ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 371-372
ตอนที่ 371 พี่สาวใหญ่ตัวน้อย
ถอยทัพออกมาอย่างรีบร้อน ฝ่าบาทไม่ได้ทรงชุดเกราะเสียด้วยซ้ำ
บนร่างของพระองค์มีแต่เพียงฉลองพระองค์สีทองตัวบางเท่านั้น เนื่องเพราะเป็นยามดึกกระทั่งเส้นพระเกษาก็ปล่อยสยาย
พอผีดิบตัวนั้นโผเข้ามา ก็พุ่งเข้ากัดลำคอของจีเฉวียนอย่างคลุ้มคลั่ง
………………
คืนนี้ ตู๋กูซิงหลันตกอยู่ในฝันร้าย
นางตื่นขึ้นกลางดึก มีเหงื่อออกท่วมศีรษะ
ในความฝันจีเฉวียนหลั่งเลือดท่วมใบหน้า เนื้อหนังของเขาหายไปต่อหน้าต่อตานางทีละนิ้วๆ จนกลายเป็นเพียงกองกระดูกขาวในที่สุด
ใต้ร่างของนางมีแต่กองศพเป็นภูเขา กระดูกมากมายกองพะเนิน
เลือดนองไปทั่วทุกที่ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนทำให้นางแทบจมลงไป
ตู๋กูซิงหลันมีเหงื่อท่วมตัวจนแม้แต่ผ้าห่มยังเปียกชื้น
“จีเฉวียน” นางเอ่ยชื่อของเขาออกมา เกือบจะโผลุกจากเตียงลงไปแล้ว
หมอผีจากเผ่าอาปู้ไซ้ท่านนั้นช่วยเชื่อมต่อเส้นเอ็นให้นางมาหลายวันแล้ว ขาคู่นี้จึงใกล้จะเหยียบพื้นได้อีกครั้ง
แต่ก็แค่ยืนได้ครู่หนึ่งเท่านั้น หากจะเดินหรือวิ่งยังคงต้องใช้ระยะเวลาฟื้นฟูอีกพักใหญ่
คนอย่างตู๋กูซิงหลัน ปกติมักไม่เคยฝันร้าย
พอฝันร้ายขึ้นมาก็ไม่มีเรื่องดีอย่างแน่นอน
ในมือของนางเพิ่มยันต์แผ่นหนึ่ง พอดีดปลายนนิ้วก็ปรากฏดวงไฟสีน้ำเงินขึ้นมา
ยันต์แผ่นนั้นลุกโชนขึ้นมา หลังจากนั้นก็กลายเป็นอักษรควันสองตัวต่อหน้านาง ‘อันตราย’
ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็ลุกลงจากเตียง
แต่ขาก็อ่อนแรงลงไปทันที จนแทบจะทรุดลงไปบนพื้น
“พี่สาวใหญ่ตัวน้อย ดึกดื่นค่อนคืนเจ้าจะไปที่ไหนกัน?” วิญญาณทมิฬตื่นขึ้นมาเพราะนางเช่นกัน
“ไปแคว้นเหยียน” ตู๋กูซิงหลันเกาะเตียงเอาไว้ พยายามจะพยุงตัวเองขึ้นมา
ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียง
“ผั่วะ!” ติ๊งต๊องยกขาขึ้นมาถีบเพียงครั้งเดียวประตูก็เปิดออก
ขยับสองปีกส่ายสะโพกยื่นหน้าเขามาหานาง “กะ กะ กะต๊าก?”
พี่สาวตัวน้อยมีเรื่องจะให้มันไปทำหรือ?
อยู่แต่ในวังน่าเบื่อมาตั้งนาน จนมันเกือบจะขึ้นราอยู่แล้ว ที่สำคัญยังถูกกลิ่นมูลของราชาสุนัขป่ารมทุกวันจนไม่อยากอาหาร ดูสิมันผ่ายผอมลงไปตั้งมากแล้ว
แม้แต่ขนบนปีกก็ไม่ได้มันวาวเป็นประกายดุจเดิมเลย
“แบกข้าไหวหรือไม่?” ตู๋กูซิงหลันคว้าลำคอของมันเอาไว้
“กะ กะ กะต๊าก” ไม่มีปัญหาพี่สาวตัวน้อย อาเฮียแข็งแรงมากนะ
ติ๊งต๊องพึ่งจะส่งเสียงรับรอง ก็เห็นศีรษะที่ใหญ่โตของราชาหมาป่าโผล่เข้ามาในทันที
“บรู้วว์ว์” ราชาสุนัขป่าตะกุยเท้า แสดงออกว่าเรื่องเช่นนี้ให้เป็นหน้าที่ของมันดีกว่า
เจ้านายของวิญญาณทมิฬก็คือเจ้านายของมัน เพราะจะอย่างไรทั้งหมดก็ต้องเป็นครอบครัวเดียวกันในไม่ช้าอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นกลางฤดูหนาวเช่นนี้ มันมีขนหนา ร่างกายก็ใหญ่โต อบอุ่นกว่ามาก
ราชาสุนัขป่าทางหนึ่งตะกุยเท้า อีกทางก็จ้องมองวิญญาณทมิฬด้วยสายตาเป็นประกาย วิญญาณทมิฬหดตัว ส่ายหัวเงียบๆ ให้ตู๋กูซิงหลันอย่างรุนแรง
หากขึ้นหลังของเจ้านี่ นี่ก็มิเท่ากับว่าเอามันที่ตัวเล็ก อ่อนแอและบอบบางไปขายให้เปล่าๆ หรอกหรือ?
มันไหนเลยจะรู้ว่าสตรีเช่นตู๋กูซิงหลันนั้นไม่มีน้ำใจเลยสักนิด ตอบรับคำเชิญของราชาสุนัขป่าอย่างรวบรัดในทันที
นางฉวยชุดกระโปรงตัวหนึ่งมาสวมใส่ พอราชาสุนัขป่าคาบคอเสื้อเอาไว้ได้ก็เหวี่ยงนางขึ้นไปบนหลัง
ไม่มีใครรู้ว่าไทเฮาแห่งแคว้นต้าโจว เสด็จออกจากเมืองหลวงไปทั้งยามราตรี
นอกเสียจาก….ซูเม่ย
ซูเม่ยล้วงเอาสิ่งที่ซุกอยู่ในท้องออกมา เปลี่ยนเป็นชุดบุรุษสีแดง
ท่ามกลางแสงดาวระยิบ เสื้อผ้าและเส้นผมของเขาพลิ้วอยู่ในสายลม งดงามเย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก
เห็นเขาท่องคาถาบนริมฝีปาก เงาร่างสีแดงดุจลูกไฟก็พุ่งออกมา
นั่นเป็นจิ้งจอกไฟสีแดงที่มีเก้าหาง
งดงามอย่างยิ่ง!
ในยามค่ำคืน งดงามดุจปีศาจเย้ายวน
ซูเม่ยนั่งอยู่บนหลังของจิ้งจอกเก้าหาง ไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว
เขาพลาดจากนางสองครั้งแล้ว….ไหนเลยจะยอมพลาดจากนางอีกหน
แคว้นเหยียนอยู่ติดทะเล ลมทะเลพัดมาจากทะเลตะวันตก
พอพัดมาถึงแคว้นเหยียน ก็ทำให้เกิดความเปียกชื้นไปทั่ว
และเพราะตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาว ความชื้นนี้จึงเย็นเข้าไปถึงในกระดูก
ดินแดนสามส่วนของแคว้นเหยียนที่จีเฉวียนยึดได้ไปแต่แรกเชื่อมโยงถึงกันกินพื้นที่ถึงครึ่งหนึ่งของแคว้นเหยียน มองดูผิวเผินแทบจะเป็นผืนเดียวกันทั้งหมด
เพียงแต่ยิ่งเข้าใกล้ทิศทางเมืองหลวงของแคว้นเหยียนก็ยิ่งมีไอหยินเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้มีไอแห่งความตายที่เข้มข้นปะปนอยู่
แม้แต่ในอากาศก็ยังมีหมอกสีดำที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ข้างทางมีโครงกระดูกอยู่ไม่น้อย ถึงจะบอกว่าเป็นกระดูก ….แต่สิ่งที่ตายไปแล้วเหล่านั้นกลับยัง ‘มีชีวิต’
และท่ามกลาง ‘โครงกระดูก’ เหล่านั้น ก็ยังมี ‘ศพ’ มนุษย์ ทั้งๆ ที่ขาดวิ่นเป็นชิ้นแล้ว แต่ก็ยังแยกเขี้ยวกางเล็บปีนป่ายขึ้นมาอยู่ตลอด
ท่ามกลางฤดูหนาวแต่กลับมีแมลงวันเคลื่อนไหววนเวียนอยู่โดยรอบ วางไข่ลงบน ‘ศพ’ พวกนั้นอย่างไม่แยแส
ตู๋กูซิงหลันรู้ทันทีเลยว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว
สถานการณ์เช่นนี้……ในโลกก่อนนางก็เคยพบเห็นมาครั้งหนึ่ง
ในโลกเดิมของนางเรียกพวกมันว่า ‘ซอมบี้’
พวกมันแพร่เชื้อได้อย่างรวดเร็ว หากว่าควบคุมได้ไม่ทันการ ทั่วทั้งแผ่นดินก็จะถึงจุดจบ
ต่อให้เป็นนักพรตที่เก่งกาจ เมื่อต้องมาเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ก็ยังตึงมือยากลำบาก
นี่เป็นเชื้อโรคที่แพร่กระจายติดต่อกันทางร่างกายสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่พวกภูติผีปีศาจ ไม่ใช่เหล่าวิญญาณแค้นที่ยังพอจะควบคุมได้บ้าง
ต่อให้เป็นเหล่านักพรต หากว่าติดเชื้อเข้าไปแล้วก็ยังต้องกลายเป็นซอมบี้ไปเช่นกัน
ตอนนั้นขนาดเพียงแค่ซอมบี้กลุ่มเล็กๆ ยังทำให้รัฐบาลของประเทศแห่งหนึ่งต้องตัดสินใจระเบิดเมืองทั้งเมืองทิ้งไปเพื่อแลกกับความปลอดภัย
นางไม่รู้ว่าทำไมโลกมิตินี้ถึงได้เกิดสถานการณ์ระบาดเช่นนี้ขึ้นมาได้
ในใจของนางครุ่นคิดถึงแต่จีเฉวียน …..เขาอยู่ในเมืองจิงหวา…..
ตู๋กูซิงหลันบุกไปถึงเมืองจิงหวาอย่างรีบร้อนโดยมิได้หยุดพักผ่อนดื่มกินตลอดทาง
หากว่าโรคร้ายนี้ระบาดออกมาได้ถึงภายนอกแล้วล่ะก็ แสดงว่าภายในเมืองจิงหวาก็คงจะมิได้ดีกว่าสักเท่าไร
ในใจของนางเกิดความกังวลถึงสถานการณ์ที่แย่ที่สุดเอาไว้แล้ว
ต่อให้จีเฉวียนแข็งแกร่งเพียงไร แต่ว่าเมื่อต้องเผชิญกับฝูงซอมบี้นับพันนับหมื่น ต่อให้เป็นเขาก็นับว่าอันตรายอยู่ดี
ถึงเขาจะมีความสามารถอยู่กับตัว แต่นั่นก็เป็นวิชาที่ใช้ต่อสู้กับภูติผีปีศาจ ไม่ใช่สำหรับต่อสู้กับสิ่งที่อยู่นอกเหนือขอบข่ายพวกนี้
ตลอดทางที่มา ตู๋กูซิงหลันเองก็เผชิญกับการบุกเข้ามาโจมตีอย่างกระทันหันจากซอมบี้พวกนั้นอยู่ไม่น้อย
ครั้งนี้นางต้องพับยันต์เก็บไป เปลี่ยนเป็นใช้กำลังแทน
ก่อนออกเดินทางนางไปเบิกเอาธนูคันใหญ่มากจากจวนตระกูลตู๋กู นั่นเป็นธนูของเจียงเย่ว
ที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี ยังดีดุจเดิม
ตู๋กูซิงหลันเหมือนดั่งเครื่องยิงธนูที่ไร้จิตใจ ทุกครั้งล้วนยิงอย่างแม่นยำ ทะลวงศีรษะเหล่านั้นระเบิดไป
ซอมบี้เหล่านั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่ว่าก็ยังไม่เร็วไปกว่าธนูของนาง
ติ๊งต๊องยิ่งเก่งกล้าสามารถ อ้าปากขึ้นมาก็พ่นไฟใส่ ไม่สนว่าเจ้าเป็นคนหรือเป็นศพ เผาก่อนค่อยว่ากัน
มันนั่งกระพือปีกอยู่ด้านหน้าตู๋กูซิงหลันใช้ไฟสีทองเปิดทางให้กับนาง
ตลอดทางนี้ มีผู้หลบหนีเอาชีวิตรอดอยู่ไม่น้อย ต่างก็หนีเอาชีวิตรอดออกมาจากเมืองหลวงของแคว้นต้าเหยียน ตอนนี้กลับมองดูสาวน้อยผู้หนึ่งเดินทางสวนเข้าไปเพียงลำพัง
สายตาของนางมีแต่ความมุ่งมั่น นางยิงธนูได้อย่างแม่นยำ องอาจเสียยิ่งกว่าบุรุษหลายเท่า
ไม่มีใครรู้ว่าสาวน้อยผู้นี้มาจากที่ใด พวกเขาไม่มีโอกาสและไม่มีเวลาจะไถ่ถาม
ตอนนี้เมืองหลวงแคว้นเหยียนเป็นขุมนรกไปแล้ว พวกเขาไหนเลยจะยังมีเวลาไปสนอกสนใจเรื่องของผู้อื่น?
ยามที่ตู๋กูซิงหลันรีบรุดไปถึงเมืองจิงหวานั้น ก็เห็นที่นั่นมีแต่ซากปรักหักพัง
ทั่วทั้งเมืองถูกเผาทำลาย
พระเพลิงเผาผลาญทั้งเมืองอยู่หลายวันหลายคืน กระทั่งเมืองที่รุ่งเรืองถูกเผาทำลายไป
บนกำแพงเมืองยังมีธงสัญลักษณ์ของต้าโจวที่ยังไม่ร่วงลงมา
“สายไปแล้ว เขาไม่อยู่แล้ว” วิญญาณทมิฬสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสายตาของตู๋กูซิงหลันมีแต่ความเคร่งเครียด
…………………
ไรท์ (ตะโกนแทน) : ฉวนฉวน เจ้าอยู่ที่ไหน?
ตอนต่อไป “เจ้าคิดถึงเรามากขนาดนี้เชียวหรือ?”
ตอนที่ 372 เจ้าคิดถึงเราขนาดนี้เชียวห...
ตู๋กูซิงหลันหยุดอยู่ที่นั่นเนิ่นนาน สายตาของนางจับจ้องอยู่บนกำแพงเมือง ราวกับจะได้เห็นจีเฉวียนที่ยืนอย่างองอาจอยู่บนนั้น
นานพักใหญ่ นางถึงได้ก้มศีรษะลงมา ขยับข้อมือเบาๆ ก็เห็นว่าเส้นด้ายบนข้อมือนั้นยังอยู่
นี่เป็นด้ายที่จีเฉวียนเคยผูกเอาไว้ระหว่างพวกนางเมื่อนานมาแล้ว แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยถอดออก
ภายในขอบเขตระดับหนึ่ง ต่างก็สามารถรู้สึกถึงความคงอยู่ของอีกฝ่ายผ่านเส้นด้ายนี้
ด้ายแดงปรากฏแสง แสดงว่าเขาอยู่ห่างจากตนเองไปไม่ไกล
นอกเมืองจิงหวากลายเป็นดินแดนของซอมบี้ไปแล้ว คันธนูในมือของตู๋กูซิงหลันนับตั้งแต่ยกขึ้นมาก็ไม่เคยได้วางลงมาตลอด
ติ๊งต๊องพ่นไฟมาตลอดทางจนตอนนี้รู้สึกคอแห้งเสียแล้ว กระทั่งลำคอยังสำลักควันออกมา
ทำเอามันอยู่ๆ ก็รู้สึกว่าท่าทางเช่นนี้ไม่หล่อเหลาสักเท่าไร
“เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นชะตาชีวิตยิ่งใหญ่ ไหนเลยจะตายไปได้ง่ายๆ ไม่ต้องกังวลเกินไปหรอก” วิญญาณทมิฬยังคงปลอบตู๋กูซิงหลันต่อไป
ตอนนั้นที่ซื่อมั่วไปปราบพวกซอมบี้ ไม่เห็นนางจะมีท่าทีกังวลใจในตัวอาจารย์เท่านี้มาก่อน
ว่าแล้ว…..บุรุษที่รู้จักกล่าวคำพูดหวานหูย่อมมีน้ำตาลกิน
ตู๋กูซิงหลันไม่สนใจมันอีก เอาแต่จับความรู้สึกจางๆ บนเส้นด้าย จากนั้นก็ตามหาจีเฉวียนต่อไป
…………………….
เมืองหลวงแคว้นเหยียน
เกรงว่าที่นี่คงจะเป็นพื้นที่ที่ยังสงบปลอดภัยเพียงแห่งเดียวในแคว้นเหยียนแล้ว
ฮ่องเต้ผู้ชราประชวรอยู่บนเตียง รับฟังข่าวสารที่ถูกส่งมาก็พระสรวลเสียงดังในทันที….”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า จีเฉวียนไอ้เด็กเมื่อวานซืนนั่น สมน้ำหน้า…..สมน้ำหน้ามันแล้ว…..”
พระสรวลแล้ว พระองค์ก็มีพระกรรสะอีกหลายครั้ง แต่ละครั้งแทบจะทำให้ข้อกระดูกของพระองค์หลุดออกจากกัน
ข้างกายพระองค์มีคนสวมชุดดำอยู่ผู้หนึ่ง เขาสวมหมวกคลุมหน้าสีดำเอาไว้ ยื่นมือมาช่วยตบพระขนองของพระองค์เบาๆ “ฝ่าบาท สถานการณ์ในตอนนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า การตัดสินพระทัยของพระองค์นั้นถูกต้องแล้ว อย่าได้ทรงตื่นเต้นจนเกินไป จีเฉวียนผู้นั้นจะต้องตายอย่างอนาถอย่างแน่นอน”
“มันต้องการแคว้นต้าเหยียนของเรา เอาเลย เราจะให้มันไป! มอบแคว้นต้าเหยียนที่มีแต่ไอแห่งความตายคละคลุ้งให้มันไป น่าเสียดาย….ที่ตอนนี้มันไม่มีชีวิตจะมารับไปเสียแล้ว!” ฮ่องเต้ชราตรัสอย่างยินดี
จากนั้น พระองค์ก็เงยพระพักตร์ทอดพระเนตรไปยังคนชุดดำ “นี่ต้องลำบากพิษแห่งความตายของเจ้าแล้ว ถึงได้ทำให้สามารถทำลายล้างทัพอาชาเหล็กของจีเฉวียนได้โดยง่าย”
“สามารถทำงานถวายฝ่าบาท ถือเป็นเกียรติของกระหม่อม” คนชุดดำทูลตอบด้วยความเคารพ “ที่ต้องลำบากก็คือฝ่าบาทที่ทรงรับภาระอันยิ่งใหญ่ สามารถหักพระทัยจัดการเรื่องนี้ได้ และบางทีอาจเพราะเหตุนี้กระมัง แคว้นต้าเหยียนที่สถาปนามานานห้าร้อยปี ถึงได้สามารถยืนหยัดอยู่เหนือแคว้นต้าโจวที่พึ่งจะตั้งมาเพียงสามรัชสมัยเท่านั้น?”
“ยิ่งไปกว่านั้น จีเฉวียนผู้นั้นยังเคยเป็นตัวประกันอยู่ในแคว้นต้าเหยียนเสียด้วยซ้ำ สำหรับแคว้นต้าเหยียนแล้ว เขามันก็แค่สัตว์ชั้นต่ำหยาบช้า ที่ไม่เพียงไม่รู้จักสำนึกบุญคุณที่ต้าเหยียนไม่ได้เอาชีวิต กลับยังกล้าหันมาแว้งกัดเจ้านายได้อีก ที่จริงฝ่าบาททรงมีพระเมตตาต่อเขามากแล้ว”
ฮ่องเต้ผู้ชราทรงรู้สึกว่าเขากล่าวอย่างมีเหตุผล
ก่อนที่จะทรงประชวรอยู่แต่บนแท่นบรรทม รัชทายาทที่พระบาทขาดเหยียนหยุนกับองค์ชายเจ็ดเหยียนฉิว และคนกลุ่มใหญ่ในราชวงศ์แคว้นเหยียน ต่างพากันมาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพระองค์
ฮ่องเต้ผู้ชรากวาดพระเนตรมองดูพวกเขา ทั้งยังพระกรรสะอย่างรุนแรงออกมาอีกหลายครั้ง
“จีเฉวียนไอ้เด็กนั่นมันฆ่าบุตรสาวสุดที่รักของเรา ตัดขารัชทายาทของเราไปข้างหนึ่ง วันนี้มันยังคิดจะกลืนกินแคว้นต้าเหยียนของเรา แคว้นต้าเหยียนของเราต่อให้ต้องเปลี่ยนเป็นซากศพก็จะไม่ขอยอมให้มันได้สมดั่งใจหวัง ยังดีที่ตอนนี้แนวหน้าส่งข่าวมาแล้วว่ามันถูกผีดิบกัดเข้าแล้ว”
“เหยียนหยุน นี่ถือว่าเราได้แก้แค้นให้กับเจ้าแล้ว” ฮ่องเต้ชราทรงจับจ้องไปที่เหยียนหยุน “เมื่อเราตายไปแล้ว เจ้าต้องสืบทอดปณิธานของเรา ไม่อาจก้มศีรษะให้กับต้าโจวตลอดกาล!”
“เหยียนฉิว หากว่าพี่ชายของเจ้ากล้าก้มศีรษะ เจ้าก็ฆ่าเขาทิ้งเสีย แล้วให้เจ้าขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งต้าเหยียนต่อไป!”
“เรารู้ดี ว่าพวกเจ้าพี่น้องยามปกติก็มิได้ปรองดองกัน แต่ว่าตอนนี้มาถึงจุดที่แว่นแคว้นใกล้จะล่มสลายอยู่แล้ว เราหวังให้พวกเจ้าผนึกกำลังต่อสู้กับภายนอก”
เหยียนหยุนเงียบงันไม่พูดไม่จา แต่เหยียนฉิวกลับรับคำอย่างกระตืนรือร้น เขาแทบจะคุกเข่าลงไปข้างกายฮ่องเต้ผู้ชรา คว้าพระหัตถ์ของพระองค์เอาไว้ “พระบิดาโปรดวางพระทัย ลูกจะต้องทำตามพระประสงค์ และจะปรองดองกับรัชทายาท ต่อให้พวกเราต้องเปลี่ยนเป็นผีดิบก็ไม่ขอยอมแพ้ต่อแคว้นต้าโจว”
หึ….กลายเป็นผีดิบรึ? นั่นไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว!
คนชุดดำที่อยู่ข้างกายพระบิดา เขาเป็นผู้เสาะหามาเอง พวกเราทำข้อตกลงกันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
“พระบิดา ที่จริงประชาชนเหล่านั้นล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์….” ในก้นบึ้งหัวใจของเหยียนหยุนนั้นไม่ได้เห็นด้วยกับวิธีการของฮ่องเต้ผู้ชรา “แคว้นเหยียนเป็นสิ่งที่บรรพชนทรงสร้างขึ้นมาจนเจริญรุ่งเรืองและเป็นดินแดนที่งดงาม …….แต่วันนี้กลับกลายเป็นนรกบนดิน เป็นเพราะพระบิดาทรงเปลี่ยนประชาชนให้กลายเป็นซากศพที่เดินได้ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง …..แคว้นต้าเหยียนนี้จึงไม่ใช่แคว้นต้าเหยียนดังเดิมอีกแล้ว”
ตอนที่อยู่ในแคว้นเซอปี่ซือ เขาก็รู้แล้วว่า สักวันหนึ่ง จีเฉวียนจะต้องกลืนกินพวกเขาลงไป
ตั้งแต่แรกแล้วขณะที่พวกเขากำลังเหลิงลำพองกับความยิ่งใหญ่ของตนเองอยู่นั้น จีเฉวียนเองก็เข้มแข็งยิ่งกว่าที่ผู้ใดจะคาดคิดอยู่แล้ว
เมื่อเขาเสียขาไป ความคิดที่จะต่อต้านก็ถูกจีเฉวียนกลืนกินไปจนหมดสิ้น
ชั่วชีวิตนี้เพียงคิดที่จะอยู่อย่างสงบสุข ถึงแม้ไม่อาจจะได้เป็นฮ่องเต้แห่งต้าเหยียน….เขาก็ขอยอมรับแล้ว
แต่ตอนนี้พอต้องมาทนเห็นแคว้นต้าเหยียนกลายเป็นขุมนรกไปกับตา ในหัวใจของเขาก็มีแต่ความเจ็บปวด
เหยียนหยุนทูลพลาง ก็อดจะเหลือบตามองดูคนชุดดำผู้นั้นอีกหลายครั้ง
คนชุดดำผู้นั้นปิดบังใบหน้าอย่างมิดชิด ทำให้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้เลย
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น กลิ่นอายที่กำจายออกมาจากร่างของเขาก็ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
อีกทั้งคนผู้นี้ก็ยังมีสิ่งที่ทำให้คนกลายเป็นผีดิบ เห็นชัดว่าเขาเป็นบุคคลอันตราย
เขาไม่อาจชักจูงพระบิดาให้ออกห่างจากคนผู้นี้ได้…..เขามันคนไร้ความสามารถ
คำพูดของเขา ทำให้ฮ่องเต้ผู้ชราทรงพิโรธจนแทบจะลุกขึ้นมานั่งได้ “เจ้ามันเนรคุณ!”
“พระบิดาอย่าได้ทรงพิโรธ” เหยียนฉิวรีบเข้ามาปลอบพระองค์ “หากทรงขุ่นเคืองจะทำร้ายพระพลามัยของพระองค์เอง นั่นไม่ดีเลยพะยะค่ะ”
“เจ้าดูสิ ฉิวเอ๋อร์รู้เรื่องขนาดไหน! ไหนเลยจะเนรคุณเหมือนกับเจ้ากัน!” ฮ่องเต้ผู้ชราขุ่นเคืองพระทัยอย่างเห็นได้ชัด “เราเห็นว่าเจ้ามันถูกไอ้เด็กน้อยอย่างจีเฉวียนทำให้หวาดกลัวจนกลายเป็นสุนัขไปแล้ว หากว่าเจ้ามันไร้ความสามารถถึงเพียงนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ฮ่องเต้แห่งต้าเหยียนก็ยกให้น้องชายของเจ้าไปก็แล้วกัน!”
ฮ่องเต้ผู้ชราตรัสแล้วก็สั่งให้คนไปนำตราลัญจกรมา
คิดจะส่งมอบบัลลังก์ให้กับเหยียนฉิวเสียแต่ตอนนี้
“จีเฉวียนไอ้เด็กเมื่อวานซืนนั่นถูกผีดิบกัดไปแล้ว อีกเพียงไม่นานมันก็จะต้องกลายเป็นผีดิบ กองทัพของแคว้นต้าโจวจะต้องจบสิ้นอยู่บนแผ่นดินต้าเหยียนของเรา เมื่อไม่มีไอ้เด็กน้อยจีเฉวียนนั่นแล้ว ต้าโจวจะตกอยู่ในความวุ่นวาย พวกเราก็จะสามารถฉวยโอกาสนั่นเปลี่ยนเป็นฝ่ายรุก”
ฮ่องเต้ผู้ชราทรงกรรสะอย่างรุนแรงอีกหลายครั้ง “ขอเพียงเจ้าชักนำผีดิบเหล่านั้นไปยังแคว้นต้าโจว ในเวลาเพียงไม่นาน แคว้นต้าโจวก็จะกลายเป็นนรกบนดินเช่นกัน”
“โรคผีดิบนั่นไม่มียารักษา จีเฉวียนและแคว้นต้าโจวจะต้องได้รับค่าตอบแทนจากการกระทำของพวกมัน!”
ฮ่องเต้ผู้ชราหายพระทัยอย่างกระหืดกระหอบ แม้แต่พระเนตรก็ปูดโปนออกมา
“พระบิดาโปรดวางพระทัย ลูกจะต้องทำให้สำเร็จตามพระประสงค์” เหยียนฉิวแสดงออกดั่งว่าเป็นบุตรสุดกตัญญู
“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย กระหม่อมจะคอยสนับสนุนอยู่เคียงข้างฮ่องเต้พระองค์ใหม่” คนชุดดำก็แสดงออกถึงความจงรักภักดี
“มีคำรับรองจากเจ้า เราก็วางใจได้แล้ว….” ฮ่องเต้ผู้ชราคว้ามือของคนชุดดำเอาไว้ ตบลงไปบนหลังมือนั่นเบาๆ
หลังจากนั้นก็คำรามเสียงดังขึ้นมาอีก “จีเฉวียนไอ้เด็กเมื่อวานซืน….เจ้าจะต้องได้รับผลจากการกระทำของเจ้า เจ้ามันสมควรตาย…สมควรตายเฮอะ….”
น้ำเสียงที่แหบพร่าของพระองค์ดังสะท้อนไปทั่วทั้งพระตำหนักบรรทม
ทันทีที่สิ้นเสียงก็ได้ยินเสียงคนถีบประตูบานใหญ่เปิดออก
ที่ด้านนอกประตู มีเงาของร่างในชุดสีดำทองยืนอยู่ ร่างนั้นบดบังแสงสว่างจากภายนอกทั้งหมดเอาไว้
ดวงเนตรหงส์ที่เย็นชาคู่นั้นจับจ้องไปยังพระวรกายของฮ่องเต้ผู้ชรา
“ฮ่องเต้แคว้นเหยียน เจ้าคิดถึงเรามากขนาดนี้เชียวหรือ?”
……………………………
เหยียนฉิว (虬 [qiú] ) : ‘ฉิว’ ตัวนี้ในภาษาจีนมีการกล่าวถึงอยู่สองตำรา ตำราแรกแปลว่ามังกรที่ยังเป็นเพียงรุ่นลูก มังกรเด็กๆ ที่ยังไม่มีเขา พึ่งเกิดขึ้นมาไม่กี่ร้อยปี (ชื่อเรียกจะเปลี่ยนไปตามอายุ แบบว่ายิ่งแก่ก็ยิ่งเก่ง) อีกตำราหนึ่งบอกว่า มังกรที่ไม่มีเขานั้นไม่ใช่มังกร ดังนั้นฉิวที่หน้าตาเหมือนมังกรแต่ไม่มีเขาจึงเท่ากับ ‘งู’ นั่นเอง เรามาดูกันว่าเหยียนฉิวจะได้เป็นมังกรหรืองูกันแน่?
ตอนต่อไป “ความเมตตาในฐานะที่เป็นฮ่องเต้”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น