หมอดูยอดอัจฉริยะ 373-374
ตอนที่ 373 ถ่ายทอดวิชา
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ใช่ นายน้อย นี่ นี่น่าจะใช่แดนสวรรค์แล้ว” อาติงที่เดินเข้ามาในเรือนสี่ประสาน ปกติจะมีอาการซบเซา เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนจึงมีปฎิกริยาโต้ตอบ
ในตอนนั้นที่อาติงยืนอยู่ในลาน มันรู้สึกแตกต่างกันเพียงแค่หายใจ เมื่อหายใจเข้าไปในท้อง ดูเหมือนว่าร่างกายจะสดชื่นขึ้น สมองโล่งมากขึ้นกว่าที่เคย
อาติงรู้ว่าแต่ก่อนตอนที่ถังเหวินหย่วนอยู่ที่นี่ ต้องจ่ายค่าเช่าหนึ่งล้านทุกเดือน
แต่ว่าครั้งก่อนเขาถูกเยี่ยเทียนไม่อนุญาตให้เข้ามาที่นี่ ตอนนั้นคิดว่ามันไม่คุ้มค่าเลย แต่ตอนนี้ต่อให้ต้องควักเงินหนึ่งล้านค่าเข้ามาหนึ่งวัน อาติงก็สมัครใจ
“ดินแดนสวรรค์อะไรกัน มันก็คืออากาศที่บริสุทธิ์เท่านั้นเอง อาติง เรื่องภายในนี้อย่าได้เอาออกไปเล่าให้ใครฟังละ”
เยี่ยเทียนรู้ว่าอาติงมีนิสัยที่ชอบออกกำลังกายในตอนเช้า มองที่เขาแล้วกำชับว่า “แกมาพักที่นี่ได้วันเว้นวัน จะได้ไม่ต้องไปแต่เช้า อยู่ในลานนี้ก็ไม่จำเป็นต้องทำกิจกรรมอะไรที่รุนแรง”
ฝึกทักษะในการต่อสู้ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารทำได้ การกระทำที่ก่อให้เกิดการเพิ่มความเร็วในการดูดซึมของพลังจิต ถ้าในมุมมองจั่วเจียจวิ้นกับโก่วซินเจีย ก็คือสมบัติของการนั่งสมาธิเดินลมปราณอย่างแน่นอน
แต่ว่าสำหรับอาติง ร่างกายของเขายังไม่แข็งแรงพอที่จะฝึกนั่งสมาธิเดินลมปราณ จึงไม่มีวิธีที่จะแบกรับน้ำหนักของพลังเหนือธรรมชาติรักษาสมดุลภายในร่างกาย เวลาเดียวกันที่ปราณพิฆาตได้ถูกสลายออกจากตัวเขาอาจจะทำให้ร่างกายเขาได้รับบาดเจ็บได้ ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงถ่ายทอดเคล็ดลับเฉพาะด้านให้กับเขา
“ใด้ นายน้อย ผมรู้แล้ว”
แม้ว่าอาติงจะไม่เข้าใจความหมายของเยี่ยเทียน แต่ว่าเขาก็ให้ความเคารพเยี่ยเทียนตั้งนานแล้ว ดังนั้นเคล็ดลับที่ เยี่ยเทียนถ่ายทอดให้ จึงไม่กล้าที่จะฝ่าฝืนแม้แต่นิดเดียว
“คุณอา แล้วฉันละ”
หลิวติงติงทำท่าทางน่าสงสารมองไปที่เยี่ยเทียน คนที่เข้ามาในลานนี้ ไม่มีใตไม่อยากอยู่ที่นี่ ในสายตาของหลิวติงติง เธอก็อยากใช้เวลาอยู่ที่นี่เหมือนกัน
“เธอยังเข้าไม่ถึงพลังแฝง ใช้เวลาอยู่ที่นี้นานเกินไป จะเป็นผลเสีย”
เยี่ยเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “เธอสามารถอยู่ที่นี่เพื่อฝึกฝน แต่เหมือนกันกับอาติง ก็คือมาพักอยู่ที่นี้วันเว้น ติงติง อย่าใจร้อน อยากเข้าถึงเร็วก็ต้องสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งขึ้นก่อน”
แม้ว่าอายุจะเยอะไม่เท่ากับหลิวติงติง แต่ว่าคำพูดของเยี่ยเทียนเหมือนว่าเขาเป็นผู้อาวุโส มีวางมาดเคร่งของตัวเอง โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นที่ฟังอยู่ข้าง ๆก็ค่อย ๆพยักหน้า ต้องขอแสดงความชื่นชมแววตาอาจารย์ที่ยอมรับลูกศิษย์คนสุดท้ายนี้
“ใช่ คุณอา ฉันรู้แล้ว เมื่อเห็นว่าคุณปู่ไม่ได้พูดอะไร หลิวติงติงรู้ว่าเยี่ยเทียนหวังดีกับเธอ ก็ผงกหัวเห็นด้วยทันที”
เยี่ยเทียนมองดูนาฬิกา ก็เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว พูดว่า “พอได้แล้ว อาติง เธอพักที่ด้านหน้า ศิษย์พี่และหลิวติงติงทั้งสองพักตรงกลาง ชุดเครื่องนอนและเครื่องใช้ในห้องน้ำเป็นของใหม่ทั้งหมด ขาดเหลืออะไรบอกฉันได้เลยนะ”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน อาติงรีบพูดออกไปว่า “นายน้อย ถ้ามีของอะไรขาดให้ผมเป็นคนจัดการ เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ไม่ต้องรบกวนท่านแล้ว”
มันแตกต่างกันมากที่มีคนคอยช่วย เมื่อมีอาติงเช่นนี้ เยี่ยเทียนก็อยากจะขออาติงมาจากถังเหวินหย่วนเลย
“ศิษย์น้องเล็ก พลังเหนือธรรมชาติในลานของเธอนี้ยิ่งน้อยลงทุกวัน ฉันว่าพักอยู่ที่นี้ไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องนอนแล้ว”
โก่วซินเจียหัวเราะ เดินมุ่งหน้าไปยังห้องสำคัญห้องหนึ่งแล้วก็นั่งลง เขาไม่ได้คาดหวังที่จะบรรลุถึงการฝึกพลังกำเนิดเซียน แต่ว่าเมื่อหลายปีก่อนแขนถูกหักเป็นสองท่อน และชีพจรโดยรอบ ๆก็ได้รับความเสียหายไม่น้อย นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะรักษามัน
หลังจากที่จัดการที่พักให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนไปห้องตัวเองที่หลังบ้าน โจวเซ่าเทียนทุกวันจะมาทำความสะอาดที่เรือนสี่ประสานหนึ่งครั้ง แม้ว่าจะเดินทางออกไปได้เดือนกว่าแล้ว ภายในห้องก็ยังคงสะอาดมาก ๆ
เมื่อถึงห้องก็อาบน้ำสักหน่อย เยี่ยเทียนมาถึงห้องสมุด เปิดประตูลับในชั้นหนังสือ เปิดตู้เซฟที่ติดอยู่กับผนัง
หลังจากที่เปิดตูเซฟแล้ว เยี่ยเทียนก็หยิบคู่มือตำราหนา ๆ เคล็ดวิชาที่อาจารย์เป็นคนเขียนเองออกมา
ตามที่เยี่ยเทียนและหลี่ซั่นหยวนปรึกษากันในตอนแรก เคล็ดวิชาในการต่อสู้พวกนี้บางทีไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดให้ศิษย์พี่ทั้งสอง แต่ว่าเมื่อเยี่ยเทียนพบเหตุการณ์ที่ฮ่องกง ก็รู้ว่าความจริงแล้วศัตรูของสำนักเสื้อป่านมีไม่น้อยเลย
สำหรับศิษย์พี่ทั้งสองหลังจากที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันพักหนึ่ง เยี่ยเทียนก็เรียนรู้นิสัยของพวกเขา ศิษย์พี่ใหญ่โก่วซินเจียเป็นคนที่เดาใจได้ยากมาก แต่ว่าเมื่อหลายปีที่ผ่านมาประสบกับเคราะห์ร้ายจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
สำหรับจั่วเจียจวิ้นศิษย์พี่รองก็ไม่มีความมุ่งมั่นอะไร ให้ความสนใจเพียงแค่หลานสาว และพยายามอย่างสุดกำลังอยากให้มีการถ่ายทอดผ่านสายเลือดนี้ ยังเป็นคนที่ไว้ใจได้
ดังนั้นเยี่ยเทียนก็เตรียมที่จะคัดเลือกเคล็ดวิชาบางส่วนส่งมอบให้ทั้งสองได้ฝึกฝน แม้สิ่งที่เกิดขึ้นในภายหลัง ถ้าไม่ใช่ศัตรู ก็ยังสามารถปกป้องตัวเองได้
ในสมองของเยี่ยเทียนมีเคล็ดวิชามากมายพร้อมจะถ่ายทอด เขาและหลี่ซั่นหยวนจัดการให้เป็นระเบียบมาแล้วสองปี ทั้งหมดถูกจัดออกมาได้สิบแปดบทและมากกว่าร้อยวิธีในการต่อสู้ หลังจากที่เยี่ยเทียนคิดมาแล้ว ก็ได้เลือกออกมาสามเล่มเพื่อส่งให้โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้น ศึกษาและฝึกฝน
“ศิษย์พี่ ยังไม่นอนอีก ผมเข้าไปได้ไหม?” หยิบหนังสือเคล็ดวิชาสามเล่มมายังกลางห้อง เยี่ยเทียนเคาะประตูห้องของโก่วซินเจีย
“ศิษย์น้องเล็ก ฉันกำลังคุยกับจั่วเจียจวิ้นอยู่พอดี รีบเข้ามาสิ” เสียงของโก่วซินเจียดังออกมา เยี่ยเทียนผลักประตูแล้วเดินเข้าไป
พอเห็นเยี่ยเทียนเดินเข้ามา โก่วซินเจียก็ลุกขึ้นเทน้ำให้เขา พูดว่า “บาดแผลจากอาวุธปืนของเธอยังไม่หายดี ทำไมไม่รีบพักผ่อน”
“ศิษย์พี่ นี้คือหนังสือที่ล้ำค่าที่ผมกับอาจารย์จัดเก็บเคล็ดวิชาเอาไว้ ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รอง ลองศึกษาและฝึกฝนด้วยกันสิ” เยี่ยเทียนก็ไม่ได้พูดอะไรไร้สาระ วางหนังสือเคล็ดวิชาสามเล่มไว้บนโต๊ะ
“ถ่ายทอดเคล็ดวิชา” โก่วซินเจียไม่รอช้าเดินเข้าไปหยิบเคล็ดวิชามาหนึ่งเล่ม เปิดดูสักหน่อย ร้องเสียงหลงออกมาว่า “อาจารย์ นี่่คือลายมือของอาจารย”
“ไม่ผิด คือลายมือของอาจารย์” จั่วเจียจวิ้นที่อยู่ข้างๆพูด เขาและโก่วซินเจียต่างก็เคยคิดติดตามหลี่ซั่นหยวนเป็นเวลานานมาก กับลายมือของอาจารย์แค่เห็นก็จำได้ขึ้นใจ
โก่วซินเจียที่กำลังมองดูหนังสือที่ล้ำค่าอยู่ หลังจากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “มองไปหาเยี่ยเทียนแล้วถามว่า เยี่ยเทียน นี้คืออาจารย์สั่งให้เธอส่งต่อมันให้พวกฉันหรือเปล่า”
แปลกประหลาด ปกติอาจารย์จะถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้กับลูกศิษย์โดยตรงเท่านั้น นั่นก็หมายความว่า นอกจากเยี่ยเทียนแล้ว เขาและจั่วเจียจวิ้นต่างก็ไม่มีคุณสมบัติในการฝึกฝนเคล็ดวิชาพวกนี้
“อาจารย์ให้ผมพิจารณาเรื่องราวตามเหตุการณ์”
เยี่ยเทียนผงกหัว พูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเรามีกันอยู่แค่นี้ ก็ไม่ต้องพูดอะไรให้มากมายแล้ว ศิษย์น้องตอนนี้ก็กลายเป็นหัวหน้าของสำนักเสื้อป่าน ก็ยังมีสิทธินี้”
“ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่ได้รับและเข้าใจความหวังดีในครั้งนี้ของเธอแล้ว”
โก่วซินเจียพยักหน้า หันไปมองจั่วเจียจวิ้นแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องรอง พวกหนังสือเคล็ดวิชานี้ก็คือสำนักเสื้อป่านของพวกเราที่เป็นตัวกลางสำคัญในการถ่ายทอดและสืบสาน เธอต้องไม่ถ่ายทอดให้คนอื่นง่าย ๆ”
โก่วซินเจียเป็นคนรุ่นก่อนยุคปลดปล่อย จึงค่อนข้างให้ความสำคัญกับแบบแผนการถ่ายทอดและสืบสานวิชาของสำนัก ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าแล้วว่า การรักษาระเบียบแบบแผนอย่างนี้จะไม่เกิดผลดีและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาวิชาที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน แต่ช่วงเวลานี้ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนี้ได้
“ศิษย์พี่ ฉันรู้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากศิษย์น้องเยี่ย เคล็ดวิชาพวกนี้ฉันก็จะไม่เปิดเผยออกไปอย่างแน่นอน” จั่วเจียจวิ้นผงกหัว
โก่วซินเจียวางหนังสือเคล็ดวิชาทั้งสามเล่มบนโต๊ะ หันไปถามเยี่ยเทียนว่า “ศิษย์น้องเล็ก เธอมีธูปเทียนไหม”
“มี ศิษย์พี่รอสักครู่” เยี่ยเทียนเข้าใจความหมายของศิษย์พี่ใหญ่ กลับไปทีห้องของตัวเองไปหยิบธูปเทียนมา หลังจากนั้นก็หยิบรูปวาดของหลี่ซั่นหยวนมาด้วย
“อาจารย์!”
หลังจากที่ได้เห็นรูปวาดของหลี่ซั่นหยวน โก่วซินเจียสั่นไปทั้งตัว ใช้มือเดียวรองรับรูปวาดนั้นมาด้วยความเคารพ หลังจากนั้นก็แขวนมันไว้บนกำแพง
หลังจากที่จุดธูปเทียน โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นคุกเข่าลงกับพื้น โค้งคำนับสามทีให้กับหนังสือล้ำค่าสามเล่มและรูปวาดของหลี่ซั่นหยวน เพื่อที่จะสำนึกบุญคุณและแสดงความขอบคุณอาจารย์ที่ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้
หลังจากเสร็จพิธีกราบอาจารย์ เยี่ยเทียนพูดว่า “ศิษย์พี่ ยังมีเวลาอีกนาน วันนี้พวกพี่รีบพักผ่อนกันเถอะ”
“รู้แล้ว ศิษย์น้องเล็กอาการบาดเจ็บของเธอยังไม่หายดี กลับห้องเถอะ” โก่วซินเจียพยักหน้า แต่ว่าสายตายังคงมองดูพวกหนังสือเคล็ดวิชา ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่มีความคิดที่จะนอนแล้ว
เยี่ยเทียนก็ไม่ได้พูดโน้มน้าวใจ บอกศิษย์พี่ทั้งสองว่าง่วงนอนแล้วก็กลับเข้าห้องนอนของตัวเอง แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าวันนี้จะนอน เพราะว่ายังมีเรื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้จัดการ
หลังจากกลับมาถึงห้อง เยี่ยเทียนเปิดกระเป๋าเป้ของตัวเอง หยิบเอาวัตถุสีเขียวเล็ก ๆเจ็ดแปดชิ้นมาวางไว้กลางฝ่ามือ แสงไฟสีขาวในห้องส่องแสงลงมา ทั้งมือขวาของเยี่ยเทียนก็กลายเป็นสีเขียว
นี่คือหยกจักพรรดิที่เยี่ยเทียนได้มาจากการเดิมพันที่ฮ่องกง ตอนนี้อยู่ที่ในฮ่องกงเพื่อให้บริษัทเครื่องประดับของจั่วเจียจวิ้นทำเป็นสร้อยข้อมือที่สมบูรณ์สวยงาม ซึ่งน่าจะทำได้สองเส้น
ส่วนหยกเหล่านี้ที่อยู่บนฝ่ามือของเยี่ยเทียน คือส่วนเหลือที่ถูกควักออกมา อย่ามองสิ่งเหล่านี้เป็นเศษของสร้อยข้อมือนั้นและไม่มีค่า มูลค่าของมันมากกว่าทองคำ หมื่นแท่งเสียอีก
เยี่ยเทียนพร้อมที่จะแกะสลักพวกมันเป็นจี้เล็ก ๆ หลังจากนั้นเก็บไว้ที่เรือนสี่ประสาน หยกที่ดีที่สุดเหล่านี้มีความจุสูงสำหรับจิตเก็บพลังงาน ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่ปีมันก็อาจกลายเครื่องราง
มีโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นทั้งสองที่อาศัยอยู่ในนี้ น่าจะทำให้พลังเหนือธรรมชาติที่อยู่ในเรือนสี่ประสานนี้กระจัดกระจายและค่อย ๆหายไป เพราะฉะนั้นเยี่ยเทียนต้องแกะสลักให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อใส่เข้าไปในดวงตาค่ายกล
พวกหยกเหล่านี้ถูกตัดตามคำแนะนำของเยี่ยเทียน ทั้งหมดมีแปดแผ่น สามารถแกะสลักออกมาได้แปดชิ้น เยี่ยเทียนเปิดโคมไฟ แกะสลักอยู่บนโต๊ะ
หลังจากที่เข้าถึงการฝึกพลังกำเนิดเซียน เยี่ยเทียนสามารถควบคุมร่างกายได้ถึงขั้นตอนที่ละเอียดอ่อน ทุกครั้งที่กรีดมีดลงไป จะใช้แรงทั้งหมดที่พอดีไม่มากไม่น้อยเกินไป
การแกะสลักของเยี่ยเทียนรวดเร็วมาก ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง หยกกวนอิมสีสันสดใสหนึ่งชิ้นอยู่บนฝ่ามือของเขาแล้ว
เยี่ยเทียนชอบแกะสลักหยกที่บ้าน จึงซื้อเครื่องเจียรไนยขนาดเล็กมาวางไว้ที่บ้าน จึงทำให้ค่อนข้างง่ายและสะดวกมาก
เขาเปิดเครื่องเจียรไนยที่อยู่ด้านข้างของเขา เยี่ยเทียนโยนหยกกวนอิมลงไป หลังจากสิบกว่านาทีก็ขัดเงาเสร็จแล้ว มีแสงสีเขียวสะท้อนออกมาที่ดูแล้วเงียบสงบและสวยงาม
กวนอิมและรูปพระพุทธรูปสี่รูป เยี่ยเทียนยุ่งทั้งคืน หลังจากเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งหมด ก็ได้ยินเสียงไก่ขันขึ้นมา
ลุกขึ้นและเดินไปที่สวนหลังบ้าน เยี่ยเทียนยกอิฐออกมาจากพื้น เอาหินอ่อนสีขาวออกมา หลังจากที่งัดหินอ่อนสีขาวออกมาหนึ่งชิ้น เยี่ยเทียนก็เอาหยกทั้งแปดวางลงไปแทนที่
………
ตอนที่ 374 สมาคม
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากวางเครื่องหยกเสร็จเรียบร้อย เยี่ยเทียนได้ยินเสียงเปิดประตูจากกลางบ้าน พอเดินไปดูก็เห็นว่าศิษย์พี่ทั้งสองแยกกันออกมาจากห้อง ทั้งสามมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ
ทั้งสามคนยึดตำแหน่งในเรือนสี่ประสานที่แตกต่างกันไป ทันใดนั้นศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามคนก็ยืนสมาธิเดินลมปราณทันที ในลานก็มีการเปลี่ยนแปลงพลังเหนือธรรมชาติที่มากมายสมบูรณ์ในทันทีทันใด พลังก็ถูกดูดจางหายไปอย่างรวดเร็ว
“เอ๋ ว่าแต่เจ้าของเล็ก ๆ แบบนี้มันจะสามารถนั่งสมาธิเดินลมปราณได้จริงหรือ” ในขณะที่เยี่ยเทียนมีปฏิกิริยาโต้ตอบของพลัง เพิ่งสังเกตว่าภายในเรือนสี่ประสานแห่งนี้นอกจากสามตำแหน่งที่มีการดูดซึมพลังนั้น ในบ่อน้ำที่สวนก็มีพลังงานที่ไม่สลายหายไปอย่างต่อเนื่อง
เยี่ยเทียนรู้ว่านั้นคือที่ที่เหมาโถวอาศัยอยู่ พอนึกได้ครู่หนึ่งก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมาก เหมาโถวเกิดมาพร้อมกับไหวพริบที่ดีวันหน้าจะกลายเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความโชคดีของตัวมันเอง
สำเร็จเรียบร้อยในการฝึกสองชั่วโมง พลังเหนือธรรมชาติในลานนี้อ่อนลงมาเยอะมาก เพียงแต่ว่ายังหมุนอยู่รอบ ๆค่ายกล ระยะเวลาไม่นานก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
หลังจากที่ออกกำลังกายตอนเช้าเสร็จแล้ว ศิษย์พี่ศิษย์น้องรวมตัวอยู่ด้วยกัน โก่วซินเจียรู้สึกได้ถึงพลังที่อยู่รอบตัว พูดว่า “ค่ายกลนี้ถึงแม้ว่ามันจะดี แต่ชีพจรของพระราชวังคือไม่มีรากฐานแก่นแท้ถึงที่สุด อีกทั้งพลังภูตผีปีศาจก็มีจำกัด ศิษย์น้อง อย่างมากสุดก็สองปี ดวงชะตาของพระราชวังก็กำลังจะหมดลง”
เยี่ยเทียนผงกหัว พูดว่า “ผมรู้ ถ้าสามารถรักษาให้คงอยู่ต่อไปได้ถึงสองปีก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก รอให้บ้านที่ฮ่องกงจัดการเสร็จเรียบร้อยก่อนผมก็จะแวะไปดูสักหน่อย ถ้าเกิดว่าพื้นที่เหมาะสมแล้วก็ ก็สามารถวางค่ายกลสักอันไว้ที่นั้นได้”
“ศิษย์น้องเล็ก ที่นี่แม้ว่าจะดี แต่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องไปกราบไหว้อาจารย์ก่อน เธอคิดว่าไปกันเมื่อไหร่ดี”
โก่วซินเจียและโจ่วเจียจวิ้นแม้ว่าจะชมเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนไม่ขาดปาก แต่ว่าพวกเขาทั้งสองสิ่งที่สำคัญที่สุดในการมาประเทศจีนนี้ ก็คือมากราบไหว้อาจารย์ที่จากไปหลี่ซั่นหยวน ก็คือสิ่งที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
เยียเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “ศิษย์พี่ ผมยังมีบางเรื่องที่ต้องจัดการที่ปักกิ่ง ถ้ารออีกอาทิตย์ถัดไปก็จะครบรอบสามปีพิธีบวงสรวงอาจารย์ เอาเป็นว่า หลังจากนั้นสามวันพวกเราไปเหมาซัน พวกพี่คิดว่าไง”
รู้ว่าเยี่ยเทียนกลับมาเมื่อวาน เว่ยหงจวิน ก็โทรศัพท์มา เพื่อที่จะนัดเยี่ยเทียนกินข้าว แต่ว่าเยี่ยเทียนไม่ว่าง จึงบอกปัดทั้งหมด
เยี่ยเทียนไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่ปักกิ่งคนเดียว ยังมีครอบครัวใหญ่อีก มีเพื่อนทุกหนทุกแห่ง เยี่ยเทียนคิดว่าพรุ่งนี้จะไปเจอพวกเขา อย่างน้อยถ้าวันหลังตัวเองไม่อยู่แล้ว ถ้าเกิดมีปัญหาอะไรก็ยังมีคนคอยให้ความช่วยเหลือ
สำหรับวันนี้ เยี่ยเทียนกลับต้องไปเดินที่มหาวิทยาลัยหวาชิง อวี๋ชิงหย่าก็ใกล้จะเรียนจบแล้ว แถมยังมีของในหอพักที่ต้องย้ายกลับมา เป็นคู่หมั้น เยี่ยเทียนก็ถือว่ามันคือหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง
โก่วซินเจียคิดแล้วคิดอีก พูดว่า “ได้ ไม่ต้องรีบหรอก ฉันก็ออกมาจากเมืองปักกิ่งห้าสิบปีกว่าแล้ว ได้โอกาสไปเดินเล่นสักหน่อย”
เยี่ยเทียนผงกหัวพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ให้อาติงไปเป็นเพื่อนสิ รถคันนั้นผมทิ้งไว้ให้อาติง”
เพราะว่าเมื่อวานเยี่ยเทียนได้สั่งไว้แล้วว่าจะไม่ตื่นเช้า อาติงก็ใช้จังหวะนี้นอนหลับสบายอยู่ในห้อง เยี่ยเทียนออกไปซื้ออาหารเช้าแล้วก็ไปปลุกอาติง บอกแผนการของทั้งสองวันนี้ให้เขาฟัง
เยี่ยเทียนบอกให้เขาพาโก่วซินเจียไปเที่ยวชมรอบ ๆปักกิ่ง อาติงยิ้มแล้วพูดว่า “นายน้อย ไม่ต้องใช้รถของท่านก็ได้ ลุงถังเขามีหน่วยงานอยู่ที่นี่ ผมไปที่นั่นไปเอารถมาก็ได้แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี ระวังตัวปลอดภัยไว้ก่อน” เยี่ยเทียนผงกหัว วันนี้เขาก็ไปย้ายของ ถ้าไม่มีรถก็จะไม่สะดวก
หลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จ เยี่ยเทียนขับรถออกไปจากเรือนสี่ประสาน แต่ว่าแค่เลี้ยวออกมาจากหน้าทางเข้าของเรือนสี่ประสาน เยี่ยเทียนก็เหยียบเบรก เอารถจอดไว้ข้าง ๆถนนหลังจากนั้นก็เปิดประตูเดินออกมา
“สวัสดี พวกคุณทั้งหลาย กำลังวางแผนอะไรกันอยู่” เดินไปถึงปากซอย เยี่ยเทียนเอาตบเบา ๆไปที่รถคันหนึ่ง
“คุณ คุณชายเยี่ย ทำไมคุณหาพวกเราเจอ”
ลดกระจกรถลงมา ในที่นั่งคนขับใบหน้าขมขื่นของมาราไกย์ปรากฏออกมาให้เห็น พวกเขาคิดว่าตัวเองระวังตัวดีแล้ว ไม่คิดว่าจะถูกเยี่ยเทียนจับได้ ทำให้พวกทหารรับจ้างพวกนี้มีความรู้สึกพ่ายแพ้
เยี่ยเทียนหยิบโทรศัพท์ที่สามารถค้นหาตำแหน่งได้แกว่งไปมา พูดว่า “พวกแกสามารถหาฉันเจอได้ ฉันยังหาพวกแกไม่ได้เลยหรอ”
พูดความจริง เยี่ยเทียนก็ค่อนข้างที่จะให้เคารพนับถือคนพวกนี้ เมื่อวานเพิ่งมาถึงปักกิ่ง วันนี้พวกเขาก็รออยู่หน้าปากซอยตั้งแต่เช้าตรู่ อย่างน้อยที่สุดก็ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่
มาราไกย์รู้ว่าวัยรุ่นที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นไม่สามารถคาดเดาได้ ไม่กล้าปิดบังทันที พูดว่า “คุณชายเยี่ย พวกเราก็แค่พักอยู่โรงแรมข้าง ๆ นี้เอง คุณไม่ต้องกังวล พวกเราจะไม่รบกวนกิจวัตรประจำวันของคุณแน่นอน
เยี่ยเทียนหัวเราะ พูดว่า “ดี แต่ว่าต่างชาติในปักกิ่งนั้นมีไม่ค่อยเยอะ พวกแกช่วยอยู่ให้ห่างจากฉันอีกหน่อย ประมาณห้าสิบเมตรขึ้นไป”
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน มาราไกย์และคนทั้งหมดก็ต่างยิ้มออกมา นี้คือหน้าที่ของบอดี้การ์ด ระยะห่างกับนายจ้างกลับยิ่งอยู่ยิ่งไกล ระยะห่างห้าสิบเมตร ถ้าเกิดว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมาแล้วก็ แม้ว่าพวกเขาจะบินไปก็คงไม่ทันอยู่ดี
“ตกลง คุณชายเยี่ย พวกเราจะรักษาระยะห่างกับคุณอย่างแน่นอน”
นึกถึงวันนั้นที่เจอศพกว่ายี่สิบร่าง มาราไกย์ไม่ยอมตัดสินใจเอง เกิดความรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมา ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของเยี่ยเทียน ทำได้เพียงแค่รับปาก
จากนั้นก็กลับไปนั่งรถแลนด์โรเวอร์ของตัวเองที่เคยขับไม่กี่ครั้ง เยี่ยเทียนมาถึงบริเวณมหาวิทยาลัยหวาชิง หลังจากลงทะเบียน เยี่ยเทียนก็ขับรถตรงไปยังหอพักของอวี๋ชิงหย่า
ในปีเก้าแปดนี้ ทั้งเมืองปักกิ่งมีรถแลนด์โรเวอร์ไม่กี่คัน เยี่ยเทียนจอดรถไว้หน้าทางเข้าหอพัก ทันใดนั้นก็ดึงดูดสายตาคนที่เดินเข้าออกไปมา สายตาของหญิงสาวคืออิจฉาชื่นชม ชายหนุ่มก็ต่างอิจฉาริษยาไม่แพ้กัน
“เยี่ยเทียน รอฉันแปปหนึ่ง ใกล้จะเก็บของเสร็จแล้ว” หลังจากที่รับโทรศัพท์ เสียงของอวี๋ชิงหย่าก็ดังออกมา
เยี่ยเทียนถือสายอยู่ก็หัวเราะ พูดว่า “ต้องการให้ฉันขึ้นไปช่วยไหม จะว่าไปฉันก็ยังไม่เคยเข้าไปในหอพักของผู้หญิงเลย”
“อยากมาก็มาสิ สาว ๆในนี้ก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าด้วยนะ”
“อวี๋ชิงหย่า เธอยังไม่ใส่เสื้อผ้าอีกหรือ พอมีแฟนแล้ว ก็ไม่สนใจพวกเราเลยนะ”
“หรือว่า จะถอดเสื้อผ้าของอวี๋ชิงหย่าออกหลังจากนั้นก็ค่อยให้เขาขึ้นมา”
“ว้าว เหมียว ๆของอวี๋คนสวยใหญ่มากเลย พวกเราพี่สาวน้องสาว สู้ ๆ”
ถือสายอยู่ก็ได้ยินพวกผู้หญิงกำลังล้อเล่นกันอย่างสนุกสนาน เยี่ยเทียนอดไม่ได้ที่จะถูจมูก ถูแล้วถูอีก ว่ากันว่าคณะวารสารศาสตร์มีแต่ผู้หญิงสวย ๆ มีทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยแสงฤดูใบไม้ผลิ ดูสวยงามที่สุด
“ไม่คุยแล้ว ฉันกำลังจะลงไป” อวี๋ชิงหย่ารีบพูดแล้วก็รีบตัดสายไป
แต่ว่าชีวิตในมหาวิทยาลัยก็ถือว่าเรียบง่าย
มองเห็นว่าข้างหน้ารถมีซองบุหรี่ที่พ่อทิ้งไว้ เยี่ยเทียนก็หยิบมาคาบไว้ในปากหนึ่งมวน ใช้ไฟแช็กจุดบุหรี่ สูดเข้าไปลึก ๆ ภายในใจรู้สึกคิดถึงชีวิตสมัยเรียน
เยี่ยเทียนหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วหาเบอร์ของสวีเจิ้นหนาน แม้ว่าจะออกรั้วหวาชิงสามปีแล้ว แต่ว่าความสัมพันธ์กับสวีเจิ้นหนานยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ว่าคนอื่น ๆก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันสักเท่าไหร่
“เยี่ยเทียน เจ้าหมอนี่ทำไมถึงสูบบุหรี่อีกแล้ว” กำลังโทรหาสวีจวิ้นหนาน ท้ายรถก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
“อัยยะ พี่ใหญ่ ฉันเพิ่งโทรหาพี่เมื่อกี้แล้วพี่ก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว นี้บินมาหรือเปล่า เยี่ยเทียนได้ยินก็ยิ้มออกมา เยี่ยเทียนไม่ได้วางสาย แต่ฟังเสียงโทรศัพท์ที่ดังมาจากท้ายรถ
“หรงหรงเพิ่งโทรมาบอกว่าเธออยู่นี้ น้องชายที่แสนดีมาแล้ว ฉันจะไม่มาได้เหรอ”
สวีเจิ้นหนานหัวเราะแล้วก็แย่งบุหรี่ที่อยู่ในปากของเยี่ยเทียน สูดเข้าไปหนึ่งทีแล้วก็รีบคืนกลับไป มองขึ้นไปหน้าต่างของหอพัก พูดว่า “วันหลังต่อหน้าฉันสูบบุหรี่ให้น้อยลงหน่อย พวกพี่ต่างเลิกกันหมดแล้ว”
เยี่ยเทียนหัวเราะพร้อมเปิดประตูรถ ต่อยไปที่อกของสวีเจิ้นหนาน หัวเราะแล้วพูดว่า “ให้ตายเหอะพี่ใหญ่ ความตั้งใจไม่เด็ดเดี่ยวแม้แต่นิดเดียว ถ้าพี่เลิกมันพี่ก็กลายเป็นคนทรยศแล้ว”
ภายในเดือนเดียวเยี่ยเทียนเฉียดตายมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง เส้นประสาทมีแต่ความตรึงเครียด คุยเล่นกับสวีเจิ้นหนาน กลับทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากกว่าที่เคย
“น้องชาย ฉันซื่อสัตย์ขนาดนี้ จะเป็นคนทรยศได้ไง เฮ เยี่ยเทียนฉันว่านะ รถคันนี้ของแกก็ไม่เลวนะ เมื่อเทียบกับรถฮัมเมอร์ของเถ้าแก่เหมยของพวกเราแล้วนั้นของแกยังดูสง่าน่าเกรงขามกว่าเยอะ”
มาถึงด้านหน้ารถ สวีเจิ้นหนานก็เห็นถึงความแตกต่างระหว่างรถแลนด์โรเวอร์และเยี่ยเทียน มีผู้ชายคนไหนที่จะไม่ชอบรถ ในตอนนั้นก็เดินสำรวจดูทั้งหน้าและหลังรถ
“พอแล้ว พี่ไม่มีปัญญาซื้อมันหรอก”
เยี่ยเทียนดึงสวีเจิ้นหนานออกมา พูดว่า “เดี๋ยวพี่และเว่ยหรงหรงไปกินข้าวที่บ้านฉันเถอะ พวกเราสองพี่น้องนานแล้วนะไม่ได้ดื่มสักแก้วเลย อัยยะ หน้าพี่ไปโดนอะไรมา หรือว่าโดนบอลเตะอัดหน้า”
เมื่อจะต่อยหน้าสวีจิ้นหนานเยี่ยเทียนก็เห็นว่า “เบ้าตาขวาของเขาเป็นสีดำ ๆ แก้มซ้ายก็บวมขึ้นมา บุคลิกภายนอกกับที่เขาพูดออกมาเมื่อกี้ทั้งหมดมันไม่สอดคล้องกัน”
แต่ว่าเยี่ยเทียนรู้ สวิจิ้นหนานชอบเล่นบาส แต่ก่อนสมัยที่ยังเรียนอยู่พวกนี้ก็มักจะถูกปะทะหน้าตาฟกช้ำดำเขียวเป็นประจำ แต่นั้นก็ไม่ได้สำคัญอะไร
“ไม่ใช่เตะบอล ฉันซ้อมคาราเต้กับพวกอ่อนหัดที่ชมรม”
เมื่อได้เห็นใบหน้าที่ยิ้มไม่ค่อยดีของเยี่ยเทียน สวีเจิ้นหนานตะโกนออกมา “เฮ้ เยี่ยเทียน ฉันไม่เคยทำให้ชาวจีนอย่าง่พวกเราขายหน้า เจ้าลูกเต่าคนนั้นก็ถูกฉันถีบไปอยู่หลายที ฉันว่าเจ้านั่นคงช้ำในไปแล้ว”
เยี่ยเทียนกลั้นขำ ถามว่า “ฉันบอกว่าพี่เล่นบาสเก่งมาก ๆ ทำไมถึงไปอัดคนที่ฝึกคาราเต้แล้วละ”
ในมหาวิทยาลัยนี้มีสมาคมจำนวนมาก ทั้งหมดก็คือนักเรียนด้วยกันเองนั้นแหละที่เป็นคนก่อตั้งหลัง จัดให้มีการสมัครและลงทะเบียน ถ้าเกิดว่ามีคนลงชื่อกันเยอะ ทางมหาวิทยาลัยก็จัดหาสถานที่ให้เพื่ออำนวยความสะดวก
แม้ว่าเยี่ยเทียนจะพอรู้จักพวกสมาคมพวกนี้ แต่เขาไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัยเป็นเวลาครึ่งปี เพราะฉะนั้นเลยไม่ได้คลุกคลีอยู่กับสมาคมพวกนั้น
สวีเจิ้นหนานมองไปที่เยี่ยเทียน พูดด้วยน้ำเสียงเกรงใจว่า “หรงหรงบอกว่าฉันนะตัวใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์ สมัยนี้ผู้ชายต้องฝึกวิชากังฟูด้วยถึงจะรู้สึกปลอดภัย”
“ฉันบอกว่างั้นพี่ไม่มีทางประสบความสำเร็จได้หรอก” เมื่อได้ยินเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ของสวีเจิ้นหนาน เยี่ยเทียนไม่มีอะไรจะพูดเลย ดูเหมือนว่าชีวิตของพี่ใหญ่ถูกทำลายด้วยมือของแม่พริกขี้หนูแล้ว
“รอแปป ฉันรับสายนี้ก่อน” คือสมาคมมวยวูซูของพวกเราโทรมา ในขณะที่พูดคุยกันอยู่ เสียงโทรศัพท์ของสวีเจิ้นหนานก็ดังขึ้นมา
“ฮัลโหล ฉันอยู่แถวหอพักหญิง มีเรื่องอะไร อะไรนะ เจ้าอ่อนหัดคนนั้นมันเชิญอาจารย์มาแล้ว อย่าไปกลัว พวกแกรอฉันก่อนเดี๋ยวฉันจะรีบไป บ้าเอ้ย จะฆ่าพวกมันให้หมด”
……..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น