กระบี่จงมา 368.4-369.3
บทที่ 368.4 หลี่เอ้อร์เดินทางไกล จั่ว...
คงจะเป็นเพราะเฉินผิงอัน เผยเฉียนและเจิ้งต้าเฟิงที่สามารถลุกขึ้นมานั่งบนเตียงได้แล้วต่างก็เป็นคนที่เคยชินกับชีวิตที่ยากลำบากมานานแล้ว
ดังนั้นหลายวันมานี้ในร้านยาฮุยเฉินจึงไม่มีบรรยากาศของความอึมครึมเป็นทุกข์ใดๆ ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เมื่อเจิ้งต้าเฟิงกลับมามีนิสัยยิ้มหน้าเป็นชอบหัวเราะเฮฮาเหมือนเดิมอีกครั้ง เรือนด้านหลังก็นับว่าครึกครื้นไม่น้อย
ฟ่านเอ้อร์เองก็ถูกฟ่านจวิ้นเม่าพี่สาวคนโตพามาที่ร้านยารอบหนึ่ง เห็นเจิ้งต้าเฟิงผู้ถ่ายทอดมรรคาของเขาอยู่ในห้อง ตอนที่เข้าไปเขาพยายามอดทนเอาไว้ไม่ร้องไห้ แต่พอเห็นเจิ้งต้าเฟิงกลับไม่อาจอดกลั้นไว้ได้อีก เพียงแต่ไม่รู้ว่าสองอาจารย์และศิษย์พูดคุยอะไรกัน ตอนที่ฟ่านเอ้อร์เดินออกมาใบหน้าถึงมีรอยยิ้ม
ฟ่านจวิ้นเม่าถามเฉินผิงอันว่าคิดได้แล้วหรือยังว่าจะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตบนทะเลเมฆผืนนั้นหรือไม่ เฉินผิงอันบอกว่าขอเวลาคิดอีกหน่อย
ฟ่านเอ้อร์อยากจะขอประลองฝีมือกับเฉินผิงอัน เขาบอกว่าจะยอมอ่อนข้อให้เฉินผิงอันเล็กน้อย ผลกลับกลายเป็นว่าถูกฟ่านจวิ้นเม่าเขกมะเหงกใส่จนล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น เผยเฉียนเห็นแล้วก็เกิดแรงบันดาลใจ จึงบอกกับตัวเองว่าต้องกล้าหาญ ลองประชันฝีมือกับฟ่านเอ้อร์ที่เรียกตัวเองว่า ‘ปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตสี่’ ดูสักครั้ง ผลคือฟ่านเอ้อร์ถูกเผยเฉียนที่ในมือถือไม้เท้าเดินป่าวิ่งไล่ตี ฟ่านเอ้อร์วิ่งพลางตะโกนไปด้วยว่า “เผยเฉียนเจ้าอายุน้อยแค่นี้ เหตุใดถึงมีวรยุทธ์เลิศล้ำถึงเพียงนี้ หรือว่าเจ้าก็คือผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่เผยตัวบนโลกที่กล่าวถึงในตำนาน ได้โปรดปล่อยให้ข้าฟ่านเอ้อร์กลับไปมุมาะฝึกฝนอีกสักสามวันเถิด แล้วข้าจะมาขอความรู้จากวิชากระบี่อันสูงส่งของเจ้าใหม่!”
เผยเฉียนวิ่งจนเหงื่อไหลเต็มแผ่นหลัง รู้สึกว่าการประมือครั้งนี้ตนได้แสดงบารมีอันน่าเกรงขามออกมาอย่างเต็มที่ แม้แต่หน้าผากตัวเองก็ยังถูกไม้เท้าเดินป่าฟาดหนึ่งที วิชากระบี่สูงส่งเกินไป ยั้งมือไม่ทันจริงๆ
รอจนฟ่านเอ้อร์ถูกฟ่านจวิ้นเม่าคว้าตัวพาเดินออกไปนอกร้านยา เผยเฉียนถึงได้หันหน้ากลับมามองเว่ยเซี่ยน ถามว่า “เหล่าเว่ย ข้าร้ายกาจขนาดนี้จริงๆ หรือ? ข้ารู้ว่าการประจบเอาใจของฟ่านเอ้อร์ผู้นั้นมีส่วนที่เป็นน้ำ…”
เว่ยเซี่ยนนั่งอาบแสงแดดอบอุ่นของฤดูหนาวอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก “ส่วนที่เป็นน้ำมีไม่มาก”
เผยเฉียนเช็ดเหงื่อบนใบหน้า “มารดาข้า ที่แท้ข้าก็เป็นผู้มีพรสวรรค์จริงๆ หรือนี่ วันหน้าจะยังต้องสงสัยอะไรอยู่อีก เอาล่ะ เหล่าเว่ย คืนนี้ข้าคัดตัวอักษรเสร็จแล้วจะสร้างสรรค์วิชาหมัดขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง พรุ่งนี้จะถ่ายทอดให้เจ้า เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้ามากหรอก ถังหูลู่สิบไม้ก็พอแล้ว”
เว่ยเซี่ยนส่ายหน้า “วิชาหมัดของเจ้า ข้าไม่เรียน”
เผยเฉียนวิ่งกราดเข้ามา พูดข่มขู่ด้วยท่าทางดุดัน “ทำไม ดูถูกข้ารึ? หรือว่าเสียดายเงินเล็กๆ น้อยๆ ค่าถังหูลู่นั่น?”
เว่ยเซี่ยนกล่าว “ไม่มีเงินแล้ว”
เผยเฉียนไม่มีเวลามาสนใจแล้วว่าเว่ยเซี่ยนดูแคลนวิชาหมัดของนางหรือไม่ ร้องอั๊ยหยากระทืบเท้า พูดอย่างขุ่นเคือง “ทำไมแม้แต่เงินซื้อถังหูลู่ก็ไม่มีแล้วล่ะ!”
นางพลันทรุดตัวลงนั่งยอง พูดเสียงเบา “เหล่าเว่ย เจ้ายังมีชุดคลุมมังกรสีสันสดใสลวดลายซับซ้อนนั่นอยู่ไม่ใช่หรือ พวกเราเอามันไปขายแลกเงินเถอะ? ถึงเวลานั้นหากเจ้าเหนื่อย ข้าจะช่วยเจ้าถือเอง พวกเราเป็นเพื่อนกันนี่นะ ข้าจะไม่ช่วยเจ้าได้หรือ?”
เว่ยเซี่ยนถามกลับ “แล้วทำไมเจ้าไม่ขายยันต์แผ่นนั้น?”
นางหยิบกระดาษยันต์สีเหลืองออกมาอย่างอิดออด แปะลงบนหน้าผากตัวเองแล้วก็พยักหน้ารับ พูดด้วยประโยคที่ไม่เคยเอ่ยมาก่อน “ก็จริงนะ ข้าตัดใจไม่ลง คาดว่าเจ้าเองก็คงตัดใจลงไม่ลงเหมือนกัน ข้าจะไม่บังคับให้เจ้าลำบากใจอีกแล้ว”
เว่ยเซี่ยนหันหน้ามามองเด็กหญิง “ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วหรือไง?”
เผยเฉียนหันหน้ามากระซิบกระซาบข้างหูเว่ยเซี่ยน “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ อันที่จริงข้าคือองค์หญิงที่พลัดพรากมาอยู่ในหมู่ชาวบ้าน ตอนที่ข้ายังเด็กไม้คานหาบของที่ใช้ในบ้านยังทำมาจากทองคำ หมั่นโถวกินหนึ่งลูกทิ้งหนึ่งลูก”
เว่ยเซี่ยนพยักหน้ารับ “เหมือนข้า”
ทุกวันนี้นอกจากเฉินผิงอันจะปูผ้านอนบนพื้นร้านด้านหน้าแล้วยังใช้โต๊ะคิดเงินเป็นโต๊ะเขียนหนังสือด้วย
ช่วงที่ผ่านมานี้เขาคอยอ่านทบทวนและวิเคราะห์ศึกษาตำราลับหลอมโอสถที่ลู่ยงแห่งตำหนักพยัคฆ์เขียวมอบให้ซ้ำไปซ้ำมา
เพราะตอนนี้ร้านยาฮุยเฉินกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามที่คนของนครมังกรเฒ่ารับรู้ทั่วกันโดยไม่ต้องป่าวประกาศ อีกทั้งยังมีเทพหยินแซ่จ้าวเฝ้าพิทักษ์ตรอกเล็ก เฉินผิงอันจึงเอาแท่นมังกรก้อนที่เล็กที่สุด และยังมีแผ่นหยกสีทองที่สลักคำว่า ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ มาวางไว้บนโต๊ะ ความเป็นมาของมัน พี่หญิงเทพเซียนไม่ได้เล่าอย่างละเอียด บอกแค่ว่าตาเฒ่าบางคนยังถือว่าแยกแยะบทลงโทษและการให้รางวัลได้อย่างชัดเจน สถานหนักคือให้เจ้าหมอนั่นปิดประตูทบทวนตัวเอง สถานเบาคือปลดป้ายชิ้นนี้
ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้เฉินผิงอันคอยโยนเหรียญทองแดงแก่นทองเข้าไปในชุดคลุมอาคมจินหลี่แทบทุกวัน วันนี้เป็นเหรียญที่สี่แล้ว
นี่เกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ระดับชีวิต ไม่เหลือพื้นที่ว่างให้เขาเฉินผิงอันรู้สึกเสียดายเลยแม้แต่น้อย
อีกทั้งยานั่งลืมตนหนึ่งขวดและยามังกรเพลิง ยาโปรยพิรุณที่ใช้ร่วมกันอีกสองขวด นอกจากเฉินผิงอันจะกินยานั่งลืมตนไปหนึ่งเม็ดแล้ว ส่วนที่เหลือล้วนมอบให้เจิ้งต้าเฟิงและคนทั้งสี่ในม้วนภาพวาด แจกจ่ายไปหมด ไม่เหลือสักเม็ดเดียว
เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงลุกขึ้นเดินไปเรือนหลัง พาเผยเฉียนไปหาสุยโย่วเปียนที่กำลังฝึกยืนนิ่งเจี้ยนหลูอยู่ในห้องด้านข้าง ฝ่ายหลังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เฉินผิงอันจึงบอกว่าให้นางช่วยยืดเส้นเอ็นดึงกระดูกให้เผยเฉียนก่อนได้หรือไม่
เผยเฉียนยิ้มกว้างจนแทบหุบปากไม่ลง
ในที่สุดตนก็กลายเป็นลูกศิษย์ใหญ่ผู้บุกเบิกขุนเขาของอาจารย์เฉินผิงอันอย่างเป็นทางการแล้ว!
สุยโย่วเปียนพยักหน้ารับ
ผลคือเฉินผิงอันเพิ่งเดินออกไปจากห้องได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงเผยเฉียนร้องไห้โฮดังสนั่นสะเทือนแผ่นฟ้า จากนั้นเด็กหญิงก็วิ่งออกมาจากในห้อง บอกว่านางไม่อยากฝึกวรยุทธ์อีกแล้ว
สุยโย่วเปียนยืนอยู่หน้าประตู กล่าวอย่างจนใจว่า “นางทนรับกับความเจ็บปวดไม่ได้เลย ข้ากะน้ำหนักให้พอดีกับนางแล้ว”
เฉินผิงอันยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดหน้า
ไม่มีหน้าไปพบใครแล้ว
เผยเฉียนยังกอดเขาแน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่เพียงแต่เหงื่อแตกเต็มหัว บนใบหน้าเล็กที่ดำเหมือนถ่านยังเต็มไปด้วยความตื่นตกใจและหวาดกลัว
วันนี้ฟ้ายังไม่ทันมืด เผยเฉียนก็มาหาเฉินผิงอันที่โต๊ะคิดเงิน บอกว่าวันนี้นางคัดตัวอักษรตั้งหนึ่งพันตัวเชียวนะ แม้ว่าจะคัดตัวอักษรมากขนาดนั้น แต่เด็กหญิงก็ยังรู้สึกใจไม่ดี
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ไม่ฝึกวรยุทธ์ก็ไม่ฝึกสิ ไม่เห็นจะเป็นอะไร วันหน้าตั้งใจเรียนหนังสือให้มากก็ต้องได้ดิบได้ดีเหมือนกัน”
เผยเฉียนจึงเดินกระโดดโลดเต้นจากไป ไปคุยเล่นกับเหล่าเว่ยดีกว่า
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม แล้วจึงเปิดตำราลับหลอมโอสถที่มีทองพันชั่งก็ยากจะหาซื้อได้เล่มนั้นอ่านต่อไป
อยู่ดีๆ ก็นึกถึงภาพตอนที่เผยเฉียนยืนอยู่ตรงมุมหัวเลี้ยวในวันนั้น
เมื่อเทียบกับปีนั้นตอนที่ตนยังเด็กแล้วต้องขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร เจอกับฝนกระหน่ำที่ตกลงมาอย่างฉับพลัน น้ำป่าไหลบ่ามาตามลำธาร ปิดกั้นทางเดินลงเขาที่อยู่ใกล้ที่สุด เพื่อที่จะรีบกลับไปดูแลท่านแม่ ตนก็กัดฟันพยายามที่จะกระโดดข้ามไปให้ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงรู้สึกใจอ่อน
ต่อให้วิญญาณกระบี่จะบอกแล้วว่าเผยเฉียนคือ ‘ตัวอ่อนในการฝึกวรยุทธ์ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้บนโลกใบนี้’ แต่เฉินผิงอันกลับไม่รู้สึกว่าเผยเฉียนไม่ฝึกวรยุทธ์แล้วจะเป็นเรื่องน่าเสียดายอะไรมากมาย
เด็กอายุแค่ไหนก็ควรทำเรื่องที่เหมาะกับอายุแค่นั้น ไม่มีอะไรที่ผิด
หรือว่าตอนที่เขาเฉินผิงอันยังเป็นเด็ก นั่งยองๆ อย่างโดดเดี่ยวอยู่ไกลๆ มองเด็กวัยเดียวกันเล่นว่าวอยู่ที่สุสานเทพเซียน กินขนมอาหารว่าง สวมเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมแล้วไม่อิจฉาอย่างนั้นหรือ?
ต้องอิจฉามากอยู่แล้ว
หรือว่าปีนั้นตอนที่เขาเฉินผิงอันยังมีเรี่ยวแรงน้อย ได้แต่นำของที่พ่อแม่เหลือทิ้งไว้ในบ้านออกไปขายแลกเงิน ไม่ได้ร้องไห้เลยหรือ?
เขาเองก็แอบซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม ร้องไห้ด้วยความเสียใจเหมือนกัน
ความยากลำบากเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องร้ายทั้งหมดเสมอไป ผ่านมันมาได้ก็จะกลายเป็นเรื่องดีอีกเรื่องหนึ่ง
แต่เฉินผิงอันก็ยังคาดหวังว่าคนข้างกายที่ตนห่วงใย แต่ละคนจะมีชีวิตที่ราบรื่นกว่าเขา อย่างน้อยก็ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านั้นในขณะที่ยังเด็กเกินไปและเร็วเกินไป
เพียงแต่ว่ามนุษย์มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ สิ่งที่ยากที่สุดก็คือคำว่าสมใจปรารถนา เห็นของดีๆ แต่เงินในกระเป๋าไม่ให้ความร่วมมือ
คิดอยากจะมีชีวิตที่สงบสุขก็ไม่แน่เสมอไปว่าสวรรค์จะยินยอม
เฉินผิงอันฟุบตัวอยู่บนโต๊ะคิดเงิน รู้สึกง่วงเล็กน้อยจึงหลับไปทั้งอย่างนั้น
……
ตลอดทั้งบนและล่างของสำนักใบถง นอกจากผู้ฝึกตนใหญ่ห้าขอบเขตบนไม่กี่คนที่มีจนนับนิ้วได้แล้วก็ไม่มีใครสัมผัสได้ถึงความผิดปกติอีก ยังคงรู้สึกว่าสำนักของตัวเองคือผู้นำอย่างสมเกียรติในใบถงทวีป ต่อให้ภูเขาทั้งสามลูกอย่างสำนักกุยหยก สำนักฝูจีและภูเขาไท่ผิงมารวมกันก็ได้แค่พอจะงัดข้อกับสำนักใบถงของพวกเขาอย่างถูไถเท่านั้น
แม้ว่าตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา สำนักใบถงจะไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์ในสำนักป่าวประกาศแก่คนภายนอกว่า บรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนักใบถงผู้นั้นคือขอบเขตบินทะยาน บอกแค่ว่าเป็นขอบเขตเซียนเหริน แค่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตสิบสามเท่านั้น แต่ใครเล่าที่ไม่รู้ว่า การทำอย่างนี้เรียกว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง? การที่ผู้ฝึกลมปราณคนอื่นๆ ในทวีปไม่พูดถึงเรื่องนี้ก็แค่เพราะกังวลว่าจะทำให้สำนักใบถงไม่พอใจ แต่อันที่จริงในใจล้วนกระจ่างแจ้งราวกับส่องกระจก
สำนักใบถงนอกจากบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ซึ่งมีพลังอำนาจสยบทั้งทวีปแล้ว ยังมีขอบเขตหยกดิบอีกหลายท่านที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรไม่ต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นบุรพาจารย์ผู้คุมกฎที่ดูแลเทียบวงศ์ตระกูลของสำนักก็เพิ่งจะสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองกลับมาอย่างราบรื่น
และเจ้าสำนักใบถงคนปัจจุบันก็เป็นขอบเขตหยกดิบเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งด้วย!
ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าสำนักยังอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำ คือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งที่อายุแค่สามร้อยปี
รากฐานที่ลึกล้ำยิ่งใหญ่ขนาดนี้ สำนักกุยหยกที่อยู่ทางทิศใต้สุดยังจะกล้าช่วงชิงตำแหน่งผู้ครองอันดับหนึ่งกับสำนักใบถงอีกอย่างนั้นหรือ?
สำนักใบถงมีพื้นที่กินอาณาบริเวณกว่าหนึ่งพันสองร้อยลี้ หากทะยานลมไม่เป็น ขี่กระบี่ไม่เป็น คิดจะพบหน้ากันยังเป็นเรื่องยาก
นอกจากนี้ครอบครองถ้ำสวรรค์ใบถงขนาดเล็กหนึ่งแห่ง
มีเพียงผู้ฝึกตนใหญ่ห้าขอบเขตบนและเซียนดินก่อกำเนิดเท่านั้นที่ถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปฝึกตนข้างในได้
ทว่ามีอยู่วันหนึ่ง เกียรติยศ ความมั่นใจและชื่อเสียงอันรุ่งโรจน์ของสำนักที่ลูกศิษย์ของสำนักใบถงทุกคนได้ครอบครองมาตั้งแต่เกิดก็เริ่มเปลี่ยนไป ความคิดหลายอย่างที่คิดว่าถูกต้องตามหลักฟ้าดินกลับกลายมาเป็นความไม่แน่ใจ
ยกตัวอย่างเช่นคืนวันหนึ่ง ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางแทบทุกคนต่างก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความกดดันขุมหนึ่งที่มากมหาศาลซึ่งพุ่งจากเหนือมาใต้ ตรงดิ่งมายังชายแดนทางทิศเหนือของสำนักใบถง!
ตัวคนยังไม่ทันปรากฏ ปราณกระบี่ก็มาถึงก่อนแล้ว
หนึ่งกระบี่ฟันลงมาบนปราการสีเขียวเข้มที่กะพริบวาบออกมาจาก ‘ร่มสวรรค์ใบถง’ อันเป็นค่ายกลใหญ่ปกป้องสำนัก
ค่ายกลแหลกสลายในทันที
แม้ว่าเพียงชั่วพริบตาปราณวิญญาณแห่งภูเขาและแม่น้ำที่เกิดจากการเผาผลาญเงินเกล็ดหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนจะมารวมตัวกันกางเป็นร่มใบถงที่ปกป้องฟ้าดินคันที่สอง
ทว่าหนึ่งกระบี่ก็ยังคงผ่าสะบั้นอยู่ดี
จนกระทั่งร่มใบถงคันที่หกที่ยิ่งนานขนาดก็ยิ่งเล็กลงถูกกางออก
ผู้ฝึกกระบี่ไม่ทราบชื่อท่านนั้นถึงได้หยุดออกกระบี่ ลอยตัวอยู่กลางอากาศห่างจากภูเขาบรรพบุรุษของสำนักใบถงไปสามร้อยลี้
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “ตู้เม่า ออกมา ไม่อย่างนั้นกระบี่ที่เจ็ด ข้าก็ไม่รับประกันว่าจะไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง”
นาทีนี้ต่อให้เป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกห้าขอบเขตล่างของสำนักใบถง หรือแม้แต่พวกนักการและคนในครอบครัวของพวกเขาที่กระจายตัวอยู่รอบนอกห่างไปทางทิศใต้ก็ยังพากันแหงนหน้ามองจุดแสงบาดตาจุดนั้น
ขยับใกล้ไปทางทิศเหนือ ขอแค่เป็นผู้ฝึกลมปราณที่ต่ำกว่าเซียนดินโอสถทอง แค่มองผู้ฝึกกระบี่คนนั้นมากสักหน่อยก็ยังรู้สึกว่ามีปราณกระบี่เป็นเส้นๆ แทงทะลุเข้ามาในดวงตาอย่างแรง จำต้องรีบก้มหน้าลง
และเวลานี้เอง ปราการธรรมชาติอย่างใหม่ซึ่งมีภูเขาบรรพบุรุษเป็นจุดศูนย์กลาง มีปราณวิญญาณของถ้ำสวรรค์ใบถงเป็นต้นกำเนิดก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าผู้ฝึกกระบี่คนนั้น ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาที่น่าจะเป็นใจกลางที่สุดของร่มสวรรค์คันนี้ปกป้องแค่ภูเขาและแม่น้ำในรัศมีสามร้อยลี้รอบภูเขาบรรพบุรุษเท่านั้น
ผลักไสผู้ฝึกกระบี่คนนั้นให้อยู่นอกประตูได้อย่างพอดิบพอดี
แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นนอกประตูอะไร คนเขาบุกเข้ามาสังหารถึงในบ้านแล้ว แค่ไม่ได้บุกเข้าไปในห้องโถงใหญ่ก็เท่านั้น
เจ้าสำนักใบถงที่ตรงเอวห้อยแผ่นหยกศาลบรรพชนสามารถลอดผ่านปราการค่ายกลออกมาได้ เขาสวมชุดคลุมสีม่วง สะพายกระบี่มาลอยตัวอยู่ตรงหน้าผู้ฝึกกระบี่คนนั้น เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ใช่เซียนกระบี่จั่วโย่วหรือไม่?”
“ตู้เม่า?”
เซียนกระบี่ชำเลืองตามองผู้ฝึกกระบี่ชุดม่วงแล้วส่ายหน้า “ไม่เหมือน”
ดังนั้นเขาจึงออกกระบี่อีกครั้ง
เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนสองคน
ประหนึ่งสายรุ้งสองเส้นที่แหวกผ่านภากาศยามค่ำคืน
ไม่มีศึกยาวนานอย่างที่ลูกศิษย์สำนักใบถงคาดการณ์เอาไว้
เดิมทีการเข่นฆ่าของเซียนกระบี่ที่ถูกขนานนามว่าสามารถ ‘กินเงิน’ ได้มากที่สุดในโลกก็สามารถตัดสินเป็นตายได้รวดเร็วยิ่งกว่าผู้ฝึกลมปราณแบบอื่นๆ อยู่แล้ว
สองคือศักยภาพแตกต่างกันมากเกินไป
สุดท้ายเพียงไม่นานเจ้าสำนักใบถงก็ถูกกระบี่ฟันจนกระเด็นทะลุม่านปราการเข้ามา ร่างทั้งร่างกระแทกลงบนยอดเขาที่มีปราณวิญญาณเบาบาง และภูเขาลูกนั้นก็ระเบิดแตกออกโดยตรง
ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นปล่อยกระบี่ออกมาในแนวตั้ง จากบนจรดล่าง พริบตาเดียวก็กรีดปราการให้กลายเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ ส่วนตัวเขาเองเดินเข้ามาช้าๆ คล้ายแขกคนหนึ่งที่มาโดยไม่ได้รับเชิญ แถมยังพังประตูบุกเข้าบ้านคนอื่น ไม่สนมารยาทเลยแม้แต่น้อย
เสียงสบถด่าดังขโมงโฉงเฉง รวมไปถึงสมบัติอาคมตระกูลเซียนหลากสีสันงดงามพร่างตาที่พร้อมใจกันกระแทกเข้าใส่คนผู้นี้
ผู้ฝึกกระบี่คนนี้ไม่กักเก็บปราณกระบี่ที่เก็บซ่อนไม่เปิดเผยมาเป็นร้อยปีไว้อีกต่อไป เขาปล่อยมันออกมาข้างนอกในเสี้ยววินาที ปานประหนึ่งน้ำตกสีเงินที่ไหลทะลักเข้าสู่โลกมนุษย์
ไม่มีสมบัติอาคมชิ้นไหนสามารถเข้าใกล้เขาในรัศมีร้อยจั้งได้เลย
ผู้ฝึกกระบี่มีสีหน้าเฉยชา พูดกับภูเขาบรรพบุรุษด้วยน้ำเสียงจริงจังราวกับกำลังขอความรู้จากคนอื่น “อาจารย์ของข้าบอกแล้วว่า ต้องการให้ข้าเล่นมารดาเจ้า หากให้ข้าเรียนหนังสือนั้นค่อนข้างยาก แต่เรื่องนี้กลับไม่ยาก ถ้าอย่างนั้นปัญหาก็มาแล้ว ตู้เม่า มารดาเจ้ายังอยู่บนโลกหรือไม่ นางหน้าตาเป็นอย่างไร?”
ฟ้าดินเงียบสงัด
เงียบสงัดมากเป็นพิเศษ
บทที่ 369.1 ความทุกข์ยากบนโลกมนุษย์ ม...
รออยู่ครู่หนึ่ง ตู้เม่าก็ยังไม่เผยตัว
จั่วโย่วมองไปทางภูเขาบรรพบุรุษลูกนั้น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พูดขนาดนี้ก็ยังไม่ออกมา? ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกลมปราณที่เคยไปเยือนขอบเขตบินทะยาน หนังหน้าหนาเช่นนี้ คาดว่ากระบี่บินของข้าคงจะแทงไม่เข้าเลยกระมัง”
เพียงแต่ว่าจั่วโย่วพลันค้นพบความผิดปกติบางอย่าง ตรงกลางภูเขาบรรพบุรุษ แถบดินแดนเซียนที่มีเทือกเขาสลับสล้างมีหอเทพเซียนแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ตรงนั้นมีผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งที่ทำท่าทางคล้ายปกป้องเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งมีฐานกระดูกไม่เลว อีกทั้งเวลานี้ทุกคนต่างก็พากันหันไปมองเด็กสาวด้วยสายตาแปลกพิกล นางคือผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่ยังเด็กมากคนหนึ่ง
หลังจากนางสังเกตเห็นว่าจั่วโย่วกำลังมองนางอยู่ก็รีบก้มหน้าลงด้วยความตกใจทันที
จั่วโย่วขมวดคิ้ว
เพราะสำนักใบถงมีลูกศิษย์อยู่ไม่น้อย ทว่าทุกคนต่างพากันหันมามองทางกึ่งกลางภูเขาของยอดเขาบรรพบุรุษแทบจะเวลาเดียวกันคล้ายกำลังมองหานางอยู่
ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบที่อยู่ข้างกายเด็กสาวซึ่งเหมือนจะมีสถานะเป็นผู้ปกป้องมรรคาของนางสีหน้าเขียวคล้ำ แต่กลับไม่กล้าเป็นฝ่ายท้าทายผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังสังหารไร้ที่สิ้นสุดผู้นี้โดยพลการ
เด็กสาวมีนิสัยขี้ขลาด อีกทั้งยังได้รับอยุติธรรมที่ใหญ่เทียมฟ้า เวลานี้ถึงกับหลั่งน้ำตาเงียบๆ
สำนักบนภูเขาแห่งหนึ่ง คิดจะหยัดยืนได้อย่างมั่นคง หรือถึงขั้นสามารถเชิดหน้ามองกลุ่มขุนเขาได้นั้น อันที่จริงง่ายดายมาก ก็คือต้องมีคนที่ต่อสู้เป็น
ในอดีตมี ก่อร่างสร้างกิจการ สืบทอดควันธูป มีวิชาอภินิหารที่ทอดตรงไปสู่ห้าขอบเขตบน หยั่งรากลงลึก หลังจากนั้นก็แตกกิ่งก้านสาขา
ปัจจุบันมี ไปหาเรื่องในถิ่นคนอื่น ตีให้ถอยร่น อย่างน้อยก็ต้องให้คนอื่นเอ่ยปากยอมแพ้ สร้างร่มเงาให้แก่สำนัก ปกป้องคนรุ่นหลัง
อนาคตมี อย่าให้การสืบทอดต้องขาดลงกลางคัน ถ้าอย่างนั้นยิ่งตอนนี้กำเริบเสิบสานมากเท่าไหร่ ถึงเวลานั้นเมื่อลมและน้ำพลิกผันจะทำอย่างไร? ยังจะเก็บศาลบรรพชนไว้อยู่ไหม? ถึงอย่างไรการฝึกตนบนภูเขา การแก้แค้นก็ไม่เคยพิถีพิถันเรื่องวิญญาณชนแก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สายอะไรนั่น เพราะมีคนไม่น้อยที่คิดจะอดใจรอหนึ่งร้อยปี หลายร้อยปี หรือแม้แต่หลายพันปีก็ยังมี
ถ้าเช่นนั้นเด็กสาวที่กลับมาจุติใหม่ซึ่งในอดีตเคยเป็นขอบเขตหยกดิบผู้นี้ หลังจากที่ผู้ฝึกตนซึ่งเชี่ยวชาญการคำนวณและอนุมานของสำนักใบถงบอกให้รู้ถึงทิศทางคร่าวๆ แล้ว ทางสำนักก็ใช้เวลาเกือบสามสิบปีถึงจะตามหาสถานที่แห่งนั้นเจออย่างยากลำบาก จากนั้นก็มีคนจงใจปิดบังชื่อแซ่รอคอย ‘นาง’ มาหลายสิบปี รอจนนางถือกำเนิดมาได้หลายปี ผ่านการเข่นฆ่าสังหารครั้งหนึ่งถึงได้พานางกลับมาที่ภูเขาได้สำเร็จ
ดังนั้นเด็กสาวที่ถูกนำตัวกลับมาสำนักใบถงผู้นี้จึงถือเป็นคนที่สู้เป็นในอนาคต
คล้ายคลึงกับหวงถิงนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิง เพียงแต่ว่าตอนนี้ตบะและพลังอำนาจของนางยังอยู่ห่างชั้นเกินกว่าจะเทียบกับหวงถิงได้ โดยเฉพาะอย่างหลังที่สำคัญมากเป็นพิเศษเพราะเกี่ยวพันไปถึงต้นกำเนิดของมหามรรคา
แม้ปากของเทียนจวินผู้เฒ่าและเจ้าสำนักซ่งเหมาแห่งภูเขาไท่ผิงจะพร่ำตำหนิสั่งสอนหวงถิงว่าช่างหาเรื่อง ไม่รู้จักอดทนข่มกลั้น แต่ลึกๆ ในใจย่อมต้องเบิกบานราวกับมีดอกไม้ผลิ
ส่วนเด็กสาวที่สำนักใบถงฝากความหวังไว้มากผู้นี้ มีเรื่องเดียวที่น่าเสียดายก็คือ ถึงแม้เด็กสาวจะมีพรสวรรค์ดี แต่นิสัยกลับอ่อนแอมากเกินไป ลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์ขัดเกลาจิตแห่งเต๋าอยู่หลายครั้ง คำวิจารณ์ของสำนักล้วนเป็นคำว่า พรสวรรค์โดดเด่น เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ฯลฯ มีคำชื่นชมมากมายหลายร้อยคำ แต่ทุกครั้งมักจะลงท้ายด้วยประโยคทำนองว่า นิสัยซื่อสัตย์อ่อนโยน ขาดความเด็ดขาดในการเข่นฆ่าสังหารไปบ้าง ฯลฯ อยู่เสมอ
เพียงแต่เพราะสถานะที่พิเศษของนางทำให้ไม่มีใครกล้าพูดจารุนแรงใส่ ตระกูลตู้ที่ใหญ่ที่สุดในสำนักใบถงก็ยิ่งเห็นนางเป็นดั่งดวงใจ
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก นอกจากชาติก่อนเด็กสาวจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบแล้ว นางยังมีสถานะที่สำคัญอีกขั้นหนึ่ง นางเคยเป็นมารดาของตู้เม่าบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์จริงๆ
ตามหาคนที่มาจุติเกิดใหม่ ผูกบุญสัมพันธ์กันอีกครั้ง
โดยทั่วไปแล้วมีเพียงตระกูลเซียนบนภูเขาที่มีในชื่อมีคำว่าสำนักเท่านั้นถึงจะมีรากฐานและวิธีการเช่นนี้ได้
จั่วโย่วอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย มือหนึ่งถือกระบี่ อีกมือหนึ่งเกาหัว คงเป็นเพราะไม่อยากทำให้แม่นางน้อยที่บริสุทธิ์คนหนึ่งต้องตกใจกลัวจึงอธิบายว่า “ข้าล้อเล่น อย่าคิดเป็นจริงเป็นจัง บัณฑิตอย่างพวกเราชอบพูดคำพ้องเสียง”
ไม่พูดยังดี ถึงอย่างไรเด็กสาวก็ตกใจกลัวมานานแล้ว
แต่พอเขาอธิบายอย่างนี้
เด็กสาวที่สีหน้าซีดขาวจึงเริ่มย่นใบหน้าเล็กๆ นางที่เพิ่งลอบเช็ดคราบน้ำตาพยายามอดทนไม่ให้ตัวเองแสดงความขลาดกลัวออกมาต่อหน้าคนชั่วร้ายผู้นี้ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของนางในอดีต ป่านนี้คงร้องไห้น้ำตาร่วงเผลาะๆ ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งกว่านี้ไปแล้ว
จั่วโย่วรู้สึกลำบากใจ
แต่เขาก็ไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความ
รับมือกับสตรี เสี่ยวฉีไม่ถนัด เจ้าสารเลวชุยฉานนั่นถือว่าดีขึ้นมาหน่อย แต่เขาจั่วโย่วกลับรู้สึกมาโดยตลอดว่าความคิดของสตรียากจะทำความเข้าใจยิ่งกว่าความรู้ของอาจารย์เสียอีก สรุปก็คือยากยิ่งกว่าเรียนหนังสือ
ส่วนข้อที่ว่าความรู้ของจั่วโย่วยิ่งใหญ่หรือไม่ สูงหรือไม่
เมื่อเทียบกับความดั้งเดิมซื่อตรงของฉีจิ้งชุนและสมองที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดของชุยฉานแล้ว ก็ถือว่าด้อยกว่าไม่น้อย
เขาไม่ชอบเรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก แต่เป็นเพราะถูกซิ่วไฉเฒ่าคอยกดหัวเขาให้อ่านตำรา แน่นอนว่าย่อมมีความรู้อยู่บ้าง พวกวิญญูชนและนักปราชญ์ทั่วไปของสำนักศึกษาล้วนไม่มีคุณสมบัติพอที่จะถกปัญหาพูดคุยกับจั่วโย่วได้
ต้องรู้ว่าจั่วโย่วฝึกกระบี่ ปราณกระบี่ของเขาเอามาจากไหน?
ช่วงแรกเริ่มสุดเอามาจากในตำรา จากในรอยสลักจำนวนนับไม่ถ้วนบนหน้าผา จากในเอกสารคัดลอกป้ายศิลาจำนวนเกินจะนับ
เพื่อให้เขาฝึกกระบี่ได้อย่างราบรื่น ปีนั้นเสี่ยวฉีคอยเดินทางขึ้นเขาลงห้วยทั่วสารทิศเป็นเพื่อนเขา
จั่วโย่วถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที ทอดสายตามองไปยังทิศทางของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
เขาดึงสายตากลับมา พบว่าข้างกายของเด็กสาวยังมีเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกกระบี่มาตั้งแต่เกิดยืนอยู่ด้วย สายตาของเขาคมกริบและดื้อรั้น กำลังจ้องเขม็งมาที่ตน ต่อให้ถูกปราณกระบี่ของตนแผดเผาจนแสบตา แต่ก็ยังไม่ยอมหันหน้าไปมองทางอื่น
จั่วโย่วชำเลืองตามองมุมหนึ่งของภูเขาบรรพบุรุษ “ตู้เม่า ข้ารู้ว่าเจ้าคิดจะทำอะไร ไม่สู้เจ้าลองทำดู ข้าจะรอเจ้าก็แล้วกัน”
หลังจากนั้นจั่วโย่วก็เงื้อกระบี่ฟันออกไปหนึ่งที ฟันให้ปราการค่ายกลใหญ่ที่อยู่ด้านหลังถูกผ่าออกเป็นประตูใหญ่หนึ่งบาน แล้วจึงหมุนตัวเดินออกไป
จั่วโย่วลอยตัวอยู่กลางอากาศเหนืออาณาเขตในการปกครองของสำนักใบถง หลับตาทำสมาธิ เมื่อดวงตะวันลอยขึ้นจากทิศตะวันออก เขาก็เริ่มใช้ปราณกระบี่และปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์ที่สุดโจมตีโชคชะตาแม่น้ำและภูเขาบางส่วนที่แข็งตัวให้แหลกสลาย ยกตัวอย่างเช่นภูเขาบางลูก แม่น้ำบางช่วงตอน ต้นไม้สูงใหญ่เทียมฟ้าบางต้นที่มีหวังว่าจะกลายเป็นภูติ ศาลาบางแห่งที่สยบปราณชั่วร้าย วัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะที่อยู่ใต้ดิน
ปราณวิญญาณจำนวนน้อยนิดไหลกระจัดกระจายออกมา มองโดยภาพรวมแล้วคล้ายจะมีความเสียหายไม่มาก
แต่ในความเป็นจริงแล้วผลลัพธ์ที่ตามมากลับร้ายแรงอย่างถึงที่สุด
โชคชะตาแห่งแม่น้ำและภูเขาเน้นย้ำในเรื่องการเก็บลมรวมน้ำ เก็บไว้ที่ใด รวมไว้ที่ใดล้วนเป็นสิ่งที่ต้องพิถีพิถัน โชคชะตาที่อลหม่านวุ่นวาย ใครจะกล้าเก็บใส่กระเป๋าของตัวเองส่งเดช? ไม่รู้ว่าจะเป็นโชคหรือหายนะกันแน่
ผู้ฝึกกระบี่ท่านนี้มาขวางอยู่หน้าประตูบ้านของคนอื่นแล้วเริ่มขุดมุมกำแพงของสำนักใบถงราวกับชาวนาขุดดิน
เพราะอยู่บนเส้นชายแดน ปราณวิญญาณและปุ๋ยที่อุดมสมบูรณ์จึงไหลเข้าสู่ที่นาคนอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ แรกเริ่มสำนักใบถงไม่มีใครกล้าออกหน้ามาเก็บปราณวิญญาณกลับเข้าไปในสำนัก
ภายหลังสำนักใบถงเสียดายปราณวิญญาณเหล่านั้นจริงๆ จึงส่งผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งให้กระโจนเข้าหาความตายอย่างห้าวหาญ เอาสมบัติอาคมออกมาไล่เก็บปราณวิญญาณ
คาดไม่ถึงว่าผู้ฝึกกระบี่คนนั้นไม่แม้แต่จะปรายตามอง ‘โอสถทองตัวเล็กๆ’ เพียงแค่พลิ้วกายลงบนผิวน้ำของลำคลองใหญ่สายหนึ่ง ปราณวิญญาณเบาบางเป็นเส้นๆ ที่น้ำในลำคลองใต้ฝ่าเท้าฟูมฟักออกมาพลันแหลกสลายลงในเสี้ยววินาที
แล้วก็มีผู้ฝึกตนโอสถทองอีกคนหนึ่งรวบรวมความกล้าทะยานออกไปจากภูเขา อยู่ห่างจากด้านหลังของผู้ฝึกกระบี่คนนั้นมาหลายสิบลี้ ก่อนจะค่อยๆ เก็บรวบรวมปราณวิญญาณที่กระจัดกระจายมาอย่างระมัดระวัง พยายามปล่อยมันกลับเข้าไปในลำคลอง ช่วยเรียบเรียงเส้นสายของชะตาน้ำให้เป็นระเบียบและมั่นคง
สิบวันผ่านไป ระหว่างผู้ฝึกกระบี่กับพวกผู้ฝึกตนเซียนดินที่ยุ่งจนหัวหมุนถือว่าพอจะรักษาความสงบเอาไว้ได้ ต่างคนต่างทำงานในส่วนของตัวเองไป
ผ่านไปอีกสิบวัน สำนักออกคำสั่ง จึงเริ่มมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางต่ำกว่าโอสถทองบางส่วนแอบออกมาอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับผู้ฝึกกระบี่คนนั้น ทิ้งระยะห่างประมาณสามสิบห้าสิบลี้ แต่ละคนมีความคิดแตกต่างกันออกไป เป็นอารมณ์ที่ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด
แล้วก็ผ่านไปอีกสิบวัน แม้แต่ผู้ฝึกตนหนุ่มสาวที่เป็นห้าขอบเขตล่างก็ยังเริ่มมาร่วมวงความครึกครื้น ‘แหงนหน้ามอง’ คนผู้นี้
ส่วนผู้ฝึกกระบี่นามว่า ‘จั่วโย่ว’ คนนั้น นอกจากจะเหลือบตามองมายังยอดเขาของภูเขาบรรพบุรุษเป็นบางครั้งแล้วก็ไม่เคยให้ความสนใจผู้ฝึกตนของสำนักใบถงเหล่านี้
ช่วงที่อากาศหนาวที่สุดผ่านพ้นไป ห่างจากปีใหม่อีกไม่ไกลแล้ว
ในหมู่ชาวบ้านด้านล่างภูเขามีคำสุภาษิตกล่าวว่า ‘ด่านปีผ่านยาก ต้องผ่านทุกปี’
ลูกศิษย์สำนักใบถงที่อวดอ้างบารมีอยู่ในทวีปมานานหลายปีเพิ่งจะรู้ว่า ที่แท้สำนักของตนก็มีช่วงเวลาที่ต้องพบเจอกับด่านยากเหมือนกัน
หลังจากนั้นก็มีวันหนึ่ง สำนักใบถงวางแผนซุ่มโจมตีซึ่งใช้ทุกวิถีทางที่มี ระดมพลผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบสองคนและเซียนดินอีกเกือบสิบคน
จั่วโย่วเงื้อกระบี่ฟันออกไปหนึ่งที
จากนั้นก็เปลี่ยนเส้นทาง พุ่งไปยังบริเวณที่ใกล้เคียงกับภูเขาบรรพบุรุษ ฟันยอดเขาแห่งหนึ่งที่ถูกปิดเป็นพื้นที่ต้องห้ามเพราะเดิมทีต้องมอบให้แก่ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบบางคนในอนาคตไว้ใช้เป็นที่ตั้งของจวนเทพเซียนตั้งแต่ยอดเขาจรดตีนเขา หนึ่งกระบี่ที่ฟันลงมาผ่าให้เกิดหุบเขาร่องลึกขนาดใหญ่ยักษ์
ครั้นจึงจากไปไกลอย่างสง่างาม
จากนั้นก็เริ่มดักอยู่หน้าประตูขุดกำแพงบ้านคนอื่นต่ออีกครั้ง
ความเคลื่อนไหวใหญ่เทียมฟ้าขนาดนี้ ใต้หล้าไม่มีกำแพงใดที่ลมไม่ผ่าน ตระกูลเซียนที่ในชื่อมีคำว่าสำนักและเซียนดินก่อกำเนิดของใบถงทวีปต่างก็รู้กันนานแล้ว เพียงแต่ว่าไม่มีสำนักศึกษาออกหน้าห้ามปรามจึงไม่มีใครกล้าไปชมงิ้วหาเรื่องซวยใส่ตัว
นอกจากคนคนหนึ่ง
เจียงซ่างเจินผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบของสำนักกุยหยก เจ้าประมุขสกุลเจียงที่มีวัตถุแห่งชะตาชีวิตเป็นใบหลิ่วใบหนึ่ง
ตอนแรกที่ไปถึงคนผู้นี้โค้งตัวคำนับขออภัยจั่วโย่วอย่างจริงจังหนึ่งครั้งก่อน ตีหน้าเคร่งอยู่นาน แต่แล้วจู่ๆ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังสะเทือนฟ้าดิน
ตอนที่เร่งรุดเดินทางมาทิศเหนือและย้อนกลับไปทางทิศใต้ ทะยานลมเดินทางไกลทั้งสองครั้ง เขาจงใจชะลอความเร็ว วางท่าเดินอาดๆ ชายแขนเสื้อสองข้างสะบัดพลิ้วราวกับบิน
ผลคือเกือบถูกจั่วโย่วใช้กระบี่ฟันขาดเป็นสองท่อน
เพียงแต่ว่าตอนที่เผ่นหนีไปอย่างกระเซอะกระเซิง เจียงซ่างเจินกลับยังปล่อยเสียงหัวเราะที่สาแก่ใจอย่างถึงที่สุด
มีวันหนึ่งเด็กสาวคนหนึ่งมายืนอยู่ห่างๆ ด้วยท่าทางขลาดกลัว นางถามเสียงสั่นว่า “เหตุใดเจ้าต้องทำลายโชคชะตาของสำนักข้าอย่างไร้เหตุผล?”
ทุกวันนี้จั่วโย่วถือว่าคุ้นเคยกับสำนักใบถงดีแล้ว ถ้อยคำซุบซิบนินทาที่ลูกศิษย์สำนักใบถงบางคนคิดว่าเขาไม่ได้ยิน ล้วนได้ยินอย่างชัดเจน ดังนั้นหลังจากจั่วโย่วครุ่นคิดแล้วก็ตอบว่า “คนที่ล้างผลาญเช่นนี้ จะเป็นบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ได้อย่างไร ข้าว่าน่าจะเป็นบรรพบุรุษผู้สร้างความวอดวายให้สำนักเสียมากกว่า เพราะฉะนั้นตอนนั้นเจ้าไม่ควรคลอดตู้เม่าออกมา”
เด็กสาวหน้าตางดงามทั้งโกรธทั้งอับอาย
เด็กหนุ่มที่มาที่นี่พร้อมกับเด็กสาวก็เป็นอีกคนหนึ่งที่สำนักใบถงฝากความหวังว่าจะนำพาสำนักรุ่งเรืองไปนานนับพันปี เมื่อเทียบกับคนวัยเดียวกันที่นุ่มนิ่มเป็นข้าวเหนียวแล้ว นิสัยของเด็กหนุ่มเฉียบคมดุกร้าว เขาสะพายกระบี่ยาวที่บุรพาจารย์ตู้เม่ามอบให้เขาด้วยตัวเอง ในแววตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “สักวันหนึ่งข้าจะทำให้เจ้าต้องตายอยู่ภายใต้คมกระบี่ของข้า!”
จั่วโย่วคลี่ยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามแล้ว”
บทที่ 369.2 ความทุกข์ยากบนโลกมนุษย์ ม...
ผู้ฝึกกระบี่ชุดม่วง เจ้าสำนักใบถงที่อาการบาดเจ็บยังไม่หายดีพลิ้วกายลงมาจากท้องฟ้า มาขวางอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่นั้น ปกป้องพวกเขาไว้ด้านหลัง แล้วถึงกับเอ่ยขออภัยจั่วโย่ว “คำพูดของเด็กมิอาจถือเป็นจริงเป็นจัง ขอเซียนกระบี่อย่าเก็บไปใส่ใจ”
จั่วโย่วนั่งขัดสมาธิอยู่นอกหน้าผาของยอดเขาแห่งหนึ่ง กล่าวว่า “ได้ยินว่าสำนักใบถงของพวกเจ้า หากพูดจาไม่เข้าหูก็ชอบโยนกระบี่บิน ทุ่มสมบัติอาคมออกไปมากที่สุด หากเอาชนะไม่ได้ก็แค่บอกชื่อแซ่ของตัวเอง กลับมาถึงภูเขาแล้วค่อยฟ้องผู้อาวุโสในสำนัก สุดท้ายก็กรูกันลงเขาไปสังหารผู้อื่น เป็นแบบนี้จริงไหม?”
ผู้ฝึกกระบี่ชุดม่วงได้แต่ยิ้มเจื่อน
จั่วโย่วคลี่ยิ้ม “ในใจเจ้ากำลังพูดว่า ‘จริงแล้วจะทำไม’ อยู่ใช่ไหม?”
ผู้ฝึกกระบี่ชุดม่วงหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที หันไปตบหน้าเด็กหนุ่มอย่างแรง พูดอย่างเดือดดาล “คุกเข่าโขกหัวยอมรับผิดกับเซียนกระบี่เดี๋ยวนี้! โขกจนกว่าเซียนกระบี่จะพอใจ!”
มุมปากของเด็กหนุ่มมีเลือดซึมออกมา “ให้ตายข้าก็ไม่ทำ!”
จั่วโย่วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “สำหรับตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวผู้ใด อันที่จริงข้าไม่คิดจะอธิบายเหตุผลสอนพวกเขาว่าเป็นคนควรวางตัวเช่นไร ไม่สั่งสอนบุตรคือความผิดของบิดา อบรมสั่งสอนไม่เข้มงวดคือความผิดของอาจารย์ เจ้าที่เป็นผู้อาวุโสก็มากินกระบี่ของข้าอีกสักครั้งแล้วกัน”
ผู้ฝึกกระบี่ชุดม่วงถูกกระบี่แทงทะลุหน้าท้อง ร่างกระแทกไปชนกับภูเขาด้านหลังแล้วร่วงดิ่งลงพื้นอย่างน่าอนาถอีกครั้ง
ส่วนเรื่องที่ว่าเขาจงใจสยบขอบเขตของตัวเอง ปล่อยให้จั่วโย่วใช้หนึ่งกระบี่ระบายโทสะหรือไม่ มีเพียงฟ้ารู้ดินรู้และพวกเขาสองคนเท่านั้นที่รู้
จั่วโย่วมองไปทางเด็กหนุ่มผู้นั้น “ไม่ลองพูดจาโอหังอีกสักทีเล่า? ไม่แน่ว่าตู้เม่าอาจจะออกมาปกป้องเจ้าก็เป็นได้”
เด็กหนุ่มหน้าขาวซีด
จั่วโย่วกล่าว “หากไม่พูดเจ้าจะต้องตาย แต่หากพูดจาโอหังอีกสักคำ ไม่แน่ว่าอาจมีคนออกมาช่วยรับกระบี่แทนเจ้า เวลานี้เจ้าจะเลือกอย่างไร?”
ความคิดในหัวของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ตีกันให้วุ่น
เด็กสาวพลันขยับมายืนตรงหน้าเด็กหนุ่ม ร่ำไห้ปานจะขาดใจ ตะโกนพูดเสียงสะอึกสะอื้น “เจ้าเลิกบีบบังคับเขาได้แล้ว จิตแห่งกระบี่ของเขาจะแหลกสลาย! เจ้าร้ายกาจขนาดนี้ เหตุใดยังต้องถือสาเขาด้วย?!”
จั่วโย่วคลี่ยิ้มกล่าว “ไปถามลูกชายของเจ้าดูสิ”
เด็กสาวร้องไห้จนสายตาพร่ามัว
รู้สึกเพียงว่าเหตุใดใต้หล้าถึงมีคนที่ไร้เหตุผลถึงเพียงนี้!
จั่วโย่วลุกขึ้นยืน “ก่อนหน้านี้ไม่ยอมโขกหัวรับผิดเพราะคิดจะรักษาหน้าตา ทำตัวว่านอนสอนง่ายให้ผู้อาวุโสในสำนักได้เห็นเพราะอยากจะสร้างความประทับใจที่ดี ตอนนี้จะตายอยู่แล้วกลับไม่กล้าพูด นั่นก็เป็นเพราะรักชีวิตตัวเองอย่างแท้จริง ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดอย่างเจ้านี่นะ”
จั่วโย่วมองไปทางทิศเหนือ พูดเย้ยหยันตัวเอง “เหตุใดพอกลับมายังโลกมนุษย์แห่งนี้ถึงเพิ่งจะค้นพบความดีของศิษย์น้องเล็กกันนะ”
ครั้งหนึ่งที่ได้รับโชควาสนา หลังจากที่จั่วโย่วได้กระบี่ประจำกายเล่มนั้นมาครอง เสี่ยวฉีเคยพูดด้วยรอยยิ้มว่า ได้กระบี่สามฉื่อมาโดยบังเอิญ ข้ามทะเลสังหารปลาวาฬ เก็บเข้าฝักห้อยไว้บนผนัง ยังได้ยินเสียงกระบี่ร้องอึงอล
ภายหลังจั่วโย่วออกมาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ออกห่างจากโลกมนุษย์ เดินทางไกลอยู่บนมหาสมุทร ไม่ได้อ่านตำราเล่าเรียนหนังสืออีกเลย
จั่วโย่วพูดกับเด็กสาวว่า “ไม่พูดถึงตู้เม่าและวาสนาระหว่างเจ้ากับตู้เม่าก่อนหน้านี้ พูดถึงแค่การมาเยือนในครั้งนี้ ทำให้เจ้าเดือดร้อนกลายเป็นตัวตลกของคนอื่น เป็นความผิดของข้า เจ้าสามารถเรียกร้องสิ่งหนึ่งที่สมเหตุสมผลได้”
เด็กสาวเช็ดคราบน้ำตา เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “จริงหรือ?”
จั่วโย่วพยักหน้ารับ “มีโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ต้องสมเหตุสมผล”
เด็กสาวรวบรวมความกล้ากล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้เจ้าปล่อยเขาไป อย่าได้สยบจิตแห่งกระบี่ของเขาไว้อีก”
จั่วโย่วพยักหน้ารับ “ได้”
แล้วเขาก็เก็บเอาปราณกระบี่ที่ไหลทะลักออกไปข้างนอกกลับมาจริงๆ
อันที่จริงเด็กสาวไม่รู้ว่า ไม่ได้เป็นเพราะจั่วโย่วจงใจเล่นงานจิตแห่งกระบี่ของเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์คนนี้ แต่เป็นเพราะเดิมทีจิตแห่งกระบี่ของคนผู้นี้ก็ไม่บริสุทธิ์อยู่แล้ว
เด็กสาวยิ้มทั้งน้ำตา แต่คงเพราะรู้สึกว่ายิ้มให้ศัตรูคู่แค้นเป็นการกระทำต่ำช้าที่ทรยศต่อสำนักและอาจารย์ นางจึงรีบตีหน้าเคร่งทันที
จั่วโย่วหันตัวกลับไปเตรียมจะทำลายโชคชะตาแห่งภูเขาและแม่น้ำของสำนักใบถงต่ออีกครั้ง แต่ยังหันหน้ากลับมาเอ่ยว่า “ตู้เม่าเป็นคนที่ล้างผลาญจริงๆ อีกไม่นานพวกเจ้าก็จะได้รู้แล้ว”
เด็กสาวไม่เข้าใจ
เด็กหนุ่มด้านหลังตัวสั่นสะท้าน เรือนกายโอนเอนไม่อยู่นิ่ง จิตแห่งกระบี่ก็ยิ่งไม่มั่นคง
จั่วโย่วพุ่งตัวทะยานออกไปไกล ปราณกระบี่พาดผ่านดุจสายรุ้งยาว
ทางฝั่งของภูเขาบรรพบุรุษ ภาพปรากฎการณ์ประหลาดในถ้ำสวรรค์ใบถงขนาดเล็กยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ
คิดจะบินทะยาน?
ถ้าอย่างนั้นก็ต้องถามกระบี่ของข้าก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่
……
เรือข้ามฟากลำหนึ่งจากอุตรกุรุทวีปได้เดินทางมาถึงกลางอากาศเหนืออาณาเขตของบุรพแจกันสมบัติทวีป
ความเร็วนั้นมากอย่างถึงที่สุด เงินเทพเซียนถูกเผาผลาญไปนับไม่ถ้วน เหล่าผู้โดยสารย่อมยินดีที่จะให้เป็นเช่นนี้ ใครเล่าจะไม่ยินดีให้ไปถึงเป้าหมายในเร็ววัน
ได้ยินว่ามีก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่ใช้เงินมือเติบคนหนึ่งทุ่มเงินก้อนใหญ่ เรือข้ามฝากลำนี้ถึงได้ทำเช่นนี้
บุรุษร่างแข็งแกร่งกำยำตัวไม่สูงคนหนึ่งอาศัยอยู่ในห้องชั้นล่างที่ถูกที่สุด แทบไม่เคยออกมาจากในห้อง
น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง เพียงแต่มองไม่ออกว่าอยู่ขอบเขตไหน
อันที่จริงการที่มองไม่ออกก็มากพอจะทำให้ผู้ฝึกลมปราณที่พอจะมีไหวพริบเกิดใจกริ่งเกรงได้แล้ว
ขอบเขตสิบบนวิถีวรยุทธ์ในตำนาน ขอบเขตปลายทางของผู้ฝึกยุทธ์มีสามระดับ ปราณโชติช่วง คืนความจริง เทพมาเยือน
หลังจากที่หลี่เอ้อร์ออกมาจากยอดเขาราชสีห์ ลมปราณและพลังอำนาจของเขาก็ไต่ทะยานมาตลอดทาง อยู่ดีๆ ก็เข้าสู่ขอบเขตของการกลับคืนสู่ความจริงแล้ว
หลี่เอ้อร์รู้สึกว่าเป็นอย่างนี้ดีมาก
รื้อศาลบรรพชนของคนอื่น หมัดต้องแข็งพอ!
……
คลื่นใต้น้ำก่อตัวอยู่ในนครมังกรเฒ่า
ตระกูลฟ่านยังคงรั้งทัพหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว แน่นอนว่าในสายตาของคนตระกูลฟ่านส่วนใหญ่ในศาลบรรพชน นี่เรียกว่ารอความตาย
ตระกูลซุนก็มีความเคลื่อนไหวไม่มาก แม้ว่าจะเลือกพึ่งพาตระกูลฝูมานานแล้ว แต่กลับไม่ได้รีบร้อนส่งมอบใบลงชื่อขอเข้าร่วมพันธมิตรอะไร
ร้านยาฮุยเฉินยังคงเป็นสถานที่เล็กๆ ที่คึกคักซึ่งไม่มีใครมารบกวนอยู่เช่นเดิม
เฉินผิงอันนั่งอยู่ด้านในโต๊ะคิดเงิน บนโต๊ะวางแท่นสังหารมังกรรูปทรงยาวเหมือนไม้บรรทัดซึ่งเป็นก้อนที่เล็กที่สุด
ชูอีกับสืออู่ต่างก็กำลัง ‘ลับกระบี่’ ทั้งสองบินโฉบไปโฉบมาบนแท่นสังหารมังกรก้อนนั้นอย่างรวดเร็วจนสะเก็ดไฟแลบกระจายไปสี่ทิศ
ลิงโลดร่าเริง
เฉินผิงอันกำลังคิดบัญชีให้กับตัวเอง
แผ่นหยกสีทองที่สลักคำว่า ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ แผ่นนั้นสามารถดูดดึงปราณวิญญาณฟ้าดินมาได้ด้วยตัวเอง ก็คือถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่สามารถห้อยพกไว้ตรงเอวได้
น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้ไม่สามารถเอามาห้อยได้ เพราะขัดแย้งกับปราณดุร้ายทั่วร่างของเทพหยินแซ่จ้าวกับตัวค่ายกลของร้านยาฮุยเฉิน
เมื่อไปถึงสถานที่ที่ภูเขาเขียวน้ำใส มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นแล้วถึงจะสามารถเอาออกมาได้
เผยเฉียนชอบมันมาก ก่อนหน้านี้เวลามาอยู่ที่โต๊ะคิดเงินจะถือไว้จนแทบวางไม่ลง ลูบคลำอยู่พักใหญ่ เพียงแต่ว่าไม่กล้าขอยืมเฉินผิงอันเอาออกไปโอ้อวด
หากยังไม่อาจคลี่คลายปัญหาเร่งด่วนในตอนนี้ได้ เฉินผิงอันก็ได้แต่เก็บหยกประดับชิ้นนี้ไว้อย่างมิดชิดเป็นการชั่วคราว
แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่เขาให้ความสนใจมากที่สุดและเปลืองจิตใจมากที่สุดยังคงเป็นจิตหยางกายนอกกายของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานร่างนั้น นี่ก็คือคราบร่างเซียนเหรินของแท้แน่นอน!
หนังหุ้มของเด็กหนุ่มชุยฉานหรือชุยตงซานในทุกวันนี้ก็เป็นเช่นเดียวกันนี้
เพียงแต่ควรจะใช้คราบร่างนี้อย่างไรกลับมีวิชาความรู้ที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก หากไม่ระวังก็อาจจะขาดทุนย่อยยับ แต่หากนำไปใช้ได้ดีก็จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ
เมื่อเทียบกับการหล่อหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตแล้วถือว่ายากกว่ามาก
อันดับแรกต้อง ‘เปิดประตู’ เสียก่อน คราบร่างของเซียนเหรินก็คือร่างทองมิพ่ายที่สมชื่อ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางโจมตีอย่างเต็มกำลังหนึ่งครั้งก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถแทงทะลุได้
รองลงมาคือการชำดอกไม้ตอนกิ่ง (เปรียบเปรยถึงการยักยอกถ่ายเทของของผู้อื่น) หรือนกพิราบครองรังนกกางเขน (เปรียบเปรยถึงการบุกรุกครอบครองบ้านหรือที่ดินของผู้อื่น) อย่างที่ชุยตงซานทำนั้น หมายความว่าดวงวิญญาณที่ ‘เข้าประตู’ จะต้องสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังต้องแข็งแกร่งมากพอ และยังต้องเป็นบุคคลที่เกิดมาก็มีปณิธานที่แข็งแกร่ง
ไม่อย่างนั้นเมื่อถึงท้ายที่สุดแล้ว ไม่แน่ว่าอาจมีจุดจบเป็นตู้เม่าตายแล้วฟื้น หากมอบโอกาสให้เขาได้ย้อนกลับไปที่สำนักใบถง จิตหยางกลับคืนสู่ตำแหน่ง ผลลัพธ์จะเลวร้ายจนมิอาจคาดการณ์ได้
ข้อที่สาม ควรจะบำรุงด้วยความอบอุ่นอย่างไร คราบร่างของเซียนเหริน หากเอาวางไว้เฉยๆ เป็นพันปีก็ไม่มีปัญหา แต่หากมีเจ้านายคนใหม่แล้วก็ต้องทุ่มเงินมหาศาล
ข้อที่สี่ ‘ตู้เม่า’ คนใหม่จะเติบโตขึ้นมาอย่างไร จะเลือกเส้นทางการฝึกตนอย่างไร ต้องใคร่ครวญให้ดี ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับย่ำยีวัตถุสวรรค์ให้เสียเปล่า
ราชวงศ์ในโลกมนุษย์มีคำชื่นชมขุนนางกล่าวไว้ว่า ให้มีความสามารถและบุคลิกภาพเช่นอัครมหาเสนาบดี ทว่ากว่าจะเดินไปถึงการได้เป็นขุนนางผู้อาวุโสสูงสุดอย่างแท้จริงกลับยังมีระยะทางอีกไกล และยังต้องอาศัยโชคช่วยด้วย
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันเคยถามเทพหยินแซ่จ้าวอย่างละเอียดมาก่อน เพียงแต่ฝ่ายหลังอธิบายอย่างคลุมเครือ เพราะว่าเกี่ยวพันไปถึงเรื่องวงในมากมายจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก
ติดเงินฝนธัญพืชตระกูลฟ่าน หรือควรจะพูดว่าติดเงินฟ่านจวิ้นเม่าห้าสิบเหรียญ
เงินเหรียญทองแดงแก่นทองถุงนั้นของตนก็เหลืออีกแค่ไม่กี่เหรียญแล้ว
จ่ายเงินดั่งสายน้ำไหล มีแต่รายจ่ายไม่มีรายรับ ก็คือสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนของเฉินผิงอันในเวลานี้
ความคิดของเผยเฉียนมักจะเต็มไปด้วยจินตนาการบรรเจิดเสมอ นางบอกว่าเวลาเหมือนกระบี่บิน สวบทีเดียวก็ผ่านไป มองไม่เห็นแม้แต่หาง
เฉินผิงอันรู้สึกว่าเงินในกระเป๋าตัวเองหายไปได้เร็วกว่ากระบี่บินเสียอีก
ถอนหายใจหนึ่งครั้ง เก็บป้ายหยกแผ่นนั้นมา ร้านยาถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีลูกค้าเข้าร้าน จึงปล่อยให้ชูอีกับสืออู่ลับคมกระบี่ต่อไป
ออกเดินทางในครั้งนี้ พาชูอีกับสืออู่เข่นฆ่าสังหารมาตลอดทางอย่างไม่มีหยุดพัก คมกระบี่จึงทื่อขึ้นไม่น้อย ตามคำบอกของเทพหยินแซ่จ้าว หากยังเป็นอย่างนี้ต่อไปแล้วกระบี่บินเกิดรอยแตกร้าวขึ้นมาจะทำให้เสียการใหญ่
แต่เมื่อได้ ‘กิน’ แท่นสังหารมังกรก้อนนี้ ก็สามารถชดเชยกลับมาได้
แท่นสังหารมังกรเล็กๆ ก้อนนี้คือของรักที่ผู้ฝึกกระบี่บนโลกปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน สามารถเอาไปขายเป็นเงินฝนธัญพืชได้ไม่น้อย
การที่ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปล้วนยากจนนั้น ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเสียเลย
ต่อให้เป็นอาเหลียง ปีนั้นที่ท่องอยู่ในยุทธภพของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ก่อนจะเดินทางไปภูเขาห้อยหัวก็ยังติดหนี้ก้อนโต แม้จะไม่ได้หมดไปกับการเลี้ยงกระบี่ทั้งหมด แต่หลักๆ คือทุกครั้งที่ลงมือ หลังจากจบเรื่องจะต้องควักเงินช่วยสำนักที่น่าสงสารเหล่านั้นซ่อมแซมสถานที่ ค่าใช้จ่ายก้อนนี้เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ทว่าผู้ฝึกกระบี่เก็บสะสมเงินได้ยากที่สุด นี่กลายเป็นกฎที่ไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว เหตุผลนั้นทั้งง่ายดาย แล้วก็ไม่ง่ายดายไปในเวลาเดียวกัน ส่วนที่ง่ายดายก็คือมีเพียงกระบี่อย่างเดียวที่ต้องจ่ายเงินราวกับเผาทิ้ง ไม่จำเป็นต้องแบ่งความสนใจและความละโมบไปไว้ที่สมบัติอาคมอย่างอื่น ส่วนที่ไม่ง่ายดายก็คือ ของชิ้นเดียวนี้เลี้ยงยากยิ่งกว่าผู้ฝึกลมปราณประเภทอื่นๆ เสียอีก ต่อให้ผู้ฝึกลมปราณไม่มีเงินอยู่ในมือ อย่างน้อยก็ยังสามารถเอาสมบัติบางอย่างออกมาขายแลกเงิน รื้อกำแพงตะวันออกซ่อมกำแพงตะวันตก เอามายกระดับขั้นของอาวุธเซียนสมบัติอาคมบางชิ้นที่เหมาะสมกับการฝึกตนในปัจจุบัน แต่ผู้ฝึกกระบี่จะขายอะไร? ขายกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเองงั้นหรือ?
แม้เผยเฉียนจะทนรับกับความทรมานระหว่างที่ยืดเส้นเอ็นดึงกระดูกไม่ได้ แต่ก็ยังหวังให้ตัวเองได้เรียนวรยุทธ์ ขอแค่ไม่ต้องทนรับกับความเจ็บปวด นางก็ยินดี
ยกตัวอย่างเช่นวันนี้นางกำลังขอเรียนวรยุทธ์จากเสี่ยวป๋าย เหล่าเว่ยไม่ชอบทำอะไรแบบนี้ ถูกนางตื๊อจนรำคาญใจจึงวิ่งกลับห้อง มุดหัวอยู่ในผ้าห่มนอนหลับไปแล้ว เผยเฉียนโมโหจึงใช้ไม้เท้าเดินป่าทิ่มผ้าห่ม เหล่าเว่ยก็ไม่สนใจ กรนเสียงดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง
เผยเฉียนจึงได้แต่ถอยมาเลือกในอันดับรองลงมา เลือกที่จะขอความรู้จากหลูป๋ายเซี่ยงที่สนิทสนมเป็นอันดับที่สอง
หลูป๋ายเซี่ยงจึงเดินมาที่ลานบ้าน คิดแล้วก็เริ่มเลียนแบบท่าเดินนิ่งหกก้าวของเฉินผิงอันอย่างพลิ้วไหว มีท่วงทำนองที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
เดินไปพลางหันหน้ามาพูดกับเผยเฉียนด้วยรอยยิ้มด้วยว่า “สอนหมัดไม่สอนการก้าวเดิน สอนก้าวเดินต่อยอาจารย์ นี่ก็คือรากฐานหลักการของวิชาหมัดที่ดีเยี่ยม ในบรรดาพวกเราสี่คน หากพูดถึงแค่กระบวนท่า เป็นจูเหลี่ยนที่เปิดได้กว้างที่สุด หุบได้แน่นสนิทที่สุด เหมาะสมกับคำว่าเก็บและปล่อยได้ตามใจปรารถนามากที่สุด”
หลังจากเดินนิ่งหกก้าวแล้วก็ปล่อยหมัดออกไปเบาๆ หนึ่งที เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว หลูป๋ายเซี่ยงจึงเอ่ยต่อว่า “แปดทิศมีพลัง จึงจะกึ่งหลับกึ่งตื่น พอมีความเคลื่อนไหว เส้นขนก็ตั้งชันดุจง้าว ปล่อยพายุหมัดสั่นสะเทือน”
หลูป๋ายเซี่ยงวาดเท้าเตะตวัด พอพลิ้วกายลงบนพื้นก็กล่าวว่า “กระดูกสันหลังของมนุษย์ประหนึ่งเส้นทางมังกรของฟ้าดิน เป็นเหตุให้ในการเรียนวรยุทธ์มีคำกล่าวว่าปรับแก้มังกรใหญ่ ไม่ถือว่าสูงส่งลึกล้ำอะไร แต่เป็นกุญแจสำคัญที่สุด ข้อต่อกระดูกสันหลังเชื่อมยาวติดกันประหนึ่งเจียวหลงส่ายร่าง ในชั่วพริบตาที่ปล่อยพละกำลังออกไป ลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งพลันเคลื่อนโคจรไปตามช่องโพรงลมปราณและเส้นชีพจรไกลหลายร้อยลี้ หรืออาจไกลถึงพันลี้ กระตุ้นผิวหนัง เนื้อ เส้นเอ็น กระดูกและเลือดของทั้งร่าง ทุกครั้งที่ลงมือย่อมมีพละกำลังที่หนักหน่วง”
บทที่ 369.3 ความทุกข์ยากบนโลกมนุษย์ ม...
จูเหลี่ยนนั่งอยู่บนม้านั่งใต้ชายคา กำลังอ่านนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญที่เขียนบรรยายได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ หวานแต่ไม่เลี่ยน พอได้ยินว่าหลูป๋ายเซี่ยงชมตนก็หัวเราะอย่างเบิกบานใจ
หลูป๋ายเซี่ยงมีความอดทนดีมาก ถามด้วยรอยยิ้มว่า “พอจะฟังเข้าใจไหม? หากไม่เข้าใจ ข้าสามารถพูดให้เจ้าฟังอย่างละเอียดได้”
เผยเฉียนพยักหน้ารับแรงๆ “ฟังเข้าใจทั้งหมด แต่ข้าไม่อยากเรียนวิธีการเดิน”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้ม “ไม่เรียนรู้ที่จะหัดเดินก่อน วันหน้าจะวิ่ง จะบินได้อย่างไร?”
เผยเฉียนชำเลืองตามองดาบแคบหยุดหิมะที่อยู่ตรงเอวของหลูป๋ายเซี่ยง “แต่ข้าอยากเรียนวิชากระบี่ที่ร้ายกาจที่สุด หากไม่ได้จริงๆ เรียนวิชาดาบก็ได้”
หลูป๋ายเซี่ยงหันหน้าไปมองเฉินผิงอันที่มานั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวอย่างเงียบเชียบ แล้วกล่าวอย่างจนใจว่า “ข้าจนปัญญาแล้ว”
พอเห็นเฉินผิงอัน เผยเฉียนก็เหมือนหนูเห็นแมว รีบเปลี่ยนมาพูดด้วยสีหน้าจริงจังทันที “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเรียนวิธีการเดินก่อนแล้วกัน!”
จูเหลี่ยนจุ๊ปาก “หญ้าบนยอดกำแพงที่แข็งแกร่ง ขับเรือตามลมสินค้าขาดทุน” (สินค้าขาดทุนภาษาจีนคือเผยเฉียนฮว่าซึ่งคล้องกับชื่อของเผยเฉียน)
เผยเฉียนที่ถือไม้เท้าเดินป่าคำรามเดือดดาล “อย่านึกว่าตัวเองทำกับข้าวอร่อยแล้วจะร้ายกาจนะ! แน่จริงก็ออกมาสู้กันเลย!”
จูเหลี่ยนร้องโอ้โหหนึ่งที ปิดหนังสือลง ร่างที่หลังงองุ้มลุกขึ้นยืน “ข้าไม่เชื่อหรอก วันนี้จะต้องประลองฝีมือกับเจ้าดูสักครั้งให้จงได้ อย่างนั้นเจ้าก็คงไม่รู้เสียทีว่าข้าที่อยู่ในร้านยาฮุยเฉิน คือพ่อครัวที่ต่อสู้ได้เก่งที่สุด”
เผยเฉียนไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย “ได้ งั้นพวกเรามาแข่งคัดตัวอักษรกัน!”
จูเหลี่ยนนั่งกลับลงไปบนม้านั่งตัวเล็ก อ่านหนังสือของตัวเองต่ออีกครั้ง
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจการทะเลาะโต้เถียงของพวกเขา
ในเรื่องพวกนี้ เฉินผิงอันไม่เคยบังคับควบคุมเผยเฉียนมาก่อน
เฉินผิงอันยิ้มพลางลุกขึ้นยืน น้อยครั้งที่จะรู้สึกผ่อนคลายสบายใจอย่างในตอนนี้ จึงก้าวเบาๆ หนึ่งก้าวเข้าไปยังใจกลางของลานบ้าน
สีหน้ายังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่อารมณ์ความรู้สึกของเฉินผิงอันในเวลานี้กลับไม่แย่
เดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าด้วยท่าเดินนิ่งหกก้าว แต่มือกลับตั้งกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า
กระบวนท่าหมัดเดินนิ่งไม่เกี่ยวข้องกับตบะและขอบเขต
หากจะพูดถึงความรู้สึกที่ปณิธานหมัดมอบให้แก่ผู้คนก็มีแค่สี่คำว่า เป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้น
เผยเฉียนรู้สึกเพียงว่าท่าเดินนิ่งที่เหมือนกัน แต่เมื่อเฉินผิงอันเอาจริงเอาจังขึ้นมา ต่อให้แค่มองอย่างเดียวก็ยังรู้สึกสบายตาอย่างยิ่ง
จูเหลี่ยนเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มตกตะลึง “ค่อนข้างจะน่าสนใจแล้ว”
หลูป๋ายเซี่ยงพยักหน้ารับ “ข้าอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบติด”
หลังจากที่เฉินผิงอันเก็บหมัดยืนตัวตรง เหลียวซ้ายแลขวาแล้วก็ยิ้มตาหยีพูดว่า “สุยโย่วเปียน เว่ยเซี่ยน ถึงตาพวกเจ้าแล้ว”
สุยโย่วเปียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างเงียบๆ หมุนตัวกลับไปนั่งข้างโต๊ะโดยตรง
เสียงอู้อี้ของเว่ยเซี่ยนดังมาจากในห้อง “ความเผด็จการมิอาจสู้ได้”
เผยเฉียนนั่งยองอยู่บนพื้นกุมท้องหัวเราะก๊าก เจ้าพวกนี้ยังมีหน้ามาพูดว่าข้าเป็นหญ้าบนยอดกำแพงอีกรึ?
กลับเป็นเจิ้งต้าเฟิงที่เดินมาหน้าประตูของห้องหลัก เอามือยันกรอบประตู เงยหน้ามองดวงอาทิตย์แวบหนึ่งแล้วหรี่ตาลง “ในที่สุดวิญญาณก็กลับเข้าร่างแล้ว หากยังนอนต่อไป มีหวังต้องขึ้นราแน่ๆ”
เผยเฉียนกล่าวอย่างประหลาดใจ “เจิ้งต้าเฟิง เจ้าลงจากเตียงมาเดินได้แล้วรึ? อย่าฝืนตัวเองเด็ดขาดเชียว ล้มหน้าทิ่มขี้หมาขึ้นมา เดี๋ยวก็ต้องกลับไปนอนอีกสิบวันครึ่งเดือน”
เจิ้งต้าเฟิงโมโหจัดจนกลายเป็นขำ “กูไหน่ไนน้อย (กูไหน่ไนคือคำที่บุคคลในครอบครัวของแม่เรียกลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้ว) ของข้า ช่วยเห็นข้อดีของข้าบ้างได้ไหม!”
เผยเฉียนตวัดตามองค้อน “ความหวังดีถูกมองเป็นประสงค์ร้าย”
หลังจากที่เฉินผิงอันผงกศีรษะทักทายเจิ้งต้าเฟิงก็กลับไปนั่งลงบนม้านั่งยาว เผยเฉียนวิ่งไปหยิบเมล็ดแตงมาอย่างคล่องแคล่ว หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาว นางแบมือเล็กๆ ที่มีเมล็ดแตงอยู่เต็มฝ่ามือวางไว้เบื้องหน้าเฉินผิงอันตลอดเวลา
เจิ้งต้าเฟิงเดินได้ช้ามาก ย่างก้าวก็สั้น เขาเพียงเดินเล่นอยู่ใต้ชายคาของห้องหลัก ไม่ได้ทำอะไรตามอารมณ์ ฝืนพาตัวเองลุกขึ้นมาจากเตียง
เพียงแต่บุรุษผู้นี้หลังค่อมอยู่ตลอดเวลา
ทุกคนต่างทำเป็นมองไม่เห็นภาพนี้ ต่างคนต่างทำธุระของตัวเองไป หลูป๋ายเซี่ยงหยิบโต๊ะและกล่องหมากล้อมไปเล่นกับสุยโย่วเปียน จูเหลี่ยนอ่านหนังสือ เว่ยเซี่ยนนอนหลับ เผยเฉียนแทะเมล็ดแตงกับเฉินผิงอัน
ในร้านยาเล็กๆ เริ่มมีบรรยากาศของช่วงตรุษจีนขึ้นมาบ้างแล้ว
ตอนกลางวันของวันหนึ่ง ร้านยาฮุยเฉินได้ต้อนรับแขกที่ไม่ใช่สองพี่น้องฟ่านจวิ้นเม่าและฟ่านเอ้อร์
คือแขกอย่างแท้จริง
เขาคือชายชราคนหนึ่งที่มีสำเนียงต่างถิ่น มาซื้อยาสมุนไพรจำนวนไม่น้อยจากที่ร้าน เพียงแต่บ่นว่าราคาออกจะแพงไปหน่อย
เทพหยินแซ่จ้าวได้แต่ใช้เสียงในใจบอกเฉินผิงอันว่า เขาแค่มองออกว่าคนผู้นี้มีตบะขอบเขตประตูมังกรที่ค่อนข้างมั่นคง
เฉินผิงอันกลับมีจิตใจที่สงบนิ่ง ขนาดตู้เม่าที่เป็นขอบเขตบินทะยานยังประมือด้วยมาแล้ว จะดีจะชั่วก็เคยเห็นคลื่นใหญ่ลมแรงมาก่อน ความหนักแน่นน้อยนิดแค่นี้ย่อมต้องมี
คำพูดประโยคหนึ่งที่วิญญาณกระบี่ถ่ายทอดให้แก่ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งทำให้เฉินผิงอันคิดเรื่องบางอย่างได้กระจ่างแจ้ง
หลักการและเหตุผลบนโลกใบนี้ อันที่จริงดำรงอยู่ตลอดเวลา บางคนหยิบขึ้นมาบูชา มองเป็นของล้ำค่า บางคนดูแคลน บางคนถึงขั้นเหยียบย่ำไว้ใต้ฝ่าเท้า
นี่ไม่ใช่ว่าหลักการและเหตุผลไม่ถูกต้อง ไม่ดี
แต่เป็นเพราะใจคนมีปัญหา
วิญญาณกระบี่ยังพูดถึงผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่พิทักษ์ม่านฟ้าทางเหนือของใบถงทวีปเป็นพิเศษ บอกว่าจุดจบของเขาไม่ถือว่าดี ตามคำบอกของซิ่วไฉเฒ่า มีความเป็นไปได้มากว่าจะสูญเสียสิทธิ์ในการกินหัวหมูเย็นๆ ไป
เฉินผิงอันใคร่ครวญดูแล้วก็อดปลงอนิจจังกับความซับซ้อนของการช่วงชิงบนมหามรรคาไม่ได้
แม้แต่เหวินเซิ่งก็จำต้องยอมรับว่า ขนาด ‘นักปราชญ์’ ที่มีรูปปั้นตั้งวางอยู่ในศาลบุ๋นซึ่ง ‘เขียนบทความแห่งคุณธรรมได้ดี ความรู้ในท้องไม่แย่’ ก็ยังประพฤติตัวอย่าง ‘ไร้เหตุผล ไร้มารยาท’ ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
แต่เอาเข้าจริงแล้ว หลักการและความรู้ของหนึ่งในเจ็ดสิบสองปราชญ์ในศาลบุ๋นท่านนี้ไม่เคยมีคุณความชอบในด้านการอบรมสั่งสอนผู้คนบ้างเลยหรือ?
ย่อมต้องมีอยู่แล้ว อีกทั้งยังไม่น้อยด้วย
ถ้าอย่างนั้นเพื่อ ‘ผลงานพันปี โชคชะตาบุ๋นหมื่นปี’ เขาจึงเล่นงานเฉินผิงอันในครั้งนี้ จะหมายความว่าบนมหามรรคาเส้นที่เขาเดินไปต้องผิดพลาดใช่หรือไม่? เขาจะไม่มีทางเดินไปได้ไกลและสูงมากกว่านี้อีกแล้ว?
ก็ไม่ใช่อีกเหมือนกัน
หลายวันที่ผ่านมานี้ ทุกวันเฉินผิงอันจะใคร่ครวญถึง ‘หลักการใหญ่’ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีเวลาให้คิดถึง เพราะถึงอย่างไรอยู่ว่างๆ ก็ไม่มีอะไรทำ
ในร้านยาตอนนี้ ผู้เฒ่าต่างถิ่นคนนั้นเป็นคนคุยเก่ง เขาเลือกยาสมุนไพรพลางชวน ‘เถ้าแก่’ อย่างเฉินผิงอันคุยไปด้วย
ตอนที่จ่ายเงิน ผู้เฒ่าที่แต่งกายเหมือนเศรษฐีเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่น้อย เต็มใจฟังคำแนะนำจากคนผ่านทางอย่างข้าสักประโยคหรือไม่?”
เทพหยินแซ่จ้าวที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดใจหดเกร็ง
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “เชิญท่านผู้เฒ่าพูดมาได้เลย”
ผู้เฒ่าเหลียวมองไปรอบด้านแล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “สุราหอมไม่กลัวตรอกลึก ถูกไหมล่ะ คิดอยากจะทำการค้าให้ดีก็ควรต้องให้พวกแม่นางน้อยที่ยังสาวยังสวยและทั้งปากหวานมาช่วย!”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ช่างเถิด การค้าซบเซาไปบ้าง แต่ขอแค่มีกินไปวันๆ ก็พอแล้ว”
ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม “อายุน้อยๆ ก็ทำตัวเป็นคนแก่แบบนี้ ไม่ดีเลย”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ ไม่เอ่ยอะไรอีก
ผู้เฒ่าทอดถอนใจ “ข้าน่ะ เป็นคนต่างถิ่น ฟังจากสำเนียงก็รู้แล้ว แต่นครมังกรเฒ่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้าง ถึงได้มาที่ร้านนี้ เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง เจ้าไม่โง่ ข้าเองก็ไม่โง่ กล้ามาหาเรื่องซวยใส่ตัวในช่วงเวลานี้ คนที่เกิดและเติบโตในนครมังกรเฒ่าต่างก็ไม่มีทางทำ ก็มีแต่คนอย่างข้าที่เป็น…ยอดฝีมือนอกโลกเท่านั้น ถูกไหม?”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ท่านผู้เฒ่าเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา”
ผู้เฒ่ายื่นนิ้วชี้ไปที่ทิศทางตรงมุมหัวเลี้ยวของตรอก “ตอนนี้ข้าพักอยู่ในโรงเตี๊ยมเล็กๆ ห่างจากที่นี่ไปไม่ไกล วางใจเถอะ ข้าไม่ใช่คนที่มีจิตคิดคดอะไร…”
เขาพลันเผยตบะขอบเขตโอสถทองออกมา เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “ช่วยเห็นแก่สถานะเซียนดินโอสถทองของข้า ขายให้ข้าถูกหน่อยได้ไหม?”
เทพหยินแซ่จ้าวที่อยู่ในตรอกเล็กเหมือนเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ
นี่เป็นเพราะเขาหวาดระแวง ไม่ว่าจะลมพัดต้นไม้ไหวก็นึกว่าเป็นศัตรูไปเสียหมด
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับว่าอีกฝ่ายจะเป็นโอสถทองหรือก่อกำเนิด
แต่ผู้เฒ่ากลับพูดประโยคนี้ออกมา ทำเอาเทพหยินแซ่จ้าวอยากจะอ้าปากด่าคน
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก ทำการค้าไม่สนเรื่องความสัมพันธ์ หากท่านผู้เฒ่าอยากจะหาคนคุยคลายเหงา ข้าและร้านยาล้วนต้อนรับ”
ผู้เฒ่าหิ้วห่อสมุนไพรน้อยใหญ่ไว้ในมือ ชำเลืองตามองเฉินผิงอันแล้วถอนหายใจ “เจ้าไม่ใช่สตรีหน้าตางดงามสักหน่อย จะมีอะไรให้พูดคุยกันได้นักหนา”
สุยโย่วเปียนยืนอยู่หลังม่านไม้ไผ่ เมื่อผู้เฒ่าปลดปล่อยพลังอำนาจขอบเขตโอสถทองออกมา แม้ว่าจะเพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว แต่สุยโย่วเปียนก็ยังรีบร้อนเดินออกมา แต่พอเห็นว่าเฉินผิงอันกำลัง ‘ต่อรองราคา’ อยู่กับอีกฝ่าย นางก็รู้สึกโมโหนิดๆ
ผู้เฒ่าที่พอจะมองเห็นรูปโฉมของสุยโย่วเปียนอย่างพร่าเลือนรีบหันหน้ามาพูดเสียงจริงจังกับเฉินผิงอันทันที “อันที่จริงข้าคือพ่อค้าขายสมุนไพร วันหน้าจะต้องมาที่ร้านยาทุกวัน จำเอาไว้ว่าเปิดร้านเช้าๆ ปิดร้านให้เย็นหน่อย!”
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้าตอบรับ
ตอนที่ผู้เฒ่าเดินออกจากร้านยา ฝีเท้าที่เยื้องย่างค่อนข้างล่องลอยเล็กน้อย ดีใจขนาดนี้เชียว?
สุยโย่วเปียนกลับไปแล้ว เว่ยเซี่ยนและจูเหลี่ยนก็จากไปด้วย มีเพียงหลูป๋ายเซี่ยงที่เดินมาตรงโต๊ะคิดเงิน ถามอย่างใคร่รู้ว่า “แค่ขอบเขตโอสถทองเท่านั้นหรือ?”
เทพหยินแซ่จ้าวเผยกายอยู่ด้านหลัง “เว้นเสียจากว่าจะเป็นขอบเขตเซียนเหริน ไม่อย่างนั้นก็คงจะเป็นขอบเขตโอสถทองจริงๆ แล้ว”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มจืดชืด “ใบถงทวีปใหญ่ขนาดนั้นยังมีขอบเขตเซียนเหรินแค่กี่คนเอง?”
ช่วงบ่าย ผู้เฒ่าก็เดินตุปัดตุเป๋มาอีกครั้ง คราวนี้ซื้อยาสมุนไพรกองโต ทำให้ร้านยาฮุยเฉินได้เงินไปอีกยี่สิบกว่าตำลึง
ตอนที่จากมา ผู้เฒ่ายังชำเลืองมองไปด้านหลังม่านไม้ไผ่
ตอนที่นั่งอยู่บนโต๊ะกินข้าว เฉินผิงอันพูดสรุปแบบตอกปิดฝาโลงว่า “ผู้เฒ่าท่านนี้ต้องคุยกับเจิ้งต้าเฟิงและจูเหลี่ยนรู้เรื่องแน่นอน”
จูเหลี่ยนถูฝ่ามือ “นายท่าน หากพรุ่งนี้คนผู้นั้นมาอีก ข้าจะลองหยั่งเชิงเขาดู นายท่านวางใจได้เต็มร้อย จะใช่คนบนเส้นทางเดียวกันหรือไม่ บ่าวเฒ่าแค่ชวนคุยไม่กี่ประโยคก็มองออกแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “จำไว้ว่าต้องกะประมาณให้พอดี อย่าเพิ่มเรื่องวุ่นวาย”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าวว่า “บ่าวเฒ่าทราบแล้ว จะจดจำให้ขึ้นใจ”
เช้าตรู่วันถัดมา ผู้เฒ่าคนนั้นก็เดินเข้ามาในตรอกเล็ก เห็นว่าร้านยายังไม่เปิดประตู ผู้เฒ่าก็นั่งรออยู่ข้างนอกอย่างว่าง่าย
แม้เฉินผิงอันจะลืมตาตื่นตั้งแต่เช้าแล้ว แต่กลับเปิดประตูใหญ่ต้อนรับลูกค้าตามเวลา
ในขณะที่เฉินผิงอันช่วยเลือกสมุนไพรอยู่กับผู้เฒ่า จูเหลี่ยนก็แอบเดินมาเงียบๆ ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็กล่าวด้วยประโยคประหลาดว่า “สาวงามบนถนน คนของครอบครัวใหญ่”
ผู้เฒ่าดวงตาเป็นประกาย พูดอย่างไม่กระโตกกระตากว่า “เด็กสาวอยู่ในห้องหอ ท่องกลอนสู่เต้าหนัน” (สู่เต้าหนันคือผลงานขึ้นชื่อชิ้นหนึ่งของหลี่ไป๋นักกวีในสมัยโบราณ)
คนทั้งสองสบตากัน
ไม่ผิดแน่ คือคนบนเส้นทางเดียวกัน!
นี่ต้องเรียกว่าพบคนรู้ใจในต่างถิ่นเลยด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นก็ไม่มีบทของเฉินผิงอันอีก ตาเฒ่าสองคนซุบซิบพูดคุยกันด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง สุดท้ายร้านยาฮุยเฉินได้เงินมาอีกแปดสิบตำลึงเต็มๆ
เฉินผิงอันไม่กล้าแอบฟัง ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ จึงถามอย่างสงสัยว่า “พวกเจ้าคุยอะไรกันถึงได้ถูกคอกันขนาดนี้”
จูเหลี่ยนยิ้มตาหยี “ในตำราย่อมมีหญิงงาม เลยแลกเปลี่ยนความรู้ในตำรากับผู้อาวุโสท่านนี้”
ตอนที่จูเหลี่ยนเดินไปทางม่านไม้ไผ่ตรงประตู เขาใช้หมัดทุบฝ่ามือ “เหนือคนยังมีคนจริงๆ ผู้อาวุโสต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยากลำบากแน่นอน!”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
ดีนักนะ เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันจริงๆ ด้วย
หากรวมกับเจิ้งต้าเฟิงที่เริ่มลงจากเตียงมาเดินเข้าไปอีกคน คาดว่าคงหาความสงบกันไม่ได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น