ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 373-374
ตอนที่ 373 ความเมตตาในฐานะที่เป็นฮ่องเต้
น้ำเสียงที่ทุ้มลึกนั้นแทบจะดังสะท้อนไปทั่วทั้งพระตำหนักบรรทม
ทุกคนต่างก็พากันมองออกไปที่ด้านนอกประตูใหญ่
เงาร่างที่เปล่งประกายสีทองนั้นดูราวกับจอมมารที่ผุดขึ้นมาจากนรก ทั้งๆ ที่มีเพียงแค่คนๆ เดียวแต่พลังที่กดดันออกมากลับให้ความรู้สึกว่าเหนือกว่ากองทัพนับพันนับหมื่น
ฮ่องเต้ผู้ชราของแคว้นเหยียนเบิกพระเนตรโต ตรัสอะไรไม่ออกทั้งสิ้น
เป็นไป เป็นไปได้อย่างไร…..
เมื่อครู่ทหารใต้บัญชาพึ่งจะมาส่งข่าวว่าไอ้เด็กน้อยจีเฉวียนนั่นถูกผีดิบกัด จนร่างกายติดโรคไปแล้ว
ทำไมมันถึงได้เข่นฆ่าจนบุกเข้ามาถึงวังของพระองค์ได้กัน ทั้งยังเงียบงันจนไร้สุ้มเสียง?
เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรออกไป ก็เห็นว่าในพระหัตถ์ของจีเฉวียนนั้นทรงง้าว เสด็จเพียงไม่กี่ก้าวก็เข้ามาถึงในตำหนัก
ที่ผ่านมาจีเฉวียนทรงใช้กระบี่มาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นง้าวเล่มหนึ่ง
ง้าวเล่มนั้นยาวเพียงหนึ่งจั้ง (1.3เมตร) คมง้าวสีดำทองแม้ว่าจะอยู่ในที่อับแสงก็ยังเปล่งประกายที่เย็นยะเยือกออกมา
ท่ามกลางอากาศที่เหน็บหนาวในฤดูหนาว
แต่ทุกก้าวที่สาวพระบาทเข้ามาล้วนเพิ่มพูนไอเย็นที่กำจายออกจากพระวรกายขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง จนทำให้คนทรมานเสียยิ่งกว่าลมหิมะอีก
ในตำหนักเดิมทีก็มีเหล่าองครักษ์อยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้กลับไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปขวางทางพระองค์
ยิ่งไปกว่านั้น…..พวกเขายังพากันถอยออกไปด้านหลังอีกด้วย
แสงโคมในพระตำหนักบรรทมสว่างอย่างยิ่ง เมื่อพระองค์เสด็จเข้ามาถึงกลางพระตำหนักก็ทำให้ทุกผู้ได้เห็นพระพักตร์ได้อย่างชัดเจน
ความหนาวเย็นที่พาให้สั่นสะท้าน ครึ่งพระพักตร์เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด นั่นเป็นใบหน้าที่งดงามอย่างที่สุดเกินจะหาใดเปรียบ
เลือดแข็งตัวจนจับเป็นก้อนอยู่บนพระพักตร์ที่งดงามยากจะเปรียบเทียบ น่าเสียดายที่….มีสิวเต็มไปหมด?
ไม่ถูกต้อง…..นี่จะต้องเป็นสัญญานเตือนของอาการโรคผีดิบกำเริบของเขา
ทั้งฮ่องเต้ผู้ชราและคนอื่นๆ ต่างก็คิดเช่นนี้
แต่คนชุดดำผู้นั้นกลับถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ภายใต้ผ้าโปร่งสีดำดวงตาคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่จีเฉวียน เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อ ว่าพระองค์จะบุกเข้ามาได้ถึงที่นี่?
“ถวายอารักขาสิ มัวตกตะลึงอะไรกันอยู่?” องค์ชายเจ็ดเหยียนฉิวมีปฏิกริยาขึ้นมาเป็นคนแรก ทั้งยังหันไปคว้าโล่จากทหารด้านข้างมากันเอาไว้เบื้องหน้าตนเอง
ไม่ใช่เพราะว่าเขาเกรงกลัวจีเฉวียน เพียงแต่ว่าหากอีกสักครู่จีเฉวียนอาการกำเริบขึ้นมา อาละวาดกัดคน นั่นต่างหากที่จะทำให้ลำบากที่สุด
ที่เขาร้องเรียกให้ถวายอารักขาก็ไม่ใช่เพียงแค่จะให้อารักขาฮ่องเต้ชราเท่านั้น
ไอ้แก่ผู้หนึ่งอยู่มาตั้งนานถึงเพียงนี้ก็สมควรที่จะตายๆ ไปได้แล้วกระมัง?
เหยียนหยุนอ้าปากค้างขึ้นมา เขายังคงได้แต่กุมไม้เท้าด้ามหนึ่งเอาไว้
ครั้งก่อนยามเมื่อแยกกันในแคว้นเซอปี่ซือ จีเฉวียนทำให้เขาเกิดเงามืดอยู่ในใจอย่างล้ำลึก
ก็ใครเลยจะคาดคิดได้กัน? ว่าเด็กน้อยขนอ่อนที่ผ่ายผอมในตอนนั้น คนที่เคยถูกเขารังแกมาก็ไม่น้อย ถึงตอนนี้กลับจะแข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัวได้ขนาดนี้
เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ตนก็ได้แต่ก้มศีรษะลงไปอย่างศิโรราบเท่านั้น
หากจะบอกว่าไม่ได้เกลียดชังจีเฉวียน นั้นคงเป็นไปไม่ได้
เพียงแต่เขาไม่กล้า…….
ดวงพักตร์ของฮ่องเต้เย็นชา เสด็จเข้ามาจนเกือบจะถึงเบื้องหน้าของฮ่องเต้ชราแคว้นเหยียน
เหล่าองครักษ์ถึงได้ค่อยได้สติขึ้นมาพากันขยับเข้ามาขวางเขาไว้อย่างแน่นขนัด ช่วยกันล้อมฮ่องเต้ชราและเหยียนฉิวเอาไว้ภายใน
ฝ่าบาททรงหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าของเหล่าองครักษ์ ดวงเนตรทั้งคู่ยังคงจับจ้องฮ่องเต้ชราอยู่เช่นนั้น พลางตรัสเรียกด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เหยียนเหลียน”
เหยียนเหลียนคือพระนามของฮ่องเต้ผู้ชราแห่งต้าเหยียน
พระองค์ทรงคุ้นเคยกับการที่ผู้คนทั้งหลายต่างเรียกหาพระองค์ด้วยความเคารพว่าฝ่าบาท พออยู่ๆ ถูกเรียกชื่อตรงๆ ขึ้นมา ก็รู้สึกไม่คุ้นเคยสักเท่าไร
“ไอ้เด็กน้อยจีเฉวียน!” ฮ่องเต้ผู้ชราแสดงพระพิโรธรุนแรง “เจ้าฆ่าบุตรสาวสุดที่รักของเรา ตัดขาบุตรชายของเรา แย่งชิงดินแดนของเรา วันนี้ยังกล้าบุกเข้ามาถึงในวังของเรา ทำไม เจ้ากลัวว่าจะตายช้าไปหรืออย่างไร?”
ฮ่องเต้ชราระเบิดพระพิโรธ แทบจะทรงโผขึ้นมาจากเตียงบรรทม ตอนที่ยังทรงหนุ่มแน่นพระองค์ก็เคยมีช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมาก่อน หากว่าสามารถกลับไปหนุ่มแน่นได้อีกสักหลายสิบปี ใครว่าพระองค์จะมิใช่คู่มือของจีเฉวียนกัน
จีเฉวียนทรงคร้านที่จะอธิบายอะไรให้เขาฟังแล้ว เหยียนเฉียวหลัวตายเพราะความร้ายกาจของนางเอง เหยียนหยุนที่ขาขาดยิ่งมิได้เกี่ยวอะไรกับพระองค์เลยแม้แต่น้อย
เรื่องที่เป็นเสมือนน้ำครำเหล่านี้ เมื่อผู้อื่นปักใจว่าตนเป็นคนทำ จะอธิบายไปก็ไร้ประโยชน์
“เดิมที่เราคิดว่า หลังกำราบแคว้นเหยียนแล้ว จะเหลือทางรอดให้กับราชวงศ์เหยียนของเจ้าสายหนึ่ง” จีเฉวียนประทับยืนอยู่ท่ามกลางโล่มากมาย พระหัตถ์ใหญ่ของพระองค์กุมง้าวเอาไว้อย่างแนบแน่น ขนาดเส้นเลือดหลังพระหัตถ์ก็ยังปูดโปนขึ้นมา
“แต่ว่าคิดไม่ถึงเลย เพื่อบัลลังก์แคว้นเหยียน เจ้ากลับผลักไสประชาชนแคว้นเหยียนลงไปในกองไฟ” พอตรัสถึงตรงนี้สีพระพักตร์ของจีเฉวียนก็ยิ่งมืดครึ้มลงไปอีกหลายส่วน
“เมืองจิงหวากลายเป็นกองขี้เถ้า กว่าครึ่งของแคว้นเหยียนกลายเป็นนรกบนดิน นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการหรือ?”
“เจ้าเคยมีความเมตตาในฐานะที่เป็นฮ่องเต้บ้างสักนิดหรือไม่?”
“ไอ้เด็กน้อยจีเฉวียน ทั้งหมดก็เป็นเพราะว่าเจ้าบุกโจมตีแคว้นเหยียนของเราก่อน เจ้าคิดจะทำลายแคว้นเหยียนของเรา แล้วตอนนี้ยังจะมาพูดถึงเรื่องความเมตตากับเราอีกหรือ?” ฮ่องเต้ผู้ชราแย้มสรวลเย็นชา พระองค์ถึงขนาดป่ายปีนลงมาจากเตียงบรรทม ผลักพวกองครักษ์ที่ถือโล่บังไว้ออกไป จดจ้องไปที่จีเฉวียนอย่างคลุ้มคลั่ง
“หากว่าไม่โจมตีแคว้นของเรา ประชาชนของเราก็ยังอยู่อย่างสงบสุขสามัคคีดังเดิม ที่แคว้นเหยียนกลายเป็นนรกทั้งหมดก็เป็นเพราะฝีมือของเจ้า เจ้ามันมีสิทธิอะไรจะมาสั่งสอนเรากัน?”
“เรื่องเดียวที่เราสำนึกเสียใจก็คือ ตอนที่เจ้ามาเป็นตัวประกันอยู่ในแคว้นเหยียนของเรา เราไม่ได้ฆ่าเจ้าสัตว์เดรัจฉานอย่างเจ้ากับมือ! ถึงได้ทำให้กลายเป็นเภทภัยต่อแคว้นเหยียนของเรา”
“นับตั้งแต่ที่เราบุกเข้าแคว้นเหยียน ก็ไม่ได้ทำร้ายราษฏร์เลยสักนิด” จีเฉวียนตรัสพลางกระแทกง้าวในพระหัตถ์ลงบนพื้น
ทันทีที่ได้ยินเสียงกระแทกโครมลงไป พื้นโดยรอบก็ระเบิดออกโดยมีพระองค์เป็นศูนย์กลาง
รอยแตกราวนั้นพุ่งกระจายออกไปจนถึงเบื้องพระพักตร์ของเหยียนเหลียน
ฮ่องเต้เหยียนเหลียนพระบาทอ่อนแรง คนโอนเอนจนเกือบจะล้มลงไป
“แคว้นเหยียนสถาปนามาถึงห้าร้อยปี ฮ่องเต้แต่ละพระองค์สืบทอดคุณธรรม ทนุบำรุงแว่นแคว้นจนรุ่งเรือง แต่พอมาถึงรุ่นของบิดาของเจ้ากลับฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย โดยเฉพาะเจ้าที่เอาแต่เสพสุขอยู่แต่กับสุรานารี ไม่เคยสนใจชีวิตของราษฏร์ ที่ต้องล่มสลายนั้นก็เป็นเพียงแค่เรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น”
พระองค์เป็นตัวประกันอยู่ที่นี่ถึงแปดปี ต้องป่ายปีนขึ้นมาจากชั้นต่ำสุดของแคว้นเหยียนด้วยพระองค์เองทีละขั้น
ย่อมทรงทราบดีว่าแคว้นต้าเหยียนที่ภายนอกดูยิ่งใหญ่รุ่งเรืองนั้น ในกระดูกมีความดำมืออยู่เพียงไร
คนแย่งชิงอาหารกับสุนัข คนชั้นล่างเพื่อจะได้อาหารมาสักมื้อ กลับต้องขายบุตรชายบุตรสาวทิ้งไปก็มีมากมาย
ฮ่องเต้ไร้เมตตา ขุนนางไร้คุณธรรม ความเป็นอยู่ของคนชั้นสูงล้วนได้มาจากการสูบเลือดเนื้อของราษฏร์ ‘รากหญ้า’
แม้แต่……ชีวิตของคนก็ถูกมองเป็นแค่เพียงวัชพืช
ขนาดตัวประกันเช่นพระองค์ที่เป็นองค์ชาย ยังถูกจับไปเป็นทาสเพื่อต่อสู้กับสัตว์อสูร เพื่อให้คนชมดูด้วยความสำราญ
เหยียนเหลียนไม่เคยทรงรู้สึกมาก่อนเลยว่า แคว้นเหยียนที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขานั้นผุพังจากแก่นกระดูกมาเนิ่นนานแล้ว
ดังนั้นเมื่อพระองค์ยกทัพเข้ามายังแคว้นต้าเหยียน มีหลายเมืองที่ไม่ขัดขวาง ทั้งยังยอมอ่อนน้อม ประชาชนพากันมาตั้งแถวถวายการต้อนรับ นี่ยิ่งชัดเจนเลยว่า คนผู้นี้เป็นฮ่องเต้แคว้นเหยียนได้ล้มเหลวเพียงไร
“พูดจาไร้สาระ!” ต่อให้ตายเหยียนเหลียนก็ไม่ทรงยอมรับ “เราได้รับความเคารพรักจากราษฎร์ เจ้าจะทำสงครามก็ทำสงครามเถอะ ยังจะต้องมาหาข้ออ้างทำให้ตนเองดูสูงส่งไปอีกทำไม? จีเฉวียน เราเกลียดที่ตนเองมีเมตตาเกินไป ไม่เพียงแต่ปล่อยเจ้าไว้ ทั้งยังเลี้ยงดูเดรัจฉานอย่างเจ้าให้กินอยู่อย่างสุขสบาย!”
เหยียนเหลียนพิโรธจนร่างสั่นสะท้าน “ราษฏร์ในแคว้นต้าเหยียนเรา ต่อให้ต้องตายก็จะไม่ขอศิโรราบให้กับกองทัพอาชาเหล็กของเจ้า!”
“เป็นเจ้าที่ทำให้พวกเขาต้องตายและกลายเป็นผีดิบ เจ้าคือคนที่สมควรถูกสาปแช่งไปอีกพันปี!”
ผู้ที่เป็นฮ่องเต้ ล้วนไม่มีใครยอมแบกรับชื่อเสียงเสียหายให้คนก่นด่าไปนับพันปี เหยียนเหลียนเองก็เช่นกัน
………………………………………
ไรท์ : นานมากแล้วไรท์เคยอ่านนิยายเรื่องหนึ่งที่ประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านผู้ครองนคร มีประโยคหนึ่งที่ยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ “สนิมเหล็กเกิดจากเหล็ก ฉันใดก็ฉันนั้น”
ตอนต่อไป “สนับสนุนฮ่องเต้ต้าโจว”
ตอนที่ 374 สนับสนุนฮ่องเต้ต้าโจว
เขาทำลายแคว้นเหยียนทั้งแคว้นลงไปกับมือ แต่กลับไม่รู้จักสำนึกเลยสักนิด
เอาแต่จะโยนความผิดที่ต้องถูกก่นด่าประนามไปนับพันปีไปให้กับจีเฉวียนเท่านั้น
จีเฉวียนแย้มสรวลอย่างเย็นชา “อย่างงั้นหรือ?”
“ย่อมต้องใช่อยู่แล้ว จีเฉวียน เจ้าทำลายชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปมากมาย ในใจไม่รู้สึกละอายบ้างเลยหรืออย่างไร? ไม่กลัวหรือว่ายามค่ำคืนเวลานอนจะได้ฝันเห็นคนเหล่านั้นมาทวงชีวิตกับเจ้าหรอกหรือ?” องค์ชายเจ็ดเหยียนฉิวเองก็เอ่ยขึ้นมาบ้าง
เขาจับจ้องไปที่จีเฉวียนอย่างไม่ละสายตา ในใจก็ครุ่นคิดอยู่ว่าทำไมมันถึงได้ไม่กลายเป็นผีดิบเสียที
จากด้านที่เขาอยู่ เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าบนลำคอของจีเฉวียนมีบาดแผล แค่ดูก็รู้ว่าถูกกัดมา
โรคผีดิบนั่นจะช้าเร็วก็ต้องกำเริบขึ้นอย่างแน่นอน พวกเขาแค่คอยถ่วงเวลาเอาไว้ มันก็จะต้องมีแต่ตายกับตายเท่านั้น
แนวหน้าส่งข่าวมาแล้วว่า ทหารม้าของจีเฉวียนถูกทำลายไปในเมืองจิงหวากว่าครึ่ง พอออกมาจากเมืองจิงหวาได้ก็มีคนอีกเกินครึ่งที่ติดเชื้อผีดิบ ดังนั้นกองกำลังของเขาในยามนี้….เกรงว่าต่อให้รวมเข้าด้วยกันทั้งหมดก็คงจะไม่เกินพันคน
เมืองหลวงแคว้นต้าเหยียนของพวกเขามีทหารแกร่งอย่างน้อยๆ ก็นับแสนคน แล้วทำไมจะต้องไปกลัวเขาอีกกัน?
เหยียนฉิวผู้นั้นกลับไม่ฉุกคิดดูสักหน่อยเลยว่า ขนาดตอนนี้ทั่วทั้งตำหนักมีเพียงแค่จีเฉวียนผู้เดียว……พวกเขาก็ยังไม่กล้าบุกเข้าไปเลย
ยิ่งไม่ได้คิดถึงว่า จีเฉวียนเข้ามาในตำหนักได้อย่างไร
น้ำเสียงของเหยียนฉิวพึ่งขาดหาย ก็เห็นประตูใหญ่และหน้าต่างทั้งหมดของตำหนักถูกเปิดออก แสงสว่างที่เจิดจ้าสาดเข้ามา
ในใจของทุกคนต่างก็พากันเกิดความตื่นตัว พอกวาดสายตามองออกไป ก็เห็นระเบียงรอบตำหนักที่เดิมเคยว่างเปล่า ตอนนี้กลับมีราษฏร์แคว้นเหยียนยืนอยู่อย่างแน่นขนัดไปหมด
และทหารของแคว้นต้าโจวมากกว่าพันคนต่างก็คอยพิทักษ์อยู่ด้านหลังของประชาชน
จีเฉวียนหันพระองค์กลับไปทอดพระเนตรมองดูราษฏร์ที่ยืนอยู่บนระเบียง ทันทีที่พระองค์กวาดพระเนตรมองก็เห็นราษฏร์พากันคุกเข่าลงไป
“ฮ่องเต้แห่งต้าโจว โปรดช่วยเหลือพวกเราด้วยเถอะ!”
แม่เฒ่าผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าสุด นางกล่าวทั้งน้ำตาว่า
“พวกลูกๆ และหลานๆ ของข้าต่างก็ทำการค้าขายอยู่ในเมืองจิงหวา ครึ่งเดือนก่อนยังส่งจดหมายกลับมา บอกว่ากองทัพต้าโจวเข้าเมืองมา แต่มิได้ทำร้ายผู้คนแม้แต่คนเดียว ทุกอย่างล้วนเหมือนดังเดิม บอกให้คนชราอย่างข้าไม่ต้องกังวล”
“แต่ใครจะคิดกันว่า….แค่เพียงไม่กี่วัน….เมืองจิงหวาจะเปลี่ยนเป็นขุมนรก…..ลูกๆ หลานๆ ของข้า พวกเขาไม่ได้ทำผิดอะไรเลย….”
แม่เฒ่าพูดจบแล้ว ก็เห็นสตรีมีครรภ์ผู้หนึ่งลุกขึ้นมา มือข้างหนึ่งยันหลังเอาไว้ มืออีกข้างโอบลงไปบนท้อง นางหลั่งน้ำตาดั่งสายฝน “ข้ากับสามีแต่งงานกันมาสามปียังไม่มีทายาท สามีไม่เพียงไม่รังเกียจข้า แต่ยังดีกับข้าเหมือนยามแรก ในที่สุดฟ้าก็เมตตาให้พวกเรามีบุตร แต่น่าเสียดายบุตรยังไม่ทันได้เกิดมาก็ไม่มีโอกาสจะได้พบหน้าบิดาของเขาแล้ว….”
“สามีที่น่าสงสารของข้า แค่เพราะเห็นว่าข้าชอบกินลูกพลับแห้งของร้านเหล่าซุนที่เป็นแผงข้างเมือง ……เขาไปแล้วก็ไม่กลับมา คนที่หนีเอาชีวิตรอดยังบอกว่า…..บอกว่าเขากลายเป็นผีดิบไปแล้ว ….บนร่างของเขายังแบกลูกพลับแห้งที่ข้าชอบกินที่สุดอยู่ด้วยซ้ำฮือๆ …”
แม่ม่ายตั้งครรภ์ผู้นั้นกล่าวจบ ก็อดทนไม่ไหว ร่ำไห้เสียดังออกมา
“บิดาและมารดาของพวกเราก็ไม่อยู่แล้ว…..” พี่สาวน้องชายคู่หนึ่งลุกขึ้นมาร้องไห้เสียงดัง
ตอนนี้นอกจากเมืองหลวง เมืองอื่นๆ ต่างก็กลายเป็นขุมนรกไปหมดแล้ว
คนที่ยังอยู่ในเมืองหลวง มีสักกี่คนที่ครอบครัวยังอยู่ครบ?
เพียงครู่เดียว ทั้งหมดก็พากันร้องไห้ออกมา
ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ยังเหลืออยู่ในเมืองเช่นพวกเขา ต่างก็ถูกจับไปไว้ที่กำแพงเมือง
ด้านนอกกำแพงเมืองหลวง รอบด้านล้วนมีแต่ผีดิบวนเวียนอยู่เต็มไปหมด….ทุกระยะเวลาหนึ่ง พวกเขาที่เป็นเพียงคนธรรมดาจะต้องถูกจับโยนลงไปทีละหลายๆ คนเพื่อเป็นอาหารของผีดิบเหล่านั้น….
มิเช่นนั้นพวกมันก็จะพากันบุกเข้าประตูเมืองมาอย่างสุดชีวิต
ตอนนี้พวกเขาใช่คนที่ไหนกัน ในสายตาของฮ่องเต้ต้าเหยียนแล้ว พวกเขามิได้ต่างอะไรกับปศุสัตว์
ยังดีนะ……ที่ฮ่องเต้ต้าโจวนำทัพเข้ามา…..ช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้ได้ทัน
ต่อให้ฝันพวกเขาก็ยังคิดไม่ถึงว่า พวกเขาที่เป็นราษฏร์ของแคว้นเหยียนแท้ๆ สุดท้ายแล้วกลับต้องมาถูกฮ่องเต้ของแคว้นตัวเองพรากลูกพรากเมียจนครอบครัวแตกสลาย กระทั่งตนเองก็ยังต้องกลายเป็นเหมือนสัตว์ที่เลี้ยงเอาไว้เป็นเหยื่อ
และผู้ที่มาช่วยพวกเขากลับเป็นฮ่องเต้ของแคว้นศัตรู
คนหนึ่งคือฮ่องเต้โฉดพระทัยชั่วร้ายที่ทำให้คนของแคว้นตนเองกลายเป็นผีดิบ อีกคนคือฮ่องเต้ผู้มีเมตตาน้ำพระทัยกว้างขวางของแคว้นศัตรู
เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาก็ได้แต่เกลียดชังตนเองที่ไม่ได้เป็นคนแคว้นต้าโจว
“ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าโจว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเรายินดีเป็นคนแคว้นต้าโจว ขอฝ่าบาททรงช่วยเหลือพวกเราด้วยเถอะ…..”
ฝูงชนต่างก็พากันร้องไห้คร่ำครวญไม่ยอมหยุดจนเสียงดังเข้าไปในพระตำหนัก ทำให้เหยียนเหลียนทรงกริ้วจนตะโกนด่าออกมาว่า “พวกเจ้ามันเป็นพวกคนขายชาติหรืออย่างไร? ทำไมถึงได้ยอมแพ้แก่ศัตรู? พวกเจ้าเกิดมาเป็นคนแคว้นต้าเหยียน ตายไปก็ต้องเป็นผีของต้าเหยียน! ห้ามมิให้คุกเข่ายอมแพ้ให้กับไอ้เด็กเมื่อวานซืออย่างจีเฉวียน!”
ฮ่องเต้ผู้ชราทรงรู้สึกว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาพระองค์ไม่เคยถูกลบหลู่ดูหมิ่นเช่นนี้มาก่อนเลย!
พระองค์ยังไม่ทันตายแท้ๆ แต่ว่าราษฏร์ของพระองค์กลับยอมคุกเข่าลงตรงหน้าจีเฉวียน ต่อหน้าต่อตาพระองค์เอง?
“พวกเจ้าสมองเพี้ยนกันไปหมดแล้วหรืออย่างไร? หากมิใช่เพราะว่าจีเฉวียนมาบุกแคว้นของพวกเรา ญาติมิตรของเจ้า ก็คงไม่มีทางต้องกลายเป็นผีดิบเช่นนี้! ในเมื่อเป็นคนแคว้นต้าเหยียน ต่อให้ต้องเปลี่ยนเป็นผีดิบ ก็ยังต้องปกป้องแคว้นของตนเองสิ!”
“เหล่าคนที่ตายไปนั้น จะต้องภาคภูมิใจที่ได้เสียสละตนเพื่อพวกเจ้าอย่างแน่นอน! พวกเจ้าเองก็เช่นเดียวกัน! ในเมื่อมีโอกาสจะได้ปกป้องแคว้นต้าเหยียนเอาไว้เช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นบุญกุศลของพวกเจ้าแล้ว!”
พอเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจตนเอง ฮ่องเต้ผู้ชราก็กริ้วหนักเสียจนแทบจะกระอักเลือดออกมา
ในขณะเดียวกันก็ได้ยินแม่เฒ่าร่ำร้องออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวเช่นกัน “เป็นบุญ บุญกุศลพ่อแม่เจ้าน่ะสิ!”
“บุญกุศลนี้ทำไมเจ้าถึงไม่เอาไว้เองเล่า? ทำไมเจ้าถึงไม่ไปตายเสีย? บ้านเมืองแว่นแคว้นหรือ? พวกเราในตอนนี้มีบ้านเมืองแว่นแคว้นที่ไหนกัน? ต่อให้ไม่มีต้าโจวมาโจมตี พวกเราก็ต้องใช้ชีวิตเหมือนไม่ใช่คนอยู่แล้ว! จะช้าหรือเร็วก็ต้องมีคนกบฏต่อเจ้า!”
สตรีมีครรภ์เองก็ตอบรับ “เจ้าสั่งให้แพร่โรคระบาดด้วยตนเอง คนที่สามารถอำมหิตกับราษฏร์ของตนเอง ยังจะมีหน้าอะไรมาขอให้พวกเรายอมตายเพื่อปกป้องแคว้นอีก?”
“ฮือ ฮือ ฮือ ข้าไม่ชอบที่นี่ ไม่ชอบเลยสักนิด ขอฮ่องเต้ต้าโจวโปรดช่วยพวกเราด้วยเถอะ” สองพี่น้องตัวน้อยร้องไห้ออกมา
คราวนี้ ฮ่องเต้ถูกผู้คนตะโกนใส่อย่างโกรธแค้น
“ตอนนี้พวกเราจะสนับสนุนฮ่องเต้ต้าโจว! ฮ่องเต้ต้าเหยียนสมควรตาย ไม่มีเสียก็ดี!”
“สนับสนุนฮ่องเต้ต้าโจว!”
ราษฏร์ทั้งหลายต่างพากันส่งเสียงสนับสนุนขึ้นมา หากว่าไม่มีฮ่องเต้ต้าโจวล่ะก็ เกรงว่าพวกเขายังคงถูกจับขังอยู่ใต้กำแพงเมือง รอให้ถูกโยนเป็นเหยื่อของผีดิบต่อไป
เหยียนเหลียนไม่เคยเห็นพวกเขาเป็นคนของตนเอง พวกเขาไหนเลยจะต้องไปปกป้องแว่นแคว้นของเขาด้วย?
“กบฏแล้ว! กบฏแล้ว ก่อกบฏกันหมดแล้ว!” เหยียนเหลียนกริ้วจนพ่นควันออกทางนาสิก รีบหันไปตรัสกับเหยียนฉิวว่า “ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นพวกกบฏ ไอ้พวกสวะชั้นต่ำ ฆ่าพวกมันให้กับเรา อย่าได้เหลือเอาไว้แม้แต่คนเดียว!”
“แคว้นเหยียนของเราไม่ต้องการคนเนรคุณที่อ่อนแอขี้ขลาดแล้วยังมาทำเป็นอวดดี!”
“พระบิดา พระองค์ต้องการให้มีคนตายอีกมากมายเท่าใดกัน?” เหยียนหยุนทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ทั่วทั้งแคว้นต้าเหยียนเหลือแต่เพียงคนในเมืองหลวงเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่
หากว่าพระองค์มีพระบัญชาให้สังหารราษฏร์ทั้งหมด….เช่นนั้นแคว้นต้าเหยียนจะต่างอะไรกับแคว้นที่ล่มสลายไปแล้ว?
“ไอ้คนอกตัญญู เจ้าหุบปากให้เรา!” เหยียนเหลียนโผร่างที่กำลังจะล้มลงเข้าไปตบกกหูของเหยียนหยุน
“แค่ก แค่ก แค่ก…..” พระองค์ฉวยผ้าเช็ดพระพักตร์ขึ้นมา กรรสะออกมาเป็นเลือด
“เสด็จพ่อ!” เหยียนฉิวทำเสียงตระหนกอย่างเสแสร้งคำหนึ่ง “พระองค์ถูกรัชทายาทยั่วโทสะจนจะกริ้วตายแล้ว”
………………………….
ตอนต่อไป “จีเฉวียน ไอ้เด็กเมื่อวานซืน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น