หมอดูยอดอัจฉริยะ 369-372
ตอนที่ 369 ค่าตอบแทน (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
บทสนทนาของเยี่ยเทียนกับปรมาจาย์ซิงหยุน ทำให้ถังเหวินหย่วนและกงเสียวเสี่ยวตั้งใจฟัง เยี่ยเทียนขอโทษซิงหยุนต่อหน้าสาธารณชน ถ้าหากมีการเผยแพร่ออกไป ก็จะทำให้ทุกคนตกใจ
“พระอาจารย์ ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี ๆ หลังจากนี้อีกสองปีพวกเรายังคงได้เจอกันอีก ถึงเวลานั้นค่อยกลับมาอภิปรายกับท่านอีก”
โก่วซินเจียคือคนที่ค่อนข้างสบาย ๆ ง่าย ๆ ไม่อยากให้ซิงหยุนลงไปส่งเขา แต่ว่าซิงหยุนก็ยังคงตั้งใจมุ่งมั่นที่จะไปส่ง จึงทำให้ตอนนี้มีพิธีการของการส่งคนที่จะเดินทาง
มือทั้งสองของซิงหยุนประสานกันค่อย ๆก้มโค้งคำนับให้โก่วซินเจีย พูดนำเสียงเบา ๆว่า
“โชคดี พี่หยวนหยาง อาตมาจะเฝ้าให้วันนั้นมาถึง”
เพื่อนเก่าที่รู้จักกันมาหกสิบปีต้องแยกจากกัน ภายในใจพระอาจารย์ใหญ่ก็เกิดอาลัยอาวรณ์ขึ้นมา เพียงแต่ท่านรู้ว่าคำทำนายของโก่วซินเจียนั้นถูกต้อง เมื่อตกลงกันไว้ว่าสองปี นั้นหมายความว่าจะได้เจอกันอีกอย่างแน่นอน”
มองลึกเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาบนภูเขาแห้งแล้ง โก่วซินเจียโบกสะบัดเสื้อคลุม หันหลังเดินออกไปจากประตูวัด พร้อมกับร้องออกมาว่า “เมฆขาวอยู่บนท้องฟ้า ภูเขาเล็ก ๆที่ทอดยาวถึงกัน แม้ระยะทางจะห่างกันไกล หากภูเขาสายน้ำและเมล็ดพันธุ์พืชยังคงอยู่ จะได้กลับมาอีกครั้ง”
เมื่อได้ยินบทเพลงเมฆขาวและเห็นท่าทางที่สบาย ๆของนักบวชเต๋า เยี่ยเทียนก็เกิดอาการตกตะลึง เหมือนกับว่าได้เห็นภาพอาจารย์ที่เสียชีวิตไปแล้ว ช่างเหมือนเหลือเกิน
ส่ายหัวแล้วครุ่นคิด เยี่ยเทียนประสานมือคารวะปรมาจารย์ซิงหยุน หันหลังนำหน้าไปก่อน ส่งศิษย์พี่ขึ้นรถตู้ที่อาติงเป็นคนขับ
รอให้รถตู้ที่เยี่ยเทียนนั่งออกไปแล้ว ก็มีรถคันเล็กที่อยู่ห่างไปไกลสิบเมตร จากประตูวัดคันหนึ่งคอยตามไปอยู่อย่างเงียบ ๆ
เป็นซ่งเหวยหลันที่ว่าจ้างให้มาราไกย์คอยคุ้มกันปกป้องเยี่ยเทียน
“อากาศเปลี่ยนแปลงไปมากเลยนะ”
มองเห็นสภาพอากาศนอกหน้าต่าง สภาพจิตใจของโก่วซินเจียเหมือนกับคลื่น ไม่กี่ปีมานี้เขายังไม่เคยลงมาจากภูเขาฝ่อกงซานเลยแม้แต่ก้าวเดียว นอกจากจะได้ยินซิงหยุนพูดถึงเรื่องราวของโลกภายนอกเท่านั้น แต่กับโลกปัจจุบันนี้ไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น
หลังจากที่รถมาถึงโรงแรมแล้ว สถาพจิตใจของโก่วซินเจียก็คืนสู่สภาพเดิม แต่ก่อนเขาเพลิดเพลินกับการมีชื่อเสียงเงินทอง ในวัยกลางคนก็มีการเปลี่ยนแปลง กลับยากจนอีกสิบกว่าปี แค่มองจากภายนอกก็ทะลุปรุโปร่งแล้ว
“อาจารย์หยวนหยาง ไม่รู้ว่าท่านต้องการอาหารและเครื่องดื่มอะไรเป็นพิเศษไหม”
มาถึงโรงแรมก็เป็นเวลาเที่ยงพอดี ตอนที่อยู่ในรถถังเหวินหยวนได้รู้ถึงฐานะของโก่วซินเจียแล้ว เมื่อจะจัดเตรียมงานเลี้ยง จึงสอบถามความคิดเห็นของโก่วซินเจีย
โก่วซินเจียโบกมือไปมา หัวเราะแล้วพูดว่า “การใช้ชีวิตของคนในชนบท กินอะไรก็เหมือนกันอยู่ดี ขอแบบสดใหม่หน่อยก็พอ”
“ตกลง ถ้าอย่างนั้นผมจะเตรียมเรียกคนแล้วนะ” ถังเหวินหย่วนพยักหน้าเรียกเจ้าหน้าที่ ให้เขาสั่งเหล้าและอาหารในงานเลี้ยงนี้ ถามด้วยตัวเองว่าเหล้าและอาหารในงานเลี้ยง ในโลกหากเทียบลำดับอาวุโสแล้ว น่ากลังจะมีอยู่แค่สามคนที่มีอาวุโสมากว่าเขา
หลังจากกินมื้อกลางวันที่ไม่ได้มากมายและหรูหรา แต่เป็นมื้อกลางวันที่อร่อยมาก ถังเหวินหย่วนเดินไปกับเยี่ยเทียนมาถึงห้องชุดใหญ่ของโรงแรม พวกเขาพักอยู่ที่นี่อีกชั่วโมงกว่า ก็จะเดินทางตรงไปที่สนามบินเพื่อที่จะกลับฮ่องกงได้แล้ว
“เยี่ยเทียน จางจือซวน ตอนนี้ถูกหวาเซิงคุมตัวไว้ที่ฮ่องกง เธอเตรียมจะจัดการเขาอย่างไร”
ถังเหวินหย่วนโกรธมากที่เกิดเรื่องครั้งนี้กับเยี่ยเทียน เขาใช้อิทธิพลและความสัมพันธ์ที่มีมามากว่าสิบปีจัดการเรื่องนี้ เมื่อวานเขาก็ได้รับสายจากหวาเซิง เลยรู้ว่าตอนนี้จางจือซวนอยู่ที่ฮ่องกงแล้ว
เยี่ยเทียนส่ายศีรษะ พูดว่า “ฉันกับเขาไม่ได้มีความแค้นอะไรต่อกัน ตอนนั้นลงโทษเขานิดหน่อยเท่านั้น แต่ว่าจิตใจของเขาเต็มไปด้วยเจตานาร้ายที่อยากฆ่าฉัน ให้หวาเซิงทำตามกฎเกณฑ์ของยุทธภพไปก็แล้วกัน จะได้จบปัญหา”
ออกมาจากประเทศจีนในครั้งนี้ เยี่ยเทียนได้พบกับความโหดร้ายและทารุณมาก แม้ว่าร่างกายจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก แต่ก็ไม่มีผลกระทบอะไร ภายในใจของเยี่ยเทียนกลับมีความรู้สึกเหนื่อยล้า
“ตกลง จางจือซวนแต่ก่อนก็คือคนในแก๊ง ก็ทำตามกฎใหม่ของพวกเขาในการลงโทษ ฉันจะกลับไปบอกหวาเซิง”
ถังเหวินหย่วนพยักหน้า เขาก็ไม่อยากเห็นเยี่ยเทียนลงมือ เพราะว่าพวกศพที่ไม่มีหัวหรือว่าการผ่าหน้าอกและผ่าท้อง ทำให้รับไม่ได้จริง ๆ
“ใช่แล้ว เหล่าถัง ศิษย์พี่ของฉันเมื่อหลายปีก่อนออกจากบ้าน และไม่ได้ออกมาดูโลก ถ้าถึงฮ่องกงแล้วช่วยจัดการพวกบัตรประชาชนให้เขาหน่อย อ้อ จะดีมากถ้าเกิดสามารถเปลี่ยนศาสนาให้เป็นฐานะนักบวชเต๋า”
ไม่รู้ว่าอาจารย์หยวนหยางชื่อจริงๆของเขาคืออะไร ถังเหวินหย่วนตอบกลับไป” ถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ เพียงแค่ยกมือก็เสร็จแล้ว”
เยี่ยเทียนได้ยินเขาพูดจึงมองไปที่โก่วซินเจียที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ตรงโซฟา ถามว่า “ศิษย์พี่ พี่คิดว่าเรียกชื่ออะไรดี”
ตอนนี้คนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับคดีทองน่าจะใกล้ตายหมดแล้ว แต่ยังไงเมื่อหลายปีก่อนโก่วซินเจียก็น่าจะเป็นคนที่ต้องตายไปแล้วเช่นกัน จึงไม่เหมาะที่จะปรากฎออกมาในโลกปัจจุบัน
อย่าประเมินความคิดของหยวนหยางต่ำไป แต่ก็ไม่เคยเห็นคนถามชื่อแซ่คนอื่นแบบนี้ หลังจากได้ยินเยี่ยเทียน ถังเหวินหย่วนก็คิดขึ้นในใจ
“แซ่หลี่ ชื่อเจียซิน รบกวนน้องถังแล้ว”
โก่วซินเจียคิดชื่อขึ้นมาเอง ไม่ได้ละสายตาจากหน้าจอทีวี ที่กำลังฉายการ์ตูน เรื่องทอมแอนเจอร์รี่
เยี่ยเทียนหัวเราะออกมา พูดว่า “ศิษย์พี่ของฉันมีจิตใจที่เป็นเด็ก เหล่าถัง เรื่องนี้คงต้องไหว้วานคุณแล้ว”
“ไม่เป็นไร เรื่องเล็กน้อย”
ถังเหวินหย่วนโบกมือไปมา วานให้อาติงหยิบไปกล้องถ่ายรูปมา ถ่ายรูปโก่วซินเจียสองใบ หลังจากนั้นก็มอบหมายสั่งงานกับอาติง ให้เขาติดต่อกับคนในฮ่องกง
อาติงที่เพิ่งเดินออกไป กงเสียวเสี่ยวก็เดินเข้ามาจากด้านนอก มาถึงข้าง ๆโซฟา ใบหน้าที่รู้สึกเสียใจมองไปที่เยี่ยเทียน พูดว่า “ปรมาจารย์เยี่ย จริง ๆแล้วเสี่ยวเสี่ยวต้องกลับไปฮ่องกงกับท่าน แต่ว่าต้องอยู่ไต้หวันเพื่อจัดการเรื่องของกฎหมายก่อน ต้องใช้เวลาถึงเจ็ดวันจึงจะสามารถเคลื่อนย้ายอาอี้ได้ ความจริงแล้วก็คืออยากขอโทษ”
ก่อนหน้าที่พบเยี่ยเทียน กงเสียวเสี่ยวได้ว่าจ้างทีมอาจารย์ประกอบพิธีไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ประกอบพิธีกรรมใด ๆ เลย ทำตอนนี้พบเยี่ยเทียนแล้ว เรื่องพาสามีของเธอกลับจึงไม่สามารถยืดเวลาออกไปได้อีกแล้ว
“ไม่เป็นไร คุณนายกง ผมเสียใจด้วย”
เยี่ยเทียนมีความเคารพและนับถือน้ำใจของผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างมาก ตั้งแต่ที่สามีเสียชีวิต เธอผู้หญิงตัวเล็กที่ไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ คาดไม่ถึงว่าจะนำพาธุรกิจให้เจริญรุ่งเรืองขนาดนี้ นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถทำได้
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน กงเสียวเสี่ยวก็ยื่นมือไปหยิบซองเอกสารส่งให้เยี่ยเทียน พูดว่า “ปรมาจารย์เยี่ย นี้คือน้ำใจเล็ก ๆของเสี่ยวเสี่ยว รบกวนท่านช่วยเซ็นชื่อให้หน่อย”
“นี่คืออะไร?” เยี่ยเทียนเกิดอาการงงอยู่ครู่หนึ่ง เปิดซองเอกสารแล้วมองดูอยู่พักหนึ่ง เนื้อหาของเอกสารทั้งหมดล้วนแล้วเป็นภาษาอังกฤษ มีความหนาประมาณสี่ห้าสิบหน้า
กงเสียวเสี่ยวหยิบกระดาษที่อยู่บนสุดออกมาหนึ่งแผ่น พูดว่า “ปรมาจารย์เยี่ย เมื่อปีที่แล้วฉันซื้อบ้านหลังหนึ่งอยู่ที่อ่าวรีพัล ไม่เคยได้ย้ายไปอยู่เลย คิดได้ว่าท่านอยู่ฮ่องกงยังไม่มีที่พักอาศัย เพราะฉะนั้นบ้านหลังนี้เลยอยากโอนให้เป็นชื่อของท่าน
“นี่..นี่่คือเอกสารเกี่ยวกับโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินและบ้านเรือน” เยี่ยเทียนก็เริ่มเข้าใจแล้ว ซากกระดูกของฝูอี้ก็ถูกพบแล้ว ตอนนี้กงเสียวเสี่ยวกำลังให้ค่าตอบแทนกับตัวเอง
ตอนแรกเยี่ยเทียนคิดว่ากงเสียวเสี่ยวจะออกเป็นเช็คเงินสดให้ ไม่คิดเลยว่ากงเสียวเสี่ยวจะให้ค่าตอบแทนเป็นบ้าน
เพราะว่าการตามหาซากกระดูกของฝูอี้ เยี่ยเทียนก็ออกแรงไปไม่น้อยเลย แต่ก็คุ้มค่ากับการที่ตัวเองจะได้บ้านหลังนี้ ทันทีก็ไม่เกรงใจ รับเอกสารนั้นมา แล้วถามกลับไปว่า
“คุณนายกง บ้านหลังนี้มีพื้นที่กี่ตารางเมตร”
“พื้นที่ชั้นเดียวคือ 620 ตารางเมตร ทั้งหมดมีสามชั้น ถ้ารวมกับสวนดอกไม้และบ่อน้ำน่าจะประมาณ 3,000 กว่าตารางเมตร น่าจะเพียงพอสำหรับปรมาจารย์ในการใช้ชีวิตอยู่”
กงเสียวเสี่ยวที่กำลังอธิบายไปด้วย และดึงกระดาษออกมาด้วยหนึ่งแผ่น
“นี้คือแผนภาพภายในตัวบ้าน ปรมาจารย์เยี่ยท่านลองดู ถ้าเกิดว่าไม่พอใจแล้วก็ เสียวเสี่ยวยังมีบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่บนภูเขา”
“สาม..สามพันกว่าตารางเมตร”
เยี่ยเทียนกำลังตกใจกับตัวเลขพวกนั้น เขาอยู่ที่ฮ่องกงไม่กี่วัน มีความเข้าใจทุกพื้นที่และราคาที่ดินในฮ่องกง แต่กับพื้นที่ 3,000 กว่าตารางเมตร ต้องใช้เงินเท่าไหร่กัน
เมื่อได้ยินว่ากงเสียวเสี่ยวจะโอนบ้านให้เยี่ยเทียน ถังเหวินหย่วนก็แทรกขึ้นมาว่า “บ้านของเสี่ยวเสี่ยวฉันไปมาแล้ว ถือว่าไม่เลวเลย ดีกว่าบ้านของฉันหน่อย เวลานั้นที่กงเสียวเสี่ยวซื้อราคาตลาดอยู่ที่ 120 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง”
เมื่อเยี่ยเทียนได้ยินจำนวนตัวเลข เยี่ยเทียนก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลย ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่เคยเห็นคนมีเงิน แต่ว่ามีมหาเศรษฐีมามอบบ้านราคาหลายล้านให้ นี่ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เขาเคยเจอ
ต้องรู้ว่า เถ้าแก่เหวินชอบซื้อบ้านพักตาอากาศเพื่อจีบพวกดาราสาวดาวรุ่ง ราคาในตลาดก็อยู่เพียงแค่ประมาณยี่สิบหรือสามสิบล้าน
“เกิดอะไรขึ้น ปรมาจารย์เยี่ยท่านไม่ชอบหรือคะ”
เยี่ยเทียนนิ่งเงียบไปนาน กงเสียวเสี่ยวขมวดคิ้ว พูดว่า “ฉันกับสามีเราเคยมีบ้านอยู่บนภูเขาก็จะใหญ่กว่านี้หน่อย เพียงแต่ว่าสิทธิ์ในการครอบครองทรัพย์สินค่อนข้างเป็นปัญหา การโอนกรรมสิทธิ์ก็ไม่ค่อยง่าย”
“ไม่ ไม่ใช่ คุณหญิงกง คุณเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่เพราะว่าบ้านเล็กเกินไป แต่ว่ามันใหญ่เกินไป รู้สึกละอายใจ”
เยี่ยเที่ยนโบกมือขึ้นมา ตอนแรกเขาคิดว่าจะเรียกเก็บได้ 20-30 ล้านสำหรับธุรกิจนี้ ไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงคนนี้ที่มีหน้าเหมือนตุ๊กตา จะใจกว้างขนาดนี้
กงเสียวเสี่ยวพยักหน้า แล้วพูดอย่างตั้งใจว่า “ปรมาจารย์เยี่ย ถึงแม้ว่าจะนำบ้านทั้งหมดมาแลกเปลี่ยนกับการ ตามหาสามีที่หายไป เสียวเสี่ยวก็ยินดีหมด ดังนั้นบ้านหลังนี้อย่างไรท่านก็ต้องรับไว้้’’
ถังเหวินหย่วนที่อยู่ข้าง ๆคอยช่วย “เยี่ยเทียน ตอนนี้เสียวเสี่ยวกำลังทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เธอตั้งใจให้ คุณก็รับไว้เถอะ’’
หลังจากที่กงเสียวเสี่ยวดูแลธุรกิจต่อจากสามี การปรับกลยุทธ์ของบริษัทของเธอส่วนใหญ่เข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตอนนี้จึงกลายเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของฮ่องกง
บ้านของกงเสียวเสี่ยวมีมูลค่าสูงถึงสามพันล้านดอลลาร์ฮ่องกง ดังนั้นถ้าโอนบ้านหลังนี้ออกไป ในความคิดของ ถังเหวินหย่วนก็เท่ากับว่าเธอไม่ได้เสียอะไรมากมาย
“ถ้าอย่างนั้นตกลง ฉันก็จะไม่เกรงใจแล้วนะ”
หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็รีบรับเอกสารนั้นมา ในใจคิดกับตัวเองว่าเพื่อนในฮ่องกงมีความใจกว้างกว่าในไต้หวัน ในปีนั้นที่ช่วยเหลียวเฮ่าเต๋อหาหลุมศพของแม่ ได้รับค่าตอบแทนแค่สองหมื่น
เยี่ยเทียนยอมรับข้อเสนอ กงเสียวเสี่ยวก็หยิบเอกสารอีกฉบับหนึ่งออกมา พูดว่า “ปรมาจารย์เยี่ย ในนี้ยังมีเอกสารสิทธิของผู้ถือหุ้นอีกหนึ่งชุด ฉันต้องการที่จะให้ท่านหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของหุ้นในกลุ่ม”
“อะไรนะ เสียวเสี่ยว เธอต้องการที่จะโอนหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของหุ้นในกลุ่มหวาเม่าให้เยี่ยเทียนเหรอ”
ถังเหวินหย่วนที่คอยอยู่ข้าง ๆเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ของกงเสียวเสี่ยว ทนไม่ได้ลุกขึ้นมา มีสีหน้าแปลกใจบนใบหน้าของเขา
……….
ตอนที่ 370 ค่าตอบแทน (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
กลุ่มบริษัทหวาเม่าเป็นกลุ่มบริษัทที่มีขนาดใหญ่ จัดอยู่ในอันดับที่สี่ของฮ่องกง ที่ครอบคลุมเครือข่ายธุรกิจหลายอย่างรวมกัน นอกจากอสังหาริมทรัพย์แล้วยังมี การเงิน การจัดการทรัพย์สิน ความบันเทิง อาหารและเครื่องดื่ม
จากการสำรวจการตลาดในฮ่องกงเมื่อปีที่แล้วประมาณการคร่าว ๆ ตอนนี้มูลค่าการตลาดของกลุ่มหวาเม่าอยู่ที่ประมาณแปดหมื่นล้านดอลลาร์ฮ่องกง ในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนและผู้คุมหางเสือของกลุ่มหวาเม่า กงเสียวเสี่ยวถือหุ้นของตัวเองสี่สิบเปอร์เซ็นต์
หุ้นเพียงสี่สิบเปอร์เซ็นต์นี้ ยังแสดงถึงความมั่งคั่งถึงสามหมื่นล้าน ดังนั้นที่กงเสียวเสี่ยวมอบหุ้นร้อยละหนึ่งเปอร์เซ็นต์ให้เยี่ยเทียน ถ้าเกิดว่าตลาดหุ้นไม่มีการหดตัว นั่นก็เท่ากับว่าได้แปดร้อยล้านดอลลาร์ฮ่องกงเต็ม ๆ
และอีกอย่างกลุ่มหวาเม่ามีแนวโน้มในการพัฒนาไปในทางที่ดีและน่าพอใจ มูลค่าการตลาดมีแนวโนมเพิ่มขึ้นทุกปี ตอนนี้ร้อยละหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่ากับแปดร้อยล้าน บางทีเมื่อถึงปีหน้าก็อาจจะกลายเป็นพันล้านก็ได้
ถังเหวินหย่วนและพวกมหาเศรษฐีในฮ่องกง มีนิสัยชอบที่จะเข้าไปถือหุ้นในกลุ่มบริษัทฯที่ดี ๆ ถังเหวินหย่วนก็เป็นคนหนึ่งที่อยากจะถือหุ้นของหวาเม่าด้วย แต่กลับถูกกงเสียวเสี่ยวปฏิเสธมาตลอด
เหตุผลก็คือกงเสียวเสี่ยวไม่ได้มีอำนาจควบคุมการครอบครองหุ้นของบริษัททั้งหมด กลัวว่าหากคนที่ซื้อจะมีเจตนาร้าย จะทำให้หุ้นที่อยู่ในมือเธอราคาตกง ในส่วนนี้ ถังเหวินหย่วนก็พอเข้าใจได้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเห็นกงเสียวเสี่ยวหยิบเอาหุ้นร้อยละหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของกลุ่มหวาเม่ามาตอบแทนและขอบคุณเยี่ยเทียน ถังเหวินหย่วนก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัยและแปลกใจ การกระทำที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ถ้าให้เขาถามตัวเองก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน
“ใช่ ฉันจะเอาหุ้นหนึ่งเปอร์เซ็นต์มอบมันให้กับเยี่ยเทียน” กงเสียวเสี่ยวพูดซ้ำประโยคเดิมของตัวเอง แต่น้ำเสียงที่มีความตั้งใจแนวแน่มาก
สำหรับกงเสียวเสี่ยวที่มีอายุประมาณหกสิบกว่าปีและสามีก็เสียชีวิตจากไปแล้ว ถ้าให้พูดถึงเรื่องเงินมันก็เป็นเพียงแค่ตัวเลขสำหรับเธอ
หลังจากที่หาซากกระดูกของสามีเจอ สภาพจิตใจของกงเสียวเสี่ยวก็มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างเล็กน้อย แต่เดิมมุ่งมั่นต้องการที่จะพัฒนาให้กลุ่มหวาเม่ายิ่งใหญ่และแข็งแรง ตอนนี้ความมุ่งนั้นได้ลดลงแล้ว ดังนั้นจึงมีความคิดที่อยากจะแบ่งหุ้นให้กับเยี่ยเทียน
“เดี๋ยวก่อน คุณนายกง บ้านหลังนี้ผมสามารถรับไว้ได้ แต่ว่าจะให้หุ้นกับผมแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ผมไม่เข้าใจพวกเรื่องการจัดการ แถมเกี่ยวกับพวกธุรกิจ ผมก็ไม่มีความสนใจ ผมว่าเรื่องหุ้นไม่จำเป็นหรอก”
เยี่ยเทียนไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับท่าทางแปลกใจของถังเหวินหย่วน เขาก็ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของกลุ่มหวาเม่า ในมุมมองของเยี่ยเทียน หุ้นหนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็ไม่ได้มากมายเท่าไหร่
และหลังจากได้รับหุ้นแล้วเขาจะต้องปฏิบัติตามข้อผูกพันที่เกี่ยวข้อง เยี่ยเทียนเกลียดที่สุดเลยก็คือภายในวงการนี้มักเจอพวกที่ชอบวางกลอุบาย เพื่อผลประโยชน์ ดังนั้นเลยบอกปฏิเสธไป
เพียงแต่ว่าเยี่ยเทียนไม่รู้อะไรเลย ภายในบริษัทขนาดใหญ่ขนาดนี้ หุ้นเพียง 1 เปอร์เซ็นต์หรือการมีหุ้นเพียง 0.1 เปอร์เซ็นต์ ก็สามารถใช้ชีวิตทั้งหมดไปกับการกินดื่มโดยไม่ต้องกังวลอะไรใด ๆ ทั้งสิ้นเลย
ในฮ่องกงมีมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินมากมายที่คนไม่รู้จัก จริง ๆแล้วไม่ได้มีความสามารถอะไร แต่ว่าเกิดมามีบุญ ตะกูลที่ทรัพย์สินทุกอย่างพร้อม พอเกิดออกมาก็สามารถครอบครองทรัพย์สมบัติหุ้นทุกอย่างของตระกูล
ถึงแม้ว่าหุ้นเหล่านี้จะเป็นเพียง 0.1 เปอร์เซ็นต์ แต่มันเป็นมูลค่าทางตัวเลขที่คนธรรมดาไม่สามารถจินตนาการได้ ลูกหลานของพวกพ่อค้าที่ร่ำรวย ถึงแม้ว่าในชีวิตนี้จะไม่ต้องดิ้นรนทำงานให้เปลืองแรง ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขแล้ว
“ลืม เรื่องนี้ไปเลยเถอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน สีหน้าของถังเหวินหย่วนก็เกิดความแปลกใจเล็กน้อย ยกนิ้วโป้งไปที่ด้านหน้าของเยี่ยเทียน พูดว่า “เยี่ยเทียน วันนี้ฉันขอนับถือเธอจริง ๆ”
“หุ้นแปดร้อยล้านกว่าคาดไม่ถึงว่าเธอจะไม่รับมันไว้ ถ้าให้พูด เธอสามารถรับมันไว้แล้วมาขายต่อให้ฉันเหล่าถัง ฉันก็จะรีบแลกเงินสดเก้าร้อยล้านให้เธอเลย”
“แปดร้อยล้านกว่า”
เยี่ยเทียนที่กำลังดื่มน้ำชาอยู่ เก็บความรู้สึกตกใจกับคำพูดของถังเหวินหย่วนไว้ไม่ได้ แม้ว่าเขาจะสามารถควบคุมร่างกายของเขาในบางส่วนที่ละเอียดอ่อนได้ แต่ว่าภายในใจก็ยังคงรู้สึกตกใจ ถ้วยน้ำชาที่อยู่ในมือไม่มีอาการสั่นแม้แต่น้อย
โก่วซินเจียที่กำลังดูทอมแอนเจอร์รี่อยู่ พอได้ยินตัวเลขนี้ ก็เหลือบตามองไปที่เยี่ยเทียน เห็นท่าทางเยี่ยเทียนที่สงบนิ่งปกติ ทันใดนั้นโก่วซินเจียก็พยักหน้าเล็กน้อย
“ใช่ เยี่ยเทียน ที่ถังเหวินหย่วนพูดไม่ผิด หุ้นหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของหวาเม่าอาจจะดูไม่มากเท่าไหร””
จั่วเจียจวิ้นที่อยู่ข้าง ๆ เขารู้ว่าศิษย์น้องไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับหุ้นเหล่านี้สักเท่าไหร่ อธิบายว่า “เยี่ยเทียน หุ้นที่เธอจะได้ครอบครอง สามารถบอกได้ว่าคือผู้ถือหุ้นของบริษัท เข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น ยังสามารถให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะ อย่างไรก็ตามการดำเนินงานที่เฉพาะเจาะจงของบริษัทไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่บริษัทจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นในแต่ละปีขึ้นอยู่กับกำไรของพวกเขา หนึ่งปีได้ประมาณสิบล้านก็ถือว่าไม่น้อยแล้วนะ”
เมื่อฟังคำอธิบายของจั่วเจียนจวิ้นจบแล้ว เยี่ยเทียนก็รู้สึกเสียดาย ทำไมตัวเองไม่เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับการเงิน ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะผลักเงินมากมายขนาดนี้ออกไป
แต่ว่าคำพูดที่พูดออกไปแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่ได้คิดจะกลับคำ อีกอย่างเยี่ยเทียนไม่รู้ว่ามันคือโชคดีหรือโชคร้ายที่ได้รับลาภก้อนใหญ่ขนาดนี้ คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกไปว่า “คุณนายกง ผมได้บ้านหลังนั้นแล้ว ส่วนหุ้นนี้ก็ช่างมันเถอะ”
กงเสียวเสี่ยวเห็นความแน่วแน่ของเยี่ยเทียน ก็ไม่ได้พูดโน้มน้าวอีก พูดขึ้นว่า “งั้น เอาอย่างนี้ ปรมาจารย์เยี่ย ท่านช่วยเซ็นหนังสือสัญญาการโอนกรรมสิทธิ์ของบ้านหลังนี้ให้หน่อย ฉันจะให้คนมาจัดการรับรองความถูกต้องของเอกสารก็เรียบร้อยแล้ว”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้รับหุ้นไว้ โก่วซินเจียที่กำลังดูทีวีอยู่ก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “ศิษย์น้องเล็ก ทำถูกต้องแล้ว เราอาจจะสูญเสียเมื่อจันทร์เต็มดวง และเราอาจจะได้มาเมื่อน้ำล้นแล้ว คนที่รู้ว่าควรเลือกที่จะก้าวไปข้างหน้าหรือถอยหลัง แกยังแกร่งกว่าศิษย์พี่เยอะเลย”
เมื่อสมัยที่โก่วซินเจียยังเป็นวัยรุ่น ถือว่าเป็นคนที่มีความปรารถนาอำนาจและเงินทองอย่างมาก ถ้าไม่อย่างนั้นเขาที่อายุยังไม่ถึงสามสิบฝ่ายราชการก็คงไม่แต่งตั้งให้เป็นพลตรี แล้วก็ตามเหล่าเจียงมาที่ไต้หวัน
เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด การเกิดการตายทำให้โก่วซินเจียรู้จักความหมายที่แท้จริงของชีวิต ถึงแม้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นวีรบุรุษ มีความสามารถล้ำเลิศอันดับหนึ่งบนโลก ในตอนสุดท้ายก็กลายเป็นชามที่ว่างเปล่าไม่มีอะไร
“ขอบคุณคำสอนของ ศิษย์พี่ใหญ่ ครับ”
เยี่ยเทียนตอบกลับด้วยใบหน้าที่แสดงความเคารพนับถือ แม้ว่าภายในใจกลับมีเลือดหยด แปดร้อยล้านที่พึ่งถูกพวกเราโยนทิ้งไป บนโลกนี้จะมีใครโง่กว่าฉันอีกไหม
“เฮเฮ ศิษย์น้องเล็ก เธอไม่จำเป็นต้องเสียดาย สำนักเสื้อป่านของพวกเราไม่ได้ขาดหรือเดือนร้อนเรื่องเงิน”
โก่วซินเจียอ่านความคิดชองเยี่ยเทียนออก หัวเราะแล้วพูดว่า “วันหน้าเธอมีความสนใจ ลองไปแถวพม่าดูสิ ยังไงของพวกนั้นก็ไม่มีเจ้าของอยู่แล้ว จะไม่ต้องเจอกับความทุกข์ความอิจฉาริษยา”
คำพูดที่คลุมเครือของโก่วซินเจีย ถังเหวินหย่วนกับกงเสียวเสี่ยวฟังแล้วก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามจะพูด แต่ว่าสายตาของเยี่ยเทียนกับจั่วเจียจวิ้นกลับประกายขึ้นมา ที่ศิษย์พี่ใหญ่พูดหมายถึงทองคำหนักยี่สิบตัน มันมีราคามากกว่าแปดร้อยล้านดอลลาร์ฮ่องกง
ก่อนหน้านั้นจั่วเจียจวิ้นกับเยี่ยเทียนหลีกเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงเรื่องทองอีก
แต่ตอนนี้โก่วซินเจียพูดออกมาเอง เห็นได้เลยว่าภายในใจของเขาได้ยอมรับศิษย์น้องทั้งสองคนเหมือนกับคนกันเองแล้ว อย่างนี้ก็ทำให้เยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้นดีใจมากกว่าได้รับทองคำอันนั้นเสียอีก
ถังเหวินหย่วนเตือนว่าได้เวลาที่จะต้องเดินทางออกจากไต้หวันแล้ว เยี่ยเทียนก็ยืนขึ้นมาแล้วพูดว่า “เรียบร้อยแล้ว คุณนายกง คุณต้องจัดการกับเรื่องการเสียชีวิตของคุณฝูอี้ คูณก็ไม่ต้องไปกับพวกเรา ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสเราต้องเจอกันอีกที่ฮ่องกงนะ”
หลังจากที่อำลากงเสียวเสี่ยวแล้ว เยี่ยเทียนก็เดินทางมุ่งตรงไปยังสนามบิน นั่งเครื่องบินส่วนตัวของถังเหวินหย่วน
แม้ว่าโก่วซินเจียจะไม่มีบัตรประชาชน แต่ว่าเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ ถังเหวินหย่วนแค่ออกปาก ทุกอย่างก็ง่ายไปหมด ไม่มีใครตรวจสอบตลอดทางที่เขาขับรถมาจอดที่สนามบิน ลองคิดดูว่าบนโลกนี้จะมีคนกี่หมื่นล้านคนที่สามารถลักลอบเข้าเมืองได้
หลังจากหนึ่งชั่วโมงกว่า เครื่องบินก็ลงจอดที่สนามบินฮ่องกง มีขบวนรถเบนซ์สุดหรูที่เหมือนกันทุกคันเข้าไปรับแขกผู้มีเกียรติทั้งหมดออกมาจากสนามบิน แล้วก็ขับไปส่งถึงภายในคฤหาสน์ของถังเหวินหย่วน
หลังจากที่รับประทานมื้อเย็นกับเยี่ยเทียนและศิษย์พี่ทั้งสองคน ถังเหวินหย่วนก็กล่าวคำอำลาจากไป หลิวติงติงก็กลับบ้านกับจั่วเจียจวิ้น เหลือเพียงสามพี่น้องในคฤหาสน์หลังใหญ่
“ฮวงจุ้ยที่นี้ถือว่าไม่เลวเลย ลักษณะพื้นภูมิเป็นชัยภูมิที่ดีเยี่ยม สามารถจัดวางค่ายกลรวบรวมพลังชี่ ฉันใช้เวลาถึงครึ่งชีวิตในการ ศึกษา ค้นคว้าและฝึกผนเรื่องนี้ “ โก่วซินเจียเชี่ยวชาญเกี่ยวกับค่ายกล หลังจากที่เดินรอบ ๆบ้านพักนี้แล้วนั้น ก็ได้ข้อสรุปเช่นเดียวกันกับเยี่ยเทียน
“วางค่ายกล เฮเฮ ศิษย์พี่ วันหลังพี่กับศิษย์พี่รองไปที่บ้านของฉันสิ แล้วจะไม่อยากจากไปไหนเลย” หลังจากที่ได้ยินคำพูดของโก่วซินเจีย เยี่ยเทียนก็หัวเราะออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข
“บ้านหลังนั้นของเธอมันทำไมหรอ วางค่ายกลไว้แล้วใช่ไหม”
โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นมองไปที่เยี่ยเทียน ครั้งนี้เยี่ยเทียนเผลอตัวพูดโอ้อวดออกไป เพียงแต่ว่าศิษย์พี่ทั้งสองเป็นคนที่มีจิตใจดีไม่ถือสา ยิ้มให้กันและกันไม่ถามอะไรอีก แต่กลับทำให้เยี่ยเทียนอึดอัดไม่สบายใจอยู่พักหนึ่ง
“ใช่แล้ว เยี่ยเทียน การฟื้นฟูและขยายคำสอนลัทธิเต๋าของพวกเราที่จะขาดไม่ได้เลยคือ ต้องให้ถูกต้องตามกฎหมาย มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลัทธิอื่น ๆ มีเงินทองและสถานที่ ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีสถานที่ประกอบพิธีอย่างพระอาจารย์ซิงหยุน”
หลังจากทั้งสามพี่น้องคุยกัน โก่วซินเจียก็พูดขึ้นมาเกี่ยวกับทองคำนั้น “ฉันว่า ทองคำยี่สิบตันนั้น ถ้าเธอมีเวลาก็เอามันมาออกมาสิ เธอคือเจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักเสื้อป่าน พวกทองคำเหล่านั้นจำเป็นต้องให้เธอควบคุม”
“บริเวณประกอบพิธี ศิษย์พี่คงไม่รู้ว่าสถานการณ์ภายในประเทศของเรา การดำเนินการทางศาสนามีการควบคุมที่เข้มงวดมาก ทั้ง ๆ ที่โดยพื้นฐานแล้วไม่มีอะไรเลย”
เยี่ยเทียนสั่นหัว พูดว่า “เหมือนกับผมที่อยากจะบอกว่า ทองคำนั้นให้ศิษย์พี่รองจัดการดีกว่า แล้วคัดเลือกลูกศิษย์ที่เหมาะสม เพื่อสืบทอดสำนักเสื้อป่านเรา”
“อย่า ศิษย์พี่ใหญ่บอกอะไรเธอ เธอก็รับมันไว้ ปัญหาอะไรฉันจัดการได้ แต่เรื่องเงินเธอต้องคอยดูแล”
จั่วเจียจวิ้นหยุดคำพูดเอาไว้ เขาคือคนที่อายุราว ๆหกสิบกว่าแล้ว และมีบ้านราคาร้อยล้านขึ้น ทองคำนั้นไม่ได้มีอยู่ในความคิดของเขา
เยี่ยเทียนไม่อยากที่จะต่อบทสนทนานี้ พยักหน้าพูดว่า “เรื่องนี้วันหลังค่อยว่ากันใหม่ เกือบจะห้าสิบปีแล้ว ใครจะไปรู้ว่าทองคำนั้นจะยังอยู่หรือเปล่า”
“มันต้องยังอยู่แน่นอน ศิษย์น้อง ฉันเป็นคนซ่อนมันเอง เกรงว่าในโลกนี้จะไม่มีใครหาเจอ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียก็หัวเราะขึ้นมา ความคิดของเขาในตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะเอาทองคำของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ดังนั้นทองคำเหล่านั้นก็ถูกเก็บซ่อนไว้ไม่ให้ใครพบแม้แต่ผีหรือเทวดา
อีกทั้งในตอนนั้นคนที่ที่ติดตามเขาประมาณยี่สิบกว่าคน ก็ได้ตายจากกันไปทั้งหมด เพราะฉะนั้นบนโลกนี้ก็จะมีเพียงแค่โก่วซินเจียเท่านั้นที่รู้ว่าทองคำถูกซ่อนไว้ที่ไหน
“มีคนมาแล้ว ฉันไปเปิดประตูก่อน”
ตอนที่พี่น้องทั้งสามคนกำลังพุดคุยกันอย่างคึกครื้น ทันใดนั้นภายในห้องรับแขกก็มีเสียงกริ่งดังขึ้นมา เยี่ยเทียนยืนขึ้นแล้วเดินออกไป
……….
ตอนที่ 371 ลงโทษ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เถ้าแก่หวา พี่เหวิน นี่พวกคุณมีอะไรหรือครับ?”
พอเปิดประตู เยี่ยเทียนก็พบหวาเซิ่งและเหวินหลวนสงยืนอยู่นอกประตู ที่ไม่ห่างไปนักยังมีรถของบริษัทจอดอยู่สองคันด้วย เยี่ยเทียนมองผ่านกระจกหน้าต่างเข้าไปแล้วเห็นชายร่างบึกบึนนั่งอยู่ในรถหลายคน
“คุณเยี่ย เพราะผมสั่งสอนคนไม่เข้มงวดเอง ถึงได้ทำให้คุณต้องลำบาก”
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนยังไม่เชิญพวกเขาเข้าไปข้างใน หวาเซิ่งก็พูดขึ้นอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ไอ้คนนอกคอกจางจือซวนนั่นน่ะผมพามาด้วยแล้ว เชิญคุณเยี่ยลงโทษได้เลยครับ!”
ก่อนหน้านี้ที่เยี่ยเทียนประสบเหตุถูกมือปืนตามฆ่านั้น ทำให้ถังเหวินหย่วนโกรธเกรี้ยวมาก และทำให้สั่นสะเทือนไปทั้งแวดวงคนเชื้อสายจีน สุดท้ายเมื่อสืบรู้ว่าที่แท้ตัวการกลับเป็นผู้กำกับคนหนึ่งในสังกัดของหวาเซิ่ง ก็ทำให้เถ้าแก่หวารู้สึกเสียหน้าขึ้นมาทันที คอหดจนเหมือนตัวเองเตี้ยลงไปหนึ่งช่วงศีรษะเลยทีเดียว
ดังนั้นหลังจากที่คนในสมาคมหงเหมินที่ต่างประเทศควบคุมตัวจางจือซวนไว้ได้แล้ว หวาเซิ่งก็รีบเดินทางไปออสเตรเลียด้วยตนเอง เพื่อพาจางจือซวนกลับมาที่ฮ่องกง และก็กำลังรอให้เยี่ยเทียนมาลงโทษอยู่พอดีเลย
เยี่ยเทียนเหลือบตามองเข้าไปในรถแวบหนึ่ง แล้วตอบอย่างใจเย็น “เถ้าแก่หวา ผมน่ะเป็นคนสุจริต จางจือซวนคนนี้ทำผิดกฎเกณฑ์ข้อไหนไปบ้าง คุณก็จัดการไปตามเห็นสมควรแล้วกัน เรื่องนี้ไม่ต้องถามผมแล้วก็ได้มั้งครับ?”
ถ้าให้เยี่ยเทียนไปจัดการลงโทษคนประเภทที่ใจบาปหยาบช้า ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากละก็ เยี่ยเทียนย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน แต่จางจือซวนนี่เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เขาจึงทำใจอำหิตลงมือด้วยไม่ได้จริงๆ ถ้ายกให้หวาเซิ่งไปจัดการเองน่าจะเหมาะสมกว่า
‘แกเนี่ยนะสุจริต?’
พอเยี่ยเทียนพูดออกมาอย่างนั้น หวาเซิ่งและเหวินหลวนสงก็ตาเป็นประกายวาวขึ้นมาทันที พวกเขาต่างก็เคยเห็นคนพูดตอแหลกันมาแล้ว แต่คนที่พูดจาได้หน้าตาเฉยขนาดนี้ เขาทั้งสองก็เพิ่งจะเคยพบเคยเห็นนี่แหละ
เรื่องที่เยี่ยเทียนสังหารมือปืนระดับสูงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยี่สิบสองคนในคืนฝนตกที่ไต้หวันนั้น ได้แพร่ออกไปตามแต่ละช่องทางแล้ว หวาเซิ่งนั้นแม้กระทั่งรูปถ่ายสภาพการตายอันอเนจอนาถของมือปืนเหล่านั้นก็เคยเห็นมาหมดแล้ว ตอนนั้นถึงขั้นผะอืดผะอมจนกินข้าวไม่ลงไปสองวันเลย
ส่วนผู้ที่เป็นคนก่อคดีสยองครั้งนี้ ตอนนี้กลับมาพูดว่าตัวเองเป็นคนดีอย่างหน้าซื่อๆ หวาเซิ่งจึงอดทอดถอนใจไม่ได้ ‘แบบนี้น่ะมันเรียกว่าทำเป็นหยิ่ง ถือตัว เทียบกับเยี่ยเทียนแล้ว เรานี่สิถึงจะเรียกว่าคนสุจริตที่แท้จริง’
“เถ้าแก่หวา พี่เหวิน วันนี้ก็ค่ำแล้ว คงไม่เชิญพวกคุณสองคนเข้ามานั่งข้างในแล้วนะครับ”
หลังจากรู้จุดประสงค์การมาของหวาเซิ่งแล้ว เยี่ยเทียนก็พูดส่งแขกทันที หลังจากที่ได้เห็นงานเลี้ยงของ เหวินหลวนสงแล้ว เขาก็ไม่เหลือความรู้สึกดีๆ กับคนผู้นี้เหลืออยู่อีกเลยแม้แต่นิดเดียว
“ได้ครับ อย่างนั้นก็ไม่รบกวนคุณเยี่ยพักผ่อนละนะ”
หวาเซิ่งก็อ่านคนเก่งเหมือนกัน เขาหยิบบัตรธนาคารใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าทันที แล้วพูดว่า “คราวนี้คนของบริษัทผมเป็นฝ่ายทำผิดก่อน ทำให้คุณเยี่ยต้องเสียขวัญ นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากผม หวังว่าคุณเยี่ยจะรับไว้นะครับ”
“ก็ได้ครับ อย่างนั้นผมก็จะรับไว้แล้วกัน ไปดีๆ นะครับคุณทั้งสอง”
เยี่ยเทียนคิดดู แล้วรับบัตรธนาคารใบนั้นมา ที่เขามาฮ่องกงครั้งนี้ นอกจากได้บ้านมาหนึ่งหลังแล้ว ก็กลับไม่มีเงินสดอยู่เลยสักแดงเดียว ถึงอย่างไรเงินของหวาเซิ่งก็ได้มาอย่างสกปรกอยู่แล้ว รับหรือไม่รับก็เหมือนกัน
แน่นอนว่า ถ้าเยี่ยเทียนยอมเอาบ้านที่กงเสี่ยวเสี่ยวกำนัลให้เขามาไปปล่อยขายละก็ เขาจะต้องกลายเป็นมหาเศรษฐีในชั่วข้ามคืนอย่างแน่นอน เพราะคฤหาสน์ที่ซื้อมาได้ในราคาหนึ่งร้อยล้านกว่าๆ นั้น ตอนนี้ก็คงจะขึ้นราคาไปจนถึงสามร้อยล้านแล้ว
“ศิษย์พี่รอง นี่พี่จะกลับไปแล้วหรือครับ?” เมื่อหันหลังเดินกลับไปที่ห้องรับแขก เยี่ยเทียนก็เห็นโก่วซินเจียกำลังเดินออกไปข้างนอกกับจั่วเจียจวิ้น จึงนิ่งอึ้งไป
จั่วเจียจวิ้นหัวเราะ “ศิษย์พี่ใหญ่อยากจะดูง้าวของนายเล่มนั้นน่ะ นี่พี่ก็เลยจะไปเอาที่บ้านมาให้ดู”
“เยี่ยเทียน ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เห็นได้ยินนายพูดถึงเลยล่ะ?” โก่วซินเจียถามขึ้นอย่างไม่ได้ถือสาอะไร ของขลังชนิดที่เป็นอาวุธนั้นมีเงื่อนไขในการปลุกเสกสูงมาก ที่กระจายอยู่ในโลกนี้จึงมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แม้แต่โก่วซินเจียเองก็ยังไม่เคยเจอมาก่อน
“ศิษย์พี่ ผมน่ะมีของดีอยู่เยอะแยะเลยนา”
เยี่ยเทียนหัวเราะแฮะๆ แล้วพูดกับจั่วเจียจวิ้นว่า “ศิษย์พี่จั่ว พาเหมาโถวมาด้วยเลยดีกว่าครับ เจ้านั่นไม่ได้เจอผมมาหลายวันแล้ว ป่านนี้อาจจะอาละวาดใหญ่แล้วก็ได้”
เยี่ยเทียนรู้สึกว่า ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของเขาในการไปไต้หวันครั้งนี้ ก็คือการที่ไม่ได้พาเหมาโถวไปด้วยนั่นเอง ไม่อย่างนั้นในค่ำคืนที่ฝนตกคืนนั้นเขาก็คงไม่ต้องลำบากขนาดนั้น ลำพังแค่เหมาโถวตัวเดียวก็คงจัดการพวกทีมมือปืนไปได้ครึ่งค่อนทีมแล้ว
“ได้ พี่จะรีบไปรีบกลับ ที่บ้านมีเหล้าดีที่บ่มมาห้าสิบปีอยู่หลายขวดพอดีเลย!”
จั่วเจียจวิ้นพยักหน้าตอบตกลง และเขาก็เดินทางไปกลับอย่างรวดเร็วจริงๆ ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เงาร่างสีขาวร่างหนึ่งก็กระโจนเข้าบ้านมาแล้ว
“เฮ้ย นี่ๆ อย่าดึงผมสิ ปัดโธ่ แกนี่เหม็นคาวปลาไปทั้งตัวเลยนะ กินปลาไปกี่ตัวแล้วเนี่ยหา?”
วิธีการแสดงความโกรธของเหมาโถวก็คือช่วยหวีผมให้เยี่ยเทียน นี่พอเห็นหน้ามันก็โดดขึ้นไปอยู่บนไหล่เยี่ยเทียนทันที อุ้งเท้าเล็กๆ ทั้งสองข้างตะกุยผมของเยี่ยเทียนจนยุ่งเป็นรังนก
“จี……จี!”
เหมาโถวหยุดมือลงกะทันหัน แล้วดมที่ไหล่ของเยี่ยเทียน จากนั้นขนของมันก็ลุกชันขึ้นมาทันที และร้องเสียงแหลมขึ้นมา เพราะมันได้กลิ่นคาวเลือดจากแผลของเยี่ยเทียน
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าตัวน้อยที่นายเลี้ยงไว้นี่มีความคิดจิตใจเหมือนคนเลยนะเนี่ย”
เมื่อเห็นเหมาโถวกรีดร้องออกมาเพราะเยี่ยเทียนบาดเจ็บ โก่วซินเจียก็ตาเป็นประกายขึ้นมา แล้วพูดต่อไปว่า “สมัยโน้นตอนที่พี่ติดตามอาจารย์อยู่ ก็เคยเจอลิงขาวที่ภูเขาง้อไบ๊ตัวหนึ่งเหมือนคนทุกอย่างเลย ยกเว้นอย่างเดียวคือพูดจาไม่ได้เท่านั้น พี่ว่าเจ้าเฟอร์เรตตัวนี้ก็สูสีกับลิงขาวตัวนั้นเลยละ”
“เอาละ ไม่ต้องร้อง ไม่เป็นไรแล้ว”
เยี่ยเทียนปลอบใจเหมาโถวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปถามโก่วซินเจียว่า “ศิษย์พี่ครับ ศิษย์พี่พบเห็นอะไรมาเยอะแล้ว ผมอยากขอถามหน่อยว่า ในโลกนี้มีสัตว์ที่มีญาณวิเศษอยู่จริงๆ รึเปล่าครับ?”
ในศาสตร์ที่เยี่ยเทียนได้รับมาในสมองนั้น มีบันทึกเกี่ยวกับชนเผ่าพ่อมดหมอผีโบราณที่เลี้ยงสัตว์ที่มีญาณวิเศษไว้ โดยบันทึกว่าสามารถเลี้ยงพวกลิงไว้เป็นทาสรับใช้ และเลี้ยงพวกนกไว้เป็นเพื่อนเล่นได้ โดยที่สติปัญญาของพวกมันไม่ได้ด้อยไปกว่ามนุษย์เลย
เยี่ยเทียนเห็นบันทึกส่วนนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าขานมาตลอด แต่เมื่อได้พบกับเหมาโถว เขาก็เริ่มจะไม่แน่ใจขึ้นมา เพราะเจ้าตัวนี้มีท่าทางการแสดงออกแทบจะไม่ต่างอะไรกับพวกสัตว์ที่มีญาณวิเศษในตำนานนั่นเลย
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนถาม โก่วซินเจียก็คิดดูแล้วตอบว่า “สรรพสิ่งในฟ้าดินล้วนมีวิญญาณ ของแบบนั้นก็ต้องมีอยู่แล้วละ แต่ปัจจุบันนี้พลังชี่ในธรรมชาติค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ ถ้าสิ่งมีชีวิตพวกนี้อยากจะบรรลุเกิดญาณขึ้นมา ก็คงไม่ง่ายอย่างแต่ก่อนแล้วละ”
“เจ้าเหมาโถวของเยี่ยเทียนนี่น่ะต้องเป็นสัตว์ที่มีญาณวิเศษแน่ๆ ละ แถวละแวกบ้านฉันน่ะ ไม่ว่าปลาเอยนกเอยที่แต่ละบ้านเขาเลี้ยงไว้ ก็โดนเจ้านี่จับกินไปจนเกลี้ยงเลย”
โก่วซินเจียพูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงของจั่วเจียจวิ้นก็พูดขึ้นมาบ้าง เขามาถึงช้ากว่าเหมาโถวไปเล็กน้อย และพอเข้ามาก็เริ่มฟ้องทันที
“จี ๆ!” เหมาโถวยกสองมือขึ้นมาปิดตาไว้ ทำท่าทางเหมือนกับกำลังละอายใจ ทำให้ทุกคนหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมาดังลั่นทันที
ต่อมาพอได้เห็นง้าวเล่มนั้น โก่วซินเจียก็อุทานชื่นชมไม่หยุด และบอกว่าเยี่ยเทียนช่างมีบุญวาสนาสูงส่งเหลือเกิน
ควรทราบว่า เมื่อครั้งกระโน้นสมัยที่โก่วซินเจียติดตามหลี่ซั่นหยวนออกท่องยุทธภพนั้น เป็นช่วงที่วงการศาสตร์ลี้ลับยุคใหม่กำลังเฟื่องฟู แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เคยพบเห็นของขลังประเภทอาวุธแบบนี้เลย
……
เนื่องจากโก่วซินเจียต้องรอทำเอกสารยืนยันตัวตนให้เสร็จเสียก่อนถึงจะกลับแผ่นดินใหญ่ได้ จึงยังต้องอยู่ที่ฮ่องกงต่อไปอีกสามสี่วัน
ส่วนคฤหาสน์ที่กงเสี่ยวเสี่ยวยกให้เยี่ยเทียนไปนั้น ขั้นตอนการโอนกรรมสิทธิ์ก็ต้องใช้เวลาอีกเดือนสองเดือน เยี่ยเทียนคงรอนานขนาดนั้นไม่ไหวอยู่แล้ว จึงฝากเรื่องนี้ให้ถังเหวินหย่วนไปจัดการแทน
หลายวันต่อจากนั้น เยี่ยเทียนจดบันทึกเคล็ดวิชาโจมตีที่ได้รับถ่ายทอดมา แล้วให้ศิษย์พี่ทั้งสองนำไปฝึกฝน ส่วนตัวเขาเองก็ให้อาติงพาไปเที่ยวฮ่องกงจับจ่ายซื้อของอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
คราวนี้ออกเดินทางมาเป็นเวลานานไม่ใช่เล่น เพื่อบรรเทาโทสะของญาติๆ และแฟนสาว เยี่ยเทียนจึงใช้จ่ายไม่อั้นเลยทีเดียว รูดบัตรธนาคารที่หวาเซิ่งให้มาซึ่งมีเงินอยู่ห้าล้านนั้นจนไม่เหลือเลยสักแดงเดียว
นอกจากจะซื้อนาฬิกาข้อมือราคาหลายแสนให้พ่อ ลุงเขยกับอาเขยและพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องคนละเรือนแล้ว เยี่ยเทียนยังซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นหลากหลายยี่ห้อมาอีกนับไม่ถ้วน โดยไม่สนใจเลยว่าป้าๆ ทั้งสองที่บ้านจะใส่ออกจากบ้านได้ไหม
“เหล่าถังมารึ? อ้อ เอกสารทำเสร็จแล้วหรือ”
วันนี้พอเยี่ยเทียนกลับมาถึงบ้านหลังนั้น ก็เจอถังเหวินหย่วนกำลังสนทนาอยู่กับศิษย์พี่ทั้งสอง และมีบัตรประชาชนฮ่องกงใบหนึ่งและใบรับรองสถานภาพการเป็นนักพรตอีกหนึ่งชุดวางอยู่ตรงหน้าโก่วซินเจีย
“ทำเสร็จแล้ว เยี่ยเทียน พวกคุณจะไปกันเมื่อไหร่ล่ะ? ผมใช้เครื่องบินส่วนตัวไปส่งพวกคุณกลับปักกิ่งดีกว่านะ” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเดินเข้ามา ถังเหวินหย่วนก็ลุกขึ้นมาอย่างลืมตัว ราวกับว่าเยี่ยเทียนต่างหากถึงจะเป็นเจ้าของบ้านตัวจริง
แต่นี่ก็ไม่ใช่ความผิดของถังเหวินหย่วน เพราะไม่ว่าใครถ้าได้เห็นพวกคนที่ถูกเยี่ยเทียนฆ่าไปกับตาแล้ว ก็คงจะไม่มีทางวิสาสะกับเยี่ยเทียนเหมือนกับเขาเป็นคนธรรมดาๆ ได้หรอก
“พรุ่งนี้ก็จะไปแล้วละ ผมจากบ้านมาหนึ่งเดือนกว่าๆ ชักจะคิดถึงบ้านขึ้นมาแล้ว ส่วนศิษย์พี่ใหญ่ยิ่งไม่ได้กลับไปตั้งหลายสิบปีแล้ว” เยี่ยเทียนมองโก่วซินเจียแวบหนึ่ง แม้ว่าศิษย์พี่ใหญ่คนนี้จะมีสีหน้าสงบนิ่ง แต่เยี่ยเทียนก็ยังมองเห็นความสะทกสะท้อนที่ฉายอยู่ในดวงตาของเขาได้อยู่
“ได้ แล้วผมจะกลับไปจัดการเอง” ถังเหวินหย่วนพยักหน้า แล้วจู่ๆ ก็ลังเลขึ้นมา “เยี่ยเทียน มีอยู่เรื่องหนึ่งที่หวังว่าคุณจะยอมตกลงน่ะ”
“เรื่องอะไรรึ? ว่ามาสิ”
“เยี่ยเทียน อาติงอยู่กับผมมายี่สิบกว่าปีแล้ว คุณพอจะช่วยรักษาโรคน่าอายที่เขาเป็นอยู่ให้หน่อยได้ไหมล่ะ?”
พื้นฐานช่วงต้นชีวิตของถังเหวินหย่วนไม่ได้ดีเท่าไรนัก อย่างที่ภาษิตว่า ผู้เที่ยงธรรมมักเป็นชนชั้นชาติสุนัข เขาเองก็นับว่าเป็นอภิมหาเศรษฐีเชื้อสายจีนที่มีน้ำใจไมตรีผิดจากเศรษฐีคนอื่นๆ อยู่เหมือนกัน
“ได้สิ คราวนี้ให้อาติงตามผมไปอยู่ที่เรือนสี่ประสานนั่นสักหลายๆ วันก็แล้วกัน”
พอเยี่ยเทียนได้ยินว่าเป็นเรื่องนี้ ก็พยักหน้าตอบตกลงไปทันที ช่วงนี้อาติงคอยวิ่งวุ่นเป็นธุระให้เขาตลอด เยี่ยเทียนเองก็คิดอยู่แต่แรกแล้วว่าจะช่วยสลายพลังปราณพิฆาตในร่างให้อาติง
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนตอบเช่นนั้น ถังเหวินหย่วนก็มีสีหน้าอิจฉาเสียดายขึ้นมา ถ้าไม่ใช่เพราะที่ฮ่องกงมีธุระติดพันอยู่ ตาเฒ่าคนนี้ก็คงยอมจ่ายค่าเช่าวันละหนึ่งล้านเพื่อที่จะได้ไปอยู่บ้านเดียวกับเยี่ยเทียนแล้ว
“จริงสิ ยังมีอีกสองเรื่องขอบอกคุณเลยก็แล้วกัน” ถังเหวินหย่วนพลันนึกถึงเรื่องที่หวาเซิ่งฝากฝังไว้ขึ้นมาได้ จึงหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้เยี่ยเทียน
ตรงตำแหน่งที่สะดุดตาที่สุดบนหน้าหนังสือพิมพ์ฮ่องกงฉบับนั้น ได้พาดหัวข่าวไว้ดังนี้ “ผู้กำกับจีนชื่อดัง จางจือซวนถูกจี้กลางกรุง ขัดขืนโดนไปสามสิบแปดมีดเกินเยียวยาเสียชีวิต!”
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งนั้นก็คือ มาเฟียฮ่องกงและแก๊งจากเวียดนามเกิดการปะทะกันอีกครั้ง คนเวียดนามที่ทำธุรกิจลักลอบค้าขายผ่านทางฮ่องกงต่างก็ถูกขับไล่ออกไปหมดแล้ว คนเวียดนามหนึ่งในนั้นที่ชื่อหลวนเก้อหนานก็ได้ประสบเหตุเสียชีวิต
เยี่ยเทียนยิ้มพลางส่ายหน้า เขาเข้าใจความคิดของหวาเซิ่งดี สาเหตุที่ฟันแทงจางจือซวนจนตายกลางกรุงนั้น ก็เพื่อที่จะให้ข่าวกระจายมาถึงหูเขาได้นั่นเอง
ส่วนเรื่องที่คนเวียดนามถูกขับไล่ออกไปจากฮ่องกงนั้น ก็เป็นการชดเชยที่เขาถูกซุ่มทำร้ายที่ไต้หวันนั่นเอง วิธีการที่หวาเซิ่งจัดการกับเรื่องเหล่านี้ ทำให้เยี่ยเทียนค่อนข้างพึงพอใจอยู่เหมือนกัน
……….
ตอนที่ 372 กลับบ้าน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พี่ชาย พี่ชายกลับมาแล้ว!”
เยี่ยเทียนเพิ่งจะก้าวพ้นประตูใหญ่ของเรือนสี่ประสานหลังเก่าเข้าไป ก็ประจันหน้ากับหลิวหลันหลันทันที หลังจากได้รับการบำรุงมาสองปี แม่สาวน้อยร่างผอมแห้งคนเดิมนั้นตอนนี้ก็ดูเหมือนหญิงสาวขึ้นมาแล้ว
“ว้ายตาย เหมาโถว ทำไมแกผอมลงไปล่ะ?”
เมื่อเห็นเหมาโถวที่อยู่บนไหล่ของเยี่ยเทียน หลิวหลันหลันก็อุ้มมันไว้ในอ้อมแขน แล้วพูดพึมพำเสียงเบา “ต้องเป็นเพราะพี่ชายแกล้งแกแน่ๆ เลย เหมาโถวคนดี ไว้ฉันจะซื้อเนื้อวัวแห้งมาให้แกกินนะ!”
“พูดอะไรอย่างนั้นเล่า? ไป ออกไปขนของข้างนอกโน่น พี่ซื้อเสื้อผ้ามาให้เธอตั้งเยอะแน่ะ แล้วยังมีน้ำหอมด้วยนะ”
เยี่ยเทียนยิ่มพลางลูบศีรษะของน้องสาวลูกพี่ลูกน้อง ในใจเต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกอบอุ่นของการได้กลับบ้าน เขาหันหน้าไปยิ้มให้คนอื่นๆ ที่อยู่ข้างหลัง “นี่น้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมเองครับ ศิษย์พี่ทั้งสองเชิญเข้ามานั่งข้างในเลยครับ”
เยี่ยเทียนเชิญโก่วซินเจียและจัวเจียจวิ้นเข้าไปในเรือนสี่ประสาน แล้วดึงตัวหลิวหลันหลันไว้ “หลันหลัน คนนี้ พี่ติงติงนะ อาติง พวกเธอสองคนไปช่วยกันทีนะ”
คราวนี้ไม่ได้มีแค่อาติงที่ตามมาด้วย หลิวติงติงก็ตามจัวเจียจวิ้นมาปักกิ่งด้วยเหมือนกัน เพื่อที่จะกลับไปกราบท่านปรมาจารย์ที่อารามของหลี่ซั่นหยวน ในฐานะที่เป็นศิษย์ของสำนักเสื้อป่าน หลิวติงติงจึงต้องไปร่วมด้วยอยู่แล้ว
หลิวหลันหลันไม่ได้เป็นศิษย์ของสำนักเสื้อป่าน จึงไม่จำเป็นต้องนับลำดับรุ่นอาวุโสกับหลิวติงติง ไม่อย่างนั้นเห็นทีหลิวติงติงคงได้เซ็งตายแน่ๆ เพราะที่นี่ก็มีแต่คนที่ลำดับรุ่นสูงกว่าเธอทั้งนั้น
“เยี่ยเทียน มายืนคุยอะไรกันตรงประตูบ้านนี่ล่ะ รีบเชิญแขกเข้ามาก่อนสิ” ระหว่างที่กำลังคุยกัน เยี่ยตงเหมยก็เดินออกมาจากในตัวบ้าน เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนกลับมาแล้ว เธอก็มีสีหน้ายินดีเช่นกัน
“อาหญิงครับ แล้วคุณแม่ของเซี่ยวเทียนเขาล่ะครับ?” เมื่อเห็นว่ามีแต่เยี่ยตงเหมยกับลูกสาวอยู่บ้านกันสองคน เยี่ยเทียนก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
เยี่ยตงเหมยยิ้มพลางตอบว่า “หลายวันก่อนมีคนบริจาคกระจกตามาน่ะ น้องโจวก็เลยเพิ่งได้ไปผ่าตัด อีกหลายวันกว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาล ส่วนพี่หญิงใหญ่ก็ไปอยู่ดูแลเขาที่โน่น”
“ผมไม่ยักรู้เรื่องนี้เลยนะเนี่ย ไว้พรุ่งนี้ผมไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลบ้างดีกว่า”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วพยักหน้า ตั้งแต่นางโจวมาอาศัยอยู่ที่เรือนนี้ ก็สนิทสนมกับป้าใหญ่และอาหญิงราวกับเป็นพี่น้องแท้ๆ เมื่อในบ้านมีคนให้พูดคุยด้วยเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง ก็ทำให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นมามาก
“จริงสิ อาหญิงครับ สองท่านนี้คือศิษย์พี่ของผมเอง ฮ่าฮ่า อาจะคุยกับพวกเขาอย่างคนรุ่นเดียวกันก็ได้นะครับ”
เยี่ยเทียนแนะนำโก่วซินเจียและจัวเจียจวิ้นให้อาหญิงรู้จัก แล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “คงไม่ต้องเข้าไปข้างในกันก็ได้ครับ พวกเรานั่งกันในลานบ้านนี่แหละ ผมยังมีใบชาต้าหงเผาอยู่ ศิษย์พี่ใหญ่คงไม่ได้ดื่มมาหลายปีแล้วสินะครับ?”
ช่วงนี้ใกล้ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว อากาศที่เมืองปักกิ่งก็เริ่มเย็นสบายขึ้น ทุกคนจึงไม่เข้าไปในบ้าน แต่นั่งคุยกันในลานบ้านเลย
เยี่ยเทียนเคยได้ยินอาจารย์เอ่ยถึงว่า ชาต้าหงเผาที่ท่านเคยดื่มสมัยก่อนโน้น โก่วซินเจียเป็นคนหามาให้ท่านทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคาดว่าศิษย์พี่ใหญ่ก็คงจะชอบชาชนิดนี้เช่นกัน จึงไปหยิบชาต้าหงเผาที่เว่ยหงจวินให้เขาเป็นของขวัญออกมา
“สมัยก่อนครอบครัวฉันก็มีบ้านแบบนี้อยู่ที่เมืองหลวงเหมือนกัน เผลอแวบเดียวก็ผ่านไปห้าสิบหกสิบปีแล้ว ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าพรตเฒ่าอย่างฉันจะได้มานั่งอยู่ในเรือนสี่ประสานแบบนี้อีก”
เมื่อเห็นสภาพแวดล้อมอันคุ้นตาอยู่ตรงหน้า โก่วซินเจียก็อดรู้สึกสะทกสะท้อนไม่ได้ ตั้งแต่ที่เขาก้าวเข้ามาบนแผ่นดินของเมืองหลวงแห่งนี้ ความทรงจำกว่าครึ่งค่อนทศวรรษก็โลดแล่นอยู่ในใจของเขาตลอดเวลา
“เยี่ยเทียน บ้านที่นายพูดถึงก็คือที่นี่งั้นหรือ?”
ส่วนจัวเจียจวิ้นกลับมองสำรวจไปรอบๆ แล้วมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยสีหน้าสงสัย “ที่นี่ก็ดูเหมือนจะไม่มีค่ายกลชุมนุมพลังอะไรนี่นา แล้วค่ายกลชุมนุมพลังที่นายพูดถึงนั่นอยู่ที่ไหนล่ะ?”
เมื่อได้ยินจัวเจียจวิ้นพูด โก่วซินเจียก็เงยหน้าขึ้นมาบ้าง แต่เขามีพลังฝีมือสูงกว่าจัวเจียจวิ้นมาก เหลือบดูเพียงปราดเดียว สายตาก็จับจ้องไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของบ้านแล้ว
“ร้ายเหมือนกันนี่ ถึงขั้นแย่งเอาปราณมังกรของพระราชวังมา แล้วยังชักนำพลังอาฆาตจากในวังออกมาได้ด้วย ศิษย์น้องนี่ทำการใหญ่จริงๆ เลยนะเนี่ย” เมื่อดูเสร็จแล้ว โก่วซินเจียก็มีสีหน้าตื่นตะลึงขึ้นมาทันที ร่างก็ลุกขึ้นมาด้วย เหมือนนึกอยากจะไปสำรวจดูทางโน้นเสียเดี๋ยวนั้นเลย
“ฮ่าฮ่า ศิษย์พี่ใหญ่ครับ ไว้กินข้าวเย็นเสร็จแล้วพวกเราค่อยไปดูเถอะนะครับ เดี๋ยวพ่อผมก็คงจะกลับมาแล้ว เขารู้จักกับอาจารย์มานานยิ่งกว่าผมอีกนะ ต้องให้มาเจอกับพวกพี่สักหน่อยแล้วละ”
เยี่ยเทียนหัวเราะพลางรั้งตัวโก่วซินเจียไว้ แล้วพูดกับจัวเจียจวิ้นว่า “ศิษย์พี่รองครับ ถ้ามาอยู่ที่บ้านผมสักสองเดือนละก็ รับรองเลยว่าพี่จะต้องฝึกไปถึงระดับหลอมปราณสู่จิตได้แน่นอน!”
“โอ้? วิเศษขนาดนั้นเลยรึ? ศิษย์น้องเยี่ย พูดจริงรึเปล่าเนี่ย?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน จัวเจียจวิ้นก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที ถึงเขาจะฝึกไปจนเกือบถึงขั้นหลอมปราณสู่จิตแล้ว แต่ถ้าจะเข้าสู่ระดับนั้นให้ได้จริงๆ ละก็ คงยังต้องใช้เวลาอีกนานถึงครึ่งปีกว่าๆ
แต่เมื่อเยี่ยเทียนบอกว่า เรือนสี่ประสานนั้นสามารถร่นระยะเวลาในการพัฒนาของเขาได้ ก็ทำให้จัวเจียจวิ้นรู้สึกสนใจขึ้นมาเลย
ควรทราบว่า หากเข้าสู่ระดับหลอมปราณสู่จิตได้ ก็หมายความว่าอายุขัยจะเพิ่มขึ้นมามาก เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่มีชีวิตอยู่จนถึงร้อยปีหรือมากกว่านั้นก็ทำได้โดยไม่มีปัญหาแล้ว อย่างหลี่ซั่นหยวนก็มีอายุขัยถึงหนึ่งร้อยสามสิบปีเต็มๆ
ผลการวิจัยของสถาบันวิจัยบางแห่งพบว่า สำหรับมนุษย์แล้ว อายุขัยโดยปกติก็ควรจะมากกว่าแปดสิบหรือเก้าสิบปี เพียงแต่มีปัจจัยหลายอย่างที่มาจำกัดอายุขัยของคนให้สั้นลง
อย่างเช่นความกดดันต่างๆ ในชีวิต การทำงาน การสูบบุหรี่ดื่มสุราและมลพิษทางอากาศ เป็นต้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้อายุขัยของคนสั้นลง
แต่วิชาพลังภายในที่เยี่ยเทียนฝึกมานี้ สามารถขจัดโรคภัยที่แฝงอยู่ภายในร่างกายออกไปได้ จึงทำให้มีอายุยืนยาวมากขึ้น และนี่ก็เป็นสาเหตุหลักที่ว่า ทำไมศิษย์สำนักเสื้อป่านแต่ละสมัยเข้าไปก้าวก่ายลิขิตฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังมีชีวิตที่ยืนยาวได้อยู่
“ก็ต้องจริงน่ะสิครับ ไว้เดี๋ยวผมพาพวกพี่ไปดูแล้วก็จะรู้กันเองแหละ” เยี่ยเทียนหัวเราะ ปราณวิเศษที่เรือนสี่ประสานของเขานั้นเข้มข้นอย่างยิ่ง จึงเหมาะสมที่จะนำมาใช้ฝึกให้บรรลุระดับขั้นเป็นที่สุด
“อาจารย์ กลับมาแล้วหรือครับ?!”
ระหว่างที่กำลังสนทนากับศิษย์พี่ โจวเซ่าเทียนก็เดินเข้าประตูมาด้วยสีหน้ายินดี สองมือถือกล่องใบใหญ่ไว้ข้างละกล่อง เพราะเขาถูกหลิวหลันหลันที่กำลังขนย้ายข้าวของอยู่ข้างนอกเกณฑ์แรงงานไปช่วยพอดี
เมื่อเห็นชายสูงวัยสองคนนั่งอยู่ข้างๆ เยี่ยเทียน โจวเซ่าเทียนก็เอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย “อาจารย์ครับ สองท่านนี้คือ?”
“เจ้าตัวดี นี่ฉันไม่อยู่แค่เดือนเดียว แกก็ฝึกได้จนถึงขั้นพลังแฝงแล้วเรอะ?”
เยี่ยเทียนมองไปที่โจวเซ่าเทียนปราดเดียวแล้วก็มีสีหน้าชื่มชมขึ้นมาทันที โจวเซ่าเทียนมีพรสวรรค์ที่เหมาะแก่การเรียนศาสตร์ลี้ลับของยุทธภพอย่างยิ่ง แต่น่าเสียดายที่ตั้งแต่เด็กเขาก็เรียนวิชายุทธมาอีกแบบหนึ่ง จึงไม่สามารถเข้าสู่สำนักเสื้อป่านได้
“เพิ่งจะบรรลุเมื่อหลายวันก่อนนี่เองครับอาจารย์” โจวเซ่าเทียนเกาศีรษะอย่างขัดเขิน แต่สายตากลับจับจ้องไปที่โก่วซินเจียและจัวเจียจวิ้นตลอดเวลา
หลังจากเข้าสู่ระดับพลังแฝง ประสาทการรับรู้ต่อสิ่งนอกกายของโจวเซ่าเทียนก็ไวขึ้นมาก เขาจึงรู้สึกได้ว่า ชายแก่ร่างผอมแห้งสองคนที่อยู่ตรงหน้านี้มีเลือดลมที่ทรงพลังพอๆ กับเยี่ยเทียนเลย ถ้าเทียบกับเขาเองแล้วก็ยิ่งสูงส่งกว่าจนไม่รู้เลยว่ากี่เท่า
การค้นพบนี้ทำให้โจวเซ่าเทียนผู้เพิ่งจะเข้าสู่ระดับพลังแฝงได้นั้นรู้สึกเหมือนตัวเองพ่ายแพ้ เพราะเขานึกว่าตัวเองก็ถือว่าเก่งแล้ว ไม่นึกเลยว่าแม้แต่ตาแก่ที่ไหนก็ไม่รู้สองคนนี้เขาก็สู้ไม่ได้
เยี่ยเทียนดูออกว่าโจวเซ่าเทียนคิดอะไรอยู่ จึงพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม “เซ่าเทียน สองท่านนี้เป็นอาจารย์ลุงของนายน่ะ เข้ามาคารวะอาจารย์ลุงสิ”
“คารวะอาจาย์ลุงทั้งสองครับ”
เมื่อได้ยินที่เยี่ยเทียนบอก โจวเซ่าเทียนก็ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที แล้วรีบก้าวเข้าไปโค้งคารวะต่อโก่วซินเจียและจัวเจียจวิ้นตามลำดับ ความรู้สึกคับแค้นในใจก็มลายหายไปจนหมด ถ้าผู้อาวุโสในสำนักสู้เขาไม่ได้ละก็ อย่างนั้นก็คงเป็นเรื่องตลกแล้ว
“หน่อนั้นเป็นหน่อที่ดี เสียแต่ที่ฝึกมาไม่ใช่วิชายุทธของสำนักเราเท่านั้น น่าเสียดาย”
โก่วซินเจียส่ายหน้าอย่างเสียดาย แล้วพูดว่า “ได้ยินศิษย์น้องเยี่ยเล่าเรื่องของเธอให้ฟังแล้วละ สายสำนักของเธอนี่ฉันก็รู้จักอยู่เหมือนกัน สมัยโน้นโดนสายตระกูลห่างๆ แย่งวิชาไป เมื่อหกสิบกว่าปีก่อนน่ะฉันรู้จักลูกหลานตระกูลโจวอยู่หลายคน ตอนนี้น่าจะอยู่กันแถวๆ เซียงซี ถ้ามีเวลาก็ลองไปเสาะหาดูแถวนั้นได้…”
สมัยที่โก่วซินเจียติดตามท่านนายพลเจียงเมื่อครั้งกระโน้น ก็เท่ากับเป็นตัวแทนฝ่ายทางการในแวดวงศาสตร์ลี้ลับของยุทธภพ จึงรู้เกี่ยวกับค่ายสำนักต่างๆ ยิ่งกว่าหลี่ซั่นหยวนเสียอีก
ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนที่ได้ยินเยี่ยเทียนพูดถึงศิษย์นอกสำนักคนนี้ เขาก็รู้ประวัติของโจวเซ่าเทียนหมดแล้ว วันนี้เมื่อเห็นว่าโจวเซ่าเทียนมีคุณสมบัติไม่เลว จึงเล่าเรื่องในอดีตที่ตนรู้ออกมาให้ฟัง
“หกสิบกว่าปีก่อน?” โจวเซ่าเทียนได้ยินอย่างนั้นก็แลบลิ้นแผลบ ถึงจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่สีหน้าก็บอกอยู่แล้วว่าไม่เชื่อ
โก่วซินเจียอายุถึงแปดสิบแล้ว แต่เพราะซุ่มฝึกวิชามาหลายปี ใบหน้าจึงดูคล้ายกับคนอายุห้าสิบกว่าปี อยู่ดีๆ เขาก็มาพูดถึงเรื่องเมื่อห้าหกสิบปีก่อนแบบนี้ ก็ต้องฟังดูไม่น่าเชื่ออยู่แล้ว
“เจ้าบ้านี่ อาจารย์ลุงใหญ่บอกแล้วแกยังไม่เชื่ออีกเรอะ? สมัยที่อาจารย์ลุงใหญ่แกออกท่องยุทธภพน่ะ ปู่แกยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำไป”
เยี่ยเทียนหัวเราะพลางตีโจวเซ่าเทียนหนึ่งแปะ แล้วพูดว่า “เอาละ รีบกลับไปช่วยทางโน้นเถอะ ฉันซื้อนาฬิกาพกจากฮ่องกงมาตั้งหลายเรือน ไว้แกเลือกไปสักเรือนนึงนะ”
หลังจากโจวเซ่าเทียนออกไปแล้ว เยี่ยตงผิงก็จอดรถแล้วเดินเข้ามาในเรือนสี่ประสาน เยี่ยเทียนจึงแนะนำให้รู้จักกันอีกรอบหนึ่ง
เยี่ยตงผิงรู้จักคบหากับหลี่ซั่นหยวนมายี่สิบกว่าปี จึงรู้เรื่องบางอย่างเกี่ยวกับท่านดียิ่งกว่าเยี่ยเทียนเสียอีก ก็เลยเล่าเรื่องเกี่ยวกับพรตเฒ่าในสมัยนั้นให้ฟัง ทำให้โก่วซินเจียและจัวเจียจวิ้นต่างก็ทอดถอนใจกันไม่หยุด
เมื่อตกเย็นอวี๋ชิงหย่าก็รีบกลับมา ฉุดเยี่ยเทียนไปยังจุดที่ไม่มีคนแล้วเริ่มบ่นว่าเสียยกใหญ่ พูดไปๆ น้ำตาก็แทบจะร่วงออกมา
แต่เยี่ยเทียนกลับหนังหน้าหนาขึ้นทุกวัน เขากอดอวี๋ชิงหย่าไว้แล้วจูบหอมอย่างดุเดือด จากนั้นก็หยิบของขวัญสารพัดอย่างที่ซ่อนไว้บนตัวตั้งแต่แรกแล้วออกมา ในที่สุดก็ทำให้น้ำตาของคนงามกลายเป็นรอยยิ้มได้
ตอนแรกเขาก็อยากให้อวี๋ชิงหย่าอยู่ค้างคืนที่นี่ แต่หลังจากกินข้าวแล้วอวี๋ชิงหย่ายังต้องกลับไปที่มหาวิทยาลัยอีก
เพราะอวี๋ชิงหย่าใกล้จะเรียนจบแล้ว ที่มหาวิทยาลัยจึงมีธุระหลายอย่างต้องจัดการ เธอนัดเยี่ยเทียนไว้ว่าพรุ่งนี้ให้ไปช่วยเธอขนข้าวของส่วนตัวบางอย่างกลับมาไว้ที่บ้าน ถึงอย่างไรทั้งสองก็หมั้นหมายกันแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องที่ดูไม่งามอะไร
ตอนกลางคืนโจวเซ่าเทียนต้องกลับไปอยู่เป็นเพื่อนมารดาที่โรงพยาบาล ส่วนเยี่ยเทียนก็พาศิษย์พี่ทั้งสองรวมถึงหลิวติงติงและอาติงมาที่เรือนของตัวเองหลังนั้น ทันทีที่เข้าประตูมา โก่วซินเจียและจัวเจียจวิ้นต่างก็ตะลึงอึ้งกับปราณวิเศษอันเข้มข้นนั้นกันไปทั้งคู่
“รวมหยินหยางไว้ใช้งาน อาศัยพลังงานจากธรรมชาติ ศิษย์น้อง ในด้านค่ายกลนี่น่ะ ศิษย์พี่สู้นายไม่ได้จริงๆ!” โก่วซินเจียทุ่มเทมุ่งมั่นศึกษาเกี่ยวกับค่ายกลวิเศษมาหลายสิบปี แต่เมื่อเห็นค่ายกลชุมนุมพลังที่ได้ผลถึงระดับนี้ ก็ยังต้องยอมแพ้ให้อย่างศิโรราบ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ต้องพูดอย่างนั้นเลยครับ พอมาถึงที่นี่แล้ว ผมน่ะรู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตมาครึ่งชีวิตอย่างเปล่าประโยชน์เสียจริง”
จัวเจียจวิ้นเองก็ยิ้มเจื่อนๆ เช่นกัน ที่บ้านของเขาที่ฮ่องกงก็จัดตั้งค่ายกลไว้เหมือนกัน แต่เทียบกับที่เรือนสี่ประสานนี้แล้ว นับว่าห่างชั้นกันราวฟ้ากับดินเลยทีเดียว
“ศิษย์พี่ เลือกห้องอยู่กันคนละห้องก่อนเถอะครับ”
เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มๆ แล้วหันไปพูดกับหลิวติงติงและอาติง “พวกเธอสองคนอยู่ที่นี่กันได้แค่อาทิตย์ละสามวันนะ อาติง ใช้เวลาสักเดือนหนึ่งโรคภัยของนายก็จะถูกขับออกไปหมดแล้วละ”
……….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น