ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 375-377
ตอนที่ 375 จีเฉวียน ไอ้เด็กเมื่อวานซืน
เหยียนหยุน “…..”
เขาไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่ถอยไปยืนอยู่ด้านข้าง
ฮ่องเต้ผู้ชราทรงกรรสะอยู่อีกพักใหญ่ ถึงได้สงบลมหายใจลงได้ พระองค์ทรงรู้ดีว่าบั้นปลายของลมหายใจกำลังจะมาถึง
จึงได้ยิ่งพิโรธโกรธาขึ้นไปใหญ่ ทรงคว้ามือของเหยียนฉิวเอาไว้ “ฉิวเอ๋อร์ ฆ่าพวกมันให้เรา! แคว้นต้าเหยียนของเราไม่ต้องการไอ้พวกกบฏทรยศเหล่านี้!”
ตรัสแล้วก็ทรงส่งพระราชลัญจกรให้กับเหยียนฉิว
เหยียนฉิวรับราชลัญจกรไปก็หันไปออกคำสั่งให้ประหารทั้งหมดในทันที
เหล่าทหารแกร่งในพระราชวังมีมากพอที่จะกรุ้มรุมกันเข้าไป ต่อให้ด้านนอกมีทหารของจีเฉวียนอยู่ แต่รวมกันแล้วก็ยังไม่ถึงพัน ไหนเลยจะจัดการกับเขาไม่ได้กัน
เหยียนฉิวสายตาทอประกายชั่วร้าย ส่งเสียงออกคำสั่งขึ้นมาในทันที
“ฆ่า!”
ทันทีที่สั่งออกไป ทั่วทั้งกำแพงตำหนักรายล้อมไปด้วยพลธนู
ลูกศรที่เย็นชาไร้ปราณีทั้งหมดเล็งไปยังเหล่าผู้คนที่ไร้อาวุธอย่างแม่นยำ
ลูกศรยังไม่ทันได้พุ่งออกไป ก็เห็นจีเฉวียนทรงสะบัดง้าวขึ้นมาปาดใส่เหยียนฉิวเพียงเบาๆ
เหล่าองครักษ์รีบยกโล่ขึ้นมาปกป้องเหยียนฉิวเอาไว้
เหยียนฉิวยิ้มอย่างเย็นชาอยู่บนใบหน้า เขาไม่เชื่อหรอกว่า แค่จีเฉวียนเพียงผู้เดียวก็จะสามารถพลิกฟ้าคว่ำดินลงได้?
ตอนนั้นที่จีเฉวียนเป็นตัวประกันอยู่ในต้าเหยียน ยังไม่มีแม้แต่ศักดิ์ศรีและคุณสมบัติจะมาถือรองเท้าให้กับเขา
ตอนนี้คิดจะทำร้ายเขา? ไยไม่ลองชั่งน้ำหนักของตนเองดูบ้าง
องค์ชายเจ็ดเหยียนฉิวยื่นศีรษะออกมาด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม ทั้งยังไม่ระวังป้องกันเลยสักนิด
แต่เมื่อดวงตาเขามองออกมา ก็เห็นชัดเลยว่าง้าวของจีเฉวียนทะลวงผ่านโล่ที่กำบังอยู่ด้านหน้าของเขาจนเกิดเป็นเสียงดังบาดหู
เหยียนฉิวตัดสินใจใช้ตราหยกในมือขึ้นมากำบัง
ก็ได้ยินเสียงดัง ‘แคร๊ก’ ง้าวของจีเฉวียนทะลวงผ่านตราหยกจนมันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ง้าวของเขาก็ยังไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น แต่ว่าแทงตรงเข้าสู่ลำคอของเขา
เหยียนฉิวหน้าเปลี่ยนสี หลบไปด้านหลังวูบหนึ่งลำคอถูกบาดเป็นทางเลือดไหลอาบลงมา
ตราลัญจกรในมือของเขาแตกสลายกลายเป็นเศษหยก ร่วงกราวลงบนพื้น
“คิดว่าเราถือเอาไว้เพื่ออวดเฉยๆ หรือ?” จีเฉวียนตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา ง้าวในพระหัตถ์ชี้ไปที่ลำคอของเหยียนฉิว
“เจ้า เจ้า เจ้า…คิดจะฆ่าโอรสของเราต่อหน้าต่อตาเราหรือไง?” ฮ่องเต่ผู้ชรากระอักโลหิตออกมาไม่น้อย ทรงกลัวว่าจะต้องจากไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจเช่นนี้ จึงได้แต่ผืนร่างกายเอาไว้
จีเฉวียนขมวดพระขนง เมื่อได้ยินเสียงฮ่องเต้ชราตรัสเช่นนั้น ง้าวในพระหัตถ์ก็ขยับขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็วและไร้ความเมตตา
แทงทะลุลำคอของเหยียนฉิวออกไปในทันที
ด้วยความเร็วที่แม้แต่องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างก็ไม่อาจป้องกันได้ทัน
ง้าวด้ามนั้นแม่นยำอย่างยิ่ง เหยียนฉิวไม่มีโอกาสแม้แต่จะส่งเสียง เขาโยนเศษตราหยกในมือลงไป สองมือคว้าง้าวของจีเฉวียนเอาไว้อย่างแน่นหนา
ดวงตาทั้งสองข้างเบิกโพลง เปี่ยมไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและไม่ยินยอม
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ภายใต้การปกป้องของผู้คนตั้งมากมาย เขายังจะถูกจีเฉวียน…..
ฮ่องเต้มิได้ทรงเปิดโอกาสให้เขาได้ดิ้นรน ใช้พละกำลังในพระหัตถ์ออกไป สะบัดเพียงครั้งเดียวใบมีดบนด้ามง้าวก็หลุดลอยออกจากศีรษะของเหยียนฉิวไป
เหลือเพียงผิวเนื้อและเส้นเอ็นที่รั้งศีรษะที่ขาดนั้นเอาไว้ กลายเป็นภาพที่น่าสยดสยอง
ทันทีที่เก็บง้าวกลับมา ก็เห็นเลือดจากบนลำคอของเหยียนฉิวกระฉูดขึ้นมา สาดกระเด็นไปโดนใบหน้าของฮ่องเต้ผู้ชรา
ฮ่องเต้ผู้ชราพระเนตรค้าง พระสติหลุดลอยจนแข็งไปทั้งร่าง
แต่กลับยังได้ยินเสียงจีเฉวียนตรัสว่า “เราไม่ชอบการถูกใส่ร้ายมาก่อน ในเมื่อเจ้าบอกว่าเราฆ่าลูกของเจ้าต่อหน้า เช่นนั้นเราก็จะฆ่าเสียเลย”
น้ำเสียงของพระองค์แผ่วเบาดุจก้อนเมฆ แต่กลับเย็นเฉียบไปจนถึงกระดูก
พระองค์ประทับอยู่ตรงหน้าเหล่าองครักษ์และโล่มากมาย แต่ดูราวกับว่านั่นเป็นเพียงของเล่น
“จีเฉวียน! เจ้ามันจะต้องไม่ตายดี ไม่ตายดี!” พักใหญ่ฮ่องเต้ผู้ชราถึงได้พระสติขึ้นมา ทอดพระเนตรมองดูเหยียนฉิวที่ล้มลงไปอยู่บนพื้น พระองค์ร้องตะโกนออกมา จนน้ำเสียงแหบพร่า
“ถ้าเช่นนั้นเรายิ่งไม่อาจทำตามที่เจ้าปรารถนาแล้ว เจ้าตายแล้ว เราจะควักลูกตาทั้งสองของเจ้าออกมา แขวนเอาไว้บนกำแพงเมือง ให้เจ้าได้เห็นว่าเรานั้น—จะยิ่งใหญ่ไปอีกนานนับพันปี”
จีเฉวียนตรัสแล้วก็สะบัดง้าวในพระหัตถ์ออกไป กวาดผ่านโล่มากมายที่แน่นขนัดอยู่เบื้องพระพักตร์จนแตกสลายลงเป็นชิ้นๆ
ง้าวในพระพัตถ์ของพระองค์ หลอมจากทองคำดำในเป่ยเจียง เป็นยอดศาสตราที่สามารถตัดเหล็กได้เหมือนหั่นดินเหนียว
โล่ของแคว้นเหยียนตีขึ้นจากเหล็กธรรมดา ประกอบกับจีเฉวียนเองก็ทรงร้ายกาจอยู่แล้ว โล่เหล่านี้ในสายพระเนตรของพระองค์ก็เป็นเหมือนแผ่นกระดาษเท่านั้น
เหล่าองครักษ์แคว้นเหยียนต่างก็ตกตะลึงจนแข็งค้างไปแล้ว
ฮ่องเต้ผู้ชราเองก็พระพักตร์แข็งค้าง พระองค์ทรงทราบว่าจีเฉวียนมีความสามารถ แต่ว่าทั้งหมดนี้มันมากเกินไปแล้ว!
พระองค์ทรงจำได้ว่าตอนนั้นเขาใช้กำลังของตนเองแต่เพียงผู้เดียว เอาชนะสัตว์อสูรนับพันถือเป็นผู้มีพรสวรรค์อันน่ากลัว
แต่ตอนนี้เพียงแค่กวาดง้าวออกมาเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้องครักษ์ของพระองค์ทั้งหมดล้มลงไปแล้ว?
พระองค์แทบจะไม่มีเวลาไปเสียพระทัยให้กับเหยียนฉิวที่ตายไป
“เหยียนเหลียน คนเรายิ่งอยู่สูง ยิ่งต้องเห็นแก่ชีวิตของส่วนรวม ตำแหน่งฮ่องเต้นี้เจ้าไม่คู่ควรแม้แต่น้อย” คราวนี้จีเฉวียนทรงกวาดพระเนตรไปทางฮ่องเต้ชราอย่างเฉยชา
“เราจะใช้โลหิตและศีรษะของเจ้า มาเส้นไหว้ให้กับวิญญาณของเหล่าทหารต้าโจวของเรา รวมทั้งเหล่าราษฏร์แคว้นเหยียนที่ถูกเจ้าทำร้ายด้วย”
หลังออกจากเมืองจิงหวา จีเฉวียนทรงสูญเสียกองทัพไปจำนวนมาก
โดยเฉพาะเหล่าคนที่ติดโรคที่จำเป็นต้องสังหารด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ ….แต่ละคนล้วนติดตามพระองค์มาจากแคว้นต้าโจว แต่พระองค์กลับไม่อาจพาพวกเขากลับไปบ้านเกิดอย่างมีชีวิต
หากว่าเป็นการสู้ศึกจนตัวตายในสนามรบ เหล่าทัพยังถือว่าตายอย่างสมศักดิ์ศรี
แต่นี้กลับเป็นเพราะถูกฝีมือที่ชั่วร้ายทำร้ายจนตาย ….จีเฉวียนย่อมไม่อาจอดทนต่อไปได้อีก
“มัวแต่ตะลึงอะไรกันอยู่ มาปกป้องเราเร็ว!” คราวนี้ เหยียนเหลียนไม่สนใจเหล่าราษฏร์ที่กำลังกบฏแล้ว พระองค์รีบตะโกนเรียกกองทหารให้มาถวายการอารักขา
จีเฉวียนกลับพระสรวลอย่างเย็นชา
“เจ้าหัวเราะทำไม?” เหยียนเหลียนถูกเสียงพระสรวลที่เย็นยะเยือกนั้นทำให้แข็งค้าง ในใจบังเกิดลางสังหรณ์ไม่เป็นมงคลขึ้นมา
จีเฉวียนไม่ตรัสตอบ จากนั้นก็เห็นพระองค์หยิบหน้ากากกันพิษใบหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่เร็วไม่ช้า…..
จากนั้นทั่วทั้งพระตำหนักก็อบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นสุดทนทาน
กลิ่นเหม็นสุดคลื่นเ**ยนพวยพุ่งเข้ามาในห้องบรรทมอย่างรวดเร็ว
ทำให้คนที่อยู่ในนั้นทั้งหมดต่างก็ต้องอาเจียนออกมาอย่างสุดชีวิต
ที่ด้านนอก ตู๋กูจุนนำกองทัพที่มีอยู่ไม่ถึงพันคนเตรียมตัวพร้อมเอาไว้แต่แรกแล้ว แต่ละคนสวมใส่หน้ากากกันพิษคนละอัน เหล่าราษฏร์ต่างก็รีบพากันล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าที่บรรจุถ่านเอาไว้ขึ้นมา ผูกเอาไว้ใต้จมูกอย่างแน่นหนา
กองทหารของแคว้นเหยียนมิได้เตรียมตัวเอาไว้ก่อน ย่อมต้องพากันอาเจียนโอ้กอ้ากออกมาจนหมดเรี่ยวแรง แม้แต่จะเงยหน้าหาทิศทางก็ยังไม่ไหว
ในตำหนักบรรทมเกิดควันสีเหลืองอมเขียวพวยพุ่งขึ้นมา กลิ่นเหม็นเน่านั้นยังร้ายกาจเสียยิ่งกว่าซากศพนับพันที่เน่าเปื่อยแล้วเสียอีก…..
“จีเฉวียน ไอ้เด็กเลว….! เจ้าใช้ควันพิษรึ! เจ้ามันชั้นต่ำเสียยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด! อะ…อ้วกกก” ฮ่องเต้ผู้ชรากุมพระอุระเอาไว้ ทางหนึ่งด่าทอ ทางหนึ่งก็อาเจียนออกมามากมาย
จีเฉวียนด่าว่าพระองค์แพร่เชื้อผีดิบ แต่ว่าตัวเองเล่า?
กลับใช้กลิ่นพิษ!
แคว้นต้าโจวผนวกหนานเจียงได้สำเร็จไปตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว หนานเจียงมีพวกหมอผีอยู่ไม่น้อย จะต้องเป็นเพราะว่ามันจับพวกหมอผีไปได้ไม่น้อย แล้วให้สร้างไอ้สิ่งนี้ขึ้นมา
คนที่สูดดมกลิ่นเหม็นนี้เข้าไปย่อมถูกพิษกำเริบจนตายเป็นแน่ จีเฉวียนมีเมตตายิ่งกว่าพระองค์ที่ไหนกัน?
ภายใต้หน้ากาก สายพระเนตรของจีเฉวียนกลับมีแต่ความเยือกเย็นพระองค์คร้านที่จะตรัสถ้อยคำไร้สาระกับฮ่องเต้ชราอีกต่อไปแล้ว ง้าวในพระหัตถ์พุ่งตรงไปที่พระอุระของเหยียนเหลียน
ทันทีที่ง้าวนั้นพุ่งออกไป ก็เห็นคนชุดดำที่ยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้ชราเคลื่นไหว ยื่นมือออกมารับเอาไว้
เขาสวมใส่ถุงมือไหมเงินในมือทั้งคู่ ใช้มือนั้นสกัดง้าวอย่างตรงๆ โดยมิได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงลืมไปแล้วหรือว่าพวกเรายังมีไม้ตายสุดท้ายอยู่?”
ตอนที่ 376 ท่านยังจำนางได้
เขาไม่ได้มองไปที่จีเฉวียน แต่กลับโน้มร่างลงไปกระซิบที่ริมพระกรรณของฮ่องเต้ผู้ชราเบาๆ
จีเฉวียนทรงสังเกตเห็นเขาแต่แรกแล้ว ยามนี้สายพระเนตรของพระองค์ก็ทอดไปยังถุงมือไหมเงินทั้งสองข้างของเขา
ถุงมือไหมเงินสวรรค์ มีความสามารถในการป้องกันอย่างสูง ต่อให้เป็นศาสตราที่หลอมขึ้นมาจากทองคำดำก็ยังสามารถสกัดเอาไว้ได้
ไหมเงินสวรรค์ล้ำค่าอย่างที่สุด ต่อให้เป็นในท้องพระคลังของแคว้นต้าโจวเกรงว่าก็ยังมีไม่ถึงสิบชั่ง
ของสิ่งนี้ พระองค์เคยเห็นมันที่ริมทะเลสาบแคว้นเซอปี่ซือ
คนชุดดำเพียงแต่กระซิบที่ข้างพระกรรณฮ่องเต้ชรากล่าววาจาอยู่หลายคำ ก็เห็นสายพระเนตรของฮ่องเต้ชราเปล่งประกายขึ้นมา
“ใช่แล้ว เราเกือบจะลืมไปแล้ว…..”
ตรัสแล้ว สายพระเนตรของพระองค์ก็เปลี่ยนเป็นชั่วร้ายขึ้นมา
สายพระเนตรนั้นจับจ้องไปยังจีเฉวียน “ในเมื่อเจ้าไม่ได้ให้ทางรอดแก่เรา เช่นนั้นก็มาลงนรกด้วยกันเถอะ! คิดจะได้แคว้นเหยียนของเรารึ! ฝันไปเถอะ! เฮอะ เฮอะ เฮอะ!”
พระองค์ตรัสพึ่งตรัสจบ พระบาทของจีเฉวียนก็ถีบออกไป ทำเอาฮ่องเต้ผู้ชราหลั่งพระโลหิตจากทวารทั้งเจ็ด สมองมึนงงไปหมด แทบจะสิ้นพระสติไปในทันที
“พูดมากเสียจริง” ฮ่องเต้ทรงคลายพระหัตถ์ปล่อยง้าวนั้นไป ประทับยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้ผู้ชรา
องครักษ์ที่รายล้อมอยู่ทั้งสี่ด้านไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาห้ามปรามพระองค์
ฝูงชนต่างก็ถูกกลิ่นเหม็นรมจนจะขาดใจตายอยู่แล้ว เหยียนหยุนยิ่งคว้าไม้เท้าเอาไว้แน่น ไม่คิดจะรั้งอยู่ตรงนี้อีกต่อไป
ตอนนี้ที่นี่กลายเป็นสนามรบไปแล้ว หากพลาดแม้แต่เพียงก้าวเดียว เขามีหวังต้องกลายเป็นกระดูกป่นอยู่ในนี้
“จีเฉวียน ไอ้เด็กน้อย เจ้า….” ฮ่องเต้ชราพยายามยามดิ้นรนลุกขึ้นมา
แต่ว่าตรัสได้ยังไม่ทันถึงสองคำ จีเฉวียนก็ทรงกระทืบพระบาทลงมาอีกครั้ง
ยามจะกระทืบคนพึงกระทืบที่ใบหน้า นี่เป็นแนวทางของฝ่าบาทอยู่แล้ว
“หนวกหูจริงๆ” จีเฉวียนทรงกระทืบลงไปอีกหลายครั้ง ในที่สุดก็ทำให้ฮ่องเต้ชราผู้นั้นหุบปากลงไปได้
“คิดว่าเราจะโง่จนปล่อยให้เจ้าขุดหลุมทำร้ายเราหรือ?” จีเฉวียนแย้มสรวลเย็นชา ดวงเนตรหงส์ใต้หน้ากากหนังจับจ้องไปบนร่างของคนชุดดำ
ทันทีที่พระองค์สบพระเนตรกับคนในชุดสีดำผู้นั้น เขาก็ปล่อยง้าวของจีเฉวียน ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง คิดจะขยับตัวหลบหนีไป
จีเฉวียนกลับตรัสรั้งเขาเอาไว้
“ท่านราชครู”
คนชุดดำก้าวออกไปได้เพียงก้าวเดียว ดวงตาใต้ผ้าคลุมคู่นั้นมีทั้งความเคียดแค้นและความประหลาดใจ
“ฮ่องเต้แห่งต้าโจว พระองค์ทรงจำคนผิดแล้ว” เขากล่าวเสียงแหบแห้ง ซุกซ่อนน้ำเสียงที่แท้จริงของตนเองในทันที
ทันทีที่สิ้นเสียง จีเฉวียนก็ทรงชักกระบี่ออกมาจากบั้นพระองค์ ชี้ไปยังหัวไหล่ของเขา “เจ้ากล้าทำเรื่องเหล่านี้ แต่ว่าไม่กล้ายอมรับหรือ?”
จีเฉวียนทรงหน้ากากอยู่ จึงไม่มีใครเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระองค์กำลังทรงรู้สึกเช่นไร แม้แต่ถ้อยคำที่รับสั่งถามออกไปนั้น น้ำเสียงก็แสนจะเรียบนิ่ง
คนชุดดำมองดูกระบี่ที่ชี้มายังศีรษะของตนเอง พักใหญ่ เขาก็ค่อยหัวเราะเสียงเย็นออกมา “ฝ่าบาททรงสงสัยกระหม่อมตั้งแต่แรกแล้ว?”
ทันทีที่เขาเอ่ยออกมา กระบี่ในมือของจีเฉวียนก็สะบัดออกไปกรีดผ้าคลุมหน้าของเขาออกเป็นสองส่วน
ผ้าคลุมขาดออก ลอยพลิ้วออกไปด้านหลัง
เปิดเผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามประดุจหยกไร้ตำหนิออกมา
ใบหน้านั้นมีดวงตาดุจลูกแก้ว ขนตาแต้มประกายไข่มุกยิ่งทำให้ดึงดูดสายตา สายรัดบนผมของเขาถูกจีเฉวียนตัดขาดไปด้วย เส้นผมทั้งหมดจึงสยายลงมา ดวงตาทั้งสองนั้นกำลังจ้องมองไปที่จีเฉวียน
“ย่อมใช่อยู่แล้ว ท่านเป็นคนฉลาดอยู่แล้ว ทั้งยังถนัดวางแผนการ บางทีท่านอาจจะไม่เคยเชื่อใจข้ามาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ ใช่หรือไม่?”
“เราเติบโตมาพร้อมกับเจ้าตั้งแต่เด็ก ไหนเลยจะไม่เชื่อใจเจ้า?” จีเฉวียนขมวดพระขนงแนบแน่น พระองค์เคยคิดถึงสถานการณ์ที่ต้องฉีกหน้ากากของเขาออกมาเช่นนี้อยู่หลายครั้ง แต่เมื่อถึงคราวจริงๆ นอกจากความโกรธกริ้วแล้ว ก็ยังมีความผิดหวัง ผิดหวังอย่างยิ่ง
ฉางซุนซิ่วมองดูพระองค์ มุมปากยิ้มอย่างเย็นชา “ฝ่าบาทยังทรงจำได้ว่าเติบโตขึ้นมาพร้อมกับกระหม่อม?”
ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น ฮ่องเต้ชราที่สลบไปก็เริ่มได้พระสติขึ้นมา
ฮ่องเต้ชราทอดพระเนตรไปยังจีเฉวียน และก็หันไปทางฉางซุนซิ่ว “เจ้า……พวกเจ้า?”
ตอนนี้พระองค์ถึงได้ทรงรู้สึกตัวว่าตนเองถูกหลอกเข้าแล้ว!
รอบนี้พระองค์ถูกฉางซุนซิ่วถีบใส่อีกเท้าหนึ่ง ทรงกระเด็นออกไปจนทำให้สมองของฮ่องเต้ผู้ชราดับวูบ
ในที่สุดพระองค์ก็ปิดพระโอษฐ์ลงแล้ว ตรัสไม่ออกอีกตลอดกาล
…………………………
ที่ด้านนอกตำหนัก ตู๋กูซิงหลันขี่ราชาสุนัขป่าตะวันตกมาถึง
ราชาสุนัขป่ากระโดดผ่านกำแพงสูงระดับหัวคนเข้ามา หย่อนตัวลงบนพื้นระเบียงกลางตำหนัก ขณะที่มันกำลังจะส่งเสียงหอนดังออกไปในสายลมก็ได้กลิ่นเหม็นหึ่งเข้ามาเต็มปากเต็มจมูก
“แค่ก แค่ก แค่ก….” มันสำลักจนต้องไออย่างรุนแรงออกมาในทันที ไอไปก็เริ่มด่าไป
อึของผู้ใดทำไมถึงได้เหม็นขนาดนี้?
ติ๊งต๊องพ่นไฟมาตลอดทาง ลำคอแห้งผาดมาแต่แรกแล้ว ตอนนี้อยู่ๆ ก็ได้กลิ่นอึคละคลุ้งอยู่ในอากาศ ทำเอามันเกือบจะคายอาหารเก่าออกมา
ราชาสุนัขป่าถูกรมอยู่เป็นนานถึงได้รู้สึกว่ากลิ่นนี้ออกจะคุ้นเคยอยู่บ้าง?
มันหันหัวกลับไปมองดูก้นของตนเอง จากนั้นก็ตั้งใจตดออกมาเป็นพิเศษ ส่ายหางไปมาแล้วก็ดมๆ ดู
อ้ายย่าห์……กลิ่นอึนั่นเป็นกลิ่นเดียวกันกับกลิ่นตดของมันเลย!
นึกไม่ถึงเลยว่า ในใต้หล้านี้จะยังมีสิ่งมีชีวิตที่สามารถอึได้เหม็นเหมือนกับมันไม่มีผิด?
นี่คือพี่น้องร่วมอุดมการณ์ใช่หรือไม่ หากไม่ได้พบหน้ากันสักหน่อยช่างน่าเสียดายจริงๆ ….
ตู๋กูซิงหลันเห็นมันซื่อจนเซ่อถึงขนาดนั้นก็ได้แต่เงียบงันไปพูดอะไรไม่ออก
พอหันมามองดูติ๊งต๊อง ก็เห็นมันกระพือปีกโอบรอบๆ ท้องตัวเองอาเจียนโอ๊กอ๊ากออกมาเป็นสาย……
อาเจียนลงไปโดนอุ้งเท้าของตนเอง สักพักก็ใช้ปีกไปเกาอุ้งเท้า
ตู๋กูซิงหลัน “……”
นี่สิน้าที่เขาว่าไม่มีใครที่โง่ที่สุด มีแต่คนที่โง่ยิ่งกว่า
ผู้คนทั้งหลายต่างก็ถูกสุนัขป่าที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาทำเอาตกใจจนตื่นตระหนก จากตอนแรกที่ดูองอาจน่าเกรงขาม แต่ว่าตอนนี้……ตัวหนึ่งคิดจะตดก็ตด ตัวหนึ่งคิดจะเกาอุ้งเท้าก็เกา ไม่ต้องรักษาภาพลักษณ์กันขนาดนี้เลย?
ในอากาศคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเข้มข้นจากควันสีเหลืองอมเขียว ดังนั้นจึงไม่มีใครมองเห็นโฉมหน้าของสาวน้อยได้อย่างชัดเจน
จากนั้นก็เห็นตู๋กูซิงหลันพลิกตัวลงมา นั่งอยู่บนหลังของติ๊งต๊อง
ด้ายโชคชะตาในมือเปล่งแสงสีแดงระเรื่อออกมา นางมองเข้าไปในตำหนักบรรทมข้างหน้า
ก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งสวมใส่ชุดเกราะสีดำทอง ยืนหันหลังให้กับนาง
เขาถือกระบี่ที่มีไอเย็นเล่มหนึ่งอยู่ในมือ ร่างเหยียดตรง เส้นผมยาวสลวยพลิ้วตามลม มีก็แต่จีเฉวียนเท่านั้นที่จะมีราศีเช่นนี้
ก้อนหินที่ลอยคว้างอยู่ในใจของตู๋กูซิงหลันในที่สุดก็สามารถวางลงได้เสียที
เขายังมีชีวิตอยู่ ยังอยู่ดี
นางกวาดตามองไปรอบๆ ก็เห็นพี่ใหญ่ของตนเองกำลังนำกองทัพต่อสู้และเข่นฆ่าเหล่าทหารแคว้นเหยียนท่ามกลางกลิ่นเหม็นตลบอบอวล
นี่มิใช่การต่อสู้ฆ่าฟัน…..แต่เป็นการโจมตีอยู่แต่ฝ่ายเดียว
พี่ใหญ่สวมหน้ากากกันพิษเอาไว้ นางต้องอาศัยเสื้อผ้าจึงจะจำเขาได้
พวกเขาล้วนปลอดภัย…..ดีจริง
ตู๋กูซิงหลันตบลงไปบนลำคอของติ๊งต๊องเบาๆ กระตุ้นให้ติ๊งต๊องวิ่งเข้าไปในตำหนักบรรทมทั้งๆ อุ้งเท้าที่ยังเช็ดได้ไม่ค่อยจะสะอาดสักเท่าไหร่
พอเข้าไปถึงประตูใหญ่ ก็ได้ยินเสียงของบุรุษดังออกมา
“ตอนที่ท่านอายุได้ห้าขวบ เสด็จอาหญิงฮองเฮาทรงสิ้นพระชนม์ เสียนไท่เฟยได้รับความโปรดปราน ตระกูลฉางซุนสูญเสียอำนาจ ท่านไร้ที่พึ่งพิง ถูกส่งไปเป็นตัวประกันที่แคว้นเหยียน ครอบครัวเรากลัวว่าท่านเดินทางไปคนเดียวจะโดดเดี่ยวอ้างว้าง จึงได้ให้น้องสาวแท้ๆ ของข้าอิงเอ๋อร์ติดตามท่านมายังแคว้นต้าเหยียนด้วย”
ตู๋กูซิงหลันชะงักไป เงาร่างของจีเฉวียนแทบจะบดบังฉางซุนซิ่วเอาไว้จนหมด ดังนั้นตู๋กูซิงหลันจึงมองไม่เห็นโฉมหน้าของเขา
แต่ว่าเพียงแค่ได้ยินเสียง นางก็รู้แล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้าจีเฉวียนนั้นคือใคร
นางสั่งให้ติ๊งต๊องพาหลบไปด้านข้าง ไม่ได้เข้าไปรบกวนในทันที
อีกด้านหนึ่ง จีเฉวียนก็มิได้ปฏิเสธอะไร แสดงว่าที่ฉางซุนซิ่วพูดออกมาทั้งหมดล้วนเป็นความจริง
“ส่วนข้า ถูกคนในครอบครัวส่งไปฝึกวิชาเวทย์ที่เขาฮว่าชิงซาน ทั้งหมดก็เพียงเพื่อจะได้คอยเป็นกำลังช่วยเหลือท่านอีกแรง”
“ท่านดูสิ ขณะที่ท่านสูญเสียมารดา หมดสิ้นความรักเอ็นดูจากบิดา กลับยังมีคนอีกตั้งมากมายที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อท่าน ท่านช่างโชคดีขนาดไหนแล้ว”
ตอนที่ 377 ให้ทั้งแคว้นเหยียนถูกกลบฝั...
ฉางซุนซิ่วพูดพลางก็ทรุดลงนั่งบนพื้น กลิ่นเหม็นที่ตลบอบอวลอยู่ภายในตำหนักคล้ายจะมิได้ส่งผลกระทบอะไรกับเขาทั้งนั้น
ทางด้านซ้ายของเขาคือร่างของเหยียนฉิว ทางด้านขวาคือฮ่องเต้ชราที่ถูกเขากระทืบจนพระเศียรแตกร้าว
เขานั่งอยู่ตรงกลาง สีหน้ายังคงมีรอยยิ้มเย็นชา “ตอนนั้นท่านยังอายุน้อย อยู่ในแคว้นต้าเหยียนย่อมถูกรังแกอยู่เสมอ แต่น้องสาวของข้าละ? นางโชคดีกว่าท่านที่ไหนกัน? นางเป็นหินรองเท้าให้ท่าน ยอมถูกหมิ่นหยาม โดยไม่ตัดพ้อต่อว่า …..อดทนกล้ำกลืนอย่างยากลำบากจนกระทั่งถึงวัยกลายเป็นสาวน้อยบอบบาง แต่สุดท้าย สุดท้ายเพื่อท่านแล้ว ก็มามีจุดจบอยู่ในต่างบ้านต่างเมือง”
“ฝ่าบาท หลายปีมานี้ ท่านเคยคิดถึงนางบ้างหรือไม่ เคยรำลึกถึงความดีของนางบ้างไหม?”
ฉางซุนซิ่วดวงตาแดงก่ำ น้ำเสียงที่ถามออกไปของเขาสงบนิ่งอย่างมาก แต่ว่าดวงตาคู่นั้นกลับฉายแววคลุ้มคลั่ง
“ท่านไม่เคยเลย” เขาหัวเราะเสียเย็นออกมา เขาทุบมือลงไปบนพื้น “แม้แต่ชื่อของนางท่านก็ไม่เคยเอ่ยถึง!”
“เดิมทีข้าเคยคิดว่าท่านมันเป็นคนที่ใจแข็งโหดเ**้ยม ไม่ว่ากับใครก็ไร้น้ำใจไร้ความรู้สึก แต่แล้วยังไง? ท่านมีสิทธิอะไรจะไปชอบตู๋กูซิงหลันกัน?”
“นางเคยทำอะไรเพื่อท่านบ้าง? เสียสละอะไรบ้างไหม? แต่ท่านกลับชอบนาง ชอบนางจนจะเป็นจะตาย แล้วกับอิงเอ๋อร์ที่สละชีวิตเพื่อท่านไยจึงไม่เคยมีความละอายไม่เคยคิดถึงเลยสักนิด?”
จีเฉวียนเงียบงั้นอยู่ตรงนั้น พระหัตถ์ของพระองค์กำด้ามง้าวเอาไว้อย่างแนบแน่น
“ตอนที่นางตาย มีแต่เลือดท่วมตัว ตลอดร่างไม่เหลือผิวเนื้อที่ดีเลยสักแห่ง นางกอดข้าเอาไว้ บอกว่า ‘พี่จ๋า อิงเอ๋อร์เจ็บเหลือเกิน….’ ”
ฉางซุนซิ่วปิดตาลง ราวกับว่าไม่ยินดีจะคิดถึงเรื่องนั้นอีก แต่ยิ่งไม่อยากจะคิด ภาพนั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ในสมองของเขา “จีเฉวียน ท่านรู้หรือไม่ว่านางตายเพื่อท่าน! ตอนที่ท่านถูกฮ่องเต้ต้าเหยียนเรียกไปเข้าเฝ้า ตอนที่จะให้ท่านต่อสู้กับสัตว์อสูรหงเหมิง [1] นั้น! สาวน้อยที่โง่งมนางนี้ นางกลัวว่าท่านจะเกิดเรื่อง ดังนั้นจึงแอบออกไปขอร้องแทนท่าน สุดท้ายไม่เพียงถูกคนกระทำชำเรา ยังถูกคนทุบตีอย่างโหดร้ายจนตาย ตอนนั้นนางพึ่งจะอายุได้สิบสามเอง!”
พอพูดถึงตรงนี้ ฉางซุนซิ่วก็น้ำตาไหลอาบนอง
“หากว่าตอนนั้นข้า……ไปถึงแคว้นต้าเหยียนเร็วขึ้นอีกวันหนึ่ง…. นางก็คง…..นางก็คงไม่ต้องตายแล้ว….ข้าจะต้องปกป้องนางได้แน่ๆ ปกป้องนางอย่างดี”
“ทั้งที่เป็นเช่นนี้ นางก็ยังขอให้ข้าอย่าได้เกลียดชังท่าน! ขอให้ข้าสนับสนุนท่านอย่างที่สุด!”
“ข้าเชื่อฟังคำขอของอิงเอ๋อร์ ตลอดหลายปีมานี้คอยช่วยเหลือท่านขจัดอุปสรรค กำจัดศัตรู กรุยหนทางแห่งบัลลังก์ฮ่องเต้ให้กับท่าน อยู่เคียงข้างท่านมาตลอด….”
ในมุมที่ซ่อนอยู่ หัวใจของตู๋กูซิงหลันหล่นวูบ
ตอนที่อยู่ที่สระสวรรค์ในแคว้นเซอปี่ซือ….ขณะที่นางถูกเหยียนเฉียวหลัวลากลงไปในน้ำนั้น ก็เคยได้ยินชื่อของฉางซุนอิงมาก่อน
ตอนนั้นนางไม่ทันได้ใส่ใจ
ช่วงที่ผ่านมาที่จีเฉวียนลุกไล่ตามจีบนางอย่างบ้าคลั่ง นางเองก็ไม่เคยถามเรื่องของฉางซุนอิงมาก่อน
นางไม่ได้ถาม จีเฉวียนก็ยิ่งไม่เคยเอ่ยถึง
แต่คิดไม่ถึงว่า จะมีอดีตเช่นนี้อยู่?
สหายติ๊งต๊องเองก็ตกตะลึงเป็นไก่ตาแตก มันรู้แต่แรกแล้วว่าฮ่องเต้ผู้นั้นมิใช่ตัวดี…..แต่ไม่คิดว่าเขาจะเสเพลจนชั่วร้ายขนาดนี้เชียว?
วิญญาณทมิฬชักจะรู้สึกว่า ซื่อมั่วเริ่มจะมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
…………………….
ฉางซุนซิ่วพยายามบังคับตนเองให้สงบสติลง เขาถอนหายใจอย่างยืดยาว ค่อยเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองจีเฉวียน
“แต่ดูท่านสิ ท่านทำอะไรลงไป? ท่านลืมเลือนอิงเอ๋อร์ไปจนหมดสิ้นตั้งแต่แรกแล้ว! ท่านสงสัยในตัวข้า ตรวจสอบข้า เพื่อตระกูลตู๋กูที่สร้างความยากลำบากให้กับท่าน ท่านกลับละทิ้งข้า”
“ไม่เพียงแต่อิงเอ๋อร์ ตอนนั้นญาติผู้พี่ของข้าอาซู่ก็ยังต้องมาตายด้วยน้ำมือของตู๋กูจุน”
“ฝ่าบาทยังทรงจำได้หรือไม่ว่าตอนที่ขึ้นครองราชย์นั้นตรัสกับข้าไว้ว่าอย่างไร”
“ท่านบอกว่า จะต้องล้างตระกูลตู๋กูทิ้ง”
“ท่านบอกว่า จะรวบรวมใต้หล้าด้วยกันกับข้า ทำให้แผ่นดินมีแต่ความสงบสุข”
“คำพูดของฝ่าบาท ข้าเองก็หลงเชื่อเข้าแล้ว…..”
เพราะเหตุนี้ตอนนั้นเขาถึงได้กำจัดตัวหมากของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนที่คิดร้ายกับพระองค์ทิ้งไป
ตลอดหลายปีมานี้ แม้แต่ท่านประมุขก็ยังถูกเขาปิดบังความจริงเอาไว้
ตระกูลฉางซุนของเขาเพื่อจีเฉวียนแล้วได้เสียสละไปอย่างมากมาย ….แม้แต่วัยเด็กของเขาก็ยังเคยเป็นเงาติดตามจีเฉวียนอยู่ตลอด
ใครเลยจะรู้ว่าเบื้องหลังของเขาฮว่าชิ่งซานที่สวยสดงดงาม จะแฝงเอาไว้ด้วยเงามืดและความสกปรกมากมายเพียงไหน
จีเฉวียนผ่านวัยเยาว์มาอย่างยากลำบาก แล้วเขาผ่านมาอย่างสุขสบายหรือไร?
ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่เบื้องหน้าเขา โดยมิได้ตรัสวาจาใดๆ อยู่นาน
ที่จริงแล้วเรื่องมากมายที่ผ่านมาทั้งหมด พระองค์ทรงทราบเป็นอย่างดีว่าเกี่ยวข้องกับเขาอย่างแน่นอน แต่เพราะว่าพวกเขาเคยผ่านประสบการณ์ต่างๆ มาด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก ดังนั้นจีเฉวียนจึงปล่อยเขาไปครั้งแล้วครั้งเล่า
คนเราล้วนมีความเปลี่ยนแปลง ฉางซุนซิ่วเปลี่ยนแปลง พระองค์จีเฉวียนเองก็ทรงเปลี่ยนแปลง
ไม่มีใครที่จะรับรองได้ว่าตนเองเหมือนเดิมไปตลอด
“ฝ่าบาท นับตั้งแต่วันที่ท่านกลายเป็นตัวประกัน ข้าฉางซุนซิ่วก็ถูกบ่มเพาะให้กลายเป็นเงาของท่าน ท่านไม่เคยรู้เลยว่าตลอดหลายปีนั้นข้าต้องผ่านประสบการณ์เช่นไรมาบ้าง….”
“ทุกสิ่งที่เป็นของข้า ล้วนมอบให้กับท่านจนหมดสิ้นสุดจิตใจ แต่พอถึงที่สุดแล้ว …..กลับต้องถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยวเพียงลำพัง”
“หลายปีมานี้เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลฉางซุนต่างก็พากันจากไปจนหมดสิ้นแล้ว ข้าไม่หลงเหลือญาติมิตรที่แซ่ฉางซุนอีกแล้ว ทั้งยังเอาใจออกห่างจากท่าน ข้าเกลียดชังท่าน นั่นย่อมเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว”
ในที่สุด จีเฉวียนค่อยเอ่ยวาจาออกมา “เรารู้ว่าเจ้าเกลียดชังเรา แต่ทั้งหมดนี้ เจ้าสมควรมาคิดบัญชีกับเรา นี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับซิงซิง ยิ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับกองทัพต้าโจวและราษฏร์ชาวต้าเหยียนทั้งสิ้น”
“เจ้าไม่ควรจะไปแตะต้องนางแม้แต่น้อย ยิ่งไม่สมควรแพร่กระจายเชื้อผีดิบออกไป ทำร้ายชีวิตของผู้คนมากมาย”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ….” ฉางซุนซิ่วหัวเราะเหมือนกับว่าได้ยินเรื่องขำขันบัลลือโลกอย่างไรอย่างนั้น
“ถึงตอนนี้ท่านก็ยังจะห่วงใยนาง? แล้วยังจะเสแสร้งแกล้งเป็นมีเมตตาต่อสรรพชีวิต? เฮอะ ชีวิตของพวกมันมีค่า….แล้วชีวิตของน้องสาวข้าไม่มีค่าหรืออย่างไร?”
“ตอนที่คนเหล่านั้นทำร้ายอิงเอ๋อร์ ทำร้ายพวกเรา มีใครเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าอิงเอ๋อร์นั้นเป็นผู้บริสุทธิ์?”
“ท่านเองก็รู้สึกว่าอิงเอ๋อร์สมควรจะต้องตายกระนั้นหรือ?”
ฉางซุนซิ่วจะพยายามระงับอารมณ์เอาไว้อย่างที่สุด หมัดที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อนั้นกำแน่นเข้าหากัน เพราะออกแรงมากไปข้อนิ้วทั้งหมดจึงขาวโพลน
คำพูดเหล่านี้ เขาไม่เคยเอ่ยกับจีเฉวียนมาก่อนเลยสักครั้ง
วันนี้พอได้กล่าวออกมา ความโกรธเกรี้ยวที่เก็บกดเอาไว้ก็ระงับไม่อยู่อีกต่อไป
เขาเคยนึกว่าพระองค์จะไร้ความรู้สึกต่อคนทั้งมวล…..หากเป็นเช่นนั้นก็แล้วไปเถอะ
แต่ว่าพระองค์กลับมีพระทัยให้กับตู๋กูซิงหลัน!
“อิงเอ๋อร์ไม่เคยได้รับความเห็นใจจากท่านเลยแม้แต่น้อย นางตายอย่างทรมาน แม้จะตายก็ยังรู้สึกว่าตนเองนั้นสกปรก ไม่กล้าพบหน้าท่าน”
“นางตายอย่างน่าอนาถ ตายอย่างน่าสงสาร! จีเฉวียนคนเช่นท่านมีสิทธิ์อะไรจะก้าวข้ามเลือดเนื้อของนางไปมีความสุข?”
“ท่านมันไม่คู่ควร! ท่านมันสมควรจะต้องโดดเดี่ยวจนแก่เฒ่าไปชั่วชีวิต มีแต่วันที่เหน็บหนาวอันยาวนานอยู่เคียงคู่ตลอดไปเท่านั้น!”
ฉางซุนซิ่วคำรามเสียงเบา ในดวงตาของเขามีแต่เส้นเลือด คร่ำครวญด้วยน้ำเสียงแหบแห้งปานจะขาดใจ
ที่ผ่านมายามอยู่ต่อหน้าผู้คน เขาคือท่านราชครูผู้งดงามปราชญ์เปรื่อง สุภาพและอ่อนโยน
แต่ตอนนี้ เขากลับเป็นเหมือนคนบ้าผู้หนึ่ง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ท่านเห็นไหม มีแต่ข้าที่เป็นพี่ชายเท่านั้นที่รักนางที่สุด ใช่หรือไม่? ในเมื่อนางต้องตายอย่างอนาถในแคว้นเหยียน ข้าก็จะให้ทั่วทั้งแคว้นเหยียนถูกกลบฝังเป็นเพื่อนนาง! ในเมื่อท่านไม่เคยสนใจนาง ข้าก็จะให้ท่านต้องลงนรกตามไปด้วย!
เดิมทีข้าเคยคิดเอาไว้ว่า รอให้ท่านตายแล้ว….ก็จะฝังท่านกันอิงเอ๋อร์เอาไว้ด้วยกัน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น