ท่านเทพมาแล้ว 368-371
บทที่ 368 เป็นนักโทษ
โดย
Ink Stone_Romance
“เจ้าหวังดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” มู่จิ่วยิ้มเยาะ
“ข้าร้ายถึงเพียงนั้นเลย?”
มู่จิ่วเหลือบมองเขา “ก็ไม่แน่”
ลู่ยามองนางด้วยตาคมกริบ ค่อยๆ ปอกลูกสนทีละลูก
มู่จิ่วก็จับตามองการเคลื่อนไหวของเขา คราวก่อนตอนอยู่ใต้พื้นพิภพของถิ่นทุรกันดารทางเหนือ เขาก็ปอกส้มให้นางกิน หรือเขาจะปอกลูกสนนี้ให้นางเช่นกัน?
“ข้าไม่ชอบกินลูกสน”
“ข้าไม่ได้บอกว่าจะให้เจ้ากิน” ลู่ยาเงยหน้าเอาลูกสนที่ปอกแล้วเข้าปาก เคี้ยวคำใหญ่
มู่จิ่วสะอึก
ขณะมองเขาที่ทำตัวไร้เหตุผล มู่จิ่วก็ขบคิด
ในความเป็นจริง มู่จิ่วก็ไม่เข้าใจว่าเขาลักพาตัวนางมามีประโยชน์อะไร คงไม่ใช่อยากให้นางกลายเป็นมารหญิงด้วยหรอกนะ?
แต่เขามีหลินเจี้ยนหรูแล้ว ความเป็นไปได้ในเรื่องนี้เลยมีไม่มากนัก
นางขมวดคิ้วถามเขา “เขตพลังที่คลื่นจิตพสุธา เจ้าสร้างขึ้นใช่หรือไม่? พลังที่เจ้าบำเพ็ญทำไมถึงเป็นพลังเสวียนหมิงของลู่ยาได้?”
“เจ้าจะรู้เรื่องราวเหล่านี้เองในภายหลัง ตอนนี้ข้ายังบอกไม่ได้”
สายตาของชายชุดเขียวหยุดอยู่ที่นางอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ปัดๆ เศษลูกสนที่อยู่บนเข่าทิ้งก่อนยืนขึ้น “หน้าที่ของข้าคือพาเจ้ากลับมา พลังวิญญาณของเจ้าพลุ่งพล่าน ข้าต้องช่วยเจ้าสะกดมันลงไป ดังนั้นหลายวันนี้เจ้าจำต้องอยู่ที่นี่ ไม่อาจไปไหนส่งเดชได้” พูดจบเขาก็เสริมต่อ “อีกเรื่องคือพรุ่งนี้ข้าจะติดโคมและอื่นๆ ให้ คืนนี้เจ้ากลับห้องเจ้าไปพักผ่อนก่อน”
เขาพูดเรื่องที่จะพานางกลับบ้านได้อย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับที่นี่เป็นบ้านของนางเองอยู่แล้ว
มู่จิ่วพูดไม่ออกอยู่บ้าง
แต่ในเมื่อครั้งนี้มีประตูและหน้าต่าง มีหรือนางจะออกไปเองไม่ได้?
นางเหลือบมองประตูที่ปิดอยู่ ก่อนหันหลังเดินออกมา
เมื่อมาถึงลานโล่งจึงทดลองลอยตัวขึ้นไป แต่เมื่อขึ้นไปกลางอากาศ แล้วกลับมามองการจัดเรียงของ ‘คฤหาสน์’ ที่นี่ดูยิ่งใหญ่กว้างขวางกว่าที่นางคิดไว้มาก นี่ต้องไม่ใช่เพียงคฤหาสน์แน่ แต่ต้องเป็นวังขนาดใหญ่! เพียงแต่บริเวณโดยรอบของวังนี้ทั้งมืดและเย็น ไม่รู้ว่าทำไมกระทั่งคนยังไม่มี
นางลองบินไปนอกวัง เมื่อมาถึงกำแพงกลับขยับไม่ได้ ตรงนี้มีเขตพลังอันแข็งแกร่งขวางอยู่!
“คนระยำ”
นางเตะกำแพงวัง
หรือที่เขายอมปล่อยนางออกมาข้างนอก เพราะมั่นใจว่านางจะออกไปไม่ได้
แบบนี้นางก็ไม่อาจไม่รั้งอยู่ต่อแล้ว
มู่จิ่วถลึงตาใส่ที่พักของเขาสักสองครา ก่อนจะยอมหันกลับไป
นางไม่อยากกลับไปห้องเมื่อสักครู่
ทั้งยังนอนไปนานขนาดนั้น สถานที่ก็แปลกประหลาด ไหนเลยจะรู้สึกง่วงได้? มู่จิ่วมองไปรอบๆ อาคาร ตัดสินใจทำความคุ้นเคยกับสถานที่ก่อน ลู่ยายังไม่รู้ว่านางไปไหน ไม่ว่าใครก็ไม่รู้ว่านางหายไปไหน! เกิดเขากลับมาแล้วไม่เจอนาง เขาอาจจะร้อนใจได้! นางต้องหาโอกาส ไม่อาจอยู่ที่นี่นานเกินไป
นางถือไข่มุกราตีเดินเล่นไปทั่ววังคลื่นจิตพสุธาอันกว้างใหญ่ แต่ละชั้นแต่ละห้องไม่ปล่อยผ่าน บนยอดหลังคามีเสื้อคลุมเขียวลอยไปมาในความมืด สายตาเหมือนกับโคมไฟส่องสว่างวูบไหวในยามราตรี
จนกระทั่งฟ้าสว่าง นางก็เดินสำรวจไปได้กว่าครึ่งแล้ว
แต่อันที่จริงก็แค่เดินไปได้กว่าครึ่งเท่านั้น รอบด้านนั้นมืดมาก และนางก็ไม่รู้ว่ามีอันตรายหรือไม่ ดังนั้นจึงไม่ได้เข้าประตูไปสำรวจอย่างละเอียด
ท้ายที่สุดก็กลับเข้ามาเรือนที่นางฟื้นขึ้น ถ้ามีอันตราย ที่นี่ก็เป็นเรือนทำให้นางรู้สึกสบายใจที่สุด อย่างน้อยนางก็รู้ชัดว่าในนี้มีอะไรอยู่บ้าง
มู่จิ่วนอนกอดกระบี่อยู่บนเตียง ก่อนจะหลับลึกไป
ตอนที่ตื่นขึ้นมาฟ้าก็สว่างจ้าแล้ว รองเท้าถอดออกเรียบร้อย วางกระบี่ไว้ด้านหนึ่ง คลุมผ้าห่มเรียบร้อย กระทั่งปิ่นปักผมยังถูกดึงออก
นางรีบลุกขึ้นมาทันที สวมรองเท้าวิ่งไปข้างนอก มุ่งไปเปิดประตูทางตะวันออก ยังคงว่างเปล่าไม่มีอะไรเหมือนเดิม วิ่งไปทางตะวันตกบนระเบียงทางเดินยาว มีโคมแขวนอยูทั้งสองข้าง บนพื้นก็มีวางไว้มากมายเช่นกัน ชายชุดเขียวยืนอยู่บนระเบียง ร้อยเชือกเส้นเล็กๆ ใส่ห่วงเงินบนโคมอย่างระมัดระวัง จากนั้นเกี่ยวตะขอ แขวนไว้บนระเบียงทางเดิน
มู่จิ่วคิดไม่ถึงว่าเขาจะแขวนโคมจริงๆ
มีนางเป็นนักโทษคนเดียวเท่านั้น จำเป็นด้วยหรือ?
นางหันกลับไปที่ห้อง ปิดประตู นั่งหมอบเหม่อลอยอยู่บนโต๊ะ
นางไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ออกไปไม่ได้ เมื่อมองดูความกันดารของที่นี่ เกรงว่าจะไม่เคยมีแขกมาก่อน
หากพวกซ่างกวนสุ่นรู้ว่านางหายไป คงจะรีบกลับสวรรค์ไปบอกลู่ยา แต่ลู่ยายังคงอยู่ที่หงชางหรือที่อื่น ไม่รู้ว่าเขาจะรีบกลับมาได้หรือไม่ หากรีบกลับมาได้เขาย่อมต้องเร่งตามหานางแน่ ทว่าคราวก่อนที่ชายชุดเขียวลักพาตัวนางมา เขากลับหานางไม่เจอ เช่นนั้นครั้งนี้จะหาเจอหรือไม่ยังไม่อาจรู้ได้…
ชายชุดเขียวผู้นี้ แท้จริงแล้วเกี่ยวข้องยังไงกับนาง?
ครั้งก่อนยังไม่รู้ตัว แต่ครั้งนี้มั่นใจว่าต้องคุ้นเคยกับนางมากทีเดียว เขายังรู้ว่าร่างของนางมีพลังวิญญาณที่บ้าคลั่งอยู่ ทั้งยังจะช่วยนางควบคุม นี่มิใช่หมายความว่าเขารู้ที่มาที่ไปของนางหรือ?
คนผู้นี้ทำเรื่องชั่วช้า คงไม่ใช่ว่าชาติก่อนนางก็เป็นมารเช่นเดียวกัน และเคยร่วมมือกับเขาทำลายล้างฟ้าดินหรอกกระมัง?
นางมีความสามารถขนาดนี้ด้วยหรือ?
หากไม่ใช่ เช่นนั้นเขาคิดจะทำอะไร?
มู่จิ่วครุ่นคิด เงยขึ้นมาจากโต๊ะแล้วมองไปข้างนอก ไหนเลยจะรู้ว่ายังไม่ทันเยี่ยมหน้าออกไปทางหน้าต่าง ก็ชนเข้ากับเหล็กแผ่นหนึ่ง!
“ในเมื่อตื่นแล้วก็ออกมาช่วยกัน!”
ลู่ยายื่นมือเข้ามาจากข้างนอก ดึงนางออกจากห้องไป
มู่จิ่วอยากจะด่ามารดานัก!
เมื่อมาถึงระเบียงทางเดิน ลู่ยาหยิบผลไม้ที่ไม่ทราบนามจากถาดด้านข้างส่งให้นาง จากนั้นหยิบด้ายขึ้นมา บอกนางว่าต้องทำอย่างไร
มู่จิ่วประคองถาดไว้ อยากจะตีหน้าเขา…แต่เพราะเห็นพลังรุนแรงที่แผ่ออกมาจากแผ่นหลังจึงได้ล่าถอยไป
ช่างเถอะ อดทนไปก่อน รอจนลู่ยามาแล้วค่อยว่ากัน
นางกินผลไม้อย่างว่าง่าย และร้อยด้ายบนโคม
ลู่ยาที่หันหลังให้นางยกยิ้มมุมปาก แสงอาทิตย์ส่องกระทบใบหน้า เจือความอ่อนโยนพร้อมแสงสะท้อนพร่าตา
สำหรับเขา วังคลื่นจิตพสุธาในตอนนี้ให้ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม ก่อนหน้านี้อาจเป็นเพราะเจ็บปวดเสียใจจนเกินไป เพียงแค่มองวังนี้ก็รู้สึกอึดอัดแล้ว แต่ตอนนี้ถึงแม้จะไม่มีต้นไม้ใบหญ้าเช่นเดิม เขาก็รู้สึกมีความสุขอย่างเปี่ยมล้น
“เจ้าอยู่ที่นี่ทุกวันหรือ?” มู่จิ่วถาม
“ไม่ใช่ บางครั้งข้าก็ออกไปข้างนอก” เขาแขวนโคม ก่อนจะหยิบขึ้นมาอีกอัน “แต่ส่วนมากจะอยู่ที่นี่”
มู่จิ่วขมวดคิ้ว “เช่นนั้นตอนเจ้าออกไปข้างนอก ก็เป็นเวลาที่เจ้าออกไปก่อเรื่องทำคดียุ่งยากให้ข้าสินะ?”
ลู่ยาไม่ได้ตอบ ขยับมือต่อโดยไม่มองนาง แต่บรรยากาศกลับดูสบายๆ
มู่จิ่วขมวดคิ้วอีก ถึงแม้นางจะไม่ได้รับผลร้ายที่เป็นชิ้นเป็นอันจากคดีเหล่านี้ และยังได้รับบุญกุศลมาไม่น้อย แต่นางไม่ชอบถูกคนปั่นหัว อีกทั้งพวกเขายังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากัน เขาจะสร้างคดีเหล่านี้มาเพื่อช่วยนางทำไม? ประเด็นคือเขายังทำให้หลินเจี้ยนหรูกลายเป็นมารด้วย!
“หากเจ้าไม่บอกแผนการของเจ้าแก่ข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจจะทำลายเขตพลังแล้วหนีออกไป” นางจ้องแผ่นหลังของเขา
“เจ้าออกไปไม่ได้” ลู่ยาพูด ครั้นเห็นสีหน้าของนางเปลี่ยนทันควันจึงรีบเอ่ย “เจ้าไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น อยู่ที่นี่ฟื้นฟูพลังวิญญาณอย่างสงบ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป…หากในตอนนั้นเจ้ายังอยากเจอลู่ยาอยู่” เขาเสริมประโยคสุดท้าย มองนางอย่างล้ำลึก ก่อนจะหันกลับไปแขวนโคมต่อ
มู่จิ่วชะงักงันไปเพราะคำว่า ‘ลู่ยา’ ตื่นตระหนกอย่างคนไม่ได้ความ
………………………………..
บทที่ 369 ทางที่ไม่อาจหวนกลับ
โดย
Ink Stone_Romance
พลังเสวียนหมิงของเขาแข็งแกร่งกว่าลู่ยามากนัก นางไม่ควรแข็งข้อกับเขาจะเป็นการดีที่สุด
พูดถึงเรื่องพลังเสวียนหมิง นางก็จับจ้องเขม็ง…ตามหลักแล้วบนโลกนี้มีเพียงพลังเสวียนหมิงของลู่ยาเท่านั้นถึงจะแข็งแกร่งที่สุด เขาสามารถมอบพลังเสวียนหมิงให้หลินเจี้ยนหรูได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะเป็นลู่ยา?
หากเขาคือลู่ยา เช่นนั้นแล้วลู่ยาที่อยู่กับนางคือใคร?
คงไม่ใช่ว่าเป็นตัวปลอมกระมัง?
…ไม่มีทาง!
นางมั่นใจ ไม่เพียงแค่นางมั่นใจในตัวเขา แต่มู่หรงเสี่ยนและจื่อจิ้งล้วนยืนยันแล้ว จะเป็นตัวปลอมไปได้อย่างไร
อีกทั้งใบหน้าของลู่ยาตัวจริงไม่เหมือนกับชายชุดเขียว ถึงแม้สำหรับพวกเขาเรื่องการปลอมแปลงหน้าตาจะเป็นเพียงเรื่องขี้ผงเท่านั้น แต่หากเขาคือลู่ยา เช่นนั้นทำไมถึงต้องลักพาตัวนางมาด้วย? และทำไมต้องเก็บซ่อนฐานะ? ทำไมต้องช่วยหลินเจี้ยนหรู? และช่วงคับขันเมื่อวาน ลู่ยาควรจะช่วยนางซัดหลินเจี้ยนหรูจนตายไม่ใช่หรือ?
หากเป็นการแยกร่าง…ตอนที่นางกลับมาหาลู่ยาจากชายชุดเขียวที่ถิ่นทุรกันดารทางเหนือ ความร้อนใจและกังวลของเขาไม่ใช่เรื่องหลอกลวง ความหึงหวงของเขาหลังจากเหตุการณ์นั้นก็ไม่ใช่ของปลอม หากนั่นเป็นร่างแยกของเขา เขาจะไม่รู้ตัวเลยหรือว่าร่างแยกของตนเองออกไปทำอะไรบ้าง?
“ส่งมีดมาให้ข้าหน่อย” เขาพลันหันมาพูดกับนาง
นางคืนสติกลับมา หยิบมีดบนเก้าอี้ส่งให้เขา
ในวังนี้คงไม่มีบันได เขาก็ไม่ได้สร้างมันขึ้น เพียงแค่เหยียบบนเก้าอี้เตี้ยๆ อันหนึ่ง ดีที่เขาสูงพอจึงไร้ปัญหา เขาแขวนโคมขึ้นไปข้างบน จากนั้นจับให้มันตรง ก่อนจะกระโดดลงมาบนพื้น
ตอนนี้ไม่ว่าถามอะไรไปเขาก็คงไม่ตอบ หากอยากรู้ นางคงต้องหาวิธีแอบฟังเอา
เมื่อตัดสินใจไปเช่นนี้จึงสบายใจได้ เมื่อเห็นว่าบนพื้นยังมีโคมอีกหลายอันที่ไม่ได้ร้อยสายเข้าไป มู่จิ่วจึงเลียนแบบเขา ทำตามให้เสร็จ
หลินเจี้ยนหรูมุ่งหน้าไปยังเขาจิตอสุนีบาต นี่เป็นส่วนเชื่อมต่อระหว่างหกภพและเก้าทวีป รกร้างไร้ผู้คน พลังวิญญาณเต็มสมบูรณ์ อีกทั้งร่างของราชาต้าอี้ยังถูกฝังอยู่ที่นี่ เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฝังร่าง
เขาเลือกต้นหงเฟิงต้นหนึ่ง ขุดดินฝังร่างเหลียงชิวฉาน ป้ายหินไม่ได้สลักชื่อใดไว้
เขาสร้างเพิงไม้ไว้ข้างๆ หลุมศพ และอาศัยอยู่ที่นั่น
ตอนนี้เขากลับไปสวรรค์ไม่ได้แล้ว ไม่แน่ว่าหลังจากพวกซ่างกวนสุ่นกลับไปถึงสวรรค์ ทางด้านหน่วยลาดตระเวนก็คงส่งคนออกมาตามจับเขาแล้ว ตอนนี้เขาเป็นคนไร้หนทางหวนกลับอย่างแท้จริง เขาก็ไม่รู้ว่ารู้สึกเสียใจหรือไม่ หรือบอกชัดๆ ไม่ได้ว่าเสียใจที่ตรงไหน
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยคิดทำร้ายคนบริสุทธิ์ เขาคิดจะฆ่าเพียงครอบครัวของจีหมิ่นจวินเท่านั้น หากหัวชิงไม่ทำร้ายเหลียงชิวฉาน ไม่นำคนมาล้อมเขามากมายขนาดนั้น เขาก็คงไม่ฆ่า หากไม่ใช่เพราะเหลียงชิวฉานเข้าไปขวางมู่จิ่ว เขาก็คงไม่ฆ่าคนมากมายไปกระตุ้นความโกรธของนาง เรื่องนี้เขาไม่เคยสำนึกเสียใจ
เรื่องเสียใจเรื่องเดียวคือเขาประมาท ไม่ว่าเขาจะเป็นคนฆ่าหรือไม่ แต่สุดท้ายเหลียงชิวฉานก็ตายเพราะเขา
เขาสามารถฆ่าคนที่เคยทำร้ายตนได้เป็นหมื่นคนโดยไม่กะพริบตา แต่ชั่วชีวิตนี้ คนที่อ่อนโยนกับเขามีไม่มากนัก
และตอนนี้ คนที่ให้กำเนิดเขาได้มีชีวิตของตนเองไปแล้ว คนที่เคยเห็นอกเห็นใจกำลังไล่จับเขา ส่วนคนที่เคยทำร้ายกันก็ตายเพื่อเขา เขาเริ่มรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดขึ้นมา
ในที่สุดเขาก็ล้างแค้นได้แล้ว แต่กลับไม่ดีใจเลย
หลินเจี้ยนหรูรู้ว่าตนเองกลายเป็นมารแล้ว เขาสามารถทำตามอำเภอใจได้ เพราะอย่างไรสุดท้ายก็ต้องแตกดับสลายเป็นเถ้าถ่านไป ทว่าไม่ได้รู้สึกสบายใจเท่าไหร่นัก
แต่เดิมชีวิตที่เขาฝันไว้ไม่ใช่แบบนี้ เขาอยากมีชีวิตที่สงบสุข หาเช้ากินค่ำ อยู่อย่างสามัญ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
ชีวิตภายใต้เงามีดและคมดาบเช่นนี้ เขาไม่ต้องการ
ทว่าตอนนี้ เขาทำให้ชีวิตตนกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?
ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความผิดพลาด ถึงแม้เส้นทางชีวิตภายหน้าที่เหลืออยู่อาจพบเจอคนจริงใจกับเขาอีก เขาก็ไม่มีปัญญาตอบรับได้
เขาพลันรู้สึกว่า บางทีเขาอาจไม่ควรหนีแต่แรก ควรรั้งอยู่ที่นั่น ให้มู่จิ่วฆ่าเสียก็ดี หากว่าเขาถูกกำหนดให้ตายด้วยเงื้อมมือนาง เขาเบื่อโลกนี้เต็มทีแล้ว ถึงแม้จะกลายเป็นเซียนก็ไม่ได้หมายถึงว่าจะมีความสุข แต่เหลียงชิวฉางจะตายเปล่าไม่ได้ เขาก็เช่นกัน หากเขาหนีไม่พ้นชะตากรรมแห่งความตาย เช่นนั้นเขาก็จะลากทั้งสำนักแรกพยับไปลงขุมนรกด้วยกัน!
เขายืนขึ้น กำหมัด เดินไปคุกเข่าตรงหน้าหลุมศพเหลียงชิวฉาน แล้วกลบดินให้นาง
“ข้าไปครั้งนี้ บนโลกนี้จะไม่มีหลินเจี้ยนหรูคนนี้อีก ขอให้ชาติหน้าเจ้าอยู่อย่างสงบ ความรู้สึกที่สูญเสียไปทั้งหมดจะต้องได้รับการตอบแทน”
เขายืนขึ้น มองหลุมศพอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง จากนั้นหมุนตัวเดินเข้าไปในป่า ก้าวยาวๆ จากไป
หลังจากเขาหายตัวไปในป่าลึก กลับมีคนผู้หนึ่งเดินออกมา ไปหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าหลุมศพของเหลียงชิวฉาน…
ยามตะวันคล้อยต่ำ ระเบียงทางเดินก็ค่อยๆ สว่างขึ้นตลอดทาง
แสงโคมสีเหลืองนำพาความอบอุ่นมาสู่วังที่หนาวเหน็บแห่งนี้ ครั้นมองเงาตนเองที่ทอดอยู่บนพื้น ในที่สุดมู่จิ่วก็รู้สึกว่าที่นี่ไม่ได้เงียบเหงานัก
แต่ยามค่ำคืนนางก็ยังไม่รู้สึกอยากนอน
สถานที่ที่ไม่คุ้นเคยกับคนที่ไม่คุ้นเคยทำให้นางรู้สึกไม่มั่นคง นางคิดถึงลู่ยา คิดถึงพวกเสี่ยวซิงอาฝู ชายชุดเขียวบอกจะช่วยควบคุมพลังวิญญาณในร่างนาง แต่ก็ไม่เห็นจะลงมือทำอะไร แน่นอนว่านางไม่กล้าให้เขาเข้าใกล้ หากเขาทำกับนางเหมือนกับที่ทำกับหลินเจี้ยนหรู เปลี่ยนให้กลายเป็นมารเล่า?
ทุกวันนางอยู่แต่ในห้อง หรือออกไปเดินทอดน่องข้างนอก
นางก็ไม่รู้ว่าต้องอยู่ที่นี่อีกนานเท่าไหร่ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะนับได้ว่าพลังวิญญาณถูกควบคุมแล้ว ความไม่รู้ที่มาที่ไปและอนาคตทำให้นางกังวล
แต่มู่จิ่วไม่ไปหาเขา เขาก็ไม่ปรากฏตัวออกมา และไม่สนว่านางจะทำอะไร จากจุดนี้ยังนับว่าเป็นอิสระ
ตอนกลางวันนางเดินเลียบระเบียงทางเดินที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด จำชื่อวังต่างๆ ไปได้ไม่น้อย แต่ดูไปดูมากลับไม่มีความแตกต่าง เพราะนอกจากขนาดและตำแหน่งที่ไม่เหมือนกันแล้ว ส่วนอื่นเหมือนกันทั้งหมด ว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด ยกเว้นที่พักของนางกับชายชุดเขียว
มู่จิ่วเริ่มเดินรอบๆ ทั้งในและนอกตำหนักที่นางอยู่
ตำหนักนี้แท้จริงแล้วยังมีด้านในอยู่อีก มีอาคารเป็นชั้นๆ ต่อเนื่องกันไป แต่กลับว่างเปล่า ไม่มีกระทั่งฝุ่น
นางรื้อค้นที่พักไปทั่วจนเจอหนังสือกองใหญ่ ไม่ใช่บันทึกเซียนอะไร กลับเป็นประเภทเรื่องราวพื้นบ้านในโลกมนุษย์ ทั้งยังมีประเภทเรื่องราวแปลกหูเรื่องราวสัพเพเหระ ประวัติขงจื่อ อ่านฆ่าเวลาสักหน่อยก็สนุกดี
ยามค่ำคืนนางนั่งเหม่อลอยมองพระจันทร์อยู่ใต้โคมบนระเบียงทางเดิน มีอยู่วันหนึ่ง นางพบว่าในห้องมีพู่กันและหมึกอยู่ จึงย้ายเก้าอี้ออกมา ยืนขึ้นไปวาดดอกไม้บนโคม
นางรู้สึกว่าทำเช่นนี้น่าเหลือเชื่อมาก นางเคยทำเรื่องพิกลอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
แต่เมื่อเจอเรื่องที่สามารถทำเป็นงานอดิเรกได้ ในที่สุดก็ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย นางวาดดอกไม้นกแมลงปลาไปบนโคม รวมทั้งลู่ยาในอิริยาบถต่างๆ จากนั้นก็เป็นเสี่ยวซิง อาฝู รุ่ยเจี๋ย ซ่างกวนสุ่น กระทั่งจื่อจิ้งยังวาดลงไป
ทั้งยังมีเขตลานบ้านที่พวกเขาอยู่ด้วยกันอีก
มู่จิ่วกำลังสงสัยว่าเขาจะช่วยนางควบคุมพลังวิญญาณในร่างได้อย่างไร เพราะหลายวันมานี้ไม่เห็นเขาเลย แน่นอนว่าในเวลาเดียวกันก็มีความหวาดกลัวเกิดขึ้น หากเขาไม่ปรากฏตัวออกมาอีกล่ะ? นางจะออกไปได้อย่างไร?
…………………………………
บทที่ 370 เรื่องของเจ้า
โดย
Ink Stone_Romance
ยังดีที่เขากลับมาตอนกลางคืนของวันนั้น ในห้องสว่างไสวด้วยโคมไฟ
มู่จิ่วพุ่งเข้าไปหาเขาก่อน “เจ้าจะสอนข้าควบคุมพลังเมื่อไหร่?”
“พรุ่งนี้” ลู่ยาตอบ
“ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่?” มู่จิ่วถามอีก
“อย่างเร็วสิบวัน ช้าหน่อยก็ครึ่งเดือนกระมัง”
มู่จิ่วยังนับว่ายอมรับระยะเวลาเช่นนี้ได้
เพราะความตรงไปตรงมาของเขาที่ถิ่นทุรกันดารทางเหนือเมื่อครั้งก่อน ครั้งนี้นางจึงเลือกเชื่อเขาด้วย
เช้าวันถัดมานางถึงไปที่ห้องเขา
ลู่ยาไม่พูดพร่ำทำเพลง ใช้มือปรับลมปราณแทนนางทันที
หลินเจี้ยนหรูเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เขาไม่อาจล่าช้าได้อีก มู่จิ่วต้องออกไปโดยเร็วที่สุด คดีนี้จำต้องให้นางเป็นคนสะสาง
และเขาก็ต้องกลับไปเป็นลู่ยาคนเดิมเท่านั้น ไม่อาจแทรกแซงความเคลื่อนไหวของ ‘ชายชุดเขียว’ ได้
ผ่านไปสิบวันอย่างรวดเร็ว
มู่จิ่วไม่รู้สึกว่าตนเองมีอะไรเปลี่ยนไป แต่ชายชุดเขียวกลับบอกให้นางไปได้แล้ว
แน่นอนว่านางดีใจมาก แต่ก็รู้สึกว่าท่าทางเขาที่ดีใจจนถึงขั้นอยากเร่งให้นางไปดูประหลาดไม่น้อย หลายวันมานี้เขาไม่ได้ติดต่อเรื่องอื่นใดกับนางเลย พูดได้ว่าจะได้เจอหน้ากันก็ตอนที่เขามาช่วยนางควบคุมพลังเท่านั้น อีกทั้งนางก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าเป้าหมายของโคมเหล่านี้คืออะไร ที่แท้ตั้งใจปล่อยนางให้อยู่คนเดียวแต่แรกนี่เอง!
มู่จิ่วไม่สบอารมณ์ แต่เห็นแก่ที่เขาไม่ได้กลั่นแกล้งนาง เรื่องเหล่านี้จะไม่เก็บมาใส่ใจ
หลังจากวันที่สิบสอง เขาก็ลุกขึ้นมา “เจ้าไปได้แล้ว ไปเตรียมตัวเสีย อีกครึ่งชั่วยามข้าจะส่งเจ้าออกไป”
มู่จิ่วไม่มีอะไรต้องเตรียมตัว นางจึงบอก “เจ้าควรจะบอกข้าได้แล้วว่าที่นี่คือที่ไหน?”
นางไม่ถามเรื่องอื่นได้ แต่นางต้องรู้เรื่องที่ที่เขาอยู่ให้ได้
อย่างน้อยในภายภาคหน้าหากนางต้องการมาตามหา จะได้พาลู่ยามาได้เลย
ลู่ยาไม่อยากให้มู่จิ่วมองออก หลายวันมานี้จึงจงใจหลบหน้านาง ตอนนี้นางถามเรื่องนี้ขึ้นมาจึงลังเลเล็กน้อย
“หรือเรื่องนี้ก็บอกไม่ได้ด้วย?”
เขาชะงักเล็กน้อย ก่อนเอ่ย “คลื่นจิตพสุธา ที่นี่คือคลื่นจิตพสุธา”
ไม่ว่าอย่างไรนางก็สงสัยเขาแล้ว หากให้นางนำความสงสัยกลับไปด้วย นางจะต้องติดตามหาเขาไปทั่ว เพื่อฆ่าเขาคืนความเป็นธรรมให้หลินเจี้ยนหรูหรืออะไรก็ตาม เรื่องราวอาจจะยิ่งซับซ้อนยิ่งขึ้น มิสู้บอกนางไปเลย อย่างน้อยจะได้ไม่คิดมากจนทำให้เรื่องที่ต้องทำในมือล่าช้าไป
เป็นอย่างที่คิดไว้ มู่จิ่วตกใจถอยไปสองก้าว
คลื่นจิตพสุธา…
ที่นี่คือคลื่นจิตพสุธา นางมาถึงคลื่นจิตพสุธา!
“หลังจากนี้หมื่นปี หกวิญญาณจะเจอเคราะห์ ช่วงนี้ข้าจึงอยู่ที่นี่ ต้องอยู่เพื่อเสริมพลังของหกวิญญาณให้แข็งแกร่ง”
มู่จิ่วอ้าปากค้าง ไม่รู้จะพูดอะไร!
นางเข้าใจว่าคลื่นจิตพสุธาเป็นเรื่องไกลตัว นางไม่มีทางเกี่ยวข้องอะไรกับสถานที่ต้องห้ามในตำนานแน่นอน แต่คิดไม่ถึงเลยว่านอกจากจะได้เข้ามาที่นี่แล้ว ยังเข้ามาถึงใจกลางของมันด้วย!
มู่จิ่วพลันเข้าใจว่าทำไมสถานที่แห่งนี้ถึงได้กันดารนัก
คลื่นจิตพสุธาในตำนานมีพลังวิญญาณแข็งแกร่ง ไม่มีสิ่งมีชีวิตในระยะพันลี้ คนที่พลังบำเพ็ญอ่อนแออาจจะสลายกลายเป็นเถ้าถ่านได้ภายใต้แรงกดดันของมัน ทั่วทั้งหกภพมีเพียงที่นี่เท่านั้นที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ แต่นางกลับมาอยู่ที่คลื่นจิตพสุธานี่ ไม่น่าเชื่อว่ามีพลังบำเพ็ญเพียงสามพันปีก็ไม่ถูกแรงกดดันจนสลายเป็นผุยผงไป!
“ดังนั้นเจ้าเลยฝึกพลังอยู่ที่คุนหลุนตะวันออก สั่งให้เสือลายเหลืองหลอมวิญญาณร้าย และยังขโมยหินวิญญาณมารไปจากปรโลกเพื่อมาเสริมกำลังให้กับหกวิญญาณ?”
“จะว่าเช่นนั้นก็ได้” ลู่ยาพยักหน้า
มู่จิ่วไม่อยากจะเชื่อ!
เขาบอกว่าเขาหลอมวิญญาณเพื่อช่วยให้หกวิญญาณผ่านด่านเคราะห์!
เขาล้อเล่นหรืออย่างไร?
เห็นนางเป็นเด็กสามขวบหรือ?
เขาเป็นคนสร้างบาปหนาทำร้ายหลินเจี้ยนหรูจนไร้หนทางหวนกลับ จะมารับหน้าที่ช่วยหกวิญญาณผ่านด่านเคราะห์ได้อย่างไร?!
“เจ้า…”
“เอาละ ไปได้แล้ว”
ลู่ยาไม่ให้โอกาสนางพูดต่อ เรียกกลุ่มเมฆมา จากนั้นก็ส่งนางออกไปนอกวัง
มู่จิ่วยังพูดไม่ทันจบ ดิ้นรนอยากจะกลับไปนัก แต่ด้านหลังราวกับมีแรงดูดมหาศาลฉุดนางออกไปจากวัง!
“เรื่องของเจ้าเถอะ!”
มู่จิ่วด่าเขาอยู่บนเมฆ แต่เมื่อมองไปด้านล่าง ทิวทัศน์กลับค่อยๆ คุ้นตามากขึ้น เมื่อข้ามผ่านถิ่นทุรกันดารทางเหนือไปก็เป็นภูเขาจิตอสุนีบาต จากนั้นเป็นผืนป่าทิวเขาขนาดใหญ่ ต่อไปก็เป็นเส้นทางสู่ประตูสวรรค์แดนใต้แล้ว!
ทางด้านลู่ยารอให้นางจากไป จึงค่อยตามออกไปตามหลัง
เขาต้องรออีกสองวันค่อยปรากฏตัว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นางสงสัย
เมื่อคิดว่าต่อไปเขาจะต้องเจอมู่จิ่วตลอดเช้าค่ำ ทั้งยังเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับ ‘ชายชุดเขียว’ ก็อดไม่ได้ที่จะปวดหัวขึ้นมา ถึงเก็บเรื่องชาติก่อนของพวกเขาไปก่อน หากต้องการปิดบังเรื่องทั้งหมดจากนางก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เขาเริ่มรู้สึกเสียใจบ้างแล้ว หากไม่รู้เรื่องทั้งหมด เขาก็คงไม่ต้องสิ้นเปลืองความคิดเช่นนี้
ฝ่ายมู่จิ่วเข้าไปในประตูสวรรค์แดนใต้ เห็นถนนและอาคารที่คุ้นเคย ไม่ได้เดินต่อไปข้างหน้าเมื่อหยุดลง
มู่จิ่วรู้สึกว่าชายชุดเขียวปล่อยนางกลับมาอย่างเร่งร้อน กระทั่งไม่ยอมให้นางพูดจนจบ ไม่ใช่ว่าเขามีเรื่องอะไรปิดบังนางหรือ?
…แน่นอน เขาจะปิดบังกันก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่ทำไมนางถึงรู้สึกอยู่เสมอว่าเรื่องที่เขาปิดบังมีส่วนเกี่ยวข้องกับนาง? ด้านหนึ่งเขาแสดงออกกับนางเหมือนคุ้นเคยมาก แต่อีกด้านหนึ่งเขากลับหลบหน้านาง จะเป็นไปได้อย่างไรที่เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับนาง? นางรู้สึกว่าเขาเร่งไปจัดการเรื่องอะไรบางอย่าง ทั้งยังให้นางรู้ไม่ได้?
“จิ๋วจิ่ว! เจ้ากลับมาแล้ว? ทำไมมายืนนิ่งอยู่ตรงนี้?”
ตอนนี้เอง เสียงที่เต็มไปด้วยความยินดีดังขึ้นมาด้านหน้า เสี่ยวซิงถือตะกร้าพลางกระโดดโลดเต้นเข้ามาหา!
“เจ้ากลับมาตอนไหน? เรื่องที่สำนักแรกพยับจบแล้วหรือ? ซ่างกวนสุ่นบอกว่าหลินเจี้ยนหรูฆ่าคน ก่อเรื่องใหญ่ รู้กันไปทั้งสวรรค์ ใต้เท้าหลิวมาที่บ้านของเราหลายรอบมาก! อา ลู่ยาล่ะ?”
มู่จิ่วมึนงงกับคำถามที่ร่ายยาวมาราวกับประทัดของนาง ก่อนจะคืนสติกลับมาตอบ “ลู่ยายังไม่กลับมาหรือ?”
“ไม่นี่? เขาไม่ได้อยู่กับเจ้าหรือ?” เสี่ยวซิงทำท่าสงสัย
มู่จิ่วส่ายหน้า
ลู่ยายังไม่ได้กลับมา ดูท่าทางแล้วกระทั่งข่าวก็ยังไม่ส่งกลับมาด้วย เช่นนั้นเวลานี้เขาไปไหนกัน?
ใจของนางเต้นเล็กน้อย มีภาพหนึ่งพาดผ่านเข้ามาในสมอง
“พวกเรากลับบ้านก่อนเถอะ ข้าซื้อถั่งเช่าที่เจ้าชอบกินมาด้วยพอดี!”
เสี่ยวซิงจูงมือนางกลับบ้านด้วยความดีใจ
มู่จิ่วก็ยินดีที่เจอนาง ตลอดทางพูดเรื่องราวในบ้าน ก่อนเอ่ยว่า “ใต้เท้าหลิวเคยมาที่บ้านหรือ?”
“เมื่อวานก็เพิ่งมา! ตอนนั้นข้าไม่อยู่ ซ่างกวนสุ่นเป็นคนต้อนรับเขา น่าจะอยากเจอเจ้าเพื่อคุยเรื่องคดีของสำนักแรกพยับ”
ตอนนี้ไม่รู้ว่าแรกพยับเป็นอย่างไรบ้าง มู่จิ่วก็กังวลเรื่อนี้ จึงรีบเดินเร็วๆ มุ่งตรงกลับบ้านไป
ซ่างกวนสุ่นกับอาฝูออกมารับนางที่ประตูทันที “ในที่สุดเจ้าก็กลับมา! หากไม่มาข้าจะไปหาถึงสวรรค์อันสูงส่งแล้วนะ!”
อาฝูตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่ ร้องหงิงๆ พันแข้งขามู่จิ่วไม่ยอมปล่อย
มู่จิ่วรีบพูด “พูดไปพวกเจ้าก็อาจจะไม่เชื่อ ชายชุดเขียวพาข้าไปที่คลื่นจิตพสุธา”
กล่าวจบก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเขาฟังอย่างคร่าวๆ ทุกคนต่างก็รู้เรื่องชายชุดเขียวกับพลังอันยิ่งใหญ่ในร่างนางแล้ว เรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องปิดบัง แต่เมื่อทุกคนได้ยินว่านางถูกชายชุดเขียวพาไปคลื่นจิตพสุธาก็ตกตะลึงกันอยู่นาน “เจ้าไปคลื่นจิตพสุธาแล้วยังมีชีวิตกลับมาได้?”
…………………………………………
บทที่ 371 จะหลอกใครไม่ง่ายเลย
โดย
Ink Stone_Romance
มู่จิ่วก็ตอบได้ไม่ชัด แต่เรื่องจริงเป็นเช่นนี้
ไม่เพียงนางจะกลับมาจากคลื่นจิตพสุธาอย่างปลอดภัย แต่ยังอาศัยอยู่ที่นั่นถึงครึ่งเดือน เพียงแค่เรื่องนี้ก็เพียงพอให้นางโอ้อวดไปได้อีกนานแล้วกระมัง?
แต่มู่จิ่วคิดว่าเป็นเพราะพลังของชายชุดเขียวแกร่งกล้า ตอนนี้ยังพูดอะไรกับพวกเขามากไม่ได้ พูดไปก็พูดได้ไม่ชัดแจ้ง ตอนนี้จึงปัดเรื่องนี้ทิ้งไปและถามเรื่องสำนักแรกพยับก่อน จากนั้นให้รุ่ยเจี๋ยไปเรียกหลี่อี้มา ที่จริงเมื่อนางกลับมาควรจะรีบไปหาหลิวจวิ้น แต่เรียบเรียงเรื่องราวให้ชัดเจนก่อนค่อยไปจะดีกว่า
ซ่างกวนสุ่นพูด “เจ้าต่อสู้กับหลินเจี้ยนหรู เขาพาเหลียงชิวฉานหนีไป เจ้าก็พลอยหายไปด้วย ตอนนั้นมืดสนิท ทั้งยังสับสนวุ่นวาย ข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าหายไปได้อย่างไร กำลังจะไปถามหากับพวกผู้อาวุโสสำนักแรกพยับ หลี่อี้กลับบอกว่าเจ้าโดนคนลักพาตัวไป จากนั้นข้าไม่ได้ยุ่งกับเรื่องของสำนักแรกพยับอีก ข้าตามไปยังทางที่พวกเขาชี้ถึงพันสองพันลี้ก็ไม่เจอร่องรอยของเจ้าแม้แต่น้อย ตอนหลังถึงได้กลับมาที่สำนักแรกพยับ”
“หัวชิงตายแล้ว ครอบครัวจีหมิ่นจวินก็ตายหมดสิ้น ภายในสำนักแรกพยับวุ่นวายอยู่หลายวัน ตอนนี้กำลังเลือกเจ้าสำนักใหม่ ถึงแม้จะพูดถึงเรื่องตามฆ่าหลินเจี้ยนหรูทุกวัน แต่กลับไม่เห็นมีใครลงมือเคลื่อนไหวอะไร คิดไปแล้วก็น่าประหลาดใจ เขาฆ่าหัวชิงไปแล้ว ยังจะกลัวกับการฆ่าพวกตัวเล็กตัวน้อยอีกสักหลายคนทำไม? ตอนแรกพวกนั้นรังแกเขาอย่างไร คิดว่าคงยังจำได้แม่นยำ!”
“ดังนั้นตำแหน่งเจ้าสำนักเลยยังไม่มีคนกล้านั่ง ศิษย์ในสำนักก็หลบหนีไปไม่น้อย”
เขาอยู่ที่สำนักแรกพยับหลายวัน หน้าที่คือหาเบาะแส แน่นอนว่าต้องถามเรื่องของหลินเจี้ยนหรูมาด้วย
ทางนี้หลี่อี้ก็พูดเสริม “ใต้เท้ากลับมาก็ดีแล้ว ใต้เท้าหลิวส่งคนมาที่หน่วยของพวกเราทุกวัน ถามว่ามีข่าวคราวของท่านหรือไม่? เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ที่สำนักแรกพยับ ไท่ซ่างเหล่าจวินกำลังกำชับใช้กฎระเบียบภายในสำนัก วังโตวลวี่และสวรรค์ต่างก็กดดันพวกเราให้รีบจับหลินเจี้ยนหรูออกมารับโทษให้ได้”
“เพราะใต้เท้าหลิวมอบคดีนี้ให้ท่านทำ ช่วงนี้จึงได้แต่ถ่วงเวลามาตลอด ดีที่ใต้เท้ากลับมาแล้ว ใต้เท้าหลิวจะได้สบายใจขึ้น”
มู่จิ่วรู้สึกผิดอยู่บ้าง นางไม่ได้ตั้งใจทำคดีนี้แต่แรก แต่หลิวจวิ้นกลับหวังดี คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะทำให้เขาพลอยถูกเร่งรัด นางจึงรีบให้พวกเขาทั้งสองสรุปคดีใหม่อีกรอบ เมื่อตนเองฟังจบก็ไล่ให้แยกย้ายกันไป
ตอนกลางคืนนางเรียบเรียงคดีให้เรียบร้อย วันถัดมาก็นำไปที่หน่วยงาน
ทางลู่ยารอจนมู่จิ่วกลับบ้านไปแล้ว ถึงมุ่งไปยังหงชาง
จื่อจิ้งก็รอเขาอยู่ที่นี่ ทะเลาะกับพวกเจ้าตัวกลมบนภูเขาไปรอบหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าหงจวินพาม้าไปเดินเล่นที่ไหนแล้ว ส่วนจุ่นถีเล่นพิณวาดภาพทุกวัน ไม่ก็นั่งสมาธิสวดมนต์ ไม่เสียเวลาไปเปล่า แต่ละคนต่างก็สบายอกสบายใจนัก ตอนนี้คนที่กังวลที่สุดกลายเป็นลู่ยาไปแล้ว ถึงแม้พลังของเขาจะไร้ขอบเขต ทว่ากลับไม่มีความสามารถในการแสดงละคร ทำอย่างไรถึงจะปิดบังได้อย่างหมดจดต่อหน้ามู่จิ่ว?
บนเขาหลายวันนี้ เขาครุ่นคิดว่าทำอย่างไรถึงจะแสดงท่าทางของคนที่ไม่ได้เจอกันมานานได้ อีกทั้งเรื่องที่หลายวันมานี้เขาทำอะไรมาบ้างด้วย?
แม้การหลอกลวงผู้อื่นจะไม่ถูกต้อง แต่ในเมื่อหนีไม่พ้น เช่นนั้นก็ต้องแสดงให้แนบเนียนหน่อย
ส่วนทางด้านมู่จิ่ว เมื่อมาถึงกองก็มุ่งหน้าไปหาหลิวจวิ้นที่หน่วยลาดตระเวนทันที
ตามที่หลี่อี้และซ่างกวนสุ่นบอก เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ที่สำนักแรกพยับ ทหารสวรรค์จะไม่สนใจได้อย่างไร? แม้เจ้าทุกข์อย่างจีหมิ่นจวินจะตายแล้ว แต่ในเมื่อสวรรค์รับคดีมา และมู่จิ่วก็นำคนไปที่เกิดเหตุด้วย ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่อาจปล่อยไปได้ อีกทั้งเรื่องของหลีหังก็ทำให้ไท่ซ่างเหล่าจวินเสียหน้าไปมากแล้ว เมื่อรู้ว่าบนโลกยังมีศิษย์อย่างหลินเจี้ยนหรูอีก แน่นอนว่าจะปล่อยไปไม่ได้
ทัพทหารสวรรค์ถูกสวรรค์และวังโตวลวี่กดดันมาทั้งสองทาง ไม่อาจไม่รีบเร่งจัดการได้
ตอนนี้อันดับแรกคือต้องตามหาที่อยู่ของหลินเจี้ยนหรู จับเขาได้แล้วก็จะพูดง่ายขึ้น แต่หลิวจวิ้นรอมู่จิ่วมาทั้งเดือนไม่เห็นนางกลับมา จึงคิดจะเปลี่ยนคนทำหน้าที่ เมื่อวานได้ยินว่านางกลับมาแล้วถึงสบายใจขึ้นหน่อย
ครั้งนี้เขายังอยากให้นางจัดการคดีนี้ แต่ไม่ใช่เพราะหวังดีกับนาง แต่หนึ่งเป็นเพราะนางมีประสบการณ์ทำคดีนี้แล้ว สองเป็นเพราะว่าเบื้องหลังนางยังมีลู่ยาอยู่ เมื่อมีลู่ยาช่วยอยู่ข้างๆ ไม่ว่าอย่างไรหลินเจี้ยนหรูก็หนีไม่พ้น ในเมื่อเป็นแบบนี้ เขาจะลำบากเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ทำไม?
แน่นอน เขาต้องถามเรื่องที่เกิดขึ้นกับนางในหลายวันที่ผ่านมานี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
มู่จิ่วจำต้องเล่าเรื่องที่ถูกชายชุดเขียวลักพาตัวไปคลื่นจิตพสุธา หลิวจวิ้นแสดงอาการตกใจอย่างที่คิดไว้ คลื่นจิตพสุธาเป็นถึงสถานที่ต้องห้ามในหกภพ มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเข้าไปได้ ไม่ต้องพูดถึงมู่จิ่วที่มีเพียงพลังบำเพ็ญเล็กน้อยเท่านั้นเลย แต่เพราะเขาเคยได้ยินนางเล่าเรื่องชายชุดเขียวมาก่อนเช่นกัน กลั้นลมหายใจอยู่ครู่หนึ่งจึงรับทราบได้
“พูดเช่นนี้ ชายชุดเขียวคนนี้ก็เก่งกาจมาก”
“ไม่เพียงเท่านั้น”
มู่จิ่วเล่าเรื่องข่าวที่นางได้มาตอนไปสืบที่แรกพยับ รวมถึงเรื่องที่รู้อยู่ก่อนแล้วว่าหลินเจี้ยนหรูเป็นคนฆ่าหลินเซี่ยและจีหย่งฟาง ทั้งยังเล่าเรื่องที่หลินเจี้ยนหรูเจอมาตอนอยู่ในนรกมาอย่างหมดเปลือก แต่ก่อนแม้นางจะเคยเล่าเรื่องชายชุดเขียวให้เขาฟัง กลับยังไม่เคยเล่าละเอียดขนาดนี้ ตอนนี้ถึงปิดบังไปก็ไม่มีความหมายอะไร
“ชายชุดเขียวผู้นี้ขวางได้กระทั่งลู่ยา ทำให้ข้าตกใจยิ่งนัก ตอนนี้ไม่เพียงยืนยันได้ว่าเขาเกี่ยวข้องกับการกลายเป็นมารของหลินเจี้ยนหรู เกรงว่ามีเพียงเขาที่รู้ที่อยู่ของเฟยอี ข้าไม่รู้เลยว่าเขาคิดจะทำอะไร! เขาบอกว่าเขาจะช่วยให้หกวิญญาณผ่านด่านเคราะห์ แต่ทำไมต้องทำร้ายหลินเจี้ยนหรูด้วย?”
นางกุมหัวอย่างจนปัญญา
หลิวจวิ้นตกตะลึงไปหมดเพราะคำพูดของนาง!
เขาที่แต่ก่อนให้ตายก็ไม่ยอมรับนางเข้ามาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา แต่นางไม่เพียงมีฐานะเป็นคู่หมั้นของเทพบนสวรรค์อันสูงส่ง ทั้งยังไปอาศัยอยู่คลื่นจิตพสุธาที่กระทั่งเซียนชั้นสูงอย่างหลีหังยังยากจะต้านทานได้เป็นแรมเดือน และมีวาสนากับชายชุดเขียวที่เก่งกาจกว่าคู่หมั้นนาง แท้จริงแล้วนางมีที่มาอย่างไรกันแน่?…ใช่แล้ว! ในร่างนางยังมีพลังวิญญาณยิ่งใหญ่ที่สั่นสะเทือนไปทั้งคุนหลุนตะวันออกอีก!
“เจ้า เจ้ามั่นใจนะว่าเรื่องทั้งหมดที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง?”
มู่จิ่วเงยหน้าขึ้น เงียบไปนานก่อนเอ่ย “หลอกท่านแล้วจะทำให้ข้าขึ้นเป็นเซียนได้ทันทีหรือ?”
หลิวจวิ้นสะอึก
นางก็ไม่มีเหตุผลที่จะโกหกจริงๆ
อย่างน้อยที่สุดคู่หมั้นของนางคือลู่ยา เรื่องนี้เขาก็ประจักษ์มาด้วยตนเอง
ต้องใช้เวลาชั่วครึ่งถ้วยชาถึงจะทำให้ตนเองสงบลงได้ ก่อนเอ่ย “ตามที่เจ้าพูดมา ที่หลินเจี้ยนหรูเดินมาถึงจุดนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะชายชุดเขียว แต่หลินเจี้ยนหรูก็ไม่ได้เสียสติไป เขาทำอย่างไร เลือกเดินทางไหนตัวเขาเองจะไม่รู้เลยหรือ? จะโทษคนอื่นทั้งหมดได้อย่างไร?”
“แต่ถ้าไม่มีพลังของชายชุดเขียว อย่างน้อยเขาก็ไม่กลายเป็นเช่นนี้?” มู่จิ่วถอนหายใจ
นางก็รู้ว่าความผิดทั้งหมดไม่ใช่ของชายชุดเขียว แต่จะผลักภาระไปได้อย่างไร?
หากเขาไม่มอบพลังให้ หลินเจี้ยนหรูจะเปลี่ยนไปเกรี้ยวกราดเช่นนี้ได้อย่างไร?
…แต่เมื่อคิดอย่างละเอียดก็ยากจะบอกได้ว่าความแค้นของพวกเขาอยู่ตรงไหน ถึงแม้หลินเจี้ยนหรูจะไม่ได้ไปล้างบางสำนักแรกพยับ แรกพยับไม่ยอมรับหลินเจี้ยนหรู แต่หากต้องบอกว่ามีคนผิด ก็ควรจะเป็นแรกพยับมิใช่หรือ? ถ้าหลินเซี่ยไม่ปล่อยตัวปล่อยใจแต่แรก หากจีหมิ่นจวินไม่ใช่คนใจคอโหดร้าย บางทีเรื่องทั้งหมดอาจจะไม่เหมือนกัน
……………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น