอบคิตะทาโร่ ก็ไม่ได้พูดอะไรไร้สาระ ถอดเสื้อคลุมและรองเท้าออก สวมใส่เสื้อสำหรับการประลองสีขาวทั้งตัว


สายดำห้าเส้น เมื่อได้ยินพัคจุนฮีแนะนำตัวเสร็จแล้ว หลี่เฟิงสูดหายใจเข้าหนึ่งที


สำหรับเทควันโด้ หลี่เฟิงก็มีความเข้าใจอยู่บ้าง แม้ว่าในสายตาคนภายนอก การเตะของเทควันโดนั้นมีลีลาที่สวยงาม มีเทคนิคที่แสดงมากมาย การเตะสูงจึงไม่เหมาะกับการต่อสู้จริงจริง ไม่มีการฝึกใช้กำปั้นและหมัด


แต่การได้สายดำห้าเส้นจากชมรมเทควันโด้ แล้วนำมาผสมเทคนิคคาราเต้ของญี่ปุ่น ก็ไม่ธรรมดาอย่างที่ทุกคนคิดแล้ว


ฝั่งตรงข้ามที่อายุยังน้อยแต่ก็สามารถบรรลุถึงสายดำห้าเส้นแล้ว หลี่เฟิงก็เลิกดูถูกเพราะว่าอีกฝั่งคือผู้หญิง พูดว่า


“หลี่เฟิงผู้ที่ได้รับการสืบถอดวิชามวยจากเหอเป่ย โปรดสั่งสอนด้วย”


เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้คู่ต่อสู้ทั้งสองฝั่งได้รับบาดเจ็บ ชมรมวูซูก็ได้ปูเบาะรองหนา ๆเอาไว้หนึ่งชั้น เพียงแต่ว่าท่าเตะ หยินพิฆาตของพี่ใหญ่สวีจะรุนแรงมาก เบาะรองนี้จึงไม่สามารถปกป้องหว่างขาของมิยาโมโตะเคนตะไว้ได้


หลังจากที่หลี่เฟิงและพัคจุนฮีเดินไปที่กลางสนาม ยกหมัดขึ้นทั้งสองฝั่ง แล้วถอยหลังกันไปคนละก้าว เท้าทั้งสองข้างของหลี่เฟิงแนบชิดไม่ขยับ


แต่ทว่าพัคจุนฮีสองเท้าขยับหน้าหลังไปมา ค่อย ๆเขยิบตัวเข้ามาข้างหน้า มือทั้งสองตั้งไว้ตรงอก นี่เป็นท่าป้องกันของเทควันโด้ที่สามารถเห็นได้บ่อยจากทีวี


เมื่อเยี่ยเทียนได้เห็นก็ได้ข้อสรุปออกมา ผงกหัวพูดว่า หลี่เฟิงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้หญิงคนนี้


“เยี่ยเทียน ยังไม่เริ่มประลองเธอก็รู้แล้วหรือ แค่นี้ก็เดาออกแล้วหรือ”


หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เว่ยหรงหรงก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ อย่างไรก็ตามหลี่เฟิงก็อยู่ในมหาวิทยาลัยนี้ เยี่ยเทียนจะไปรู้อะไรถึงจิตใจอันเด็ดเดี่ยวแนวแน่ของคนอื่น คิดว่าตัวเองน่าเกรงขามหรือไง


“มันไม่น่าอายหรอก ถ้าฝีมือสู้เขาไม่ได้ เธอดูแล้วก็จะรู้เอง”


 เยี่ยเทียนไม่อยากที่จะโต้เถียงกับเว่ยหรงหรง ที่เขาพูดแบบนั้นออกไปก็มีเหตุผลของตัวเอง


คู่ต่อสู้ทั้งสองฝั่ง คนหนึ่งทำงานหนักที่บ้านตั้งแต่ยังเด็ก อีกคนฝึกฝนทุกวัน จุดประสงค์เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกาย อย่างนี้ก็เทียบกันไม่ได้แล้ว


หลังจากที่พัคจุนฮียืนนิ่ง เยี่ยเทียนสังเกตผ่านกล้ามเนื้อของแขนและต้นคอของพัคจุนฮี  พบว่าเส้นลมปราณของเธอมีเส้นเอ็นใหญ่อันหนึ่งกำลังตึงขึ้นมา แต่กลับซ่อนอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง


คนข้าง ๆไม่มีใครดูออก แต่ว่าเยี่ยเทียนรู้ ว่านี่คือการกระจายเลือดลมภายในร่างกายไปเติมเต็มพลังให้มือและเท้าทั้งสี่หลัง


หลังจากที่เรียนกังฟูมาถึงขั้นนี้แล้ว เอ็นและกระดูกชองฝั่งตรงข้ามก็จะทั้งนิ่มและเหนียวเป็นพิเศษ ทั้งยืดทั้งรัด ในขณะที่ประลองอยู่นั้น ชั่วพริบตาเดียวเลือดลมก็จะปะทุ ประสิทธิภาพในการต่อสู้จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก


อีกทั้งเมื่อพัคจุนฮีตั้งท่าของเทควันโด้ ข้างในยังแฝงไว้ด้วยท่าทางของคาราเต้ ขาทั้งสองของเธอไม่ได้กางออกอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ว่าเก็บหัวเข่า ขาทั้งสองที่ถอดรองเท้าออกไปแล้วนิ้วเท้าทั้งห้า วางนาบไว้บนเบาะรองอย่างแน่น


ท่าทางแบบนี้ดีต่อการส่งพลัง เพียงแค่ต้องพยายามออกแรงเท้า เท้าหลังก็จะดีดตัวออกเหมือนแส้ อีกทั้งอาศัยพละกำลังของช่วงเอวและสะโพก มันสามารถระเบิดพลังทั้งหมดออกมา


หลี่เฟิงแม้ว่าแหล่งที่มาของการฝึกก็คือครอบครัว ต่อจากนั้นก็มาฝึกวิชามวย จุดประสงค์ก็เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง จึงมีการวางท่าทางที่เรียบง่าย เมื่อเทียบกับผู้หญิงคนนั้น กลับอ่อนแอกว่ามาก ไม่ต้องประลองเยี่ยเทียนก็รู้แล้วว่าใครแพ้ใครชนะ


“หื้อ”


เยี่ยเทียนเพิ่งพูดออกไป พัคจุนฮีก็เคลื่อนไหวขึ้นมาทันที เห็นแต่ว่าเธอใช้แรงเท้าหน้า สองมือดั่งสายฟ้าแลบคว้าไปที่คอเสื้อของหลี่เฟิง ทันใดนั้นก็เอียงตัวเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะใช้ไหล่เพื่อให้หลี่เฟิงเสียการทรงตัว


หลี่เฟิงไม่รู้จักกระบวนท่าของฝั่งตรงข้าม เมื่อถูกพัคจุนฮียจับมือขวาดึงเข้ามา แล้วดันฝ่ายตรงข้ามมาอยู่ทางด้านซ้าย ตัวเองก็ถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว


“แย่แล้ว เจ้าหมอนี่ไม่รู้หรอว่าเทควันโด้ส่วนใหญ่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์จะใช้แต่เท้า”


พอได้เห็นหลี่เฟิงถอยหลังไปหนึ่งก้าว ทำให้ทิ้งระยะห่างหนึ่งก้าวกับฝั่งตรงข้าม เยี่ยเทียนตะโกนออกมาด้วยความกลุ้มใจ ตอนแรกคิดว่าหลี่เฟิงจะไม่รู้เทคนิคในการจัดการผู้หญิงคนนั้น แต่ไม่คิดเลยว่าถ้าเกิดพลาดไปแค่นิดเดียว ก็คาดเดาได้ว่าจะถูกน๊อคเอ้าท์ได้


การเปลี่ยนแปลงบนเวทีประลองเป็นไปตามที่เยี่ยเทียนคาดเดาไว้ หลังจากที่พัคจุนฮีกางมือทั้งสองข้างออก ดูเหมือนว่าสภาพร่างกายของเธอจะไม่ค่อยดีถือโอกาสหมุนตัวไปทางซ้ายมือหนึ่งรอบ


แต่ในขณะเดียวกันที่หมุนตัว เท้าซ้ายของพัคจุนฮีที่ประคองเอาไว้ ใช้ตัววาดลวดลายเส้นโค้งหนึ่งเส้น ขาขวาเตะกลับอย่างสวยงาม เตะเข้าไปที่แก้มของหลี่เฟิงเต็ม ๆ


การเตะครั้งนี้พัคจุนฮีอาศัยแรงช่วงเอวและสะโพก เมื่อเทียบกับหมัดของคนธรรมดาพลังก็ยังเหนือกว่า หลี่เฟิงถูกเตะจนหน้าหงาย ล้มลงนอนอยู่กลางเบาะรอง


“หลี่เฟิง เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม”


ผลลัพธ์นี้มันกะทันหันเกินไป กระทันหันจนคนที่อยู่ในสนามร้อยกว่าคนก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร แม้ว่าพวกคิตะทาโร่ ก็ไม่ได้ส่งเสียงโห่ร้องแสดงความดีใจ


ผ่านไปประมาณสี่ห้าวินาที หลี่เฟิงที่อยู่บนเบาะก็ขยับตัว สวีเจิ้นหนานเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน รีบพุ่งเข้าไป ประคองหลี่เฟิงขึ้นมา


แก้มซ้ายของหลี่เฟิงบวมมาก สายตาก็รู้สึกพร่ามัว พอถูกเตะแล้วทำให้เขาเกิดอาการวิงเวียน หลังจากที่สวีเจิ้นหนานประคองเขาแล้วเซไปเซมา หลี่เฟิงก็ได้สติกลับมา


“พี่ใหญ่สวี ฉัน ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ” หลี่เฟิงเอ่ยปาก ฟันซี่หนึ่งผสมกับเลือดก็หลุดออกมา เท้าที่เตะเมื่อกี้เห็นได้ว่าฝั่งนั้นเอาจริงแค่ไหน


แต่ว่าหลี่เฟิงก็รู้ ฝั่งตรงข้ามจริง ๆแล้วยังอ่อนแรงเท้าให้ ถ้าไม่อย่างนั้นโดนแรงเท้านี้ไปเขาอาจพูดไม่ได้เลย มันง่ายมากถ้าจะเตะให้หัวเขาสั่น


“ไม่เป็นไร หลี่เฟิง เธอพยายามเต็มที่แล้ว ไว้พี่น้องทุกคนจะช่วยเธอแก้แค้นเอง”


สวีเจิ้นหนานแม้ว่าจะพูดออกมาอย่างแข็งแกร่ง แต่ภายในใจนั้นกลับไม่มีอะไรเลย อาศัยสายตาของเขา กับเมื่อครู่ที่มองเท้าที่เตะออกมาก็ดูไม่ออก ถ้าหากขึ้นไปแล้วลงมาจากสนามอาจน่าเวทนายิ่งกว่าหลี่เฟิง


“ฉันประลองเสร็จแล้ว เรื่องของข้างล่างฉันก็ไม่สนใจแล้ว”


ในช่วงเวลาที่สวีเจิ้นหนานประคงหลี่เฟิงลงมาจากสนาม ไม่รู้ว่าควรจะเป็นตัวเองที่ขึ้นไปประลองหรือว่าอาเฟยดี พัคจุนฮีกลับทิ้งท้ายคำพูดไว้ หันหลังกลับไปใส่รองเท้าแล้วเดินออกไปจากสนาม


“ไม่ประลองแล้ว”


ชมรมวูซูกับผู้หญิงคนนี้ ท่าทางของเธอที่ทำให้พวกเขายังหาคำตอบไม่ได้ หลี่เฟิงมีฝีมือดีอันดับหนึ่งของชมรมวูซู แต่ว่าสู้ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ คนที่เหลือก็ทำได้เพียงยอมแพ้ แต่กลับไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงเดินออกไปจากสนาม


………..


ตอนที่ 378 ไกล่เกลี่ย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เยี่ยเทียน ถ้าผู้หญิงคนนั้นเก่งขนาดนี้ แล้วคนญี่ปุ่นคนนั้นจะไม่เก่งกว่าอีกหรือ”


เมื่อครู่ที่การประลองของหลี่เฟิงออกมาอย่างอย่างใสสะอาด ทำให้ใจของเว่ยรงหรงเกิดความกังวลขึ้นมาแล้ว เธอกลัวว่าแปรงสีฟันทั้งสองอันของแฟนเธอนั้นไม่น่าจะเพียงพอแล้ว


แต่ก่อนสวีเจิ้นหนานไม่เคยเจอกับคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือมากเท่านี้ อาจเป็นเพราะว่านี้คือมหาวิทยาลัย อีกทั้งยังเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีอันดับหนึ่งของประเทศ ผู้มีฝีมือสูงของยุทธภพไม่มีทางที่จะมาทำอะไรในที่แบบนี้แน่นอน


“คนญี่ปุ่นนั้นสู้สาวเกาหลีไม่ได้”  เยี่ยเทียนผงกหัว


“แต่ถ้าสู้กับพี่ใหญ่ สามหรือห้ารอบก็พอไหว” หลังจากที่เยี่ยเทียนพูดออกมาแบบนั้นก็ทำให้สีหน้าของเว่ยรงหรงเปลี่ยนไป


“เธอไม่ประลองต่อแล้วหรือ ทำไมลงมาแล้วละ”


“ลงมาก็ดีแล้ว อย่างไรหลี่เฟิงก็สู้เธอไม่ได้ ”


“ผู้หญิงคนนั้นสุดยอดมาก แค่เตะทีเดียวก็ทำให้หลี่เฟิงล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว ฉันว่าอาเฟยก็สู้เธอไม่ได้”


หลังจากที่บรรยากาศเงียบสงัดในตอนแรก คนในชมรมวูซูเริ่มที่จะส่งเสียงถกเถียงกันขึ้นมา เมื่อมองไปที่สาวเกาหลีที่สวยและเยือกเย็นและมีสายตาที่น่ากลัวคนนั้น


ไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะเป็นคิตะทาโร่เองที่จะขึ้นประลองเอง  ทำให้คนในชมรมวูซูเริ่มจะเข้าใจขึ้นมาแล้วว่า การะประลองครั้งนี้จะไม่มีจุดสิ้นสุด เพียงแต่ว่าฝั่งตรงข้ามจะเปลี่ยนคนไปเรื่อย ๆก็เท่านั้นเอง


“ฉัน ฉันจะประลองกับแก”


 คิตะทาโร่ยืนอยู่ตรงกลางสนาม ใช้นิ้ว ชี้มาที่สวีเจิ้นหนาน จากนั้นค่อย ๆ งอนิ้วมือของเขา


หลีเฟิงที่เมื่อครู่ที่โดนพัคจุนฮีเตะน็อคคว่ำด้วยเท้าเดียว เมื่อได้ยินคำพูดของคิตะทาโร่ก็รีบดึงสวีเจิ้นหนานเอาไว้ พูดว่า


“พี่ใหญ่สวี อย่าไปสู้กับเขา ให้อาเฟยไปเถอะ”


“ไม่ได้ เขาต้องการสู้กับฉัน ฉันจะไป”


สวีเจิ้นหนานถูกคิตะทาโร่ยั่วโมโห ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าเกิดว่าตัวเองไม่ขึ้นไปประลอง วันหลังก็จะไม่มีหน้าอยู่ในชมรมวูซูอีกแล้ว


“แย่แล้ว พี่ใหญ่จะขึ้นไปประลองจริง ๆหรือ”


 เยี่ยเทียนที่นั่งอยู่ข้างสนามส่ายหัวไปมาแล้วลุกขึ้นยืน


ถือว่าผู้ที่โง่เขลาคือผู้ที่ไม่หวาดหวั่นใด ๆ ทั้งสิ้นจริง ๆ  แม้ว่าวิชาการต่อสู้ของคนญี่ปุ่นนั้นจะด้อยกว่าสาวเกาหลี แต่ว่าสวีเจิ้นหนาน ไม่จำเป็นต้องไปประลองให้เสียแรงเปล่า


คาราเต้แต่เดิมมีชื่อเรียกจริง ๆว่ายูโด มีการรวมเทคนิคต่าง ๆในวิทยายุทธ์ของจีนไว้ด้วย เช่น การเตะ การตี การทุ่ม การโถมตัวเข้าใส่ การล็อก การบิด การเตะกลับ การจี้จุด บางสำนักยังฝึกการใช้อาวุธอีกด้วย


เหมือนกับวิชาการต่อสู้ของตระกูลคิตะ ให้ความสำคัญมากกับฝีมือในการใช้ดาบและเคนโด สำหรับคาราเต้ เป็นเพียงแค่ความรู้พื้นฐานของลูกหลานเท่านั้นเอง ถ้าหากว่าลูกหลานเหล่านี้มีพรสวรรค์แล้ว ก็จะถูกถ่ายทอดเคล็ดวิชาประจำตระกูลให้


แม้ว่าคิตะทาโร่จะเป็นสายเลือดของตระกูล ตั้งแต่เด็กแสดงให้เห็นถึงความสามารถทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยม นั้นเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงได้เรียนแต่คาราเต้ ไม่ได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาประจำตระกูล


เมื่อเทียบกับวิชาวูซูของจีน คาราเต้จะใช้หมัดต่อยและเท้าเตะ ควบคู่กับเทคนิคมวยปล้ำ มีการเคลื่อนไหวที่เรียบง่าย เน้นฝึกฝนในการต่อสู้เพื่อให้ใช้ได้จริง


แม้ว่าเยี่ยเทียนจะเข้าใจและรู้ว่ามวยวูซูของจีนยังเทียบไม่ได้กับศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่นและเกาหลี แต่ว่าที่จริงแล้วมวยวูซูของจีนยังมีอะไรซ่อนอยู่ หากต้องการเรียนรู้และประสบความสำเร็จจริง ๆ จำเป็นต้องตามหาคนเก่งที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองและกราบไหว้ขอเรียนรู้เคล็ดวิชานั้น


อีกทั้งมวยวูซูของจีนมีวิธีการเรียนที่ไม่เหมือนกับเทควันโด้หรือคาราเต้  ในแต่ละระดับต้องใช้ระยะเวลาการฝึกนานมาก จำเป็นต้องมีความมุ่งมั่น ทุ่มเทในการฝึกและไม่ย่อท้อ ใช้เวลาฝึกห้าถึงสิบปีจึงจะสำเร็จ


ดังนั้น เทควันโด้และคาราเต้รวมถึงมวยที่สามารถใช้เท้าได้(ซ่านโฉ่ว)  ในปัจจุบันจึงเป็นที่นิยมมากกว่ามวยวูซูของจีน ในสายตาของหลาย ๆคนที่ไม่รู้ศิลปการต่อสู้ จะคิดว่าคาราเต้หรือเทควันโด้จะมีพลังมากกว่าด้วยซ้ำ


ยิ่งกว่านั้นถ้าเป็นคนที่ตั้งใจฝึกฝน ฝึกวิชามาเพื่อฆ่าคน  พวกเขาจะมีความุ่งมั่นและความศรัทธาของตัวเองมากกว่าคนอื่น


ตั้งแต่ไหนแต่ไร พวกที่มีฝีมือทั้งหลายจะไม่ประลองฝีมือกับพวกต่างชาติ เหมือนกับเยี่ยเทียน ถ้าให้พวกเขาเข้าร่วมการประลอง ก็เหมือนเป็นการดูถูกพวกเขาอย่างหนึ่ง


แต่ว่าตอนนี้เยี่ยเทียไม่ออกไปก็ไม่ได้แล้ว ก่อนหน้านี้ที่พัคจุนฮีประลองกับหลี่เฟิง ถึงแม้ว่าจะไม่มีการฆ่าฟันกันเกิดขึ้นและไม่มีการประลองต่อ เยี่ยเทียนก็รู้อยู่แล้วว่าหลี่เฟิงต้องแพ้และเขาก็ไม่ได้รับอันตรายอะไร


แต่กับคิตะทาโร่ในตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เขาแสดงความอาฆาตแค้นออกมาโดยไม่ปิดบัง อีกทั้งยังเรียกให้สวีเจิ้นหนานออกไป


เยี่ยเทียนเชื่อว่าถ้าเกิดสวีเจิ้นหนานออกไปแล้ว อาจไม่ถึงกับเสียชีวิตแต่ตอนจบน่าจะบาดเจ็บมากกว่ามิยาโมโตะเคนตะ


“พี่ใหญ่ รอก่อน”


ตอนที่เยี่ยเทียนเดินไปกลางสนาม สวีเจิ้นหนานที่กำลังถอดเสื้อคลุมออก และกำลังเตรียมตัวที่จะเข้าไปในเวทีประลอง เยี่ยเทียนก็ดึงเขาไว้


“อะไร เยี่ยเทียน” สวีเจิ้นหนานกำลังดึงข้อมือ เสียงดัง กรอบแกรบ เขากำลังปลุกกำลังใจให้ตัวเอง


“พี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ถ้าขึ้นไปแล้ว เดาว่าสภาพพี่จะดูยิ่งกว่าเจ้าคนนั้นเสียอีก” เยี่ยเทียนใช้ปากบุ้ยไปทางมิยาโมโตะเคนตะ ทำปากไปมาเพื่อส่งสัญญาณ


“เฮ้ย แกอย่ามาขู่ฉันนะ”


เมื่อเปรียบเทียบกับหลี่เฟิง สวีเจิ้นหนานดีกว่า อย่างมากก็แค่ถูกตี เนื้อหนังของเขายังหนาและทนได้  แต่เกรงว่าในชาตินี้เขาคงไม่สามารถแสดงความเป็นชายได้อีกเลยไปตลอดชีวิต


เยี่ยเทียนจ้องไปที่ตาของสวีเจิ้นหนานพูดว่า


“ฉันพูดเรื่องจริง เพียงแค่พี่กล้าขึ้นไป เขาก็กล้าที่จะฆ่าพี่อย่างแน่นอน”


หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน สีหน้าของสวีเจิ้นหนานก็ซีดขึ้นมาทันที เขาเป็นเพียงแค่นักศึกษามหาวิทยาลัยเท่านั้น  ถึงแม้ว่าเอาชนะมิยาโมโตะเคนตะได้ ก็เพราะทำไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว และภายในใจก็ยังรู้สึกผิดอยู่


ตอนนี้เหตุการณ์เดียวกันกำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง ถ้าจะบอกว่าไม่กลัวนั้นคือโกหกทั้งเพ หน้าผากสวีเจิ้นหนานมีเหงื่อไหลออกมา


“แก ขึ้นมา หรือว่าแกกลัวแล้วหรือ”


เห็นสวีเจิ้นหนานที่กำลังยืนคุยกับอีกคนหนึ่งอยู่ข้างล่าง คิตะทาโร่ที่ยืนอยู่กลางสนามประลองก็มีความรู้สึกทนไมไหวอีกต่อไป


“ระยำ ถ้าจะแพ้ก็ให้มันแพ้ ฉันจะสู้กับมัน”   แรงฮึดในใจของสวีเจิ้นหนานถูกคิตะทาโร่ปลุกเร้าออกมา ผลักเยี่ยเทียนออก เตรียมตัวขึ้นเวทีประลอง


แต่ว่าที่สวีเจิ้นหนานผลักออกไปเมื่อกี้นี่ ไม่ได้สะทกสะเทือนต่อเยี่ยเทียนเลย ตัวเองกลับถอยหลังไปสองก้าว


“ให้ฉันขึ้นประลองเอง เฮ้ พี่ใหญ่ ครั้งนี้ถือว่ายอมให้แต่คราวหน้าห้ามผลักฉันอย่างนี้อีก”


เยี่ยเทียนถอนหายใจ หันหลังขึ้นไปบนเวทีประลองที่มีเบาะรองหนา ๆ ปูอยู่ พูดว่า


“คิตะทาโร่ น้องชายของแกมิยาโมโตะเคนตะก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากมาย เลือดคั่งไม่กี่วันเดี๋ยวก็สลายไปไม่มีผลกระทบอะไรกับการใช้ชีวิตในวันหน้า ฉันว่า การประลองครั้งนี้ก็ให้มันจบลงด้วยดีเถอะ”


มิยาโมโตะเคนตะแม้ว่าจะไม่เคยได้ฝึกวิชา “ภูษาเหล็ก” และสวีเจิ้นหนานก็ไม่ใช่ ”เท้าไร้เงา” ของหวงเฟยหง ตอนที่ยังไม่ได้เตะเขา เขาเองก็ไม่ได้เป็นหมัน เพียงแต่ตรงหว่างขามีความรู้สึกเปราะบาง พวกคุณหมอจึงได้พูดเกินความจริงไปบ้าง


เยี่ยเทียนรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้คือคนของตระกูลคิตะ แต่ว่าเขาอ่อนแอเกินไป อ่อนแอจนทำให้เยี่ยเทียนไม่อยากลงมือ ถ้าเกิดไปทำให้ศิษย์น้องของคิตะฮีโร่บาดเจ็บ มันก็จะเหมือนกับว่าตัวเองแกล้งรุ่นน้องและก็ไม่ได้มีผลดีอะไรกับตัวเองเลย


“อะไร อาการบาดเจ็บของฉันไม่เป็นไรอย่างงั้นหรือ”  เมื่อเยี่ยเทียนพูดออกไป และคิตะทาโร่เองก็ยังพูดไม่จบ มิยาโมโตะเคนตะก็ตะโกนเสียงดังแทรกขึ้นมา


“ใช่ สวีเจิ้นหนานก็ไม่ได้ตั้งใจจะเตะแกสักหน่อย ฉันว่า เรื่องนี้ก็ให้มันจบ ๆกันไปเถอะ”  เยี่ยเทียนผงกหัว ภายในใจของเขา จริง ๆแล้วไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับนักศึกษาพวกนี้


“นี่ แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าที่แกพูดมา ว่ามันเป็นความจริง”  มิยาโมโตะเคนตะถาม  ถึงแม้ว่าภายในใจของเขาก็รู้สึกได้ว่าที่เยี่ยเทียนพูดไม่ได้โกหก


เยี่ยเทียนส่ายหัวไปมา พูดว่า “รอผ่านไปสองวันหลังจากนี้ แกก็ไปตรวจเช็คอีกที แล้วค่อยว่ากัน พวกแกยังต้องเรียนรู้อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยหวาชิงนี้ เชิญคนนอกเข้ามาถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แกที่เป็นแค่นักศึกษาคนเดียวจะแบกรับผลที่ตามมาไม่ไหว”


“นี่ นี่”    เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนครั้งนี้ มิยาโมโตะเคนตะก็รู้สึกลังเลใจ เพราะเขารู้ว่า ถ้าคิตะทาโร่ลงมือแล้ว ก็จะไม่มีทางควบคุมได้


เนื่องจากที่อายุใกล้เคียงกัน ตอนเด็กมิยาโมโตเคนตะกับคิตะทาโร่จะอยู่ด้วยกันบ่อย ๆ พูดถึงนิสัยของพี่ชาย เขารู้ดียิ่งกว่าใคร


ตอนที่พวกเขาอยู่ชั้นมัธยมต้น เคยถูกพวกนักเลงจากนอกโรงเรียนมาขู่กรรโชก ถ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกคนในครอบครัว ก็จะมีคนไปตามเก็บและจัดการกับเด็กพวกนั้น


แต่คิตะทาโร่เมื่อกลับบ้านก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้เลยแม้แต่ประโยคเดียว วันที่สองเมื่อเดินออกไปจากบ้าน เขากลับพกมีดสั้นติดไปในกระเป๋าด้วย หลังเลิกเรียนก็เจอกับพวกนักเลงกลุ่มนั้นอีก คิตะทาโร่ใช้มีดสั้นแทงพวกนั้นได้รับบาดเจ็บถึงสามคน


ตอนนั้นมิยาโมโตะเคนตะที่ยืนอยู่ด้านหลังคิตะทาโร่ถึงกับยืนตกตะลึง ทำอะไรไม่ถูก จนกระทั่งต้องถูกคิตะทาโร่ดึงออกมา แล้วรีบวิ่งพากันกลับบ้านโดยไม่หันหลังกลับ หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่าสมาชิกในกลุ่มนักเลงสามคนนั้นมีสองคนที่เสียชีวิต


อิทธพลของตระกูลคิตะอยู่ในเมืองนั้นค่อนข้างมาก พยายามจัดการปิดเรื่องนี้ให้มันจบลง หลังจากนั้นมา มิยาโมโตะเคนตะกับพี่ชายที่โหดเหี้ยมคนนี้ ก็ได้รับการยอมรับนับถือและยำเกรง


ก่อนหน้านี่มิยาโมโตะเคนตะโมโหที่ถูกทำร้าย “น้องชาย” ก็เลยเรียกให้พี่ชายมาช่วย แต่หลังจากที่ได้ยินเยี่ยเทียนบอกว่าตัวเองจะไม่เป็นอะไร มิยาโมโตะเคนตะในเวลานั้นก็ส่ายหัวไปมา


ต้องรู้ว่า ที่นึ้คือมหาวิทยาลัยหวาชิงเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของจีน ถ้าเกิดว่าพี่ชายทำร้ายฝั่งตรงข้ามให้ถึงตายที่นี่ นั้นก็เท่ากับว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น การประลองก็จะไม่มีประโยชน์อะไร


มิยาโมโตะเคนตะที่คิดได้แล้ว สุดท้ายก็ตัดสินใจแล้วพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นกับคิตะทาโร่ว่า


“ พี่ทาโร่ เรื่องนี้ ก็ช่างมันเถอะขอให้จบลงด้วยดี”


แต่ทาโร่ที่ยืนอยู่ตรงกลางสนามประลองก็ส่ายหัวไปมา พูดว่า


“ เฮ้ ไม่นะ เคนตะ แกไม่ต้องกลัว แกคงลืมไปแล้วว่าใช่มั้บ ว่าญาติของฉันเป็นใคร ถ้าเขายังอยู่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามฉันก็จะไม่มีทางถูกลงโทษ”


ญาติของคิตะทาโร่เป็นทูตทหารที่ทำงานอยู่ในสถานกงสุลญี่ปุ่นในจีน ไม่ว่าเกิดปัญหาอะไร กลังจากนี้เพียงแค่คิตะทาโร่ไปซ่อนตัวในกงสุล เขาเชื่อว่าจะไม่ใครทำอะไรเขาได้


อีกทั้งเมื่อครู่ที่พัคจุนฮีแสดงฝีมือขั้นสูงในศิลปะการต่อสู้ ก็เป็นการกระตุ้นอย่างหนึ่งให้กับคิตะทาโร่ เขาอยากได้ชัยชนะในการประลองครั้งนี้มา เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าเขาคือลูกหลาสายตรงของตระกูลคิตะ


เมื่อได้ยินคำพูดของพี่ชาย ตั้งแต่เด็กที่มิยาโมโตะเคนตะก็กลัวคิตะทาโร่มาตลอด จึงไม่กล้าที่จะโต้แย้งอะไรอีก


“อะไร ยังไม่จบอีกหรือ”


ในสนามก็มีคนเข้าใจภาษาญี่ปุ่นอยู่ไม่น้อย ตอนที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ ข้าง ๆก็มีคนคอยแปล เยี่ยเทียนขมวดคิ้วขึ้นมาทันที


………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)