กระบี่จงมา 372.1-373.2

บทที่ 372.1 เดือนหนึ่ง

 

หลังจากที่หลี่เอ้อร์มาถึงนครมังกรเฒ่า สถานการณ์ของนครมังกรเฒ่าก็เริ่มเข้าสู่สภาวะชัดเจนอย่างแท้จริง แม้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบท่านนี้จะแค่โผล่หน้ามาที่ร้านยาฮุยเฉินแปบเดียว แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้ตัดสินสถานการณ์ในท้ายที่สุด


แซ่ใหญ่ทั้งสี่ซึ่งรวมถึงตระกูลซุนอาจยังไม่รู้เรื่อง ทว่าแนวโน้มของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในลำดับถัดไปก็แค่ต้องบรรยายด้วยสี่คำว่า ‘ตามลำดับขั้นตอน’ เท่านั้น ลูกคิดแต่ละรางและสมุดบัญชีแต่ละเล่มของนครมังกรเฒ่าจะขยับขึ้นเหนือไปอย่างต่อเนื่อง ขยับเข้าไปใกล้กองทัพม้าเหล็กสกุลซ่งต้าหลีที่ปักหลักอยู่ในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปมากขึ้นทุกที


สำหรับเรื่องนี้ ตระกูลฝู ตระกูลฟ่านและร้านยาฮุยเฉิน สามฝ่ายนี้คือผู้ที่รู้คำตอบเร็วที่สุด


วันนี้ที่หลี่เอ้อร์จากไป คนของตระกูลฟ่านก็เดินอาดๆ พากันมาเยี่ยมเยียนวันปีใหม่ ล้วนเป็นคนที่เฉินผิงอันคุ้นเคยดี ฟ่านจวิ้นเม่า ฟ่านเอ้อร์สองพี่น้องนี้ไม่ต้องพูดถึง ยังมีน้ากุ้ยแห่งเกาะกุ้ยฮวา รวมไปถึงจินซู่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของนาง คือแม่นางกุ้ยฮวาที่ตอนนั้นคอยปรนนิบัติเฉินผิงอันเมื่อครั้งเดินทางไปภูเขาห้อยหัว สุดท้ายคือหม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่เฒ่าโอสถทองซึ่งเคยป้อนกระบี่ให้เฉินผิงอันช่วงระยะเวลาหนึ่ง น้ากุ้ยแทบไม่เคยขึ้นมาบนฝั่ง ทุกปีเกาะกุ้ยฮวาจะเดินทางไปกลับนครมังกรเฒ่ากับภูเขาห้อยหัวอยู่สองครั้ง แม้แต่ผู้เฒ่าหลายคนในศาลบรรพชนตระกูลฟ่านก็ยังไม่เคยพบหน้านางตลอดชีวิต


ผู้เฒ่าต่างถิ่นที่ ‘มุมานะในการอ่านตำรา’ ในสายตาของจูเหลี่ยน เดิมทีนึกว่าวันนี้จะเป็นอีกวันที่น่าเบื่อ แม้แต่สตรีแซ่สุยผู้นั้นก็คงไม่ได้พบหน้า คิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ จะได้พบเจอสตรีมากมายขนาดนี้ ผู้เฒ่าที่นั่งแทะเมล็ดแตงอยู่หน้าร้านยาขาดแค่ไม่ได้พูดว่าตัวเองเป็นลูกจ้างของร้านยาฮุยเฉินเท่านั้น เขายุ่งวุ่นวายไม่หยุดมือ กระตือรือร้นยิ่ง หลังจากเดินข้ามธรณีประตูใหญ่ของร้านยามาแล้ว น้ากุ้ยมองผู้เฒ่าประหลาดแวบหนึ่ง ผู้เฒ่าเองก็กำลังมองนางอยู่พอดี น้ากุ้ยสะกดความสงสัยในใจ ยิ้มบางๆ ส่งให้อีกฝ่าย ผู้เฒ่าคิดในใจว่าฮูหยินท่านนี้ แม้ว่ารูปโฉมจะธรรมดา แต่นิสัยนุ่มนวลอ่อนโยน คือตัวเลือกแรกที่บุรุษทั่วไปจะสู่ขอกลับไปเป็นภรรยาที่ช่วยเหลือสามีและอบรมสั่งสอนบุตร มิน่าเล่าบุตรชายคนโตที่เจียงซ่างเจินแค่ให้กำเนิด แต่ไม่สนใจจะเลี้ยงดูผู้นั้นถึงต้องเอาชื่อของสำนักมาข่มนาง หวังว่าจะซื้อเกาะกุ้ยฮวาที่บุกเบิกเส้นทางการเดินเรือไปยังภูเขาห้อยหัวจนเกิดความคุ้นเคยจากตระกูลฟ่านให้ได้


ทว่าน้ากุ้ยกลับมองตื้นลึกหนาบางของผู้เฒ่าไม่ออก แค่พอจะรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าผู้เฒ่า ‘บนร่างไร้มลทิน ลมปราณเบาและคล่องตัว สีหน้าอิ่มเอิบ’ หากตอนนี้มีแค่ตบะของเซียนดิน ถ้าอย่างนั้นวันหน้าก็ต้องมีพรสวรรค์ได้เป็นห้าขอบเขตบนอย่างแน่นอน


ถึงอย่างไรในบรรดาเซียนดินก็มีแบ่งสูงต่ำ ซึ่งก็แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้ว


เฉินผิงอันวิ่งเหยาะๆ ออกมาตลอดทางเพื่อมาต้อนรับน้ากุ้ย สำหรับผู้อาวุโสท่านนี้ ในใจเฉินผิงอันซาบซึ้งในบุญคุณมาโดยตลอด ซึ่งนี่ไม่เกี่ยวข้องกับตบะและฐานะของน้ากุ้ย


ครั้งนั้นที่โดยสารเกาะกุ้ยฮวาไปยังภูเขาห้อยหัว ระหว่างทางผ่านร่องเจียวหลง เจอกับหายนะครั้งใหญ่ เฉินผิงอันได้เข้าไปในดินแดนที่โล่งกว้างสว่างแจ่มจ้าที่สุดในเสี้ยววินาที ประหนึ่งพระอรหันต์ที่มองสภาพจิตใจของสรรพสัตว์ ทำให้เฉินผิงอันทำอะไรไม่ถูก รู้สึกราวกับว่าบนโลกมนุษย์มีแต่ความชั่วร้าย เศร้าซึมอยู่ในเรือนเล็กพักหนึ่ง หลังจากนั้นมาเวลาคิดถึงเกาะกุ้ยฮวาก็จะมีความอบอุ่นแค่สองขุมเท่านั้น หนึ่งคือจิตรกรตระกูลฟ่านที่ช่วยวาดภาพสามภาพให้แก่เฉินผิงอัน อีกคนหนึ่งก็คือน้ากุ้ยที่แม้จะผ่านประสบการณ์ทั้งดีและร้ายในโลกมาจนชาชิน แต่ก็ยังรักษาสภาพจิตใจอันนิ่งสงบของตนเอาไว้ได้


ฟ่านเอ้อร์แสร้งทำเป็นเดินไปยังที่พักของเจิ้งต้าเฟิง ผลกลับพบว่าบนผนังไม่มีภาพเหมือนที่ฝีมือการวาดเหนือชั้นภาพนั้นแขวนอยู่


เฉินผิงอันนั่งคุยกับพวกน้ากุ้ยอยู่ในห้องโถงใหญ่ด้านนอก


เจิ้งต้าเฟิงที่อยู่ในห้องกระแอมหนึ่งที พูดอย่างไม่กระโตกกระตากว่า “สะสมพลังความเข้มแข็ง บ่มเพาะอุปนิสัยที่ดี…วันหน้าเรื่องที่ขาดคุณธรรมเช่นนี้ ทำให้น้อยลงหน่อย”


ตอนแรกฟ่านเอ้อร์ยังสงสัยในคำพูดของอาจารย์ตัวเอง เหตุใดยิ่งฟังก็ยิ่งผิดปกติ แต่ครู่เดียวใบหน้าของฟ่านเอ้อร์ก็เต็มไปด้วยโทสะ พูดอย่างคนเสียใจภายหลัง “ต้องโทษจิตรกรคนนั้นที่ตีความความหมายของข้าผิดไป ความหมายเดิมของข้าคือนงรามงามตรู สมคู่สุชน ในเมื่ออาจารย์เลื่อมใสในตัวของเทพธิดาสุย ข้าที่เป็นลูกศิษย์ก็ควรทำอะไรสักอย่าง จึงบรรยายรูปโฉมและท่วงท่าของเทพธิดาสุยให้จิตรกรผู้นั้นฟัง ต้องการให้เขาสะบัดแปรงวาดภาพเหมือน…”


เจิ้งต้าเฟิงปลาบปลื้มใจ ลูกศิษย์ผู้นี้ถือว่าผ่านเกณฑ์แล้ว


ไม่รู้ว่าสุยโย่วเปียนมายืนอยู่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “จิตรกรของตระกูลฟ่านท่านนี้ช่างมีฝีมือยอดเยี่ยมซะจริง แค่อาศัยคำพูดของคุณชายฟ่านสองสามคำก็สามารถวาดภาพได้สดใสเหมือนจริงขนาดนี้”


จินซู่ที่เงียบงันมาตลอดขมวดคิ้ว


แม้ว่านางจะไม่มีความรู้สึกฉันท์ชายหญิงกับฟ่านเอ้อร์ แต่ถึงอย่างไรฟ่านเอ้อร์ก็เป็น ‘ตัวเลือกหนึ่งเดียว’ ของเจ้าประมุขตระกูลฟ่านในอนาคต ตอนนี้อันที่จริงเกาะกุ้ยฮวาก็อยู่ในนามของฟ่านเอ้อร์ ผู้ฝึกยุทธ์สาวที่สะพายกระบี่ผู้นี้ ตามคำบอกของเฉินผิงอันคือหนึ่งในผู้ติดตามของเขา หากพูดให้น่าฟังสักหน่อยก็คือผู้ถวายงานของตระกูล พูดไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือองค์รักษ์บ่าวรับใช้ เพียงแต่ว่าวันนี้คลื่นลมในนครมังกรเฒ่าแปรเปลี่ยน น้ากุ้ยกำชับนางว่าจะพูดจาหรือทำอะไรต้องระมัดระวัง แม้ว่าสตรีแซ่สุยจะไม่เคารพฟ่านเอ้อร์ ในใจจินซู่รู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไรมาก วันนี้มาเยี่ยมเยียนในวันปีใหม่ นางไม่มีสิทธิ์พูด สำหรับข้อนี้ จินซู่รู้ดีอยู่แก่ใจ ต่อให้นางจะเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของ ‘กุ้ยฮูหยิน’ หนึ่งในเซียนดินของนครมังกรเฒ่าก็ตาม


ความสนใจส่วนใหญ่ของจินซู่ยังคงอยู่ที่ตัวของเฉินผิงอันเสียมากกว่า


จากกันไปแค่สามวัน แต่กลับต้องขยี้ตามองใหม่ คงจะเป็นคำพูดที่ไว้บรรยายคนอย่างเจ้าหมอนี่กระมัง เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ชอบดื่มเหล้าในปีนั้นอีกแล้ว กลิ่นอายความบ้านนอกและกลิ่นอายของเด็กหนุ่มก็หายไปสิ้น แทนที่มาด้วย ความ…เยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน


บนมวยผมปักปิ่นหยกสีขาว บนร่างสวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ ตรงเอวรัดกาเหล้าสีชาดที่คุ้นตา ตัวสูงขึ้นไม่น้อย นั่งตัวตรงอย่างสำรวม เวลาที่พูดคุยกับคนอื่นจะชอบสบตาผู้คน ในสายตามีเพียงรอยยิ้มจริงใจที่ไร้ซึ่งการทำอย่างขอไปที


จากนั้นจินซู่ก็ยังค้นพบว่ามีก้อนถ่านเล็กๆ ก้อนหนึ่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เด็กหญิงร่างผอมแห้งคนนี้มีดวงตาที่โตมากคู่หนึ่ง ดวงตาของนางกลอกกลิ้งรวดเร็ว คอยแอบมองนางจินซู่และยิ่งคอยเหลือบมองกุ้ยฮูหยิน อาจารย์ของนาง


จินซู่คลี่ยิ้มให้นาง


เผยเฉียนก็ยิ้มกว้างกลับมา


ในสายตาของเผยเฉียน พวกพี่สาวที่หน้าตางดงามเหล่านี้ จากเหยาจิ้นจือมาจนถึงสุยโย่วเปียน แล้วก็มาถึงคนที่อยู่ตรงหน้านี้ล้วนเป็นถุงเงินใบใหญ่ ได้ยินเจิ้งต้าเฟิงบอกว่าบนโลกมีของเล่นเล็กๆ อย่างหนึ่งที่เรียกว่าผีน้อยย้ายสมบัติ คือหนึ่งในภูตผี เผยเฉียนรู้สึกว่าเหมือนตัวเองอย่างมาก


แล้วก็จริงดังคาด จินซู่รีบร้อนเดินทางมา บนร่างไม่ได้พกเงินยาสุ้ยมาด้วย ยิ่งไม่คิดว่าจะได้มาเจอกับเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ ทว่ากุ้ยฮูหยินกลับเตรียมถุงหอมใบเล็กที่ปักด้วยฝีมือประณีตงดงามใบหนึ่งมาไว้นานแล้ว แค่มองก็รู้ว่าไม่ธรรมดา ไม่เพียงแต่ตัวถุงหอมส่งปราณวิญญาณสีขาวหิมะออกมาเป็นเส้นๆ ด้านในยังมีแสงสีเขียวอ่อนดั่งแสงดาวเป็นประกายระยิบระยับ ส่งกลิ่นหอมชวนให้จิตใจคนปลอดโปร่ง เฉินผิงอันพอจะเดาได้ว่านี่มาจากใบกุ้ยแห่งชะตาชีวิตของต้นกุ้ยบรรพบุรุษบนเกาะกุ้ยฮวา มีหรือจะกล้ารับไว้ ตอนนี้เผยเฉียนรู้จักสังเกตสีหน้าและท่าทางของคนอื่นดีพอสมควรแล้ว แค่มองก็รู้ว่าเฉินผิงอันไม่เต็มใจจะรับเงินยาสุ้ยก่อนนี้ นางจึงได้แต่ส่ายหน้ายิ้มอย่างโง่งม


กุ้ยฮูหยินยืนกรานจะมอบของขวัญพบหน้าให้เผยเฉียนให้จงได้ เฉินผิงอันปฏิเสธไม่ได้จึงได้แต่บอกให้เผยเฉียนรับเอาไว้ แน่นอนว่าเขาจะเก็บไว้ให้ก่อน ไม่จำเป็นต้องให้เฉินผิงอันบอก เผยเฉียนที่ใช้สองมือรับถุงหอมมาอย่างนอบน้อมก็ไม่เพียงแต่โค้งตัวเอ่ยขอบคุณ ยังพูดถ้อยคำมงคลประจบเอาใจ ยกตัวอย่างเช่นขออวยพรให้กุ้ยฮูหยินแข็งแรงและมีความสุข งดงามอ่อนเยาว์ตลอดไป เป็นต้น กุ้ยฮูหยินฟังแล้วรู้สึกชอบใจอย่างมาก ลูบศีรษะเล็กๆ ของเผยเฉียน บอกว่าเฉินผิงอันอาจารย์ของเจ้าตอนอยู่บนเกาะกุ้ยฮวาก็มีเรือนที่อยู่ในนามของเขาแล้ว บนเรือข้ามฟากยังมีเรือนเล็กที่มีชื่อว่า ‘ฉานกง’ (ตำหนักคางคก ในสมัยโบราณเชื่อว่ามีคางคกอยู่ในดวงจันทร์ ภายหลังในคำกลอนจะใช้คำว่าฉานกงเป็นตัวแทนของดวงจันทร์) อีกแห่งหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็มอบให้เจ้าแล้วกัน


เผยเฉียนเบิกตากว้าง นางตกใจมากจริงๆ นี่มันอะไรกัน เวลาฮูหยินของใต้หล้านี้มอบสิ่งของให้ใครล้วนใจกว้างเช่นนี้หรือ แค่เจอหน้ากันก็จะยกบ้านให้แล้ว? หรือว่าสตรีใต้หล้านี้ หากอายุมากขึ้นก็จะยิ่งมือเติบใจกว้างมากขึ้น?


เฉินผิงอันยิ้มจืดเจื่อน “น้ากุ้ย เรือนหลังนี้รับไว้ไม่ได้จริงๆ ไม่ได้”


กุ้ยฮูหยินถลึงตาใส่เขาหนึ่งที “ข้ายกบ้านให้เผยเฉียน เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”


เฉินผิงอันกระแอมหนึ่งที “เผยเฉียน”


เผยเฉียนรีบยืดเอวตรง พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์ “เป็นอาจารย์หนึ่งวัน เป็นบิดาชั่วชีวิต คำสั่งของอาจารย์มิอาจขัดขืน ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นคนไร้คุณธรรม กลายเป็นคนอกตัญญู”


กุ้ยฮูหยินรู้สึกว่าน่าสนใจ ชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเป็นคนสอน?”


เฉินผิงอันอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี “คงเป็นเพราะให้นางอ่านหนังสือและคัดตัวอักษรทุกวัน นางคงเรียนเอาเองจากในตำรากระมัง?”


เผยเฉียนพูดประจบ “เป็นอาจารย์ที่สอนได้ดี!”


เฉินผิงอันยิ้มบางๆ แล้วเขกมะเหงกลงไป


เผยเฉียนกุมหัว ใบหน้าแสดงความน้อยใจและมึนงง


ส่งพวกกุ้ยฮูหยินออกไปจากตรอกเล็ก การเดินช่วงสุดท้ายนี้เฉินผิงอันเดินเคียงบ่าไปกับหม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่ผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทอง ขอความรู้เรื่องวิชาการหลอมกระบี่และการเลี้ยงกระบี่จากผู้ถวายงานตระกูลฟ่านท่านนี้ หม่าจื้อย่อมตอบอย่างตรงไปตรงมาไม่มีปิดบัง


วันที่เก้าเดือนหนึ่ง


นครมังกรเฒ่ามีประเพณีอยู่อย่างหนึ่งเรียกว่า ‘วันเกิดเทียนกง’ (วันเกิดเทพยดา) แต่ละครอบครัวจำเป็นต้องจัดเตรียมเทียน อาหารเจไปไว้ตามมุมต่างๆ ที่เหนือศีรษะไม่มีอะไรบดบังอย่างเพดานเปิดกว้างของลานบ้านหรือมุมหัวเลี้ยวของถนน ฯลฯ เพื่อกราบไหว้บูชาเทพเทวดา


ในร้านยาฮุยเฉินไม่มีใครที่เกิดและเติบโตมาในนครมังกรเฒ่า ทว่าเจิ้งต้าเฟิงกลับพิถีพิถันยิ่งกว่าชาวบ้านในนครมังกรเฒ่าเสียอีก ชายฉกรรจ์ที่แม้แต่วันปีใหม่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนักกลับเตรียมเทียน ผลไม้ และทำอาหารเจด้วยตัวเอง จัดโต๊ะบูชาสามตัวที่มีทั้งสูงและเตี้ยไว้ตรงเพดานเปิดกว้างของเรือนด้านหลัง สุดท้ายจุดธูปสามดอก ทำพิธีสามคำนับเก้ากราบ พิธีการเช่นนี้เมื่อเทียบกับพิธีบวงสรวงสวรรค์ที่กษัตริย์ของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ทำแล้วนับว่าด้อยกว่า แต่เมื่อเทียบกับการกราบไหว้สวรรค์ของชาวบ้านธรรมดานับว่ายิ่งใหญ่กว่ามาก


เทพหยินแซ่จ้าวก็ยิ่งยืนเอามือกุมกัน สีหน้าท่าทางเคารพนอบน้อม มันไม่ได้จุดธูปกราบไหว้ แต่คุกเข่ากราบคำนับอย่างจริงจัง


เผยเฉียนนั่งอยู่ใต้ชายคามองดูอย่างเพลิดเพลิน เฉินผิงอันมองครั้งเดียวก็ไม่ได้สนใจอีก อันที่จริงนี่เกี่ยวพันกับความลับของเจิ้งต้าเฟิงและเทพหยิน เพียงแต่ตัวเจิ้งต้าเฟิงเองไม่คิดจะปิดบัง เฉินผิงอันจึงแค่ทำเป็นว่ามองไม่เห็น


ไปที่โต๊ะคิดเงินเพื่อทำหน้าที่เป็นเถ้าแก่ควบรวมกับคนคิดบัญชีชั่วคราว เฉินผิงอันเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่นานก็จะสามารถไปหลอมตราประทับตัวอักษรน้ำบนทะเลเมฆอย่างเป็นทางการได้อีกครั้ง


ส่วนข้อที่ว่าฝูฉีจะเอาอาวุธกึ่งเซียนชิ้นไหนมมามอบให้ ก็แค่ต้องคอยดูกันต่อไป


จะว่าไปแล้วครั้งนี้เป็นตู้เม่าและสำนักใบถงที่ทำให้ฮ่องเต้ต้าหลีต้องเดือดร้อนไปด้วย ฝ่ายหลังมีปณิธานอยู่ที่การขึ้นเหนือของขั้วอิทธิพลต่างๆ ในนครมังกรเฒ่า สำหรับเฉินผิงอันและเจิ้งต้าเฟิง เขาไม่มีทางไปเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนอยู่แล้ว


เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าราชวงศ์ต้าหลีดูแคลนผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งเกินไป แหกกฎออกจากภูเขาจำเป็นต้องจ่ายต้นทุน รวมไปถึงค่าตอบแทนที่ต้องการจะได้ ดังนั้นต่อให้ฮ่องเต้ต้าหลีจะมอบเงินเหรียญทองแดงแก่นทองให้มากแค่ไหน เฉินผิงอันที่รับไว้ก็มีแต่จะรังเกียจว่าน้อย ไม่มีทางรังเกียจว่ามาก


เงินเหรียญทองแดงแก่นทองถุงนั้นที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้เมื่อแรกเริ่มสุดล้วนถูกชุดคลุมอาคมจินหลี่ ‘กินลงท้อง’ ไปหมดแล้ว ด้านใน ‘ไข่มุก’ ที่มังกรทองบนชุดคลุมอาคมคาบเอาไว้ซึ่งไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุอะไร ยิ่งมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นมากขึ้นทุกที ไม่เพียงแต่ถูกซ่อมแซมจนเหมือนใหม่ อีกทั้งระดับขั้นของชุดคลุมตัวนี้ยังเพิ่มสูงขึ้น ตามคำบอกของเทพหยินแซ่จ้าว ขอแค่กินเงินเหรียญทองแดงแก่นทองไปตลอด ชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนี้จะต้องกลายเป็นชุดคลุมอาคมกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งได้แน่นอน


แต่เฉินผิงอันกลับไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ด้านหนึ่งก็เพราะเสียดายเงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่ได้มาไม่ง่าย อีกด้านหนึ่งเพราะเจิ้งต้าเฟิงเคยบอกเอาไว้ หากเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์หลอมจิตสามขอบเขตอย่างร่างทอง เดินทางไกล และยอดเขาเมื่อไหร่ วัตถุนอกกายของตระกูลเซียนบนภูเขาก็จะยิ่งกลายมาเป็นเหมือนซี่โครงไก่ หรืออาจถึงขั้นกลายเป็นตัวภาระ

 

 

 


บทที่ 372.2 เดือนหนึ่ง

 

วันที่สิบเดือนหนึ่ง


นครมังกรเฒ่ามีประเพณีพื้นบ้านอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า ‘หินไม่ขยับ’ และยังมีเรื่องเล่าของหนูที่แต่งงานกับสตรี


แม้ว่าเผยเฉียนจะกลัวผีอย่างมาก แต่กลับชอบฟังเรื่องพวกนี้เป็นที่สุด


เผยเฉียนเรียนรู้ที่จะคัดตัวอักษรทุกๆ เช้า ไม่ทำอืดอาดยืดยาดถ่วงเวลาไปถึงช่วงก่อนนอนอีกแล้ว และนี่น่าจะเกี่ยวข้องกับการที่เฉินผิงอันคอยนั่งดูนางคัดตัวอักษรทุกวัน


วันนี้ระหว่างที่หยุดพักวางพู่กันขณะคัดตัวอักษร เผยเฉียนพลันถามเฉินผิงอันคำถามหนึ่ง ในตำราบอกว่าห้ามวิญญูชนไม่ให้กินปลาเดือนสาม ห้ามคนไม่ให้ยิงนกสามฤดูใบไม้ผลิ ถ้าอย่างนั้นต่อไปพอถึงฤดูใบไม้ผลิก็ตกปลาไม่ได้แล้วใช่ไหม?


ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ได้ให้คำตอบ เขายิ้มบอกให้เผยเฉียนคัดตัวอักษรให้เสร็จก่อน รอจนเผยเฉียนเขียนอักษรตัวสุดท้ายเสร็จ เฉินผิงอันที่เตรียมคำตอบอยู่นานถึงได้บอกกับเผยเฉียนว่า นี่เป็นคำพูดที่โน้มน้าวให้คนทำความดี แต่ว่าเมื่อคนคนหนึ่งยังจำเป็นต้องพยายามต่อไปเพื่อให้มีชีวิตรอดก็สนใจเรื่องพวกนี้ไม่ได้แล้ว แล้วก็ห้ามมามัวคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้อย่างเด็ดขาด แต่หากคนคนหนึ่งไม่ต้องเป็นทุกข์กับการกินอยู่ อีกทั้งยังเชื่อในพระพุทธศาสนา เมื่อมีจิตใจเมตตาเช่นนี้ก็สามารถทำได้ แต่หากเห็นคนอื่นหิวโหย ยามฤดูใบไม้ผลิจับปลายิงนกเก็บผลไม้เพื่อให้อิ่มท้อง แล้ววิ่งไปพูดหลักการนี้กับคนผู้นั้น ก็ถือว่าทำไม่ถูก ขนาดความเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันยังไม่มี แล้วจะมีใจสงสารเมตตาสรรพสิ่งบนโลกได้อย่างไร? ดังนั้นสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว หลักการก็ยังคงเป็นหลักการนั้น แต่ทุกเรื่องราวต้องแบ่งแยกก่อนหลัง


เผยเฉียนพยักหน้ารับ บอกว่านางพอจะเข้าใจแล้ว


เฉินผิงอันยิ้มพูด “ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ แค่จดจำไว้ในใจก่อน แล้วค่อยๆ ใคร่ครวญไปก็พอ”


เผยเฉียนส่งเสียงหัวเราะ “เมื่อครู่นี้ข้าโกหก อันที่จริงข้ายังไม่เข้าใจหรอก”


ดังนั้นในเดือนที่หนึ่งนี้ เผยเฉียนจึงได้กินมะเหงกอีกลูก


วันนี้ร้านยาฮุยเฉินยังคงเต็มไปด้วยบรรยากาศผ่อนคลาย เผยเฉียนกำลังมองเฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในลานบ้าน


เฉินผิงอันพลันหยุดเดิน เรียกเผยเฉียนมาที่ร้านยาด้านหน้า อีกทั้งยังขอให้เทพหยินแซ่จ้าวช่วยสร้างฟ้าดินขนาดเล็กให้เป็นพิเศษ


จากนั้นเขาถึงได้ถ่ายทอดคาถาปราณกระบี่สิบแปดหยุด เส้นทางที่ลมปราณต้องผ่านรวมไปถึงความช้าเร็วในการผลัดเปลี่ยนลมปราณซึ่งมหัศจรรย์ที่สุดให้แก่เผยเฉียน จากนั้นก็หยิบภาพวาดแผ่นหนึ่งออกมา ด้านบนเฉินผิงอันเขียนชื่อช่องโพรงลมปราณในร่างของมนุษย์ไว้เต็มไปหมด แล้วไล่อธิบายให้เผยเฉียนฟังไปทีละจุด


นี่คือคาถาปราณกระบี่ที่อาเหลียงเคยปรับปรุงมาก่อน


ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ มีเพียงคนกลุ่มเล็กซึ่งรวมถึงหนิงเหยาด้วยเท่านั้นที่ถึงจะได้เรียนปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไขโดยอาเหลียงแล้ว


ในเมื่อเผยเฉียนไม่อาจทนความลำบากจากการฝึกวรยุทธ์ได้ ก็ต้องลองเส้นทางที่ไม่ต้องลำบากร่างกายและจิตใจ เพียงแค่ดูว่าพรสวรรค์วิถีกระบี่สูงหรือต่ำเส้นนี้ดูเท่านั้น นางจะเดินไปได้หรือไม่ ส่วนจะเดินไปได้ไกลเท่าไหร่ เฉินผิงอันไม่กล้าคาดหวัง


เผยเฉียนความจำดี เมื่อเทียบกับเฉินผิงอันแล้วก็มีแต่จะเหนือกว่าไม่มีด้อยกว่า ข้อนี้คนทั้งสี่ในภาพวาดรับรู้มานานมากแล้ว


ดังนั้นหลังจากเฉินผิงอันสอนไปสองรอบ บอกเรื่องที่ต้องระวังแก่นางแล้วจึงบอกให้เผยเฉียนเอาภาพวาดแผ่นนั้นไปศึกษาเอาเอง


ยามสนธยาของวันนั้น เผยเฉียนก็มาหาเฉินผิงอันด้วยท่าทางละอายใจ บอกว่านางโง่จริงๆ เรื่องเล็กเท่าเมล็ดงา แต่นางฝึกฝนมาตั้งนานขนาดนี้เพิ่งจะทำได้ถึงปราณกระบี่สามหยุด อยากจะขยับไปข้างหน้าอีก แต่กลับทำไม่ได้แล้ว


เฉินผิงอันจึงเขกมะเหงกใส่นางอีกครั้ง ตีหน้าเคร่งเอ่ยสั่งสอน “เรียนรู้เรื่องหนึ่ง อย่าทะเยอทะยานเกินตัว ต้องเหยียบลงบนพื้นก้าวเดินให้มั่นคง!”


เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที วิ่งตุปัดตุเป๋กลับเข้าไปในห้องตัวเองแล้ว ‘เล่นกับไฟ’ ต่ออีกครั้ง


นางสามารถควบคุมทิศทางการไหลเวียนของไฟเส้นเล็กนั่นได้แล้ว ต้องการให้มันพุ่งไปทางไหน มันก็วิ่งอยู่บนเส้นชีพจรช่องลมปราณนั้นได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังว่าง่ายอย่างยิ่ง ปราณกระบี่สี่หยุดตอนนี้นางยังทำไม่ได้ ทว่าที่นี่ไม่มีที่ว่างให้กับข้า ข้าก็ไปหาที่อื่น ดังนั้นก็ไปเที่ยวที่อื่นกันเถอะ!


นางไม่รู้ว่าเฉินผิงอันที่อยู่ในร้านด้านหน้าเพียงลำพังบ่นพึมพำอยู่เป็นนาน


วันที่สิบเอ็ดเดือนหนึ่ง


ร้านยาฮุยเฉินมีแขกหายากที่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาเยือน


หวงถิงนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิง


ผลกลับกลายเป็นว่าพอนางเห็นผู้เฒ่าต่างถิ่นบางคนที่นั่งแทะเมล็ดแตงอยู่หน้าประตูกับคนเสเพลสองคนก็อึ้งงันอยู่กับที่


ผู้เฒ่าขยิบตาให้นางแรงๆ


หวงถิงนวดคลึงหว่างคิ้ว ท่านเป็นถึงเจ้าสำนักผู้เฒ่าแห่งสำนักกุยหยก มีขอบเขตเซียนเหริน ยังจะมาหาเรื่องสนุกอะไรอยู่ที่นี่?


หวงถิงจึงได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้จักผู้เฒ่าคนนี้


หากว่ากันด้วยความอาวุโส ท่านผู้นี้ที่นั่งอยู่หน้าประตูมีอายุมากกว่าเทียนจวินผู้เฒ่าของภูเขาไท่ผิงนางเสียอีก อายุพอๆ กับตู้เม่าขอบเขตบินทะยานของสำนักใบถง


หากว่ากันด้วยตบะ ตอนนี้ตู้เม่าตายไปแม้แต่กระดูกก็ไม่มีเหลือ มหามรรคาพังทลาย ดวงวิญญาณยังหลงเหลืออยู่หรือไม่ก็บอกได้ยาก ผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าถือเป็นขอบเขตเซียนเหรินที่มีพลังการต่อสู้เป็นอันดับหนึ่งของใบถงทวีป สำนักกุยหยกไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แต่อยู่ดีๆ กลับกลายเป็นตระกูลเซียนใหญ่อันดับหนึ่งของใบถงทวีป สถานะของผู้เฒ่าก็ยิ่งเป็นดั่งเรือที่ลอยตามน้ำ


ช่างเป็นตาแก่ที่นอนเสวยสุขจริงๆ


ความประทับใจที่หวงถิงมีต่อผู้อาวุโสบนภูเขาท่านนี้ไม่เลวร้าย แต่ก็ไม่ได้ดีไปสักเท่าไหร่ ถึงอย่างไรนิสัยของนางกับเขาก็ต่างกันหนึ่งแสนแปดพันลี้


เห็นเฉินผิงอันที่มีท่าทางแปลกใจ หวงถิงก็พูดเข้าประเด็นทันที “อาศัยเบาะแสและลางสังหรณ์เล็กน้อย ข้าจึงพบตำหนักบรรพกาลแห่งหนึ่งที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน ตามเส้นทางนั้นไปจนกระทั่งไปหยุดยืนอยู่บนแท่นพันธนาการมังกรแห่งนั้น แต่ก็ยังไม่พบตัวเจ้าสัตว์เดรัจฉานเฒ่าที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพบุรุษผู้นั้น ราวกับว่ามันหายตัวไปจากใต้หล้าไพศาลอย่างสิ้นเชิง ภายหลังเจ้าสำนักส่งกระบี่บินมาบอกว่าไม่ต้องตามหาแล้ว ก็เลยรีบร้อนกลับไปที่สำนัก หลังจากนั้นก็ได้รับข่าวที่เจ้าพูดถึงแผ่นหยกผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ เทียนจวินผู้เฒ่าและสำนักศึกษาต้าฝู รวมไปถึงผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางท่านนั้นได้ข้อสรุปว่า ความวุ่นวายในภาคกลางของใบถงทวีปครั้งนี้ เป็นฝีมือของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดของภูเขาไท่ผิงที่ปีนั้นสวมกวานเต๋าลงภูเขาแต่กลับตายไปจริงๆ ภูเขาไท่ผิงของพวกเราละอายใจและอับอายอย่างยิ่งยวด เทียนจวินผู้เฒ่าไม่มีหน้ามาพบเจ้า จึงบอกให้ข้าเดินทางมานครมังกรเฒ่า หวังว่าจะมาทันได้พบเจ้า ไม่มีสิ่งอื่นใด เพียงแค่อยากจะขออภัยเจ้า ถึงอย่างไรตอนนี้พลังต้นกำเนิดของภูเขาไท่ผิงก็เสียหายอย่างหนัก ไม่มีปัญญาจะทำหน้าใหญ่ใจโต อืม อันที่จริงเทียนจวินผู้เฒ่าคิดจะมอบของบางอย่างชดเชยให้เจ้าเป็นมารยาท แต่ถูกข้าขัดขวางไว้ เฉินผิงอัน หากเจ้าจะด่าก็ด่าข้า อย่าโทษว่าภูเขาไท่ผิงไม่มีคุณธรรม ตระหนี่ถี่เหนียว หากเป็นในอดีตเราไม่มีทางทำเช่นนี้แน่นอน”


หวงถิงกล่าวมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกข่มขื่นนิดๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ “ปีศาจของบ่ออเวจีเผ่นหนีไปทั่วทิศ สหายร่วมสำนักลงเขาไปกำราบปีศาจ ศึกครั้งนี้โหดร้ายทารุณยิ่งนัก”


อารมณ์ของเฉินผิงอันหนักอึ้ง พยักหน้ากล่าวว่า “พอจะนึกออก”


หวงถิงพลันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สำนักใบถงถือว่าดวงซวยแปดชาติจริงๆ ดันไปมีเรื่องกับผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง สะบั้นเส้นทางการบินทะยานของตู้เม่า สงบได้ไม่กี่วันก็มีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบคนหนึ่งต่อยตีจากตีนเขาไปถึงยอดเขา รื้อศาลบรรพชนของพวกเขาเสียจนเละเทะ ตั้งแต่ต้นจนจบนอกจากการโจมตีของขอบเขตหยกดิบไม่กี่คนที่เขาหลบเลี่ยงเล็กน้อยแล้ว ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางทั้งหมดที่โจมตีมา ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเพียงแค่ยืนนิ่งอยู่เฉยๆ ปล่อยให้พวกเขาโยนคาถาอาคมมาใส่ตัว ราวกับว่าเจ็บๆ คันๆ เท่านั้น ข้าเห็นแล้วอารมณ์ดีนัก เจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกก็ยิ่งเบิกบาน ถึงขั้นเอาเรือทัศนาจรลำหนึ่งมาจอดลอยอยู่เหนือสำนักใบถง จัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่รองรับแขกจากสี่ด้านแปดทิศ”


เฉินผิงอันรีบดื่มเหล้าระงับความตกใจ


เจิ้งต้าเฟิง จูเหลี่ยนและผู้เฒ่าจากต่างถิ่นที่นั่งอยู่ด้านข้าง หูฟังข่าวนี้ แต่ตากลับแอบชำเลืองมองหวงถิง


หากพูดกันแค่เรื่องของรูปโฉม นักพรตหญิงหวงถิงที่ใช้ร่างของเจ๋อเซียนในพื้นที่มงคลดอกบัวย้อนกลับคืนมายังใต้หล้าไพศาล เมื่อเทียบกับสุยโย่วเปียน ฟ่านจวิ้นเม่าและจินซู่แล้วก็ยังถือว่าโดดเด่นกว่ามาก


เฉินผิงอันถามหวงถิงว่าหลังจากนี้คิดจะทำอะไรต่อ นางบอกว่าเดิมทีคิดจะเดินทางไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางสักครั้ง เพียงแต่ว่าให้ตายเทียนจวินผู้เฒ่าก็ไม่ยอมอนุญาต บอกว่าถ้านางกล้าไป เขาก็กล้าแขวนคอตาย แค่ให้นางเลือกว่าจะอยู่ที่ไหนระหว่างแจกันสมบัติทวีปกับอุตรกุรุทวีปเท่านั้น หวงถิงบอกกับเฉินผิงอันอย่างตรงไปตรงมาว่า นางรู้สึกว่าแจกันสมบัติทวีปเล็กเกินไป กุรุทวีปมีผู้ฝึกกระบี่มากดุจขนวัว นางจะได้ไปขัดเกลากระบี่พอดี ไม่แน่ว่าอาจจะเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบก็เป็นได้ จะปล่อยให้สถานที่เล็กๆ อย่างแจกันสมบัติทวีปมีเซียนกระบี่เว่ยจิ้น แล้วทำให้ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนในใบถงทวีปขายหน้าได้อย่างไร


หวงถิงเป็นคนทำอะไรรวดเร็วฉับไว พูดคุยจบก็เตรียมจะขี่กระบี่มุ่งหน้าขึ้นเหนือทันที


เพียงแต่ว่าเหลือบไปเห็นเผยเฉียนที่ฝึกวิชาสุดยอดกระบี่อยู่ในลานบ้านโดยบังเอิญพอดี หวงถิงคิดได้ว่าตัวเองยังติดค้างเฉินผิงอัน ในใจก็อดกระดากอายไม่ได้ พอรู้ว่าเผยเฉียนคือ ‘ลูกศิษย์ใหญ่บุกเบิกขุนเขา’ ของเฉินผิงอัน จึงถามเด็กหญิงว่าอยากเรียนวิชากระบี่และวิชาดาบที่เร็วที่สุดของใบถงทวีปหรือไม่


เผยเฉียนถามกลับ เจ็บหรือไม่


หวงถิงหัวเราะเสียงดัง บอกว่าไม่เจ็บ


เผยเฉียนหันหน้าไปมองเฉินผิงอัน ฝ่ายหลังพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม


หวงถิงจึงอยู่ต่ออีกหนึ่งวันเพื่อถ่ายทอดวิชากระบี่และวิชาดาบอย่างละหนึ่งกระบวนท่าให้แก่เผยเฉียน


วิชาวานรขาวแบกกระบี่ วิชาวานรขาวลากดาบ


ก่อนจะจากไป หวงถิงตบศีรษะเล็กๆ ของเผยเฉียนเบาๆ จากนั้นก็ยื่นนิ้วมาหนีบแก้มของเด็กหญิงที่ดำเกรียมราวกับถ่าน ส่ายหน้าพลางพูดอย่างเสียดายไปด้วย “เป็นเด็กที่ฉลาดถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงหน้าตาไม่งดงามเลยนะ”


ผลกลับทำให้เผยเฉียนเสียใจอย่างมาก


นางนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่เป็นวันๆ ต่อให้แปะแผ่นยันต์สีเหลืองไว้บนหน้าผากก็ยังไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร


เฉินผิงอันเห็นเผยเฉียนที่เป็นเช่นนี้ก็อดนึกถึงแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่ชอบเรียกตนว่าอาจารย์อาน้อยไม่ได้


……


ในสายตาของทุกคนในสำนักศึกษาซานหยา แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงออกจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย ทุกวันชอบไปมาอย่างเร่งร้อน ชอบสะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กไปเรียนเพียงคนเดียว ออกจากโรงเรียนก็ออกมาคนเดียว ปีนภูเขา ปีนต้นไม้ ปีนหลังคา ปีนขึ้นปีนลง หรือไม่ก็ไปนั่งยองริมทะเลสาบจ้องปลาที่ส่ายหางไปมาอยู่เพียงลำพัง พอได้โอกาส นางก็จะออกจากสำนักศึกษาไปเดินเล่นตามตรอกน้อยใหญ่ของเมืองหลวง เดินไปเดินมา ในสำนักศึกษานอกสำนักศึกษา แม่นางน้อยก็ชอบอยู่คนเดียว คนอื่นๆ เห็นนางเป็นอย่างนี้ นานวันเข้าก็เลยรู้สึกว่านางค่อนข้างรักสันโดษ


ทว่าประหลาดก็ส่วนประหลาด แม่นางน้อยกลับมีมารยาทอย่างมาก ขอแค่ได้เจอกับเหล่าอาจารย์ที่สอนหนังสือในสำนักศึกษาระหว่างทาง นางมักจะหยุดกึกแล้วประสานมือค้อมกายคารวะทักทาย จากนั้นก็วิ่งปรู๊ดห่างไปไกลด้วยความเร็วดั่งฟ้าร้องกะทันหันจนคนไม่ทันยกมือป้องหู


ตอนแรกเหล่าอาจารย์ยังหยุดเดิน คลี่ยิ้มพร่ำพูดคำสั่งสอน แต่กลับมองไม่เห็นเงาร่างสีแดงนั่นแล้ว ภายหลังชินแล้วจึงแค่ยิ้มพลางเอ่ยรับหนึ่งคำ พอถึงท้ายที่สุดก็จะยิ้มพลางส่ายหน้า เดินหน้าต่อไปโดยไม่หยุดเท้าอีก


หลี่เป่าผิงรู้สึกว่าชีวิตของตนในสำนักศึกษาซานหยาผ่านไปได้อย่างพอถูไถ


แม้ว่าจะพบเจอกับหลี่ไหวและหลินโส่วอีน้อยครั้ง ส่วนอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยก็ยิ่งเจอกันน้อยเข้าไปใหญ่ ต่อให้เจอกันก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีเรื่องอะไรให้พูดคุย


เรื่องเหล่านี้ หลังจากครั้งนั้นที่นางคุยกับชุยตงซานบนกิ่งไม้ของยอดเขา ก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจมากเหมือนเดิมอีก


พวกเขาไม่คิดถึงอาจารย์อาน้อยของนางแล้ว ไม่เป็นไร ความคิดถึงในส่วนของพวกเขา นางจะชดเชยกลับมาให้เอง นางคนเดียวจะคิดถึงอาจารย์อาน้อยให้มากขึ้น


วันเวลาแต่ละวันก็ผ่านไปเช่นนี้ ผ่านปีใหม่ไปแล้ว แม้แต่เดือนหนึ่งก็ใกล้จะผ่านไปแล้ว


ไม่นานก็จะเป็นเทศกาลหยวนเซียวที่โคมไฟสีแดงใบใหญ่ถูกแขวนไว้สูง แม่นางน้อยเริ่มคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ ท่านปู่ พี่ชายใหญ่ พี่ชายรอง


แน่นอนว่ายังมีอาจารย์อาน้อยด้วย


นานมากแล้วที่อาจารย์อาน้อยไม่ได้ส่งจดหมายมาที่สำนักศึกษา


นี่ทำให้หลี่เป่าผิงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย

 

 

 


บทที่ 373.1 เจี้ยนเซียนอยู่ด้านหลัง

 

วันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง เทศกาลหยวนเซียว


ทุกครอบครัวในนครมังกรเฒ่าแขวนโคมไฟติดกระดาษหลากสี ทั่วตรอกเล็กถนนใหญ่มีคนสัญจรไม่ขาดสาย ตามประเพณีดั้งเดิม แซ่ใหญ่ทั้งห้าต่างก็ต้องทำโคมไฟมังกรเพลิงตัวหนึ่งขึ้นมา ยกแบกเดินไปบนถนน หากมองนครที่ร่ำรวยที่สุดของแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ลงมาจากทะเลเมฆก็จะพบว่ามีมังกรไฟห้าตัวเลื้อยอยู่บนเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้แน่นอน


เฉินผิงอันบอกให้คนทั้งสี่ในภาพวาดพาเผยเฉียนออกไปดูโคมไฟ เทพหยินแซ่จ้าวตามไปด้านหลังอย่างลับๆ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน


ส่วนเขากับเจิ้งต้าเฟิงอยู่เฝ้าร้านยา คนทั้งสองยืนอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน มีเหล้าอยู่หนึ่งกา จอกเหล้าสีขาวใบเล็กที่บางราวกับขนนกสองใบ กับแกล้มจานเล็กๆ สองสามจาน ดื่มเหล้าพลางคุยกันไป


เจิ้งต้าเฟิงมักจะมีกฎประหลาดเสมอ ก่อนจะดื่มเหล้า ไม่รู้ว่าเขาไปหากิ่งหลิวกิ่งหยางมาจากไหน เอามาปักไว้บนประตูใหญ่ของร้านยาฮุยเฉิน และยังวางตะเกียบกับชามชุดหนึ่งไว้นอกธรณีประตู


เฉินผิงอันชำเลืองมองไปทางธรณีประตู เอ่ยถามว่า “เป็นการแสดงความเคารพเทพเทวดา หรือเอามาวางไว้เซ่นไหว้พวกผีเร่ร่อนที่ผ่านทางมา?”


เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ก็แค่กฎที่ผู้เฒ่าถ่ายทอดมาให้เท่านั้น รายละเอียดเป็นอย่างไร ท่านผู้เฒ่าไม่เคยอธิบายให้ฟัง พวกเราที่เป็นลูกศิษย์แค่ปฏิบัติตามก็พอ ในนครมังกรเฒ่าแห่งนี้ไม่มีภูตผีปีศาจอะไรทั้งสิ้น มีผู้ฝึกลมปราณรวมตัวกันอยู่มากมายขนาดนี้ พลังหยางโชติช่วงเกินไป ต่อให้มีแมวเล็กหมาน้อยสองสามตัว ในร้านยามีเทพหยินอย่างเหล่าจ้าวอยู่ พวกมันก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้ พวกภูตผีน่ะ หากไม่รวมถึงพวกผีร้ายที่คลุ้มคลั่งเสียสติ พวกมันส่วนใหญ่ล้วนเข้าใจกฎระเบียบและรู้มารยาทมากกว่ามนุษย์เราเสียอีก”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ จิบเหล้าหนึ่งคำ ยังคงเป็นเหล้าหมักกุ้ยฮวาที่ตระกูลฟ่านส่งมาให้ จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดว่าพรุ่งนี้จะไปหาฟ่านจวิ้นเม่าให้นางช่วย จะขึ้นไปหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นแรกบนทะเลเมฆ หากทำสำเร็จก็จะออกจากนครมังกรเฒ่า เดินทางขึ้นเหนือ แม้ว่าท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งจะบอกแล้วว่าหลังจากนี้อยากไปไหนก็ไป ไม่มีข้อห้ามอะไร แต่ข้าคิดดูแล้ว ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรที่จำเป็นต้องทำ ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามคำบอกแรกเริ่มสุดของผู้อาวุโสหยาง ยังไม่กลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนก่อนชั่วคราว ข้าน่าจะไปเยือนสถานที่สามสี่แห่งของแจกันสมบัติทวีป คาดว่าน่าจะใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งปีกว่า เดินทางไปที่เหล่านี้ครบหมดก็น่าจะกลับไปได้พอดี”


เจิ้งต้าเฟิงยืนเอนพิงโต๊ะคิดเงิน มองไปทางตรอกเล็กที่อยู่นอกประตู ถามชวนคุย “เคยคิดจะก่อตั้งสำนักที่เขตการปกครองหลงเฉวียนบ้างไหม?”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “ก่อสำนักตั้งพรรคยุ่งยากจะตายไป แค่ดูจากการกระทำแต่ละอย่างของช่างหร่วนก็พอจะรู้คร่าวๆ แล้ว ยากนัก อีกอย่างข้าจะเอาคุณสมบัติที่ไหนมาตั้งสำนัก”


เจิ้งต้าเฟิงซดเหล้าดังซวบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม แค่เหล้าหมักกุ้ยฮวาเกือบครึ่งจอกเท่านั้น แต่เขาทำราวกับว่าดื่มสุราเลิศรสหลายไหจนเมามายอย่างไรอย่างนั้น เขาพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “หากสามารถเก็บภูเขาใหญ่แต่ละลูกแถบตะวันตกของเขตการปกครองกลับมาได้ ได้ครอบครองภูเขาสิบกว่าลูกที่เชื่อมโยงติดกันนี้ ก็มีรากฐานมากพอให้ก่อตั้งสำนักเซียนแล้ว เพียงแต่ว่าคิดจะให้กองกำลังเหล่านั้นคายเนื้อที่อยู่ในปากออกมาย่อมไม่ง่าย ก่อนหน้านี้ต้าหลีเพียงแค่ต้องการกระชับความสัมพันธ์กับตระกูลเซียนบนภูเขาและชนชั้นสูงในราชสำนักเหล่านี้ถึงได้ให้ราคาต่ำขนาดนั้น หากเจ้าไม่มีความสัมพันธ์กับหร่วนฉง เกรงว่าแม้แต่ภูเขาเจินจูก็คงซื้อมาไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภูเขาลั่วพั่วเลย”


เฉินผิงอันเห็นด้วยกับคำพูดนี้อย่างยิ่ง


แม้ว่าถ้ำสวรรค์หลีจูจะไม่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งโลก ทว่าเมื่อเทียบกับถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่เหลืออีกสามสิบห้าแห่ง โดยทั่วไปแล้วหากพวกเซียนดินโอสถทองก่อกำเนิดคิดจะครอบครองภูเขาลั่วพั่วเพียงลำพัง สร้างกระท่อมฝึกตน บุกเบิกพื้นที่สร้างจวน ก็ถือเป็นเรื่องงดงามใหญ่เทียมฟ้าที่ปรารถนาแม้ในยามหลับฝันแล้ว


แม้ปากของเฉินผิงอันจะบอกว่าการตั้งสำนักเป็นเรื่องยาก แต่ส่วนลึกในหัวใจกลับหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีวันนั้น ก็เหมือนกับตอนนั้นที่เขาพูดคุยกับลู่ไถในป้อมอินทรีบิน เขาถึงขั้นคิดมาไว้นานแล้วว่าบนภูเขาของตนควรจะมีใครและเรื่องราวแบบใดอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นเหตุใดเฉินผิงอันถึงต้องถามเทียนจวินผู้เฒ่าของภูเขาไท่ผิงล่ะว่า ค่ายกลปกป้องภูเขาชุดหนึ่งต้องใช้เงินเทพเซียนเท่าไหร่? ได้ยินจงขุยเล่าให้ฟังว่าเทียนจวินผู้เฒ่าพิทักษ์ภูเขาไท่ผิง เผยกายธรรมร่างทอง ในมือถือกระจกจันทร์กระจ่าง ควบคุมสามกระบี่ให้ไล่ฆ่าวานรขาวสะพายกระบี่ไปไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ เฉินผิงอันหรือจะไม่ปรารถนาให้ตัวเองเป็นอย่างนั้นได้บ้าง?


ผู้เฒ่าต่างถิ่นที่กลายเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาของร้านยาฮุยเฉินพลันปรากฎตัว เขาเดินยิ้มตาหยีข้ามธรณีประตูเข้ามา มาถึงก็เอ่ยเข้าประเด็นว่า “เฉินผิงอัน ดูจากท่าทางเจ้าคงจะใกล้ไปจากนครมังกรเฒ่าแล้วสินะ? ข้ามีเรื่องอยากปรึกษากับเจ้าหน่อย”


เฉินผิงอันยืนตัวตรง วางจอกเหล้าและตะเกียบลง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโสเชิญพูด”


ผู้เฒ่าทำท่าบอกเป็นนัยให้เฉินผิงอันดื่มเหล้ากินกับแกล้มต่อได้ตามสบาย เขาเดินไปข้างโต๊ะคิดเงิน ใช้นิ้วเอื้อมไปหยิบถั่วลิสงคั่วน้ำมันส่งเข้าปาก เงียบงันอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “อาจจะทำให้คนลำบากใจสักหน่อย แล้วก็อาจจะละลาบละล้วงอยู่บ้าง แต่เรื่องของโชควาสนา การพบเจอการแยกจากไม่มีอะไรแน่นอนเหมือนจอกแหนลอยไปตามกระแสน้ำ วันนี้พลาดไปก็อาจจะพลาดไปตลอดชีวิต จะหดหัวยื่นหัวล้วนเจอหนึ่งดาบ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอพูดตามตรงดีกว่า พูดจบแล้วน้องเล็กเฉินและน้องต้าเฟิง พวกเจ้าอย่าทำให้วันหน้าตาแก่อย่างข้าไม่ได้กินถั่วลิสง ไม่ได้กินรากบัว กลับกลายเป็นได้กินน้ำแกงประตูปิดทุกวันแทนเสียล่ะ…”


เจิ้งต้าเฟิงพูดเสียงขุ่น “พวกเราสามคนต่างก็เป็นคนตรงไปตรงมา เจ้ารีบๆ พูดหน่อยได้ไหม?”


ผู้เฒ่าแหงนหน้าขึ้น โยนรากบัวฝานแผ่นบางใส่ปากเคี้ยวหมุบหมับ “แม้ว่าสุยโย่วเปียนที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวจะเป็นปรมาจารย์น้อย เลื่อนขั้นสู่ขอบเขตโอสถทองแล้ว แต่เส้นทางเบื้องหน้าของนางไม่ง่ายเลย ตามความเห็นของข้า คอขวดใหญ่เกินไป ยากมากที่จะเดินขึ้นสู่ยอดเขา อย่างมากก็เป็นได้แค่ขอบเขตเดินทางไกล หากโชคดีก็เป็นได้แค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดเท่านั้น”


เจิ้งต้าเฟิงพูดขัดคอทันที “ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดเท่านั้น? ตาเฒ่า เจ้าแน่จริงก็ไปตะโกนประโยคนี้บนถนนใหญ่สิ ดูสิว่าผู้ฝึกตนเซียนดินของนครมังกรเฒ่าจะรู้สึกเช่นไร? จะโมโหจนตบปากเจ้าแตกยับเลยหรือไม่?”


ผู้เฒ่าเป็นคนใจเย็น ไม่ถือสาคำโต้เถียงของเจิ้งต้าเฟิงแม้แต่น้อย เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ก็แค่ยกตัวอย่างไม่ใช่หรือ อันที่จริงสุยโย่วเปียนไม่ควรเดินบนทางสายขาดของวิถีวรยุทธ์นี้ตั้งแต่แรกแล้ว…”


เจิ้งต้าเฟิงตบโต๊ะ “ว่าไงนะ?!”


ผู้เฒ่ารีบค้อมเอวเอื้อมไปหยิบจอกเหล้าของเฉินผิงอันมา รินเหล้าหมักกุ้ยฮวาเสียเต็มจอก ชูจอกให้เจิ้งต้าเฟิงพลางพูดว่า “พูดผิดไปแล้ว ลงโทษตัวเองสามจอก ลงโทษตัวเองสามจอก!”


กระดกรวดเดียวหมดจอก เตรียมจะรินจอกที่สอง


เฉินผิงอันยิ้มตาหยีเอื้อมมือมาปิดปากกาเหล้าเอาไว้ “ผู้อาวุโสดื่มลงโทษจอกเดียวก็พอแล้ว พวกเราสนิทกันขนาดนี้ ไม่ต้องทำตัวห่างเหิน”


ผู้เฒ่าวางจอกเหล้าลงอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจ เช็ดปาก พูดอย่างเสียดาย “เหล้านี่ดี น่าเสียดายที่รสชาติจืดจางไปสักหน่อย ดื่มแค่จอกสองจอก ยังไม่อาจลิ้มรสอะไรได้”


เจิ้งต้าเฟิงคีบเต้าหู้โรยหน้าด้วยต้นหอมขึ้นมาหนึ่งชิ้น “พี่สวิน มีลมก็รีบผาย!”


ผู้เฒ่าแซ่สวินพูดต่ออีกครั้ง “สุยโย่วเปียนคือตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่หาได้ยากยิ่ง มีพรสวรรค์ของเซียนกระบี่ นี่ยังพอทำเนา ประเด็นสำคัญคือจิตแห่งกระบี่ของนางใสกระจ่าง วันหน้าหากใช้ขอบเขตก่อกำเนิดของผู้ฝึกกระบี่ฝ่าคอขวดห้าขอบเขตบนจะมีความเป็นไปได้มากกว่า ข้าสามารถเอ่ยประโยคหนึ่งบนโต๊ะเหล้าแห่งนี้ได้ ขอแค่น้องเล็กเฉินยินดีตัดใจจากของรัก อนุญาตให้สุยโย่วเปียนเข้าไปอยู่ในสำนักของพวกเรา ร้อยปี อย่างมากสุดหนึ่งร้อยยี่สิบปี ข้ารับรองว่าสุยโย่วเปียนจะต้องกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่มีพลังการต่อสู้สูงสุด แล้วก็ตบอกรับรองอีกครั้งได้เลยว่าภายในร้อยปีหลังจากนั้น นางต้องกลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบแน่นอน”


เฉินผิงอันเพียงยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร ยื่นตะเกียบส่งให้ อีกทั้งยังรินเหล้าหนึ่งจอกให้ผู้เฒ่าด้วย


เจิ้งต้าเฟิงแค่นเสียงหยัน “ตาแก่สวิน เจ้าเป็นคางคกคิดจะอ้าปากกลืนกินตะวันจันทรางั้นรึ? ไม่กลัวว่าจะท้องแตกตายหรือไร? ถอยไปพูดหนึ่งหมื่นก้าว ตอนนี้สุยโย่วเปียนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตโอสถทองแล้ว ตัวเจ้าเองก็บอกแล้วว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกลนั้นไม่ยาก แค่จำเป็นต้องใช้เวลาขัดเกลาร่างกายและจิตใจเท่านั้น แต่เจ้ากลับดีนัก คิดจะให้สุยโย่วเปียนละทิ้งการเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดซึ่งเป็นของในกระเป๋าทิ้งไป สลายปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ทิ้งให้หมด แล้วค่อยใช้เวลาอีกหนึ่งร้อยปีสองร้อยปีไปไขว่คว้าห้าขอบเขตบนของผู้ฝึกกระบี่ซึ่งเป็นเพียงภาพมายาไม่แน่นอนอย่างนั้นรึ?”


ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างคนได้รับความอยุติธรรม “ข้าก็บอกแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือว่า เรื่องนี้ค่อนข้างน่าลำบากใจ ทว่าสุยโย่วเปียนเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นขนาดนี้ กลับไม่ตั้งใจฝึกฝนวิถีกระบี่ หากข้าไม่เห็นก็แล้วไปเถิด แต่เห็นแล้วกลับต้องเก็บกลั้นไว้ในท้อง มันก็ช่างอึดอัดจริงๆ เรื่องที่ย่ำยีวัตถุแห่งสวรรค์ให้สิ้นเปลืองแบบนี้ ข้าอดกลั้นไม่ไหว! พวกเจ้าคิดดูสิ สุยโย่วเปียนเป็นหญิงสาวที่งดงามขนาดนี้ วันหน้าหากกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกลก็ต้องใช้สองหมัดต่อยตีกับคนอื่น หนึ่งหมัดต่อยหนึ่งเท้าเตะ แบบนั้นจะทำลายบรรยากาศดีๆ ไปมากเท่าไหร่ ไหนเลยจะสง่างามเหมือนเซียนกระบี่หญิงที่ท่วงท่าองอาจ ชุดขาวพลิ้วปลิวไสว กระบี่บินตัดหัวศัตรูไกลพันลี้ได้?”


เจิ้งต้าเฟิงหลุดหัวเราะพรืด “พูดง่ายนัก ยิ่งผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตสูงเท่าไหร่ การสลายลมปราณก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น โดยเฉพาะสามขอบเขตอย่างหลอมจิตที่เกี่ยวพันไปถึงรากฐานจิตวิญญาณ หากไม่ระวังแม้เพียงนิด อย่าว่าแต่สุยโย่วเปียนจะรักษาพรสวรรค์ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดได้หรือไม่เลย เกรงว่าแม้แต่ชีวิตก็คงหายไปด้วย ตาเฒ่าสวิน เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานหรือว่าขอบเขตเซียนเหรินกันล่ะ? แล้วนับประสาอะไรกับที่เหตุใดเฉินผิงอันต้องประคองสองมือส่งมอบสาวงามกึ่งสาวใช้ประจำกายอย่างสุยโย่วเปียนไปให้กับตาแก่บ้ากามว่างงาน วันๆ ไม่ทำอะไรอย่างเจ้าด้วย?!”


ผู้เฒ่าเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “คนอย่างเราสง่างามมิต่ำช้า ไม่อาจให้ใครมาดูแคลนได้ น้องต้าเฟิง เจ้าสามารถหมิ่นเกียรติพี่ชายอย่างข้าได้ แต่อย่าดูแคลนตัวเองไปด้วย”


เจิ้งต้าเฟิงยกนิ้วโป้งให้ผู้เฒ่า ก่อนคีบกับแกล้มมาหนึ่งคำ “คำพูดนี้ของพี่ใหญ่พูดได้ใจกว้างยิ่ง ข้าไม่อาจหาข้อตำหนิได้เลย”


ผู้เฒ่ายกจอกเหล้าดื่มคำใหญ่ จากนั้นก็ลูบหนวดยิ้ม “ข้ารู้อยู่แล้ว น้องต้าเฟิง เจ้าคือคนจริงบนวิถีทางเดียวกับข้า ประเด็นสำคัญคือเวลาพูดต้องแข็งกร้าว มีเหตุผล มีคุณธรรม!”


เฉินผิงอันคีบถั่วลิสงขึ้นมาหนึ่งเม็ด เคี้ยวช้าๆ


ผู้เฒ่าเองก็ไม่กล้าเอ่ยเร่ง


เรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่คงต้องอยู่ที่การตัดสินใจของคนหนุ่มตรงหน้านี้เท่านั้น


เฉินผิงอันใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “ข้าพูดได้แค่ว่าจะช่วยท่านถามความคิดเห็นของสุยโย่วเปียนให้”


คราวนี้กลับเป็นผู้เฒ่าบ้างที่ต้องตกตะลึงอย่างหนัก “เฉินผิงอัน เจ้ารับปากจริงๆ หรือนี่?”


รู้ตัวว่าพูดผิด ผู้เฒ่าจึงรีบส่งยิ้มประจบให้


ต่อให้เป็นคนที่โง่แค่ไหนในใต้หล้านี้ก็ยังรู้ถึงน้ำหนักและมูลค่าของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดเดินทางไกลคนหนึ่งเป็นอย่างดี


หากเอาไปวางไว้ในราชวงศ์ใหญ่ๆ ระดับสูงสุดของแจกันสมบัติทวีปก็ถือเป็นบุคคลเลิศล้ำที่เกี่ยวพันกับโชคชะตาบู๊ของแคว้นหนึ่งแล้ว


อันที่จริงในท้องของผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความใคร่รู้และสงสัย แต่ก็ยังยั้งคำพูดเอาไว้ พูดมากไปย่อมไม่ดี หลีกเลี่ยงไม่ให้วาสนาที่ดีครั้งหนึ่งต้องพังลงเพียงเพราะตนวาดงูเติมหาง


ตอนที่ผู้เฒ่าเดินออกมาจากตรอกเล็ก เจิ้งต้าเฟิงบอกว่าจะออกไปสูดอากาศข้างนอกจึงเดินออกมาพร้อมกับผู้เฒ่าด้วย


พอมาถึงต้นไหวโบราณที่อยู่บนถนนใหญ่นอกตรอก โคมไฟในเทศกาลหยวนเซียวถูกจุดสว่างไสวทุกบ้านทุกครัวเรือนไม่แบ่งแยกยากดีมีจน แสงไฟโชติช่วงเจิดจ้าดุจเวลากลางวัน


ผู้เฒ่ายืนอยู่ใต้ต้นไม้กับเจิ้งต้าเฟิง ถามว่า “เหตุใดเฉินผิงอันไม่ถามสถานะที่แท้จริงของข้า รวมไปถึงค่าตอบแทนซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า?”


เจิ้งต้าเฟิงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “คงต้องรอให้สุยโย่วเปียนพยักหน้าตอบรับก่อนกระมัง เขาถึงจะถามเรื่องพวกนี้”


ผู้เฒ่าเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “หากเป็นเช่นนี้ ข้าและเจ้าคงยังมีกลิ่นเหรียญทองแดงติดตัวมากเกินไป (เปรียบเปรยว่าเห็นแก่เงิน เห็นเงินเป็นสิ่งสำคัญ) เฉินผิงอันต่างหากถึงจะเป็นคนที่พิถีพิถัน”


เจิ้งต้าเฟิงที่หลังค่อมมองถนนที่ผู้คนสัญจรเบียดเสียดกันดูคึกคัก เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “คนพิถีพิถันง่ายที่จะเสียเปรียบ”


ผู้เฒ่าเองก็เก็บสีหน้าทั้งหมดกลับคืน สายตาลึกล้ำ “เสียเปรียบคือโชคกับมารดามันเถอะ”


เงียบกันไปครู่ ผู้เฒ่าแซ่สวินก็ถาม “น้องต้าเฟิง จะกลับไปไหนหรือทำอะไรต่อ?”


เจิ้งต้าเฟิงกล่าว “กลายเป็นคนไร้ค่าแล้ว ก็อยากกลับไปทำอาชีพเก่า กลับไปเป็นคนเฝ้าประตูอีกครั้ง”


ผู้เฒ่าถาม “อยากไปอยู่ที่ภูเขาของข้าไหม? ไม่กล้าพูดว่าจะมีชีวิตดั่งเทพเซียน แต่สุราอาหารและสาวงามล้วนไม่ขาด เชื่อว่าเจ้าเองก็รู้นิสัยของข้า จะต้องไปคุยเล่นกับเจ้าบ่อยๆ รับรองว่าไม่เบื่อ”


เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า “ไม่อยากติดค้างน้ำใจเจ้า แล้วก็ไม่มีอารมณ์จะไปเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสืออยู่ที่ภูเขาของเจ้าด้วย”


ผู้เฒ่าตบไหล่เจิ้งต้าเฟิง “คิดให้ตก ชีวิตคนไม่มีอุปสรรคใดที่ก้าวข้ามไปไม่ได้”


เจิ้งต้าเฟิงโมโหจัดจนกลายเป็นขำ “ตาแก่อย่างเจ้าเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ห้าขอบเขตบน แต่ยังมีหน้ามากินดื่มของคนอื่นไม่จ่ายเงิน แล้วยังมาพูดให้คนไร้ค่าอย่างข้าคิดให้ตกเนี่ยนะ เจ้าไม่อายตัวเองบ้างหรือไง?”


ผู้เฒ่าทอดถอนใจ “คิดไม่ถึงว่าข้าเก็บงำอย่างลึกล้ำถึงเพียงนี้ แต่ก็ยังถูกน้องต้าเฟิงมองออกในปราดเดียวว่าเป็นยอดฝีมือเทพเซียนห้าขอบเขตบน ดูท่าประโยคในตำราที่กล่าวไว้ว่าสาวงามมิอาจละทิ้งความงามที่มีมาตั้งแต่กำเนิดได้นั้น ก็เอามาใช้กับข้าได้เหมือนกัน”


เจิ้งต้าเฟิงหันหน้ามามองตาเฒ่าที่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ตลอดหลายปีที่เจ้าฝึกตนในสำนัก มีคนอยากจะประลองฝีมือกับเจ้าบ่อยๆ ใช่หรือไม่?”


ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ไม่เคยมี ตอนที่เป็นหนุ่ม ข้าหล่อเหลาสง่างามอย่างมาก ได้รับความนิยมจากในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงเป็นที่สุด พอมีปัญหา พวกนางก็แย่งกันช่วยคลี่คลายปัญหาให้ข้า พอถึงช่วงวัยกลางคนก็พลันกระจ่างแจ้งว่าเอาแต่หมกมุ่นอยู่ในพุ่มบุปผาทุกวันก็คงไม่ดี เลยหันหน้ามาเอาดีทางด้านการฝึกตนอีกครั้ง หนึ่งวันเดินไปบนมหามรรคาได้ไกลพันลี้ เป็นเหตุให้ผู้อาวุโสในสำนักให้ความสำคัญและคอยปกป้องอย่างถึงที่สุด พอแก่ตัวก็ยิ่งมีคุณธรรมมากล้นมีชื่อเสียงสูงส่ง”


เจิ้งต้าเฟิงตบไหล่ผู้เฒ่า “โชคดีที่พี่สวินเจ้าไม่ได้เกิดและเติบโตมาในบ้านเกิดของข้า ไม่อย่างนั้นจะต้องมีคนมากมายมาช่วยสอนเจ้าว่าเป็นคนควรทำเช่นไร”


ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “คนอื่นเคารพข้าหนึ่งฉื่อ ข้าเคารพกลับหนึ่งจั้ง หากสุยโย่วเปียนยินดีเข้ามาอยู่ในสำนักของพวกเราจริงๆ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องใคร่ครวญดีๆ ว่าควรจะมอบของขวัญเข้าศาลบรรพจารย์อะไรให้นาง ควรจะตอบแทนเฉินผิงอันที่ปล่อยมือให้นางจากมาอย่างง่ายดายอย่างไร”


เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยหยอกล้อ “แน่จริงก็มอบอาวุธเซียนให้สุยโย่วเปียนชิ้นหนึ่งสิ”


ผู้เฒ่าหัวเราะเหอๆ “นั่นไม่ได้หรอก อย่างน้อยก่อนที่สุยโย่วเปียนจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ข้าไม่มีทางเอาเงินทุนค่าโลงศพของตัวเองมามอบให้นางเด็ดขาด อีกอย่างเมื่อถึงเวลานั้นนางยังต้องรับปากว่าจะปกป้องสำนัก อย่างน้อยก็ต้องสามร้อยปีถึงจะได้ ไม่อย่างนั้นข้าก็ตัดใจไม่ลงหรอก”


เจิ้งต้าเฟิงหันหน้ามา ผู้เฒ่ามองสบตากับเขา พูดอย่างมีเหตุผลว่า “ทำไม แค่คุยโม้ก็ผิดกฎหมายด้วยหรือ?”

 

 

 


บทที่ 373.2 เจี้ยนเซียนอยู่ด้านหลัง

 

พวกเผยเฉียนกลับมาถึงร้านยาก็ดึกมากแล้ว เฉินผิงอันรออยู่ตรงหน้าประตูตลอดเวลา เขาเรียกสุยโย่วเปียนไว้บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย


คนทั้งสองเดินอย่างเชื่องช้าอยู่ในตรอกเล็ก


เฉินผิงอันเล่าเรื่องที่ผู้เฒ่าอยากจะให้สุยโย่วเปียนไปฝึกตนบนภูเขาของเขาให้สุยโย่วเปียนฟังโดยไม่มีตกหล่น


สุยโย่วเปียนสีหน้าไร้อารมณ์ ถามเฉินผิงอันกลับว่ารู้รากฐานของคนผู้นั้นหรือไม่ เขาชื่อแซ่อะไร ตบะสูงต่ำเท่าไหร่ สำนักของเขาอยู่ที่ไหน


เฉินผิงอันบอกว่าเรื่องพวกนี้ต้องถามความเห็นของเจ้าสุยโย่วเปียนก่อน เขาถึงจะไปพูดคุย รวมถึงไตร่ตรองและยืนยันให้แน่ใจได้ พอได้คำตอบแล้ว เขายังต้องส่งกระบี่บินไปสอบถามภูเขาไท่ผิง ขอให้เทียนจวินผู้เฒ่าช่วยตรวจสอบด้วยตัวเอง รอให้ทุกอย่างเรียบร้อยไร้ข้อผิดพลาดแล้วถึงจะให้สุยโย่วเปียนตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย


สุยโย่วเปียนเงียบงันอยู่ตลอดเวลา เฉินผิงอันจึงได้เดินออกไปนอกตรอกเล็กเป็นเพื่อนนาง เดินไปบนถนนใหญ่ที่ผู้คนบางตากลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง


ศึกที่วัดร้าง สุยโย่วเปียนตายไปสองครั้ง แลกเปลี่ยนชีวิตกับผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองนอกนครมังกรเฒ่าอีกหนึ่งครั้ง หลังจากสามครั้งนี้ เส้นทางบนวิถีวรยุทธ์ของนางก็จะต้องหยุดลงที่ขอบเขตแปดเดินทางไกล


สุยโย่วเปียนพลันหยุดยืน ถามว่า “เจ้าต้องการให้ข้าเข้าไปอยู่ในสำนักแห่งนั้นมากเลยใช่ไหม อย่างน้อยก็สามารถใช้สิ่งนี้แลกมาด้วยสมบัติอาคมสองชิ้น และได้ผูกสัมพันธ์ควันธูปหนึ่งก้านกับสำนักที่ผู้เฒ่าอยู่?”


เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ส่ายหน้ากล่าวว่า “หากไม่เป็นเพราะไม่มีวิธีอื่นอีกจริงๆ ข้าก็ย่อมหวังให้เจ้าอยู่ข้างกาย หวังว่าจะสามารถช่วยให้เจ้าสลายปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ไปได้อย่างราบรื่น ตั้งใจฝึกตน กลายเป็นผู้ฝึกลมปราณ มหามรรคาสามารถเดินไปได้ไกล เดินไปได้สูงยิ่งกว่าเดิม แต่เจ้าน่าจะเข้าใจ ตอนนี้ข้าเองก็เพิ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้า เพิ่งจะเริ่มต้นสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ เมื่อเทียบกับตระกูลเซียนชนชั้นสูงที่ในชื่อมีคำว่าสำนักซึ่งมีการสืบทอดต่อกันมาเป็นพันปีขึ้นไปแล้ว ทรัพย์สมบัติของข้าในเวลานี้ไม่เพียงพอเลย และบนเส้นทางของการฝึกตน หากช้าไปหนึ่งก้าวก็ต้องช้าทุกก้าว”


สุยโย่วเปียนถามอีก “หากข้าเลือกที่จะจากไป เจ้าจะจัดการกับภาพวาดที่เกี่ยวข้องกับชะตาชีวิตของข้าสุยโย่วเปียนอย่างไร?”


เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเล “ข้าย่อมต้องเก็บเอาไว้ให้ดี เรื่องของการฝึกตน ใจคนยากแท้หยั่งถึง อยู่ในมือข้า อย่างน้อยข้าก็ไม่มีทางทำร้ายเจ้า ยิ่งไม่มีทางใช้สิ่งนี้มาบีบบังคับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่ ข้าก็คิดเช่นนี้ แต่หากมอบให้คนอื่น ข้าไม่วางใจ ต่อให้ผู้เฒ่าคนนั้นจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีจริงๆ ยินดีรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด ให้เจ้าเข้าไปอยู่ในศาลบรรพจารย์ของสำนักเขา แต่ข้าจะรับประกันได้อย่างไรว่าคนอื่นจะไม่เกิดใจคิดร้ายต่อเจ้า จะไม่หวังใช้สิ่งนี้มาข่มขู่เจ้า ในช่วงเวลาวิกฤตอันตรายจะไม่บีบบังคับให้เจ้าพาตัวเข้าไปอยู่ในทางตัน? คนเราเมื่ออยู่จุดสูงก็ย่อมไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ข้าเฉินผิงอันไม่เหมือนกัน ไม่ได้บอกว่าข้ามีใจเมตตามากกว่าผู้เฒ่า ปฏิบัติต่อเจ้าดียิ่งกว่า แต่อย่างน้อยข้าก็ไม่มองเจ้าสุยโย่วเปียนเป็นสิ่งของ ไม่คิดจะขายเจ้าเพียงเพราะมีคนให้ราคาที่สูงเทียมฟ้า”


สุยโย่วเปียนจ้องเฉินผิงอันเขม็ง


เฉินผิงอันจ้องตานางกลับอย่างเปิดเผย “คำพูดจากใจจริง”


สุยโย่วเปียนเองก็ไม่ได้ให้คำตอบหรือปฏิเสธ อยู่ดีๆ กลับพูดไปเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย “นักพรตหญิงจากภูเขาไท่ผิงคนนั้นมีรูปโฉมงามล้ำอย่างแท้จริง แถมยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งด้วย”


เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “แล้ว?”


สุยโย่วเปียนถาม “เจ้าไม่หวั่นไหวสักนิดเลยหรือ?”


เฉินผิงอันกลอกตามองสูง ใช้สองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย ก้าวเดินอย่างผ่อนคลาย “ใต้หล้านี้มีสตรีที่งดงามมากมาย หากสวยก็มองนานอีกนิดให้เพลิดตาเจริญใจ นี่เป็นความรู้สึกของคนปกติ เหตุใดต้องหวั่นไหว?”


สุยโย่วเปียนหัวเราะอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “เป็นบุรุษ แต่กลับไม่มีความคิดจะกอดหญิงงามแนบซ้ายแนบขวา เจ้าเฉินผิงอันป่วยหรือไง?”


เฉินผิงอันยังคงเอามือรองท้ายทอย หันหน้ามาพูดอย่างเกียจคร้าน “อย่าด่าคนสิ”


คนทั้งสองเงียบงันกันไปตลอดทาง เดินกลับมาถึงร้านยาฮุยเฉิน เผยเฉียนที่ยังไม่ง่วงยืนถือไม้เท้าเดินป่าอยู่หน้าประตูร้าน บอกว่าจะแสดงฝีมือให้เฉินผิงอันดูสักสองกระบวนท่า พูดจาน่าเชื่อถือบอกว่าเหล่าเว่ยและเสี่ยวป๋ายเห็นวิชากระบี่วิชาดาบของนางแล้วต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าถึงจุดสูงสุดของความสมบูรณ์แบบแล้ว


เกี่ยวกับวิชาวานรขาวสะพายกระบี่และลากดาบที่หวงถิงถ่ายทอดให้เผยเฉียน คนทั้งสี่ในภาพวาดต่างก็แสร้งทำเป็นไม่รับรู้อย่างมีไหวพริบ ยิ่งไม่คิดจะแอบลักจำ แกล้งยั่วให้เผยเฉียนถ่ายทอดคาถาให้ฟังเป็นการส่วนตัว หนึ่งเพราะยึดหลักคุณธรรมในยุทธภพ อีกอย่างหนึ่งก็คือเด็กแสบอย่างเผยเฉียน แม้ปากจะตอบรับ แต่พอหมุนก้นหันตัวกลับก็คงแล่นไปขายพวกเขากับเฉินผิงอันแล้ว สำหรับเรื่องนี้ เฉินผิงอันไม่มีทางพูดง่ายอย่างแน่นอน


สุ่ยโย่วเปียนจูเหลี่ยนสี่คนไม่กล้าเอาเรื่องนี้ไปหยั่งเชิงขีดจำกัดของเฉินผิงอัน


ดังนั้นสุยโย่วเปียนจึงเดินเข้าไปในร้านยา ไปฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูที่ได้รับการอนุญาตจากเฉินผิงอันโดยปริยายอยู่ในห้องด้านข้างของเรือนหลัง


ในตรอกเล็ก เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงธรณีประตู พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ลองดูสิ”


เผยเฉียนตีหน้าเคร่งพยักหน้ารับ ตวาดเบาๆ หนึ่งที ก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว สองมือถือไม้เท้าเดินป่า สะบัดไม้เท้าออกไปด้วยกระบวนท่าวานรขาวลากดาบ


ไม่ได้กะแรงให้ดี ไม้เท้าเดินป่าจึงหลุดจากมือเผยเฉียนไป เฉินผิงอันใช้ปลายเท้าแตะแล้วยื่นมือไปคว้าไม้เท้าไม้ไผ่ที่อีกนิดเดียวก็จะพุ่งชนกำแพงในตรอกเล็ก ไม่อย่างนั้นมันต้องพังแน่


เผยเฉียนเบิกตาค้างอ้าปากกว้าง จบเห่แล้ว คิดว่าตัวเองต้องได้กินมะเหงกอีกแน่


คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะแค่ยื่นไม้เท้าคืนให้นาง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “พลังอำนาจมีมากพอ วันหน้าก็ตั้งใจฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวกับข้าให้ดี ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นวิชากระบี่วิชาดาบที่ดีแค่ไหน ร่างกายของเจ้าก็รับไม่ไหว เรี่ยวแรงจะยังกระจัดกระจายมั่วซั่ว มีแต่จะกลายเป็นตัวตลกในสายตาของผู้เชี่ยวชาญ”


เผยเฉียนกระทืบเท้าอย่างหงุดหงิด ทอดถอนใจไม่หยุด หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรกก็คงไม่โอ้อวดวิชาอันล้ำโลกของตนแล้ว วันหน้าเวลาเดินยังต้องใช้กระบวนท่าหมัดที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ แบบนี้ไม่เท่ากับว่าหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ?!


เฉินผิงอันตบศีรษะเล็กๆ ของนาง “ตอนเล็กๆ ต้องเจอกับความลำบากให้มาก”


เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยแววรอคอย “พอโตแล้วก็จะได้เสวยสุขทุกวัน? ได้นอนรับเงินหรือ? ไม่ต้องคัดตัวอักษร อยากดื่มเหล้าก็ได้ดื่ม อยากกินอะไรก็ได้กิน?”


เฉินผิงอันพานางเดินกลับเข้าไปในร้าน ปิดประตูลง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รอเจ้าโตเมื่อไหร่ก็ย่อมรู้เอง”


เผยเฉียนไหล่ลู่คอตก “ไม่อยากโต นักพรตหญิงผู้นั้นบอกว่าข้าหน้าตาไม่งดงาม คาดว่าพอโตขึ้นก็คงไม่ดีไปกว่าเดิมสักเท่าไหร่ อายุน้อยก็ยังเป็นแค่เด็กขี้เหร่ ถึงอย่างไรก็ต้องดีกว่าหญิงสาวอัปลักษณ์อยู่มาก วันนี้ไปชมโคมไฟ จู่ๆ จูเหลี่ยนก็พูดว่าผ่านไปอีกไม่กี่ปี ข้าก็สามารถยืนอยู่หน้าประตูบ้านให้ท่านได้ทุกวัน บอกว่าภูตผีปีศาจคงไม่กล้าเข้าประตูมา ร้ายกาจยิ่งกว่าจ่ายเงินซื้อภาพเทพทวารบาลซะอีก ตอนนั้นข้ายังดีอกดีใจ แต่ลึกๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก็เลยแอบถามเหล่าเว่ย เหล่าเว่ยบอกว่ามนุษย์เราก็ชั่วร้ายได้เช่นกัน เขาพูดหลอกข้าบอกว่า บางทีอาจเป็นเพราะวิชากระบี่ล้ำโลกที่ข้าฝึกฝนมีปราณกระบี่หนักมากเกินไป ดังนั้นสิ่งสกปรกจึงกลัวข้า ตอนหลังยังคงเป็นสุยโย่วเปียนที่มีคุณธรรมที่สุด ยอมบอกความจริงกับข้า ที่แท้จูเหลี่ยนก็พูดแบบอ้อมๆ บอกว่าพอข้าเติบโตไม่เพียงแต่หน้าตาชวนให้คนตกใจ ยังน่ากลัวจนแม้แต่ผียังหวาดผวา จูเหลี่ยนชั่วร้ายเกินไปแล้ว เสียแรงที่ข้ากินข้าวเพิ่มครึ่งถ้วยทุกวัน ทุกครั้งที่จูเหลี่ยนยกกับข้าวขึ้นโต๊ะก็เป็นข้าที่ชื่นชมเขามากที่สุด จูเหลี่ยนไม่มีมโนธรรมในใจเลยจริงๆ”


ในดวงตาเฉินผิงอันฉายรอยยิ้ม จงใจเอาคำพูดติดปากของเด็กหญิงมาเอ่ยสัพยอกนาง “กลุ้มจริง”


เผยเฉียนคลี่ยิ้มกว้าง ถึงอย่างไรก็ยังมีใจเป็นเด็ก ความกลัดกลุ้มที่สุมแน่นอยู่เต็มท้อง นึกจะหายก็หายไปได้ง่ายๆ


หลังจากกลับไปที่ห้องข้างและปิดประตูลง นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับสุยโย่วเปียน ใช้สองมือเท้าแก้ม จ้องมองสุยโย่วเปียนที่กำลังฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู ถามเบาๆ ว่า “พี่หญิงสุย ทำไมเจ้าถึงหน้าตางดงามปานนี้ล่ะ สอนข้าบ้างสิ?”


สุยโย่วเปียนลืมตาขึ้น ราวกับว่าวันนี้นางจะอารมณ์ไม่เลว จึงกลั้นยิ้มไว้ จงใจตีหน้าเคร่งพูดอย่างจริงจัง “อ่านหนังสือ คัดตัวอักษร เดินนิ่งหกก้าว ยืนนิ่งเจี้ยนหลู วิชากระบี่วิชาดาบ เช็ดโต๊ะกวาดพื้น ยกน้ำส่งชา ล้วนต้องจริงจังทั้งหมด”


เผยเฉียนเบี่ยงหน้ามาน้อยๆ ยิ้มกว้าง “พี่หญิงสุย เจ้าเข้าใจพูดล้อเล่นจริงๆ”


สุยโย่วเปียนพยักหน้ารับ จุ๊ปากพูดด้วยถ้อยคำเลียนแบบนักพรตหญิงหวงถิง “เด็กที่เฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงหน้าตาไม่งดงามเลยนะ”


เผยเฉียนหมุนตัวกลับอย่างอัดอั้น เอาหลังพิงขอบโต๊ะ เอาหัววางไว้บนโต๊ะ ยื่นมือหยิบกระดาษยันต์สีเหลืองแผ่นที่นางรักมากที่สุดออกมาแปะลงบนหน้าผาก พูดเบาๆ ว่า “พี่หญิงสุย เจ้าชอบพ่อของข้าไหม?”


สุยโย่วเปียนหลุดหัวเราะพรืด


เห็นได้ชัดว่าเผยเฉียนเองก็ไม่สนใจอยากจะฟังคำตอบ นางพูดกับตัวเองต่อไปว่า “ก่อนหน้านี้พวกเราไปดูโคมไฟมากมายในเทศกาลหยวนเซียว ทุกดวงล้วนงดงาม แต่ยังจำงานโคมไฟข้างเหลาสุราเฟิ่งเซียนได้ไหม? ลงกระทะน้ำมันเอย ดึงลิ้นเอย ถลกหนังดึงเส้นเอ็นเอย ไม่ใช่ผีร้ายกุ่ยชาก็เป็นอุปกรณ์ลงทัณฑ์ในนรก เหล่าเว่ยบอกว่าอาจจะเป็นงานเลี้ยงโคมไฟที่ที่ว่าการกรมอาญาในนรกเป็นผู้จัดเพื่อเล่นงานคนที่ชอบทำเรื่องเลวร้ายมากที่สุด ทำเอาข้าตกใจแทบตาย เจ้าไม่รู้อะไร ตอนนั้นจู่ๆ ข้าก็พบว่าพ่อข้าไม่อยู่ข้างกาย ข้าใกล้จะร้องไห้เต็มทีแล้ว”


สุยโย่วเปียนหลับตาลงอีกครั้ง ฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูต่อ ขยายชีพจรให้กว้าง หล่อเลี้ยงบำรุงร่างกายและจิตวิญญาณด้วยความอบอุ่น


เผยเฉียนยื่นมือมาประคองกระดาษยันต์สีเหลืองแผ่นนั้นให้ตรงอย่างเบามือ พูดพึมพำว่า “แผ่นยันต์ปกป้องเผยเฉียนให้ดี ภูตผีปีศาจล้วนถอยไป”


……


ในค่ำคืนนี้ เทพหยินแซ่จ้าวมาหาเฉินผิงอันที่นอนอยู่บนพื้น บอกว่าอาจารย์ผู้เฒ่าคนนั้นฝากถ้อยคำมาให้อีกครั้ง ทางฝ่ายของสำนักใบถงได้เริ่มมอบการชดใช้มาให้อย่างเป็นทางการแล้ว


โอสถทองของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองเม็ดนั้นได้ถูกตู้เม่าที่สติวิปลาสเพราะเรื่องบินทะยานหล่อหลอมอยู่ในถ้ำสวรรค์เล็กอู๋ถง ดังนั้นจึงใช้เศษชิ้นส่วนแก้วใสห้าสีสองเม็ดมาแลกเปลี่ยน ลูกเล็กมีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ ลูกใหญ่ใหญ่เท่ากำปั้น


หลังจากที่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสองดวงวิญญาณเสื่อมสลาย หรือตายไปในสงคราม บางครั้งก็อาจจะปรากฏเป็นคราบร่างเซียน แต่หากผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานในตำนานล้มเหลวจะปรากฎเศษชิ้นส่วนร่างทองที่เป็นเหมือนแก้วห้าสี


นี่คือสิ่งเดียวที่พอจะทำให้สำนักใบถงลดความเคียดแค้นที่มีต่อตู้เม่าซึ่งไม่สนใจความเป็นความตายของลูกศิษย์ในสำนัก ถึงขั้นทำลายถ้ำสวรรค์อู๋ถงลงได้บ้าง พอตู้เม่ารู้ว่าการบินทะยานล้มเหลว เสี้ยววินาทีสุดท้ายก็ได้บังคับเศษแก้วของร่างครึ่งบนที่จะกระจายไปสี่ทิศให้กลับคืนสู่ภูเขาบรรพบุรุษของสำนักใบถงมาได้สามดวง ศาลบรรพชนสำนักใบถงเก็บไว้แค่ดวงเดียว อีกสองดวงล้วนเอาออกมามอบให้


หลังจากที่เทพหยินแซ่จ้าวถ่ายทอดเรื่องเหล่านี้เสร็จก็เอาใบอู๋ถงสีออกเหลืองขนาดเท่าฝ่ามือใบหนึ่งยื่นส่งให้เฉินผิงอันอย่างระมัดระวัง บอกว่านี่คือวัตถุจื่อชื่อที่สำนักใบถงมอบมาให้พร้อมกันด้วย ส่วนเศษแก้วที่เกิดขึ้นหลังจากมิอาจข้ามผ่านทัณฑ์ของการบินทะยานจนร่างมอดม้วยมรรคาดับสลายก็อยู่ข้างในนี้แล้ว นอกจากนี้อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนั้นยังเตรียมค่ายกลพิทักษ์ขุนเขามาให้เฉินผิงอันสองชุดโดยเฉพาะ ชุดหนึ่งเลียนแบบค่ายกลกระบี่โจมตีของภูเขาไท่ผิง อีกชุดหนึ่งคือค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาที่เลียนแบบของสำนักฝูจี และด้วยเหตุนี้เขายังขอให้ยอดฝีมือของสำนักโม่สร้างเงินเทพเซียนที่จำเป็นต้องใช้ในการโคจรค่ายกลใหญ่ ซึ่งสำนักใบถงคือผู้ออกเงิน ล้วนเป็นเงินฝนธัญพืช และก็อยู่ในใบอู๋ถงนั่นทั้งหมด


เพียงแต่ว่าสมบัติอาคมอันเป็นใจกลางของค่ายกลใหญ่ทั้งสอง ยกตัวอย่างเช่นกระบี่บินหรือหุ่นเชิดร่างทอง ยังต้องให้เฉินผิงอันหามาเอง ในอนาคตจะอาศัยเงินทองซื้อหามาหรืออาศัยโชคดีเก็บกลับมาได้ก็ต้องดูว่ามีวาสนานั้นหรือไม่


สุดท้ายเทพหยินกล่าวว่า “ใบอู๋ถงต้องพกติดตัวไว้ตลอดเวลา แต่อาจารย์ผู้เฒ่าก็บอกแล้วว่า ทางที่ดีที่สุดควรรอให้กลับไปถึงเมืองเล็กบ้านเกิดก่อนค่อยเปิดดูของต่างๆ ที่อยู่ด้านใน ไม่อย่างนั้นหากเปิดวัตถุจื่อชื่อก็เท่ากับว่าได้เปิดประตูจวนของถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กออกในเวลาสั้นๆ ง่ายที่จะเปิดเผยความลับสวรรค์ที่อยู่ด้านใน เพราะถึงอย่างไรเศษชิ้นส่วนแก้วใสของผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานก็หายากเกินไป ไม่ว่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนไหนก็ล้วนปรารถนาอยากได้มาครอบครอง ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าต้องการให้ข้านำความมาบอกอีกเรื่องหนึ่ง ชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนั้น กินเงินไปจนถึงระดับอาวุธกึ่งเซียนก็ไม่มีทางเสียเปรียบ”


เฉินผิงอันเก็บใบอู๋ถงไว้เป็นอย่างดี


หลังจากที่เทพหยินแซ่จ้าวพูดจบ ร่างก็หายไป


ทุกครั้งที่มันช่วยเหลืออาจารย์ผู้เฒ่าคนนั้นก็ได้รับผลประโยชน์มหาศาลเช่นกัน


เฉินผิงอันกลับไปนอนบนพื้น ลูบปิ่นหยกสีขาวที่ปักอยู่บนศีรษะ แล้วหลับตาลงนอน


เช้าตรู่วันที่สอง ฟ้าเริ่มสว่าง ฟ่านจวิ้นเม่าก็มาถึงตามนัด พาเฉินผิงอันไปยังทะเลเมฆเหนือนครมังกรเฒ่า


ผู้เฒ่าแซ่สวินมาเฝ้าตอรอกระต่ายอยู่นอกประตูร้านยาตั้งแต่เช้า ก่อนหน้านี้ไม่รอให้เฉินผิงอันพูดอะไร สุยโย่วเปียนก็เลิกผ้าม่านออกมาคุยกับผู้เฒ่าที่นอกประตูสองสามคำ


สุ่ยโย่วเปียนเดินกลับเข้าไปในเรือนหลัง


ผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้ม แม้จะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว รอแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น ถึงเวลานั้นภายในหนึ่งร้อยปีสำนักกุยหยกจะมีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่มีหวังจะเป็นห้าขอบเขตบนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน


อืม ถึงเวลานั้นจะต้องรับนางไปที่สำนักใบถงสักรอบหนึ่ง ไปเยี่ยมเยียนพวกเขา ดูสิว่าจะสามารถ ‘ช่วยสร้างศาลบรรพชนขึ้นมาใหม่ให้สำนักพี่น้อง พยายามช่วยเหลือเท่าที่แรงน้อยนิดจะเอื้ออำนวยได้หรือไม่’


ผู้ฝึกตนต้องมีคุณธรรมนี่นะ


ดวงตะวันขึ้นทางทิศตะวันออก สาดแสงอรุโณทัยส่องไปหมื่นจั้ง บนยอดของทะเลเมฆ งดงามจนมิอาจบรรยาย


เมื่อถึงเวลาเหมาะสมทั้งฟ้าและดินต่างก็ร่วมแรงร่วมใจ


ครั้งนี้เฉินผิงอันหลอมตราประทับตัวอักษรน้ำเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่หนึ่ง นอกจากจะใช้เวลาสิบวันเต็มแล้วก็ไม่มีความผิดพลาดที่ใหญ่เกินไปนัก


บนผนังในห้องโอสถที่มีมาตั้งแต่กำเนิดของเฉินผิงอันปรากฏภาพวาดฝาผนังหนึ่งภาพ มีแม่น้ำสายหนึ่งที่ทอดยาวดุจผ้าต่วนสีขาว ไอน้ำแผ่อบอวล ไหลรินอย่างเชื่องช้า


วินาทีที่ทำสำเร็จ ชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างพลันเบาโล่ง


ต่อให้เฉินผิงอันลองทำใจกล้าคลายตราผนึกของจินหลี่ ปล่อยให้ปราณวิญญาณบนทะเลเมฆกรอกเทเข้ามาในช่องโพรง พวกมันก็พากันไหลกรูเข้าไปในทะเลสาบของช่องโพรงแห่งหนึ่งที่มีไอหมอกแผ่เต็มเปี่ยม อากาศสดชื่น


จนกระทั่งบัดนี้ ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธ์ขุมนั้นซึ่งถูกกลืนกินอย่างต่อเนื่องถึงได้หลุดพ้นจากพันธนาการอย่างสิ้นเชิง ประหนึ่งได้รับอภัยโทษ มันจึงพุ่งไปตามฟ้าดินขนาดเล็กอย่างเรือนกายมนุษย์นี้อย่างบ้าคลั่ง


เฉินผิงอันลองบังคับมันเล็กน้อย ปราณแท้จริงในร่างขุมนี้กับทะเลสาบแห่งนั้น รวมไปถึงลำธารปราณวิญญาณหลายเส้นที่ไหลลงสู่ทะเลสาบก็พอจะเรียกได้ว่าต่างคนต่างไม่รุกรานกัน


ประหนึ่งขุนนางบุ๋นบู๊ของหนึ่งราชสำนักที่ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นเติมเต็มซึ่งกันและกัน แต่ก็ไม่ถึงขั้นไม่ตายไม่ยอมเลิกรา แค่ต่างคนต่างอยู่


ช่วงกลางดึก เฉินผิงอันและฟ่านจวิ้นเม่ากลับมาที่ร้านยาฮุยเฉินพร้อมกันอย่างเงียบเชียบ


คนทั้งสี่ในภาพวาดลืมตาและหลับตาลงอีกครั้ง ค่อยๆ หลับไป


ควันดำของเทพหยินแซ่จ้าวผลุบหายเข้าไปในผนังช้าๆ


เจิ้งต้าเฟิงและเผยเฉียน ต่างคนต่างนอนหลับฝันหวาน


เฉินผิงอันนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาว ดื่มเหล้าดองโอสถทองที่ผ่านการหลอมระดับเล็กหนึ่งคำ


ฟ่านจวิ้นเม่ายืนอยู่ด้านข้าง ถามว่า “หากเปลี่ยนมาเป็นเจ้าเฉินผิงอันจะเอาทะเลเมฆที่อยู่เคียงข้างมานานหลายปีไปแลกกับตำแหน่งองค์เทพแห่งขุนเขาใต้ของแจกันสมบัติทวีปหรือไม่?”


เฉินผิงอันตอบตามตรง “ไม่รู้สิ”


ฟ่านจวิ้นเม่าที่อารมณ์เสียสุดขีดพูดอย่างเดือดดาล “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้อะไรกันแน่?!”


เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รู้ว่าข้าไม่รู้”


ฟ่านจวิ้นเม่าโยนกระบี่ยาวที่เก็บไว้ในคลังอาวุธวัตถุจื่อชื่อมานานแล้วเล่มหนึ่งให้เฉินผิงอัน ตีหน้าบึ้งตึงแล้วพุ่งวูบจากไป


ยามเช้าตรู่ของวันนี้ พวกเฉินผิงอันออกจากร้านยาฮุยเฉินไปยังท่าเรือตระกูลเซียนทางตะวันตกของนครมังกรเฒ่า เพื่อโดยสารเรือข้ามฟากลำหนึ่งเดินทางมุ่งหน้าไปยังแคว้นชิงหลวนที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป


ฟ่านเอ้อร์ยืนอยู่ตรงท่าเรือเป็นเพื่อนพวกเขา บ่นเฉินผิงอันว่าคราวหน้าที่พบเจอกันห้ามลืมเครื่องปั้นและไปดื่มเหล้าฉลองกับเขาเด็ดขาด


เจิ้งต้าเฟิงนั่งอยู่ในร้านยาที่ว่างเปล่าเพียงลำพัง เดี๋ยวก็มองตัวอักษรฝูที่แปะอยู่บนผนัง เขียนได้สวยกว่าตัวอักษรชุนมากจริงๆ


ในห้องโถงใหญ่ของเรือนหลัก เดินวนอ้อมโต๊ะที่จูเหลี่ยนมักจะวางอาหารไว้จนเต็ม เดินวนไปหนึ่งรอบ สุดท้ายมานั่งอยู่บนธรณีประตู มองไปยังม้านั่งยาวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเพดานเปิดโล่ง


ม้านั่งที่อยู่ใต้ชายคาตัวนั้น เป็นคนหนุ่มที่นั่งบ่อยมากที่สุด เผยเฉียนมานั่งบ้างเป็นบางครั้ง


นานวันเข้าจึงคล้ายจะกลายเป็นถิ่นเล็กๆ ของเขา


เจิ้งต้าเฟิงสูบยาสูบเฮือกใหญ่


เกาศีรษะ คราวนี้แอบดอดกลับไป ต้องถูกผู้เฒ่าด่าจนไม่เป็นผู้เป็นคนอีกแน่


บนเรือข้ามฟาก เฉินผิงอันกลับมาสะพายกระบี่ไว้ด้านหลังอีกครั้ง


ชื่อกระบี่น่าสนใจมาก


เจี้ยนเซียน (เซียนกระบี่)


—–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)