ท่านเทพมาแล้ว 372-375
บทที่ 372 ในที่สุดก็กลับมา
โดย
Ink Stone_Romance
หลิวจวิ้นเหลือบมองนาง “แต่ชายชุดเขียวไม่ปรากฏตัวออกมาตอนที่เขาฆ่าหลินเซี่ยกับจีหย่งฟาง”
มู่จิ่วถือถ้วยพลางพยักหน้า หากคนมีความเกลียดชังในใจ เรื่องอื่นก็นับเป็นรองทั้งหมด
เมื่อพูดกลับมาอีกที ชีวิตที่ผ่านมาของหลินเจี้ยนหรูมีส่วนที่น่าเห็นใจและน่าสงสาร แต่การใช้พลังที่ได้มาเปล่าหลอกคนไม่ใช่เรื่องที่ชายชุดเขียวสั่งให้เขาทำ และก็ไม่มีใครบังคับให้เขากลับสำนักแรกพยับไปเป็นผู้อาวุโส หากเขาสามารถเลือกบอกเหตุผลที่จะออกจากแรกพยับกับหัวชิง หัวชิงก็ไม่มีเหตุผลใดไม่ปล่อยเขาไปเนื่องด้วยความกลัวที่มีต่อพลังเสวียนหมิงในร่าง
จะว่าไปแล้ว นี่ยังเป็นเพราะความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกของเขาด้วย
นางไม่เสียใจแม้แต่น้อยที่ฆ่าเขา หากวันนั้นเขาตายด้วยกระบี่ของนาง ก็ไม่รู้สึกว่าเขาตายอย่างไร้ความเป็นธรรม
เพียงแต่เมื่อนึกๆ ดูเรื่องทั้งหมด ก็ยังรู้สึกว่าชีวิตเขาช่างทุกข์ระทมจนเกินไป
หลิวจวิ้นพยักหน้า สูดลมหายใจช้าๆ แล้วลุกขึ้นมา เดินไปพลางพูด “ยามนี้ไม่เจอร่องรอยของเขาไม่ว่าบนฟ้าหรือดิน เรื่องนี้ไม่แน่ว่าจะเกี่ยวกับชายชุดเขียว แต่ข้ารู้สึกว่าเขาเดินมาถึงจุดนี้แล้ว เกรงว่าคงไม่อาจจบลงง่ายๆ กับสำนักแรกพยับ เจ้าพาคนจำนวนหนึ่งไปที่สำนักแรกพยับ หากจำเป็นก็ทิ้งคนเฝ้าไว้จำนวนหนึ่งได้ หรือแฝงตัวอยู่บริเวณใกล้ๆ บางทีอาจเจอเบาะแสอะไร”
มู่จิ่วรับคำ “ข้าขอไปเตรียมตัวสักหน่อย แล้วจะจัดการตามนี้”
หลิวจวิ้นเรียกนางไว้ “ท่านผู้นั้นที่บ้านเจ้ายังไม่กลับมาหรือ?” หากลู่ยาอยู่ ต้องหาเขาพบอย่างรวดเร็วแน่
“ยังเลยเจ้าค่ะ” มู่จิ่วแบมือ “ข้าก็กำลังกังวลอยู่”
หลิวจวิ้นโบกมือให้นางออกไป
หลายวันนี้ด้านหนึ่งนางก็รอลู่ยา อีกด้านหนึ่งก็ตามหาเบาะแสของหลินเจี้ยนหรู
แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ได้เร่งด่วนนัก
ทางด้านทัพทหารสวรรค์เร่งมาก็ส่วนรัด ขอเพียงแค่เห็นพวกเจ้ามีการเคลื่อนไหว พวกเขาก็ไม่ได้เร่งรัดจนเกินไป แม้คดีนี้จะชวนให้ตื่นตกใจ กลับไม่นับว่าเป็นคดีสะเทือนฟ้าดิน
และหลิวจวิ้นยิ่งไม่ได้ร้อนใจ ในเมื่อนางที่มีลู่ยาเป็นที่พึ่งกลับมาแล้ว เขาจะกังวลไปทำไม?
จะชายชุดเขียวก็ดี คนชุดขาวก็ดี ลู่ยาก็เพียงถูกขวางไว้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น จะถูกเขาขัดขวางไปทั้งชีวิตหรือ? ลู่ยาเอาชนะเขาไม่ได้ เทพทั้งสามเหนือหัวขึ้นไปนั้นจะเอาชนะไม่ได้หรือไร? ดังนั้นเขาจึงสบายใจกว่าแต่ก่อนมาก เลิกงานเข้างานตามเวลาทุกวัน เวลาว่างยังนัดเพื่อนไปดื่มเหล้า
แน่นอนว่ายามเข้างานเขาก็ไม่เคยย่อหย่อน หากคดีสามารถคลี่คลายได้เร็วก็ดี หลายวันนี้จึงช่วยมู่จิ่ววิเคราะห์รูปคดีด้วย
หลังจากมู่จิ่วจัดม้วนคดีเสร็จ จึงพาพวกหลี่อี้ไปลาดตระเวนที่สำนักแรกพยับ
สำนักแรกพยับที่ได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวงเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมาก
ผู้คุมยอดเขาบัวหยกจีหมิ่นจวินแม่ลูกตายทั้งคู่ จีเพ่ยฟางได้รับบาดเจ็บสาหัส สายป่านของหลินเซี่ยเท่ากับว่าสิ้นสุดแล้ว
หลังจากที่เหล่าศิษย์จัดงานศพจีหมิ่นจวินและลูกเรียบร้อยแล้วก็ทยอยหนีลงจากเขาไป หากถามหลินเจี้ยนหรูว่าเกลียดที่ไหนมากที่สุด ก็คงไม่พ้นเขาบัวหยกแห่งนี้ ตอนนั้นมีใครบ้างที่ไม่ถ่มน้ำลายใส่หน้าเขาตอนอยู่บนเขา? มีใครบ้างไม่เตะเขาสักหลายครั้ง? ตอนนี้จีหมิ่นจวินถูกทำลายล้างตระกูลแล้ว ถ้าพวกเขาไม่หนีไป ไม่เท่ากับว่าอยู่รอความตายหรือ?
ดังนั้นเวลาเพียงเดือนเดียว ทั้งยอดเขาก็ว่างเปล่า ทุกที่มีแต่กลิ่นอายความสูญเสีย
หลังจากหัวชิงตายก็ไม่มีใครกล้าขึ้นรับตำแหน่งเจ้าสำนัก ถึงแม้เหล่าผู้อาวุโสจะมั่นใจในพลังของตนเองอย่างมาก ไม่กลัวหลินเจี้ยนหรูมาล้างแค้น แต่ก็ไม่คิดอยากขึ้นเป็นเป้าสายตา ดังนั้นเรื่องในเขาบัวหยกจึงไม่มีใครเข้าไปยุ่ง เท่ากับปล่อยไปตามยถากรรม และพวกเขาก็ต่างคนต่างจัดการเรื่องของตัวเอง ปิดประตูสำนักแน่น นอกจากศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักเดิมมาเยี่ยม ไม่ว่าใครก็ไม่พบหน้าทั้งนั้น
ตอนพวกมู่จิ่วไปถึงสำนักจึงสิ้นเปลืองแรงมากมายไปเปล่า
หลินเจี้ยนหรูขึ้นเป็นผู้อาวุโสได้เพราะมีหัวชิงสนับสนุน ซึ่งก็ตรงตามที่เขาคิดไว้คืนนั้น หลังจากเกิดเรื่องแล้ว ทั้งสำนักแรกพยับต่างกล่าวโทษมาทางเขา ถึงแม้เขาถูกเหลียงชิวฉานฆ่าตาย แต่ในการฝังศพ แม้แต่หลิวเติงเจินเหรินที่เขาตั้งใจจะให้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ ก็ยังไม่ให้การปฏิบัติในระดับที่คนเป็นเจ้าสำนักสมควรได้ เพียงแค่เลือกฝังร่างเขาไว้สักที่ตรงบริเวณฝังร่างของเจ้าสำนักรุ่นก่อนๆ
มู่จิ่วค่อนข้างเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้แล้ว จากนั้นก็ทิ้งคนไว้เฝ้าสำนักแรกพยับสักหลายคน ก่อนจะไปสุสานที่อยู่ทางตะวันตกของสำนักแรกพยับ
ทางตะวันตกของสุสานฝังร่างของครอบครัวจีหมิ่นจวินทั้งสี่คนไว้ รวมถึงหลินเซี่ยด้วย แต่ร่างของจีหย่งฟางกลับทิ้งไว้ที่หลุมตัดวิญญาณ
ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิพอดี เวลาเพียงเดือนกว่า ยอดอ่อนหญ้าก็งอกขึ้นบนดินหลุมศพเต็มไปหมด
นอกจากร่องรอยการฝังศพแล้ว ก็ไม่มีร่องรอยว่าช่วงนี้มีใครมาอีก
แบบนี้แสดงว่าหลินเจี้ยนหรูน่าจะยังไม่เคยกลับมา
นางสั่งให้หลี่อี้ทิ้งคนไว้สักหลายคน ก่อนกลับสวรรค์ไป
มู่จิ่วไม่ใช่ไม่รู้ว่าการทำแบบนี้จะแหวกหญ้าให้งูตื่น หลินเจี้ยนหรูระมัดระวังตัวขนาดนั้น เขายังไม่มีความสามารถล้างบางทั้งสำนักแรกพยับ หากเขาต้องการทำจะต้องมาสืบหาข้อมูลก่อน หากรู้ว่าพวกหลี่อี้อยู่ สักครึ่งต้องไม่ลงมือแน่
แต่นางก็ยังคิดจะทำเช่นนี้
บางทีในใจลึกๆ นางคงยังหวังให้เขาหวาดกลัวแล้วหนีไป กลับตัวกลับใจก่อนจะสาย
แน่นอน นางไม่ยอมใช้คนของสำนักแรกพยับเป็นเหยื่อล่อเขา นางไม่คิดจะจับเขาอย่างจริงจัง หากเลี่ยงไม่ได้ก็คิดอยากเผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมา นางคิดว่าเขายังควรได้รับเกียรติเช่นนี้
ยุ่งอยู่แบบนี้หลายวัน ตอนหลังค่อยผ่อนคลายลงหน่อย
แต่ลู่ยาก็ยังไม่กลับมา นางเริ่มร้อนใจบ้างแล้ว
นี่ไม่เหมือนกับเขาเลย หากไม่มีเรื่องเกิดขึ้นเขาจะต้องส่งข่าวกลับมาแน่นอน!
วันนี้มู่จิ่วสั่งให้ซ่างกวนสุ่นไปดูที่หงชาง ตอนค่ำเพิ่งกลับจากหน่วยงาน นางที่ยังอยู่ด้านนอกก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยจากในบ้านดังเข้ามา “…ฝึกฝนเป็นอย่างไร? ทั้งสองคนมีใครแอบอู้บ้าง?”
มู่จิ่วตื่นเต้นดีใจ ก้าวเท้าเข้าประตูไป!
“ลู่ยา!”
ลู่ยาสวมชุดขาวนั่งขัดสมาธิอยู่บนเสื่อใต้ต้นท้อในลานบ้าน ผมยาวดำขลับถูกรวบเป็นมวย กลิ่นไม้กฤษณาอ่อนๆ ลอยมาตามลม ไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใคร?!
นางวิ่งเข้าไปกอดเขาไว้แน่น “ในที่สุดเจ้าก็กลับมา!”
ลู่ยาถูกนางกอดแบบนี้ก็พลันรู้สึกแสบร้อนตรงจมูก มือทั้งสองกอดนางไว้ “รอข้าจนร้อนใจแล้วใช่หรือไม่?”
“เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ!” นางยืนขึ้นมา มือก็ทุบไปที่อกเขาไม่หยุด พูดเสียงดังว่า “หากเจ้ายังไม่กลับมาอีก ข้ากลัวว่าข้าจะจำเจ้าไม่ได้แล้ว!” ความตื่นเต้นจากการที่ได้เจอกันอีกครั้ง ทำให้นางลืมไปว่ารอบข้างยังมีคนอยู่อีกมาก “ข้ามีเรื่องสำคัญมากจะบอกเจ้า เจ้าไม่รู้หรอกว่าหลายวันนี้ข้าเจออะไรมาบ้าง!”
“พี่สาว! เมื่อเช้าอาจารย์กลับมาก็ถามถึงท่านก่อนเลย ทั้งยังเอาดอกไม้มาให้ท่านมากมายด้วย!”
อาฝูทนไม่ไหว พูดแทรกขึ้นมา
“จริงหรือ?” มู่จิ่วรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ รีบวิ่งกลับไปที่ห้อง มองไปก็เห็นว่ามีดอกโบตั๋นเสาเย่ากลิ่มหอมสีสดมากมายปักอยู่ในแจกันบนโต๊ะ
ลู่ยาเดินตามเข้ามา “หลายวันก่อนข้าอยู่ที่หงชาง ใครจะรู้ว่าศิษย์พี่หญิงของข้าจะเรียกข้ากลับไปจัดการงานบางอย่าง ดังนั้นจึงเสียเวลาไปนานขนาดนี้ ดอกไม้นี้เก็บมาระหว่างทางในวังของนาง เจ้าพอใจหรือไม่?”
“ดีมาก ดีมาก!” แม้มู่จิ่วจะไม่ใช่คนรักสวยรักงาม แต่เด็กสาวที่ไหนจะไม่ชอบดอกไม้บ้าง ด้วยเหตุนี้จึงดีใจยิ่งนัก
ลู่ยามองนาง ยกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
…………………………………..
บทที่ 373 ฉงนสงสัย
โดย
Ink Stone_Romance
เมื่อผ่านความกังวลแรกไปได้แล้ว
ลู่ยาผ่อนคลายลง นั่งลงเอ่ยอยู่ข้างหลังนาง “เอาละ ตอนนี้บอกข้ามา ช่วงนี้เจ้าเจออะไรมาบ้าง?”
เมื่อมู่จิ่วได้ยินก็รีบหันหน้าจากดอกไม้มาหาเขาเพื่อตอบ “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
พูดจบ นางก็เล่าเรื่องหลังจากที่เขาจากไปให้ฟัง เรื่องที่ถูกสั่งไปทำคดีที่สำนักแรกพยับ เรื่องที่หลินเจี้ยนหรูเริ่มฆ่าคน ทั้งเรื่องที่นางถูกชายชุดเขียวพาตัวไปในช่วงเวลาคับขัน
“เขาบอกว่าเขาอยู่ที่คลื่นจิตพสุธา ทั้งยังบอกว่าเรื่องที่ทำไว้ทั้งหมดก็เพื่อช่วยให้หกวิญญาณผ่านด่านเคราะห์ได้ แต่ข้าไม่เชื่อ หากเขาเป็นคนดี คิดจะช่วยหกวิญญาณเท่านั้น ทำไมเขาต้องทำเรื่องไม่สมเหตุสมผลเหล่านั้นด้วย? ทั้งเรื่องความรักสามเส้าของเฟยอี เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลอ๋าวและตระกูลอวิ๋น ยังมีหลินเจี้ยนหรูอีก ข้าไม่เชื่อว่าเป้าหมายของเขาจะเรียบง่ายเพียงแค่นั้น”
นางมองลู่ยา ใบหน้าที่ผ่อนคลายเมื่อครู่ตึงเครียดขึ้นมา
ลู่ยาพูดเรียบๆ “เรื่องอื่นไม่อาจพูดได้ แต่ในเมื่อเขายังช่วยเจ้าควบคุมพลังวิญญาณในร่าง คำพูดนี้คงเชื่อถือได้หลายส่วน ส่วนเขาก่อเรื่องเหล่านี้ขึ้นเพื่อจุดประสงค์อะไร ไม่แน่ว่าเขาอาจมีเรื่องที่ยากจะเอ่ยก็ได้? พวกเราไม่ควรเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่นมาก เพียงเขาไม่ได้ทำเรื่องชั่วช้า ไม่ทำลายวิถีฟ้าก็พอแล้ว”
“แต่ไม่รู้ว่าเขาพาเฟยอีไปไว้ไหนแล้ว ทั้งยังทำให้อู่เต๋อถูกตัดรากฐานเซียน แล้วแยกเหลียงจีกับซื่ออินจากกันไปหลายร้อยปี เรื่องเหล่านี้ไม่นับว่าทำลายวิถีฟ้าดินหรือ?”
“ไม่อาจมองแค่ผิวเผินได้ เขาไม่ได้ทำเรื่องผิด ข้าก็ไม่สามาถทำอะไรเขาได้ อย่างเช่นหลินเจี้ยนหรู ถึงแม้ข้ารู้ว่าตนมีรากฐานมาร แต่เขาไม่ได้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ข้าก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้” ลู่ยาแบมือ “เราไม่อาจตัดสินว่าเขาจะทำเรื่องไม่ดีแน่ๆ จากการที่เขาดูไม่เหมือนคนดี แล้วทำลายเขาโดยไม่แยกแยะถูกผิด”
มู่จิ่วจับจ้องเขา กลั้นหายใจอยู่นานก่อนเอ่ย “ทำไมข้ารู้สึกเหมือนเจ้ากำลังช่วยเขาพูดอยู่? เจ้ารู้จักเขาหรือ?”
ลู่ยาชะงักเล็กน้อย พูดทั้งที่สีหน้าไม่เปลี่ยนว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้าไม่เคยเจอเขาด้วยซ้ำ จะรู้จักได้อย่างไร?”
มู่จิ่วเลิกคิ้ว “เจ้าไม่รู้จักเขา เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขามีเรื่องยากจะเอ่ย?”
“ข้าเพียงคาดเดาเท่านั้น” ลู่ยาตอบช้าๆ
มู่จิ่วมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะโน้มตัวไปเหนือโต๊ะ “หลายวันมานี้เจ้าไปทำอะไรมาบ้าง?”
“อ้อ” ลู่ยาหยิบลำไยบนถาดขึ้นมาปอก ก่อนตอบ “ศิษย์พี่หญิงบอกว่าของวิเศษของนางเสียหายหลายชิ้น ต้องการให้ข้าซ่อม ตอนที่ข้าซ่อมอยู่ศิษย์พี่ใหญ่ของข้ากลับมาพอดี จากนั้นก็ไถ่ถามว่าช่วงนี้ทำอะไรมาบ้าง ห้ามไม่ให้ข้าวิ่งวุ่นไปทั่ว ข้าต้องสงบเสงี่ยมเอาใจเขาอยู่หลายวัน ถึงจะหาโอกาสกลับมาได้”
มู่จิ่วมองมือที่ปอกลำไยของเขา พลันลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไป หยิบเอาถาดที่ใส่ลูกสนมาจากในครัว ส่งให้เขาก่อนว่า “เจ้าปอกอันนี้”
“ข้าไม่ชอบกินลูกสน”
“ข้าไม่ได้ให้เจ้ากิน ให้เจ้าปอก” มู่จิ่วพูด
ลู่ยาจับจ้องที่ถาดอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยหยิบลูกสนขึ้นมาขบอย่างช้าๆ
มู่จิ่วจ้องเขาขบไปสิบลูก ถึงได้นั่งกลับลงไปทีละนิด
ชายชุดเขียวใช้มือเปล่าปอกลูกสน แต่ลู่ยาใช้ฟันขบ…จุดนี้ไม่เหมือนกัน
หรือเป็นนางที่สงสัยมากไป?
“พอหรือยัง?” ลู่ยาชี้ไปที่กองเปลือกลูกสนบนโต๊ะ
มู่จิ่วโบกมือ ยืนขึ้นด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
นางรู้ว่าลู่ยากับชายชุดเขียวไม่อาจเป็นคนเดียวกันได้ แต่บางครั้งนางกลับรู้สึกแปลกๆ อย่างเช่นตอนอยู่กับลู่ยาจะรู้สึกว่าเขาดูเหมือนชายชุดเขียว ตอนอยู่กับชายชุดเขียวก็รู้สึกว่าฝ่ายนั้นดูเหมือนลู่ยา…ที่จริงแล้วก็ไม่ได้ชัดเจนนัก ตอนที่มีความรู้สึกเช่นนั้น นางไม่รู้สึกว่าพวกเขาเหมือนกัน แต่หลังจากสงบใจคิด ความรู้สึกนี้กลับค่อยๆ ปรากฏขึ้น
อย่างเช่นตอนนี้ ลู่ยาไม่ได้ดูแปลกที่ตรงไหน นางกลับรู้สึกเหมือนไม่ได้ห่างจากเขาไปนานเท่าไหร่นัก และท่าทางของชายชุดเขียวที่มีต่อนางก็ใกล้ชิดเกินไปนิด เขาบอกว่าเขาชื่ออาลู่ บนโลกนี้คนที่ชื่อแซ่เดียวกันมีไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แต่ทำไมถึงได้บังเอิญชื่ออาลู่ ทั้งยังดูสนิทสนมกับนางอย่างไร้เหตุผลอีก?
“ลู่ยา เจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังข้าหรือไม่?” คิดถึงตรงนี้นางก็หันกลับมา มองเขาที่กำลังกินลำไย
“ไม่มี” ลู่ยาตอบทันทีอย่างไหลลื่นนัก
มู่จิ่วเชื่อเขา
ถึงแม้นางยังสงสัย แต่ก็ยังเชื่อคำพูดเขาอย่างไร้เงื่อนไข
ทำไมนางถึงรู้สึกแบบนั้นได้? แปลกเกินไปแล้ว
ลู่ยาจนรอนางออกจากห้องไป กลางฝ่ามือของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เขารู้ว่าไม่ง่ายนักที่จะปิดบังเรื่องนี้ นางเชื่อคนและเรื่องที่นางเชื่อมาก แต่ถ้าสงสัยแล้ว หากไม่สืบจนถึงแก่นก็จะไม่ปล่อยไปง่ายๆ เขาหวังเพียงว่าภายหลังบททดสอบเหล่านี้จะมีน้อยลงหน่อย มิฉะนั้นแล้วไม่ช้าก็เร็วเขาต้องถูกเปิดโปงแน่
บนโต๊ะในช่วงอาหารค่ำ มู่จิ่วกลับคืนสู่สภาวะปกติแล้ว นางช่วยเสี่ยวซิงทำกับข้าว นึ่งปลาให้ลู่ยา คลุกเต้าหู้กับใบกระวาน โต๊ะอาหารไม่ได้คึกครื้นแบบนี้มานานแล้ว ทุกคนดื่มเหล้ากันเล็กน้อย มีความสุขนัก
นางก็ไม่ได้จ้องจับผิดลู่ยาตลอดตามที่ใจสงสัย ด้วยไม่อยากให้เรื่องนี้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนาง สงสัยก็สงสัยไป ไม่มีหลักฐานแน่ชัด คาดเดาไปก็มีแต่ปวดหัวเปล่าๆ
คืนนี้ทั้งสองพูดคุยกันอยู่บนระเบียงเปิดโล่งถึงครึ่งค่อนคืน วันถัดมานางก็ไปหาเขาเพื่อให้ช่วยหาที่อยู่ของหลินเจี้ยนหรู
ลู่ยาหวังว่านางจะคลี่คลายคดีและสะสมบุญกุศลได้โดยเร็ว ดังนั้นจึงให้ความร่วมมืออย่างดี
แต่เขาไม่สามารถบอกที่อยู่ของหลินเจี้ยนหรูกับนางได้ ทั้งหมดยังต้องดำเนินตามแบบเดิมไปก่อน
ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วจึงไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ให้เห็น
เขาไม่อาจบอกที่อยู่หลินเจี้ยนหรูได้ มู่จิ่วก็ยิ่งสงสัยว่าเป็นฝีมือของชายชุดเขียว นางให้เขาพานางไปคลื่นจิตพสุธา ลู่ยาบอกว่า “พลังบำเพ็ญของเจ้าเล็กน้อยเพียงนั้น ขืนไปก็ได้สลายเป็นเถ้าถ่าน? ข้าไม่ยอมให้เจ้าไปเสี่ยงแน่” ในความเป็นจริง นางเป็นบุตรีแห่งหกวิญญาณ ถึงแม้มาเกิดใหม่จะยังไม่กลายเป็นเซียนแม้แต่นิด หกวิญญาณก็ไม่ทำร้ายนาง ดังนั้นจึงสามารถเข้าออกได้อย่างปลอดภัย
มู่จิ่วพูด “ข้าอยู่ที่นั่นถึงครึ่งเดือนก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”
“มิใช่เจ้าบอกว่ามีชายชุดเขียวปกป้องเจ้าอยู่หรือ?” ลู่ยาตอบนางอย่างคล่องปาก
มู่จิ่วจ้องเขา พูดอีกว่า “ข้าเพิ่งรู้สึกว่าพักนี้เจ้าไม่ค่อยหึงแล้ว? แล้วก็ไม่สงสัยด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างช่วงที่ข้าอยู่กับเขาที่คลื่นจิตพสุธาตั้งครึ่งเดือน? ข้าจะบอกเจ้าให้ หน้าตาของชายชุดเขียวผู้นั้นไม่เลวเลย”
“ข้าต้องหึงแน่นอน แต่ข้าเลือกที่จะไว้ใจเจ้า” ลู่ยาหันหน้าเข้าหานาง กระดองเต่าสองแผ่นหมุนอยู่ในมือ
มู่จิ่วยอมแพ้
หรือว่านางจะสงสัยมากไปเอง?
ยามกลางคืนไม่มีอะไรทำจึงไปคุยกับเสี่ยวซิง เสี่ยวซิงไม่ได้สังเกตลู่ยามากเท่าที่นางเป็น เมื่อครุ่นคิดดีๆ ก็ไม่เห็นว่าจะมีตรงไหนแปลกไป เพียงตอบว่า “แบบนี้ไม่ดีกระมัง ไม่ทันไรก็หึง ยุ่งยากนัก ข้าเห็นก็เหนื่อยแล้ว”
พูดแบบนี้ก็มีเหตุผล ดังนั้นมู่จิ่วจึงทิ้งเรื่องนี้ไป
เสี่ยวซิงเห็นนางล้มเลิกความคิดไปแล้ว เมื่อคิดๆ ดูจึงวางเสื้อที่กำลังพับอยู่ ก่อนเดินเข้ามาพูดกับนาง “ตอนที่เจ้าไม่อยู่ก่อนหน้านี้ มารดาของซ่างกวนสุ่นมา”
………………………………
บทที่ 374 เรื่องรักของหนุ่มสาว
โดย
Ink Stone_Romance
“หืม?” มู่จิ่วที่กำลังเก็บกวาดโต๊ะเครื่องแป้งเงยหน้าขึ้นมา คนตระกูลซ่างกวนมาเยี่ยมไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลเขาอยู่ที่นี่ แต่ทุกครั้งคนที่มามักจะเป็นพ่อ แต่ไหนแต่ไรแม่ของเขาไม่เคยมาคนเดียว “เกิดเรื่องอะไรขึ้นในบ้านหรืออย่างไร?” จากความเคยชินในการงาน นางจึงพูดแบบนี้
“ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอก นางบอกว่าแค่มาดูๆ เท่านั้น” เสี่ยวซิงนั่งลงเป็นเพื่อนนาง จากนั้นหยิบกำไลหยกถนอมจิตออกมาจากแขนเสื้ออย่างลังเล ก่อนเอ่ย “นางดึงข้าเข้ามาพูดด้วยสักพัก จากนั้นก็นำสิ่งนี้ให้ข้า ข้าไม่อยากได้ นางก็ใส่เข้ามาที่ข้อมือข้า บอกว่าเพียงแค่แสดงความจริงใจ จิ๋วจิ่ว เจ้าว่านางหมายความว่าอย่างไร?”
มู่จิ่วมองกำไล ตะลึงไปเช่นกัน
เมื่อหยิบขึ้นมาดู ในกำไลมีสีแดงเจืออยู่ มองดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา
“นางยังกล่าวอะไรอีกหรือไม่?”
“ไม่มีแล้ว เพียงแค่ถามเรื่องทั่วไป ทั้งยังถามว่าซ่างกวนสุ่นได้ก่อปัญหาอะไรหรือไม่? รู้สึกว่าเขามีนิสัยเสียอะไรที่ทนไม่ได้หรือเปล่า? แล้วบอกว่านางให้เขาเปลี่ยนได้ ข้ารู้สึกว่าประหลาดนัก มิใช่ว่าซ่างกวนสุ่นก็ซุกซนเป็นแบบนั้นมาตลอดหรือ?” เสี่ยวซิงเบิกตากลมโต ดูออกเลยว่าปัญหานี้คาใจนางมานาน
มู่จิ่วมองกำไล ราวกับครุ่นคิดอะไรออก จึงมองอีกฝ่าย “เช่นนั้นเจ้ารู้สึกว่าซ่างกวนสุ่นเป็นเช่นไร?”
“พอใช้ได้ ถึงแม้ตอนแรกรู้สึกว่าเขาเสียงดังวุ่นวายไปหน่อย แต่ที่จริงยังมีข้อดีอีกมาก พูดชัดๆ คือไม่ได้มีนิสัยเสียอะไรที่รับไม่ได้” เสี่ยวซิงพูดพลางคิด
“เขารู้เรื่องนี้หรือไม่?” มู่จิ่วมีแผนในใจ ถามไปอีก
“รู้สิ พอแม่เขาไปข้าก็ไปคุยกับเขา ใช่แล้ว ซ่างกวนฮูหยินยังบอกว่าอีกหน่อยจะมาเยี่ยมเจ้าด้วย” เสี่ยวซิงทำหน้าตาจริงจัง
มู่จิ่วพยักหน้าครุ่นคิด มุมปากยกขึ้นอย่างอดไม่ได้
ซ่างกวนฮูหยินต้องไม่วุ่นวายมาถึงสวรรค์เพื่อพูดคำพวกนี้กับเสี่ยวซิงแน่ ทั้งยังเลือกตอนที่นางไม่อยู่ด้วย สักแปดส่วนต้องถูกตาต้องใจเสี่ยวซิงจนอยากได้เป็นสะใภ้
และตระกูลซ่างกวนอยู่ไกลถึงเขาเนินอาราม จะโผล่มาที่นี่กะทันหันได้อย่างไร? สักแปดส่วนต้องเป็นซ่างกวนสุ่นบอกให้มา เขามักจะพูดมากอยู่เสมอ ในใจมองเสี่ยวซิงอย่างไร ย่อมต้องบอกคนที่บ้านไปนานแล้ว พอดีแม่ของเขาตั้งใจมาเพื่อดูแทนลูกชาย ดูจากกำไลนี่แล้ว ท่าทางจะพอใจไม่น้อยเลย
แน่นอน ในเมื่อเป็นคนที่ลูกชายตั้งใจเลือกเอง ในฐานะที่เป็นแม่แล้ว นอกจากยินดีด้วยจะทำอย่างไรได้อีก?
ตอนนี้ดูท่าทางของเสี่ยวซิง ถึงแม้ยังไม่เข้าใจนัก แต่อย่างน้อยก็ไม่รังเกียจซ่างกวนสุ่น เกรงว่าจะมีความสนใจอยู่เล็กน้อย และถึงแม้ซ่างกวนสุ่นอารมณ์ร้าย ปากก็ร้าย แต่กลับว่านอนสอนง่ายเมื่ออยู่ต่อหน้าเสี่ยวซิง เวลาปกติมักยอมให้นาง ดูแบบนี้พวกเขาทั้งสองอยู่ด้วยกันก็ไม่มีอะไรไม่ดี
แต่การเป็นคนรักกันนั้นคือเรื่องหนึ่ง เรื่องแต่งงานเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ตอนนี้เสี่ยวซิงยังไม่โตดี รูปร่างน่าจะอายุราวๆ สิบสามสิบสี่เท่านั้น พูดเรื่องนี้ตอนนี้ไม่เร็วไปหน่อยหรือ?
อีกอย่างเสี่ยวซิงยังเป็นเพียงปีศาจ ส่วนนกต้าเผิงแห่งเนินอาราม แม้จะถูกเตะออกจากเผ่าหลัก แต่เลือดของเผ่าเทพในกายก็ไม่เปลี่ยน หากแต่งงานกับซ่างกวนสุ่นเร็วเกินไป จะไม่เป็นประโยชน์กับเส้นทางบำเพ็ญเป็นเซียนของนาง อีกอย่างต่อให้ซ่างกวนสุ่นจะค้านหัวชนฝา ตระกูลซ่างกวนก็คงไม่เห็นด้วยที่จะแต่งปีศาจตัวหนึ่งเข้าตระกูลกระมัง?
นางไม่ได้พูดอะไรกับเสี่ยวซิงอีก เพียงให้นางเก็บกำไลไป ตกกลางคืนจึงเรียกซ่างกวนสุ่นออกมาตรงป่าไผ่ด้านนอก
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ถึงให้แม่ของเจ้าเอากำไลมาให้เสี่ยวซิง?”
ซ่างกวนสุ่นหน้าแดง พูดเสียงแข็งว่า “จะมีความหมายอย่างไรได้? ก็แค่มาดูเฉยๆ”
“เสี่ยวซิงยังเล็กนัก เจ้าอย่าคิดทำอะไรพิเรนทร์!” มู่จิ่วเตือนเขา
“พิเรนทร์อะไร ยอมให้พวกเจ้าคู่ชายหญิงสนิทสนมกัน แต่ไม่ยอมให้พวกเรามีความรักในวัยเด็กหรือ?” ซ่างกวนสุ่นค้าน
“ความรักในวัยเด็ก?” นางฟังไม่ผิดใช่หรือไม่!
“ไม่ใช่หรือ?” เขากระแอม “ข้าอายุเก้าพันปี นางอายุห้าร้อยปี ห่างกันไม่มาก ตอนนี้พวกเรานับได้ว่าเป็นความรักในวัยเด็ก!”
ห่างกันแปดพันห้าร้อยปีนี่เรียกว่าห่างกันไม่มากหรือ?
มู่จิ่วอยากโวยวายกลับไปนัก แต่เมื่อมองตาที่จับจ้องมาก็กลืนคำพูดลงไป คนที่ตกอยู่ในห้วงความรักล้วนเป็นคนโง่เง่า นางไม่จริงจังกับคนโง่เช่นนี้จะดีกว่า นางคิดๆ แล้วก็พูด “ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอะไร? ถ้าจะแต่งงานข้าไม่อนุญาต! มันยังเร็วไปสำหรับเสี่ยวซิง นางยังต้องบำเพ็ญเป็นเซียน”
“ใครบอกว่าจะแต่งงานตอนนี้? ข้าเพียงอยากหมั้นไว้ก่อน!”
ซ่างกวนสุ่นเหมือนเปิดอก พูดเสียงดังขณะหน้าแดง “ตอนนี้เจ้าสะสมบุญกุศลใกล้ครบแล้ว เมื่อสะสมบุญกุศลครบก็เลื่อนขั้นเป็นเซียนได้ หลังจากเป็นเซียนเจ้าก็จะแต่งงานกับลู่ยา ถึงตอนนั้นเสี่ยวซิงจะเป็นอย่างไร? ข้าแค่อยากให้นางรู้ว่านางมีบ้านให้กลับ ถึงแม้จะไม่สามารถติดตามเจ้าไปสวรรค์อันสูงส่ง นางก็ไปอยู่ที่เนินอารามได้! ไม่ต้องกลับไปยังป่าให้โดนปีศาจตัวอื่นรังแกอีก!”
คำพูดของเขาทิ่มแทงลงไปกลางใจมู่จิ่วทันที
เขาคิดแทนเสี่ยวซิง…
มู่จิ่วไม่คิดเลยว่าเขาที่ปกตินางมองว่าเป็นชายหยาบกระด้าง กลับมีความคิดที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ มิใช่อย่างที่เขาพูดหรือ หลังจากนางกลายเป็นเซียนแล้ว เป็นไปได้มากว่าจะติดตามเคียงคู่ลู่ยาไป อาฝูกับรุ่ยเจี๋ยเป็นศิษย์ของเขาย่อมต้องติดตามไปด้วย แต่เสี่ยวซิงเล่า? นางเป็นเพียงปีศาจที่อายุห้าร้อยปีเท่านั้น ถึงแม้จะมีอายุยืนยาว ทว่าอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายพันปีถึงจะสำเร็จเป็นเซียน
ตามหลักเหตุผลแล้ว ปีศาจตัวหนึ่งไม่สามารถขึ้นไปยังชั้นสวรรค์อันสูงส่งได้ แน่นอนว่ามู่จิ่วไม่เคยคิดทิ้งเสี่ยวซิง นางคิดแทนมาตลอดว่าเสี่ยวซิงไม่อาจไปจากข้างกายนางได้ และนางก็ไม่อาจไปจากเสี่ยวซิงได้ ดังนั้นจึงไม่เคยคิดเลยว่าในอนาคตจะเตรียมการให้อย่างไร เพราะไม่ว่านางจะอยู่ที่ไหน เสี่ยวซิงก็อยู่ที่นั่นมิใช่หรือ?
แต่คำพูดนี้ของซ่างกวนสุ่น ทำให้นางได้เห็นใจจริงของเขาอย่างแท้จริง
ชายที่หยาบกระด้างเช่นเขา นึกไม่ถึงว่าจะคิดได้รอบคอบเช่นนี้
เวลานั้น นกต้าเผิงที่ไม่ยอมเป็นสองรองใครก็ดูรื่นหูรื่นตาขึ้นมา
นางจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “เจ้าคิดมากไปแล้วกระมัง? เสี่ยวซิงจะไปจากข้าได้อย่างไร?” ไม่รอให้เขาพูด มู่จิ่วพูดต่อทันที “แต่หากพวกเจ้าสองคนคิดดีแล้วละก็ สามารถพิจารณาเรื่องหมั้นหมายกันได้ แต่ก็ยังยืนยันคำนั้น หากนางยังไม่สำเร็จเป็นเซียน พวกเจ้าห้ามแต่งงานกัน และก็ห้ามข้ามขั้นตอนด้วย”
มิเช่นนั้นแล้วเสี่ยวซิงคงเสียเปรียบแย่
ซ่างกวนสุ่นไม่นึกเลยว่ามู่จิ่วจะยอมรับได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ เดิมทีคิดว่านางจะไม่เห็นด้วย ถึงได้อาศัยช่วงที่นางไม่อยู่ให้แม่ขึ้นมาบนสวรรค์ นับได้ว่าเปิดเผยแล้ว เมื่อตอนนี้มีคำพูดนี้ของนางอีก กระทั่งความคิดที่จะเข้าไปกอดนางก็ผุดขึ้นมาแล้ว “เพียงแค่เจ้าไม่ขัดขวางข้ากับนาง ข้ารับปากเจ้าทุกเรื่อง!”
มู่จิ่วยกมุมปาก กอดอกเดินจากไป
นางจะมีสิทธิ์ไปขวางพวกเขาได้อย่างไร นางไม่ใช่พ่อแม่หรืออาจารย์ของนาง หากเสี่ยวซิงไม่ค้านอะไร นางจะคัดค้านได้หรือ? แน่นอน ก่อนอื่นเลยคือความเต็มใจของเสี่ยวซิง หากเสี่ยวซิงไม่ยอม เกรงว่าต่อให้อีกฝ่ายเป็นลูกของอวี้ตีก็ไม่มีทางแน่
ในเมื่อเขาเพียงขอความสบายใจ เช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องกดดันขนาดนั้น
ให้พวกเขาค่อยๆ พัฒนาความรู้สึกต่อกันไปจะดีกว่า
……………………………
บทที่ 375 มีการเคลื่อนไหวแล้ว
โดย
Ink Stone_Romance
กล่าวทางด้านหลินเจี้ยนหรู หลังจากจัดการศพของเหลียงชิวฉานแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปทางสำนักแรกพยับ
เป็นอย่างที่หลิวจวิ้นว่าไว้ เขาคิดจะจัดการให้สิ้นซากจริงๆ
หากกล่าวว่าฆ่าคนไม่กี่คนมีโทษถึงตาย การฆ่าคนจำนวนมากก็มีโทษเดียวกัน แบบนั้นทำไมไม่ลากพวกมันทั้งหมดไปตายด้วยกันเลยเล่า?
เขาไปถึงสำนักแรกพยับ กลับพบอย่างรวดเร็วว่ามีคนของทัพทหารสวรรค์อยู่ ดังนั้นจึงซ่อนตัวทันที
เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น เขาคาดเดาได้อยู่แล้วว่าทัพทหารสวรรค์ต้องมีการเคลื่อนไหว และในเมื่อมู่จิ่วได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้มาทำคดีนี้ ยิ่งไม่ให้หละหลวมแน่ แต่เดิมเขาเข้าใจว่าพวกนั้นจะซุ่มอยู่ใต้เงามืด ทำแบบนั้นมิใช่ว่าจะทำให้เขาตกหลุมพรางได้ง่ายกว่าหรอกหรือ? กลับมาเฝ้าอยู่ที่นี่อย่างเอิกเกริกเช่นนี้ เขาจะลงมือหรือไม่ลงมือดี?
ก่อนจะขึ้นภูเขา เขาก็ได้สอบถามสถานการณ์ในสำนักแรกพยับมาแล้ว กระทั่งวางแผนไว้แล้วด้วยว่าจะเริ่มฆ่าจากที่ไหน
หากคนของทัพทหารสวรรค์หลบซ่อนอยู่ วิธีการของเขาก็จะต่างออกไป
ถ้าพวกเขาหลบซ่อนตัว แปลว่าต้องมาเพื่อจับตัวเขาแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นเขาจะไม่ปรานี
หลินเจี้ยนหรูไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว หากมีคนอยากทำลายเขา เขาก็จะตอบโต้กลับไปไม่ยั้งมือ
แต่พวกเขากลับอยู่ที่นี่อย่างเปิดเผย นี่เป็นสัญญาณบอกชัดเจนว่าคนของสวรรค์อยู่ข้างในมิใช่หรือ?
เขาไม่เข้าใจว่ามู่จิ่วต้องการอะไร
เขารู้ว่านางอยากฆ่าเขา วันนั้นอีกนิดเดียวเขาก็จะตายในเงื้อมมือนางแล้ว ตอนนี้มู่จิ่วกำลังบอกเขาว่านางไม่จำเป็นต้องหลบซ่อน ก็สามารถจับและสังหารเขาได้ใช่หรือไม่?
ไม่ใช่ นางมิใช่คนที่เหย่อหยิ่งถือดีเช่นนั้น
หรือนางกำลังบอกเขาว่าอย่ากลับมาอีก?
หลินเจี้ยนหรูถือกระบี่อยู่ที่ตีนเขา ใจที่เดิมทีหนักแน่นดุจหินผากลับสั่นคลอนเล็กน้อย
หากเขาเข่นฆ่าผู้คนทั้งที่รู้ว่าบนเขามีเจ้าหน้าที่สวรรค์อยู่ นั่นหมายความว่าเขาประกาศตัวเป็นปฏิปักษ์กับสวรรค์ เขามีคุณสมบัติอะไรไปเป็นปฏิปักษ์กับสวรรค์? ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเป็นเพียงครึ่งมารเลย ต่อให้เขาเป็นมารเต็มตัวแล้วก็ยังไม่สามารถต่อรกับสวรรค์ด้วยตัวคนเดียวได้
มู่จิ่วกำลังบอกให้เขาถอดใจแล้วเลิกราไปหรือไม่?
ใจที่ฮึกเหิมของเขาหายไปครึ่งหนึ่ง เขานั่งลงไป แหงนหน้าขมวดคิ้วมองท้องฟ้าจากรอยแยกของยอดต้นไม้
ตอนที่นางถือกระบี่หมายจะเอาชีวิตเขา เขาเห็นจิตสังหารในดวงตานางอย่างแน่ชัด และเขาก็ยอมรับแล้วว่าเขากับนางเป็นศัตรูกัน ถึงแม้มู่จิ่วจะเคยช่วยเขาหลายครั้ง หนำซ้ำเขายังมองนางเป็นคนที่ตนไว้ใจมากที่สุดนอกเหนือจากแม่ผู้ให้กำเนิด ทว่าตอนนี้เรื่องเหล่านี้กลับไม่มีความหมายแม้แต่น้อย!
ฐานะและจุดยืนของพวกเขาทำให้ไม่อาจร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ได้อีก นางคือเจ้าหน้าที่สวรรค์ผู้ผดุงความยุติธรรม แต่เขาเป็นผู้ร้ายที่ทำความชั่วไว้มากมาย เขาถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องตายภายใต้คมกระบี่ของนาง
แต่เวลานี้ นางกลับส่งสัญญาณบางอย่างให้เขา…
หากเขาต้องการรอดชีวิต บางทีตอนนี้เขาควรจะไปที่รอยต่อของหกภพ เข้าร่วมกับพวกที่โหดร้ายที่สุด รอยต่อของหกภพไม่อยู่ภายใต้การดูแลของสวรรค์ ด้วยวิชาอาคมและอำนาจของราชามาร หากต้องการปกป้องคนอย่างเขาก็เป็นเรื่องง่าย แต่เขาไม่รู้จักราชามาร ทั้งยังไม่ใช่คนเก่งกาจอะไร ราชามารจะช่วยเขาทำไม?
ในภพมาร เขาไม่ได้มีคุณค่าโดดเด่นอะไร
เช่นนั้นแล้ว ถึงแม้เขาไม่ไปหาราชามาร เพียงหลบซ่อนอยู่ในภพมารก็คงไม่เกิดเรื่องอะไร แต่แบบนี้ก็เท่ากับว่าเขาไม่อาจย้อนกลับมาได้อีกแล้ว ชีวิตที่เหลือของเขาต้องอยู่กับพวกปีศาจมาร ต่อไปเขาต้องทำเรื่องที่ตนไม่อยากทำ ต้องฆ่าคนที่ไม่เคยทำร้ายตนมาก่อน ทว่าจนถึงตอนนี้ เขาก็ไม่อยากมีชีวิตที่จมดิ่งลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หากเป็นเช่นนี้ มิสู้ตายตกไปกับสำนักแรกพยับเสียเลย
เขาต้องการฆ่าคนสำนักแรกพยับทุกคน เพราะพวกนั้นต่างก็มอบความทรงจำอันเจ็บปวดให้เขาไม่มากก็น้อย ซึ่งต่างกับถ้าเขาไปยังภพมาร และแตกต่างจากการทำตามกฎของภพมารด้วย สิ่งนี้มีความแตกต่างโดยเนื้อใน
หากไม่ถึงกับไร้หนทาง เขาคงไม่คิดจะตาย
ตอนที่เหลียงชิวฉานตายเพื่อเขา เขาก็เข้าใจแล้วว่าไม่ใช่ทุกคนบนโลกนี้ที่อยากให้เขาตาย นางใช้ชีวิตของตนเองแลกกับโอกาสหลบหนีของเขา มู่จิ่วเด็ดขาดขนาดนั้น ตอนนี้กลับยังเตือนไม่ให้เขากลับมาอีก…ถึงแม้เดิมทีนางอาจไม่ได้ต้องการแบบนี้ แต่พวกหลี่อี้ยังอยู่ด้วย อย่างน้อยเขาก็ต้องกังวลอยู่บ้างมิใช่หรือ?
ถ้าบอกว่าแรกพยับมอบเพียงความเย็นชาและเจ็บปวดให้เขามาตลอด เช่นนั้นพวกนางสองคนก็คือความอบอุ่นอันบริสุทธิ์ที่สุดท่ามกลางความหนาวเหน็บนี้
มือที่กุมกระบี่ของเขาพลันคลายออก
บางทีเขาอาจจะยังอำหิตไม่พอ เลือดเย็นไม่พอ
ในฐานะที่เป็นมาร เขาไม่ควรสนใจกระทั่งเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ถึงจะถูก
หลินเจี้ยนหรูเหลือบตามองถ้ำที่อยู่ไม่ไกล กัดฟันแน่นก่อนเข้าไปหลบในนั้น
ถึงแม้เขาไม่อยากตาย แต่เขาก็ไม่มีหนทางถอยอีก ช้าเร็วต้องมีคนของทัพทหารสวรรค์หาเขาพบ ดีไม่ดีนอกจากสวรรค์แล้วยังมีคนของวังโตวลวี่ออกหน้า มีไท่ซ่างเหล่าจวินนำทัพ เขาก็หนีไม่พ้นอีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพวกอาวุโสในสำนักแรกพยับอีก เขาทำได้เพียงซ่อนตัวไปก่อน รอจนพวกหลี่อี้สลายตัวไปค่อยเข้าสังหารคนบนเขา
ภาระหน้าที่ของหลี่อี้ที่คอยปักหลักอยู่บนเขาคือคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวรอบด้าน ตอนนี้เขามองไปยังยันต์กันมารที่ผลุบโผล่บนหน้าผาฝั่งตรงข้ามเช่นปกติ มองแล้วสองตาก็เบิกโต พลันเรียกพลทหารที่อยู่ด้านข้างมา “รีบไปแจ้งแก่ใต้เท้ากัว ยันต์มีการเคลื่อนไหวแล้ว!”
มู่จิ่วได้รับข่าวตอนที่กำลังอาบน้ำให้อาฝูพร้อมกับรุ่ยเจี๋ย หลังจากได้ข่าวแล้วก็ตะลึงอยู่พักหนึ่งถึงได้ยืนขึ้น ซึ่งผิดจากที่พลทหารคาดการณ์ไว้
“รับทราบแล้ว”
นางตอบรับไปประโยคหนึ่ง จากนั้นราดน้ำลงบนตัวอาฝูอย่างไม่เร็วไม่ช้าเกินไปสองที ก่อนจะเช็ดมือและยืนขึ้นอย่างช้าๆ เดิมทีคิดจะทิ้งคดีนี้ ปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปของมันเอง ให้ความแค้นระหว่างแรกพยับกับหลินเจี้ยนหรูจบลงตรงนี้ หากภายหลังเขายังทำผิดอีก นางจับเขาในตอนนั้นก็จะได้ไม่รู้สึกผิด
ถึงแม้พูดแบบนี้จะดูไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่ แต่เขาแบกรับมามากเกินไปจริงๆ
นางที่เคยเป็นเพื่อนเขามาก่อนยากจะทำให้มันถูกต้องเที่ยงธรรมทั้งหมด การถ่วงเวลาในตอนนี้ก็เป็นทางเลือกที่ช่วยไม่ได้
แต่ใครจะรู้ว่าคนลิขิตไม่อาจสู้ฟ้าลิขิต ตอนนี้เขากลับมาจริงๆ การมาครั้งนี้ นางจำต้องเข้าไปจัดการ
นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางเพียงคนเดียวจะบงการให้เป็นไปได้ ถึงแม้นางมีใจอยากปกป้อง แต่เรื่องที่เขาควรเผชิญหน้าก็ต้องเผชิญหน้า
ครั้นเดินมาถึงประตู นางคิดอยากจะกลับไปเรียกลู่ยา แต่เมื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ล้มเลิกไป
หากลู่ยาไปด้วย เกรงว่าหลินเจี้ยนหรูจะถึงจุดจบจริงแล้วกระมัง?
เมื่อคิดดังนี้นางจึงส่งสัญญาณให้พลทหารแล้วเดินออกไป
เมื่อมาถึงแรกพยับ หลี่อี้รอต้อนรับนานแล้ว เขายืนอยู่ตรงประตูพลางชี้ไปยังยันต์กันมารที่ผลุบๆ โผล่ๆ บนภูเขา ก่อนเอ่ย “ใต้เท้าดู ยันต์นั้นเหมือนกับที่ท่านเคยพูดไว้ กะพริบต่อเนื่องมาหลายครั้งแล้ว!”
ยันต์กันมารนี้จะจับลมหายใจของหลินเจี้ยนหรู เพียงแค่เขาปรากฏตัวก็จะมีปฏิกิริยาทันที
พวกหลี่อี้ตื่นเต้นนัก สำหรับพวกเขาแล้วนี่เป็นเพียงคดีปกติเท่านั้น แต่การได้ร่วมคลี่คลายคดีใหญ่กับมู่จิ่วย่อมมีผลดีกับพวกเขาไม่น้อย คนเราล้วนชอบผลประโยชน์ พวกเขาไม่มีเส้นสาย ย่อมไม่อาจกล่าวโทษได้
……………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น