กระบี่จงมา 369.4-371.2
บทที่ 369.4 ความทุกข์ยากบนโลกมนุษย์ ม...
เมื่อสองวันก่อนเจิ้งต้าเฟิงเกือบจะถูกสุยโย่วเปียนเอากระบี่เสียบ
สาเหตุก็เพราะลูกศิษย์คนดีอย่างฟ่านเอ้อร์ไม่รู้ว่าไปให้ใครช่วยวาดภาพเหมือนที่ราวกับมีชีวิตจริงให้กับอาจารย์ของตัวเอง หลังจากได้มา เจิ้งต้าเฟิงก็เอามาแขวนไว้บนผนังห้องของตัวเอง ทำท่าราวกับว่าอยากจะจุดธูปบูชาอย่างไรอย่างนั้น
จากนั้นเผยเฉียนก็มาบอกความลับ
สุยโย่วเปียนจึงรีบไปดู เป็นภาพเหมือนของนางจริงๆ!
แถมยังยิ้มหวานหยดย้อยอีกด้วย? ชุดที่สวมก็โปร่งบางถึงเพียงนั้น?
หากครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเฉินผิงอันห้ามสุยโย่วเปียนเอาไว้ คาดว่าเจิ้งต้าเฟิงคงถูกนางแทงกระบี่ใส่เต็มแรงแล้วจริงๆ
สุดท้ายยังคงเป็นเฉินผิงอันที่ไม่สนใจคำอ้อนวอนของเจิ้งต้าเฟิง ปลดภาพเหมือนลงมามอบให้สุยโย่วเปียนนำไปจัดการ ถึงได้สยบคลื่นมรสุมที่ทำให้คนไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ครั้งนี้ไว้ได้ แต่ก็ถือว่าสุยโย่วเปียนกับเจิ้งต้าเฟิงผูกปมความขัดแย้งกันไว้อย่างแน่นหนาแล้ว
เฉินผิงอันที่ทำตัวเป็นกาวประสานก็ไม่มีจุดจบที่ดี สุยโย่วเปียนไม่ได้ฟันภาพเหมือนนั้นให้แหลก กลับกันยังหัวเราะหยันพูดว่า ไม่สู้เจ้าเฉินผิงอันเก็บไว้เองเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นพวกเดียวกันอยู่แล้วนี่
คิดไปคิดมา เฉินผิงอันจึงใช้หลักความรู้การเรียงตามลำดับที่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งพูดถึง นั่นคือไปดึงหูเผยเฉียนมา บอกให้นางคัดตัวอักษรหนึ่งพันห้าร้อยตัว
ฟ่านเอ้อร์คล้ายจะมีไหวพริบอยู่บ้าง หลังจากนำภาพนี้มามอบให้ก็ไม่มาหาอีกเลย ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันจะสอนให้เขารู้ว่าอะไรคือหมัดหวังปาที่แท้จริง
ช่วงปลายปีแล้ว
ต้องซื้อของสำหรับช่วงปีใหม่
ฟ่านจวิ้นเม่ามาเยือนรอบหนึ่ง บอกว่าตระกูลฟ่านกับตระกูลฝูได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัว ฝ่ายหลังเป็นคนมาหาถึงเรือน ฝูฉีมาพบนางด้วยตัวเอง ซึ่งฝูฉีรับประกันว่าจะชดเชยให้กับร้านยาฮุยเฉินด้วยจำนวนเงินที่ใหญ่เทียมฟ้า
เผยเฉียน เว่ยเซี่ยน สุยโย่วเปียนสามคนพากันไปซื้อสิ่งของที่ใช้ในวันตรุษจีน
เป็นเผยเฉียนที่ขอร้องสุยโย่วเปียนอย่างยากลำบาก
ผู้เฒ่าที่ทุกวันจะต้องมานั่งคุยกับจูเหลี่ยนในตรอกเล็กนอกร้านยา วันนี้นั่งอยู่ตรงมุมหัวเลี้ยว สงบสำรวมตามองจมูก จมูกมองใจ ท่าทางคล้ายยอดฝีมือนอกโลกอย่างยิ่ง
ตลอดหลายวันมานี้จูเหลี่ยนยิ่งตั้งใจอ่านหนังสือมากขึ้น อีกทั้งส่วนใหญ่ล้วนเป็นหนังสือใหม่เอี่ยมที่จัดพิมพ์ด้วยวิธีการดีเยี่ยม ล้วนเป็นผู้อาวุโสคนนั้นที่มอบให้เขา แทบจะต้องจุดตะเกียงอ่านตอนกลางคืนทุกวัน
คืนนี้พวกเผยเฉียนสามคนกลับมาพร้อมของเต็มมือ เฉินผิงอันปิดประตูร้านยา นั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาว ดื่มยาดองสุราที่ผ่านการหล่อหลอมระดับเล็กในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งอึก
เผยเฉียนเล่นสนุกอยู่ข้างนอกอย่างเต็มที่มาหนึ่งวันจึงนอนหลับไปนานแล้ว แน่นอนว่าไม่กล้าไม่คัดหนังสือ
หลูป๋ายเซี่ยงนั่งอยู่ข้างกายเขา
เขาพูดคุยถึงเรื่องราวน่าสนใจบนภูเขาของใต้หล้าแห่งนี้
หลูป๋ายเซี่ยงรู้สึกว่าคู่ควรให้นำมาขบคิด พูดว่ายุทธภพของพื้นที่มงคลดอกบัวควรจะเรียนรู้การกระทำของสำนักบนภูเขาเหล่านี้บ้างจริงๆ
ยกตัวอย่างเช่นการสังหารศัตรูคู่อาฆาตของที่นี่ถือว่ารวดเร็วฉับไวอย่างมาก มีกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรหลายข้อบนภูเขาที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
ข้อแรก รับมือกับศัตรูคู่อาฆาตที่ไม่มีทางจะคลี่คลายความขัดแย้งได้ด้วยการถอนรากถอนโคน ข้อสอง ลูกศิษย์หนุ่มสาวที่ตบะไม่สูง แต่มีโชคดีเป็นพิเศษ อย่าได้เอาศีรษะหรือสมบัติอาคมไปมอบให้คนอื่นเด็ดขาด หากคนที่เป็นเช่นนี้จะถูกล้อมสังหาร คนส่วนใหญ่ที่จับกลุ่มกันมามักจะแบ่งให้คนหนึ่งคือผู้ฝึกตนที่มีตบะสูสีหรืออยู่ในขอบเขตเดียวกัน มาเพื่อขัดเกลามหามรรคา หากระหว่างการเข่นฆ่าสามารถสังหารคนผู้นั้นได้สำเร็จก็มีความเป็นไปได้ว่าจะดูดดึงเอาโชคของอีกฝ่ายมาครอง คนหนึ่งคือผู้ปกป้องมรรคาชั่วคราว อย่างน้อยต้องมีศักยภาพสูงกว่าคนที่จะถูกฆ่าหนึ่งถึงสองขอบเขต คนหนึ่งคือผู้ฝึกตนที่ตบะสูงที่สุดซึ่งจะคอยรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันอยู่ในที่มืด ข้อที่สาม หากยังคงเสียเปรียบครั้งใหญ่ แต่เมื่อเกี่ยวพันกับการคงอยู่หรือล่มสลายของสำนักก็ไม่ต้องคิดรักษาศักดิ์ศรีหน้าตาอีกแล้ว เงินที่ควรให้ก็ให้ สมบัติที่ควรมอบก็มอบไป ข้อที่สี่ ศักยภาพของผู้ฝึกตนอิสระจะสูงแค่ไหน แต่ไปมีเรื่องด้วยก็ไม่น่ากังวลมากนัก คนเหล่านี้ไม่มีที่พึ่ง เดิมทีก็เป็นเหมือนคลังสมบัติเคลื่อนที่อยู่แล้ว หากพวกเขากล้ามาแหยม ไม่ฆ่าทิ้งก็เสียเปล่า
คุยกันมาถึงสุดท้าย หลูป๋ายเซี่ยงปลงอนิจจังจากใจจริงว่า “ช่างเป็นฟ้าดินที่แตกต่างจริงๆ นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องของการรับลูกศิษย์ของที่นี่ พิถีพิถันยิ่งนัก พื้นที่มงคลดอกบัวไม่อาจเทียบได้เลย”
จากนั้นเขาก็หันหน้ามายิ้มให้ “อย่างเช่นสิ่งที่เจ้าปฏิบัติต่อเผยเฉียน”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “การรับลูกศิษย์นั้นยากมาก ไม่ใช่ว่ามีอะไรก็สอนพวกเขาอย่างนั้น แรกเริ่มข้าไม่เต็มใจจะสอนเผยเฉียน ภายหลังเริ่มมีความคิดจะสอน แต่ก็ไม่กล้าสอน ตอนนี้คือไม่รู้ว่าควรจะสอนอย่างไร”
เฉินผิงอันเงยหน้ามองม่านฟ้าราตรี “จูเหลี่ยนเอ่ยสัพยอกว่าเผยเฉียนคือหญ้าบนยอดกำแพงที่แข็งแกร่ง อันที่จริงข้ารู้สึกว่ายังดี เด็กเล็ก เด็กวัยรุ่น ผู้ใหญ่ที่เติบโตแล้ว ข้ารู้สึกว่าคนเราควรต้องมีสามช่วงวัยนี้ หญ้าต้นเล็กบอบบางอ่อนแอ แต่รากต้องหยั่งลึกลงไปอย่างแน่นหนา เพียงแค่ลมพัดมา หญ้าก็พลิ้วปลิว อันที่จริงนี่ก็ไม่มีอะไร หญ้าเขียวขึ้นเรียงเคียงกัน ลมพัดส่ายไปส่ายมา อันดับต่อมาก็จะเป็นเหมือนไผ่เขียวบนภูเขา บางคนก็รังเกียจ พูดกันว่าไผ่ชั่วร้ายตัดหมื่นต้นก็ไม่เสียดาย (ท่อนหนึ่งในบทกลอนของราชวงศ์ถัง) แต่ก็มีบัณฑิตบางคนที่ชอบต้นไผ่มาก ใต้หล้าแห่งนี้ยังถึงขั้นมีถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ (ทะเลไผ่) มีภูเขาชิงเสินที่ชื่อเสียงโด่งดังมาก จากนั้นถึงจะเป็นต้นสนเขียวตระหง่านหยัดตรง”
“เมื่อก่อนมีมือกระบี่คนหนึ่งที่ร้ายกาจมากๆๆ เดินทางร่วมกับข้า ตอนนี้มาย้อนนึกดูแล้ว ยามที่เขามองข้า หากว่ากันในด้านคุณลักษณะแล้วก็คงเหมือนที่ข้ามองเผยเฉียน ต่างก็กำลังถามใจตัวเองอยู่ เป็นการทดสอบที่ไร้เสียงครั้งหนึ่ง”
“ตอนนั้นข้าเพิ่งฝึกวิชาหมัด เขาสอนวิชากระบี่ที่สูงส่งให้ข้าไม่ได้หรือ? ให้ข้าดื่มเหล้าที่ดองจากโอสถปีศาจสักคำหนึ่งไม่ได้หรือไง? สอนวิชาชั้นสูงด้านการหล่อหลอมร่างกายและจิตวิญญาณให้ข้าไม่ได้หรือ? มอบสมบัติวิเศษให้ข้าทีเดียวหมดไม่ได้หรือไง? ล้วนทำได้ทั้งหมด เพราะสำหรับเขาแล้วนี่เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ ที่ทำได้โดยไม่ต้องกะพริบตาด้วยซ้ำ”
“แต่เขากลับไม่ทำ”
“เพราะอะไร?”
“ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยคิดมาก่อน ภายหลังมาคิดดูก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก จนกระทั่งข้างกายข้ามีเผยเฉียนถึงพอจะเข้าใจบ้างเล็กน้อย”
ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งบอกว่าโลกที่พวกเราอยู่อาศัยมักจะซับซ้อนเช่นนี้เสมอ เดินไปเดินมา พุ่มหญ้าขึ้นเป็นกอ วัดร้างอารามเก่าโทรม เดินไปเดินมา ต้นหลิ่วต้นหยางเคียงคู่ ดอกท้อบานสะพรั่ง เดินไปเดินมา ภูเขาแห้งโกร๋นสายน้ำขุ่นมัว ม่านรัตติกาลหนาหนัก เดินไปเดินมา หอแก้วศาลาหยก เปล่งรัศมีเรืองรอง
เฉินผิงอันดื่มเหล้าดองยาอึกสุดท้ายของคืนนี้ ใบหน้าพลันแดงก่ำ ฤทธิ์เหล้านี้แรงจริงๆ
น้อยครั้งนักที่เฉินผิงอันจะพูดคุยเรื่องพวกนี้กับคนนอก วันนี้คือข้อยกเว้น
เพราะเฉินผิงอันรู้สึกว่าหลูป๋ายเซี่ยงคือคนบนเส้นทางเดียวกัน พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เป็นแค่ความรู้สึกเท่านั้น ก็คล้ายๆ กับที่ให้ตายอย่างไรผู้เฒ่าเหยาและอริยะหร่วนฉงก็ไม่ยินดีรับเขาเฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์
เฉินผิงอันรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เรียบร้อย ใช้สองมือถูหน้า จากนั้นก็เป่าลมใส่ฝ่ามือ ควันขาวลอยอวลอล ก่อนจะพูดเบาๆ ว่า “ข้ามองโลกใบนี้ในแง่ดีเสมอ ส่วนที่เลวร้าย ข้าก็อยากจะมองให้ชัด มองให้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม หากเป็นเรื่องราวหรือคนที่ไม่ได้ถูกหรือผิดมากเกินไปก็จะพยายามมองในส่วนที่ดีของพวกเขา ไม่ได้บอกว่าคนอื่นไม่ชอบข้าเฉินผิงอัน ไม่เห็นดีในตัวข้าเฉินผิงอัน หรืออาจถึงขั้นเกิดข้อขัดแย้งกัน เขาจะต้องเป็นฝ่ายผิด ในพื้นที่มงคลดอกบัวของพวกเจ้ามีปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์คนหนึ่งชื่อว่าคนลับมีดหลิวจง เขาพูดประโยคหนึ่งที่น่าสนใจมาก ‘ถนนใต้ฝ่าเท้ากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ต่างคนต่างเดินไป ไม่มีปัญหา’ ข้าคิดว่าประโยคนี้ไม่มีปัญหาจริงๆ เพียงแต่ เป็นคน จะไม่มีคนดีคนเลวได้อย่างไร นอกจากถูกและผิดแล้วก็จะค่อนข้างพร่าเลือน ต่างก็พูดกันว่าชะตาชีวิตคนเกี่ยวข้องกับสวรรค์ นี่ก็ถือเป็นความถูกต้องและความผิดแล้ว ยกตัวอย่างเช่นตู้เม่า ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนนั้น ชั่วชีวิตนี้เขาต้องเคยทำเรื่องที่เลวร้ายมามากแน่ๆ และก็ต้องเคยทำเรื่องดีมาเช่นกัน ถึงขั้นที่ว่าเมื่ออยู่ในสำนักใบถง เขาก็คือบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์อย่างสมศักดิ์ศรีจริงๆ ลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็คิดว่าสิ่งที่เขาทำคือวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่เรียกว่าสละชีวิตเพื่อความชอบธรรม”
หลูป๋ายเซี่ยงวางมือสองข้างไว้บนหัวเข่าเบาๆ ยิ้มบางกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าทุกคนต่างก็ยินดีหาเรื่องลำบากใส่ตัวอย่างเจ้าหรือ? วันๆ เอาแต่คิดวกวนอยู่ในใจว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด จะต้องลำบากแบบนี้ไปเพื่ออะไร? ฝึกวรยุทธ์ เรียนวิชากระบี่ เป็นเทพเซียน คนหลายคนก็ทำแค่เพื่อความสะใจของตัวเองเท่านั้น เป็นจอมยุทธ์ผดุงคุณธรรม เพื่อแก้แค้นให้เพื่อนสนิทจึงสังหารคนทั้งครอบครัวของคนที่ไม่รู้จัก แต่นี่กลับถูกยุทธภพมองว่าเป็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่ของวีรบุรุษ จะนับอย่างไร? เพื่อบิดา ปล้นรถนักโทษสังหารขุนนาง ฆ่าทุกคนหมดสิ้นในรวดเดียว สุดท้ายยังได้เป็นขุนนางใหญ่ ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ ถูกมองว่าเป็นการกระทำที่กตัญญู เปี่ยมไปด้วยความองอาจผึ่งผาย จะนับเช่นไร? คนผู้หนึ่งทรยศต่อข้า ข้าก็ทรยศต่อคนทั้งใต้หล้า คนแบบนี้มีมากมายเหลือเกิน บางคนทำเช่นนี้ แต่บางคนก็คิดจะทำ แต่แค่ทำไม่ได้เท่านั้น”
หลูป๋ายเซี่ยงใช้สองมือตบเข่าเบาๆ “บนเส้นทางชีวิตคน มีคนมองเห็นดอกไม้หนึ่งดอกท่ามกลางความรกร้างว่างเปล่า พอเห็นแล้วก็รู้สึกมีความหวัง บางคนทนเห็นคนอื่นดีกว่าไม่ได้ เห็นคนอื่นทำสิ่งที่ถูกต้องไม่ได้ จึงมองเห็นแต่ขี้ที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง กินขี้อยู่เต็มปาก แต่กลับยังรู้สึกว่ารสชาติยอดเยี่ยม ถึงอย่างไร…กินขี้ก็ทำให้อิ่มท้องได้”
เฉินผิงอันอดถามขัดจังหวะทำลายบรรยากาศอันดีไม่ได้ “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
แล้วก็รีบพูดว่า “ช่างเถิด ถือซะว่าข้าไม่ได้ถาม”
หลูป๋ายเซี่ยงให้คำตอบที่ต่อให้เฉินผิงอันคิดจนหัวแตกก็คิดไม่ถึง “ข้าเคยกินมาก่อนไง”
เฉินผิงอันเงียบงัน
หลูป๋ายเซี่ยงคลี่ยิ้ม พูดด้วยสีหน้าปกติ “ข้ามีชาติกำเนิดพอๆ กับเว่ยเซี่ยน อันที่จริงยังแย่กว่าเขาเล็กน้อยด้วยซ้ำ เป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่ยังเล็ก คนที่บ้านเกิดก็ไม่ถือว่าเป็นคนซื่อสัตย์จิตใจบริสุทธิ์อะไร ปีที่ข้าอายุสิบสี่เคยถูกเด็กหนุ่มชั่วร้ายของบ้านเกิดโยนเข้าไปในหลุมขี้ แถมยังทิ้งคนสองคนให้เฝ้าอยู่ด้านข้าง ขอแค่โผล่หัวออกมาจะต้องถูกด้ามไม้ไผ่ตีกลับไป ช่วยไม่ได้ จึงต้องกินให้อิ่มท้อง หลังจากนั้นมาข้าก็ลับมีดแหลมคมเล่มหนึ่ง”
เฉินผิงอันถาม “ทุกคนล้วนถูกเจ้าแทงตายหรือ?”
หลูป๋ายเซี่ยงส่ายหน้า “เปล่าเลย ข้าคำนวณเวลาอย่างแม่นยำ คนแรกที่จับตัวมาได้ดื่มเหล้าจนเมามาย ข้าแทงท้องเขาหนึ่งทีก็ขาอ่อนไปก่อนแล้ว หลังจากนั้นก็ถูกโยนเข้าไปในคุกของอำเภอ ต่อมาบ้านเกิดก็อยู่ไม่ได้แล้ว จึงออกไปท่องยุทธภพ เรียกว่าท่องยุทธภพ แต่อันที่จริงก็แค่การมีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ จู่ๆ วันหนึ่งข้าก็เริ่มได้พบเจอกับเรื่องอัศจรรย์ติดต่อกัน ไปกินสมุนไพรวิเศษอายุพันปีต้นหนึ่ง ได้รับตำราลับวิชาเทพเซียนมาเล่มหนึ่ง รู้จักกับสาวงามคนรู้ใจมากมาย แล้วก็คงเป็นเพราะรู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อยกระมัง จึงกลายเป็นความยึดมั่นอย่างหนึ่ง คิดอยากจะให้ตัวเองเป็นเหมือนลูกหลานชนชั้นสูง กลายมาเป็นบัณฑิต ชอบคำว่า ‘สง่างาม’ มากที่สุด แต่ว่าข้ายังถือว่าฉลาด ไม่ว่าเรียนรู้อะไรก็เร็วไปหมด สรุปจากเรื่องหนึ่งก็อนุมานไปเรื่องอื่นๆ ได้ อีกอย่างไม่ว่าข้าทำอะไรก็ล้วนอยากเป็นที่หนึ่ง โดดเด่นเพียงหนึ่งเดียว ต่อให้ช่วงชิงมาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะยังถือว่าปล่อยวางได้”
เฉินผิงอันพูดอย่างสะท้อนใจ “ข้ารู้ว่าจูเหลี่ยนมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลสูงศักดิ์ คือคนของครอบครัวที่ร่ำรวย ยามกินใช้กระถางวางอาหารเลิศรส มีดนตรีบรรเลงคลออย่างแท้จริง สุยโย่วเปียนแย่กว่าเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าเป็นครอบครัวแม่ทัพอันดับหนึ่ง โชควาสนานำพาถึงได้กลายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่มงคลดอกบัวปีนั้น ยากจะจินตนาการได้ว่า เจ้าก็คือบรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขาของลัทธิมารในพื้นที่มงคลดอกบัว”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มอย่างเข้าใจ “ก็ยุทธภพนี่นะ ในช่วงเวลาที่ข้าใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติรุ่งโรจน์ ในยุทธภพไม่ว่าจะเป็นธรรมะหรืออธรรมก็ล้วนชื่นชอบตั้งชื่อที่ไพเราะน่าฟัง ข้าไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกใหม่ตรงไหน หากคิดจะตั้งชื่อก็ตั้งไปตรงๆ ว่าลัทธิมาร จากนั้นก็ทำเรื่องที่ถูกต้องซื่อตรงยิ่งกว่าพรรคฝ่ายธรรมะ นั่นต่างหากถึงจะถือว่าร้ายกาจ ใช่แล้ว ไม่ต้องให้เจ้าเฉินผิงอันพูด ข้าก็รู้ว่าหลังจากนั้นลัทธิมารมีพฤติกรรมเช่นไร เปิดตำราประวัติศาสตร์หลายเล่มออกอ่านก็จะค้นพบว่าประวัติศาสตร์ก็วกไปวนมาอยู่แบบนี้ ราชสำนัก ยุทธภพล้วนเหมือนกัน เหมือนการวาดวงกลม บางครั้งอาจมีอริยะผู้ทรงคุณธรรม มีผู้เปี่ยมพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์โผล่ออกมา ถ้าอย่างนั้นก็เดินออกไปอีกหน่อย วงกลมจะใหญ่ขึ้นอีกนิด คนรุ่นหลังก็จะเดินวนตามวงกลมต่อไป”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พูดว่า “บางครั้งก็เลี้ยวไปเลี้ยวมา ไม่มีที่สิ้นสุด”
หลูป๋ายเซี่ยงพยักหน้ารับ “นั่นก็คือปรากฎการณ์ของกลียุค ชีวิตคนมีค่าเท่าผักหญ้า ไม่ต่างจากไก่และหมา”
คนทั้งสองเงียบงันกันไปนาน
บทที่ 369.5 ความทุกข์ยากบนโลกมนุษย์ ม...
หลูป๋ายเซี่ยงถาม “ใช่แล้ว ข้าประหลาดใจอย่างมาก เหตุใดเจ้าถึงยึดมั่นอยู่กับการเรียนหนังสือและหลักการเหตุผล?”
“ปมด้อย”
“หมายความว่าอย่างไร?”
“ขาดอะไรก็ต้องการสิ่งนั้น”
“หืม?”
“ท่านพ่อท่านแม่ต่างก็พากันจากไป ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวเพียงลำพัง จะถูกด่าก็ยาก ถูกชมเชยก็ยาก จึงหวังว่าจะทำทุกเรื่องให้ถูกต้อง ไม่ให้พวกเพื่อนบ้านลอบตำหนิลับหลัง ด่าข้าเสร็จแล้วยังลามไปด่าพ่อแม่ข้าด้วย นอกจากนี้ก็คือยากจนจนไม่ได้ยินเสียงเหรียญกระทบกันในกระเป๋า ยากจนจนกลัว ดังนั้นจึงชอบฟังคนอื่นพูดด้วยเหตุผล แล้วก็ชอบเงิน ข้าไม่ชอบติดเงินคนอื่น แล้วก็ไม่ชอบให้คนอื่นติดเงินข้า”
หลูป๋ายเซี่ยงเงียบไปนาน กว่าจะพูดว่า “ช่างเป็นคนที่…ซื่อสัตย์จริงๆ”
ระหว่างที่คนทั้งสองพูดคุยกัน จูเหลี่ยนก็ย้ายม้านั่งไปนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ชายคา ในฐานะอดีตบุคคลอันดับหนึ่งของพื้นที่มงคลดอกบัว สายตาแค่นี้ยังพอจะมีอยู่บ้าง
ส่วนสุยโย่วเปียนยืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้าประตู
พอได้ยินเฉินผิงอันพูดเกี่ยวกับ ‘ติดเงิน’
สุยโย่วเปียนก็แค่นเสียงเย็นแล้วเดินกลับห้องของตัวเอง
จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ แล้วอ่านหนังสือต่ออีกครั้ง
หลูป๋ายเซี่ยงเอ่ยลาจากไป พอลุกขึ้นยืนก็กุมหมัดกล่าวว่า “ได้รับคำชี้แนะแล้ว”
เฉินผิงอันโบกมือ พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่เล่นกับเจ้าแล้ว”
จู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
ไม่อย่างนั้นรักษาม้าตายดั่งม้าเป็นดีกว่ากระมัง? พรุ่งนี้ลองสอนปราณกระบี่สิบแปดหยุดให้เผยเฉียนดู?
แต่เฉินผิงอันก็รู้สึกลังเลขึ้นมาอีก
ใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วก็รู้สึกว่าไว้ค่อยว่ากันอีกทีเถอะ
ในโรงเตี๊ยมขนาดเล็กไม่ทราบชื่อแห่งนั้น หลังจากผู้เฒ่าต่างถิ่นที่บอกว่าตัวเองคือยอดฝีมือนอกโลกอาบน้ำผลัดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็มานั่งอย่างสำรวมอยู่หน้าโต๊ะ
หยิบเอาม้วนภาพวาดกองโตออกมา มีมากถึงยี่สิบสามม้วน
และยังมีถ้วยใบใหญ่ใบเล็กที่มีน้ำมากน้ำน้อยไม่เท่ากัน
นอกจากนี้ยังมีของระเกะระกะอีกกองใหญ่
ล้วนเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในวิชาอภินิหาร ‘บุปผาในคันฉ่อง จันทราในสายน้ำ’ ของสำนักและตระกูลเซียนบนภูเขา
หากเฉินผิงอันอยู่ที่นี่ด้วยก็จะค้นพบว่านี่เหมือนในค่ำคืนที่หิมะตกหนักปีนั้นที่เด็กชายชุดเขียวหยิบน้ำถ้วยนั้นออกมาอย่างระมัดระวัง แล้วรินน้ำเพื่อลอบดูมาดแห่งเทพเซียนของเทพธิดาซูเจี้ยที่ขี่กระบี่
คิดดูแล้วหากเด็กชายชุดเขียวมาเจอกับผู้เฒ่าคนนี้คงต้องร่ำร้องตะโกนเรียกเขาด้วยความเคารพนับถือว่าท่านบรรพบุรุษเป็นแน่
ในความเป็นจริงแล้วฉายาที่เด็กชายชุดเขียวตั้งให้ตัวเองว่า หนุ่มน้อยแห่งแม่น้ำอวี้เจียงนั้น เป็นเพราะได้รับแรงบันดาลใจมากจากผู้อาวุโสบางท่าน ฉายาของผู้อาวุโสท่านนั้นคือ ‘หนุ่มน้อยหน้าหยก’ เขากับคนใจป้ำไม่ทราบชื่อบนภูเขาที่เรียกตัวเองว่า ‘ทวนหนึ่งฉื่อ’ คือสองอันดับแรกใน ‘ภูเขาลูกนี้’ ของพวกเขา คือผู้อาวุโสประเภทที่เป็นลูกพี่ใหญ่ คุณธรรมและบารมีสูงส่ง! ผู้เฒ่าสองท่านนี้มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่เสียดแทงสู่ชั้นเมฆ ครั้งแรกที่ประมือกันก็เพราะเถียงกันว่าระหว่างซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยง กับเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพที่เผยโฉมน้อยครั้งผู้นั้น ใครกันแน่ถึงจะเป็นเทพธิดาอันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป หนุ่มน้อยหน้าหยกบอกว่าเป็นซูเจี้ย ทั้งกลิ่นอายแห่งเซียนและความนิยมล้วนเพียงพอ เฮ้อเสี่ยวเหลียงนั้นงดงามก็จริง แต่กลับขาดกลิ่นอายของมนุษย์ นั่นทำให้นางไม่สมบูรณ์แบบมากพอ ทวนหนึ่งฉื่อโต้กลับอย่างเดือดดาล จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เริ่มทุ่มเงินร้อนน้อยใส่ลงไปใน ‘น้ำในถ้วยขาว’ ก็เพื่อได้เอ่ยหนึ่งประโยคเถียงกลับอีกฝ่าย
เงินเกล็ดหิมะที่ผ่านการหล่อหลอมระดับเล็กก็สามารถโยนใส่ลงไปในอุปกรณ์บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำชนิดต่างๆ ได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าปราณวิญญาณไม่มากพอ จึงไม่สามารถถ่ายทอดคำพูดได้
จากนั้นพวกมันก็จะกลายไปเป็นปราณวิญญาณแห่งแม่น้ำและภูเขาบริเวณโดยรอบภูเขาอันเป็นที่ตั้งของสำนักที่เหล่าเทพธิดาอยู่อาศัย แต่อย่าได้ดูแคลนเงินเกล็ดหิมะพวกนี้เด็ดขาด จากน้อยสะสมเป็นมาก ภูเขาเล็กๆ บางแห่งที่เนื่องจากเทพธิดามีรูปโฉมงดงาม บวกกับเชี่ยวชาญการเอาใจพวกคนใจป้ำก็สามารถทำให้ปราณวิญญาณแห่งภูเขาและแม่น้ำเพิ่มขึ้นพรวดพราดได้จริงๆ
ส่วนเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญก็ยิ่งมากพอจะประคับประคองให้คนที่ทุ่มเงินพูดได้นานถึงสองประโยค
การทะเลาะกันครั้งนั้นของทวนหนึ่งฉื่อและหนุ่มน้อยหน้าหยก ต่างคนต่างทุ่มเงินร้อนน้อยไปคนละเจ็ดสิบแปดสิบเหรียญ! นั่นเท่ากับเงินฝนธัญพืชเจ็ดแปดเหรียญเชียวนะ!
ศึกเดียวสร้างชื่อ
ไม่รู้ว่ามีเทพธิดาของสำนักเล็กๆ มากน้อยเท่าไหร่ที่หวังให้เทพเซียนผู้เฒ่าทั้งสองท่านนี้ ‘มาเยือนกระท่อมซอมซ่อของตัวเอง’ เพื่อทุ่มเงินให้แก่พวกนาง
เพียงแต่ว่าโดยทั่วไปแล้วทวนหนึ่งฉื่อจะพูดไม่มาก เขาแค่โยนเงินลงไปเงียบๆ เท่านั้น ส่วนหนุ่มน้อยหน้าหยกกลับเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ชอบตะเบ็งเสียงดังหลังจากทุ่มเงินไปแล้วมากที่สุด ชอบโอ้อวดว่าเหล่าเทพธิดาเอ่ยประจบเอาใจเขาอย่างกระตือรือร้นเช่นไร
ผู้เฒ่ามองผิวโต๊ะอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็เลือกม้วนภาพหนึ่งในนั้นขึ้นมา พอเปิดออก รออยู่ชั่วครู่ก็มีไอน้ำลอยกรุ่นแล้วแผ่กำจายออกไป เพียงไม่นานก็มีกระท่อมที่ประดับประดาเรียบง่ายแต่หรูหราหลังหนึ่งปรากฏขึ้น เทพธิดาสาวคนหนึ่งที่กอดผีผาอยู่ในอ้อมอกเดินนวยนาดออกมา ด้านหลังมีสาวใช้หน้าตาเคร่งขรึมเดินตาม สุดท้ายไปยืนอยู่ในมุมอย่างว่าง่าย
หลังจากเทพธิดาดีดเพลงจบไปหนึ่งบทก็ยังไม่มีเสียงคนดังขึ้นมาในกระท่อม
นี่หมายความว่ายังคงไม่มีคนใจป้ำคนใดทุ่มเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ หรืออาจจะทุ่มไปแล้ว แต่ไม่ได้พูด ทว่าความเป็นไปได้ในข้อหลังมีน้อยมาก
เทพธิดาฝืนคลี่ยิ้มชื่นบาน เอ่ยประโยคที่ค่อนข้างแห้งแล้งอยู่สองสามคำ ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่สตรีของหอโคมเขียวในหมู่มนุษย์ธรรมดาด้านล่างภูเขา อีกทั้งเพิ่งจะถูกทางสำนักขอร้องให้ทำเรื่องเช่นนี้จึงยังติดๆ ขัดๆ อยู่บ้าง
และเวลานี้เองก็พลันมีคนถามกลั้วหัวเราะขึ้นมา “หนุ่มน้อย อยู่หรือไม่?”
มีเสียงเย็นๆ ตอบกลับมาแทบจะทันที “ไม่อยู่”
เทพธิดาทั้งตกตะลึงทั้งดีใจ รีบลุกขึ้นยืน หันไปยอบตัวคารวะทางทิศหน้าตรง “คารวะผู้อาวุโสเทพเซียนเสี่ยวเฟยเซิง (บินทะยานน้อย) และอู่สือจิ้ง (วรยุทธ์ขอบเขตสิบ) ทั้งสองท่าน”
นี่ก็คือฉายาอีกอย่างหนึ่งของทวนหนึ่งฉื่อและหนุ่มน้อยหน้าหยก…
เทพธิดาพยายามระงับคลื่นอารมณ์ที่โลดแรงเพราะความตื่นเต้น กลับไปนั่งที่เดิมเตรียมตั้งใจดีดบทเพลงจากผีผาอีกหนึ่งบท สร้างความสุนทรีให้แก่เจ้าของเงินรายใหญ่ทั้งสองที่ทุ่มเงินเมื่อไหร่ก็สร้างความตกตะลึงพรึงเพริดให้ผู้คนเมื่อนั้น
หางตาของนางเหลือบไปเห็นสาวใช้ที่ยืนทื่อราวกับท่อนไม้ สายตาก็เย็นชาเล็กน้อย แต่กลับยิ้มบางๆ กล่าวว่า “สือชิว ยังไม่รีบขอบคุณเทพเซียนผู้เฒ่าทั้งสองท่านอีกรึ?”
สาวใช้ผู้นั้นจึงยอบกายคารวะ
รอจนเทพธิดาบรรเลงเพลงบทหนึ่งจบลงแล้ว ผู้เฒ่าที่อยู่โรงเตี๊ยมถึงได้โยนเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญเข้าไป ถามว่า “หนุ่มน้อย ข้ามาถึงนครมังกรเฒ่าแล้ว เดี๋ยวจะไปหาเจ้าแล้วกัน พวกเราสองสหายจะได้ดื่มเหล้าร่วมกัน”
คำตอบของหนุ่มน้อยค่อนข้างจะกระชับและเรียบง่าย “ไสหัวไป”
ผู้เฒ่าโยนเงินร้อนน้อยไปอีกหนึ่งเหรียญ “ทำไมเจ้าเป็นคนแบบนี้กันนะ? ข้าไปเยือนถึงบ้าน เจ้าไม่ต้องย้ายรังไปไหน ใช่ว่าจะทำให้เจ้าเสียเวลามากมายสักหน่อย”
หนุ่มน้อยตอบ “ไม่ว่าง”
ผู้เฒ่าร้อนใจขึ้นมาครามครัน “ไม่นะ ถึงอย่างไรก็น่าจะมีเวลากินข้าวด้วยกันสักมื้อกระมัง?” หนุ่มน้อยตอบ “ไม่”
ผู้เฒ่าที่อยู่ในโรงเตี๊ยมกล่าวอย่างขุ่นเคือง “อู่สือจิ้ง! เจ้าเป็นผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่ง คิดว่าตัวเองเป็นยอดฝีมือวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสิบจริงๆ หรือ?”
หนุ่มน้อยกล่าว “เจ้าเองก็ชื่อว่าเสี่ยวเฟยเซิงเหมือนกันไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเจ้าไม่ขึ้นไปขี้ไปเยี่ยวบนท้องฟ้าซะล่ะ? หากเจ้ามีความสามารถนี้ ข้าที่อยู่บนภูเขาก็จะอ้าปากรอรับ”
ผู้เฒ่าในโรงเตี๊ยมเริ่มเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ “หนุ่มน้อย เจ้าเป็นบุรุษที่มีความองอาจผึ่งผายขนาดนี้ เจ้าจะทนเห็นข้าที่เดินทางมาไกลเป็นหมื่นลี้มาเสียเที่ยวได้หรือไร?”
หนุ่มน้อยเงียบไปครู่หนึ่ง ผู้เฒ่ารอคอยคำตอบอย่างตื่นเต้น สุดท้ายหนุ่มน้อยก็ตอบเรียบๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไสหัวมาเถอะ”
ผู้เฒ่าในโรงเตี๊ยมไม่มีเวลามาสนใจว่าตัวเองต้องขายหน้าต่อหน้าเทพธิดา รีบตอบอย่างยินดีว่า “ขอบคุณๆ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ตกลงตามนี้ พอไปถึงนอกภูเขาที่ตั้งสำนักของเจ้าแล้ว ข้าจะส่งสัญญาณลับให้เจ้าแล้วกันนะ”
หนุ่มน้อย “หุบปาก”
ผู้เฒ่าอารมณ์ดีอย่างมาก “รับทราบ! แล้วไว้เจอกัน พวกเราสองสหายจะได้มีเวลามาคุยกันดีๆ”
หากลูกศิษย์ของสำนักกุยหยกซึ่งเป็นตระกูลเซียนใหญ่อันดับที่สองของใบถงทวีปมาอยู่ตรงนี้ แล้วเห็นว่าเจ้าสำนักผู้เฒ่าของตนประจบเอาใจผู้อื่นอย่างหน้าไม่อายเช่นนี้ เกรงว่าลูกตาคงแทบถลนออกมาจากเบ้า คิดจะเก็บหน้าตาที่เสียไปกลับมาก็คงเก็บไม่ได้แล้ว
……
ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็เป็นวันที่สามสิบของสิ้นปีแล้ว
คืนนี้หลังจากกินข้าวเย็นเรียบร้อย เผยเฉียนช่วยจูเหลี่ยนเก็บโต๊ะ คัดตัวอักษรเสร็จก็ไปหาเฉินผิงอันที่อยู่ในร้านด้านหน้า
เฉินผิงอันเอาเหล้าในกาเหล้าใบที่ฟ่านจวิ้นเม่าเอามาเป็น ‘ของเดิมพัน’ ใส่ไว้ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เรียบร้อยแล้ว วันหนึ่งดื่มได้มากสุดแค่สองสามคำ มากกว่านั้นไม่ได้ เพราะจะยิ่งทำร้ายร่างกายสร้างบาดแผลให้กับจิตวิญญาณ
เรื่องราวในโลกล้วนเป็นเช่นนี้ อะไรที่มากเกินไปย่อมไม่ดี ถนอมวาสนาและละโมบในโชคลาภห่างกันแค่หนึ่งความคิดกางกั้นเท่านั้น
เฉินผิงอันเพิ่งดื่มเหล้าหลอมระดับเล็กไปหนึ่งคำ ใบหน้าก็แดงก่ำน้อยๆ เผยเฉียนที่อยู่ตรงโต๊ะคิดเงินเขย่งปลายเท้าเบิกตากว้างจ้องมองเฉินผิงอันดื่มเหล้าอยู่เงียบๆ ตลอดเวลา
เฉินผิงอันวางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลง ถามชวนคุยว่า “คิดถึงพื้นที่มงคลดอกบัวไหม?”
เผยเฉียนส่ายหน้า
เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่คิดถึงพ่อแม่หรือ?”
เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังส่ายหน้า
นางถามว่า “ท่านโกรธหรือไม่?”
เฉินผิงอันไม่ได้บอกว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่ถามว่า “ทำไมถึงไม่คิดถึงล่ะ?”
สีหน้าของเผยเฉียนนิ่งสงบ เบ้ปากพูดว่า “ก็แค่ไม่อยากจะคิดถึง”
เห็นว่าเฉินผิงอันเหมือนจะไม่โกรธ
เด็กหญิงร่างผอมแห้งก็ฟุบตัวลงบนโต๊ะคิดเงิน หยิบยันต์มาแปะลงบนหน้าผากของตัวเอง เงียบไปนานกว่าจะพูดเนิบช้าว่า “บ้านเกิดเจอกับหายนะ ช่วงเวลาตอนที่หนีภัยมา แม่ของข้าหิวตายไประหว่างทาง เป็นพ่อที่พาข้ามาถึงนอกเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน ตลอดทางแม่ข้าถูกพ่อข้าบังคับให้ไปหาชายอื่นเพื่อแลกอาหารไม่กี่คำมากิน ตอนแรกแม่ข้าไม่เต็มใจ แต่ถูกพ่อข้ากระชากผมทุบตีอย่างรุนแรง ตอนนั้นข้ารู้จักแต่จะร้องไห้ อยากจะห้าม แต่ก็ถูกพ่อข้าตีจนล้มกองอยู่บนพื้น เขาเป็นผู้ชาย มีเรี่ยวแรงมาก ภายหลังแม่ข้าก็ไปแลกเอาของกินมา พ่อข้ากินมากที่สุด แม่ข้ากินน้อยหน่อย ส่วนข้ากินน้อยที่สุด มีครั้งหนึ่งข้าตื่นขึ้นมากลางดึกเห็นว่าแม่ข้าแอบหนีออกไป นั่งหันหลังให้ข้า กินหมั่นโถวดำๆ อยู่คนเดียว ข้าก็เลยกลับไปนอนต่อ ตอนหลังดูเหมือนว่าแม่ข้าจะป่วย พ่อไม่สนใจ ตอนแรกยังแบกนางเดิน แต่จากนั้นมีอยู่วันหนึ่งพ่อข้าบอกกับข้าว่าแม่หิวตายไปแล้ว หลังจากนั้นมาพ่อข้าก็เจอกับคนคนหนึ่ง แต่ไม่ได้ขายข้าออกไป แค่บอกให้ข้าไปขโมยของของคนอื่น ข้าโดนคนอื่นตีตั้งหลายที เขาก็ด่าว่าข้าโง่ แล้วก็เดินทางกันไปแบบนี้ เดินไปเดินมาก็มาถึงด้านนอกของเมืองหลวง พ่อข้าโชคดีไม่น้อย ที่นอกเมืองมีคนมีเงินมาตั้งโรงทานแจกโจ๊ก แล้วก็มีหมั่นโถวขาวๆ ลูกใหญ่ ไม่รู้ว่าเพราะพ่อข้ากินเร็วหรือเพราะอะไร ดูเหมือนหมั่นโถวจะติดคอจึงสำลักตาย ข้ามองดูอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีแค่ความคิดเดียวว่า ไม่รู้ว่าพอไปอยู่ในปรโลก พ่อจะตามแม่ไปทันหรือไม่ จะได้ไปเป็นคู่กันอีกไหม”
เฉินผิงอันโน้มตัวมาด้านหน้า ยื่นมือมาลูบศีรษะๆ ของเด็กหญิง “รีบไปพักผ่อนเถอะ”
เผยเฉียนคลี่ยิ้ม ร้องตอบรับหนึ่งทีแล้วก็เดินกระโดดโลดเต้นไปนอน ระหว่างทางยังโหวกเหวกเสียงดังว่า “ข้ามียันต์ ภูตผีปีศาจรีบๆ ถอยไป!”
เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง
หลังจากวันนั้นมา เฉินผิงอันยิ่งเข้มงวดกับเผยเฉียนมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นมานั่งดูนางคัดตัวอักษรอยู่ข้างกายทุกวัน
บทที่ 370.1 พบเจอและแยกย้าย
ในขณะที่กระบี่บินชูอีและสืออู่ใกล้จะกินแท่นสังหารมังกรรูปทรงยาวชิ้นนั้นจนหมด กาลเวลาผ่านพ้นไปอย่างต่อเนื่อง กระบี่บินส่งเสียงดังสวบๆ ก็มาถึงวันที่ยี่สิบเก้าเดือนสองแล้ว
เผยเฉียน เว่ยเซี่ยนสุยโย่วเปียนสามคนซื้อของที่ใช้ในวันตรุษจีนที่ร้านยาฮุยเฉินกลับมาเต็มไม้เต็มมือ วิ่งไปกลับอยู่ห้าหกรอบ การที่เผยเฉียนร้องขอร้องสุยโย่วเปียนอย่างยากลำบากให้เดินทางไปเป็นเพื่อนนั้นใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เพราะขอแค่สุยโย่วเปียนยืนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับร้านต่างๆ ไม่จำเป็นต้องให้เว่ยเซี่ยนและเผยเฉียนต่อรองราคากับเถ้าแก่ร้าน ราคาก็จะลดดิ่งฮวบลงได้เอง
ทุกครั้งจะออกไปแต่เช้า กลับมาเย็นย่ำ ผู้เฒ่าคนนั้นก็จะนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไหวโบราณของหัวเลี้ยวตรอก ตอนแรกยังมีท่าทางระมัดระวังอยู่บ้าง ภายหลังคุ้นเคยกันแล้วจึงพูดทักทายพวกเขา สองครั้งสุดท้าย เว่ยเซี่ยนที่มีหน้าที่แบกของหนักไม่ได้ตามไปด้วย วันนี้ตอนที่สุยโย่วเปียนซึ่งสะพายหีบไม้ไผ่สีเขียวของเฉินผิงอันพาเผยเฉียนเดินกลับเข้ามาในตรอกเล็ก ผู้เฒ่าก็เอ่ยทักทายขึ้นอีกครั้ง เผยเฉียนตอบรับอย่างอ่อนหวาน สุยโย่วเปียนไม่ได้เอ่ยอะไร พอเดินเข้ามาในตรอกเล็ก เผยเฉียนก็หัวเราะร่าพูดว่าผู้เฒ่าที่ลักษณะท่าทางเหมือนซิ่วไฉเหมือนจวี่เหรินท่านนี้ช่างทำตัวสมกับคำว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ ก็แค่อายุมากไปสักหน่อย สุยโย่วเปียนดึงหูเผยเฉียน ยิ้มตาหยีถามว่าผู้เฒ่าได้ตกปากรับคำว่าจะมอบเงินยาสุ้ยถุงสีแดงหนาหนักให้เจ้าใบหนึ่งใช่หรือไม่? เผยเฉียนได้แต่แสร้งโง่ร้องโอดโอยว่าเจ็บ
เดินข้ามธรณีประตูร้านยาเข้ามา เฉินผิงอันยังคงนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน รอจนสุยโย่วเปียนปล่อยมือที่ดึงหูเผยเฉียนแล้ว เผยเฉียนก็เริ่มร่ายเสียงดังว่าพวกนางสองคนไปที่ไหนเวลาไหน ซื้อของอะไรที่ราคาเดิมเท่าไหร่ แต่ซื้อมาด้วยราคาเท่าไหร่ที่ร้านใด เฉินผิงอันดีดลูกคิด เมื่อเสียงของเผยเฉียนเงียบลง เสียงดีดลูกคิดใสกังวานดังเสนาะหูก็หยุดลงทันควันเช่นกัน เฉินผิงอันชูนิ้วโป้งให้สุยโย่วเปียน “ลำพังแค่พวกอุปกรณ์ตกแต่งบนโต๊ะหนังสือก็ได้ลดไปประมาณร้อยตำลึงเงินแล้ว”
เผยเฉียนช่วยสุยโย่วเปียนเลิกผ้าม่านไม้ไผ่ สุยโย่วเปียนเดินไปด้านหลังของร้านยาแล้วปลดข้าวของที่ซื้อมาสำหรับใช้ในวันตรุษจีนลงจากบ่า
เผยเฉียนเดินย้อนกลับไปที่โต๊ะคิดเงิน เขย่งปลายเท้า เอาคางวางบนโต๊ะ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มทวงรางวัล
เฉินผิงอันชำเลืองตามองไปทางม่านไม้ไผ่ แอบหยิบเงินเหรียญทองแดงออกมาเจ็ดแปดเหรียญ “นี่คือส่วนแบ่งของเจ้า รีบเก็บไปเร็วเข้า หากนางเห็นเข้า พวกเราสองคนต้องแย่แน่”
เผยเฉียนเก็บทรัพย์สินก้อนเล็กนี้มาอย่างระมัดระวังแล้ววิ่งปรู๊ดไปที่เรือนด้านหลัง รีบเอาไปเก็บไว้ในกล่องเก็บสมบัติของนาง
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “ไปช่วยนางเก็บของด้วย ต้องทำดีให้เสมอต้นเสมอปลาย แล้วจำไว้ว่าสุดท้ายต้องพูดกับนางหนึ่งคำว่าลำบากนางแล้ว”
“ได้เลย!” เผยเฉียนตอบรับเสียงดัง
มองม่านไม้ไผ่สีเขียวที่ยังแกว่งส่าย เฉินผิงอันก็คลี่ยิ้มอย่างเข้าใจ
พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่สามสิบของสิ้นปีแล้ว วันสุดท้ายของปี บอกลาปีเก่าต้อนรับปีใหม่ (ปีใหม่ของจีนคือวันตรุษจีน จะอยู่ในช่วงเดือนสอง ไม่ใช่วันที่สามสิบเอ็ดเดือนสิบสองอย่างปีสากล)
ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงอันก็คิดไม่ถึงว่าจะได้ร่วมฉลองวันปีใหม่พร้อมกับคนมากมายในร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่าเช่นนี้
เมื่อไม่กี่วันก่อนไปซื้อของสำหรับตรุษจีนมาหลายรอบ สุยโย่วเปียนไม่ใคร่จะเต็มใจนัก ภายหลังเว่ยเซี่ยนก็คร้านจะไป กลับกลายเป็นสุยโย่วเปียนที่ติดใจขึ้นมา ลากเอาเผยเฉียนบุกตะลุยไปทั่วสี่ทิศ สนุกสนานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ช่วงแรกเริ่มสุดจูเหลี่ยนมาปรึกษากับเผยเฉียนเป็นการส่วนตัว บอกว่าขอแค่พาสุยโย่วเปียนออกไปข้างนอกด้วยกันได้ก็จะมอบสี่สมบัติให้ห้องหนังสือหนึ่งชุดและเงินยาสุ้ยหนึ่งก้อนให้นาง เผยเฉียนบอกว่านางจะรับไว้พิจารณา หลังจากนั้นนางก็ไปหาเฉินผิงอัน เฉินผิงอันรู้สึกว่าสุยโย่วเปียนควรจะออกไปข้างนอกให้มาก สัมผัสกลับกลิ่นอายของโลกมนุษย์เยอะหน่อยก็เป็นเรื่องดี จึงบอกให้เผยเฉียนรับปากไป ดังนั้นสุยโย่วเปียนที่ทนรำคาญเสียงพึมงึมงำราวเสียงแมลงวันของเผยเฉียนซึ่งรบกวนการฝึกยืนนิ่งเจี้ยนหลูของนางไม่ไหว จึงได้แต่ออกไปผ่อนคลายอารมณ์พร้อมกับนางและเว่ยเซี่ยน
ภายหลังสุยโย่วเปียนไปหยิบเอาหีบหนังสือไม้ไผ่สีเขียวใบที่วางอยู่ในมุมห้องของนางกับเผยเฉียนมาด้วยตัวเอง แล้วลากเผยเฉียนออกไปซื้อของด้วยกัน เฉินผิงอันจึงแอบตกลงกับเผยเฉียนอย่างลับๆ ว่า ขอแค่สุยโย่วเปียนต่อรองราคากับเถ้าแก่ร้านได้หนึ่งครั้ง เผยเฉียนก็จะได้รับเงินส่วนแบ่งเป็นเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองนอกประตูร้านยา
แสงสว่างในตรอกเล็กพลันมืดสลัวลง บรรยากาศอึมครึมแผ่ปกคลุมไปทั่ว อีกทั้งดูเหมือนว่าเส้นแสงนั่นจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นทำให้ดูหนักอึ้งอย่างเห็นได้ชัด
คนผู้หนึ่งที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวพลิ้วกายลงมาจากฟากฟ้า นางก็คือฟ่านจวิ้นเม่า
เฉินผิงอันเดินอ้อมโต๊ะคิดเงิน ข้ามธรณีประตูออกไป
ฟ่านจวิ้นเม่าถาม “คิดดีแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “หวังว่าจะส่งท้ายปีนี้ไปได้ด้วยดี”
ฟ่านจวิ้นเม่าหันไปเอ่ยเตือนเทพหยินแซ่จ้าวที่แผ่ควันดำตลบอบอวล ปราณดุร้ายล่องลอยไปทั่ว “อย่าวาดงูเติมหาง แอบตรวจสอบความเคลื่อนไหวบนทะเลเมฆ ถึงเวลานั้นคนที่ลำบากก็คือเฉินผิงอัน”
เทพหยินพยักหน้ารับ หากมันอาศัยค่ายกลของร้านยาก็จะมีตบะเท่ากับขอบเขตหยกดิบ ซึ่งสามารถตรวจสอบทะเลเมฆเบื้องบนของนครมังกรเฒ่าได้เล็กน้อยจริงๆ เพียงแต่ว่าปราณวิญญาณของทะเลเมฆทั้งสะอาดและบริสุทธิ์ ทว่าเทพหยินและค่ายกลต่างก็เป็นปราณที่สกปรกและดุร้าย ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกัน ประหนึ่งทหารที่ประมือกันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ง่ายที่จะชักนำให้ทะเลเมฆเกิดความวุ่นวาย ทำให้การหล่อหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นนั้นของเฉินผิงอันล้มเหลว และจะทำร้ายไปถึงรากฐานของมหามรรคา
ฟ่านจวิ้นเม่ายื่นมือมาคว้าเฉินผิงอันและทะยานลมขึ้นไปยังทะเลเมฆเหนือศีรษะ
เฉินผิงอันพลันเอ่ยถามว่า “ในตำราบันทึกเอาไว้ ก่อนที่เซียนเหรินจะหลอมโอสถ หลังจากเลือกฤกษ์งามยามดีและฮวงจุ้ยที่ดีแล้ว วันนั้นก็ควรต้องกินเจชำระล้างร่างกายให้สะอาด นั่งคุกเข่าอยู่หน้าเตาหลอมโอสถขอพรจากสี่ทิศของฟ้าดินไม่ใช่หรือ?”
ฟ่านจวิ้นเม่าแค่นเสียงเย็น “ข้าอยู่บนทะเลเมฆก็เหมือนเจ้าขุนเขาที่อยู่ในสำนักศึกษา เหมือนเจินเหรินที่เฝ้าพิทักษ์อารามเต๋า เหมือนอรหันต์ที่อยู่ในวัด ข้าก็คืออริยะของฟ้าดินขนาดเล็กอย่างทะเลเมฆแห่งนี้ จะกราบไหว้ใคร? กราบไหว้ตัวข้าเองหรือ? หากเจ้าเฉินผิงอันคิดจะคุกเข่าโขกหัวคำนับ เดือดร้อนให้ข้าต้องกินกระบี่อีกรอบ ขอบเขตถดถอยอีกครั้ง ข้าก็ไม่มีปัญหา ขอบเขตหายไปก็สามารถฝึกฝนชดเชยกลับคืนมาได้ใหม่ แต่โอกาสที่จะให้เจ้าโขกหัวให้ได้ เกรงว่าคงมีไม่มาก”
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ
ดูท่าลู่ยงแห่งตำหนักพยัคฆ์เขียวที่อยู่บนภูเขาชิงจิ้งแห่งนั้น แม้จะเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิด แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นอริยะของพื้นที่แถบหนึ่ง ไม่สามารถดึงเอา ‘ดินอวยพร’ ซึ่งเป็นโชคชะตาของภูเขาและแม่น้ำมาใช้ได้ตามใจชอบ
ถูกฟ่านจวิ้นเม่ากระชากเข้าไปในทะเลเมฆ เฉินผิงอันที่พอยืนนิ่งแล้วก็กระทืบทะเลเมฆใต้ฝ่าเท้าเบาๆ ไม่ยุบถล่ม ไม่สลายหายไป ไม่ต่างจากถนนดินปกติเลยแม้แต่น้อย เหมือนตอนที่ก่อนหน้านี้จิตหยินออกจากช่องโพรงเดินทางไกลไปเยือนศาลเทพวารี สามารถทะยานลมยืนอยู่เหนือคลื่นสีมรกต ให้ความรู้สึกไม่เลว
ฟ่านจวิ้นเม่าสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เบื้องหน้าของเฉินผิงอันก็มีโต๊ะตัวใหญ่สีขาวหิมะซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของแก่นไอหมอกบนทะเลเมฆปรากฎขึ้นมา ผิวโต๊ะราบเรียบมันลื่นดุจกระจก เมฆมงคลลอยล่อง ปราณเซียนพลิ้วละล่อง
เฉินผิงอันบังคับกระบี่บินสืออู่วัตถุฟางชุ่น และแผ่นหยกสีขาวสะอาดซึ่งเป็นวัตถุจื่อจื่อให้ออกมาลอยตัวอยู่เหนือผิวโต๊ะ จากนั้นก็เอาวัตถุทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับการหลอมธาตุน้ำของห้าธาตุออกมา ความเคลื่อนไหวเชื่องช้า นอกจากเตาตู้ทองห้าสีที่ลู่ยงแห่งตำหนักพยัคฆ์เขียวขายให้เฉินผิงอันด้วยราคาห้าสิบเหรียญเงินฝนธัญพืชแล้ว ยังมีวัตถุดิบวิเศษที่ตอนนั้นฟ่านจวิ้นเม่านำมาให้เฉินผิงอันโดยแลกกับโอสถทองของเจียวเฒ่าก่อกำเนิดแห่งร่องเจียวหลงด้วย ของละลานตาเหล่านี้รวมกันแล้วได้สี่สิบกว่าชิ้น ลำพังเพียงแค่ชาดก็มีถึงสิบสองชนิด เอาไว้ใช้ปรับน้ำและไฟ ทำให้ห้าธาตุสมดุลภายใต้ช่วงเวลาที่แตกต่างและช่วงความแรงของไฟที่แตกต่างกัน
เฉินผิงอันไม่รีบร้อน แต่ฟ่านจวิ้นเม่าที่มองดูอยู่รู้สึกหงุดหงิดนิดๆ เหตุใดถึงได้อืดอาดชักช้าขนาดนี้
ฟ่านจวิ้นเม่าตบหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณชิ้นหนึ่งในมือลงบนโต๊ะเมฆ “เจ้าต้องการหลอมตราประทับตัวอักษรน้ำชิ้นนั้น ในฐานะวัตถุดิบอันเป็นตัวช่วยที่สำคัญที่สุด ระดับขั้นของแก่นน้ำก็ต้องตามทันกัน ไม่อย่างนั้นจะเป็นการถ่วงเวลาให้ล่าช้า หยกมังกรเฒ่าชิ้นนี้คือแก่นน้ำที่ดีที่สุดที่ข้าสามารถหามาได้ในเวลานี้ มีอายุพอๆ กับนครมังกรเฒ่า ดูดซับเอาแก่นของโชคชะตาน้ำในทะเลเมฆไปไม่น้อย เจ้าไม่ต้องพูดถึงเรื่องเงินกับข้า นี่ก็เป็นของเดิมพันของข้าฟ่านจวิ้นเม่าเหมือนเหล้ายาดองจากโอสถทองของเจียวหลงที่ผ่านการหลอมระดับเล็ก แต่หากเจ้าจะคุยเรื่องเงินให้ได้ก็ได้เหมือนกัน ถือซะว่าข้าขายหยกชิ้นนี้ให้เจ้าในราคาถูก สามสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช!”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เจ้าก็คุยเรื่องเงินกับข้าตลอดเวลานั่นแหละ”
ฟ่านจวิ้นเม่าทำสีหน้าปั้นยาก พูดเหมือนคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจนักซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อน “เจ้าสามารถรับหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณที่มีราคาสูงชิ้นนี้ไว้ได้อย่างสบายใจจริงๆ หรือ? นี่เป็นวัตถุเก่าแก่ที่วางไว้ในศาลบรรพชนของตระกูลฝูซึ่งได้รับควันธูปมานานเป็นพันปีเชียวนะ มีมูลค่าสูงมาก! แค่สามสิบเหรียญเงินฝนธัญพืชเท่านั้น และนี่ยังเกี่ยวพันกับระดับสูงต่ำของวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เจ้าจะหลอมออกมาด้วย เจ้ายังจะไม่เต็มใจจ่ายอีกหรือ?”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองนางแวบหนึ่ง “นี่เป็นแค่หนึ่งในของชดใช้ที่มีราคาเทียมฟ้าซึ่งได้มาจากตระกูลฝูเท่านั้น เจ้าก็แค่ช่วยเปลี่ยนมือนำมามอบให้ คิดจะหากำไรตั้งสามสิบเหรียญเงินฝนธัญพืชเชียวรึ? ดูท่าแล้วช่วงนี้เจ้าคงจะผ่านด่านปีไปได้ยากกระมัง เรื่องที่ขอบเขตของเจ้าถดถอย ข้าคาดเดาเอาว่าคงไม่ได้ถอยจากก่อกำเนิดกลับไปโอสถทองอย่างง่ายๆ เท่านั้น ทำไม เจ้าเองก็เหมือนกับข้าที่กินเรือกลืนกระบี่เข้าไป รากฐานจึงถูกทำลายงั้นรึ? เจ้าฟ่านจวิ้นเม่ากินทะเลเมฆรักษาอาการบาดเจ็บ เห็นได้ชัดว่าน่าจะไม่ได้ผลดีนัก แต่เพื่อชดเชยแก่นน้ำของทะเลเมฆส่วนที่ไหลหายไปในช่องโพรงลมปราณของเจ้า กลับต้องสิ้นเปลืองเงินอย่างมาก ใช่ไหม?”
ฟ่านจวิ้นเม่ากล่าวอย่างขุ่นเคือง “เฉินผิงอันเจ้านี่ไม่โง่เลยจริงๆ”
สุยท้ายเฉินผิงอันหยิบตราประทับอักษรน้ำชิ้นนั้นออกมาวางบนโต๊ะเมฆเบาๆ
ฟ่านจวิ้นเม่ามองตราประทับเล็กๆ ชิ้นนี้ด้วยสายตาลึกล้ำแวบหนึ่ง “เจ้าจะหลอมวัตถุชิ้นนี้จริงๆ หรือ? วันหน้าเมื่อเชื่อมโยงเข้ากับชะตาชีวิต หากเจ้าคิดจะเอามันไปประทับมอบโชคแห่งน้ำให้กับลำคลองและแม่น้ำ อาจจะทำลายตบะบนมหามรรคาของตัวเจ้าเอง แน่นอนว่าหากไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้ ใช้ตราประทับชิ้นนี้เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของธาตุน้ำในห้าธาตุ ย่อมมีประโยชน์มหาศาลสำหรับการเปิดจวนในร่างกาย คนทั่วไปคิดขุดน้ำหนึ่งบ่อ อย่างมากสุดก็ได้แค่อ่างน้ำแห่งหนึ่งเท่านั้น แต่เจ้ากลับมีหวังว่าจะบุกเบิกทะเลสาบเล็กๆ แห่งหนึ่ง สภาวะเสี่ยงอันตรายของเจ้าในตอนนี้ที่ปราณวิญญาณกรอกเทเข้าสู่ร่างกายและจิตใจ พุ่งทะยานไปตามช่องโพรงต่างๆ อย่างกำเริบเสิบสาน รุกรานลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นก็จะสามารถแก้ไขไปได้อย่างง่ายดาย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับพลางเอ่ยเสียงหนัก “งั้นก็เอาตราประทับตัวอักษรน้ำนี่แหละ!”
เฉินผิงอันยื่นนิ้วออกมาลูบมังกรเฒ่าโปรยพิรุณชิ้นนั้นเบาๆ เกิดความรู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย เขาจึงขมวดคิ้ว เงยหน้ามองฟ่านจวิ้นเม่า “นี่ก็คือแก่นน้ำ? ส่วนที่ดีเยี่ยมที่สุดซึ่งเกิดจากโชคชะตาแห่งสายน้ำบนโลกมารวมตัวกันเป็นของที่จับต้องได้จริง?”
สายตาของฟ่านจวิ้นเม่าเย็นชา หัวเราะหยันเสียงเย็น “ทำไม กลัวว่าข้าจะทำร้ายเจ้าอย่างนั้นรึ?!”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็หยิบแผ่นหยกชิ้นที่เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอมอบให้ออกมาถือไว้ในฝ่ามือ “วัตถุนี้ก็คือแก่นน้ำด้วยเหมือนกัน?”
เมื่อวัตถุนี้ปรากฏออกมา ทะเลเมฆสี่ทิศก็คล้ายจะมีสติปัญญา พากันลิงโลดร่าเริงราวกับกลุ่มเด็กน้อยที่เห็นน้ำตาลปั้นแล้วอยากกิน
สีหน้าของฟ่านจวิ้นเม่าเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด ไม่ได้ให้คำตอบ แต่ถามกลับว่า “เจ้าไปได้มันมาจากไหน?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าใช่ ดูเหมือนว่าจะดีกว่าหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณที่อยู่ในศาลบรรพชนสกุลฝูชิ้นนี้ด้วย”
สายตาของฟ่านจวิ้นเม่าเปลี่ยนมาเป็นร้อนแรง นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งแรกก็คือตอนที่นางได้ยินว่าบนตัวเฉินผิงอันมีโอสถทองของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสอง ก่อนหน้านี้นางจึงคอยไปป้วนเปี้ยนอยู่ที่ร้านยา
เพียงแต่ว่าคราวนี้ฟ่านจวิ้นเม่าระงับความปรารถนาลงไปได้อย่างรวดเร็ว นางไม่กล้าบังคับซื้อบังคับขายแล้ว เพียงขยับเข้าไปใกล้เล็กน้อย พินิจมองแผ่นหยกที่ถูกเฉินผิงอันปิดตัวอักษรเกินครึ่งอย่างละเอียด แผ่นหยกแวววาวโปร่งใส มีประกายแสงไหลเวียนวน ขอแค่ให้นางได้ดูเป็นบุญตาก็พอ
เฉินผิงอันดูของไม่ออก แต่นางมองออก นี่ต้องเป็นแก่นแห่งโชคชะตาน้ำที่เกิดจากการรวมตัวของสายน้ำขนาดใหญ่บางสายซึ่งเป็นที่ตั้งวังมังกรบางแห่งแน่นอน เป็นวัตถุในซากปรักหักพังของยุคบรรพกาลที่โชคดีเหลือรอดอยู่บนโลก เมื่อเทียบกับหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณที่บรรพบุรุษตระกูลฝูห้อยไว้มานานหลายปีแล้วก็ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน สมบัติวิเศษก่อนกำเนิดกับวัตถุหลังกำเนิด เดิมทีก็มีร่องลึกขนาดใหญ่กั้นขวางอยู่แล้ว และที่ฟ่านจวิ้นเม่าอิจฉาตาร้อนขนาดนี้ก็เป็นเพราะว่าหากหลอมแผ่นหยกชิ้นนี้มาชดเชยความเสียหายของทะเลเมฆ จะช่วยให้นางได้ย้อนกลับคืนสู่ก่อกำเนิดได้อีกครั้งอย่างง่ายดาย จากนั้นก็จะได้เลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนแบบสบายๆ แค่ต้องใช้เวลาไม่เกินสามสิบสี่สิบปีเท่านั้น หลังจากนั้นถึงต้องให้ฟ่านจวิ้นเม่าสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจไปตามหาโชควาสนาตามพื้นที่ลับหรือถ้ำสวรรค์ที่ปริแตกแห่งต่างๆ หวนคืนสู่ถิ่นเก่าก็เท่านั้น เมื่อเทียบกับผู้ฝึกลมปราณทั่วไปที่ต้องออกไปท่องตามซากปรักหักพังซึ่งมีปราณสังหารซุ่มอยู่ทั่วทิศแล้วก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
บทที่ 370.2 พบเจอและแยกย้าย
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “ข้าใช้วัตถุชิ้นนี้มาเป็นแก่นน้ำในการหลอมตราประทับอักษรน้ำแห่งชะตาชีวิต คงจะได้กระมัง?”
ฟ่านจวิ้นเม่าพูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ได้! ได้อย่างมาก! เจ้าคนนี้ วันๆ เหยียบแต่ขี้หมานำโชคจริงๆ วัตถุหายากที่พันปีจะพานพบสักครั้งเช่นนี้ เจ้าก็ยังไปเจอแล้วเอามาเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเองได้! รู้หรือไม่ว่าสมบัติวิเศษก่อนกำเนิดที่ได้แต่ปรารถนามิอาจครอบครองชิ้นนี้ เกรงว่าต่อให้เป็นในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลไม่ทราบชื่อที่ยังไม่มีพวกอริยะไปนั่งในส้วมแต่ไม่ยอมขี้ พวกเซียนดินโอสถทองก่อกำเนิดก็ยังต้องแย่งกันหัวร้างข้างแตก ไม่แน่ว่าอาจมีคนตายอยู่ในนั้น และมีความเป็นไปได้สูงว่ายังต้องช่วงชิงวาสนาเสี้ยวหนึ่งบนมหามรรคากับผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ…”
เฉินผิงอันตัดบท ‘คำบ่น’ ของฟ่านจวิ้นเม่าด้วยการยิ้มบางๆ กล่าวว่า “แต่ละคนมีโชควาสนาแตกต่างกันไป หากข้าเกิดและเติบโตมาในนครมังกรเฒ่า อยู่นานเป็นพันปีก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีโอกาสมายืนอยู่บนทะเลเมฆผืนนี้ ส่วนเจ้าฟ่านจวิ้นเม่าที่ต่อให้ไปเดินเล่นอยู่ในศาลเทพวารีนานเป็นหมื่นปีก็ยังไม่อาจได้หยกชิ้นนี้มาครอง”
ฟ่านจวิ้นเม่าพยักหน้ารับ “พูดไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย แต่อย่ามัวพูดพล่ามไร้สาระอยู่เลย รีบหลอมวัตถุเข้าเถอะ!”
นางสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เริ่มก้าวเดินไปกลางอากาศ สองมือทำมุทรา รอบด้านก็มีลมพัดกระพือฮือโหม ทะเลเมฆผืนใหญ่ยักษ์ที่ปกป้องตลอดทั้งนครมังกรเฒ่าเอาไว้ แถบพื้นที่วงนอกสุดเริ่มม้วนตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็วคล้ายดอกบัวดอกหนึ่งที่เดิมทีผลิบานได้หุบกลีบกลับมาเป็นดอกบัวตูมสีขาวหิมะอีกครั้ง ห่อหุ้มนางกับเฉินผิงอันและโต๊ะเมฆตัวนั้นไว้ภายใน เส้นแสงสีขาวหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนเหนือศีรษะเป็นเหมือนน้ำพุที่ผุดออกมาจากตาน้ำ ไหลลงสู่เบื้องล่าง ปราณวิญญาณลอยขึ้น เฉินผิงอันรู้สึกหายใจยากลำบากขึ้นมาในทันที พอเห็นสายตาฉายแววเร่งรัดของฟ่านจวิ้นเม่าก็หยิบเอาแผ่นหยกสีทองแผ่นนั้นออกมาแขวนไว้ตรงเอวอย่างไม่กระโตกกระตาก
ตัวอักษรที่สลักไว้บนแผ่นหยกคือ ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’
ปราณวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนของทะเลเมฆไหลกรูเข้าหาแผ่นหยกชิ้นนั้น
ฟ่านจวิ้นเม่ารีบสะบัดชายแขนเสื้อขับไล่แก่นน้ำทะเลเมฆที่จงใจทำให้เฉินผิงอันรู้สึกกดดันออกไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกแผ่นหยกชิ้นนั้นดูดซับไปจนหมดสิ้น ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่านางเอาซาลาเปาเนื้อขว้างสุนัข ขว้างไปแล้วไม่ได้กลับคืนจริงๆ
ฟ่านจวิ้นเม่ายังถือว่าพอจะมีคุณธรรมอยู่บ้าง นางถอยกรูดออกไปจากดอกบัวทะเลเมฆ เพียงแต่ใช้เสียงในทะเลสาบหัวใจเอ่ยเตือนว่า “หากมีปัญหาใหญ่ให้หยุดการหล่อหลอมไว้ทันที ได้รับบาดเจ็บแล้วต้องจ่ายเงินชดใช้ อย่างไรก็ดีว่าเอาชีวิตไปทิ้ง ระดับความสูงต่ำของโต๊ะเมฆที่อยู่ด้านหน้านั้น เจ้าสามารถใช้จิตสั่งให้สูงขึ้นหรือต่ำลงได้”
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ โต๊ะเมฆก็ลดระดับต่ำตามมา สุดท้ายกลายมาเป็นเหมือนเสื่อหญ้าสีขาวที่ปูวางอยู่บนพื้น
ตราประทับตัวอักษรน้ำที่ต้องนำมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต เตาตู้ทองห้าสี แผ่นหยกแก่นน้ำที่มาจากวังมังกรของแม่น้ำใหญ่บางสาย ตอนนี้จึงยังไม่ถึงเวลาที่ต้องใช้หยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณชิ้นนั้น
วัตถุดิบวิเศษสี่สิบกว่าชิ้น หนึ่งในนั้นคือชาดที่ ‘นอกเหนือจากห้าธาตุเผาผลาญไม่หมด ยิ่งหลอมนานยิ่งมหัศจรรย์’ ซึ่งมีสิบกว่าชิ้นและมีสีสันหลากหลาย มีทั้งชาดน้ำลึกที่คุณภาพต่ำ มีคุณสมบัติคือความหนักและทื่อ แล้วก็ยังมีชาดเป่ยโต่วที่ส่องประกายแสงระยิบระยับดุจแสงดาว ชาดชนิดต่างๆ ที่มีมูลค่ามากควรเมืองล้วนแบ่งแยกใส่ไว้ในขวดแก้วโปร่งใสเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน
เฉินผิงอันนั่งอยู่เหนือทะเลเมฆ กวาดตามองไปรอบด้าน แม้ว่าร่างจะอยู่ท่ามกลางค่ายกลใหญ่ดอกบัวตูมของทะเลเมฆ ทว่าการมองเห็นกลับเปิดกว้างไร้อุปสรรค สามารถมองเห็นน้ำของทะเลสามทิศได้
การหลอมครั้งนี้หัวใจหลักอยู่ที่แผ่นหยก ไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะสามารถหลอมตราประทับอักษรน้ำให้กลายเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้ในรวดเดียว
ต่อให้หลอมไม่สำเร็จ แล้วแก่นน้ำที่ถูกฟูมฟักมาจากวังมังกรแม่น้ำสายใหญ่ซึ่งอยู่ในภาพลักษณ์ของแผ่นหยกนี้จะแหลกสลายหายไป แต่จะดีจะชั่วก็สามารถกักเก็บปราณวิญญาณไว้ในป้ายหยกสีทองตรงเอวแผ่นนั้นได้ ต่อให้จะไหลกระจายไปบ้าง แต่ก็ต้องผสานรวมเข้ากับทะเลเมฆแห่งนี้ ถือซะว่าเป็นค่าตอบแทนที่ฟ่านจวิ้นเม่าช่วยจัดวางค่ายกลให้
ถอยไปเลือกลำดับรอง หยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณแผ่นนั้นก็สามารถใช้กักเก็บแก่นน้ำมาช่วยประคับประคองการหลอมตราประทับอักษรน้ำได้แช่นกัน
เฉินผิงอันใช้ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูอยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้จิตใจสงบ ในสมองจินตนาการเป็นภาพตอนที่ขึ้นรูปเครื่องปั้นเมื่อครั้งยังเป็นเด็กหนุ่ม
หลังจากโยนเงินร้อนน้อยกำใหญ่เข้าไปแล้ว เตาตู้ทองห้าสีที่วางไว้บนโต๊ะเมฆด้านหน้าก็มีเมฆมงคลห้าสีผุดลอยออกมาจากปากของสัตว์ห้าตัวที่อยู่ริมขอบกระถางโอสถ
เฉินผิงอันดึงปราณแท้จริงที่บริสุทธ์ในร่างกายเฮือกนั้นขึ้นมาแล้วพ่นใส่เตาตู้ทองห้าสีเบาๆ เพื่อ ‘จุดไฟ’
ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ซึ่งไหลทอดยาวไม่ขาดสายขุมนี้เป็นดั่งมังกรเพลิงที่ว่ายวนอยู่ด้านในผนังของเตาหลอมโอสถ เกิดประกายไฟแลบแปลบปลาบไปสี่ทิศ
ไฟแท้จริงในการหลอมวัตถุมีน้ำหนักเพียงพอหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถจุดไฟให้กับเตาหลอมโอสถได้สำเร็จหรือไม่ และระดับความบริสุทธิ์ที่สำคัญยิ่งกว่าก็จะเป็นตัวตัดสินว่าสุดท้ายแล้วระดับขั้นของวัตถุที่ถูกหลอมจะสูงเท่าไหร่
การหลอมแผ่นหยกของตำหนักปี้โหยวชิ้นนี้ไม่เกี่ยวพันกับรากฐานของชีวิต แผ่นหยกไม่ได้หยั่งรากลงในช่องโพรงลมปราณ เมื่อเทียบกับตราประทับตัวอักษรน้ำแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบวิเศษและชาดสีต่างๆ มากมายนัก
เฉินผิงอันศึกษาตำราการหลอมโอสถของลู่ยงก่อกำเนิดผู้เฒ่าเล่มนั้นมานาน และศึกษาเนื้อหาคาถาเซียนที่ ‘ชี้ตรงไปยังมหามรรคา’ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน คาถาทั้งสองบทนี้เรียกได้ว่าบอกทุกหมดที่รู้อย่างไม่มีกักเก็บเอาไว้ ต่างก็เป็นแก่นความรู้ที่ยอดเยี่ยมของทั้งเจ้าตำหนักพยัคฆ์เขียวและเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอ โดยเฉพาะอย่างหลังที่เป็นเลือดเนื้อและจิตใจทั้งชีวิตของเจ้าแม่เทพวารี เฉินผิงอันแค่ต้องทำตามลำดับขั้นตอนที่ระบุไว้ก็พอ ควรจะเพิ่มปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์คำใหม่ซึ่งเป็นดั่งฟืนอีกครั้งเมื่อไหร่ ควรจะโปรยชาดในขวดแก้วใบไหนกี่ตำลึงเมื่อไหร่ ควรจะท่องคาถาขอฝนซึ่งซุกซ่อนสัจธรรมแห่งมหามรรคายามใด ชักนำปรากฎการณ์แห่งเตาหลอม เพิ่มไฟ โปรยน้ำค้างหวานลงไปเหนือเตาหลอมโอสถ ให้น้ำและเปลวไฟที่ส่ายสะบัดอยู่ในเตาหลอมผสมผสานกัน ล้วนแล้วแต่มีกฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติตามทั้งสิ้น
ดังนั้นนอกจากเฉินผิงอันจะเหนื่อยเล็กน้อยแล้ว โดยภาพรวมก็ถือว่ายังมีสมาธิจิตใจที่แน่วแน่เป็นอย่างดี
ฟ่านจวิ้นเม่านั่งอยู่นอกค่ายกลใหญ่ของทะเลเมฆ พึมพำเบาๆ อยู่กับตัวเองว่าเพิ่มชาดไปอีกสองตำลึง รีบๆ ลืมหลอมหินลาวาภูเขาไฟก้อนนั้น พ่นปราณแท้จริงบริสุทธิ์ที่ไม่เพียงพอใส่เตาหลอมให้ช้าหน่อย…
น่าเสียดายก็แต่ทุกการกระทำของเฉินผิงอันเป็นระบบระเบียบ ถึงขั้นตอนที่รอเปลวไฟยังหลับตาทำสมาธิหายใจเข้าออกอย่างมีกฎเกณฑ์ ไม่มีช่องโหว่ที่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิตในขั้นตอนใดๆ เลย แน่นอนว่าตำหนิน้อยใหญ่ย่อมมีอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ทว่าการเผาผลาญในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้ การที่แก่นน้ำของสมบัติพิทักษ์วังมังกรแม่น้ำใหญ่จะไหลล้นออกมาจากเตาหลอม กลายมาเป็นสารบำรุงของทะเลเมฆ เป็นแค่ขนหนึ่งเส้นในวัวเก้าตัวเท่านั้น ฟ่านจวิ้นเม่าผิดหวังอย่างยิ่ง
หลอมสมบัติวิเศษก่อกำเนิดที่ระดับขั้นสูงขนาดนี้เป็นครั้งแรก เจ้าเฉินผิงอันจะไม่ใจสั่นสักหน่อย มือสั่นสักสองสามครั้งบ้างเลยหรือ?
ถือซะว่ามอบแก่นน้ำเป็นของบรรณาการเล็กๆ น้อยๆ ให้แก่ทะเลเมฆ เป็นการชดเชยและค่าตอบแทนให้กับการเฝ้าด่านของนางฟ่านจวิ้นเม่าก็ไม่เกินไปไม่ใช่หรือ?
ถึงท้ายที่สุด ฟ่านจวิ้นเม่าที่รู้สึกสิ้นหวังก็ล้มตัวลงนอนหลับ ไม่มองเตาหลอมใบนั้นอีก ถึงอย่างไรก็ราบรื่นอยู่แล้ว นางไม่มีหวังว่าจะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเลยจริงๆ
ไม่ผิดไปจากฟ่านจวิ้นเม่าคาดการณ์ไว้ นับตั้งแต่ช่วงตีฆ้องยามแรกของโลกมนุษย์จนถึงยามฟ้าสางของวันที่สอง
เฉินผิงอันก็สามารถหลอมแผ่นหยกชิ้นนั้นได้ถึงแปดเก้าส่วนแล้ว เพียงแต่ความพิเศษของมันนั้นอยู่ที่ว่ายังคงเก็บตัวอักษรบนแผ่นหยกเอาไว้ได้
น่าจะเป็นเพราะเจ้าของเดิมของแผ่นหยกใช้วิธีหลอมวัตถุแบบเดียวกันนี้มาหลอมแผ่นหยก อีกทั้งเดิมทีตัวอักษรก็มีสัจธรรมแห่งมหามรรคาแฝงอยู่ จึงสามารถเก็บไว้ได้อย่างที่หาได้ยากยิ่ง เมื่อสูญเสียวัตถุที่รองรับไปแล้ว ตัวเองเกิดสติปัญญา ไม่ยินดีสลายหายไปจากฟ้าดิน หมื่นสรรพสิ่งบนโลกใบนี้เมื่อสติปัญญาเปิดกว้างเมื่อไหร่ก็ล้วนรักตัวกลัวตายทั้งสิ้น ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้มหามรรคา ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกันเอง และการฝึกตนเพื่อพิสูจน์มรรคา ใจที่มุ่งมั่นคิดจะฝึกให้เกิดร่างไม่ดับสลาย ต้านทานการชะล้างจากสายน้ำแห่งกาลเวลาของผู้ฝึกลมปราณก็จะกลายเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อกฎเกณฑ์ของสวรรค์
ตัวอักษรของบทหลอมวัตถุบทนี้เพาะสติปัญญาของตัวเองออกมาได้แล้ว
นี่ก็คือเรื่องที่หาได้ยากอีกเรื่องหนึ่ง
ฟ่านจวิ้นเม่าลุกขึ้นยืนเพ่งตามองไปยังตัวอักษรสีเขียวมรกตขนาดเล็กที่คล้ายจะมีสติปัญญาเหล่านั้น ตัวอักษรหนึ่งพันกว่าตัว ล่องลอยเวียนวนขึ้นๆ ลงๆ อยู่กลางเตาตู้ทองห้าสี
ฟ่านจวิ้นเม่าลังเลเล็กน้อย “ข้าขอแนะนำว่าทางที่ดีที่สุดเจ้าควรหาวิธีเก็บตัวอักษรของคาถาบทนี้เอาไว้ บนเส้นทางการฝึกตนในวันหน้า เมื่อพบเจอกับลูกศิษย์ที่ตัวเองภาคภูมิใจค่อยนาบประทับตัวอักษรเหล่านี้ไว้ในจิตวิญญาณ ก็จะสามารถถ่ายทอดมรรคาได้โดยตรง พวกผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลเซียนบนภูเขาที่มีคำว่าสำนักในชื่อ ส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีนี้กันทั้งนั้น ดังนั้นการสืบทอดควันธูปจึงค่อนข้างจะง่ายดายและผ่อนคลาย ก่อนจะถ่ายทอดมรรคา พวกมันอยู่ในช่องโพรงลมปราณของเจ้าก็สามารถช่วยหล่อหลอม บำรุงความอบอุ่นให้แก่ช่องโพรงจิตวิญญาณของเจ้าได้ด้วย นี่ก็คือวิธีการ ‘บำรุงด้วยอาหาร’ ให้กับจิตวิญญาณซึ่งหาได้ยากยิ่ง ไม่ทิ้งโรคร้ายใดๆ ไว้เบื้องหลัง คือเรื่องดีเหมือนยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว”
เฉินผิงอันลังเลตัดสินใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าควรจะลงมืออย่างไร
ฟ่านจวิ้นเม่ายิ้มเอ่ย “เรื่องนี้ข้าช่วยเจ้าไม่ได้ ตัวอักษรที่มีจิตวิญญาณพวกนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้ามีสมบัติอาคมมีวิชาอภินิหาร คิดอยากจะจับก็ทำได้สมใจปรารถนา หากไม่ระวังถูกพวกมันสัมผัสได้ว่าจิตแห่งเต๋าไม่สอดคล้องกัน พวกมันก็จะแหลกสลายไปในทันที ต่อให้เป็นขอบเขตเซียนเหรินก็ไม่อาจรั้งไว้ได้อยู่”
ในใจเฉินผิงอันบังเกิดความคิดหนึ่ง เขาจำเป็นต้องเก็บตัวอักษรเหล่านี้ไว้ให้ได้ ซุกซ่อนพวกมันเอาไว้อย่างดีก่อน วันหน้ายังต้องคืนให้กับเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอจวนปี้โหยว ระบบการถ่ายทอดเล็กๆ เช่นนี้ แม้ว่าเขาจะหล่อหลอมออกมาได้โดยบังเอิญ แต่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ควรจะจุดธูปก้านนี้ไว้ในศาลเจ้าแม่เทพวารี ให้นางได้เป็นผู้สืบทอดต่อไป
เมื่อความคิดนี้บังเกิดขึ้น
ตัวอักษรมีชีวิตที่เดิมทียังลังเลตัดสินใจไม่ได้เหล่านั้นกลับแปรเปลี่ยนกลายมาเป็นคนตัวจิ๋วขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารที่สวมชุดสีเขียวมรกต พวกมันพากันก้มหัวกราบคำนับเฉินผิงอันด้วยความซาบซึ้งใจอย่างถึงที่สุด
จากนั้นพวกมันก็รวมตัวกันกลายเป็นธารน้ำเส้นหนึ่งที่ไหลกรูเข้าไปในช่องโพรงลมปราณบางแห่งที่เฉินผิงอันคิดจะเก็บตราประทับตัวอักษรแม่น้ำไว้
ฟ่านจวิ้นเม่ามองค้อนปะหลับปะเหลือก จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนหงาย พึมพำว่า “ไม่มีหลักธรรมชาติแห่งสวรรค์เอาซะเลย แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ”
ส่วนแผ่นหยกของวังมังกรที่หล่อหลอมได้สำเร็จด้วยดีแผ่นนั้นก็ถูกคนตัวจิ๋วชุดสีเขียวมรกตที่ตัวสูงกว่าคนอื่นเล็กน้อยแบกเข้าไปไว้ในช่องโพรงลมปราณของเฉินผิงอันเช่นกัน ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อแผ่นหยกลอยอยู่ใน ‘จวน’ ที่ถูกบุกเบิกขึ้นมาใหม่แล้ว คงเป็นเพราะต้องการตอบแทนเฉินผิงอัน คนจิ๋วเหล่านี้จึงเริ่มแบ่งงานกันอยู่ใน ‘ห้องโอสถ’ คนจิ๋วชุดเขียวบางส่วนไปตรงหน้าประตูบานใหญ่ของช่องโพรงลมปราณ เริ่มวาดภาพเทพทวารบาลสองตน และยิ่งมีคนจิ๋วชุดกระโปรงเขียวจำนวนมากกว่านั้นที่วาดน้ำของแม่น้ำสายใหญ่สายหนึ่งลงบน ‘ผนังสี่ด้าน’ ของจวน จวนเล็กๆ ทว่ากลับมีบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่งดงามหลากหลาย…
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ฟ่านจวิ้นเม่าเบิกตากว้าง นางดีดตัวขึ้นมาในท่านอนหงาย ลุกขึ้นยืน พลันเพิ่มระดับน้ำเสียงชี้ไปยังคนหนุ่มที่เริ่มเก็บทรัพย์สมบัติของตัวเองไปทีละชิ้น “เฉินผิงอัน แท้จริงแล้วเจ้าคือเทพพิรุณกลับชาติมาเกิด?! ใช่ไหม?!”
เฉินผิงอันเก็บวัตถุวิเศษแต่ละชิ้นกลับเข้าไปในวัตถุจื่อชื่อ แบ่งแยกประเภทอย่างเป็นระเบียบพลางเงยหน้ายิ้มพูดสัพยอก “ฟ่านจวิ้นเม่า คำประจบนี้…ฟังแล้วแปลกใหม่ไม่ซ้ำใครจริงๆ”
ฟ่านจวิ้นเม่าเก็บค่ายกลใหญ่ทะเลเมฆ ย่อพื้นที่ให้หดเล็กมายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน “มองดูแล้วก็ไม่เหมือนเทพพิรุณนี่นา พูดถึงแค่ความสมารถก็ยังห่างชั้นกับเจ้าคนอ้อนแอ้นเหมือนสตรีผู้นั้นไกลโขนัก ถ้าอย่างนั้นเจ้าทำอย่างไรถึงสามารถทำให้คนจิ๋วผู้สืบทอดโชคชะตาน้ำสายนี้ยินยอมพร้อมใจศิโรราบแก่เจ้า?”
เฉินผิงอันไม่สนใจฟ่านจวิ้นเม่าที่พูดจ้อไม่หยุด เก็บสิ่งของทั้งหมดแล้วก็ลุกขึ้นยืน ถามด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะกลับไปอย่างไร?”
ฟ่านจวิ้นเม่าดีดนิ้วหนึ่งที ทะเลเมฆใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันก็เริ่มไหลเคลื่อนออกไป ปรากฎบันไดเมฆแห่งหนึ่งที่ทอดตรงไปสู่ร้านยาฮุยเฉินในนครมังกรเฒ่า แต่บริเวณโดยรอบบันไดเมฆมีแสงแก้วเปล่งประกายวูบวาบเป็นระลอก เฉินผิงอันรู้ว่านี่คือแสงอันเป็นเอกลักษณ์ที่จะเปล่งออกมาเมื่อแม่น้ำกาลเวลาระหว่างฟ้าดินถูกกระตุ้น ดังนั้นหากเขาเดินลงไปตามบันไดเมฆนี้ เว้นเสียจากว่าเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนแล้ว คนอื่นๆ ในนครมังกรเฒ่าก็จะมองไม่เห็นเงาร่างของเขาอีก
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณฟ่านจวิ้นเม่าแล้วเดินลงไปตามบันไดเมฆแห่งนั้นเพียงลำพัง ค่อยๆ เดินไปตามบันไดทีละขั้นอย่างเชื่องช้า
ระหว่างทางที่ ‘ลงจากภูเขา’ ก็ถือโอกาสก้มลงมองทัศนียภาพอันงดงามของนครมังกรเฒ่าไปด้วย
เฉินผิงอันคิดว่าภาพนี้สามารถสลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่ วันหน้าค่อยเอาไปเล่าให้แม่นางผู้นั้นฟัง
บทที่ 370.3 พบเจอและแยกย้าย
เช้าตรู่วันที่สามสิบของสิ้นปี การเฉลิมฉลองของชาวบ้านทั่วไปในนครมังกรเฒ่าไม่ได้รับผลกระทบจากบรรยากาศกดดันจากตระกูลใหญ่บางแห่ง
ตระกูลฝูยกเลิกคำสั่งห้ามในเมืองไปนานแล้ว ถนนใหญ่ตรอกเล็กต่างก็เต็มไปด้วยความครึกครื้นรื่นเริง
ทางฝั่งของร้านยาฮุยเฉิน วินาทีที่เท้าทั้งสองข้างของเฉินผิงอันสัมผัสกับพื้น สะพานเมฆก็หายไปแล้ว
เทพหยินแซ่จ้าวรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ถามว่า “หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตสำเร็จแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “แค่หลอมวัตถุแก่นน้ำชิ้นหนึ่งเท่านั้น แต่คราวหน้าที่หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิต โอกาสที่จะสำเร็จก็มีสูงมาก”
เทพหยินพยักหน้ารับ “ไม่เลวเลยทีเดียว”
เฉินผิงอันกลับไปที่โต๊ะคิดเงินของร้านยา แผ่นหยกสีทองถูกเขาเก็บลงไปตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้ว ไม่อย่างนั้นหากห้อยไว้ตรงเอวก็หมายความว่าโชคชะตาน้ำของทะเลเมฆจะถูกกลืนกิน ฟ่านจวิ้นเม่าต้องแลกชีวิตกับเขาแน่นอน
ตอนนี้เจิ้งต้าเฟิงสามารถเคลื่อนไหวได้เป็นปกติแล้ว วันนี้เขาบอกให้เผยเฉียนช่วยยกม้านั่งตัวเล็กมาให้ตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะจะไปหาคนบนเส้นทางเดียวกันซึ่งอยู่ใต้ต้นไหว แล้วก็จริงดังคาด เขาได้พบกับเศรษฐีผู้เฒ่าตั้งแต่เช้า อีกฝ่ายกำลังนั่งอ่านหนังสือ จูเหลี่ยนก็ยิ่งตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันโห่ พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้อาวุโสที่ ‘มุมานะอย่างยากลำบากกับการอ่านตำรา’ เจิ้งต้าเฟิงนั่งลงแล้วก็รื้อสะพานหลังข้ามแม่น้ำทันที เขาบอกให้เผยเฉียนกลับไปเล่นที่ร้านยา เผยเฉียนย่อมไม่ยินยอม ยื่นมือออกมาทวงค่าตอบแทนที่ตกลงกันไว้แล้ว ซึ่งก็คือเงินเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ เสียเหงื่อไปส่วนหนึ่งก็ต้องได้รับเงินหนึ่งอีแปะ เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน ต่อให้เฉินผิงอันมารู้ทีหลังก็ไม่มีทางด่านาง ดังนั้นเผยเฉียนจึงรู้สึกว่าตัวเองมีเหตุผลมากเป็นพิเศษ
เจิ้งต้าเฟิงรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย บอกว่าเดี๋ยวจะเพิ่มเงินอีกหนึ่งอีแปะไปในเงินยาสุ้ยของนางก็แล้วกัน เผยเฉียนบอกว่านี่เป็นคนละเรื่องกัน นางไม่ชอบให้คนอื่นติดเงินนาง ไม่อย่างนั้นก็จะต้องคิดบัญชีตามหลักกำไรสามส่วนอย่างที่เว่ยเซี่ยนบอก อีกอย่างติดเงินในวันที่สามสิบของสิ้นปี เจ้าเจิ้งต้าเฟิงยังอยากจะให้ปีหน้ามีชีวิตที่ราบรื่นมั่นคงอีกหรือไม่ ผู้เฒ่าที่ยกเก้าอี้หวายมานั่งเอนหลังอยู่ด้านข้างเห็นด้วยอย่างยิ่ง บอกว่าน้องต้าเฟิง เด็กคนนี้พูดจามีเหตุผล ติดเงินเวลานี้ไม่เป็นมงคลจริงๆ อย่าได้ดูแคลนโชคชะตาของเงินเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญเชียว
เจิ้งต้าเฟิงควักล้วงอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่สามารถเอาเงินเหรียญทองแดงออกมาได้แม้แต่ครึ่งเหรียญ ขณะที่กำลังกลัดกลุ้ม ผู้เฒ่าก็ยิ้มพูดเสนอทางออก บอกให้ขายม้านั่งตัวเล็กให้เขา จากนั้นเขาจะให้เงินเจิ้งต้าเฟิง แล้วเจิ้งต้าเฟิงค่อยเอาเงินให้เผยเฉียนอีกที เจิ้งต้าเฟิงรู้สึกว่าวิธีนี้ใช้ได้ แค่ม้านั่งเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น วันหน้าค่อยให้เฉินผิงอันทำตัวใหม่ให้ก็แล้วกัน หีบไม้ไผ่ เก้าอี้ไม้ไผ่ ม้านั่งอะไรพวกนั้น เฉินผิงอันมีฝีมือดีมาก แล้วก็ชอบจะเสียเวลาทำเรื่องพวกนี้ด้วย
เผยเฉียนเหลือกตามองบน ชี้ไปที่เจิ้งต้าเฟิงและผู้เฒ่าคนนั้น “พวกเจ้าน่ะ แค่เหรียญทองแดงเหรียญเดียวยังคิดเล็กคิดน้อยกันขนาดนี้ ช่างเถอะ คราวนี้ถือว่าข้ามีน้ำใจช่วยเหลือ ไม่เก็บเงินก็แล้วกัน”
เผยเฉียนเลียนแบบท่าทางของเจิ้งต้าเฟิงในตอนแรก ยื่นฝ่ามือออกมากดลงเบื้องล่างสองที “จำไว้ให้ขึ้นใจ บุญคุณอย่าเอาแต่วางไว้บนปาก”
มองเผยเฉียนที่เดินอาดๆ กลับเข้าไปในตรอก จากนั้นก็เห็นว่านางฝึกวิชาหมัดเดินนิ่งที่ร่างโยกเยกไปมา จู่ๆ ก็นึกสนุกเลยทำท่าตวัดเท้าเตะเลียนแบบหลูป๋ายเซี่ยง นางกระโดดผลุงขึ้น แล้วก็เตะเท้าหมุนเป็นวงได้จริงๆ แต่ผลกลับกลายเป็นว่าทำให้ตัวเองเวียนหัว ล้มหน้าทิ่มลงไปบนพื้น นางรีบลุกขึ้นยืนทันใด ข่มกลั้นความเจ็บปวดแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินแยกเขี้ยวเข้าตรอกไป
ผู้เฒ่าถามด้วยรอยยิ้ม “ใครเป็นผู้อบรมสั่งสอนแม่นางน้อยคนนี้ เฉลียวฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก”
จูเหลี่ยนตอบ “คือลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของนายน้อยข้า ซุกซนนักล่ะ”
เจิ้งต้าเฟิงกุมหมัดยิ้มพูด “ผู้อาวุโส เลื่อมใสมานานๆ”
ผู้เฒ่ากุมหมัดคารวะกลับคืน “มิได้ๆ ฉายาในยุทธภพคือทวนหนึ่งฉื่อ อีกฉายาหนึ่งคือเสี่ยวเฟยเซิง ไม่ทราบว่าน้องต้าเฟิงชื่นชมเลื่อมใสเทพธิดาบนภูเขาคนใดมากที่สุด?”
เจิ้งต้าเฟิงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “คือจอมยุทธ์หญิงเฮ้อเหลียนเป่าจูของพรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน!”
ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “ดูท่าสายตาของน้องต้าเฟิงจะธรรมดาอย่างยิ่ง”
มรรคาต่างมิอาจร่วมทาง พูดมากหนึ่งประโยคหรือมองนานอีกหน่อยก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ
เจิ้งต้าเฟิงแค่นเสียงเย็น ขยับม้านั่งตัวเล็กของตัวเองออกห่างไปหลายก้าว
ผู้เฒ่าเองก็ตาต่อตาฟันต่อฟัน ลุกขึ้นขยับเก้าอี้หวายของตัวเองออกไป แล้วถึงได้เอนตัวลงนอนอาบแดดอีกครั้ง
จูเหลี่ยนนั่งอยู่ระหว่างม้านั่งกับเก้าอี้หวาย แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและไม่ได้ยิน ตั้งใจอ่านตำราเทพเซียนอย่างเดียว ตำราในมือเล่มนี้มีที่มาไม่ธรรมดา ราคาก็สูง เป็นฉบับจัดพิมพ์ที่ตระกูลเซียนบนภูเขาทำขึ้นมา คนที่อยู่ในภาพวาดสามารถขยับได้
เจิ้งต้าเฟิงทอดถอนใจ “คิดไม่ถึงว่าเทพธิดาซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยงจะตกต่ำเช่นนั้น น่าเสียดายนัก”
ดวงตาผู้เฒ่าเป็นประกาย เพียงแต่นึกรังเกียจสายตาที่ธรรมดาสามัญของเจิ้งต้าเฟิงจึงยังไม่เต็มใจจะพูดด้วย แต่ทว่าในใจก็รู้สึกคันคะเยอ ถึงอย่างไรเทพธิดาซูเจี้ยก็คือหนึ่งในสองคนที่เขาและหนุ่มน้อยชื่นชอบ
เจิ้งต้าเฟิงลูบคลำปลายคาง เอ่ยเนิบช้า “ปีนั้นโชคดีได้พบหน้าเทพธิดาเฮ้อของสำนักโองการเทพหนึ่งครั้ง เทพธิดาสวมกวานเต๋าไว้บนศีรษะ ในมือจูงกวางขาว เดินนวยนาดตรงมา มาย้อนคิดดูแล้ว ตอนนั้นอยู่ห่างจากเทพธิดาแค่เจ็ดแปดก้าวเท่านั้น…”
ผู้เฒ่าอดทนไม่ไหวอีกต่อไป เบี่ยงตัวหันหน้าไปมองบุรุษมอซอผู้นั้น เอ่ยอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนักว่า “น้องต้าเฟิง อันที่จริงจอมยุทธ์เฮ้อเหลียนก็ดีมากเหมือนกัน”
เจิ้งต้าเฟิงหยิบม้านั่งตัวเล็กขึ้นมา เดินหลังค่อมกลับเข้าไปในตรอกเล็ก
ผู้เฒ่าอึ้งตะลึงอยู่เป็นนาน ก่อนจะกล่าวอย่างเจ็บใจ “น้องต้าเฟิงผู้นี้ ไม่เสียแรงที่เคยพบเห็นโลกกว้างมาก่อน ข้าละอายใจที่สู้ไม่ได้ ก่อนหน้านี้ไม่ควรทำตัวเป็นดั่งกบใต้บ่อ รีบร้อนตัดสินเขา ตอนนี้ดีแล้ว ทำให้น้องต้าเฟิงโกรธ ข้ากับเทพธิดาใหญ่เฮ้อก็ยิ่งอยู่ห่างไกลกันไปอีก ไม่อย่างนั้นวันหน้าเมื่อไปถึงพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานข้าก็สามารถเอาเรื่องนี้มาเล่าให้คนอื่นฟังได้ ต้องทำให้หนุ่มน้อยผู้นั้นดึงหน้าไว้ไม่อยู่ ต้องยอมรับความพ่ายแพ้แน่นอน!”
จูเหลี่ยนที่นั่งอยู่ด้านข้างพยักหน้าและตอบรับอย่างขอไปที
ผู้เฒ่าเอนตัวนอนบนม้านั่งหวาย ถอนหายใจ “ดอกท้อบานสะพรั่ง ไม่รู้ว่าบุรุษผู้มีรักคนใดจะสามารถเด็ดหนึ่งดอกมาวางลงบนหัวใจได้”
จูเหลี่ยนเงยหน้าขึ้น “ประโยคนี้ของผู้อาวุโสพูดได้อย่างมีความรู้มากเลย”
ผู้เฒ่าพยักหน้าอย่างใจกว้าง “นี่คือประโยคที่หนุ่มน้อยเคยพูด คนผู้นี้มีความรู้ด้านวรรณกรรมดีเยี่ยม แม้ว่าเวลาที่ทะเลาะกับคนอื่น คำพูดคำจาจะหยาบคายไปบ้าง แต่ก็มักจะหลุดคำพูดที่น่าประทับใจเช่นนี้ออกมาโดยบังเอิญเป็นประจำ ไม่ผ่านการขัดเกลา กลมกลืนเป็นธรรมชาติ ไม่อย่างนั้นเหตุใดข้าถึงยินดีเรียกเขาว่าพี่ใหญ่กันเล่า?”
จูเหลี่ยนใช้นิ้วแตะน้ำลายพลิกเปิดหนังสือไปอีกหน้าพลางผงกศีรษะรับ “มีโอกาสต้องไปคารวะทักทายพี่ใหญ่ของผู้อาวุโสสักครั้ง”
จู่ๆ ผู้เฒ่าก็เอ่ยถามขึ้นว่า “น้องเล็กจู ขอละลาบละล้วงถามสักคำ ช่วงนี้วันใดที่จะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตหกเลื่อนสู่ขอบเขตร่างทอง ต้องการให้พี่ชายช่วยคุ้มกันให้หรือไม่?”
จูเหลี่ยนส่ายหน้า “มีนายน้อยของข้าอยู่ด้วย ไม่มีทางเกิดเรื่องขึ้นแน่ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อาวุโสกังวลใจกับเรื่องนี้”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “นายน้อยของเจ้าเป็นคนมหัศจรรย์จริงๆ”
จูเหลี่ยนปิดหน้าหนังสือ เอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้นข้าขอละลาบละล้วงถามสักคำ ผู้อาวุโสใช่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตหยกดิบของตระกูลเซียนแห่งใดแห่งหนึ่งหรือไม่?”
ผู้เฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “ขาดอีกแค่นิดเดียว”
แล้วจูเหลี่ยนก็ไม่ถามให้มากความอีก
ถามมากไป รู้ความจริงแล้วกลับจะยิ่งทำลายความสัมพันธ์ สู้ตอนนี้ที่มีอิสระเสรีมากกว่าไม่ได้
เฉินผิงอันยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน ภายใต้การขัดเกลาลับกระบี่ของชูอีกับสืออู่ แท่นสังหารมังกรบนโต๊ะก็เหลือแค่เสี้ยวเล็กๆ ส่วนสุดท้าย
เฉินผิงอันไม่คิดจะประหยัดในด้านนี้ กินแท่นสังหารมังกรชิ้นนี้หมดก็จะเอาแท่นสังหารมังกรชิ้นที่สองที่ใหญ่กว่าออกมา
เจิ้งต้าเฟิงวางม้านั่งตัวเล็กไว้นอกธรณีประตู พอเห็นความเร็วในการ ‘กลืนกิน’ แท่นสังหารมังกรของกระบี่ทั้งสองเล่มแล้ว ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็รู้สึกตื่นตะลึงได้เสมอ เขาจุ๊ปากพูด “บรรพบุรุษน้อยทั้งสองท่านนี้ กินเงินเก่งกว่าสมบัติอาคมจินหลี่บนร่างเจ้าชิ้นนั้นเสียอีก”
เฉินผิงอันถามขึ้นอย่างอดไม่อยู่ “เหรียญทองแดงแก่นทองจะไม่ผลิตอีกแล้วหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงเอนตัวพิงโต๊ะคิดเงิน มองภาพงดงามตระการตาที่สะเก็ดไฟแลบปลาบจากสี่ทิศของแท่นสังหารมังกรชิ้นนั้นพลางพยักหน้ากล่าวว่า “ถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกร่วงลงมาแล้ว ย่อมไม่มีพื้นที่สำหรับการใช้เหรียญทองแดงแก่นทองอีก จะสร้างต่อไปเพื่ออะไร? ต่อให้มอบให้ท่านผู้เฒ่าเปล่าๆ เขายังไม่รับไว้เลย”
เฉินผิงอันถาม “ข้ารู้แค่ว่าเหรียญทองแดงแก่นทองมีค่ามากกว่าเงินฝนธัญพืช แต่มันมีค่าถึงขนาดไหนกันแน่? เหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งเหรียญแลกเป็นเงินฝนธัญพืชได้กี่เหรียญ?”
เจิ้งต้าเฟิงตอบไม่ตรงคำถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหรียญทองแดงแก่นทองได้มาอย่างไร? คือการใช้เศษชิ้นส่วนร่างทองของเทพภูเขาและแม่น้ำที่ถูกทำลายมาเป็นวัสดุหลัก บวกกับสิ่งของอื่นๆ ที่ได้มาไม่ง่ายอีกหลายอย่าง ถึงจะสามารถสร้างเหรียญทองแดงแก่นทองสามชนิดอย่างเงินยาเซิ่ง เงินก้งหย่างและเงินอิ๋งชุนได้ โชคชะตาแม่น้ำและภูเขาของราชวงศ์ต้าหลีมั่นคงมาโดยตลอด น้อยนักที่จะมีศาลเถื่อน ดังนั้นการซื้อเหรียญทองแดงแก่นทองจึงมีราคาแพงมากเป็นพิเศษ ทว่าในมือของกองกำลังหรือตระกูลบางแห่งที่สามารถกว้านซื้อเอาเศษร่างทองของพื้นที่ต่างๆ มาได้กลับมีราคาถูกมาก ต้นทุนต่ำน่ะ ตระกูลเซียนบนภูเขาจึงปล้นชิงไปทั่วทิศ ศาลเถื่อนมีไม่มากพอ อย่างมากก็แค่ข่มราชวงศ์บนโลกมนุษย์บางแห่ง บังคับให้ฮ่องเต้เป็นฝ่ายปลดพวกเขาออกจากตำแหน่ง แอบลดระดับขั้นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาที่ได้รับการสืบทอดที่ถูกต้องให้กลายมาเป็นศาลเถื่อน แค่ใช้วิธีการเข่นฆ่าสังหารที่รวดเร็วราวสายฟ้าแลบเท่านั้น หากกษัตริย์ของราชวงศ์ใดไม่ยอมก้มหัวให้ก็มีวิธีจัดการ กองกำลังตระกูลเซียนจะสมัครรวบรวมพวกผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นพวกเดนตายบางส่วนมา ยืมดาบฆ่าคน ใช้มรรคกถานอกรีตหรือสมบัติอาคมอาวุธวิเศษที่ระดับขั้นไม่สูงมาแลกเปลี่ยนเป็นเศษชิ้นส่วนของร่างทอง เงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่ได้มาจากคาวเลือดเช่นนี้ ต้นทุนอาจเทียบกับเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งไม่ได้เลยด้วยซ้ำ และหากฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีคิดจะหาซื้อมาจากข้างนอก เกรงว่าเงินเหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งเหรียญก็มีค่าเท่ากับเงินฝนธัญพืชเจ็ดแปดเหรียญเลยทีเดียว”
เฉินผิงอันถามอีก “แล้วตอนนี้บนโลกยังมีเงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่เหลือเกินมาบ้างไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงเลิกคิ้ว พูดเนิบช้า “บอกได้ยาก เวลานี้ใครจะโง่เอาเงินเหรียญทองแดงแก่นทองมาขายกันล่ะ ทุกคนต่างก็รู้ว่ามันคือสิ่งของที่จำเป็นบนเส้นทางของการฝึกตน ต่อให้เป็นคนที่ทำธุรกิจไม่เป็นมากแค่ไหนก็ยังรู้จักจะตั้งราคาสูงเทียมฟ้า ใครอยากซื้อก็ซื้อ ไม่อยากซื้อก็ช่าง”
เฉินผิงอันถอนหายใจ รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เขาก็คือคนผู้นั้นที่จนถึงตอนนี้ก็ยังต้องการเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง อีกทั้งยังไม่ได้ต้องการแค่ไม่กี่เหรียญ ต่อให้เป็นหลายถุงก็ยังไม่รังเกียจว่ามากเกินไป
ชีวิตของคนทั้งสี่ในม้วนภาพวาด การซ่อมแซมและเลื่อนระดับขั้นของชุดคลุมอาคมจินหลี่ รวมไปถึงการหล่อหลอมซ่อมแซมวัตถุแห่งชะตาชีวิตของธาตุทองในอนาคต มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าต้องเผาผลาญเงินเหรียญทองแดงแก่นทองจำนวนมาก ประโยชน์ของมันคล้ายคลึงกับแผ่นหยกที่ก่อตัวขึ้นจากแก่นของสายน้ำแห่งวังมังกรแผ่นนั้น
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยสั่งสอน “ช่วงปีใหม่ ถอนหายใจให้น้อยๆ ลงหน่อย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
……
ต่อให้ลูกศิษย์ของสำนักใบถงจะทนมาได้จนถึงวันที่สามสิบของสิ้นปีนี้ แต่ทุกคนต่างก็ค้นพบด้วยความเศร้ารันทดว่า ไม่มีวี่แววว่าพวกเขาจะอดทนผ่านช่วงเวลายากลำบากนี้ไปได้เลย
ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นยังคงใช้ปราณกระบี่ที่เฉียบคมของทั้งร่างทำลายโชคชะตาแห่งภูเขาและแม่น้ำในรัศมีพันลี้ของสำนักใบถงให้แหลกเป็นผุยผงได้อย่างง่ายดาย
ทำลายเป็นเรื่องง่าย แต่ผู้ฝึกตนโอสถทองและก่อกำเนิดที่ตามก้นผู้ฝึกกระบี่ต้อยๆ คอยรวบรวมเอาปราณวิญญาณมาชดเชยซ่อมแซมและสร้างรากภูเขาเส้นทางสายน้ำที่ถูกทำลายไปจนสิ้นขึ้นมาใหม่ กลับเป็นเรื่องที่ยากอย่างถึงที่สุด เว้นเสียจากว่าเซียนดินเหล่านี้จะเต็มใจเผาผลาญตบะของตัวเองถึงจะพอเพิ่มความเร็ว ป้องกันไม่ให้ปราณวิญญาณแห่งแม่น้ำและภูเขาไหลออกไปข้างนอกอย่างต่อเนื่องได้ ทว่าพวกเซียนดินที่ได้รับการบันทึกชื่อไว้ในเทียบวงศ์ตระกูลของสำนัก หากตบะเกิดไม่มั่นคงขึ้นมาก็จะไปชักนำโชคชะตาของสำนักที่มองไม่เห็น
เดิมทีสำนักใบถงเป็นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นเป็นอันดับหนึ่งของทวีป แต่เมื่อต้องมาเจอกับวงจรเลวร้ายวันแล้ววันเล่า ต่อให้เป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่พรสวรรค์บางเบามากที่สุดซึ่งเข้าสำนักมาทีหลังก็ยังตระหนักได้ว่าสำนักใบถงกำลังเผชิญกับด่านยากที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์พันปี
แต่เรื่องที่ทำให้พวกเขาสงสัยไม่เข้าใจมากที่สุดนั้นอยู่ที่ว่า นอกจากเจ้าสำนักที่ปรากฏตัวตอนแรกสุด บ้างก็ออกมาเข่นฆ่า บ้างก็ออกมาขัดขวางห้ามปรามผู้ฝึกกระบี่คนนั้นแล้ว ตู้เม่าบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ซึ่งสำหรับในใจผู้ฝึกตนสำนักใบถงแล้วสูงส่งยิ่งกว่าแผ่นฟ้ากลับไม่เคยปรากฏตัวแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ให้ความสนใจการท้าทายจากผู้ฝึกกระบี่คนนั้นเลย ถึงขั้นที่ว่าสำนักตกอยู่ในอันตราย รากฐานสั่นคลอน บรรพจารย์ซึ่งมีศักยภาพในการสยบผู้ฝึกลมปราณของทั้งทวีปกลับยังไม่มีความเคลื่อนไหว
แต่ตอนนี้ผู้ฝึกลมปราณส่วนใหญ่ของสำนักใบถงต่างก็ยังยินดีจะเชื่อว่าหากบุรพาจารย์ไม่เคลื่อนไหวก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่หากเคลื่อนไหวขึ้นมาต้องโจมตีปลิดชีพได้ในครั้งเดียว ผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่วคนนั้นถูกกำหนดมาแล้วว่าจะกำเริบเสิบสานได้อีกไม่กี่วัน
ภูเขาใหญ่ ราชวงศ์และชนชั้นสูงของใบถงทวีปแทบทั้งหมดล้วนกำลังจับตามองความเคลื่อนไหวของสำนักใบถง
บทที่ 370.4 พบเจอและแยกย้าย
เมื่อเจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกเดินอาดๆ มาชมความครึกครื้นไปรอบหนึ่ง ยิ่งนานก็ยิ่งมีผู้ฝึกตนเซียนดินจากสถานที่ต่างๆ ที่พยายามปกปิดลมปราณของตัวเองจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ มาชมเหตุการณ์อยู่ไกลๆ ร่ายวิชาเทพมองแม่น้ำและภูเขา ต่างก็พากันเอาความสามารถในการพิทักษ์ตระกูลของตัวเองออกมาตรวจสอบเบาะแสต่างๆ ซึ่งรวมถึงการโคจรของฮวงจุ้ย ความตื้นลึกของโชคชะตา ความหนาบางของโชควาสนา ฯลฯ แรกเริ่มใครก็ไม่กล้าเชื่อว่าผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งจะสามารถส่งผลกระทบกับแนวโน้มการดำเนินไปของปราณวิญญาณสามสี่ในสิบส่วนของยักษ์ใหญ่อย่างสำนักใบถงแห่งนี้ได้
การเข่นฆ่าบนสนามรบของราชวงศ์ใต้ภูเขา สองกองทัพประจัญบานกัน หากมีฝ่ายหนึ่ง ‘บาดเจ็บและตาย’ อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็เท่ากับพ่ายแพ้ยับเยิน
ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นไม่ได้ฆ่าคน
นอกจากฝ่าม่านอาคมและวงล้อมสังหารแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ก็แทบไม่เคยปล่อยกระบี่ออกมาอีก
แต่ต่อให้เป็นเทพเซียนพสุธาที่สายตาย่ำแย่แค่ไหนก็ยังมองออกว่าจิงเสินชี่ของลูกศิษย์สำนักใบถงเริ่มดิ่งลงเนินกันแล้ว
ตลอดพันปีที่ผ่านมา ลูกศิษย์สำนักใบถงที่ไม่ว่าจะฝึกตนบนภูเขาก็ดี หรือลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์ก็ช่าง ไม่ว่าจะใช้อำนาจรังแกคนอื่นหรือพุ่งเข้าหาหายนะด้วยตัวเองก็ล้วนมีพลังที่กร้าวแกร่งขุมหนึ่งประคับประคองจิตแห่งเต๋าเอาไว้ เป็นเหตุให้เมื่อเทียบกับการเดินทางขึ้นเขาของผู้ฝึกลมปราณสำนักอื่นแล้ว ลูกศิษย์สำนักใบถงสามารถบุกรุดหน้าไปได้อย่างราบรื่นมากที่สุด
เมื่อเจอกับความขัดแย้ง ผู้ฝึกลมปราณที่มีขอบเขตสูงกว่าย่อมได้เปรียบ แต่ขอแค่บอกชื่อสำนักใบถงออกไปก็จะสามารถหมิ่นเกียรติผู้ฝึกลมปราณของภูเขาลูกอื่นได้อย่างกำเริบเสิบสาน ห้าวหาญฮึกเหิม ซึ่งเรื่องพวกนี้ถูกมองเป็นเรื่องปกติ เมื่อเจอหรือได้ยินว่าลูกศิษย์สำนักเดียวกันถูกรังแก ไม่พูดไม่จาก็ขี่กระบี่หรือไม่ก็ทะยานลมพุ่งไปไกลเป็นพันลี้ เงื้อหนึ่งกระบี่ฟันศีรษะของศัตรู
ลูกศิษย์บางคนของสำนักใบถงที่นิสัยแข็งกร้าวหัวรุนแรง เวลาเจอกับช่วงเวลาแห่งความเป็นตายจะยินดีแลกชีวิตกับผู้ฝึกตนที่เป็นศัตรู ยอมให้พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย คนที่ยกยิ้มกระโจนเข้าสู่ความตาย ในประศาสตร์มีมากจนนับไม่ถ้วน
หากวันแรกที่ผู้ฝึกกระบี่บุกเข้ามาในภูเขา ตู้เม่าบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์หรือเจ้าสำนักออกคำสั่งแค่คำเดียว ลูกศิษย์ที่ยินดีตายเพื่อสำนักใบถงอย่างกล้าหาญ ไม่กล้าพูดว่าผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาทั้งหมดในรัศมีพันลี้ แต่อย่างน้อยก็ต้องมีคนถึงครึ่งหนึ่งที่มองความตายดั่งการกลับคืนสู่มาตุภูมิ พร้อมที่จะเป็นแมงเม่าพากันบินเข้ากองไฟอย่างไม่ขาดสายโดยที่ไม่เสียดายชีวิต
หากผู้ฝึกลมปราณที่มีจิตใจอันฮึกเหิมทำเช่นนี้เมื่อไหร่ ทุกคนคงคิดว่าตนเองตายอย่างมีความหมาย คนที่ผิดก็คือผู้ฝึกกระบี่คนนั้น
แต่เมื่อมาถึงวันนี้ วันที่สามสิบซึ่งเป็นวันสิ้นปี
ส่วนลึกในใจของทุกคน นอกจากหวังว่าบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ซึ่งมีขอบเขตบินทะยานจะปรากฎตัวออกมาสังหารศัตรูแล้ว ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความสั่นคลอนไม่มั่นคง สำนักของตนไปทำอะไรไว้ข้างนอกกันแน่ ถึงได้ไปชักนำเซียนกระบี่ที่วางอำนาจบีบคั้นผู้คน แต่กลับไม่สังหารคนพร่ำเพื่อผู้นี้มา ถึงบีบให้บรรพจารย์ที่อยู่ในถ้ำสวรรค์อู๋ถงปิดประตูไม่ต้อนรับแขก ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สำนักใบถงของพวกเขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้? อยู่ในถิ่นของตัวเอง จะไม่ใช้เหตุผลก็ไม่ได้งั้นหรือ? แม้แต่การใช้อำนาจข่มคนอื่นที่เชี่ยวชาญมากที่สุดก็ทำไม่ได้แล้ว?
อันที่จริงเจียงซ่างเจินไม่ได้จากไปไหนไกล เขากำลังดื่มสุราเลิศรสอยู่กับผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งซึ่งห่างไปไกลพันลี้ ฝ่ายหลังส่ายหน้าคลี่ยิ้ม “กระดูกสันหลังของสำนักใบถงถือว่ายุบลงมาเกินครึ่งแล้ว”
เจียงซ่างเจินราวกับว่าไม่ใช่ประมุขสกุลเจียงสำนักกุยหยก แต่เป็นผู้ถวายงานของสำนักใบถง เขาหัวเราะหึหึ “อย่าพูดอย่างนี้สิ จะดีจะชั่วตู้เม่าก็เป็นถึงขอบเขตบินทะยาน ขอแค่จัดการกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้นี้ได้ก็ยังมีโอกาสรอดชีวิตอีกเสี้ยวหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจได้รับโชคหลังหายนะ ชื่อเสียงไต่ทะยานขึ้นพรวดพราด…”
แล้วจู่ๆ เจียงซ่างเจินก็หัวเราะก๊าก “จัดการกะผีน่ะสิ เจ้าตะพาบเฒ่าตู้เม่าผู้นี้ถือว่าดวงซวยสิบแปดชาติแล้ว เจ้าสำนักผู้เฒ่าของข้าส่งข่าวมาบอกว่า ตู้เม่ากำลังดวงตก ตอนอยู่นครมังกรเฒ่าดูเหมือนว่าเรือกลืนกระบี่อาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตของเขาจะถูกคนทำลายจนระเบิดแตก จิตหยางกายนอกกายก็กลายไปเป็นคราบร่างเซียนที่อยู่ในกระเป๋าของคนอื่น ตอนนี้คือขอบเขตเซียนเหรินที่ขอบเขตไม่มั่นคงเท่าไหร่นัก…คราวนี้ข้าผู้อาวุโสรวยแล้ว เจ้าสำนักผู้เฒ่าดีใจมาก บอกว่าในอนาคตอีกห้าร้อยปี สำนักจะลดส่วนแบ่งในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาไปอีกหนึ่งส่วน…โธ่เอ๋ย เซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่ว เซียนกระบี่น้อยเฉิน น่าเสียดายที่ท่านผู้อาวุโสทั้งสองไม่อยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นข้าเจียงซ่างเจินจะคุกเข่าโขกศีรษะให้ผู้มีพระคุณใหญ่ทั้งสองท่านอย่างพวกเจ้าห้าร้อยครั้งเพื่อแสดงการขอบคุณเดี๋ยวนี้เลย นี่ยังน้อยไปด้วยซ้ำ…”
เจียงซ่างเจินหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพลางใช้หมัดทุบโต๊ะหิน มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นได้ถึงระดับเขานี่ อันที่จริงก็มีให้เห็นได้ไม่บ่อยนัก
ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่มีผมสีขาวโพลน ใบหน้าแดงปลั่งอิ่มเอิบถามเสียงเบา “ขอท่านถามเจียง สำนักใบถงควรจะรับมืออย่างไร?”
เจียงซ่างเจินยื่นมือมาเช็ดน้ำตาตรงหางตา โบกมือกล่าว “เจ้าให้ข้าหัวเราะอีกสักพัก หยุดไม่ได้จริงๆ”
ผู้ฝึกกระบี่ผู้เฒ่าคลี่ยิ้มอย่างอ่อนใจ
เขากับเจียงซ่างเจินและลู่ฝ่างคือเพื่อนเก่าที่รู้จักกันด่านล่างภูเขาเมื่อนานมาแล้ว
หลังจากหยุดเสียงหัวเราะนั้นลงอย่างยากลำบาก เจียงซ่างเจินก็กล่าวว่า “ยังจะทำอะไรได้อีก ตู้เม่าได้แต่เดิมพันสุดตัวเท่านั้น เหตุผลของเขาย่อมเอาชนะเซียนกระบี่ผู้นั้นไม่ได้ ตีกัน? จะตีอย่างไร อาศัยขอบเขตหยกดิบไม่กี่คนนั่นน่ะหรือ? พูดคำพูดที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ขอแค่จั่วโย่วตัดสินใจจะเล่นงานสำนักใบถงให้ถึงที่สุด อย่าว่าแต่ปราณวิญญาณสามสี่ในสิบส่วนที่ปั่นป่วนเลย หากให้เวลาจั่วโย่วอีกสักหนึ่งปี สำนักใบถงก็รอจบเห่ได้เลย หากเปลี่ยนเป็นในอดีต ต่อให้ภูเขาลูกนี้ไม่มีขอบเขตบินทะยานอย่างตู้เม่า แต่สร้างคลื่นมรสุมใหญ่ขนาดนี้ สำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อก็น่าจะปรากฏตัวแล้ว ทว่าครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าสำนักศึกษาไม่มีทางออกมาช่วยทวงความยุติธรรมให้ นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าสำนักใบถงเป็นฝ่ายทำผิดก่อน และต่อให้จั่วโย่วจะบุกเข้ามาในอาณาเขตของสำนักใบถงก็ยังไม่เคยล้ำเส้น การกระทำของเขายึดหลักเหตุผล นี่ทำให้สำนักศึกษาของใบถงทวีป หรือแม้แต่สถานศึกษาในแผ่นดินกลางก็ยังไม่อาจทำอะไรเขาได้”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าพยักหน้ารับ “คำว่ามีดที่บัณฑิตใช้ฆ่าคนไม่เปื้อนเลือดก็เป็นเช่นนี้เอง”
เจียงซ่างเจินหันหน้าไปมองยังทิศทางของสำนักใบถงที่อยู่ทางเหนือ ต่อให้อยู่ห่างกันนับพันลี้ แต่ก็ยังพอมองเห็นถึงสัญญาณว่าโชคชะตาแม่น้ำภูเขาของพื้นที่แถบนั้นเริ่มเปลี่ยนจากใสมาเป็นขุ่นมัวได้ลางๆ นอกจากเจียงซ่างเจินจะกลัวว่าใต้หล้ายังวุ่นวายไม่พอแล้ว เขาก็ยังย้อนทบทวนตัวเองอย่างหวาดหวั่น แล้วก็อดเกิดความรู้สึกกระต่ายตายสุนัขจิ้งจอกเศร้าอาลัยขึ้นมานิดๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เขากล่าวด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “นอกจากตู้เม่าจะสูบน้ำให้แห้งแล้วจับปลา กวาดเอาปราณวิญญาณทั้งหมดในถ้ำสวรรค์อู๋ถงมาหมดในรวดเดียว เพื่อช่วยให้ตัวเองบินทะยานไปได้แล้ว เขาก็ไม่มีวิธีอื่นอีก ขอแค่บินทะยานได้สำเร็จ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังได้คุณความชอบติดกาย ตามกฎข้อที่หลี่เซิ่งกำหนดเอาไว้ สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อก็ต้องช่วยเขาดูแลสำนักใบถงเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก ถึงเวลานั้นเว้นเสียแต่ว่าจั่วโย่วจะยินดีงัดข้อกับระบบสืบทอดดั้งเดิมทั้งหมดของลัทธิขงจื๊อแล้ว ก็ได้แต่หยุดเมื่อถึงเวลาสมควรเท่านั้น”
เจียงซ่างเจินประนมสิบนิ้วชูขึ้นสูงเหนือหัว หลับตาขอพร “เซียนกระบี่จั่วโย่ว นายท่านจั่ว ขอร้องท่านผู้อาวุโสช่วยมานะบากบั่นต่อไปไม่ย่อท้อ จะต้องเล่นงานเจ้าเต่าตู้เม่านั่นให้ตายให้จงได้!”
เซียนกระบี่ก่อกำเนิดผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้ม เจ้าตู้เม่ามองเซียนกระบี่ทุกคนในโลกเป็นศัตรูหมดไม่ใช่หรือ? ชอบเหยียบย่ำเซียนกระบี่ที่โชคร้ายตายด้วยน้ำมือของเจ้ามากนักไม่ใช่หรือไง? ตอนนี้เป็นอย่างไร แน่จริงก็ลองยื่นหัวออกมาจากกระดองเต่าของเจ้าดูสิ
ท่ามกลางแสงสนธยาในวันที่สามสิบของสิ้นปีวันนี้ แรกเริ่มถ้ำสวรรค์อู๋ถงที่สำนักใบถงควบคุมมายาวนานหลายปีแห่งนั้นได้เผยร่างจริงส่วนหนึ่งบนยอดเขาของภูเขาบรรพบุรุษ ประหนึ่งภาพมายาอันงดงาม จากนั้นก็ล่องลอยไม่อยู่นิ่ง สุดท้ายแตกออกดังโพล๊ะ เศษซากของถ้ำสวรรค์เป็นดั่งดาวตกที่กระจายไปตามมุมต่างๆ ของใต้หล้าไพศาล บ้างก็หายไปโดยตรง บ้างก็แหวกทะลุความว่างเปล่าออกไป ไม่รู้ว่าหายไปไหน
จากนั้นก็เป็นเรือนกายที่มีเนื้อหนังมังสาของตู้เม่าที่ค่อยๆ สลายหายไปตามลม
มีเพียงกายธรรมร่างทองที่จำแลงมาจากจิตหยินเท่านั้นที่ดึงดูดเอาปราณวิญญาณส่วนใหญ่ของถ้ำสวรรค์อู๋ถงไปจึงขยายใหญ่เท่าขุนเขา มากอำนาจบารมี กายธรรมร่างทองนี้สูงหลายพันจั้ง เท้าสองข้างเหยียบอยู่บนยอดเขาของภูเขาบรรพบุรุษ แม้ว่าจะมีขนาดอยู่ในขอบเขตของกายธรรมร่างทองของผู้ฝึกลมปราณ แต่เรือนกายกลับมีประกายแสงห้าสีเปล่งแวววาว เปลี่ยนมาเป็นลึกลับเกินจะหยั่ง กายธรรมยื่นแขนสองข้างออกมา นิ้วทั้งห้าของสองฝ่ามือกางออก ชูขึ้นเหนือศีรษะ จากนั้นก็กระชากหนึ่งครั้งคล้ายกระชากม่านฟ้ามุมหนึ่งของใต้หล้าไพศาลลงมา
จุดที่ม่านฟ้าถูกฉีกเกิดเสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น สายฟ้าสีม่วงแลบแปลบปลาบ เรือนกายใหญ่โตดุจขุนเขารูปแบบต่างๆ พุ่งวูบวาบ ประหนึ่งโครงกระดูกของเจียวหลงที่ส่ายสะบัดหางว่องไวดุจสายฟ้าแลบ แล้วก็มีโครงกระดูกขนาดใหญ่ยักษ์สีทองที่นั่งขัดสมาธิอยู่ มีกรงเล็บมหึมาสีชาดข้างหนึ่งพยายามจะกระชากรอยแยกของม่านฟ้าให้ยิ่งขยายใหญ่…ทุกภาพล้วนเหมือนกันโดยไม่มีข้อยกเว้น คือเป็นปรากฎการณ์น่าหวาดกลัวที่ไม่เคยมีปรากฎในใต้หล้าไพศาลมาก่อน
เซียนกระบี่จั่วโย่ว มือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งถือกระบี่วางขวางไว้เบื้องหน้า ทะยานขึ้นไปกลางอากาศช้าๆ
เมื่อเทียบกับกายธรรมแก้วห้าสีที่กว่าตู้เม่าจะสร้างขึ้นมาได้ก็ต้องสละกายหยาบ ใช้จิตหยินกลืนกินปราณวิญญาณของถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่งเกือบหมดแล้ว ร่างและกระบี่ของจั่วโย่วก็เล็กราวกับเมล็ดงา
จั่วโย่วกับหนึ่งกระบี่พุ่งผ่านไปในแนวขวางอย่างเชื่องช้า
เพียงแค่นี้เท่านั้น
จั่วโย่วเข้าใจมาตลอดว่า จุดสูงสุดของเวทกระบี่ในโลกมนุษย์อยู่แค่ที่สองกระบี่เท่านั้น กระบี่หนึ่งในนั้นคือหนึ่งกระบี่ที่ฟันผ่าถ้ำสวรรค์หวงเหอไปอย่างไม่ใส่ใจซึ่งเป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของบัณฑิตแห่งแผ่นดินกลาง
อีกหนึ่งกระบี่นั้นเก็บอยู่ในฝักกระบี่ของตนมาตลอดเวลา
ซึ่งก็คือครั้งนี้
ครู่หนึ่งต่อมา
กายธรรมแก้วใหญ่ยักษ์ที่บินทะยานสูงจากพื้นไปหลายพันจั้งแล้ว
‘กึ่งกลางเอว’ ของกายธรรมที่ใหญ่โตดุจขุนเขาปรากฏเส้นสีขาวหิมะที่บางมากจนสังเกตไม่เห็น บางจนเหมือนกับผมเส้นหนึ่งของหญิงสาวบนโลกมนุษย์
ในขณะที่ขยับเข้าไปใกล้ม่านฟ้ามากขึ้นทุกขณะ เอวกลับขาดกลาง ร่างกายแก้วใสห้าสีถูกฟันออกเป็นสองท่อน ร่างครึ่งบนยังคงทะยานสูงขึ้นไปอย่างเดือดดาลและเศร้าใจ ยื่นมือไปพยายามกำขอบร่องของม่านฟ้าที่ม้วนงอ คิดจะปีนป่ายขึ้นไป ส่วนกายท่อนล่างระเบิดแตกดังปัง ปราณวิญญาณกลับคืนสู่ฟ้าดินอีกครั้ง และยังมีวัตถุที่มีลักษณะเป็นแก้วใสอีกสิบกว่าชิ้นซึ่งคราบร่างบินทะยานทิ้งไว้สาดกระเซ็นไปสี่ด้านแปดทิศ กลายเป็นโชควาสนาบนเส้นทางการฝึกตนของคนอื่น
จั่วโย่วเก็บกระบี่กลับเข้าฝัก
เทพร่างแก้วใสที่เหลือเพียงท่อนบนร่วงกลับลงมาบนพื้นดินของใต้หล้าไพศาล
ประหนึ่งดาวตกที่พร่างพราวที่สุดซึ่งลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
จั่วโย่วเงยหน้ามองม่านฟ้าที่ยังไม่ประกบปิดเข้าหากันแล้วจึงถอนสายตากลับมา ก่อนจะกลายร่างเป็นรุ้งยาวที่พุ่งไปยังมหาสมุทรกว้างใหญ่ซึ่งอยู่ระหว่างใบถงทวีปและแจกันสมบัติทวีป
ออกทะเลมาได้ไม่นานเท่าไหร่ จั่วโย่วก็หยุดชะงัก
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยถาม “ทำไมถึงไม่บินทะยานจากไป?”
จั่วโย่วเงียบงันไม่ตอบ
คนทั้งสองอยู่ห่างกันแค่สี่ห้าก้าว
ซิ่วไฉเฒ่ายื่นมือชี้ไปยังรอยแยกม่านฟ้าที่ตู้เม่าฝืนกระชากเอาไว้ตอนบินทะยานแล้วคำรามอย่างเดือดดาล “ทำไมไม่ฉวยโอกาสไปจากใต้หล้าแห่งนี้?! หรือเจ้าต้องการจะพิสูจน์คำพูดระยำประโยคนั้น ต้องการให้ ‘จั่วโย่วเป็นคนตาย’ ไปจริงๆ?!”
จั่วโย่วก้มหน้าลงต่ำ
คราวนี้ซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้กระโดดตบหัวของเขา เพียงกล่าวอย่างห่อเหี่ยวว่า “ไปเถอะ รู้ว่าเจ้าอยากไปภูเขาห้อยหัว อยากไปกำแพงเมืองปราณกระบี่มาโดยตลอด ไปเถอะๆ ฝนจะตก สตรีจะแต่งงาน ลูกศิษย์จะทำให้อาจารย์เสียใจล้วนขัดขวางไม่อยู่”
จั่วโย่วกุมหมัดคารวะ “ลูกศิษย์จั่วโย่ว กราบลาท่านอาจารย์!”
ซิ่วไฉเฒ่าโบกมือ พูดไม่ออก
จั่วโย่วหมุนกายกลับหลังแล้วก็คล้ายจะยังตัดใจไม่ได้ จึงไม่ได้กลายร่างเป็นรุ้งยาวจากไป เพียงแค่ก้าวเดินไปทีละก้าว
จั่วโย่วกล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็กที่อาจารย์รับมา ไม่เลวเลย”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ไปๆๆ ไสหัวไป”
ซิ่วไฉเฒ่าเองก็หมุนตัวกลับ อาจารย์และลูกศิษย์สองคนจึงหันหลังให้กันอย่างนี้ คนหนึ่งยืนอยู่ที่เดิม อีกคนหนึ่งเดินจากไปไกล
ซิ่วไฉเฒ่าพลันเกาหัว ราวกับนึกเรื่องมากมายในอดีตขึ้นมาได้ ตอนนั้นตนยังเป็นแค่ซิ่วไฉยากจน ชื่อเสียงไม่โด่งดัง ดังนั้นชุยฉานลูกศิษย์คนแรกที่รับมาคือเด็กจากครอบครัวคนมีเงิน สองชายแขนเสื้อของซิ่วไฉยากจนมีแต่ลมเย็น เป็นเหตุให้กระเป๋าเงินฟีบแบน จากนั้นลูกศิษย์คนที่สองและลูกศิษย์คนที่สามจึงไม่ใช่คนมีเงินอะไร อันที่จริงตอนนั้นลูกศิษย์ทั้งสามคนสนิทกันมาก เขาที่เป็นอาจารย์จึงสบายใจที่สุด ภายหลัง แต่ละคนต่างก็เติบใหญ่
ซิ่วไฉเฒ่าหันหลังให้กับลูกศิษย์ที่แท้จริงแล้วตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่ได้ทำตัวสง่างามสักเท่าไหร่ แล้วจู่ๆ ก็คลี่ยิ้มอย่างปลาบปลื้มใจ “วันหน้าไปอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วต้องสง่างามให้ได้นะ”
หยุดชะงักไปเล็กน้อย ผู้เฒ่าก็เอ่ยขึ้นอีกเบาๆ ว่า “จั่วโย่ว อันที่จริงเจ้าเรียนกระบี่ได้ดี แต่เรียนหนังสือได้ดียิ่งกว่า”
ผู้ฝึกกระบี่ก้าวยาวๆ จากไป เพียงทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ในโลกมนุษย์อันวุ่นวายที่เขาไม่ชอบที่สุดแห่งนี้ว่า “เพราะอาจารย์สอนมาดี”
บทที่ 371.1 ปีใหม่บรรยากาศใหม่
วันที่สามสิบของสิ้นปีเขียนกลอนคู่เปลี่ยนกลอนคู่ ก่อนหน้านี้ร้านยาฮุยเฉินซื้อกระดาษพื้นหลังสีแดงที่ใช้เขียนกลอนคู่มาไว้ไม่น้อย แปะไว้ที่หน้าประตูใหญ่ของร้านยาหนึ่งแผ่น ห้องหลักและห้องข้างสามห้องของเรือนหลัง รวมทั้งหมดต้องใช้กลอนคู่สี่แผ่น
เฉินผิงอัน เผยเฉียน เจิ้งต้าเฟิงและหลูป๋ายเซี่ยงต่างก็เขียนกันคนละแผ่น ล้วนเอาเนื้อหามาจากสมุดพับกลอนคู่เล่มเล็กที่ซื้อมาจากตลาด ไม่ได้พิถีพิถันอะไรมากนัก
เฉินผิงอันเขียนตัวอักษรอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หลูป๋ายเซี่ยงเขียนแบบพลิ้วไหว เจิ้งต้าเฟิงก็เขียนตัวอักษรออกมาได้ไม่ธรรมดาเช่นกัน เผยเฉียนพูดอย่างฮึกเหิมว่าจะเขียนเองหนึ่งแผ่น ผลกลับกลายเป็นว่าเขียนอย่างตั้งใจ แต่กลับถูกคนรังเกียจ จูเหลี่ยนที่ยืนอยู่ส่ายหน้า แม้แต่เว่ยเซี่ยนก็ยังพูดว่าเขียนได้ดีมาก แต่น่าเสียดายที่คนเรากลัวการเปรียบเทียบมากที่สุด เผยเฉียนเองก็กระดากใจ คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะพูดว่างั้นก็เอาตามนี้แหละ แค่ให้มีบรรยากาศของการเฉลิมฉลองเท่านั้น ไม่ต้องคิดมากว่าตัวอักษรจะดีหรือเลว เผยเฉียน เว่ยเซี่ยนและสุ่ยโย่วเปียนสามคนรับผิดชอบไปยกม้านั่ง บันไดและหยิบแป้งเปียกมาใช้ติดกลอนคู่ เฉินผิงอันกับเจิ้งต้าเฟิงยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งคอยชี้ไม้ชี้มือออกคำสั่ง ยืนพูดไม่ปวดเอว เผยเฉียนคิดว่าตัวเองเขียนกลอนคู่ได้ไม่ดีก็จะต้องติดกลอนคู่ให้ตรงให้จงได้ นี่ทำให้เด็กหญิงผอมแห้งที่อยากทำดีไถ่โทษเหงื่อแตกเต็มศีรษะ สุดท้ายสุยโย่วเปียนบอกให้ทั้งเฉินผิงอันและเจิ้งต้าเฟิงสองคนหุบปาก เผยเฉียนถึงได้ประสบความสำเร็จในที่สุด
อักษรตัวชุน (ฤดูใบไม้ผลิ) เฉินผิงอันเป็นคนเขียน อักษรตัวฝู (วาสนา/โชคดี) เจิ้งต้าเฟิงเป็นคนเขียน
จูเหลี่ยนกำลังทำอาหารมื้อค่ำอยู่ในห้องครัว ยุ่งมาเกือบตลอดบ่าย เฉินผิงอันและเผยเฉียนคอยช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างล้างผักหั่นผัก สุยโย่วเปียนมายืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องครัวครู่หนึ่งก็เดินจากไป
สุดท้ายจูเหลี่ยนก็ยกอาหารมื้อค่ำอันอุดมสมบูรณ์ที่มีทั้งผักและเนื้อครบครันออกมาวางเป็นโต๊ะใหญ่ ทั้งกลิ่นและสีสันล้วนน่ากิน อาหารที่เป็นเนื้อคือปลาตัวใหญ่ตุ๋นพะโล้ซึ่งมีความหมายว่าให้เหลือกินเหลือใช้ (ปลาคือคำว่าอวี๋ พ้องกับคำว่าเหนียนเหนียวโย่วอวี๋ที่แปลว่าเหลือกินเหลือใช้) อาหารจานหลักคือตีนหมูตุ๋นหม้อดิน เฉินผิงอันและเผยเฉียนช่วยกันใช้ตะเกียบแยกเนื้อออก
เจิ้งต้าเฟิงนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน หันหน้าเข้าหาทางทิศเหนือ หลูป๋ายเซี่ยงและเว่ยเซี่ยนนั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของเจิ้งต้าเฟิง สุยโย่วเปียนและเผยเฉียนนั่งอยู่ฝั่งขวามือ เผยเฉียนแอบหัวเราะคิกคัก พูดว่าถ้าอย่างนั้นพี่หญิงโย่วเปียนก็นั่งทางฝั่งขวามือ (โย่วเปียนแปลว่าทางขวา เผยเฉียนพูดประโยคนี้เป็นการเล่นคำ โย่วเปียนนั่งทางโย่วเปียน) ผลกลับถูกสุยโย่วเปียนบิดหู เผยเฉียนจึงรีบร้องขอชีวิตทันที
เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวใกล้กับประตูใหญ่
ให้ตายเทพหยินแซ่จ้าวก็ไม่ยอมเข้ามานั่งร่วมวงด้วย ทุกคนจึงได้แต่เลิกชวน
เหล้าหมักกุ้ยฮวาที่ผลิตมาจากเกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านส่งกลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก เข้าปากแล้วก็ให้กลิ่นหวานยาวนาน รสชาติติดลิ้น
เฉินผิงอันเห็นว่าเผยเฉียนทำท่าอยากกิน อีกอย่างทุกคนก็ยุ่งวุ่นวายมาเกินครึ่งวันโดยไม่ได้หยุดพัก คิดว่าถึงอย่างไรเหล้าหมักกุ้ยฮวาก็ไม่ฤทธิ์แรงขึ้นหัว ไม่แสบร้อน จึงรินให้นางจอกเล็กหนึ่งจอก น่าจะจิบได้ประมาณสองสามคำ เพียงแต่เตือนนางว่าวันหน้ามีเพียงเทศกาลอย่างปีใหม่เท่านั้นที่ดื่มเหล้าได้ หากเวลาปกตินางกล้าแอบดื่มก็อย่าโทษหากเขาจะจัดการนาง เผยเฉียนพยักหน้ารับรัวๆ เป็นไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก บนใบหน้าดำเกรียมที่เริ่มมีเนื้อขึ้นมาเล็กน้อยเผยความไร้เดียงสาและความสุขอย่างที่เด็กในวัยนางควรจะมี
ภายใต้การยืนกรานของเฉินผิงอันจึงต้องให้เจิ้งต้าเฟิงเป็นคนจับตะเกียบคีบอาหารคำแรกก่อน คนอื่นๆ ถึงจะสามารถขยับตะเกียบจับถ้วยเหล้าได้ และยังต้องให้เจิ้งต้าเฟิงยกแก้วเหล้าพูดจาตามมารยาทสองสามประโยคให้พอเป็นพิธี
ทำเอาเจิ้งต้าเฟิงที่หน้าหนาอับอายขัดเขินอย่างถึงที่สุด อึกๆ อักๆ อยู่นานถึงได้พูดประโยคทำนองว่าทุกคนกินให้อร่อยดื่มให้เต็มที่ ปีใหม่นี้ขอให้ทุกเรื่องราบรื่นสมใจปรารถนา เผยเฉียนจิบเหล้าหมักกุ้ยฮวาคำเล็กๆ แล้วดวงตาก็พลันเป็นประกาย ใต้หล้ามีของอร่อยที่หวานชื่นขนาดนี้ด้วยหรือ? ดูท่าเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็ยังพอมีเรื่องดีอยู่บ้าง ถึงเวลานั้นถ้านางอยากดื่มเหล้าก็คงดื่มได้แล้วกระมัง?
บนโต๊ะอาหาร ทุกคนพูดคุยกันเสียงดัง มีเผยเฉียนอยู่ด้วยก็ยากที่จะกินข้าวกันอย่างสงบ
เจิ้งต้าเฟิงและเฉินผิงอันไม่ได้คุยถึงเรื่องของถ้ำสวรรค์หลีจูและเมืองเล็กหลงเฉวียนเท่าใดนัก
ส่วนใหญ่เจิ้งต้าเฟิงจะถามถึงเรื่องราวและผู้คนในพื้นที่มงคลดอกบัวมากกว่า คนทั้งสี่ในม้วนภาพวาดก็ค่อนข้างสนใจติงอิงบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าก่อนหน้าเฉินผิงอันอยู่มากเช่นกัน นอกจากนี้ก็เป็นเจ๋อเซียนเจียงซ่างเจิน เฉินผิงอันเลือกบ้างเรื่องมาเล่าให้ฟัง จนกระทั่งถึงตอนนี้เจิ้งต้าเฟิงที่ถือโอกาสพูดถึงเรื่องวงในในถ้ำสวรรค์และพื้นที่มงคลถึงได้พูดถึงถ้ำสวรรค์หลีจู
โดยทั่วไปแล้วถ้ำสวรรค์ใหญ่สิบแห่งและถ้ำสวรรค์เล็กสามสิบหกแห่ง การที่ถ้ำสวรรค์เป็นถ้ำสวรรค์ก็เพราะมีปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นเหนือกว่าที่อื่น เล่าลือกันว่าเมื่อถ้ำลอยขึ้นฟ้าจะมีโชควาสนาต่างๆ ของพวกเซียนบรรพกาลซึ่งบ้างก็ตายในสงคราม บ้างก็ทิ้งไว้หลังจากบินทะยานให้เก็บเกี่ยว คือสถานที่ฝึกตนอันดับแรกที่เทพเซียนจะเลือก ฝึกตนอยู่ที่นั่นเหนื่อยเพียงครึ่งแต่ให้ผลสำเร็จเป็นเท่าตัว ยกตัวอย่างเช่นถ้ำสวรรค์เล็กอู๋ถงของสำนักใบถงก็ถูกตู้เม่ายึดครองไปคนเดียว แต่จะแบ่งผลประโยชน์ส่วนหนึ่งให้กับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนในสำนักเท่านั้น
เพียงแต่ว่าก็มีข้อยกเว้นอยู่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นถ้ำสวรรค์เล็กเหลียนฮวาซึ่งมีพื้นที่เชื่อมต่อกับพื้นที่มงคลดอกบัวของมรรคาจารย์เต๋า แน่นอนว่ายังมีถ้ำสวรรค์หลีจูอีกแห่ง ฝ่ายหลังก็ถือว่ามีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกในด้านวัตถุดิบวิเศษ แต่สิ่งที่ทำให้คนปรารถนาอยากครอบครองอย่างแท้จริงกลับเป็นพรสวรรค์ในการฝึกตนที่โดดเด่นมาตั้งแต่เกิดของชาวบ้านในเมืองเล็ก สถานที่อื่นๆ ในใต้หล้าไพศาล หลังจากเทพเซียนพสุธาลงมาจากภูเขาแล้ว การพยายามค้นหาต้นกล้าที่ดีอย่างยากลำบากไม่ต่างอะไรจากการงมเข็มในมหาสมุทร สมกับคำที่ว่าย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกก็หาไม่เจอ ต่อให้หาคนที่พรสวรรค์ดีเจอ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเหมาะสมให้รับเป็นลูกศิษย์ หรือไม่สภาพจิตใจก็ไม่สอดคล้องกับมรรคกถาของสำนักตัวเอง เป็นต้น บางทีถึงท้ายที่สุดอาจเป็นการใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ ต้องย้อนกลับภูเขาด้วยความผิดหวัง แต่เมื่ออยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู หยกงามที่มีหวังว่าจะฝึกตนจนเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางกลับมีมากมาย ทายาทของคู่รักเทพเซียนปกติทั่วไปก็อาจจะไม่มีคุณสมบัติในการฝึกตนขนาดนี้
หลังจากกินอาหารมื้อดึกกันไปแล้ว ทุกคนต่างก็เปลี่ยนมาสวมใส่ชุดใหม่ เดิมทีเว่ยเซียนยังไม่เต็มใจจะใส่ชุดใหม่ บอกว่าหากไม่ได้จริงๆ ก็สวมชุดคลุมมังกรตัวนั้นแล้วกัน ชุดใหม่สวมแล้วมักรู้สึกว่าไม่พอดีตัว ใส่แล้วไม่เหมาะ ถูกเผยเฉียนตอแยอยู่เป็นครึ่งวันถึงได้รับปากว่าจะเปลี่ยนมาสวมชุดใหม่และรองเท้าคู่ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เฉินผิงอันเองก็ถอดชุดคลุมอาคมจินหลี่ออกชั่วคราว เปลี่ยนมาสวมชุดตัวยาวสีเขียวที่เผยเฉียนและสุยโย่วเปียนช่วยกันเลือกให้
เฉินผิงอันมอบเงินยาสุ้ยก้อนหนึ่งให้เผยเฉียนและคนทั้งสี่ในภาพวาด ทุกคนได้เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญโดยใช้กระดาษแดงห่อหุ้ม
เผยเฉียนรู้ว่าเงินเทพเซียนเหรียญนี้มีค่าสองร้อยตำลึงเงินก็ดีใจอย่างยิ่งยวด คนอื่นๆ อีกสี่คนต่างก็รับเอาไว้ แน่นอนว่าไม่ได้รู้สึกดีใจอย่างเผยเฉียน
หลังจากนี้ก็เป็นการเฝ้าคืนแล้ว
สุดท้ายมีแค่เฉินผิงอัน เจิ้งต้าเฟิงและเผยเฉียนเท่านั้นที่นั่งล้อมเตาไฟจนฟ้าสว่าง
เฉินผิงอันนั่งไขว่ห้าง คนจิ๋วดอกบัวนั่งอยู่บนหลังเท้าของเขา เฉินผิงอันแกว่งเท้า ร่างของมันก็แกว่งขึ้นๆ ลงๆ ตามไปด้วย เจ้าตัวน้อยหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข
เฉินผิงอันไม่กล้าดื่มเหล้าหลอมระดับเล็กในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มากนัก เขาดื่มกับเจิ้งต้าเฟิงมาทั้งคืนแล้ว แค่ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวากันคนละครึ่งจินเท่านั้น ดื่มแค่พอสมควรก็หยุด
เจิ้งต้าเฟิงเล่าเรื่องคนวัยเดียวกันกับเฉินผิงอันในเมืองเล็กหลายคน อย่างเช่นหม่าขู่เสวียน ซ่งจี๋ซิน จ้าวแหยา หลินโส่วอี แล้วก็อายุน้อยลงมาอีกนิดอย่างหลี่เป่าผิง กู้ช่าน
บอกว่าที่เขาคิดไม่ถึงมากที่สุดก็ยังคงเป็นเจ้าเฉินผิงอัน ไม่เพียงแต่มีชีวิตรอด ยังสามารถเดินมาได้จนถึงก้าวนี้
ครึ่งคืนหลังของการเฝ้าคืน เผยเฉียนหลับไปแล้ว จึงไม่ได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับถ้ำสวรรค์หลีจูเหล่านี้ เจิ้งต้าเฟิงเป็นฝ่ายถามเฉินผิงอันถึงเรื่องเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิต เฉินผิงอันยิ้มบอกว่าคือที่ทับกระดาษกระเบื้องขาวชิ้นหนึ่ง น่าจะเป็นรูปชือหลง (มังกรที่ไม่มีเขาในเทพนิยาย) ปีนั้นเขาเก็บเศษชิ้นส่วนของเครื่องปั้นไว้จำนวนหนึ่ง ไม่มาก แอบซ่อนไว้ในไหตรงมุมห้องของบ้านบรรพบุรุษที่ตรอกหนีผิงมาโดยตลอด หากไม่ผิดจากที่คาด เมื่อหลอมได้สำเร็จก็ไม่น่าจะกลายไปเป็นของบรรณาการที่ถูกเอาไปวางไว้บนโต๊ะทรงพระอักษรของฮ่องเต้ต้าหลี แต่มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกเก็บไว้ในตระกูลเซียนบนภูเขาบางแห่ง เพราะตามคำบอกของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ เดิมทีเขาเฉินผิงอันมีคุณสมบัติของเซียนดิน
เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้พูดต่อ
เฉินผิงอันเองก็ไม่ทำให้เจิ้งต้าเฟิงลำบากใจ
เพราะนี่เกี่ยวพันกับสิ่งที่ลึกซึ้งมากเกินไป
พอดีกับที่เฉินผิงอันก็มีความสามารถและความอุตสาหะที่มากพอ
สุดท้ายเจิ้งต้าเฟิงชี้ไปนอกห้อง “เหล่าจ้าวคือบรรพบุรุษของสายจ้าวเหยาในถ้ำสวรรค์หลีจู หลังตายไปก็ถูกท่านผู้เฒ่าของพวกเราเก็บดวงวิญญาณเอาไว้ เป็นครึ่งเทพครึ่งภูตผี หากโชคดีก็สามารถโยนออกไป กลายเป็นองค์เทพแห่งภูเขาบางแห่งของราชวงศ์ต้าหลีได้ในรวดเดียว แต่หากจะให้เป็นอย่างเว่ยป้อที่ก้าวเดียวขึ้นสู่สวรรค์ เปลี่ยนจากเทพภูเขาเล็กๆ ไปเป็นองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือของพื้นที่ครึ่งหนึ่งในทวีปนั้น ก็ไม่มีหวังอย่างแน่นอน แต่หากจะคิดพิทักษ์ควบคุมโชคชะตาน้ำและภูเขาในรัศมีพันลี้อย่างพ่อของกู้ช่าน นับว่ายังพอมีโอกาส”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “พอจะเดาออก”
ลมฤดูใบไม้ผลิสามขุมที่อาจารย์ฉีเคยทิ้งไว้ แบ่งไว้บนร่างเขาเฉินผิงอัน จ้าวเหยาและซ่งจี๋ซิน
ปีนั้นจ้าวเหยาไม่สามารถรักษาตราประทับตัวอักษรชุนที่ล้ำค่าที่สุดเอาไว้ได้ อาจารย์ฉีกลับพูดว่าไม่ผิดหวังกับเรื่องนี้ ตอนแรกเฉินผิงอันยังไม่เข้าใจ ด้วยนิสัยของอาจารย์ฉีย่อมไม่มีทางไม่ผิดหวังเพียงแค่เพราะไม่เคยฝากความหวังไว้ในตัวจ้าวเหยาอย่างแน่นอน ในความเป็นจริงแล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวเหยากับซ่งจี๋ซิน อาจารย์ฉีก็ยังให้ความสำคัญกับจ้าวเหยามากกว่า ตอนนี้มาคิดดูแล้ว อันที่จริงอาจารย์ฉีคงหวังให้จ้าวเหยาใช้โอกาสนี้ตัดขาดความสัมพันธ์กับสายบุ๋นของเขาอย่างสิ้นเชิง จ้าวเหยาตั้งสำนักเองก็ดี หรือย้ายไปอยู่ในสายบุ๋นของคนอื่นก็ช่าง ไม่แน่ว่าอาจจะได้มีชีวิตที่สงบสุข แค่นี้อาจารย์ฉีก็ปลื้มใจแล้ว
เฉินผิงอันคิดว่าตัวเองใจกว้างอย่างอาจารย์ฉีไม่ได้
วันหน้าอ่านหนังสือให้มาก รู้จักคนให้มาก บางทีอาจจะทำได้ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แน่นอน
บทที่ 371.2 ปีใหม่บรรยากาศใหม่
เกี่ยวกับสถานะของหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา เจิ้งต้าเฟิงแย้มพรายความลับสวรรค์ออกมาเสี้ยวหนึ่ง บอกว่าแมวดำที่มีชีวิตพึ่งพากันและกันกับหม่าขู่เสวียนตัวนั้นมีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดา ความยิ่งใหญ่ของโชควาสนานี้เมื่อเทียบกับปลาหลีสีทองและข้องราชามังกรที่เกาเซวียนองค์ชายต้าสุยได้ไป กำไลมังกรเพลิงบนข้อมือของหร่วนซิ่ว มังกรไม้แกะสลักของจ้าวเหยา ปลาหนีชิวน้อยของกู้ช่านและงูสี่ขาของซ่งจี๋ซินแล้ว มีแต่จะมากกว่าไม่มีด้อยกว่า เพียงแต่ว่าไม่เหมือนกับห้าฝ่ายหลัง แมวดำแอบบุกเข้าไปในถ้ำสวรรค์หลีจู และมีแต่จะรับหม่าขู่เสวียนเป็นเจ้านายเพียงผู้เดียว
เฉินผิงอันจึงเล่าเรื่องการต่อสู้ระหว่างเขากับหม่าขู่เสวียน ครั้งหนึ่งที่สุสานเทพเซียนบ้านเกิด อีกครั้งหนึ่งคือบนถนนใหญ่ของแคว้นไฉ่อี
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะอย่างหนัก ไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจังเท่าใดนัก เขาบอกว่าทุกห้าร้อยปีหรือพันปี ถ้ำสวรรค์หลีจูจะต้องมีคู่แค้นคู่อาฆาต หรือไม่ก็คู่สหายรักปรากฏขึ้นมาเสมอ ฝ่ายหลังก็อย่างเช่นหยกคู่เฉาหยวนแห่งราชวงศ์ต้าหลี คราวนี้ไม่แน่ว่าอาจเป็นพวกเจ้าสองคนก็ได้ หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา เฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิง
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองสีท้องฟ้าด้านนอก ถึงช่วงเช้าตรู่ของวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งแล้ว
ในช่วงเวลานี้ของเมื่อปีก่อน เขายังเดินเตร่ไปทั่วเหมือนผีเร่ร่อนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว เวลานี้รู้สึกเหมือนอยู่ห่างกันคนละโลกจริงๆ
เผยเฉียนตื่นขึ้นมาแล้วก็วิ่งไปจุดประทัดในตรอกนอกร้านยาทันที เพียงแต่ว่าอาจเป็นเพราะผ่านปีใหม่มาก็จะโตขึ้นอีกปี นางจึงรู้ความขึ้นมาก ถามเทพหยินแซ่จ้าวก่อนว่าจุดประทัดจะทำให้มันตกใจหรือไม่ เทพหยินยิ้มพูดว่าไม่เป็นไร
ได้ยินเสียงประทัดดังไม่ขาดสายมาจากตรอกเล็ก เจิ้งต้าเฟิงก็พลันพูดขึ้นว่า “เผยเฉียนอยู่ข้างกายเจ้าสามารถควบคุมสันดานเดิมบางอย่างเอาไว้ได้ แต่วันหน้าหากไปจากเจ้าแล้วจะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “ก่อนหน้าที่นางจะไปจากข้า ข้าจะพยายามสอนให้นางรู้จักแยกแยะดีชั่วให้ได้ มีเพียงทำได้ถึงข้อนี้จึงจะสามารถพูดถึงเรื่องอยู่ใกล้ความดีงามขจัดความชั่วร้ายกับนางได้ ไม่อย่างนั้นไม่ว่านางจะทำอะไรก็จะเลอะเลือนมึนงง”
เฉินผิงอันใช้ปลายเท้าวาดวงกลมวงหนึ่งบนพื้น “ไม่มีกฎเกณฑ์ก็ไม่สามารถทำอะไรสำเร็จ ตอนนี้นางอายุยังน้อย ในวงกลมวงนี้ที่ข้าช่วยวาดไว้ให้นาง นางอยากทำอะไรก็ทำได้ แต่หากเรื่องใดที่ทำเกินวงกลมนี้ไป ข้าก็ต้องตบๆ ตีๆ ให้เข้าที่ บอกให้นางรู้ถึงเหตุผลหลักการบางอย่าง ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเถอะ ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย ผ่านปีใหม่นี้ไปก็เป็นแค่เด็กอายุสิบเอ็ดขวบเท่านั้น ตอนนี้ก็ถือว่าทำได้พอสมควรแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มพูด “จะเทียบกับเจ้าได้หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ทำไมต้องเปรียบเทียบกับข้าด้วยเล่า เผยเฉียนก็คือเผยเฉียน เฉินผิงอันก็คือเฉินผิงอัน”
เจิ้งต้าเฟิงพูดอย่างสะท้อนใจ “เผยเฉียนได้มาพบเจ้า คือความโชคดีของนาง”
เฉินผิงอันหันหน้ามามองเจิ้งต้าเฟิง “เจ้าเจิ้งต้าเฟิงได้มาพบข้าก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ? แค่เดินทางผ่านนครมังกรเฒ่าสองครั้งก็ต้องเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาให้แก่เจ้า แล้วยังต้องเป็นผู้ปกป้องมรรคาของเจ้าอีก เหนื่อยมากเถอะ รู้ไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงจุ๊ปากพูด “ผู้ถ่ายทอดมรรคาเป็นได้อย่างถูไถ แต่ผู้ปกป้องมรรคาของเจ้าไม่ได้เรื่องสักเท่าไหร่”
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง จงใจกุมหมัดคารวะอย่างไม่จริงใจแล้วเอ่ยสัพยอก “ขออภัยๆ ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้า ทำได้ดีไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงค้อนตาคว่ำ บ่นพึมพำกับตัวเองว่า “วันหน้าจะหาเมียได้ยังไงกันนะ”
เผยเฉียนแบกไม้ปัดขนไก่ไว้บนบ่า บอกว่าต้องการให้ไม้เท้าเดินป่าอันนั้นพักผ่อนบ้าง พอมาถึงเรือนด้านหลัง เห็นใครก็เอ่ยคำพูดน่าฟัง บอกว่าหวังให้เหล่าเว่ยหาภรรยาตัวน้อยที่งดงามได้เร็วๆ หวังให้เสี่ยวป๋ายเล่นหมากล้อมได้ร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ ช่วงชิงอันดับที่ร้อยในใต้หล้ามาให้ได้ หวังให้พี่หญิงโย่วเปียนอ่อนเยาว์ขึ้นทุกวัน ไม่มีริ้วรอยไปตลอดชีวิต หวังให้ปีนี้จูเหลี่ยนทำอาหารที่อร่อยยิ่งกว่าเดิม หวังให้นายท่านเทพหยินแซ่จ้าวขอบเขตไต่ทะยานสวบๆๆ วันหน้าก็พานางขึ้นไปเล่นบนท้องฟ้า หวังให้กิจการร้านยาของเจิ้งต้าเฟิงเจริญรุ่งเรือง
สุดท้ายเผยเฉียนหวังให้ในปีใหม่นี้ เฉินผิงอันมีเงินทองไหลมาเทมา จะสกัดก็สกัดไว้ไม่อยู่ เหล่าเงินทองและของมีค่าไม่มีที่ให้เก็บ
เห็นได้ชัดว่าในปีใหม่นี้ นางไม่อยากเป็นตัวขาดทุนอีกแล้ว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเผยเฉียนเปลี่ยนแปลงโชคชะตาหรืออย่างไร จากปากอีกาน้อยๆ (ปากอีกาคือคนปากเสีย ปากไม่เป็นมงคล) ที่แม้แต่จูเหลี่ยนก็ยังกลัว กลับกลายมาเป็นปากทองปากหยกที่พูดจาอะไรก็ศักดิ์สิทธิ์
วันแรกของเดือนหนึ่ง ตามประเพณีของแจกันสมบัติทวีป วางไม้กวาดกลับหัว ไม่ต้อนรับแขก ไม่เดินทางไกล ไม่ทำงาน แค่กินดื่มเที่ยวเล่นให้สนุกอย่างเดียว ทว่าตอนเช้าฟ่านจวิ้นเม่ายังคงมาที่ร้านยาฮุยเฉิน นอกจากถามเฉินผิงอันว่าจะไปหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตบนทะเลเมฆตอนไหนแล้วก็ยังนำเงินเหรียญทองแดงแก่นทองมามอบให้เฉินผิงอันสามถุง เงินยาเซิ่ง เงินก้งหยางและเงินอิ๋งชุนอย่างละถุง นับรวมกันแล้วได้สามสิบกว่าเหรียญ ล้วนเป็นเงินที่ฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีควักออกจากถุงเงินของตัวเอง อีกทั้งยังรับประกันว่ายังจะมีตามมาอีกหลังจากนี้ เพราะเมื่อกีบเท้าม้าของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีย่ำลงใต้ ตลอดทางอย่าว่าแต่ศาลเถื่อนที่ราชสำนักของแต่ละแคว้นสั่งห้ามเลย แม้แต่ร่างทองของเหล่าองค์เทพแห่งขุนเขาที่ไม่รู้จักกาลเทศะก็ยังถูกทุบทำลาย เศษชิ้นส่วนร่างทองจึงถูกนำมาหลอมเป็นเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง
เฉินผิงอันมองเจิ้งต้าเฟิง ฝ่ายหลังก็มึนงงเหมือนกัน “ก็เหมือนกับเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของถ้ำสวรรค์หลีจู ตอนนี้ไม่มีการสร้างเงินเหรียญทองแดงแก่นทองขึ้นมาใหม่อีกแล้วไม่ใช่หรือ?”
ฟ่านจวิ้นเม่าหลุดหัวเราะพรืด “ดังนั้นถึงได้บอกว่านี่ต่างหากถึงเป็นความจริงใจในการชดใช้ไถ่โทษของสกุลซ่งต้าหลี ไม่อย่างนั้นจะดูว่าเป็นการจ่ายเงินก้อนใหญ่ได้อย่างไร?”
เจิ้งต้าเฟิงครุ่นคิด “เว้นเสียจากว่าท่านผู้เฒ่ากำราบฮ่องเต้สกุลซ่ง ไม่อย่างนั้นราชวงศ์ต้าหลีก็ไม่มีทางขูดเนื้อตัวเองอย่างนี้ เศษซากร่างทองพวกนี้ หากเก็บสะสมไว้แล้วเอาไปใช้ทาร่างทองขององค์เทพใหญ่แห่งขุนเขาอีกสามองค์ที่เหลือย่อมคุ้มค่ามากกว่า”
เฉินผิงอันพยักหน้าเห็นด้วย
เจิ้งต้าเฟิงจึงยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม “นี่ไม่เหมือนนิสัยของท่านผู้เฒ่าเลย”
ฟ่านจวิ้นเม่าพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ก่อนหน้านี้มีเรือข้ามทวีปลำหนึ่งเดินทางจากอุตรกุรุทวีปมุ่งหน้ามาทางทิศใต้ เดิมทีไม่ได้จอดที่ท่าเรือหลงเฉวียน แต่กลับมีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งกระโดดจากท้องฟ้ากระแทกลงไปบนพื้นดิน ตอนนี้ภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกมีกองกำลังมากมายมาปักหลักตั้งรกราก สร้างจวนที่อยู่อาศัย มากคนก็มากสายตา ข่าวนี้จึงแพร่ไปทั่วทางเหนือของแจกันสมบัติทวีปแล้ว ต่างก็รู้กันว่าแจกันสมบัติทวีปนอกจากซ่งจ่างจิ้งแล้วยังมีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบในตำนานอยู่อีกคน”
เจิ้งต้าเฟิงเช็ดหน้าตัวเอง “หลี่เอ้อร์อย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะมาถึงนครมังกรเฒ่าของพวกเราเมื่อไหร่”
เรื่องนี้ฟ่านจวิ้นเม่ากลับรู้ “คำนวณตามเส้นทางการเดินเรือของเรือข้ามฟากหลงเฉวียน หากเต็มใจทุ่มเงินให้มาถึงนครมังกรเฒ่าเร็วหน่อยก็น่าจะไม่กี่วันนี้แล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงนับนิ้วคำนวณ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “จากอุตรกุรุทวีปมาถึงราชวงศ์ต้าหลีทางทิศเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป แล้วค่อยมาถึงทางทิศใต้สุดแห่งนี้ เร่งร้อนเดินทางมากเลย แต่คาดว่าท่านผู้เฒ่าน่าจะขัดขวางไว้”
เจิ้งต้าเฟิงถามเสียงเบา “ทางฝั่งสำนักใบถงล่ะ?”
ฟ่านจวิ้นเม่าหัวเราะเสีงเย็น “เซียนดินไร้น้ำยาในนครมังกรเฒ่าพวกนี้ ไหนเลยจะกล้าข้ามทะเลไปสืบข่าวที่ใบถงทวีป เดิมทีแจกันสมบัติทวีปก็ต่ำต้อยกว่าคนอื่นหนึ่งระดับอยู่แล้ว สำนักใบถงยังเป็นสำนักที่กำเริบเสิบสานที่สุดของใบถงทวีป จึงไม่มีใครยินดีไปหาเรื่อง ข่าววงในบางอย่าง อย่างมากก็มีแค่ตระกูลฝูเท่านั้นที่พอจะรู้มาบ้าง แซ่ใหญ่ตระกูลอื่นที่เหลืออยู่ หากถามเรื่องความเคลื่อนไหวของสำนักใบถง พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรจากคนตาบอด แต่ว่า ข้าคาดว่าสำนักใบถงต้องเกิดปัญหาใหญ่ ไม่อย่างนั้นนอกจากเงินเหรียญทองแดงแก่นทองสามถุงที่ราชวงศ์ต้าหลีให้มา นอกจากหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณชิ้นนั้นของฝูฉีแล้ว ตระกูลฝูก็คงไม่มีทางเอาของอีกชิ้นหนึ่งที่แม้แต่ข้าก็ยังคิดไม่ถึงออกมา บอกว่าให้ข้านำมามอบให้เฉินผิงอัน เพียงแต่ฝูฉีก็พูดแล้วว่า ยังต้องให้ศาลบรรพชนของตระกูลฝูปรึกษาเรื่องนี้กันก่อน แต่เขาจะพยายามจะหาวิธีนำมามอบให้ให้ได้ เฉินผิงอันจะไปจากนครมังกรเฒ่าอย่างไร จะนำมามอบให้เมื่อไหร่ พวกเจ้าสองคนไม่ลองเดากันดู?”
เฉินผิงอันรีบเรียกเผยเฉียนที่อยู่ในลานบ้านให้มาหา เล่าสถานการณ์ของตระกูลฝูให้ฟังคร่าวๆ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงแฝงความหมาย “เจ้าลองเดาดูสิ ของที่ว่านี้ให้เดาไปในทางที่ดีหน่อย”
เผยเฉียนตั้งใจคิดอยู่พักหนึ่งก็กล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “คงจะไม่ใช่อาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งหรอกกระมัง?”
ฟ่านจวิ้นเม่าพูดไม่ออกไปทันที
เฉินผิงอันมองสบตากับเจิ้งต้าเฟิงแล้วระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
วันนี้คือวันที่ห้าของเดือนหนึ่ง
นอกจากผู้เฒ่าต่างถิ่นที่มานั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ในร้านยาฮุยเฉินแล้ว เผยเฉียนมาอยู่คุยเล่นเป็นเพื่อนเขา เหมือนเป็ดคุยกับไก่ หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กต่างโม้เรื่องของตัวเองไป แม้จะคุยกันคนละเรื่องก็ไม่ส่งผลกระทบใดๆ
วันนี้ในร้านยายังมีแขกมาเพิ่มอีกคนหนึ่ง
ชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยแต่กำยำผู้หนึ่งเดินเข้ามาในตรอกเล็ก ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนม้านั่งตรงธรณีประตูอดมองเขาหลายทีไม่ได้ ก็ใช่น่ะสิ ชายฉกรรจ์ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้หายากยิ่งกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบบนภูเขาเสียอีก
คนทั้งสี่ในภาพวาดที่แม้จะยังไม่ได้เห็นคนผู้นี้กับตาตัวเอง แต่ในใจกลับพรั่นพรึงขึ้นมาแทบจะพร้อมเพรียงกัน นั่นเป็นความรู้สึกเชื่อมโยงทางจิตระหว่างผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวด้วยกัน ขณะที่คนผู้นั้นเดินช้าๆ มาทางร้านยา เว่ยเซี่ยนจูเหลี่ยนสี่คนที่อยู่ในเรือนด้านหลังก็เหมือนมองเห็นเจียวหลงใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งเบียดแทรกตัวเข้ามาในร่องน้ำลำธารสายเล็ก
บนโลกมีชาวยุทธ์เช่นนี้ด้วยหรือ?
เมื่อพบว่าทั้งเฉินผิงอันและเจิ้งต้าเฟิงต่างก็ไม่ตึงเครียด คนทั้งสี่ในภาพวาดถึงวางใจลงได้
เว่ยเซี่ยนใช้ฝ่ามือลูบคาง สายตาจูเหลี่ยนฉายประกายเร่าร้อน หลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียนต่างก็หยุดการเล่นหมากล้อม สุยโย่วเปียนใช้นิ้วข้างหนึ่งเคาะลงบนหมากเม็ดหนึ่งที่เหลืออยู่ตรงหน้าตัวเองเบาๆ
เฉินผิงอันและเจิ้งต้าเฟิงเดินออกมาที่ร้านยาด้านหน้าพร้อมกัน
เจิ้งต้าเฟิงหลังค่อมงองุ้ม มองซ้ายมองขวา ประโยคแรกที่พูดก็คือ “ทำไมพี่สะใภ้ไม่มาด้วยเล่า?”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเห็นเจิ้งต้าเฟิงแล้ว บนใบหน้าทึ่มทื่อมองไม่เห็นสีหน้าอะไรมากนัก “หากไม่เป็นเพราะอาจารย์บอกให้ข้ารอก่อน ป่านนี้ข้าคงอยู่บนภูเขาของสำนักใบถงแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงเกาหัว ไม่พูดอะไรอีก
จากนั้นชายฉกรรจ์ก็มองไปทางเฉินผิงอัน กุมหมัดกล่าวว่า “เฉินผิงอัน เดินทางไกลครั้งนั้น ตลอดทางที่เดินทางกันไป หลี่ไหวรู้ความขึ้นมาก อีกทั้งยังไม่ใช่สิ่งที่เรียนรู้ได้จากในหนังสือ ข้าหลี่เอ้อร์ต้องขอบคุณเจ้า ปีนั้นอาจารย์ฉีสอนหลี่ไหวได้ดี อาจารย์ฉีจากไปแล้ว เจ้าเองก็สอนได้ดีมาก อันที่จริงข้าควรจะเรียกเจ้าว่าอาจารย์เฉินด้วยซ้ำ วันนี้ข้ายังต้องรีบไปรื้อศาลบรรพชนของตู้เม่าที่ใบถงทวีป คงไม่พูดคุยกับเจ้ามากแล้ว สุดท้ายนี้ก็มีแค่คำพูดง่ายๆ ไม่กี่คำที่ข้าจะทิ้งไว้ที่นี่ โดยทั่วไปแล้วมีเพียงคนในครอบครัวถูกรังแก ข้าหลี่เอ้อร์ถึงจะออกหมัด แต่ข้ารับรองว่าวันหน้าขอแค่ให้คนนำประโยคนี้มาบอก ต้องการให้ข้าหลี่เอ้อร์ไปทุบใคร ข้าจะรีบไปทุบคนผู้นั้นทันที หากขมวดคิ้วสักครั้ง ข้าก็ไม่ใช่พ่อของหลี่ไหว!”
กุมหมัดอีกครั้ง หลี่เอ้อร์ก็กล่าวเสียงทุ้มหนัก “ไปล่ะ!”
แล้วชายฉกรรจ์ก็จากไปทั้งอย่างนี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น