ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 368-370
ตอนที่ 368 ฝ่าบาทจะเป็นยอดบุรุษ
วิญญาณทมิฬส่ายศีรษะ รู้สึกว่าสตรีผู้นี้ช่างหมดทางเยียวยาแล้ว
ช่างกลิ้งกลอกดีนัก!
ยามที่คนเขาอยู่ด้วย ก็ทำตัวห่างเหินผลักออกไปไกลกันพันลี้ พอคนไม่อยู่เท่านั้นล่ะ ก็ชักจะรู้สึกว่าคนเขาดีขึ้นมาเชียวหรือ?
ดังนั้นสตรีถึงได้เป็นสิ่งประหลาดที่แท้จริง คาดเดาความคิดไม่ถูกเลย
มันเองก็ขี้เกียจจะไปถกเถียงกับนางแล้ว มันยื่นมือสั้นๆ ไปซ้อนหลังท้ายทอย เริ่มกลับไปคิดถึงวันคืนในโลกเดิมที่จากมา
………………
เมืองหลวงแคว้นต้าเหยียน จิงหวาเฉิง
จวนอวี้สื่อฟู่
ค่ำคืนนี้ขุนนางอวี้สื่อเมืองจิงหวาจัดงานเลี้ยงรับรองฮ่องเต้ต้าโจวเป็นพิเศษ
นับตั้งแต่ที่ต้าโจวเริ่มเปิดสงครามโจมตีต้าเหยียนก็ได้รับชัยชนะมาโดยตลอด เพียงระยะเวลาสั้นแค่สองเดือนกว่าๆ ต้าเหยียนก็ต้องสูญเสียเมืองใหญ่น้อยไปมากมาย
เมืองจิงหวาเป็นเมืองใหญ่อันดับสามของต้าเหยียน มีประชากรอาศัยอยู่จำนวนมาก การค้าคึกคัก
อวี้สื่อผู้นี้เป็นคนฉลาด รู้ว่าแข็งข้อไปก็ไร้ประโยชน์ จึงได้ตัดสินใจเป็น ‘คนทรยศชาติ’ อย่างรวบรัดชัดเจนไปเลย
เขาไม่เพียงเชื้อเชิญจีเฉวียนเข้าเมืองมา ทั้งยังจัดสรรสตรีโฉมงามเอาไว้ข้างๆ
ใต้หล้านี้ใครๆ ต่างก็รู้ว่า ขอเพียงแค่เป็นบุรุษ ก็ไม่มีผู้ใดไม่ชอบหญิงงาม
อย่าว่าแต่สตรีที่เขาตระเตรียมเอาไว้ยังเป็นสตรีชั้นหนึ่งในหมู่หญิงงาม แต่ไหนเลยจะรู้ว่า ในงานเลี้ยงฮ่องเต้กลับมิได้ทรงเหลียวแลสตรีผู้นั้นเลยสักแวบเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นทันทีที่ผู้ติดตามของพระองค์นำจดหมายมาถวาย ก็ทรงยกเลิกงานเลี้ยงไปในทันที
นี่เป็นครั้งที่เจ็ดที่ฝ่าบาททรงได้รับจดหมายตอบจากตู๋กูซิงหลัน
กระดาษจดหมายเป็นกระดาษซวนเฉิงจื่อ [1] ที่เลื่องชื่อของต้าโจว พอเปิดออกมาก็ได้เห็นภาพวาดกระยึกกระยืออยู่บนนั้น
ตู๋กูจุนยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าสับสน ว่ากันตามจริงแล้ว นอกจากคำว่า ‘กราบทูลฮ่องเต้’ สี่คำแล้ว ที่เหลือก็เป็นภาพหยักๆ โค้งๆ ทั้งหมด เขาดูไม่ออกจริงๆ ว่าน้องเล็กกำลังเขียนอะไรอยู่
แต่กลับได้เห็นจีเฉวียนมีสีพระพักตร์ที่อ่อนโยนทั้งยังแย้มสรวลออกมา
“นางบอกว่าเนื้อหมูดำอร่อยมาก ถึงกับต้องกินข้าวสามชาม หิมะในเมืองหลวงหยุดแล้ว ขนาดต้นไม้ยังแทงยอดใหม่ นางสุขสบายดีทุกอย่าง”
ตู๋กูจุน “???”
เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นศีรษะเข้าไปมองดูภาพที่เลอะเทอะไปด้วยหมึกสีดำจนลายตาเหล่านั้น
เอ่อ มีรูปคนตัวเล็กๆ ที่หัวเหมือนไม้ขีดไฟ ถืออะไรกลมๆ สามอัน ข้างๆ มีรูปหัวหมู
จากนั้นก็มีรูปต้นไม้ บนกิ่งของต้นไม้เขียนอักษรคำว่ายอดเอาไว้
สุดท้ายเป็นรูปใบหน้ายิ้มกลมๆ
หากมองตามนี้ จากคำอธิบายของฮ่องเต้ก็ดูจะไม่มีอะไรผิดพลาด?
หากว่าเขาจดจำได้ไม่ผิดไปละก็ ก่อนหน้านี้น้องเล็กคือคนที่เขียนอักษรได้วิจิตรบรรจงอย่างที่สุดผู้หนึ่ง นางวาดรูปดอกมู่ตานขาวดำด้วยหมึกได้อย่างงดงามชนิดที่เหล่าอาจารย์ยังต้องเทิดทูน นี่คือผลสืบเนื่องจากการฆ่าตัวตายในครั้งนั้น ทำให้สูญเสียความทรงจำจนแม้แต่วิธีการเขียนอักษรและวาดรูปก็ยังเปลี่ยนไป?
ตู๋กูจุนเกิดความสงสัยขึ้นมา เขาสงสัยว่านี่จะต้องไม่ใช่น้องเล็กเขียนอย่างแน่นอน
เกรงว่าน้องเล็กคงขี้เกียจจะสนใจฮ่องเต้ ถึงได้มอบหมายให้เชียนเชียนเขียนแทน
ฮ่องเต้กลับทรงคิดต่างไปจากเขาอย่างสิ้นเชิง พระองค์แย้มสรวลตรัสว่า “ในใต้หล้านี้กลับมีสาวน้อยที่น่ารักอย่างซิงซิงอยู่ด้วยหรือ?
ตู๋กูจุน “น้องสาวของกระหม่อมย่อมไม่มีผู้ใดเทียบได้”
ที่ฮ่องเต้ตรัสนั้นเขาย่อมยินดีฟังอยู่แล้ว น้องเล็กเหมือนดั่งน้ำตาลก้อน หวานล้ำฉ่ำถึงหัวใจดั่งผลไม้เชื่อม
หลังจากนั้นฮ่องเต้ก็ทรงเก็บจดหมายเอาไว้ในสาบเสื้อฉลองพระองค์ พลางตบพระอุระเบาๆ “นางยังบอกด้วยว่าคิดถึงเรามากๆ”
ตู๋กูจุน “ข้อนั้นกระหม่อมมองไม่ออกเลย”
เขารู้สึกว่าน้องเล็กย่อมต้องคิดถึงเขาที่เป็นพี่ใหญ่มากกว่าเป็นแน่
“นางเขียนจดหมายให้เรา ก็ต้องเพราะคิดถึงเราอยู่แล้ว ไม่งั้นทำไมถึงไม่เห็นนางเขียนจดหมายให้เจ้าบ้าง?” ฮ่องเต้ทรงหันไปทำพระพักตร์ดูถูก จึงได้ทอดพระเนตรเห็นว่าตู๋กูจุนสีหน้าดำคล้ำจนจะเป็นก้นหม้อไหม้อยู่แล้ว
ฝ่าบาททรงตรัสอย่างประหลาดพระทัยว่า “ท่านแม่ทัพผู้พิชิตเป็นอะไรไปแล้ว? กำลังฝึกฝนวิชาใหม่วิชาหน้าดำขับไล่ศัตรูหรือ?”
ตู๋กูจุน “…..”
“ฝ่าบาท นี่เป็นของฝากที่น้องสาวส่งมาให้กระหม่อม แผ่นบำรุงผิวและความงาม”
ก่อนหน้านี้น้องเล็กเห็นว่าผิวของเขาหยาบกระด้าง จึงมอบสิ่งนี้มาให้เขามากมายหลายห่อ ตอนแรกเขายังรู้สึกเขินอายไม่กล้าใช้ แต่ว่าตอนนี้คุ้นเคยมากแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นพอใช้แล้วก็รู้สึกติดจนหยุดไม่ได้ หลังจากไปฆ่าคนมาเป็นต้องหยิบมาใช้แผ่นหนึ่ง ใช้แล้วก็รู้สึกว่าผิวหน้าสดชื่นเบาสบายไปหมด
ฮ่องเต้เหล่พระเนตรมองเขาอย่างลับๆ มิน่าเล่า….ก่อนหน้านี้ถึงได้รู้สึกว่าตู๋กูจุนมีอะไรแปลกๆ ไป
ออกศึกรบพุ่งอยู่ในสนามรบอยู่ทุกๆ วัน แต่ผิวพรรณก็ยังคงดีอยู่เลย ที่แท้ล้วนเป็นเพราะสิ่งที่ซิงซิงเหนื่อยยากลำบากทำขึ้นมา
“ฝ่าบาท น้องเล็กได้ส่งของมาถวายพระองค์บ้างหรือไม่พะยะค่ะ?” ตู๋กูจุนเสียบมีดลงไปโดยไม่ห่วงว่าใครจะเจ็บปวด สีพระพักตร์ที่เปลี่ยนเป็นดำคล้ำในทันควันนั้นได้บ่งบอกออกมาจนหมดแล้ว แววพระเนตรยังสื่อความว่าสมควรตายอีกด้วย
จีเฉวียน “เรารูปโฉมงดงามมาแต่กำเนิด ต่อให้เผชิญลมฝนก็ไม่มีผลแม้แต่น้อย ซิงซิงรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว จึงไม่ได้ส่งมาให้เรา”
ว่าแล้ว ฮ่องเต้ก็แทงดาบสวนกลับไปอีกครั้ง “ดูท่าแล้วในสายตาของนาง มีแต่คนที่น่าเกลียดถึงสมควรได้ใช้ เจ้าว่าใช่หรือไม่?”
ตู๋กูจุน “….” ดาบใหญ่ของเขาชักจะกระหายเลือดขึ้นมาแล้ว ให้ตายเถอะ
“ท่านแม่ทัพผู้พิชิต เจ้าอายุปูนนี้แล้วยังไม่มีศรีภรรยา นี่ยิ่งเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า เรื่องของใบหน้านั้น เจ้ามันใช้ไม่ได้”
ฮ่องเต้ทรงตบไหล่ของเขาเบาๆ “แต่ก็ไม่ต้องรีบร้อน ลองดูสิว่าในต้าเหยียนนี้มีสตรีที่น่าพึงพอใจหรือไม่ เราจะประทานให้เจ้าไปเป็นศรีภรรยา”
ตู๋กูจุนตั้งใจว่า พอกลับไปบ้านแล้วจะต้องให้น้องสาวอยู่ห่างฮ่องเต้สุนัขให้มากๆ!
ไอ้คนไม่ใช่คน!
โสดแล้วผิดตรงไหน? หลายปีมานี้เขาก็แค่ไม่อาจตัดใจจากจีฉุนได้ ก็เลยทำให้ไม่เปิดใจรับหญิงอื่นเท่านั้น
มิเช่นนั้นแล้ว ด้วยรูปโฉมและศักดิ์ฐานะของเขานั้น ป่านนี้คงจะมีหญิงสาวมากมายพากันไล่ตามมาแล้ว
กลางดึกคืนนั้น ในกระโจมแม่ทัพของตู๋กูจุนมีขโมยบุกเข้ามา
ของที่หายไปมิใช่แก้วแหวนเงินทองล้ำค่าอะไร ทั้งยังไม่ใช่อาวุธหรือแผนที่ทางทหาร แต่ว่ายาบำรุงผิวห่อใหญ่ที่น้องเล็กส่งมาให้เขากลับหายไปแล้ว?
แถมเขายังไม่อาจจับตัวเจ้าหัวขโมยนั้นได้ด้วย
ถึงแม้จะรู้ว่าเก้าในสิบจะต้องเป็นฮ่องเต้ทรงส่งคนมาขโมยอย่างแน่นอน แต่เพราะว่าไร้หลักฐาน จึงไม่อาจจะทำอย่างไรกับพระองค์ได้
ดังนั้นตลอดหลายวันหลังจากนั้น ท่านแม่ทัพผู้พิชิตจึงคอยจับตาดูฮ่องเต้อย่างเอาเป็นเอาตาย
ยามออกรบก็คอยจับตาดูอยู่ตลอด ยามพักผ่อนก็ไม่ว่างเว้น แม้แต่เวลาไปปลดทุกข์ก็คอยเฝ้าไว้
เขาจะดูสิว่า หากเฝ้าจับตาดูอยู่ตลอดเวลา พระองค์จะไปพอกหน้าได้อย่างไรกัน?
ขโมยมาได้แล้วอย่างไรกัน ก็ใช้ไม่ได้! ไง? เคืองไหมเล่า?
ฮ่องเต้กลับทรงรักษาความสงบนิ่งอยู่ตลอด ทำเสมือนว่าไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นทั้งนั้น
จนกระทั่งตู๋กูจุนชักจะเริ่มเกิดความสงสัยว่าตนเองคาดเดาอะไรผิดไปหรือไม่ …..ในที่สุดเขาก็ผ่อนคลายการจับสังเกตในตัวพระองค์ไปในที่สุด
ในยามดึกของคืนที่สายลมพัดแรงคืนหนึ่ง ฝ่าบาททรงพอกพระพักตร์ที่งดงามเป็นหนึ่งไม่มีสองด้วยโคลนดำจนเต็มใบหน้าอยู่ในกระโจมของพระองค์
ใบหน้าเย็นสบาย ได้กลิ่นของยาสมุนไพร ให้ความรู้สึกที่ชุ่มชื้นอย่างยิ่ง
ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรมองดูพระองค์เองในบานกระจกทองแดง เหลียวซ้ายแลขวา ตรงลำคอก็ดูแดงๆ อยู่บ้าง ทั้งยังหยาบเล็กน้อย
บุรุษที่ต้องออกมาทำศึกในสนามรบ จะอย่างไรเสียก็ต้องหยาบกร้าน
ยากนักที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องผิวไปได้ อย่างเช่นพระองค์ที่ช่วงนี้มักจะต้องอดหลับอดนอนข้ามคืนเพื่อทำศึก ทั้งยังต้องตากแดดอาบฝนอยู่เสมอ จนใบหน้าเกิดสิวเสี้ยนแล้ว
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าซิงซิง จะอย่างไรก็ไม่อาจให้พระพักตร์นี้ของพระองค์มีข้อตำหนิได้อย่างเด็จขาด
เมื่อเป็นเช่นนี้ฝ่าบาทจึงทรงเข้าบรรทมไปพร้อมๆ กับการพอกยาบำรุงผิว ทรงคิดว่าพอตื่นมาในวันที่สอง สิ่งวิเศษที่แปลกประหลาดนี้จะต้องทำให้พระองค์ฟื้นฟูผิวพรรณจนถึงขั้นเปล่งปลั่งอย่างที่สุดแน่นอน
เพราะว่าเจ้าสิ่งแปลกประหลาดนี้สามารถทำให้ตู๋กูจุนที่มีใบหน้าหยาบและสากราวกระดาษทรายเปลี่ยนเป็นเรียบเนียนขึ้นมาได้ สิวหลายเม็ดบนใบหน้าของเขา แค่คืนเดียวก็ควรกลับเป็นเรียบเนียนแล้ว
วันรุ่งขึ้น……
เมื่อเหล่าแม่ทัพทั้งหลายได้เห็นฝ่าบาทนั้น ต่างก็ต้องตาค้างไปตามๆ กัน
ตู๋กูจุนนั้นยิ่งถึงขั้นพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว
——
ไรท์ : ผลลัพธ์ของมันทำเอาไรท์ถึงขั้นคิดชื่อตอนเป็นภาษาไทยไม่ออกเลยทีเดียว ขอติดเอาไว้ก่อนแล้วกัน
กระดาษซวนเฉิงจื่อ: ไอเท็มสำคัญที่ปรากฏอยู่ในนิยายจีนหลายเรื่อง กระดาษชนิดนี้ได้ชื่อมาจากเมืองที่เป็นต้นกำเนิดในการผลิต (เมืองซวนเฉิง มณฑลอันฮุย) ถือเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกของเมืองซวนเฉิงมาแต่โบราณ ด้วยคุณสมบัติที่มีผิวละเอียด เนื้อกระดาษขาว อ่อนนุ่ม ไม่ขาดง่าย ไม่เปลี่ยนสี ดูดซึมหมึกได้ดี ไม่มีแมลงกัดแทะ (อยากจะร้องว่า ‘เพอร์เฟคโต้’ ด้วยสำเนียงอิตาลี) จึงเหมาะสมอย่างที่สุดที่จะใช้เขียนอักษรและวาดภาพ จนได้ชื่อว่าสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ (文房四宝)
——
[1] 宣城纸
ตอนที่ 369 ตัวบัดซบที่จ่ายยา
“ฝ่าบาท ช่วงนี้ได้ทรงเสวยอะไรที่ทำให้ร้อนในหรือไม่พะยะค่ะ…. นี่พระองค์….” หมอหลวงที่ติดตามกองทัพมามีสีหน้าเจ็บปวด
ฝ่าบาททรงพอกหน้าเอาไว้ข้ามคืน พอตื่นบรรทมในวันที่สองถึงได้ล้างออก
คราวนี้เป็นเรื่องแล้ว ทำเอาเกิดเม็ดสิวเกลื่อนทั่วพระพักตร์
คิดภาพนั้นออกไหมเล่า? ดวงพักตร์ที่เคยงดงาม…..ถึงกับมีสิวอยู่ทั่วใบหน้า
แต่ว่าฝ่าบาทก็ยังแสร้งทำเป็นวีรบุรุษประทับอยู่บนพระเก้าอี้อย่างขึงขัง “ใจเรามุ่งแต่จะยึดแคว้นเหยียนให้ได้ในเร็ววัน เกิดความกังวลมากไป จนร้อนในเข้าเสียแล้ว จะอย่างไรบุรุษที่เป็นผู้นำย่อมไม่กังวลเรื่องผิวพรรณบนใบหน้า”
“พวกเจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นห่วงมากไป”
ต่อให้ตีให้ตาย คนอย่างฝ่าบาทก็ไม่มีทางยอมรับหรอกว่าพระองค์ขโมยยาบำรุงของผู้อื่นมาพอกจนเกิดสิวทั่วใบหน้า
ตู๋กูจุนจับตามองดูพระองค์เสแสร้งอย่างเงียบงัน
เรื่องนี้ช่างมีสีสันเหลือเกิน เขาย่อมต้องส่งข่าวกลับไปบอกน้องเล็กอย่างแน่นอน ให้นางได้รู้ว่าฮ่องเต้นั้นคือตัวโง่งมอันดับหนึ่ง
ตู๋กูจุนต้องฝืนความต้องการจะหัวเราะออกไปอย่างบ้าคลั่งของตนเอง ในชั่วแวบเดียวเนื้อหาที่จะเขียนลงไปในจดหมายก็คิดออกหมดแล้ว
ฝ่าบาทไล่แม่ทัพทั้งหมดออกไป เหลือเพียงหมอหลวงที่ติดตามกองทัพเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
ตอนนี้หมอหลวงถึงกับตัวสั่นสะท้าน เขาคือหมอหลวงอันดับสองของสำนักหมอหลวง ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ค่อยถูกกับซุนเชวี่ยสักเท่าไหร่ ยามที่ซุนเชวี่ยถูกลดขั้นไปเป็นเด็กต้มยา จึงเคยหาเรื่องเขาเอาไว้ไม่น้อย
จบกันแล้ว ตอนนี้คนเขาอยู่ในขาขึ้น มีหรือจะไม่เอาคืน
ถึงได้ส่งเขามาเป็นหมอติดตามกองทัพ นี่ก็เท่ากับว่าต้องแขวนศีรษะเอาไว้ที่ข้างสะเอวอยู่ตลอดเวลา หากฝ่าบาทมิได้ทรงประชวรก็นับว่าแล้วไป แต่ถ้าเกิดทรงปวดพระเศียรร้อนรุ่มขึ้นมาเมื่อไหร่ เขาเป็นต้องเคร่งเครียดปางตาย
ตอนนี้ก็เป็นเรื่องแล้ว….อยู่ๆ ก็มีสิวขึ้นเต็มพระพักตร์
“ใบหน้าของเรา มีทางรักษาได้หรือไม่?” ฝ่าบาททรงรอจนแน่พระทัยแล้วว่าที่ด้านนอกไม่มีผู้คนแล้วจึงได้ตรัสถามออกมา
หมอหลวงเฉียนทูลตอบด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน “ขอฝ่าบาทประทานอนุญาตให้กระหม่อมได้ตรวจดูโดยละเอียด”
แต่ไหนแต่ไรจีเฉวียนไม่โปรดให้ผู้ใดมาสัมผัสแตะต้องพระองค์ แต่พอทรงคิดว่าหากต่อไปซิงซิงต้องมาเห็นพระพักตร์ที่เป็นเช่นนี้ เกรงว่ากระทั่งอาหารเย็นที่นางพึ่งจะกินเข้าไปก็คงจะต้องอาเจียนออกมา
เขาย่อมไม่อาจให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาด
ดังนั้นจึงอนุญาตให้หมอหลวงเฉียนสัมผัสพระวรกายได้
หลังจากการตรวจดู หมดหลวงเฉียนก็พบร่องรอยของยาพอกบางส่วนจากบนพระพักตร์
ตอนนี้เขาได้แต่แขวนศีรษะเอาไว้บนเส้นด้ายเสี่ยงตายทูลถามออกไปว่า “ฝ่าบาท พระองค์ได้ทรงทาสิ่งใดลงไปบนพระพักตร์บ้างหรือไม่พะยะค่ะ?”
จีเฉวียน “เราเกิดมาพร้อมกับรูปโฉมที่งดงาม ไม่จำเป็นจะต้องทายาบำรุงผิวอะไรทั้งนั้น”
หมอหลวงเฉียน “……….”
“ช่ะ ใช่ ใช่แล้วพะยะค่ะ ฝ่าบาททรงพระสิริโฉมแต่กำเนิด ไหนเลยจะต้องทาของบำรุงพวกนั้นกัน?” หมอหลวงเฉียนแทบจะร้องของชีวิตอยู่แล้ว
เขารีบกล่าวคล้อยตามจีเฉวียนไปว่า “จะต้องเป็นเพราะว่าไม่ทันระวังจึงบังเอิญไปสัมผัสโดยอะไรเข้า ขอทรงประทานอนุญาตให้กระหม่อมได้ศึกษาสิ่งเหล่านี้บ้าง กระหม่อมจะต้องคิดหาหนทางออกมาได้อย่างแน่นอน”
ฝ่าบาททรงพยักพระพักตร์อย่างไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
พอฝ่าบาทพยักพระพักตร์ให้ หมอหลวงเฉียนก็ค่อยพกความกล้าหาญไปขูดเอากากยาบนพระพักตร์ออกมา เพราะไม่ทันระมัดระวังจึงไปขูดโดนสิวเม็ดหนึ่งแตกเข้า
หมอหลวงเฉียนรู้สึกว่าศีรษะของตนเองคงจะต้องถูกกลบฝังไปเป็นเพื่อนกับสิวเม็ดหนึ่งแน่แล้ว!
เขาคุกเข่าลงไปบนพื้นดังตึ้ง ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน
“ฝ่าบาท กระ….กระหม่อม กระหม่อม…..ฮะ ฮือๆๆ …..”
“จะร้องทำไม ก็แค่สิวเม็ดหนึ่งแตก มิใช่ว่าเราจะตายเสียหน่อย ลุกขึ้นมาพูดเร็วๆ เข้า” ฝ่าบาทขมวดพระขนงแน่น “ขอแค่ให้ใบหน้านี้หายก่อนที่จะกลับไปเมืองหลวงก็พอ เจ้ายังมีเวลาอีกมาก”
หมอหลวงเฉียนไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย……
เขาคุกเข่าอยู่บนพื้นไม่กล้าลุกขึ้นมา ดูจากสถานการณ์เบื้องหน้าในตอนนี้ เมื่อมีฝ่าบาทเป็นผู้นำทัพ กองทัพนี้จึงมีแต่ชัยชนะโดยไร้พ่าย แคว้นต้าเหยียนจึงเป็นเหมือนกับแผ่นกระดาษที่อีกเพียงไม่นานก็คงจะฉีกขาดจนหมดสิ้นแล้ว
เวลาของเขายังจะเหลือมากมายที่ไหนกัน
ก็ไม่รู้ว่าเป็นตัวบัดซบตัวไหน ตอนที่จ่ายยาพอกนี้ถวายฝ่าบาท กลับไม่ได้กราบทูลให้ทรงทราบว่าต้องล้างออก ไม่อาจทิ้งเอาไว้บนพระพักตร์นานเกินไป?
แล้วก็ต้องล้างออกให้สะอาดในเวลาที่กำหนดด้วย!
ขึ้นชื่อว่าเป็นยาอย่างไรเสียก็มีพิษสามส่วน ต่อให้เป็นเพียงสิ่งที่พอกลงบนใบหน้า นั่นก็ยังเป็นยาอยู่ดี
“กระหม่อมจะพยายามสุดความสามารถ” หมอหลวงเฉียนเองก็ไม่กล้ารับประกัน ยานี่พอกเอาไว้นานเกินไป ฝ่าบาททรงแพ้พิษของมันเข้าแล้ว พิษซึมเข้าภายใน เพราะฉะนั้นถึงได้เกิดเป็นสิวทั่วใบหน้า
จำเป็นจะต้องมียาถอนจึงจะขับพิษออกไปได้มิใช่หรือ?
ประเด็นสำคัญก็คือตัวบัดซบที่ผสมยานี้ขึ้นมา ใช้ส่วนผสมของยาที่ยุ่งยากซับซ้อน….
ท้ายที่สุดหมอหลวงเฉียนได้แต่ใช้ข้ออ้างขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ค่อยปลีกตัวออกไปจากกระโจมของฝ่าบาทได้ ก่อนที่จะออกไป ห่อสีดำใบหนึ่งก็ตกลงมาอยู่เบื้องหน้าของเขา
แค่ได้กลิ่นก็รู้แล้วว่าจะต้องเป็นยาพอกนั่นอย่างแน่นอน
หมอหลวงเฉียนหยิบขึ้นมาด้วยอาการสั่นเทา จากนั้นก็รีบถอยออกไปโดยที่แม้แต่ลมก็ยังไม่กล้าผายสักครั้ง
ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรพระพักตร์ของตนเอง ในพระทัยก็เกิดความคิดอย่างเงียบงัน นี่คงไม่อาจให้ซิงซิงได้เห็นใบหน้านี้ไปจนชั่วชีวิตแล้ว
………………………..
ปีนี้ตู๋กูซิงหลันร่วมฉลองวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กับท่านปู่และพี่รอง
จดหมายของพี่ใหญ่มาถึงมือของท่านปู่แล้ว
ในจดหมายเน้นหนักถึงเรื่องที่ฮ่องเต้สุนัขโง่เขลาจนทำให้ตนเองมีสิวเต็มใบหน้า
ตู๋กูเจวี๋ยที่ปากเป็นพิษอยู่แล้ว ย่อมต้องหัวเราเยาะออกมาในทันที “อ้ายย่าห์ ข้าบอกแล้ว ฮ่องเต้คือคนโง่ใช่มั๊ยล่ะ? ฮ่า ฮ่า ฮา ฮา ….”
หลังจากนั้นก็หันไปจ้องตู๋กูซิงหลัน “น้องเล็ก บุรุษที่งี่เง่าเช่นนี้อย่าได้ไปคว้ามาอย่างเด็ดขาด เจ้าที่โดดเด่นถึงเพียงนี้ สมควรจะต้องครองคู่กับบุรุษดีงามที่ชาญฉลาดเท่านั้น”
ท่านผู้เฒ่า “ใช่แล้ว เจ้าโง่นั้นไม่เหมาะสมกับเจ้า”
ตู๋กูซิงหลัน “….” ไม่นะ ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าจีเฉวียนงี่เง่าอย่างน่ารักขึ้นมาได้?
จีเฉวียนจากไปเป็นเดือนที่สาม….คิดย้อนไปจากทุกเศษเสี้ยวความทรงจำยามที่เขาเคยอยู่ใกล้ ยิ่งทียิ่งรู้สึกว่าเขาช่างน่ารักมากขึ้นมากขึ้นแล้ว?
ตู๋กูซิงหลันเอาแต่เงียบงันไม่พูดไม่จา ถ่านไหมเงินภายในห้องร้อนปริออกจนส่งเสียงเปาะแปะ หมูเค็มที่จีเฉวียนให้หลงเซียวส่งมาหอมกรุ่นไปทั่วทั้งเรือน ครอบครัวอยู่พร้อมกันหน้าเตาผิง ช่างเป็นความสุขที่บ่งบอกไม่ถูก
อีกเพียงสองวัน ภรรยาของหัวหน้าเผ่าอาปู้ไซ้ก็จะมาถึงแล้ว
ขาที่บาดเจ็บมานานถึงครึ่งปีของตู๋กูซิงหลันในที่สุดก็มีความหวังที่จะรักษาหายแล้ว
กระดิ่งใบน้อยของเจียงชวี่ปิ้งนางก็ยังคงเก็บรักษาเอาไว้ เดิมทีกระดิ่งใบนั้นยังมีกลิ่นอายของกระแสจิตที่เข็มข้น แต่ว่ากลิ่นอายนั้นยิ่งทีก็ยิ่งเบาบางลงไปมากแล้ว
นี่มิใช่เท่ากับบ่งบอกว่า เจียงชวี่ปิ้งเกิดปัญหาหรอกหรือ?
ช่วงหลายวันนี้ นางเองก็มิได้อยู่ในวังอย่างเปล่าประโยชน์
มือสีดำของคนที่ทำร้ายนางยามที่อยู่ในช่องว่างกาลเวลานั้น นางเองก็มีคนที่สงสัยอยู่
ช่วงที่ผ่านมานี้ นางเองก็พยายามสืบหาอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด
แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับเก็บตัวเงียบ ไม่กระทำสิ่งใดทั้งสิ้น ทั้งยังจงใจหลีกหนีการพบหน้ากับนาง
หลายครั้งที่เห็นกันอย่างห่างๆ เขาก็อ้อมหลบไป
ตู๋กูซิงหลันก็มิได้แหวกหญ้าให้งูตื่น
วันนี้เป็นวันสิ้นปีจึงได้วางเรื่องนั้นเอาไว้ชั่วคราว อยู่ร่วมกับคนในครอบครัวอย่างสงบสุข
พอตกดึก ทิศที่เป็นที่ตั้งของวังหลวงก็มีการจุดพลุ
แสงพลุระเบิดออกในคืนที่มืดมิดดุจน้ำหมึก ช่างงดงามอย่างที่สุด
ตู๋กูซิงหลันอดไม่ได้ที่จะคิดย้อนกลับไปถึงเมื่อปีที่แล้ว…. ตอนนั้นคล้ายกับว่านางจะดื่มมากไปหน่อย ไปหยอกเย้าจีเฉวียนต่อหน้าผู้คน?
พอไม่ทันคิดเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แค่เพียงแวบเดียวก็ครบปีแล้ว
ปีนี้ที่แคว้นต้าเหยียนคงจะไม่มีการจุดพลุอย่างแน่นอน จีเฉวียนจะได้เสวยอาหารข้ามปีร้อนๆ บ้างหรือไม่นะ?
ไม่รู้ว่าทำไม ช่วงนี้ตู๋กูซิงหลันถึงได้รู้สึกว่าคิดถึงจีเฉวียนบ่อยครั้งขึ้นมาเรื่อยๆ อาการเจ็บหัวใจก็หนักขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมสมองถึงได้หยุดคิดไม่ได้เลย
พอคิดถึงขึ้นมาก็รู้สึกว่าหวานล้ำอยู่ไม่น้อย ถึงแม้ว่าเขาจะโอหังลำพองและโง่งมอยู่บ้างก็ตาม
แต่ยิ่งรู้สึกถึงความหอมหวาน หัวใจก็ยิ่งเจ็บปวดรุนแรงมากขึ้นทุกที
——
การโต้รุ่งในวันส่งท้ายปีเก่า (จีน) : (守岁过年) shǒu suì guò niá: กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของประเพณีในวันสิ้นปี ที่คนในครอบครัวจะมาอยู่ร่วมกันเพื่อกินอาหารมื้อใหญ่พร้อมหน้า (年夜饭) หลังรับประทานอาหารแล้ว ทุกคนจะไม่หลับไม่นอน แต่จะนั่งพูดคุยกินน้ำชาน้ำหวานและของขบเคี้ยวกันง่วงไปจนกว่าจะพ้นเที่ยงคืน นัยว่าป้องกันไม่ให้สิ่งอัปมงคลมาเข้าฝันยามหลับ และเป็นการคอยต้อนรับเทพเจ้าแห่งโชคลาภที่จะมาในวันปีใหม่
ส่วนอาหารมื้อใหญ่ที่ทั้งครอบครัวรับประทานพร้อมหน้า (年夜饭) ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นอาหารที่มีชื่อเป็นมงคลต่างๆ เช่น จี’ (鸡 ไก่) และ ‘อวี๋’ (鱼 ปลา) แทนความหมาย ‘จี๋เสียงหยูอวี้ (吉祥如意 เป็นสิริมงคลสมดังปรารถนา) ’ และ ‘เหนียนเหนียนโหยว่อวี๋ (年年有余 มีเงินทองเหลือใช้ทุกปี) ’ ถ้าเป็นคนทางภาคเหนือก็จะต้องกิน เจี่ยวจือ (饺子เกี๊ยว) ที่ห่อเอง เพราะแป้งเกี้ยวเป็นสัญลักษณ์ของการผนึกหรือเชื่อมโยง รูปทรงเป็นรูปเงินโบราณ สามารถใส่ไส้ที่เป็นชื่อมงคลต่างๆ กินแล้วจะรับทรัพย์ ถ้าเป็นคนทางใต้ก็จะกินลูกชิ้นกลมๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์บริบูรณ์พูนสุข นอกจากนี้แล้วก็มีทั้งเมนูถั่ว งา ผักสด ขนมหวานต่างๆ เรียกว่าอิ่มกันข้ามวันข้ามคืนเลยทีเดียว
ตอนที่ 370 ผีดิบ
ซุนย่วนซื่ออธิบายให้นางฟังอย่างละเอียดว่าเป็นความต้านทานต่อความใกล้ชิดผิดปกติแต่กำเนิด
นางเองได้เปิดหูเปิดตาแล้ว กลับมีโรคเช่นนี้อยู่ด้วย
จากคำพูดของซุนย่วนซื่อ คนที่มีอาการป่วยเช่นนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเพราะว่าเคยผ่านประสบการณ์ที่หนักหนาในเรื่องความรู้สึกมาก่อน เมื่อไม่อาจคลี่คลายความเจ็บปวดในจิตใจได้ ร่างกายจึงเกิดปฏิกริยาปกป้องตนเองอย่างสูงขึ้นมาแทน
ตู๋กูซิงหลันลองคิดๆ ดู ดูเหมือนว่าตนเองไม่เคยมีความรักสักหน่อยนี่?
แล้วจะไปบาดเจ็บมาจากไหนกัน?
ดังนั้นคำพูดนี้ของซุนย่วนซื่อจึงไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไร เขาเป็นหมอรักษาร่างกาย อยู่ๆ จะเปลี่ยนเป็นหมอจิตเวทได้อย่างไร?
“ไทเฮาไม่จำเป็นต้องกังวลพระทัยมากไป หากว่าใต้หล้านี้สามารถเจอคนที่รักท่านมากกว่าตัวของเขาเอง และยินดีอุทิศชีวิตของตนเองให้กับท่าน ไม่แน่ว่าอาการนี้ของท่านก็อาจจะหายขาดได้”
เรื่องการพูดไปเรื่อยเปื่อย ดูท่าซุนย่วนซื่อจะได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากฮ่องเต้จนหมดสิ้น
ต่อมาตู๋กูซิงหลันก็ไม่ได้สนใจว่าอาการเจ็บหัวใจนี้จะเป็นเรื่องสำคัญอะไรอีก
อยากเจ็บก็เจ็บไป แยกสมองกับหัวใจออกจากกันก็สิ้นเรื่อง
……………..
แคว้นต้าเหยียน ยามนี้มีดาราสุกสกาวเต็มท้องฟ้า
จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูดาวเกลื่อนฟ้า สายพระเนตรก็เปลี่ยนเป็นนุ่มนวล
การกำราบแคว้นเหยียนล้วนเป็นไปโดยราบรื่น….คาดว่าอีกไม่ถึงสองเดือนเขาก็คงจะสามารถกลับไปได้แล้ว
เขาวาดแผนการอยู่ใจ
ทันใดนั้นก็ทรงได้ยินเสียงร้องโหยหวนมาจากกระโจมในค่าย
เสียงโหยหวนนั้นทำลายความสงบสุขทั้งหมดในค่ำคืนนี้ไปจนสิ้น
ตู๋กูจุนมาถึงข้างกายพระองค์เป็นคนแรก …..ในอากาศมีกลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ที่ด้านหลังยังมีเสียงกรีดร้องตะโกนอย่างน่าหวาดผวาออกมาอีก ทั้งยังรุนแรงอย่างโหยหวนกว่าเดิม
เหล่าแม่ทัพทั้งหมดต่างพากันมาเข้าเฝ้าที่เบื้องหน้ากระโจมของฝ่าบาท แต่ละคนมีสีหน้าหนักอึ้งและตื่นตัว
“ตรวจสอบให้ชัดเจน เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” สีพระพักตร์ของฝ่าบาทเย็นชาและสงบนิ่ง
ทันทีที่ตรัสจบ ก็เห็นทหารนายหนึ่งพุ่งเข้ามาพร้อมกับเลือดท่วมตัว ใบหน้าของเขาถูกกัดไปกว่าครึ่ง ลำคอเหวอะหวะเนื้อขาดหายไป
เขากุมลำคอของตนเองเอาไว้อย่างแน่นหนา สูดลมหายใจทูลด้วยความหวาดผวาว่า “ฝ่าบาท…..ฝ่าบาท…..มีศพคืนชีพ!”
พูดแล้ว ก็เห็นนายทหารผู้นั้นล้มลงไปบนพื้น คนเริ่มบิดเบี้ยวไปทั้งร่าง เพียงแค่ครู่เดียว เขาประคองร่างที่บิดเบี้ยวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ดวงตาทั้งสองแปรเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า
เล็บที่แหลมคมของเขางอกยาวออกมา
ข้างกายของเขามีแม่ทัพผู้หนึ่งที่ไม่ทันได้ระวังตัว ถูกนายทหารผู้นั้นคว้าข้อเท้าเอาไว้ กัดกินอย่างคลุ้มคลั่งขึ้นมา
ถึงแม้ว่าปฏิกริยาของแม่ทัพผู้นั้นจะรวดเร็ว แต่ก็ยังถูกเขากัดกินเนื้อไปแล้วคำใหญ่
แม่ทัพผู้นั้นได้รับความเจ็บปวด ส่งเสียงร้องออกมา ก็สะบัดเท้าออกไปเตะนายทหารผู้นั้นกระเด็นออกไปไกลหลายสิบเมตร
“แม่งเอ้ย เล่นบ้าอะไร กัดคนได้เจ็บโคตร” แม่ทัพผู้นั้นมองดูข้อเท้าของตนเองที่ถูกกัดเนื้อออกไปคำโต เจ็บแผลนั้นก็แล้วไปเถอะ ที่สำคัญก็คือเจ็บใจเกินทน เขาสงสัยว่านั่นจะเป็นไส้ศึกที่ศัตรูส่งเข้ามา
เนื่องเพราะถึงแม้คนผู้นั้นจะเป็นบุรุษหนุ่มที่แข็งแรงบึกบึนผู้หนึ่ง แต่ถูกเขาถีบออกไปเช่นนี้ ต่อให้ไม่ตายก็ต้องเหลือชีวิตเพียงครึ่งเดียว
แต่นายทหารผู้นั้นกลับลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง ด้วยร่างกายที่บิดเบี้ยวไปทั้งร่าง
ที่ด้านหลังของเขา ก็ปรากฏเหล่าทหารที่มีร่างกายบิดเบี้ยวเหมือนกับเขาขึ้นมามากมาย…..
พวกเขากางเล็บแยกเขี้ยว พุ่งเข้ามาอย่างคลุ้มคลั่งโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
ทั้งหมดบุกเข้ามาเป็นจำนวนมาก ด้วยความรวดเร็ว!
“คุ้มครองฝ่าบาท!” เหล่าแม่ทัพและนายทหารต่างก็มิได้หวั่นเกรง แยกย้ายกันถือโล่ คุ้มครองจีเฉวียนเอาไว้ด้านหลัง
ตู๋กูจุนยืนอยู่ข้างกายจีเฉวียน สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นย่ำแย่อย่างที่สุด
ในสมองของเขาเกิดภาพที่เขาฆ่าราชบุตรเขยกับมือซ้อนทับขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำอีก
ศึกที่ริวกิวตอนนั้น ตระกูลตู๋กูต้องสูญเสียกองทัพไปนับหมื่น!
นี่เป็นเงามืดในใจที่เขาไม่อาจลืมได้ลงไปชั่วชีวิต
ยามนี้พอเห็นพวกมันพากันบุกเข้ามา ดาบใหญ่ของเขาก็โบยบินออกไปในทันที
“ฝ่าบาท พวกเราเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายเข้าแล้ว” ตู๋กูจุนกลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา “แคว้นเหยียนตระเตรียมจะใช้วิธีมัจฉาตายตาข่ายขาด [1] ”
จีเฉวียนหรี่พระเนตรลง ด้วยสถานการณ์เบื้องหน้านี้ ต่อให้ตู๋กูจุนไม่ได้บอกอะไร พระองค์ก็พอจะเดาได้
การศึกที่เมืองริวกิว ในตอนนั้น พระองค์ก็ทรงทราบความเป็นไปอย่างถ่องแท้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะต้องมาเจอกับสถานการณ์เช่นเดียวกันในแคว้นต้าเหยียน
“กองทัพของแคว้นเหยียนในยามนี้ไม่อาจต้านทานการบุกของพวกเราได้ ถึงได้ใช้ฝีมือต่ำช้าเช่นนี้ออกมา” ดวงตาของตู๋กูจุนปรากฏเส้นเลือดสีแดงกระจายขึ้นมา
เป็นศพคืนชีพนั่นก็แล้วไปเถอะ ตัวประหลาดพวกนั้นจะอย่างไรก็ยังมีความคิดเป็นของตนเอง ยังพอจะควบคุมได้
แต่ที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ก็คือผีดิบ!
พวกมันปราศจากชีวิตและจิตใจ ทันทีที่ติดพิษแห่งความตายจากศพเหล่านี้ ก็จะกลายเป็นผีดิบไปในทันที
หนึ่งแพร่ไปสิบ สิบกลายเป็นร้อย ร้อยกลายเป็นพัน เป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นอย่างที่สุด
พวกมันไม่มีความรู้สึกนึกคิดใดๆ ทั้งสิ้น รู้จักแต่กัดคน กินคน ถึงแม้เป็นเพียงชาวบ้านทั่วไปก็ไม่ละเว้น
ตอนนั้นเขาต้องสูญเสียกองทัพตระกูลตู๋กูไป….เรียกว่าเกือบจะสิ้นกองทัพไปภายใต้พิษชนิดนี้
เขาคิดไม่ถึงว่าราชวงศ์ต้าเหยียน จะยอมเปลี่ยนแคว้นต้าเหยียนทั้งหมดเป็นนรก เพียงเพื่อลากพวกเขาลงไปด้วย
ตู๋กูจุนพึ่งพูดขาดคำ ก็เห็นว่าแม่ทัพที่เมื่อครู่ถูกกัดมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไป หันไปตะครุบคนข้างตัวมากัดกินอย่างคลุ้มคลั่ง
ทันใดนั้น ทั่วทั้งกองทัพก็ตกอยู่ในความอลหม่าน
สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน ผู้คนจำนวนมากตั้งตัวไม่ทัน พิษแห่งความตายแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ไม่ถึงครึ่งคืน กว่าครึ่งหนึ่งของกองทัพก็ติดเชื้อกันไปหมดแล้ว
เหล่าทหารที่ติดเชื้อพากันบุกเข้าไปในเมืองจิงหวา พอพบเห็นผู้คนก็บุกเข้าไปกัดกินอย่างคลุ้มคลั่ง
เพียงแค่เวลาสั้นๆ คืนเดียว เมืองจิงหวาที่ใหญ่เป็นอันดับสามของแคว้นเหยียนก็กลายเป็นขุมนรกบนดิน
ความสิ้นหวังปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง
กองทัพต้าโจวที่หลงเหลือเพียงครึ่งเดียว ถอนกำลังออกจากเมืองจิงหวาอย่างรวดเร็ว
น่าเสียดายว่าในกองกำลังของกองทัพที่ถอนออกมานั้นก็มีคนที่ถูกกัดอยู่ด้วย พิษนี้จึงไม่จบสิ้น เกิดการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วขึ้นอีก
“ขอฝ่าบาททรงมีพระบัญชา ให้เผาเหล่าผู้ที่ติดเชื้อทิ้งให้หมด” ตู๋กูจุนคือแม่ทัพใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์จากศึกเมืองริวกิวมาแล้ว ตอนนั้นเขาก็ใช้วิธีเผาเหล่าผู้ติดเชื้อทั้งหมดในครั้งเดียว…..จึงสามารถรักษาขุมกำลังสุดท้ายเอาไว้ได้
ฮ่องเต้มิทรงแสดงสีพระพักตร์ใดๆ ใครเลยจะคิดว่าเมืองจิงหวาที่เมื่อวานยังคงรุ่งเรืองอยู่แท้ๆ จะแปรเปลี่ยนเป็นนรกไปในคืนเดียว
ตอนที่พวกเขาถอยทัพออกมานั้นก็ได้ปิดประตูเมืองเอาไว้ด้วย ผีดิบเหล่านั้นจึงออกมาไม่ได้
บนกำแพงเมืองมีทหารที่กลายเป็นผีดิบอยู่มากมาย ล้วนเป็นเหล่าทหารที่พวกเขานำพามาจากเมืองหลวง
จีเฉวียนกำหมัดแนบแน่น สายพระเนตรทอประกายสังหารออกมาอย่างลึกล้ำ
พระองค์ทรงนำพวกเขามา แต่ว่ากลับไม่อาจพากลับไป…..พวกเขาล้วนเป็นสามี เป็นบุตร เป็นที่พึ่งหลักของครอบครัว
เพื่อเส้นทางการเป็นจักรพรรดิของเขา ทั้งหมดล้วนต้องเสียสละอยู่ที่นี่
“ขอฝ่าบาททรงมีพระบัญชาโดยเร็ว!” ตู๋กูจุนกวาดดาบยักษ์ในมือ ตวัดเข้าใส่เหล่าคนที่ติดเชื้อไปแล้ว
เขาเข้าใจความรู้สึกในพระทัยของจีเฉวียนเป็นอย่างดี ตอนนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นกับกองทัพตระกูลตู๋กู…..เขาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
ต่างก็เป็นเหล่าพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน …… แล้วจะให้ลงมือไปได้อย่างไร?
“หากฝ่าบาทยังทรงลังเล ก็จะต้องมีคนตายอีกจำนวนมาก” ตู๋กูจุนแทบจะอยากออกคำสั่งแทนเขาอยู่แล้ว
พอหันหน้ากลับไปก็เห็นว่ามีกองทัพผีดิบพุ่งเข้ามาหาจีเฉวียน
…………………….
[1] 鱼死网破: ต่อสู้กันจนบาดเจ็บล้มตายทั้งสองฝ่าย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น