กระบี่จงมา 374.1-375.2

บทที่ 374.1 เดินทางไกลไปตะวันออกเฉียงใต้

 

เรือหลายชั้นที่มุ่งหน้าไปยังแคว้นชิงหลวนลำนี้ ผู้สร้างคืออาจารย์ด้านกลไกของสำนักโม่ที่ใช้เจ้าสิ่งนี้หาเลี้ยงชีพ เมื่ออยู่ท่ามกลางเรือข้ามฟากมากมายของนครมังกรเฒ่าจึงดูไม่โดดเด่น ทุกครั้งจะบรรทุกผู้โดยสารร้อยกว่าคน แต่ที่มากกว่านั้นกลับยังคงเป็นสินค้าแปลกๆ หายากที่ขนส่งจากทางเหนือของแจกันสมบัติทวีปไปยังทางทิศใต้ของใบถงทวีป เพียงแต่ว่าสินค้าที่มาอยู่บนเรือของพ่อค้าลำนี้คือผลลัพธ์หลังจากที่ห้าแซ่ใหญ่ของนครมังกรเฒ่าเลือกสรรกันหลายรอบแล้ว คุณภาพของสินค้าจึงธรรมดา มีบางครั้งที่ได้ของดีมาโดยบังเอิญ ได้เงินเกล็ดหิมะเพิ่มมาอีกหลายร้อยเหรียญก็ถือว่าคุ้มค่าให้เฉลิมฉลองกันแล้ว


แคว้นชิงหลวนที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปพอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เป็นที่รู้จักในเรื่องของอารามเต๋าและวัดวาที่มากมายดุจต้นไม้ในผืนป่า เทพเซียนลัทธิเต๋าและภิกษุที่มีคุณธรรมสูงส่งจากฝ่ายต่างๆ มักจะมาจัดงานประกอบพิธีกรรมทางศาสนาครั้งใหญ่ภายใต้การออกเงินทุนของราชสำนักเป็นประจำ บวกกับที่กระดาษเซวียนจื่อชิงถานของแคว้นชิงหลวนก็มีชื่อเสียงอย่างมาก ถูกนำไปวางขายในหลายทวีป เป็นเหตุให้ฮ่องเต้แต่ละรุ่นของแคว้นชิงหลวนได้เลื่อนขั้นเป็นหนึ่งในจักรพรรดิที่ร่ำรวยที่สุดทางพื้นที่แถบตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป อีกทั้งลัทธิพุทธในแจกันสมบัติทวีปยังไม่ได้รับความนิยม แต่จำนวนวัดในแคว้นชิงหลวนกลับมีมากเป็นอันดับหนึ่งของทวีป เสียงสวดบาลีดังไม่ขาดสาย ผนังแต่ละด้านเขียนบทกลอนอันไพเราะของนักปราชญ์ นักประพันธ์ เซียนกวีไว้จนเต็มแน่น จึงดึงดูดเหล่าปัญญาชนผู้มีความรู้จำนวนนับไม่ถ้วนให้เดินทางไปท่องเที่ยวที่แคว้นชิงหลวน


ในห้องชั้นบนที่สะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบของเรือ เฉินผิงอันกำลังนั่งอ่านผลงานของนักประพันธ์ผู้หนึ่งที่เขียนบรรยายถึงทัศนียภาพในแคว้นชิงหลวน ซื้อมาจากร้านหนังสือแห่งหนึ่งในนครมังกรเฒ่า ซึ่งบอกให้จูเหลี่ยนช่วยรวบรวมมาให้โดยเฉพาะ


เฉินผิงอันอ่านหนังสือ เผยเฉียนคัดตัวอักษร


เรื่องราวยากลำบากบนโลกใบนี้ ยากที่การเริ่มต้น หากเคยชินแล้วก็จะไม่คิดแบ่งแยกว่ายากหรือง่ายอีกต่อไป เผยเฉียนก็เป็นเช่นนี้ นางคัดตัวอักษรทุกวันจนกลายเป็นความเคยชิน ต่อให้เฉินผิงอันไม่มานั่งเฝ้า นางก็ยืนหยัดจะเขียนทุกวัน เพียงแต่เฉินผิงอันเองก็รู้ดีว่าหากตนไม่อยู่ข้างกายนาง เรื่องการคัดตัวอักษร เผยเฉียนต้องโยนทิ้งไปแน่นอน อย่างมากสุดก็คงแค่รู้สึกละอายใจอยู่สองสามวัน จากนั้นก็ออกไปเที่ยวเล่นอย่างบ้าคลั่งโดยไม่นึกถึงมันอีก


เฉินผิงอันแบ่งเหล้าดองหลอมเล็กที่หลอมมาจากโอสถทองของเจียวเฒ่าก่อกำเนิดกานั้นเป็นห้าส่วน มอบให้สี่คนในภาพวาดคนละส่วน นี่คือเรื่องโชคดีในจำนวนไม่กี่เรื่องที่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวสามารถใช้ของนอกกายมาเพิ่มพูนตบะได้ ตอนนี้สุยโย่วเปียนมีตบะขอบเขตเจ็ดร่างทอง อีกทั้งยังมีกระบี่อาคมชือซินอยู่ในมือ อันที่จริงพลังการพิฆาตของนางจึงไม่น้อยแล้ว โดยเฉพาะการเข่นฆ่ากันตัวต่อตัว หากเป็นผู้ฝึกลมปราณต่ำกว่าขอบเขตเซียนดินลงไป แล้วปล่อยให้นางขยับเข้าประชิดตัวในระยะสิบจั้ง ก็อาจไม่ใช่ศัตรูที่ฝีมือทัดเทียมกับนางเสมอไป คอขวดของจูเหลี่ยนคลายตัว วี่แววปรากฏชัดเจน ตามหลังสุยโย่วเปียนไปติดๆ อยู่ใกล้การเป็นคนที่สองซึ่งได้เหยียบเข้าไปในสามขอบเขตหลอมจิตของผู้ฝึกยุทธ์ในระยะประชิดแล้ว


ส่วนเว่ยเซี่ยนกับหลูป๋ายเซี่ยงตอนนี้ยังไม่น่าจะฝ่าทะลุขอบเขตไปได้ เพียงแต่ว่าหลังจากที่เจิ้งต้าเฟิงช่วยป้อนหมัดและผ่านศึกเป็นตายนอกนครมังกรเฒ่า ยอดเขาของขอบเขตหกก็ขยับสูงขึ้นไปได้อีกนิด


เดิมทีคนทั้งสี่ในภาพวาดก็ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกและขอบเขตเจ็ดที่ธรรมดาอยู่แล้ว


การเดินทางขึ้นเหนือของแจกันสมบัติทวีปในครั้งนี้ ขอแค่ไม่เจอกับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่สติวิปลาส ต่อให้เผชิญหน้ากับเซียนดินก่อกำเนิดที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ไม่กล้าพูดว่าจะถอยออกมาได้อย่างเต็มตัวไร้ความเสียหาย แต่ย่อมไม่ขาดพลังในการต่อสู้แน่นอน ขอแค่เว่ยเซี่ยนสี่คนยอมกระโจนเข้าหาความตายอย่างไม่หวาดกลัว ไม่แน่ว่าทางฝ่ายของเฉินผิงอันอาจจะพอคว้าชัยชนะมาได้อย่างถูไถ


หลังจากเดินทางผ่านนครมังกรเฒ่าครั้งนี้ สิ่งที่เฉินผิงอันเสียดายที่สุดก็คือยันต์สยบกระบี่กระดาษสีเขียวที่จงขุยใช้เหล็กหมาดหิมะเขียนให้แผ่นนั้น เขามอบมันให้กับเจิ้งต้าเฟิง บังเอิญมากที่กระบี่ซึ่งถูกกักอยู่ภายในก็คือ ‘เจี้ยนเซียน’ อาวุธกึ่งเซียนซึ่งเฉินผิงอันสะพายไว้ด้านหลังในตอนนี้ เพราะฝูฉีเจ้านครมังกรเฒ่าไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ และกระบี่เล่มนี้ก็ไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ผ่านการหล่อหลอมมาแล้ว ดังนั้นพอขึ้นไปบนแท่นมังกร เจิ้งต้าเฟิงก็ใช้ยันต์สยบกระบี่กักขังกระบี่เล่มนี้ ต่อให้ไม่สามารถกักขังได้นานนัก แต่ก็ทำให้ฝูฉียอมแพ้อย่างตรงไปตรงมา


หากมียันต์สยบกระบี่แผ่นหนึ่งติดตัว ต่อให้เจอกับผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่ปราณสังหารพลุ่งพล่าน เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่ต้องหวาดกลัวจนเกินไป กลับกันยังสามารถใช้จังหวะที่ศัตรูไม่ทันตั้งตัวโจมตีให้อีกฝ่ายทำอะไรไม่ถูกเลยก็ยังได้


แต่สิ่งที่ได้มาและสิ่งที่เสียไปเหล่านี้ ยังไม่ถึงขั้นทำให้เฉินผิงอันปล่อยวางไม่ได้


สิ่งที่ทำให้เฉินผิงอันผิดหวังอย่างแท้จริงก็คือยันต์แผ่นนี้คือหนึ่งในยันต์สองแผ่นสุดท้ายที่จงขุยใช้ร่างของวิญญูชน ร่างของมนุษย์บนโลกเขียนมันขึ้นมา


เมื่อเทียบกับเรือข้ามทวีปที่เฉินผิงอันเคยโดยสารและเคยพบเจอมาก่อน เรือข้ามฝากใต้ฝ่าเท้าลำนี้ก็ถือว่ามีขนาดเล็กจิ๋ว ได้แต่ยืนชมทิวทัศน์อยู่ตรงหน้าต่าง ไม่มีระเบียงยื่นออกไป


หลังจากที่เผยเฉียนคัดตัวอักษรเสร็จ เฉินผิงอันก็ตั้งใจตรวจสอบอยู่รอบหนึ่ง พบว่าไม่มีตัวอักษรใดที่เขียนอย่างขอไปทีจนจำเป็นต้องเขียนใหม่ก็เริ่มพานางฝึกเดินนิ่งหกก้าวไปด้วยกัน ทุกวันต้องฝึกอย่างน้อยสองชั่วยาม


เมื่อก่อนเฉินผิงอันไม่รู้สึกว่าการฝึกยืนนิ่งน่าเบื่อหน่ายหรือเป็นเรื่องที่เปลืองแรงกายเปลืองแรงใจแค่ไหน จนกระทั่งเผยเฉียนเริ่มฝึกเขาถึงได้ตระหนักว่าอันที่จริงกระบวนท่าหมัดของตำราหมัดเขย่าขุนเขานี้ง่ายมากจริงๆ แต่หากคิดจะฝึกให้ครบหนึ่งล้านครั้งกลับไม่ง่ายเลย ไม่ง่ายต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ต่อให้เฉินผิงอันคอยสังเกตลมหายใจและพละกำลังของเผยเฉียนอยู่ตลอดเวลา ทว่าทุกครั้งเผยเฉียนจะต้องเหนื่อยจนเหงื่อแตกเต็มหลัง เส้นผมตรงหน้าผากเปียกจนกระจุกรวมกันเป็นก้อน สีหน้าซีดขาว แม้จะไม่กล้าคร่ำครวญหรือบ่นว่าเหนื่อย แต่เฉินผิงอันที่อยู่ด้านข้างเห็นว่าใบหน้าเล็กๆ ดำเกรียมนั้นไม่มีรอยยิ้ม หรือบางครั้งขณะที่เดินไปทีละก้าว เรือนกายผอมบางจะสั่นเทาอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ แม้เฉินผิงอันจะทำสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ตลอดเวลา แต่ในใจก็ยังอดสงสารนางไม่ได้


วันแรกเผยเฉียนอาศัยความฮึกเหิมเหมือนลูกวัวเพิ่งคลอดจึงไม่กลัวสิ่งใด ฝืนประคองตัวจนยืนนิ่งได้สองชั่วยาม ผลคือสุดท้ายเฉินผิงอันต้องแบกนางกลับไปยังห้องที่อยู่ข้างกัน วันที่สองเพิ่งฝึกได้หนึ่งชั่วยามก็ล้มกองอยู่บนพื้น ร่างกระตุกเป็นตะคริว จิงชี่เสินของทั้งร่างหายเกลี้ยง เฉินผิงอันจึงไม่ได้บังคับให้นางต้องฝึกสองชั่วยาม หลายวันหลังจากนั้นคือต้องรับรองว่าจะสามารถฝึกท่าหมัดให้ได้หนึ่งชั่วยามไม่หยุด และทุกครั้งก็จะแค่เพิ่มเวลาขึ้นมาอีกเล็กน้อยเท่านั้น


เผยเฉียนถึงกัดฟันยืนหยัดได้ต่อ


ตอนแรกที่จูเหลี่ยนพูดจาเย้ยหยันอยู่ด้านข้าง ถ่านดำน้อยยังมีแรงถลึงตากลับอย่างขุ่นเคือง ภายหลังนางก็ไม่มีอารมณ์จะไปทวงความยุติธรรมจากจูเหลี่ยนมาให้ตัวเองอีกแล้ว


สิบวันให้หลัง ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดมาได้ บนใบหน้าของเผยเฉียนจึงกลับมามีรอยยิ้มอย่างในวันวาน เวลาเดินก็เริ่มกลับมาเดินอาดๆ หรือไม่ก็กระโดดโลดเต้นอันเป็นสัญลักษณ์ของนาง เวลาที่จูเหลี่ยนพูดจาน่าโมโหว่า ‘คุณชาย บ่าวเฒ่าคิดว่าเผยเฉียนมีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ที่ดีเยี่ยม เวลาที่ขัดเกลาเรือนกาย เส้นเอ็นและกระดูกควรจะรับกับความยากลำบากให้มากหน่อย เลือดลมถึงจะได้พลุ่งพล่าน ไม่สู้ฝึกเดินนิ่งทุกวัน วันละสองชั่วยามจะดีกว่า’ เผยเฉียนก็สามารถกลับไปถลึงตาใส่เขาได้อีกครั้ง


วันนี้ฝึกเดินนิ่งเสร็จ หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กก็เปิดหน้าต่างฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู เผยเฉียนตัวเตี้ยจึงมองเห็นแต่ผนังห้อง หลังจากเฉินผิงอันยอมอนุญาต นางจึงยืนเหยียบอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง สามารถมองทะเลเมฆนอกหน้าต่างไปพร้อมกับเฉินผิงอันได้พอดี


เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ต้องเชื่อว่าเมื่อความทุกข์ยากหมดไป ความหวานชื่นจะมาเยือน”


ตอนนี้การฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูของเผยเฉียนเป็นแค่การทำท่าทางให้เหมือนเท่านั้น ประสิทธิผลที่ได้รับน้อยนิดอย่างยิ่ง สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันเองก็แปลกใจอย่างมาก หลังจากถามพวกสุยโย่วเปียนก็ยังไม่ได้คำตอบที่กระจ่าง


เมื่อผ่านช่วงเวลาการฝึกเดินนิ่งที่ยากลำบากของวันนี้ไปได้อีกครั้ง เผยเฉียนกำลังแอบดีใจ นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงหันหน้ามาพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความวาดหวัง “วันหน้าเวลาที่ข้าไปท่องยุทธภพก็มีกระบี่เล่มหนึ่งด้วยได้ไหม? ทางที่ดีที่สุดคือพกดาบเล่มหนึ่งไว้ตรงเอวเหมือนเสี่ยวป๋ายด้วย ตอนนั้นข้าต้องมีเรี่ยวแรงไม่น้อยแล้วแน่ๆ ไม่กลัวว่าจะมาก ไม่กลัวว่าจะหนัก”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ขอแค่เจ้าไม่แอบอู้ ข้าสามารถรับปากได้ตอนนี้เลย วันใดในอนาคตที่เจ้าเดินทางท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง จะต้องมอบกระบี่หนึ่งเล่มและดาบหนึ่งเล่มให้เจ้าอย่างแน่นอน”


เผยเฉียนรู้สึกเขินอายเล็กน้อย พูดเสียงเบาว่า “อันที่จริงข้าคิดมาดีแล้ว วันหน้าหากมีดาบและกระบี่เป็นของตัวเองก็จะห้อยไว้ตรงเอวข้างเดียวกัน แม้แต่ชื่อข้าก็ตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว อาจารย์ท่านอยากฟังหรือไม่?”


เฉินผิงอันยิ้ม “ไหนลองว่ามาสิ”


เรื่องตั้งชื่อนี้ เฉินผิงอันเชี่ยวชาญมากมาโดยตลอด


ยกตัวอย่างเช่นชูอีสืออู่ ยกตัวอย่างเช่นกำจัดปีศาจปราบมาร


เผยเฉียนพูดเบาๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เรียกว่า ‘เตาเจี้ยนชั่ว’ เพราะห้อยตัดกันอยู่ตรงเอวอย่างไรล่ะ (เตาคือดาบ เจี้ยนคือกระบี่ ชั่วแปลว่าสลับกัน/ซ้อนกัน) อาจารย์ ท่านคิดว่าเป็นอย่างไร?”


เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ดีมาก”


ดวงตาทั้งคู่ของเผยเฉียนยิ้มจนตาหยีลงเป็นพระจันทร์เสี้ยว ยื่นนิ้วสองนิ้วมาประกบติดกัน “ขอแค่ดีได้เท่านี้ของกระบี่เล่มที่อาจารย์สะพายอยู่ ข้าก็ดีใจมากแล้ว”


เฉินผิงอันฟุบตัวคว่ำอยู่บนหน้าต่าง หันหน้ามายิ้มให้นาง “เดี๋ยวพอเรือจอดเทียบท่า พวกเรายังคงทำตามกฎเดิม เดินเท้าท่องไปในแคว้นชิงหลวน ถึงเวลานั้นถ้าเห็นป่าไผ่ข้างทาง ข้าจะเลือกเอาไม้ไผ่แก่ๆ ที่มีอายุมากน้อยมาทำเป็นดาบไม้ไผ่และกระบี่ไม้ไผ่ให้เจ้าสองเล่ม หากไม่รังเกียจก็ห้อยเอาไว้ก่อน”


เผยเฉียนพูดเสียงดัง “เอาแบบที่น้ำหนักเบาหน่อย ขนาดเล็กหน่อย แขวนไว้บนตัวจะได้ไม่หนัก”


เฉินผิงอันยิ้มตอบรับ มองไปทางทะเลเมฆ ถามชวนคุย “แล้วไม้เท้าเดินป่าอันนั้นล่ะจะทำอย่างไร?”


เผยเฉียนตอบอย่างไม่ลังเล “มันคือขุนพลผู้แกล้วกล้าอันดับหนึ่งที่อยู่ใต้บังคับบัญชาข้า เดินทางเคียงข้างข้ามาไกลขนาดนั้น ข้าตัดใจทิ้งมันไม่ลงหรอก ข้าเตรียมจะอนุญาตให้มันปลดเกราะเหล็กกลับบ้านเกิด เลี้ยงหลานอยู่บ้าน วันหน้าค่อยไปขอคำแนะนำจากเว่ยเซี่ยนว่าควรจะประทานยศขุนนางอะไรให้กับมัน…”


เผยเฉียนร่ายความรู้ที่ชวนเข็ดฟันออกมายาวเหยียด


แต่เฉินผิงอันกลับพยักหน้าเห็นด้วย เอ่ยเบาๆ ว่า “แบบนี้น่ะถูกแล้ว”


……


นครมังกรเฒ่า ทางฝั่งของร้านยาฮุยเฉิน อันที่จริงเจิ้งต้าเฟิงไม่มีสัมภาระอะไรให้จัดเก็บ นอกจากเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าสะอาดก็มีแค่กระบอกยาสูบเก่าอันนั้นที่พกติดตัว


ราวกับว่าชายฉกรรจ์เนื้อตัวสกปรกมอมแมมคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เฝ้าประตูไม้พังๆ ของถ้ำสวรรค์หลีจูในปีนั้น หรือตอนที่มาเยือนที่นี่ ก็คล้ายว่าเขาจะเป็นอย่างนี้ไปชั่วชีวิต ไม่มีของอะไรที่จำเป็นต้องหยิบขึ้นมา และไม่มีสิ่งใดที่วางไม่ลง


พรุ่งนี้จะต้องโดยสารเรือข้ามฝากของตระกูลฝูเดินทางกลับเขตการปกครองหลงเฉวียนราชวงศ์ต้าหลีแล้ว วันสุดท้ายที่อยู่ที่นี่ เจิ้งต้าเฟิงจึงหยิบม้านั่งมานั่งอยู่ใต้ต้นไหวโบราณ


ผู้เฒ่าแซ่สวินจากไปแล้ว บอกว่าจะไปพบสหายคนหนึ่งที่พรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน


เมื่อวานหลี่เอ้อร์ย้อนกลับมาที่นครมังกรเฒ่า ฝูฉีก็พาบุตรชายคนโตฝูตงไห่เร่งรุดมาหา ความหมายของฝูฉีนั้นชัดเจนมาก ฝูตงไห่ตัดสินใจโดยพลการจึงชักนำให้เกิดหายนะในครั้งนี้ ขอแค่เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยคำเดียวก็สามารถบอกให้หลี่เอ้อร์ออกหมัดต่อยทำลายสะพานแห่งความเป็นอมตะของฝูตงไห่ได้เลย นับจากนี้ตระกูลฝูก็จะเลี้ยงฝูตงไห่เป็นคนไร้ค่าคนหนึ่ง


เจิ้งต้าเฟิงยิ้มถามฝูฉี เหตุใดถึงไม่พาฝูตงไห่ที่ถูกทำลายสะพานแห่งความเป็นอมตะแล้วมาที่ร้านยา แบบนั้นจะไม่ดูจริงใจกว่าหรือ


ฝูฉีไม่อาจหาคำมาตอบโต้ได้


ฝูตงไห่ก็นับว่ากระดูกแข็งนั้น ไม่เพียงแต่ไม่ขอร้อง กลับยังพูดจาท้าทายอยู่สองสามคำ ท่าทางราวกับว่าหากหลี่เอ้อร์ไม่ออกหมัดเขาจะครั่นเนื้อครั่นตัวรู้สึกไม่สบายอย่างไรอย่างนั้น

 

 

 


บทที่ 374.2 เดินทางไกลไปตะวันออกเฉียงใต้

 

ตอนนั้นเจิ้งต้าเฟิงสีหน้าเหนื่อยล้า นั่งสูบยาอยู่ในลานบ้าน


เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าตกลงทำการค้ากับราชวงศ์ต้าหลีและตระกูลฝู ตระกูลฟ่านเรียบร้อยแล้ว


ในขณะที่กีบเท้ากองทัพม้าเหล็กของตระกูลซ่งเหยียบลงบนชายหาดทะเลทักษิณของนครมังกรเฒ่า ฟ่านจวิ้นเม่าผู้นั้นสามารถกลายเป็นองค์เทพแห่งขุนเขาองค์ที่สองของราชวงศ์ต้าหลีต่อจากองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือเว่ยป้อ


และค่าตอบแทนที่ผู้เฒ่าต้องจ่ายก็มีแค่ตบะของเขตเก้าของเจิ้งต้าเฟิงเท่านั้น


เจิ้งต้าเฟิงรู้ว่าเรื่องราวในครั้งนี้ถือว่ายุติลงแล้ว


เจิ้งต้าเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็บอกว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน วันเวลายังอีกยาวไกล ดุจธารน้ำสายเล็กที่ไหลยาว


ฝูฉีถอนหายใจโล่งอก เตรียมจะพาฝูตงไห่กลับจวน ผลกลับกลายเป็นว่าหลี่เอ้อร์ปล่อยหมัดต่อยเข้าที่หัวใจของฝูตงไห่


สะพานแห่งความเป็นอมตะไม่เพียงขาดไป อีกทั้งยังแหลกสลายจนแม้แต่เทพเซียนก็ช่วยไม่ได้


หลี่เอ้อร์ไม่มองฝูตงไห่ผู้นั้น แต่จ้องมองฝูฉีด้วยสีหน้าเฉยเมย “ข้ารู้สึกว่าในฐานะของบิดา ควรช่วยออกหน้าให้บุตรชาย”


ฝูฉีประคองฝูตงไห่บุตรชายคนโตที่ล้มแล้วลุกไม่ได้อีกขึ้นมา สีหน้าไม่มีความแค้นเคืองแม้แต่นิดเดียว ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ในที่สุดก็ทำให้ท่านหลี่เอ้อร์ได้ระบายความแค้นเคืองครั้งนี้ออกมา มาครั้งนี้ไม่ถือว่าเสียเที่ยว ก็เหมือนกับที่ท่านเจิ้งพูด วันเวลายังอีกยาวไกล ดุจธารน้ำสายเล็กที่ไหลยาว”


“อ้อ?”


หลี่เอ้อร์ถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ถือโอกาสนำทางข้าไปที่ศาลบรรพชนตระกูลฝูสักรอบดีไหม?”


ฝูฉีที่ถือว่าเก็บอารมณ์ได้ดีสีหน้าเขียวคล้ำในชั่วพริบตา


เจิ้งต้าเฟิงกล่าว “หลี่เอ้อร์ พอได้แล้ว”


หลังจากที่ฝูฉีพาฝูตงไห่จากไป เพียงไม่นานหลี่เอ้อร์ก็ออกไปจากนครมังกรเฒ่า


วันนี้ใต้ต้นไหว เจิ้งต้าเฟิงนั่งอาบแดดที่อบอุ่นของต้นฤดูใบไม้ผลิเพียงลำพัง สวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมที่สบายตัวซึ่งเผยเฉียนช่วยซื้อมาให้พวกเขา


แม้นางที่ไม่ได้เห็นหน้ามานานผู้นั้น คงเป็นเพราะกินอาหารช่วงปีใหม่มาอย่างสมบูรณ์พร้อมจึงดูเหมือนใบหน้าและหุ่นของนางจะ ‘อวบอิ่ม’ ขึ้นมาอีกนิด ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เอาแต่เดินส่ายไปส่ายมาอยู่ด้านหน้าเจิ้งต้าเฟิง คราวนี้นางกลับปลุกความกล้าเดินมาใกล้เจิ้งต้าเฟิง ถามอย่างเขินอาย “เถ้าแก่เจิ้ง ที่ร้านรับคนไหม?”


เจิ้งต้าเฟิงยิ้มส่ายหน้า “ไม่รับแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะกลับบ้านเกิด หากินอยู่ในนครมังกรเฒ่าของพวกเจ้ายากเกินไป”


แม้ว่าแม่นางคนนี้จะอ้วนจนเกินจริงไปมาก แต่กลับมีน้ำเสียงที่อ่อนนุ่มเสนาะหูมากเป็นพิเศษ บนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความผิดหวัง “ยังจะกลับมาอีกไหม?”


เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า “ไม่กลับมาแล้วล่ะ”


นางกล่าวอย่างแปลกใจ “ไม่ได้บอกว่าที่นี่คือบ้านเดิมของบรรพบุรุษเจ้าหรอกหรือ แล้วร้านจะทำอย่างไร?”


เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “ก็ปล่อยว่างไว้นั่นแหละ ร้านยาฮุยเฉิน (ฝุ่นเกาะ) นี่นะ จะกินฝุ่นก็เป็นเรื่องปกติ”


นางหน้าแดงเล็กน้อย “ไม่อย่างนั้นมอบกุญแจให้ข้าดีไหม ข้าจะช่วยทำความสะอาดให้เจ้า หากในบ้านไม่มีกลิ่นอายของคนอยู่เลยก็ง่ายที่จะโทรมเร็ว น่าเสียดายนัก”


เจิ้งต้าเฟิงโบกมือ “ไม่ต้องๆ ไม่ต้องจริงๆ ขอบคุณแม่นางมาก”


เจิ้งต้าเฟิงมองสีท้องฟ้า ดวงอาทิตย์กลมโตยังส่องแสง แต่ว่ายามนี้ถือว่าไม่เช้าแล้ว ยังต้องกลับไปเก็บสัมภาระ แม่นางคนนั้นกัดริมฝีปาก มองชายฉกรรจ์หลังค่อมที่หิ้วม้านั่งเผ่นหนีไปอย่างลนลานก็พลันถามว่า “เถ้าแก่เจิ้ง ไม่อยากจะถามบ้างหรือว่าข้าแซ่อะไร?”


ถึงอย่างไรเจิ้งต้าเฟิงก็ไม่หน้าหนาพอจะทำเป็นไม่ได้ยิน จึงได้แต่หยุดเดิน หันหน้ากลับมา “ไม่ทราบว่าแม่นางแซ่อะไร?”


นางคลี่ยิ้มหวาน “ข้าชอบกินขิง ดังนั้นแซ่เจียง!” (姜 เป็นได้ทั้งแซ่ และแปลว่าขิงก็ได้)


เจิ้งต้าเฟิงอึ้งตะลึง


พูดมาอย่างนี้ เขาจะต่อบทสนทนาอย่างไร?


แค่ดูจากแต่ละครั้งก่อนหน้านี้ที่แค่เดินผ่านไปผ่านมาโดยไม่เอ่ยอะไร ก็รู้แล้วว่าแม่นางคนนี้รู้จักมารยาท มีนิสัยอ่อนโยนไม่ชอบตอแยใคร วันนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น นางเบี่ยงตัวยอบกายคารวะ “หวังว่าเถ้าแก่เจิ้งจะเดินทางราบรื่นปลอดภัย”


เจิ้งต้าเฟิงจึงยิ้มและโบกมือเป็นการบอกลานาง


เป็นแม่นางที่ดี


ในม่านรัตติกาลของค่ำคืนนี้ ทางชานเมืองทิศเหนือนอกนครมังกรเฒ่า


หลุมศพขนาดเล็กใหม่เอี่ยมหลุมหนึ่ง ด้านบนยังมีกระดาษสีแดงหลายแผ่นที่ใช้หินก้อนเล็กทับเอาไว้


ชายฉกรรจ์หลังค่อมนั่งยองอยู่หน้าหลุมศพ เผาหนังสือเล่มหนึ่ง จากนั้นก็วางตะเกียงนำมันดวงเล็กสิบดวงไว้หน้าหลุม น้ำมันในตะเกียงเป็นสีดำสนิทแผ่กลิ่นอายเยียบเย็นอึมครึม เพียงแต่ว่ากลับไร้ไส้ตะเกียง


แล้วแบบนี้จะจุดไฟอย่างไร?


เทพหยินตนหนึ่งเผยกายขึ้นมาจากความว่างเปล่า ดีดนิ้วใส่ตะเกียงน้ำมันเหล่านั้น ตะเกียงน้ำมันสิบดวงก็ทยอยกันสว่างไสว หากมองอย่างละเอียดจะเห็นว่าไส้ตะเกียงที่สูงชุ่นกว่ามีลักษณะแปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง เพราะเป็นควันเขียวกลุ่มหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนคน ใบหน้าบิดเบี้ยวคล้ายกำลังได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานสูงสุดประหนึ่งดวงวิญญาณถูกเผาไหม้ ประหนึ่งกล้ามเนื้อค่อยๆ หลอมละลายทีละหยดผสานรวมกลายเป็นส่วนหนึ่งของน้ำมันตะเกียง


ไส้ตะเกียงของตะเกียงทั้งสิบดวงแบ่งออกเป็นสามจิตเจ็ดวิญญาณของคนผู้หนึ่ง


เนื้อหนังมังสายังคงอยู่


ทว่าดวงวิญญาณกลับถูกเทพหยินตนนี้ใช้วิชาอำมหิตกักตัวมา


ชายฉกรรจ์ไม่สะทกสะท้าน เพียงแค่นั่งยองอยู่ตรงนั้น พูดกับหลุมศพเบาๆ ว่า “กลัวว่าเจ้าเห็นภาพน่าสยดสยองนี้แล้วจะกลัว ข้าจะรอให้ไฟดับก่อนแล้วค่อยจากไป”


……


ท่ามกลางสีแห่งราตรี ทางฝั่งบ้านบรรพบุรุษของตระกูลซุน ซุนเจียซู่กำลังเดินเล่นเลียบริมลำคลองอยู่เพียงลำพัง


ต่อให้บรรพบุรุษตระกูลซุนจะเป็นเซียนดินก่อกำเนิด แต่ตลอดหลายวันมานี้ก็ยังทอดถอนใจเฮือกๆ เจ็บใจอย่างถึงที่สุด


กลับกลายเป็นซุนเจียซู่ที่ต้องหันมาปลอบใจบรรพบุรุษของตน โชควาสนาเช่นนี้ หากได้มาคือความโชคดี หากสูญเสียไปก็คือชะตาฟ้าลิขิต ได้แค่คิดว่าตระกูลซุนไม่มีโชคดีแบบนี้เท่านั้น


คุณชายหนุ่มหน้าตาดุจหยกสลักผู้หนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายซุนเจียซู่อย่างเงียบเชียบ ต่อให้เป็นบรรพบุรุษสกุลซุนและผู้ถวายงานโอสถทองทั้งสามท่านก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงริ้วลมปราณสักเสี้ยว


ซุนเจียซู่เห็นยอดฝีมือที่ก่อนหน้านี้เคยช่วยเขาคลายปมในใจก็รีบคารวะทันที “คารวะท่านฟ่าน”


ครั้งนั้นที่เล่นงานเฉินผิงอัน ไม่เพียงแต่จากมิตรกลายมาเป็นศัตรู ซุนเจียซู่ยังเกือบจะสูญเสียเพื่อนสนิทอย่างหลิวป้าเฉียวไปด้วย


ก็เป็นยอดฝีมือนอกโลกที่ไม่รู้ว่าอายุกี่ร้อยกี่พันปีตรงหน้าผู้นี้ที่มาหาซุนเจียซู่ซึ่งกำลังขวัญหาย เอ่ยประโยคหนึ่งเป็นการชี้นำทางออกจากเขาวงกต ทำให้สติปัญญาของซุนเจียซู่เปิดโล่งในทันที


“เดินอยู่บนเส้นทาง ซึ่งถือว่าพอจะสร้างความดีความชอบไว้บ้าง แต่แค่สะดุดหินก้อนเดียว ล้มกระแทกลงอย่างแรงจนเจ็บตัว ก็หมายความว่าเจ้าเลือกเดินทางผิดแล้วหรือ?”


“ทางสายใหญ่ที่เฉินผิงอันเดินไปนั้นดีมาก ก็หมายความว่าทางที่เจ้าซุนเจียซู่เลือกเดินไม่ดี? ไม่ใช่อย่างนี้ก็เป็นอย่างนั้น ความคิดเด็กน้อยเช่นนี้ยังคิดจะดีดลูกคิดทำการค้าอะไรได้อีก?”


“ต่อให้มหามรรคาของคนอื่นจะดีแค่ไหนก็เป็นเส้นทางของคนอื่น ไม่สู้ก้มหน้าก้มตาทำงานไป อย่าเอาแต่คิดเก็บเกี่ยวผลผลิตโดยลืมเพาะปลูก บางครั้งก็แค่เงยหน้าขึ้น เหลียวซ้ายแลขวามองทัศนียภาพของคนที่อยู่บนทางสายอื่นบ้างก็พอแล้ว”


ถ้อยคำอันล้ำค่า มีทองพันชั่งก็ยากจะหาซื้อได้


‘ยอดฝีมือ’ ที่มองใบหน้าแล้วคล้ายจะดูหนุ่มกว่าซุนเจียซู่ผู้นั้น บอกแค่ว่าตัวเองแซ่ฟ่าน แต่แทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลฟ่านของนครมังกรเฒ่าเลย


อาศัยสัญชาตญาณ ซุนเจียซู่รู้สึกเชื่อมั่นในเรื่องนี้อย่างยิ่ง


คนผู้นี้ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อันที่จริงหลังจากนี้นครมังกรเฒ่าจะมีแค่สามตระกูลแล้ว ฝูฉี หรือควรจะพูดว่าตระกูลฝูของหวังจูผู้นั้น ฟ่านจวิ้นเม่า หรือจะเรียกว่าตระกูลฟ่านของเสินจวินผู้เฒ่า ตระกูลสุดท้าย ตระกูลซุนของพวกเจ้ามีสิทธิ์ครึ่งหนึ่ง ส่วนตระกูลติงฟางโหวที่เหลือก็รวมกันเป็นอีกครั้งหนึ่ง การเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบที่หนักหน่วง จงมุมานะอุตสาหะต่อไป”


ซุนเจียซู่พยักหน้ารับ “ตระกูลซุนของข้าต้องไม่พลาดโอกาสที่พันปีก็ยากจะพานพบครั้งนี้อย่างแน่นอน”


คนผู้นั้นคลี่ยิ้ม “พันปียากจะพานพบ? ใช่แค่นั้นเสียที่ไหน”


ซุนเจียซู่อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย นอกจากจะขบคิดความหมายลึกซึ้งในคำพูดประโยคนี้แล้วยังคิดถึงวันนั้นที่แอบเดินทางไปส่งเฉินผิงอันด้วย


คนหนุ่มที่สวมชุดขาวสะพายกระบี่เล่มยาวผู้นั้น ตอนที่เรือข้ามฟากทะยานขึ้นกลางอากาศก็ราวกับว่ามองเห็นตนจากกระแสกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลัง


เขาไม่เพียงแต่ไม่ทำเป็นแสร้งมองไม่เห็น กลับกันยังกุมหมัดบอกลา สุดท้ายยังชูมือขึ้นสูง ยื่นนิ้วโป้งออกมา


ซุนเจียซู่คลี่ยิ้มบางๆ


ตอนนั้นเป็นเช่นนี้ ครั้งนี้ก็ยังเป็นเช่นเดียวกัน


……


ในวังหลวงของราชวงศ์แห่งใหม่ที่เพิ่งลุกผงาด


มีอาจารย์และศิษย์คู่หนึ่งเดินอยู่บนทางแคบระหว่างกำแพงสูงใหญ่สองฝั่ง คนหนุ่มชุดขาวหน้าตาหล่อเหลายื่นนิ้วมือมาระไปบนกำแพงระหว่างที่เดินไป


สตรีที่อยู่ข้างกายของเขารูปร่างสูงใหญ่ แต่กลับไม่ให้ความรู้สึกเก้กัง เทอะทะเลยแม้แต่น้อย


ระหว่างที่ก้าวเดิน นางไม่มีลมปราณ


ไม่มีลักษณะปราณวิญญาณบริสุทธ์ที่ฟ้าและคนผสานเป็นหนึ่งของผู้ฝึกลมปราณ ไม่มีพลังอำนาจของปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ถึงขั้นไม่มีลมหายใจอย่างมนุษย์ธรรมดาทั่วไป


สตรีร่างสูงใหญ่ห้อยกระบี่ไว้ตรงเอวตลอดเวลา แต่กระบี่เล่มนี้กลับไร้ฝัก เมื่อไม่กี่วันก่อนนางเพิ่งจะหาฝักกระบี่ไผ่เขียวที่มองดูเหมือนธรรมดาให้กับกระบี่ที่ถูกขัดเกลาความคมในบ่อสายฟ้าของภูเขาห้อยหัวเจอ


เป็นฝักกระบี่ที่ข้ารับใช้ข้างกายนางคนหนึ่งหามาจากในแจกันสมบัติทวีปด้วยความยากลำบาก


คนหนุ่มที่ไม่ว่าจะมองไกลหรือมองใกล้ก็ล้วนประหนึ่งเทพเซียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบางๆ “อาจารย์ ซื้อหรือว่าแย่งมา?”


สตรีเอ่ยเรียบๆ “ได้ยินว่าซื้อมา”


คนหนุ่มถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็คงบังคับซื้อสินะ”


สตรีคลี่ยิ้ม “หากเจ้ารู้สึกว่าแบบนี้ไม่ถูก สามารถไปต่อยตีกับเขาสักรอบได้”


คนหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “ตอนนี้ข้าเฉาสือเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้านะ จะสู้กับเขาได้อย่างไร?”


หญิงสาวหยุดเดิน “เจ้าลืมพูดสองคำว่าแข็งแกร่งที่สุดไป”


เฉาสือคิดแล้วก็ใช้ปลายเท้าปาดลงบนพื้น วาดเส้นสั้นๆ สองเส้นหนึ่งอยู่ซ้ายหนึ่งอยู่ขวา แล้วยกปลายเท้าชี้ไปยังเส้นที่อยู่ทางฝั่งซ้าย “พูดถึงแค่ขอบเขตห้า ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพรสวรรค์ทั่วไปบนโลกอยู่ตรงนี้”


แล้วเขาก็ย้ายปลายเท้าไปที่ฝั่งขวา “ข้าเฉาสืออยู่ตรงนี้”


จากนั้นเขาก็ใช้เท้าจิ้มไปตรงกลางระหว่างทั้งสองเส้น “นอกจากข้าแล้ว ผู้มีพรสวรรค์ในขอบเขตห้าที่โดดเด่นที่สุดของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง น่าจะอยู่ตรงนี้”


สตรีร่างสูงใหญ่ไม่ได้รู้สึกว่าลูกศิษย์ของตนคือเด็กหนุ่มที่อวดดีไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ดูแคลนผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดียวกัน ในความเป็นจริงแล้วนางรู้สึกว่าเฉาสือพูดจาเช่นนี้ค่อนข้างจะเกรงใจแล้ว


เฉาซือพลันย่อตัวลงนั่งยอง ยื่นนิ้วชี้ไปที่เส้นตรงกลางแล้ววาดขยับไปทางเส้นของตัวเขาเอง “ข้ารู้สึกว่าหลังจากข้าฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว ขอบเขตห้าของเจ้าหมอนั่นสามารถเดินมาถึงตรงนี้”


สตรีก้มหน้าลงมองตำแหน่งที่เฉาสือใช้นิ้ววาดออกไป พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย “น่าจะประมาณนี้”


ในขณะที่หนึ่งอาจารย์หนึ่งลูกศิษย์ หนึ่งยืนหนึ่งนั่งพูดคุยกันถึงโชคชะตาบู๊ของใต้หล้า


ห่างออกไปไกล ขันทีอันดับหนึ่งของราชวงศ์ใหญ่แห่งนี้ ขันทีผู้กุมตราประทับซือหลี่เจียน (ผู้ตรวจและอ่านฎีกาถวายต่อฮ่องเต้) ซึ่งมีหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตเซียนเหรินกำลังพาขันทีใหญ่สวมชุดหม่างสีแดงสดกลุ่มหนึ่งเดินมาทางนี้ พอเห็นคนทั้งสองก็พากันหยุดเดิน ยืนกุมมืออย่างนอบน้อม ไม่มีใครกล้าหายใจแรง


……


เรือข้ามฟากมาถึงท่าเรือของชายแดนแคว้นชิงหลวน พวกเฉินผิงอันเดินอยู่บนถนนใหญ่ที่เจริญรุ่งเรืองของท่าเรือแห่งนี้ ไม่รู้ว่าทำไม ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวก็ล้วนเป็นฝ่ายหลีกทางเดินห่างออกไป ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางที่ขอบเขตยิ่งสูงสายตาก็ยิ่งดี รวมไปถึงยอดฝีมือผู้ฝึกยุทธ์สามขอบเขตหลอมลมปราณที่มีประสบการณ์ในยุทธภพอย่างโชกโชนก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็นขุมหนึ่ง


สตรีหน้าตางดงามสะพายกระบี่ บุรุษร่างสูงใหญ่ห้อยดาบแคบ ชายชราหลังค่อมที่อมยิ้มบางๆ บุรุษตัวเล็กเตี้ยสีหน้าทึ่มทื่อ


ล้วนไม่ธรรมดา


แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งที่อำพรางลมปราณอยู่ในกระแสผู้คนถึงได้รู้สึกว่าพลังอำนาจของคนทั้งสี่นี้มารวมกัน ก็คล้ายว่าจะยังเทียบคนหนุ่มสะพายกระบี่ที่เห็นได้ชัดว่ายังบาดเจ็บคนนั้นไม่ได้


ประหนึ่งกลุ่มดาวห้อมล้อมดวงเดือน

 

 

 


บทที่ 375.1 พบเจอคนคุ้นเคยในต่างแดน

 

หลายครั้งก่อนหน้านี้ที่เดินทางผ่านท่าเรือตระกูลเซียน นอกจากการซื้อขายที่หอชิงฝูของท่าเรือที่เชื่อมต่อระหว่างแคว้นซูสุ่ยกับแคว้นซงซีครั้งนั้นแล้ว ครั้งอื่นๆ หากเฉินผิงอันไม่เดินทางอย่างรีบร้อนก็แค่เดินดู ไม่ได้ซื้อ วันนี้เขาจึงถือโอกาสพาพวกเผยเฉียนเดินเล่นที่ท่าเรือแห่งนี้ให้ดีสักครั้ง เฉินผิงอันมอบเงินให้สี่คนในภาพวาดคนละหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย ให้พวกเขาได้ซื้อของที่ตัวเองต้องการ เงินเทพเซียนบนภูเขามีคำกล่าวว่า ‘พันร้อยสิบ’ เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญมีมูลค่าสองพันเงินตำลึงขาวของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญก็เท่ากับเงินขาวหนึ่งแสนตำลึง คิดจะซื้ออาวุธวิเศษหรือสมบัติอาคมนั้นไม่ต้องคาดหวัง แต่หากจะซื้อของใช้บางอย่างบนภูเขาที่ฝีมือประณีตหายาก เวลาปกติเอาออกมาชื่นชมให้เพลิดเพลินก็สามารถซื้อมาเก็บไว้ได้หลายชิ้น ไม่ใช่เรื่องยาก


นัดหมายกับคนทั้งสี่ในภาพวาดไว้เรียบร้อยแล้วว่าอีกหนึ่งชั่วยามไปเจอกันในสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของท่าเรือ เฉินผิงอันจะพาเผยเฉียนไปเดินเล่นเอง ซื้อของที่ท่าเรือ สถานที่ที่มียอดฝีมือเฝ้าพิทักษ์อย่างหอชิงฝูนั้น ความเป็นไปได้ที่จะเก็บได้ของดีนั้นมีน้อยมาก อีกทั้งราคายังแพงลิบลิ่ว พวกคนที่สะพายผ้าห่อบุญเอาของมาขายไม่มีร้านเป็นหลักเป็นแหล่งเสียอีกที่ทำให้คนได้เสี่ยงโชค ทดสอบสายตาในการดูของได้ดีที่สุด คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่มีสี่สมุทรเป็นบ้าน ชอบซื้อของราคาต่ำมาจากลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงที่ตกต่ำ หรือไม่ก็บอกว่าบรรพบุรุษหรือบรรพาจารย์ในสำนักของตนเคยมีเซียนดินอย่างโอสถทอง ก่อกำเนิดมาก่อน แนวทางการขายของของพวกเขาก็จะเป็นทำนองนี้ คนซื้อไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันอะไรมาก ปีนั้นเฉินผิงอันเดินทางพร้อมกับสวีหย่วนเสียจอมยุทธ์ที่ขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่ว จึงได้เรียนรู้เคล็ดลับมาไม่น้อย ภายหลังการอธิบายคำว่า ‘จับคู่ในกรง’ ของเหยาจิ้นจือ อันที่จริงก็หมายถึงอาชีพนี้


เผยเฉียนมีประสบการณ์น้อยนิด สำหรับภาพวาดตัวอักษรเทพเซียน อาวุธวิเศษ ภูตประหลาดที่ไม่ว่าจะพิสดารแค่ไหนก็มีอยู่ทั่วทุกร้าน นางล้วนจับจ้องมองตาไม่กะพริบ เผยเฉียนมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง นางถูกจูเหลี่ยนเหน็บแนมว่าเป็นเถาเถี่ย (หมายถึงตัวตะกละ) น้อย ชอบรับของเอาไว้ ไม่ว่าใครให้อะไรก็ไม่ปฏิเสธ แต่ไม่ชอบจ่ายเงิน แม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่หลุดไปจากมือของนาง ดังนั้นต่อให้จะเป็นของที่อยากได้แค่ไหน นางก็แค่เหลือบมองบ่อยครั้งหน่อย ไม่มีทางเปิดถุงหอมใบเล็กที่กุ้ยฮูหยินมอบให้ แต่นางกลับเอามาใช้เป็นถุงเงินใบนั้นอย่างแน่นอน หากชอบมากจริงๆ ก็จ้องเป๋งตาไม่กระพริบ มองแล้วก็จะคิดว่าเป็นของของตัวเอง แค่นางฝากเก็บไว้ในร้านชั่วคราวเท่านั้น


ส่วนเฉินผิงอันก็ไม่ใช่คนมือเติบมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นเดินเล่นกับเผยเฉียนอยู่เกือบครึ่งชั่วยาม แวะเวียนเข้าไปสิบกว่าร้านแล้ว แต่กลับไม่ควักเงินเหรียญทองแดงจ่ายออกไปแม้แต่เหรียญเดียว


ระหว่างทางเจอคนสะพายผ้าห่อบุญคนหนึ่ง เป็นชายฉกรรจ์วัยกลางคนขาพิการที่ท่าทางดูซื่อๆ บอกว่าตัวเองแซ่หลิว สามารถเรียกเขาว่าหลิวกานจื่อ เขาเห็นเฉินผิงอันที่สวมชุดขาว สะพายกระบี่ยาวฝักสีขาวก็เดินตามมาเจ็ดแปดร้อยก้าว หน้าตาเป็นคนซื่อ ทว่าปากกลับไม่ทึ่มทื่อ บอกว่าปู่ของเขาคือแม่ทัพใหญ่ของแคว้นเหวินจิ่ง หลังจากที่แคว้นเหวินจิ่งล่มสลาย ฮ่องเต้ก็ตายระหว่างที่หลบหนี ตราลัญจกรชือหู่หนึ่งในสมบัติสิบเจ็ดชิ้นของตำหนักเจียวไท่ที่หายสาบสูญไปถูกท่านปู่ของเขานำเข้าไปในอยู่ในหมู่ชาวบ้าน ตอนนี้เซียนซือใหญ่ท่านหนึ่งของแคว้นชิงหลวนสามารถรวบรวมสมบัติสิบหกชิ้นครบแล้ว ขาดแค่ ‘สมบัติวิเศษรวบรวมโชคชะตา’ ชิ้นนี้เท่านั้น ในวงการเก็บสะสมของเก่า ‘สมบูรณ์แบบและครบถ้วน’ คือภารกิจที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ดังนั้นสมบัติสำคัญที่ ‘ไม่แน่ว่าอาจจะซุกซ่อนลมปราณมังกรแห่งชะตาแคว้นเอาไว้’ ชิ้นนี้จึงมีมูลค่าควรเมือง


การที่ชายฉกรรจ์เดินตามมาเจ็ดแปดร้อยก้าว หนึ่งเป็นเพราะคนหนุ่มที่แค่มองก็รู้ว่ามีเงินผู้นี้นิสัยดี ไม่ไล่เขา กลับกันยังตั้งใจฟังอย่างมาก อีกอย่างหากชายฉกรรจ์ยังขายของไม่ออกก็ต้องเจอกับความยากลำบากใหญ่หลวงแล้ว บัญชีปลายปีของเมื่อปีก่อนที่กว่าเขาจะตบตาผ่านมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ นั้นเกี่ยวพันกับเงินร้อนน้อยสามเหรียญ สามารถซื้อชีวิตเขาได้หลายชีวิตแล้ว ผ่านปีลำบากยากแค้นที่น่าอกสั่นขวัญผวานี้มาได้ ตามหลักแล้วเมื่อเดือนหนึ่งของปีนี้ผ่านไป หากยังไม่มีคนมือเติบมาติดเบ็ด เขาก็อาจจะต้องเจอกับหายนะจริงๆ แคว้นมีกฎของแคว้น อาชีพมีกฎของอาชีพ คราวนี้เขาคงต้องตายจริงๆ


เพื่อขายของเหล่านี้มาประทังชีวิตก็เรียกได้ว่าชายฉกรรจ์พยายามทุกวิถีทางที่มีแล้ว ในฐานะผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสาม ไม่เพียงแต่ทำหน้าหนาเดินตามมาตลอดทาง ยังเป็นฝ่ายแนะนำทัศนียภาพของท่าเรือแห่งนี้ให้คุณชายท่านนี้ฟัง


ท่าเรือตระกูลเซียนที่อยู่บนชายแดนแคว้นชิงหลวนแห่งนี้มีชื่อว่าท่าเรือหางผึ้ง ตอนแรกที่ท่าเรือถูกสร้างขึ้นเคยเป็นเมืองขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ที่แห่งนี้เคยมีเทพเซียนขอบเขตหยกดิบซึ่งมีต้นกำเนิดต่ำต้อย มีสถานะเป็นผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งอาศัยความมานะบากบั่นและโชควาสนาใหญ่จนได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบน ปาฏิหาริย์หลากหลายเรื่องที่เกี่ยวกับเขาล้วนแพร่ไปเกือบครึ่งทวีป ในบรรดาผู้ฝึกตนอิสระทั้งหมดของแจกันสมบัติทวีป เขาเป็นคนมีชื่อเสียงมาก บ้านบรรพบุรุษของคนผู้นี้ตั้งอยู่ในตรอกเล็กที่มีชื่อว่าเจียเฟิง (หนีบผึ้ง) แล้วก็ตั้งอยู่ตำแหน่งสุดตรอกพอดี ภายหลังท่าเรือแห่งนี้จึงมีชื่อว่าหางผึ้ง


เนื่องจากท่าเรือตั้งอยู่ตรงบริเวณที่สามแคว้นเชื่อมต่อกัน และเพื่อช่วงชิงว่าตรอกเส้นนี้และบ้านบรรพบุรุษหลังนี้จะเป็นของใคร หลายร้อยปีที่ผ่านมา สกุลถังแคว้นชิงหลวนและสองแคว้นใหญ่ที่เป็นเพื่อนบ้านต่างก็ใช้พู่กันและมีดทำสงครามกันบนกระดาษและบนสนามรบมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ว่าทั้งสามฝ่ายรับรู้ร่วมกันโดยปริยายว่า สงครามที่เกิดขึ้นนี้จะไม่ลุกลามมาถึงท่าเรือเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้สำนักศึกษากวานหูยังตั้งใจส่งวิญญูชนและนักปราชญ์ให้มาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยอยู่หลายครั้ง


ภายใต้การพยายามแนะนำอย่างสุดความสามารถของบุรุษ เขาบอกว่าท่าเรือมีเหล้าเซียนบ่อน้ำที่มีเฉพาะแค่ที่แห่งนี้ที่เดียวในโลก เงินเหรียญเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญสามารถซื้อได้หนึ่งกาเล็ก ขุนนางและชนชั้นสูงของแคว้นชิงหลวนชอบใช้สิ่งนี้มาโอ้อวดความร่ำรวยมากที่สุด และคุณชายท่านนั้นก็ซื่อเหล้าบ่อน้ำกาหนึ่งที่ร้านตรงหัวมุมจริงๆ เขาขอถ้วยขาวสองใบมาจากเถ้าแก่ พอนั่งลงแล้วกลับคลี่ยิ้มยื่นมือมาบอกเป็นนัยให้ชายฉกรรจ์นั่งลงดื่มเหล้าด้วยกัน เดิมทีชายฉกรรจ์คิดจะยืนทำท่าน่าสงสารอยู่ข้างๆ ไม่แน่ว่าคุณชายคนนี้อาจเกิดความเห็นอกเห็นใจซื้อสมบัติผุๆ เหล่านั้นของเขาไปจริงๆ แต่เป็นเพราะหนอนขี้เหล้าในท้องออกฤทธิ์ทำให้เขาทนไม่ไหวนั่งลงดื่มเหล้าตามคำเชื้อเชิญ ดื่มแล้วก็บ่นตัวเองที่ควบคุมปากไม่อยู่ไปด้วย ในใจคิดว่าตนดื่มเหล้านี้ไปแล้วคงมีความเป็นไปได้เกินครึ่งที่การค้าครั้งนี้จะล้มเหลว ทันใดนั้นความคิดนับร้อยก็ประดังประเดเข้ามา คิดเสียว่านี่เป็นเหล้าหัวขาดถ้วยหนึ่งก็แล้วกัน


เฉินผิงอันชนถ้วยกับชายฉกรรจ์ ถามด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อหยกชิ้นนี้มีค่า อีกทั้งยังมีเซียนซือที่รอให้มันกลับไปรวมกับสมบัติอีกสิบหกชิ้นของแคว้นเหวินจิ่ง เหตุใดเจ้าถึงไม่ขึ้นเขาเอาไปขายเขาโดยตรงเลยล่ะ?”


ชายฉกรรจ์เตรียมคำตอบสำหรับคำถามประเภทนี้ของคนซื้อมานานแล้ว จึงยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “เซียนดินก่อกำเนิดผู้เฒ่าท่านนั้น มีตบะเลิศล้ำค้ำฟ้า เพียงแต่ว่านิสัย…ข้ากลัวว่าได้เงินมาแล้วจะไม่มีชีวิตให้ใช้เงิน”


ชายฉกรรจ์กดเสียงลงต่ำ พูดประโยคสุดท้ายอย่างคลุมเครือ


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ คำอธิบายนี้นับว่าฟังขึ้น เทพเซียนบนภูเขาชอบพูดกันว่าฝึกบำเพ็ญตนบนมรรคา ทว่ามรรคาที่ว่านี้มีนอกรีตแปดร้อย มีนอกรอยสามพัน ดังนั้นบนภูเขาก็ยังมีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานอย่างตู้เม่าอยู่ไม่ใช่หรือ? ก็ยังมีหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินของทะเลสาบเจี่ยนหูไม่ใช่หรือไร? ส่วนผู้ฝึกลมปราณกลุ่มนั้นที่เกิดใจคิดร้ายกับพวกเฉินผิงอันบนถนนเรียกสวรรค์ของสำนักฝูจี หากไม่เป็นเพราะฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ สุดท้ายมีจุดจบที่ต้องส่งหัวคนไกลพันลี้ หากล้อมสังหารเขาและลู่ไถได้สำเร็จขึ้นมา วันนี้ก็ต้องร่ำรวยรุ่งเรืองแล้วจริงๆ มีทรัพย์สินในส่วนนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีเซียนดินโอสถทองเพิ่มขึ้นมาอีกคนสองคนก็เป็นได้


ชายฉกรรจ์คงรู้สึกว่าหากยังไม่เพิ่มยาแรงก็อาจจะต้องพลาดคุณชายต่างถิ่นที่ไม่ขาดเงินคนนี้ไป เขาจึงวางถ้วยเหล้าลง พูดเสียงเบาว่า “อันที่จริงที่ข้าบอกว่าบรรพบุรุษคือแม่ทัพใหญ่แคว้นเหวินจิ่งคือการเลี่ยงเอ่ยถึงผู้สูงศักดิ์ที่ข้าเอามาใช้หลอกคนอื่น แท้จริงแล้วปู่ของข้าคือคนงานในอันเล่อฟางของเมืองหลวงอดีตแคว้นเหวินจิ่ง ช่วงแรกเริ่มสุดอันเล่อฟางคือสถานที่ที่เชื้อพระวงศ์ใช้เลี้ยงสัตว์หายาก ภายหลังเงินทองมีไม่มากพอจึงถูกทิ้งร้าง เอามาไว้เก็บตัวพวกขันที นางกำนัลที่ทำผิดแล้วถูกขับไล่ออกจากวัง กษัตริย์แคว้นเหวินจิ่งที่ล่มสลายเคยเติบโตขึ้นมาในอันเล่อฟางที่ซุกซ่อนสิ่งสกปรกโสมม ตอนเด็กได้รับการดูแลจากท่านปู่ของข้าเป็นประจำ ภายหลังก้าวหน้ารุ่งเรือง จากบุตรนอกสมรสที่ถูกซ่อนไว้ข้างนอก ไม่รู้ว่ากลายมาเป็นฮ่องเต้ได้อย่างไร ไม่รู้ว่าเหตุใดแคว้นถึงล่มสลาย แต่ก็ยังถือว่าเป็นกษัตริย์ที่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน ภายหลังจึงปฏิบัติต่อท่านปู่ของข้าอย่างมีมารยาท สรุปก็คือสุดท้ายเขาได้มอบตราลัญจกรหยกไว้ให้กับท่านปู่ของข้า ก่อนที่ท่านปู่จะจากไป ยังกำชับข้าว่าต้องมอบหยกชิ้นนี้ให้แก่มือของคนรุ่นหลังแคว้นเหวินจิ่ง ไม่อาจมองเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของตัวเองได้…”


กล่าวมาถึงตรงนี้ ชายฉกรรจ์ก็ดื่มเหล้าหนึ่งอึก สีหน้าฉายแววเลื่อนลอย “หลานที่ไม่ได้เรื่องอย่างข้า ผิดต่อคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับท่านปู่ แล้วก็ผิดต่อรัชทายาทแคว้นเหวินจิ่งที่เล่าลือกันว่าเปลี่ยนชื่อแซ่ไปฝึกตนอยู่บนภูเขาผู้นั้นด้วย”


ริมฝีปากชายฉกรรจ์สั่นระริก น้ำตาเอ่อคลอดวงตา “คุณชาย ท่านช่วยข้าซื้อตราลัญจกรหยกที่เป็นสมบัติสำคัญของแคว้นชิ้นนี้ทีเถอะ วันหน้าข้าจะได้เอาเงินไปซื้อเหล้ามาดื่มให้ตัวเองเลอะเลือน จะได้ไม่ต้องเห็นมันทุกวันแล้วละอายใจไปจนตาย”


เฉินผิงอันรินเหล้าเซียนบ่อน้ำสีอำพันให้ชายฉกรรจ์อีกหนึ่งถ้วย ส่ายหน้ากล่าวว่า “เหล้า ข้าเลี้ยงเจ้าได้ แต่ของของเจ้า ข้าไม่ซื้อแน่”


ชายฉกรรจ์ยังคงไม่ยอมแพ้ “คุณชายจะไม่ลองดูสักหน่อยหรือ ของนี้เป็นของจริงหรือของปลอม ดีหรือไม่ดี เชื่อว่าแค่คุณชายมองปราดเดียวก็แยกแยะได้ทันที ถึงเวลานั้นต่อให้คุณชายกดราคาอย่างหนัก ข้าก็ไม่เสียใจภายหลังแน่นอน”


เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า “ข้าคนนี้ไม่มีโชคด้านทรัพย์สมบัติ…เพราะฉะนั้นอย่าเลยดีกว่า เจ้าหาคนซื้อที่ดูของเป็นและมีวาสนากับเจ้าเถอะ อย่ามาเสียเวลากับข้าเลย”


เผยเฉียนกำลังจะอ้าปากพูด แต่เห็นว่าเฉินผิงอันชำเลืองมองมาก็หุบปากทันที


ชายฉกรรจ์ดื่มเหล้าถ้วยที่สองไปแล้วก็บอกลาหนึ่งคำและขอบคุณหนึ่งคำ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากไปอย่างหม่นหมอง


เผยเฉียนถึงได้เอ่ยขึ้นเบาๆ “น่าสงสารมากเลย”


เฉินผิงอันดื่มเหล้า กล่าวว่า “น่าสงสารก็จริง แต่ของใช่ว่าจะเป็นของจริงเสมอไป”


เผยเฉียนเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “ไม่เคยเห็นแล้วจะรู้ได้อย่างไร หากมันเป็นของจริงล่ะ? ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่รีบเดินทางอยู่แล้ว”


เฉินผิงอันอธิบายอย่างอดทน “หากเจ้าของสิ่งนี้หล่นลงมาบนหัวของพวกเราจริงๆ แน่นอนว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ถ้าอย่างนั้นพวกเราลองมาพูดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดกันบ้าง”


เผยเฉียนฉงนสนเท่ห์ “ก็แค่เป็นของปลอม ดูผิดไป เจ้าหมอนั่นจึงหลอกเอาเงินเทพเซียนของพวกเราไปได้?”


เผยเฉียนพลันใช้สองมือตบโต๊ะ กล่าวอย่างขุ่นเคือง “เรื่องนี้ทนไม่ได้แล้ว!”


เฉินผิงอันยิ้ม “นี่ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเสียที่ไหน สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือถูกคนเขาใช้แผนเซียนกระโดด (หมายถึงการต้มตุ๋นอย่างหนึ่งโดยที่มีนกต่อมาหลอกล่อ) ไม่เพียงแต่ถูกบังคับซื้อบังคับขาย ไม่แน่ว่าหากพวกเราควักเงินเทพเซียนมาจ่ายได้ ฝ่ายตรงข้ามอาจจะได้คืบแล้วเอาศอก ถือโอกาสฆ่าคนชิงทรัพย์ หากพูดถึงแค่เรื่องของคนปฏิบัติต่อคน ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่สนิทกัน ต่อให้นิสัยเดิมอาจจะไม่ได้เลวร้าย แต่หากเจอกับอุปสรรคที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นติดหนี้บานเบอะ นิสัยของคนที่ติดหนี้อ่อนแอ นิสัยของคนที่เป็นเจ้าหนี้อำมหิต ทั้งสองฝ่ายมาเจอกัน นั่นก็ต้องเรียกว่าคนที่น่าสงสารย่อมมีจุดที่น่ารังเกียจ ตอนนี้พวกเราสงสารเขา แล้วถึงเวลานั้นใครจะมาสงสารพวกเราล่ะ?”


เผยเฉียนตั้งใจคิด ก่อนจะตอบ “คนของพวกเราก็มีไม่น้อยนี่นา ถึงอย่างไรเราก็เป็นฝ่ายที่มีเหตุผล ก็ใช้สองหมัดสามหมัดต่อยพวกเขาให้ตายไปสิ?”


เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่นาง “ออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอก หากอาศัยแค่หมัดมาเป็นเหตุผล ถ้าอย่างนั้นก็มีแต่คนอย่างตู้เม่าที่มาพบเจอพวกเราได้ แต่พวกเรากลับพบเจอคนอื่นไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”


เผยเฉียนกล่าวอย่างน้อยใจ “แต่พวกเราเป็นคนดีนี่นา? โจรเฒ่าตู้นั่นไม่ใช่สักหน่อย คนเลวถูกฟ้าผ่า ตายไปแล้วก็ลงกระทะทองแดง ถูกดึงลิ้น ควักหัวใจ กรอกน้ำเหล็กร้อนๆ ใส่ปาก…”


เฉินผิงอันตัดบทคำพูดเหลวไหลของเผยเฉียน “เจ้าไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน?”


เผยเฉียนกล่าวอย่างหวั่นกลัวไม่หาย “ครั้งก่อนตอนที่ไปชมโคมไฟเทศกาลหยวนเซียวในนครมังกรเฒ่า มีงานเลี้ยงโคมไฟบุปผาที่เสี่ยวป๋ายบอกว่าเป็นการ ‘ตักเตือนสั่งสอนแก่คนบนโลก ทำดีได้รับการชื่นชม ทำชั่วต้องถูกลงโทษ’ ตอนนั้นข้าเบิกตากว้างมองอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้าเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรในตำราก็บอกไว้ว่า มีข้อผิดพลาดก็แก้เสีย ไม่มีก็ถือเป็นข้อเตือนใจนี่นะ”


ตอนนี้ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของเฉินผิงอันบรรจุเหล้าดองหลอมระดับเล็กเอาไว้ ไม่อาจบรรจุเหล้าเซียนบ่อน้ำของขึ้นชื่อของท่าเรือแห่งนี้ลงไปได้อีก อีกทั้งยังมีเหล้าหมักกุ้ยฮวาอีกหลายไหที่ตระกูลฟ่านมอบให้เก็บไว้ในแผ่นหยกวัตถุจื่อชื่อ อันที่จริงช่วงที่ผ่านมานี้ล้วนไม่ขาดสุราดีให้ดื่มคลายอยาก จึงซื้อเหล้าจากที่ร้านมาแค่สองไห คิดว่ากลับไปจะเอาไปเก็บไว้กับเหล้าหมักกุ้ยฮวา พอไปถึงภูเขาลั่วพั่วก็เอาไปฝังไว้ด้านหลังเรือนไม้ไผ่ด้วยกัน ทุกสิบปีเอาออกมาหนึ่งไห ก็ถือเป็นหนึ่งในทรัพย์สมบัติอันมากมายของเขาเฉินผิงอันแล้ว


จากนั้นก็ไปเจอกับพวกเว่ยเซี่ยนสี่คนที่ทยอยกันมาถึงปากตรอกหางผึ้ง


การเดินทางในท่าเรือหางผึ้งครั้งนี้ ตัวเฉินผิงอันเองไม่เจอสิ่งของใดที่ถูกใจเป็นพิเศษ แค่ซื้อตำราอริยะปราชญ์ที่มีทั้งภาพและตัวอักษรครบครันให้เผยเฉียนเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนี้จัดพิมพ์อย่างประณีตงดงาม ทุกตัวอักษรเขียนเป็นระเบียบสบายตา


และในขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะออกไปจากท่าเรือ ในตรอกก็มีคนหนุ่มผู้หนึ่งหิ้วกาเหล้าเดินออกมา เรือนกายของเขากำยำล่ำสัน ตรงเอวรัดสายรัดเอวเส้นหนึ่งลักษณะคล้ายโซ่เหล็ก

 

 

 


บทที่ 375.2 พบเจอคนคุ้นเคยในต่างแดน

 

เฉินผิงอันหรี่ตาลงทันใด เพียงแต่ไม่นานสีหน้าก็กลับคืนมาเป็นปกติอีกครั้ง คิดว่ามีเรื่องมากขึ้นไม่สู้มีเรื่องให้น้อยลง จึงแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเขา


คาดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นก็มองเห็นเฉินผิงอัน เขาเดินเร็วๆ มาหยุดตรงหน้าเฉินผิงอัน ยื่นนิ้วออกมาชี้ น่าจะเพราะจำหน้าเฉินผิงอันได้ แต่นึกชื่อแซ่ของเขาไม่ออก สีหน้าจึงดูร้อนใจเล็กน้อย


เป็นโชคหรือเป็นภัยล้วนหลบไม่พ้น เฉินผิงอันจึงได้แต่คลี่ยิ้มเป็นการทักทายแล้วพูดด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป “ที่หน้าประตูเมืองเล็ก พวกเราเคยพบกันครั้งหนึ่ง ตอนนั้นข้ากับคนเฝ้าประตูอยู่ข้างใน เจ้ายืนอยู่นอกรั้วไม้ ความทรงจำของเจ้าดีมาก ผ่านมานานขนาดนี้ก็ยังจำข้าได้”


ชายร่างกำยำพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย “ใช่ เจ้านี่เอง นอกจากคนเฝ้าประตูผู้นั้นแล้ว เจ้าก็คือคนในท้องที่ของเมืองเล็กที่ข้าได้พบเป็นคนแรก นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเจอเจ้าอยู่ที่นี่ ตอนแรกข้ายังไม่กล้ามาทักเจ้า เพราะเจ้าเปลี่ยนไปมาก เจ้าบอกว่าข้าความจำดี ข้ารู้สึกว่าความจำเจ้าเองก็ไม่แย่เหมือนกัน แถมยังน่าจะดีกว่าข้าเล็กน้อยด้วย”


เห็นในมือเฉินผิงอันหิ้วเหล้าเซียนบ่อน้ำไว้สองไห ชายฉกรรจ์ที่ตรงคางเต็มไปด้วยตอหนวดเขียวครึ้มก็ยิ้มพูดว่า “เหล้าบ่อน้ำไหนี้ของเจ้าถูกหลอกให้ซื้อแล้ว เหล้าเซียนของแท้ต้องเป็นเหล้าที่หมักด้วยน้ำสามหยดจากบ่อที่เก่าแก่ที่สุด และเหล้าสองไหนี้ของเจ้ามาจากบ่อน้ำใหม่สิบกว่าคำที่ร้านพ่อค้าหัวหมอไร้มโนธรรมสร้างขึ้นมาเป็นการส่วนตัว รสชาติไม่ถูกต้อง ไปๆๆ ข้าจะพาเจ้าไปดื่มเหล้าบ่อน้ำเก่าของแท้ ไม่อย่างนั้นการมาเยือนท่าเรือหางผึ้งครั้งนี้ของเจ้าก็เสียเที่ยวแล้ว”


เขาเพิ่งจะเดินออกมาหนึ่งก้าวก็หัวเราะฮ่าๆ “ช่างเถิด ยุทธภพอันตราย พวกเราสองคนก็อย่าใกล้ชิดสนิทสนมกันนักเลย”


ชายร่างกำยำบอกที่ตั้งร้านเหล้าสองร้านให้แก่เฉินผิงอัน “หากยินดีก็ไปเอง ข้าจะไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าทำดีหวังผล เจ้าและข้าจะได้ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนทั้งสองฝ่าย”


เขากุมหมัดบอกลาเฉินผิงอันแล้วก้าวยาวๆ จากไป


เป็นคนรวดเร็วตรงไปตรงมา


เฉินผิงอันถอนหายใจอยู่ในใจ


โซ่เหล็กที่ถูกชายร่างกำยำนำมาทำเป็นสายรัดเอว เห็นได้ชัดว่าเป็นโซ่เหล็กเส้นหนาใหญ่ของบ่อโซ่เหล็กก่อนที่ถ้ำสวรรค์หลีจูจะแตกแล้วร่วงลงมา ตอนนั้นเฉินผิงอันก็ได้ยินมาแล้วว่าคนผู้นี้ได้โชควาสนาครั้งใหญ่ไปครอง นอกจากวัตถุห้าธาตุแล้ว ในบรรดาสมบัติอาคมมากมายที่ซ่อนอยู่ตามกลุ่มชาวบ้านของถ้ำสวรรค์หลีจูเวลานั้น ก็มีของชิ้นนี้กับน้ำเต้ามรกต กาซานเซียวของซ่งจี๋ซิน รวมถึงกระจกสยบมารอีกบานหนึ่งที่ล้ำค่ามากที่สุด ซึ่งโซ่พันธนาการมังกรเส้นนี้มีมูลค่าควรเมืองมากที่สุด เคยเป็นเชือกพันธนาการหนึ่งเส้นที่สามารถพันธนาการมังกรที่แท้จริงตัวสุดท้ายได้สำเร็จ ระดับขั้นของมันจะสูงแค่ไหน เพียงคิดก็พอจะจินตนาการได้


ตอนนี้ได้ถูกคนผู้นี้หล่อหลอมให้กลายมาเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้สำเร็จแล้ว การที่เขากล้าเอามาใส่โอ้อวดคนอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ คาดว่าหากไม่มีฝีมือและความกล้าหาญก็คงต้องมีที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่มากพอ หรือไม่ก็มีครบทั้งสองอย่าง


ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้สัมผัสกับฟ้าดินข้างนอกอย่างแท้จริง


วานรย้ายขุนเขาของภูเขาตะวันเที่ยง ไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรือง ซวี่ซื่อแห่งนครลมเย็น ฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่า


นั่นคือสถานการณ์แห่งความเป็นความตายที่เกิดขึ้นติดต่อกันครั้งแล้วครั้งเล่า คือช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของเฉินผิงอัน ความรู้สึกไร้ที่พึ่งเช่นนั้นมากมหาศาลยิ่งกว่าในอนาคตตอนที่เฉินผิงอันเผชิญหน้ากับเจียวเฒ่าก่อกำเนิดในร่องเจียวหลง มากกว่าตอนที่เผชิญหน้ากับตู้เม่าบินทะยานในนครมังกรเฒ่าเสียอีก


เพียงแต่ว่าก็เหมือนครั้งนั้นที่พูดความในใจกับหลูป๋ายเซี่ยง บนเส้นทางของชีวิตคน ขอแค่ได้เห็นดอกไม้สักดอกท่ามกลางความรกร้างว่างเปล่า ทุกอย่างก็ต่างออกไปจากเดิมแล้ว


เฉินผิงอันได้เจอกับแม่นางที่ดีคนหนึ่ง ยามนางคลี่ยิ้ม เฉินผิงอันจะต้องรู้สึกว่าตัวเองคือคนที่มีเงินมากที่สุดในใต้หล้า


จะไม่ชอบได้อย่างไร จะตัดใจไม่วางนางไว้บนหัวใจได้อย่างไร


ดื่มเหล้าบนหลังคาร้านยาครั้งสุดท้ายกับฟ่านเอ้อร์ในนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันบอกว่า “แม่นางที่ข้าชอบ นางงดงามที่สุดแล้ว แต่ว่าเวลาที่นางซึ่งงดงามที่สุดงดงามยิ่งกว่าเดิมก็คือ เวลาที่ข้ากำลังมองนาง แล้วนางแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทว่าขนตาของนางที่ข้าเห็นจากใบหน้าด้านข้างกลับสั่นไหวเบาๆ”


ตอนนั้นฟ่านเอ้อร์อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย ถามเขาว่า มารดามันเถอะ นี่เจ้าเฉินผิงอันชอบแม่นางคนนั้นมากขนาดไหนกันแน่!


ตอนนั้นเฉินผิงอันดื่มจนเริ่มเมากรึ่มๆ แล้ว จึงจับประคองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ด้วยสองมือแล้วหัวเราะอย่างโง่งม


……


ในขณะที่เฉินผิงอันเดินไปตามหาสุราบ่อน้ำเก่าแก่ที่แท้จริง ชายฉกรรจ์ร่างกำยำไม่อยากจะไปเจอกับคนหนุ่มที่มาจากถ้ำสวรรค์หลีจูผู้นี้อีกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นำมาซึ่งการคาดเดา เขาจึงจงใจเลือกร้านเหล้าแห่งอื่น ระหว่างทางผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เก็บอำพรางลมปราณไว้อย่างมิดชิดพลันปรากฎตัวกะทันหัน มาหยุดอยู่ข้างกายชายหนุ่ม เล่าเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งให้ฟัง


ชายหนุ่มโมโหจัดจนกลายเป็นขำ “คนกลุ่มนี้น้ำเข้าสมองแล้วหรือไง คิดแต่จะเอาเงินไม่เอาชีวิตกันจริงๆ เจ้านำความไปบอกผู้ดูแล ให้พวกเขาหยุดมือ อย่าได้ไปเซ่นฟันให้คนอื่นอีกเลย” (เซ่นฟันในอดีตหมายถึงการได้กินเนื้อมื้อหนึ่งของทุกๆ ต้นเดือนหรือกลางเดือน แต่ภายหลังหมายถึงการได้กินอย่างอิ่มหมีพีมันในบางมื้ออาหาร)


เดิมทีเขายังอยากจะพูดอะไรอีก คิดจะอาศัยโอกาสนี้จัดการกับประเพณีนิยมที่ไม่ถูกต้องของท่าเรือหางผึ้งแห่งนี้ เพียงแต่พอคิดว่าพวกผู้ฝึกตนอิสระใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบาก ชายฉกรรจ์ก็ส่ายหน้า “เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ไม่ต้องจงใจไปกระทบกระเทียบพวกเขา ล้วนเป็นโชควาสนาของใครของมัน แต่คนต่างถิ่นเมื่อครู่ที่ข้าเจอโดยบังเอิญ ห้ามคนใดก็ตามของท่าเรือหางผึ้งไปหาเรื่องเขาเด็ดขาด อีกอย่างอาศัยโอกาสครั้งนี้ เจ้าไปใช้หนี้ก้อนนั้นของเหล่าหลิวให้หมด ทำตามกฎ กี่เหรียญเงินร้อนน้อยก็จ่ายไปเท่านั้น หลังจากนี้เจ้าค่อยหาโอกาสไปข่มขู่เหล่าหลิวสักครั้ง อย่าให้เขาเป็นผีพนันที่ลงเดิมพันมั่วซั่วแบบนี้อีก ทรัพย์สินน้อยนิดแค่นั้นของเขา หากเขาคิดจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปชั่วชีวิต แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”


ผู้เฒ่าถามอย่างระมัดระวัง “หากวันหน้าหลิวกานจื่อยั้งมือตัวเองไม่อยู่ไปเล่นพนันอีกล่ะ?”


ชายร่างกำยำเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยเขาไปตายถากรรมเถอะ ข้าช่วยเขาได้หนึ่งครั้ง แต่ไม่อาจช่วยไปได้ตลอดชีวิต”


ผู้เฒ่าทำท่าจะพูด แต่ก็หยุดชะงักไป


ชายร่างกำยำส่ายหน้า “หยกลัญจกรชิ้นนั้น แม้ว่าจะเป็นของแท้แน่นอน ทว่าผู้ฝึกลมปราณทั่วไปไม่อาจแตะต้องได้ อาจารย์เคยบอกว่า อย่าได้ดูแคลนโชคชะตาที่หลงเหลืออยู่ของแคว้นที่ล่มสลายไปแล้ว โชคดีและหายนะที่อยู่ในเรื่องนี้มีมากมาย ถึงอย่างไรสกุลเจี่ยงของแคว้นเหวินจิ่งก็ยังเหลือองค์รัชทายาท ตอนนี้ยังฝึกตนอยู่บนภูเขาอยู่เลย ส่วนเจ้าคนที่ใจคิดแต่จะรวบรวมสมบัติสิบเจ็ดชิ้นของแคว้นเหวินจิ่งให้ครบผู้นั้น เดินไปบนเส้นทางแห่งการประคองมังกร นับว่าเหมาะกับเขา แต่พวกเราทำไม่ได้ เรื่องแบบนี้ หากควบคุมความละโมบไม่ได้ก็จะกลายเป็นคนบนเส้นทางเดียวกับเหล่าหลิว ไม่แน่ว่าอาจจะแย่ยิ่งกว่าด้วยซ้ำ ผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเราฝึกตนหวังชีวิตเป็นอมตะ เดิมทีก็ไม่ใช่ฝ่ายที่มีเหตุผลอยู่แล้ว ยังจะวางเดิมพันกับสวรรค์ ก็ไม่ใช่ว่าเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร”


ผู้เฒ่ารับคำสั่งแล้วจากไป


ข้ารับใช้เฒ่าที่แอบอำพรางตัวอยู่ในท่าเรือหางผึ้งผู้นี้ก็คือผู้ฝึกตนโอสถทองที่ก่อนหน้านี้มอง ‘พลังอำนาจ’ ของเฉินผิงอันออกในปราดเดียว


ชายหนุ่มร่างกำยำเดินทอดถอนใจไปตลอดทาง จนกระทั่งซื้อเหล้ามาได้หนึ่งกา ดื่มเหล้าเซียนที่รสชาติดั้งเดิมที่สุดแล้ว อารมณ์ถึงได้ดีขึ้น


ตอนที่เขายังเด็กได้ถูกยอดฝีมือที่เดินทางท่องเที่ยวผ่านมาทางชายทะเลเห็นเข้า แล้วบอกกับคนในตระกูลว่าฐานกระดูกของเขาดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด คิดจะรับเขาเป็นลูกศิษย์ พ่อแม่ดีใจจึงตอบตกลงทันที เพราะแรกเริ่มประมุขตระกูลมั่นใจมากว่าเขาไม่เหมาะกับการฝึกตน นั่นทำให้เขาถูกคนวัยเดียวกันในตระกูลที่รู้สันดานกันมานานแล้วมองเป็นเศษสวะ ถูกคนนับไม่ถ้วนดูแคลน ภายหลังเขาก็ออกจากตระกูลแห่งนั้นตั้งแต่อายุยังน้อย ถูกท่านอาจารย์ผู้อาวุโสพามาที่ท่าเรือหางผึ้ง แล้วก็พักอาศัยอยู่ในบ้านเก่าผุพังที่ตั้งอยู่สุดตรอกเล็กเจียเฟิงแห่งนั้น หลายปีที่ผ่านมานี้ตบะของเขาไต่ทะยานรวดเร็วมาก โชควาสนาก็คว้ามาได้ไม่น้อย เพียงแต่ว่าชายหนุ่มไม่มีความคิดที่จะสวมอาภรณ์แพรกลับบ้านเกิด กลับคืนสู่ตระกูลที่สูงส่ง กฎระเบียบเข้มงวดอย่างคนที่ลืมตาอ้าปากได้ คิดแค่ว่าจะแอบกลับบ้านไปพบพ่อแม่ ตอบแทนพระคุณที่พวกเขาเลี้ยงดูมาเท่านั้น แต่กลับเป็นพี่สาวสายตรงสายของเจ้าประมุขที่ชายหนุ่มรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณอยู่ตลอดเวลา พระคุณหนึ่งหยดตอบแทนด้วยน้ำพุ คนบนภูเขาชอบพูดกันอย่างนี้ แต่ในใจกลับไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังสักเท่าไหร่ ทว่าเขากลับเต็มใจจะเห็นเป็นจริงเป็นจัง ดังนั้นต่อให้อาจารย์จะเสียดายแค่ไหน ตนก็ยังยืนกรานจะมอบของชิ้นเล็กที่ได้มาโดยบังเอิญให้เป็นหนึ่งในสินเดิมของนาง ว่ากันว่าตอนนั้นครึกโครมกันไปทั้งตระกูล ใครก็ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่เห็น


เป็นคนไม่ติดเงินใคร ไม่ละอายต่อใจตัวเอง


เขารู้สึกว่าแบบนี้ดีมากแล้ว


ขณะที่กำลังดื่มเหล้าก็มองสตรีแต่งงานแล้วหน้าตาธรรมดาที่เป็นเถ้าแก่เนี้ยะของร้านเหล้าไปด้วย นางเป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา เฝ้ารักษาบ่อน้ำโบราณและสืบทอดฝีมือของบรรพบุรุษเอาไว้ ทำการค้าไม่ค่อยเป็นนัก การค้าที่เดิมทีควรได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเจริญรุ่งเรืองในทุกๆ วันกลับถูกนางทำให้กลายเป็นเพียงการค้าเล็กๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ได้เห็นกับตาตัวเองว่าพี่สาวใหญ่คนข้างบ้านที่ในอดีตมีนิสัยอ่อนโยนอบอุ่นได้แต่งงานเป็นภรรยาของผู้อื่น มีอาชีพขายเหล้าปีแล้วปีเล่า บางครั้งเจอกับนักดื่มที่พูดจาเกี้ยวพาราสีก็ยังหน้าแดง ยังเขินอาย ยังขุ่นเคือง แต่หางตาของนางเริ่มเกิดริ้วรอยยาวๆ แล้ว พอเห็นเช่นนี้ ชายร่างกำยำก็ให้รู้สึกดีใจที่ตัวเองได้พบเจอกับอาจารย์ ไม่แน่ว่าวันใดหลานชายของเถ้าแก่เนี้ยะแก่แล้ว เขาก็ยังคงมีหน้าตาเหมือนเดิม


แม้ว่าท่าเรือหางผึ้งจะเป็นท่าเรือตระกูลเซียน แต่พวกชาวบ้านที่ไม่อาจหลีกหนีสัจธรรมเกิดแก่เจ็บตายกลับมีอยู่ไม่น้อย


อาจารย์มักจะบอกว่าคนล่างภูเขาที่อายุหกสิบก็เส้นผมขาวโพลน เจ็ดสิบก็แก่หง่อมเหล่านี้ต่างหากถึงจะเป็นรากฐานของผู้ฝึกตนกลุ่มเล็กๆ บนภูเขาอย่างแท้จริง


ไม่มีพวกเขา คำว่าการฝึกตนก็เป็นแค่หอเรือนกลางอากาศเท่านั้น


สำหรับเรื่องนี้ชายฉกรรจ์ร่างกำยำไม่คิดอะไรมากนัก เพราะขี้เกียจจะคิด ถึงอย่างไรในด้านของการฝึกตน เขาก็ชอบปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และพึงพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่แล้ว ไม่เป็นฝ่ายไปทำร้ายใคร ถูกใครทำร้ายก็ไม่ใจอ่อน ดังนั้นอาจารย์จึงโน้มน้าวให้เขาเลือกฮ่องเต้คนใดคนหนึ่งจากสกุลถังแคว้นชิงหลวน สกุลเหยียนแคว้นอวิ๋นเซียวและสกุลเหอแคว้นชิ่งซาน จากนั้นก็ปิดบังชื่อแซ่ ไปขัดเกลาจิตใจอยู่ในราชสำนัก ให้ยาถูกกับโรคในเร็ววันเพื่อสลายมารในใจทิ้ง ในอนาคตวันใดที่เลื่อนสู่ก่อกำเนิดจะได้ไม่ต้องภาวนาขอพรพระในช่วงจวนเจียน เพียงแต่ว่าเขาปฏิเสธมาตลอด ตั้งแต่เช้าจรดเย็นต้องคอยคบค้าสมาคมอยู่กับพวกฮ่องเต้ พวกเสนาบดี จะมีความหมายอะไร? ฮ่องเต้สกุลถังฟุ่มเฟือยอย่างไร้ขีดจำกัด ตายก็ต้องรักษาหน้าตา ชอบแข่งขันเรื่องทรัพย์สินเงินทองกับพวกเทพเซียนบนภูเขา ฮ่องเต้สกุลเหอแคว้นชิ่งซานมีนิสัยประหลาด วังหลังมี ‘ห้าสะคราญ’ ที่น่าตื่นตะลึง ตลอดทั้งราชสำนักมีแต่กลิ่นอายสกปรก ฮ่องเต้สกุลเหยียนเต็มไปด้วยความทะเยอะทะยาน ทำงานหนักเพื่อบ้านเมือง แต่จิตใจกลับอำมหิต ชอบดีดลูกคิดวางแผนยิ่งกว่าลูกหลานตระกูลพ่อค้าเสียอีก ว่ากันว่าเขายังเขียนตำรา ‘เฉียนเปิ่นฉ่าว’ ซึ่งเป็นที่นิยมเล่มนั้นด้วยตัวเอง บอกว่า ‘เงิน รสหอมหวาน ร้อนระอุ เป็นทั้งพิษเป็นทั้งยา สามารถเชื่อมโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สามารถจ้างผีให้โม่แป้ง’ คำพูดประโยคเดียวที่แทงใจดำเหล่าพ่อค้าได้มากมาย


เขาดื่มเหล้าหนึ่งกาแล้วก็เรียกเถ้าแก่เนี้ยะมาคิดเงิน บรรจุเหล้าเซียนบ่อน้ำหลายสิบจินจนเต็มกาเหล้า ผูกไว้ข้างเอว และยังขอสุรารสเลิศมาเพิ่มอีกสองไหเล็ก ใช้นิ้วหนีบกาเหล้าสองไหเอาไว้ สำหรับเรื่องนี้สตรีแต่งงานแล้วเห็นจนชินตา ตลอดทั้งท่าเรือหางผึ้งต่างก็รู้ว่าสถานะของชายหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดา ใครก็ไม่กล้าไปมีเรื่องด้วย เขาที่ได้มาอยู่ในบ้านหลังท้ายสุดของตรอกเล็กเจียเฟิงตั้งแต่ยังเด็กก็ไม่เคยไปหาเรื่องใคร ว่ากันว่าเขาแค่ทำหน้าที่เก็บเงินค่าเช่า คอยดูแลพื้นที่ครึ่งตรอกแทนใครบางคนเท่านั้น คนที่สามารถเช่าบ้านหลังหนึ่งในตรอกเจียเฟิงได้ หากไม่ใช่เซียนซือผู้ฝึกตนอิสระที่ถุงเงินตุงแน่น ก็ต้องเป็นขุนนางชั้นสูงของสามแคว้นที่มีรสนิยม ส่วนนอกจากนั้นก็เป็นกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่ที่ซื้อบ้านในตรอกนี้ไปโดยตรง


ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเดินกลับเข้าไปในตรอก ค่อยๆ เดินเข้าไปยังจุดลึกของตรอก ในตำแหน่งตรงกลางของตรอกที่อยู่ห่างจากด้านหลังเขาไปห้าสิบก้าว มีบ้านหลังใหญ่ว่างเปล่าสองหลังที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกัน บนประตูใหญ่แปะภาพเทพทวารบาลสีสันสดใสที่ไม่เคยเปลี่ยนมาหลายร้อยปี แต่กลับยังคงใหม่เอี่ยม ฝั่งซ้ายมือคือเทพทวารบาลฝ่ายบุ๋นสองภาพ ฝั่งขวามือของประตูบ้านคือเทพทวารบาลฝ่ายบู๊สององค์ ตอนที่คนหนุ่มเดินผ่านบ้านทั้งสองหลังก็ใช้มือข้างหนึ่งโยนกาเหล้าออกไป เทพทวารบาลสี่ภาพบนประตูบ้านฝั่งซ้ายขวาพลันเกิดส่องแสงเรืองรอง แต่ละตนต่างยื่นแขนสีทองข้างหนึ่งออกมารับกาเหล้าไป เก็บเข้าไป ‘ในประตู’ จากนั้นบนมือของเทพทวารบาลบุ๋นบู๊ทั้งสองฝั่งต่างก็มีกาเหล้าที่ถูกวาดลงบนกระดาษปรากฏเพิ่มขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ หลังจากดื่มเหล้าแล้วก็ยื่นกาเหล้าส่งให้กับสหายที่อยู่ใกล้เคียง พอดื่มเสร็จ เทพทวารบาลสี่ท่านก็กลับคืนมาเป็นปกติ เพียงแต่ว่าบนกระดาษตำแหน่งหนวดของเทพทวารบาลฝ่ายบู๊ท่านหนึ่งคล้ายจะเปียกชื้น ทว่าไม่นานก็แห้งสนิท


ชายหนุ่มร่างกำยำกลับมายังบ้านที่ตัวเองพักอยู่เพียงลำพัง บ้านที่สงบเงียบ เขาใช้ชีวิตแบบนี้มานานหลายปี ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าชอบท่องไปทั่วทิศ เมื่อก่อนทุกครั้งเขาจะต้องสาบานเป็นมั่นเป็นเหมาะ บอกว่าครั้งนี้จะต้องหาอาจารย์แม่ที่งดงามดุจบุปผาดุจหยกกลับมาให้เขาอย่างแน่นอน แต่ครั้งนี้กลับไม่ได้ไปตามหาว่าที่อาจารย์แม่ที่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางยังหลับอยู่ในท้องแม่หรือไม่ แต่ไปเพราะธุระสำคัญ บอกว่าต้องการไปตามหาร่างทองแก้วใสของเทพเซียนห้าขอบเขตบนคนหนึ่งที่ตายไปในการต่อสู้ มีหลายส่วนที่ร่วงหล่นลงมาบนพื้นที่ของแจกันสมบัติทวีป หากแย่งมาได้สักชิ้นก็รวยแล้ว แล้วจะได้มีเงินแต่งเมียสักที ด้วยเหตุนี้อาจารย์ยังไปหาเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าเขาจะสามารถช่วงชิงมาจากพวกตะพาบเฒ่าที่อายุพอๆ กันเหล่านั้นได้ เมื่อมีสหายคนนั้นคอยช่วยเหลือ ความเป็นไปได้ก็จะมากขึ้น


ชายร่างกำยำรู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อย กังวลว่าในเมื่อเป็นสมบัติล้ำค่าขนาดนี้ เพื่อนคนนั้นจะเกิดใจนึกอยากครอบครองหรือไม่


อาจารย์พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง ทุกคนในแจกันสมบัติทวีปอาจเป็นไปได้ แต่เจ้าเต่าชราที่เรียกตัวเองว่าหนุ่มน้อยหน้าหยกผู้นี้ไม่มีทางคิดอย่างนั้นแน่นอน แม้ว่านิสัยของคนผู้นี้จะทั้งแข็งกระด้างทั้งไม่น่าเข้าใกล้ เทียบกับก้อนหินในห้องส้วมไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่คนผู้นี้กลับถูกขนานนามว่าเป็นบุคคลที่ ‘ในใจไร้ผี’ (หากในใจมีผีจะหมายถึงคนที่มีอุบาย คนที่มีความคิดชั่วร้าย) บนเส้นทางแห่งการฝึกตน ชั่วชีวิตนี้เพื่อคุณธรรมน้ำมิตรที่มีต่อสหาย และเพื่อเกียรติยศของสำนักแล้ว เขาก็ยอมร่วมศึกเป็นตายถึงสองครั้ง หลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบสองครั้งก็ถดถอยกลับมาที่ก่อกำเนิดสองครั้ง ความองอาจห้าวหาญดุจดั่งวีรบุรุษเช่นนี้ ต่อให้เป็นขอบเขตบินทะยานก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะมีได้ หร่วนฉงอาจารย์หลอมกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งศาลลมหิมะ ตอนนี้ได้เป็นอริยะของสำนักการหทารแล้ว ในอดีตก็เคยมีชื่อเสียงเรื่องนิสัยตรงไปตรงมา และเขาก็เคยป่าวประกาศว่า ขอแค่คนผู้นี้ต้องการกระบี่เล่มหนึ่ง เขาหร่วนฉงจะไม่เพียงแต่หลอมกระบี่ให้ทันที ยังจะนำไปส่งถึงภูเขาด้วยตนเองอีกด้วย


นี่เป็นครั้งแรกที่ชายกำยำเห็นอาจารย์มั่นใจขนาดนี้ เขาจึงวางใจลงได้


และนั่นก็ทำให้เขาเกิดความสงสัยใคร่รู้ว่าสหายผู้เฒ่าของอาจารย์มีชื่อฉายาค่อนข้าง ‘สง่างามเป็นเอกลักษณ์’ ท่านนั้นจะเป็นคนเช่นไร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)