กระบี่จงมา 367.2-368.3

 บทที่ 367.2 วิญญาณกระบี่ขึ้นเหนือ จั่...

 

วินาทีนั้น แม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ไหลผ่านทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปใต้หล้าไพศาลกลับคืนมาเป็นปกติ ไหลกรูเข้าหานครมังกรเฒ่าจากสี่ด้านแปดทิศ


เพียงแต่ว่านอกจากเซียนดินในสายตาคนบนโลกอย่างก่อกำเนิดและโอสถทองแล้ว คนทั่วไปไม่อาจสัมผัสได้ถึงความมหัศจรรย์นี้เลย


ครู่หนึ่งต่อมา ในที่สุดเหล่าคนฉลาดของนครมังกรเฒ่าก็ตระหนักได้ถึงความแปลกประหลาดของเรื่องราว


เฉินผิงอันหายตัวไปยังนับว่าปกติ เดิมทีเขาก็ถูกเรือกลืนกระบี่เล่มนั้นทะลุหน้าท้องแล้วหายไปจากการมองเห็นอยู่แล้ว ทว่าตู้เม่าก็หายไปด้วย รวมถึงเจิ้งต้าเฟิงผู้นั้นก็ไม่อยู่แล้ว นี่ค่อนข้างจะเข้าใจได้ยากแล้ว


แล้วนับประสาอะไรกับที่ทางฝั่งของพวกเขาที่ชมศึกอยู่ไกลๆ ก็มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเช่นกัน


ยกตัวอย่างเช่นคนของตระกูลฝูตึงเครียดกันมากที่สุด นอกจาก ‘บุคคลอันดับหนึ่งแห่งใบถงทวีป’ ในสายตาของคนแจกันสมบัติทวีปแล้ว หมัวมัวผู้อบรมมารยาทที่ไร้ศัตรูทัดเทียมที่สุดในนครมังกรเฒ่าก็ล้มลงกับพื้น อีกทั้งยังหมดสติ เลือดสดไหลนองท่วมตัว


เห็นได้ชัดว่าตกอยู่ในสภาพน่าหวาดกลัวที่รากฐานมหามรรคาได้รับความเสียหาย


ฝูฉีทะยานลงจากแท่นมังกรมาถึงที่แห่งนี้ในเสี้ยววินาที เขาทรุดตัวลงนั่งยอง สีหน้าเขียวคล้ำ คิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ รู้สึกแค้นเคืองฟ่านจวิ้นเม่าผู้นั้นอยู่บ้าง หากไม่เป็นเพราะนาง วันนี้ตนก็ไม่มีทางถูกปิดหูปิดตา ต้องสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ภายในปรากฎการณ์ประหลาดก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน หลังจากตรวจสอบสภาพร่างกายของหญิงชราสกุลเจียงอวิ๋นหลินผู้นี้แล้ว เขาก็ยิ่งอกสั่นขวัญผวา กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถูกทำลายไปแล้ว? แต่ฝูฉีกลับไม่ได้เปิดเผยความลับสวรรค์นี้ออกมา เพียงเอ่ยเสียงเรียบว่า “บาดเจ็บเล็กน้อย พวกเรารีบกลับไปที่จวนก่อนค่อยว่ากัน”


ฝูหนันหัวมองไปทางกำแพงเมืองที่ไม่มีเงาร่างของเฉินผิงอันแล้ว นี่ไปตายอยู่มุมใดมุมหนึ่งของเมืองชั้นนอก หรือว่า…?


ฝูตงไห่และฝูชุนฉวาสบตากันอีกครั้ง


ได้เห็นหมัวมัวผู้อบรมมารยาทจอมยโสโอหังผู้นี้ ‘ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย’ กับตาตัวเอง สำหรับพวกเขาสองคนที่ยังไม่ถอดใจกับเก้าอี้ตำแหน่งเจ้าเมืองแล้ว นี่คือข่าวดีที่ไม่เล็กเลย


ฝูหนันหัวถามเบาๆ ว่า “หลังจากนี้?”


ฝูฉีส่ายหน้า “ไม่ต้องสนใจแล้ว มีความหมายไม่มาก ตอนนี้กลับไปทำความเข้าใจให้รู้แน่ชัดก่อนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดตู้เม่าถึงหายไป ไม่ไปทางประตูตะวันออก เข้าเมืองทางประตูทิศใต้แทน”


ตระกูลฝูในฐานะผู้ครอบครองอันดับหนึ่งอย่างสมศักดิ์ศรีของนครมังกรเฒ่าในทุกวันนี้ อีกทั้งยังคิดจะรวบรวมนครมังกรเฒ่าให้เป็นปึกแผ่น กลับเลือกที่จะให้รถม้าขับอ้อมไปเข้าเมืองทางประตูทิศใต้แทน


คนที่อึ้งตะลึงมากที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นตู้เหยี่ยนที่ยังยืนอยู่บนกำแพงเมือง ลูกหลานสายตรงของตู้เม่าขอบเขตบินทะยานผู้นี้ขยี้ตา ท่านบรรพจารย์ล่ะ? เขาหายไปไหนแล้ว?!


ติงซื่อภรรยาของเขามีพรสวรรค์ในการฝึกตนธรรมดา แต่เวลานี้กลับสุขุมเยือกเย็นกว่าตู้เหยี่ยนที่เป็นขอบเขตโอสถทองขั้นสมบูรณ์แบบ “อยู่ในใบถงทวีป ท่านบรรพบุรุษก็ยังทำทุกอย่างได้ตามใจปรารถนา แล้วนับประสาอะไรกับอยู่ในแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ แห่งหนึ่ง?”


ตู้เหยี่ยนพยักหน้ารับ จับมือของนางเอาไว้ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นข้าที่เสียกิริยาไปเอง เมื่อเรื่องในครั้งนี้สำเร็จ สำนักใบถงของข้าจะใช้นครมังกรเฒ่าเป็นกระดานกระโดด หว่านแหไปทางเหนือตลอดทาง รวบรวมสำนักตระกูลเซียนใหญ่ๆ มาเป็นพรรคพวก คนที่ปฏิบัติตามสำนักใบถงของข้ารุ่งเรือง คนที่ขัดขืนดับสิ้น ถึงเวลานั้นข้าจะต้องรับผิดชอบเส้นทางสายหนึ่งในนั้น ส่วนเจ้าก็เป็นเจ้าประมุขตระกูลติงของเจ้าไป วันหน้านครมังกรเฒ่าจะมีแค่สองแซ่ใหญ่อย่างฝูและติงเท่านั้น”


สตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นคลี่ยิ้มหวาน


สามสกุลใหญ่อย่างติงฟางโหวต่างก็ส่งข้ารับใช้ของตัวเองไปดักสังหารพวกเจิ้งต้าเฟิงที่นอกนครมังกรเฒ่า


นี่คือแผนการของตระกูลฝูที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน อันที่จริงพวกเขารู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง เดิมทีไม่ควรใช้แผนการที่ฉุกละหุกและเปิดเปลือยโล่งโจ้งเช่นนี้ ควรจะจัดกำลังคนไว้นอกเมืองหนึ่งกลุ่ม เมืองชั้นนอกหนึ่งกลุ่ม เมืองชั้นในหนึ่งกลุ่ม คนทั้งสามกลุ่มก็จะลงมือได้อย่าง ‘เหมาะสมกับสถานะ’ ของตัวเองมากขึ้น ทำให้คนอื่นจับจุดอ่อนไม่ได้ ไม่ใช่ใช้วิธีการต่ำช้าที่แทบไม่ต่างจากอันธพาลต่อยตีกันข้างถนนเช่นนี้ เพียงแต่ว่าในเมื่อตระกูลฝูไม่คิดจะรักษาหน้าตาของตัวเอง ก่อนหน้านี้พวกเขาสี่แซ่ใหญ่จับมือเป็นพันธมิตรกัน ทว่าหลังจากที่ซุนเจียซู่แห่งตระกูลซุนและตู้เหยี่ยนจากตระกูลติงต่างพากันหันหัวหอกเข้าหาตระกูลฝู เมื่อได้รับคำสั่งสังหารจากตระกูลฝู พวกเขาจะมีเงินทุนและความมั่นใจให้ต่อรองได้อย่างไร วันหน้ากลายเป็นผู้พึ่งพาตระกูลฝู กินอาหารเหลือเดนในปากของตระกูลฝูก็ยังดีกว่าถูกถอนรากถอนโคนเสียตั้งแต่คืนนี้


ในกลุ่มคนของสามตระกูล ลูกหลานแซ่ฟางผู้นั้นไม่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ใจยังพะวงถึงงานเลี้ยงฉลองใหญ่ที่จะจัดขึ้นคืนนี้ ถึงเวลานั้นก็ให้พวกหญิงสาวที่เคยทำงานในร้านยาฮุยเฉินเผยโฉมหน้าทั้งหมด ใครดื่มเหล้าหนึ่งจอกก็สามารถสั่งให้พวกนางถอดเสื้อผ้าออกได้หนึ่งชิ้น!


หลังจากผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจของสามแซ่ใหญ่ปรึกษากันเรียบร้อยก็ตัดสินใจว่าจะติดตามตระกูลฝูไปทางกำแพงเมืองทิศใต้ ส่วนเหล่าข้ารับใช้ผู้ถวายงานที่รับผิดชอบการเข่นฆ่าสังหารอยู่ทางด้านหลังยังไม่ต้องไปสนใจ หลังจากเด็ดหัวศัตรูได้แล้วก็คงไปรวมตัวกับพวกเขาในเมืองเอง


บนทะเลเมฆ ฟ่านจวิ้นเม่าฟื้นคืนสติขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ขอบเขตถดถอยมาอยู่ที่โอสถทองแล้วจริงๆ


แต่นางกลับไม่รู้สึกเคียดแค้นเลยแม้แต่น้อย หลังจากหัวเราะเสียงดังอย่างสาแก่ใจก็ชำเลืองตามองไปยังเส้นทางที่มุ่งไปยังแท่นมังกรซึ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าของตัวเอง ที่นั่นยังมีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นอย่างประปราย นางขมวดคิ้ว ยื่นมือมากดหัวใจ มืออีกข้างหนึ่งใช้สองนิ้วชี้ๆ จิ้มๆ ลงไปเบื้องล่าง


ท่ามกลางทะเลเมฆ เสาลำแสงหลายต้นพากันร่วงดิ่งลงไปเบื้องล่าง


เนื่องจากใช้โชคชะตาอันเป็นรากฐานของทะเลเมฆ การลงมือของฟ่านจวิ้นเม่าจึงมีพลังอำนาจที่ไม่เป็นรองก่อกำเนิดทั่วไป


เหล่าข้ารับใช้ผู้ถวายงานที่เหลืออยู่ห้าหกคน เดิมทีก็บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว เวลานี้ยังถูกลำแสงแทงทะลุหัวอีก


สารถีตระกูลฟ่านที่ทำหน้าที่เป็นนักรบเดนตายคือคนสุดท้ายที่เหลืออยู่


สี่คนที่ลงจากรถม้า สุดท้ายผู้ที่เดินขึ้นรถมีเพียงหลูป๋ายเซี่ยงที่ร่างอาบไปด้วยเลือดและเว่ยเซี่ยนที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน บาดเจ็บน้อยที่สุด


ส่วนจูเหลี่ยนคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ ตายไปแล้ว


สุยโย่วเปียนก็ยิ่งรบจนตัวตาย


หลูป๋ายเซี่ยงเก็บกระบี่ชือซินเล่มนั้นมา ไม่ลืมใช้กระบี่แทงไปที่หัวใจของศพเหล่านั้นก่อนจะขึ้นไปบนรถม้า


ในนครมังกรเฒ่า ผู้ฝึกตนใหญ่ที่ก่อนหน้านั้นสามารถปล่อยจิตหยินออกมาเดินทางท่ามกลางกาลเวลาที่หยุดนิ่ง ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยที่แต่งตัวเหมือนพวกเศรษฐี เวลานี้ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง กุมท้องงอตัวหัวเราะน้ำตาเล็ด


ช่างสะใจยิ่งนัก!


พันปีที่ผ่านมานี้ ข้าผู้อาวุโสยังไม่เคยหัวเราะด้วยความอารมณ์ดีเช่นนี้มาก่อน


ที่แท้ตู้เม่าเจ้าเฒ่าวิปริตก็มีวันนี้กับเขาด้วย!


เขาเดินทางข้ามทวีปขึ้นเหนือมาครั้งนี้ เดิมทีแค่คิดจะมาผ่อนคลายจิตใจ ไปพบคนบนเส้นทางเดียวกันคนหนึ่ง ไหนเลยจะรู้ว่าจะได้มาเจอกับเรื่องดีงามเช่นนี้


ท่าน ‘ทวนหนึ่งฉื่อ’ ผู้นี้ตัวอยู่ในใบถงทวีป แต่กลับมีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ตระกูลเซียนเล็กๆ ของแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายตาของเหล่าเทพธิดาทั้งหลาย เขาคือคนใจป้ำที่ตัดใจจ่ายทองพันชั่งได้มากที่สุด คือคนใจป้ำที่เรียกแทนตัวเองว่า ‘หนุ่มน้อยหน้าหยก’ กับคนบางคนของพรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน ช่วงเวลาที่ใช้วิชาอภินิหารบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของสำนัก เวลาที่เห็นเทพธิดาบางคนริษยาหึงหวงกันก็มักจะลงมืออย่างยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าไม่ได้เป็นการลงไม้ลงมือจริงๆ แต่เป็นการทุ่มเงิน อีกทั้งยังไม่ใช่เงินเกล็ดหิมะ แต่เป็นเงินร้อนน้อย!


ผู้เฒ่าหุบยิ้ม พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “วันนี้เป็นวันดี จะทำตัวตระหนี่ขี้เหนียวต่อไปไม่ได้ ต้องข่มเจ้าหมอนั่นสักครั้ง ข้าต้องใจกว้าง เอาความใจใหญ่ใจโตออกมา! จะปล่อยให้เจ้าหมอนั่นทำตัวโอหังอีกไม่ได้แล้ว น่าเสียดายก็แต่เทพธิดาซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยง แม่นางที่เก่งกาจ งดงามและมีกลิ่นอายความเป็นเซียนถึงเพียงนั้น เดิมทียังคิดจะเดินทางไปเยือนภูเขาตะวันเที่ยงสักครั้ง มอบสมบัติอาคมให้นางสักชิ้น น่าเสียดายนัก น่าสงสาร น่าสงสารเหลือเกิน…และยังมีเฮ้อเสี่ยวเหลียงจากสำนักโองการเทพนั่นอีก เทพธิดาใหญ่เฮ้อ เหตุใดถึงไปจากแจกันสมบัติทวีปเสียเล่า ยังคิดจะไปพบหน้านางสักครั้ง อุตส่าห์มาเยือนอย่างรีบร้อนเพราะอยากเห็นโฉมหน้าของสาวงาม ต่อให้ได้แค่เห็นไกลๆ ก็ยังดี…”


……


ในห้องข้างของร้านยาฮุยเฉิน


เฉินผิงอันนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้นตลอดเวลา ได้ยินว่าต่อให้บุรุษที่นอนป่วยอยู่บนเตียงสามารถลุกขึ้นมาเดินได้ วันหน้าก็ต้องกลายเป็นคนหลังค่อม


หลังค่อมไปชั่วชีวิต


เดิมทีก็สกปรกมอมแมม หน้าตาไม่ได้หล่อเหลาอยู่แล้ว


หวนนึกถึงปีนั้น ตอนอยู่หน้าประตูใหญ่ มองคนของตระกูลเซียนบนภูเขาเดินเข้าไปในเมืองเล็ก บุรุษผู้เอ้อระเหยลอยชายจุ๊ปากพูดว่า “ขาสองข้างของแม่นางคนเมื่อกี้นี้รัดคนตายได้เลยนะนั่น”


วันนั้นเด็กหนุ่มผอมแห้งยังไม่เข้าใจความหมายหยาบโลนที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้น จึงได้แต่ถามว่า “ฮูหยินผู้นั้นเคยฝึกวรยุทธ์มาก่อนหรือ?”


ตอนนั้นชายฉกรรจ์ที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย อันที่จริงเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดแล้ว


วันนี้…


เฉินผิงอันพูดเสียงแหบพร่า “เจิ้งต้าเฟิง ข้าเดินทางมาไกลขนาดนี้ เคยพบเจอคนมากมายในยุทธภพ เจ้าคือคนที่กระดูกแข็งที่สุด สันหลังยืดตรงมากที่สุด ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ …”


เวลานี้คนเฝ้าประตูของเมืองเล็กในวันวานนอนหลับอย่างเงียบเชียบอยู่ใต้ผ้าห่มที่มีเลือดซึม


……


บนทะเลนอกท่าเรือเกาะโดดเดี่ยวของนครมังกรเฒ่า นักพรตน้อยที่ยืนเหยียบอยู่บนน้ำเต้ายักษ์สีทองกำลังยื่นมือสองข้างออกมารับการ ‘โบยตี’ จากกิ่งไม้อันหนึ่งที่ไม่รู้ว่าซิ่วไฉเฒ่ายากจนไปเอามาจากไหนอย่างน่าสงสาร


นักพรตน้อยดวงตาแดงก่ำ ร้องโอดครวญไม่หยุด “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ไม่เกี่ยวกับข้าจริงๆ นะ เดินทางมานครมังกรเฒ่าครั้งนี้ ข้าไม่ได้ทำร้ายเฉินผิงอันจริงๆ เป็นเขาที่ไปหาเรื่องตู้เม่าคนนั้นเอง ขนาดข้ายังทำนายไม่ได้ ตู้เม่ามีขอบเขตอะไร ข้าคงไม่อาจพาตัวไปตายที่นครมังกรเฒ่าหรอกกระมัง ท่านตีข้าแบบนี้ไม่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์เลยนะ…โอ้ย! เจ็บๆๆ …”


หากไม่ได้ยินคำบ่นนี้ยังพอทำเนา แต่พอได้ยินซิ่วไฉเฒ่าก็ยิ่งโมโห ลงมือหนักกว่าเดิม “เจ้าตะพาบน้อยใจจืดใจดำ ปีนั้นเจ้าเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับใคร? ใครกันที่กอดคอพูดคุยกับเจ้าอย่างถูกคอ? หืม? ถือตะเกียบกินข้าว วางตะเกียบด่าแม่ใช่ไหม? เจ้าจมูกโคหน้าเหม็นสอนเจ้าให้เสียคน ข้าจะสอนเจ้าให้เป็นคนที่ดีเอง! ยังกล้าหลบอีกรึ? ยืนตรง ยืนให้ดี ยื่นมือมา!”


นักพรตน้อยยื่นมือออกไปแต่โดยดี เพราะไม่ว่าจะหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น ได้แต่ร้องคร่ำครวญ “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง หากท่านยังทำอย่างนี้อีก ข้าจะไปฟ้องอาจารย์ของข้าแล้วนะ ท่านลำเอียงเข้าข้างเฉินผิงอัน อาจารย์ของข้าก็ต้องลำเอียงเข้าข้างข้า…”


ซิ่วไฉเฒ่าโมโหอย่างหนัก “ยังจะกล้าเถียง ในท้องของเจ้าจมูกโคหน้าเหม็นมีน้ำครำสกปรกอะไรอยู่ คิดว่าข้าไม่รู้รึ?! คานบนไม่ตรงคานล่างเอียง วันนี้หากไม่ตีให้เจ้ายอมสบบ ข้าจะเปลี่ยนไปใช้แซ่เจ้า!”


นักพรตน้อยร้องไห้โฮ “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง เดิมทีพวกเราก็แซ่เดียวกันอยู่แล้วนะ! ต่อให้พวกเราสองคนไม่ใช่คนครอบครัวเดียวกัน แต่เห็นแก่ความสัมพันธ์ควันธูปเล็กๆ น้อยๆ นี่ ท่านก็ควรตีข้าให้น้อยลงหน่อย…”


ซิ่วไฉเฒ่าแค่นเสียงเย็นในลำคอ โยนกิ่งไม้นั่นทิ้ง เอ่ยสั่งสอน “วันหน้าย้ายบ้านไปอยู่ใต้หล้ามืดสลัวก็ก่อเรื่องให้น้อยหน่อย! ด้วยสติปัญญาอันอ่อนด้อยของเจ้ามีแต่จะหาหายนะมาใส่ตัวเอง นักพรตที่อยู่ในป๋ายอวี้จิง สิบสองชั้นห้าเมืองใหญ่แห่งนั้น เทพเซียนมีอิสระเสรีก็จริง แต่นี่ก็หมายความว่าพวกเขาจะไม่ทำตัวตามระเบียบเหมือนอย่างในใต้หล้าไพศาล สิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการมากที่สุดก็คือสองคำว่ากฎเกณฑ์”


นักพรตน้อยนั่งแปะลงไปบนน้ำเต้าใบใหญ่สีทอง หลังจากเช็ดน้ำตาแล้วก็สะบัดมือสองข้างอย่างแรง เงยหน้าขึ้นถามอย่างสงสัยว่า “ท่านอาจารย์ไม่เคยบอกเลยว่าต้องไปที่ใต้หล้าแห่งนั้น”


ซิ่วไฉเฒ่าถลึงตาใส่ “เจ้าจะไปรู้กะผีอะไร”


นักพรตน้อยร้องอ้อหนึ่งที “ข้ารู้กะผี แล้วข้าก็รู้ด้วยว่าท่านคือท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง…”


ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะหึหึ คว้ากิ่งไม้ที่ลอยตามน้ำทะเลมาอีกรอบ ส่วนนักพรตน้อยก็ลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง ยืนเรียบร้อยแล้วก็ยื่นมือออกมารับการโดนตีรอบใหม่


นักพรตน้อยถึงขั้นเกิดใจคิดอยากตายแล้ว


กิ่งไม้เล็กๆ ไม่สะดุดตานี้ เมื่อถูกกำอยู่ในมือของตาเฒ่ายาจกผู้นี้กลับไม่เป็นรองกระบี่บินของเซียนกระบี่เลย


ซิ่วไฉเฒ่าชำเลืองตามองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โยนกิ่งไม้ทิ้ง ตบหัวนักพรตน้อยแทน “รีบไสหัวไป วันหน้าหัดทำตัวสำรวมหน่อย”


น้ำเต้าใหญ่สีทองล่องลอยไปไกล นักพรตน้อยที่ยืนอยู่ด้านบนพลันหันหลังให้ซิ่วไฉเฒ่า บิดก้นส่ายไปส่ายมา ยังไม่ลืมหันกลับมาแลบลิ้นปลิ้นตาทำหน้าผีใส่


ซิ่วไฉเฒ่ายื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาบิดเบาๆ กิ่งไม้กิ่งนั้นก็พุ่งสวบออกไปทิ่มก้นข้างหนึ่งของนักพรตน้อยอย่างพอดิบพอดี


นักพรตน้อยรีบดึงกิ่งไม้ทิ้ง กระโดดดึ๋งๆ รีบขับเคลื่อนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใต้ฝ่าเท้าให้จากไปอย่างรวดเร็ว


ดูท่าการปรากฏตัวครั้งนี้คงทำให้ตาเฒ่ายากจนโมโหไม่น้อยจริงๆ ถึงได้เอาเขามาระบายอารมณ์


นักพรตน้อยเช็ดน้ำตาบนใบหน้า อายุน้อยแต่แก่แดดแก่ลม พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ข้าผู้อาวุโสโมโหจะตายอยู่แล้ว! วันหน้าจะไม่เรียกพี่เรียกน้องกับเจ้าอีกแล้ว”


เสียงสวบดังหนึ่งที


กิ่งไม้ทิ่มไปยังก้นอีกฝั่งหนึ่ง


ซิ่วไฉเฒ่าที่ไล่เจ้าตะพาบน้อยไปได้แล้วก็พุ่งทะยานมุงหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้


ปราณกระบี่พวยพุ่งสู่ชั้นฟ้า


น้ำทะเลกระเพื่อมถาโถม


ซิ่วไฉเฒ่าที่ไฟโทสะพุ่งสูงสามจั้ง ไปถึงไม่พูดไม่จาก็กระโดดตบหัวผู้ฝึกกระบี่คนนั้น ยังไม่หายโมโหจึงตบซ้ำไปอีกสองทีติด “เจ้าเด็กไร้ประโยชน์ ปกป้องเสี่ยวฉีไม่ได้ ได้ ถือว่าเจ้ามีข้ออ้างมีเหตุผล เจ้าอยู่ไกลเกินไป ไม่รู้สถานการณ์ของถ้ำสวรรค์หลีจู แต่คราวนี้ดีนักนะ แม้แต่ศิษย์น้องเล็กที่อยู่ใต้เปลือกตาก็ยังปกป้องไม่ได้ วางตำราไม่ศึกษาเล่าเรียน เจ้าเอาแต่ฝึกกระบี่ๆๆ ฝึกกระบี่กะผีเจ้าสิ! รู้หรือไม่ว่าเฉินผิงอันถูกเจ้าทำร้ายสองครั้งแล้ว ครั้งแรกสภาพจิตใจถูกเจ้าชักนำ อีกครั้งหนึ่งเจ้าบุ่มบ่ามส่งมอบโอสถปีศาจขอบเขตสิบสองไปให้เขา อีกแค่นิดเดียว อีกแค่นิดเดียวเท่านั้นเฉินผิงอันก็ต้องเผชิญกับหายนะที่มาเยือนโดยไม่คาดฝันนี้แล้ว! ตู้เม่า เจ้าเคยได้ยินไหม?! เจ้าแก่หน้าไม่อายขอบเขตบินทะยานคนนหึ่ง เขามาดักรอเฉินผิงอันอยู่ที่นครมังกรเฒ่า ตอนนี้ศิษย์น้องเล็กของเจ้าเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้า! เขาพุ่งเป้าตรงไปเล่นงานศิษย์น้องเล็กของเจ้าคนเดียว! เพื่อให้สำนักเข้าร่วมแผนการของต้าหลี ช่วยคนหยั่งเชิงเสินจวินผู้เฒ่าอะไรนั่น ล้วนเป็นข้ออ้างทั้งนั้น! เขาก็แค่จะฆ่าเฉินผิงอัน!”


เวลาอยู่ต่อหน้าคนนอก ต่อให้เป็นนักพรตน้อย หรือแม้แต่คนของลัทธิขงจื๊อสองคนที่พิทักษ์ม่านฟ้า แม้จะโกรธ แต่ซิ่วไฉเฒ่าก็ยังระงับอารมณ์ตัวเองให้อยู่ในขอบเขตที่สมควร อย่างน้อยก็ไม่แสดงอารมณ์อย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้


ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ฝึกกระบี่คนนี้ เขากลับไม่คิดจะกักเก็บอารมณ์เอาไว้เลย


ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นก็ยืนนิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้ซิ่วไฉเฒ่าที่เตี้ยกว่าตัวเองมากกระโดดตบศีรษะตนครั้งแล้วครั้งเล่า


ซิ่วไฉเฒ่าตบไปด่าไป “เจ้ากลับดีนักนะ แค่ปัดก้นเสร็จก็เดินจากไป เจ้าจั่วโย่วช่างสง่างามเสียจริง ตลอดชีวิตของฉีจิ้งชุนยังสง่างามได้ไม่เท่าเจ้า ศิษย์น้องเล็กก็ยิ่งสง่างามไม่เหมือนเจ้า ใครก็ไม่สง่างามเท่าเจ้าจั่วโย่ว! ในเมื่อเจ้าสง่างามขนาดนี้ทำไมไม่บินทะยานขึ้นฟ้าไสหัวไปหามารดาเจ้าเสียเลยล่ะ?!”


จั่วโย่วยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่เอาคืน ไม่โต้เถียง


เพราะเขาจั่วโย่วก็เพิ่งเคยเห็นอาจารย์ที่โมโหและผิดหวังขนาดนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตเหมือนกัน


ต่อให้ครั้งนั้นที่ขังตัวเองอยู่ในสถานศึกษากงหลินเต๋อ เป็นเขาจั่วโย่วที่คอยอยู่เคียงข้าง อาจารย์ก็ยังคงยิ้มแย้มอารมณ์ดี ไม่คิดว่าเป็นเรื่องยากลำบากแม้แต่น้อย


ต่อให้เทวรูปในศาลบุ๋นจะถูกย้ายตำแหน่งครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งถูกย้ายออกไป ถูกทุบทำลาย


อาจารย์ยังคงไม่แยแส ไม่สนใจจริงๆ ไม่ใช่แค่แกล้งทำตัวผ่อนคลายเท่านั้น


เขารู้ดีว่าอาจารย์ไม่ใช่คนแบบนั้น


จั่วโย่วสีหน้านิ่งสงบ ถามว่า “อาจารย์ ศิษย์ควรทำเช่นไร?”


“ในที่สุดเจ้าก็จำได้แล้วหรือว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ของข้า? ปีนั้นข้าจัดการกับองค์เทพห้าขุนเขาของแผ่นดินกลางตนนั้นอย่างไร? ตอนนี้เจ้าเป็นฝ่ายที่มีเหตุผล มีกระบี่…เจ้าว่าควรจะทำอย่างไร?”


ซิ่วไฉเฒ่ากระโดดตบหัวจั่วโย่วอีกครั้ง ชี้ไปยังทิศเหนือสุดของใบถงทวีป ตวาดอย่างเดือดดาล “ไปจัดการแม่งมันเลยสิ!”


จั่วโย่วร้องอ้อหนึ่งที


แล้วมุ่งหน้าลงใต้


ผู้ฝึกกระบี่กับเบื้องใต้ปราณกระบี่ของทั้งร่าง มหาสมุทรแยกออกไปทางตะวันออกและตะวันตก



 

 

 


บทที่ 368.1 หลี่เอ้อร์เดินทางไกล จั่ว...

 

หลังจากตู้เม่าบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนักใบถงหายตัวไปอย่างไร้สาเหตุ อย่างน้อยภายนอกของตลอดทั้งนครมังกรเฒ่าก็อยู่ในภาวะสงบนิ่งที่แปลกประหลาด


หลังจากตู้เม่า ‘สังหาร’ เจิ้งต้าเฟิงที่เดินลงมาจากแท่นมังกรและคนต่างถิ่นแปลกหน้าที่สวมชุดสีขาวหิมะเพียงแค่ดีดนิ้วมือแล้ว ต่อให้เทพเซียนผู้เฒ่าตู้ไม่อยู่แล้ว บารมีของเขาก็ยังคล้ายทะเลเมฆเหนือศีรษะที่ไม่อาจมองเห็นซึ่งยังคงแผ่อบอวลไปทั่วทุกหนแห่งของนครมังกรเฒ่า ทำให้คนระดับสูงของตระกูลห้าแซ่ใหญ่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดัง


เพราะก่อนหน้านี้ได้เห็นวิชาอภินิหารเซียนเหรินของบุรพาจารย์ตู้มากับตาตัวเอง เป็นเหตุให้สถานการณ์ซึ่งเกิดขึ้นกะทันหันบางอย่างที่เดิมทีใหญ่เทียมฟ้าถูกบังคับบดขยี้ให้แหลกเป็นจุลตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นการแจ้งเจตนารมณ์อย่างลับๆ ของตระกูลฝู ข้ารับใช้ผู้ถวายงานที่สามตระกูลติงฟางโหวส่งไปสังหารกลุ่มของเจิ้งต้าเฟิงล้วนตายหมด จากคำให้การของผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่รับหน้าที่เป็นหน่วยสอดแนมซึ่งโชคดีรอดชีวิตกลับมาได้ ผู้ฝึกยุทธทั้งสี่คนที่เป็นผู้ติดตามของคนหนุ่มชุดขาว แต่ละคนมีพลังสังหารที่น่าตะลึง แกร่งกร้าวไม่กลัวตาย ช่วงเวลาที่ใช้บาดแผลมาแลกกับชีวิตกลับไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย สองคนในนั้นรบตาย คนหนึ่งคือหญิงงามที่เชี่ยวชาญการบังคับกระบี่ อีกคนหนึ่งคือตาเฒ่าบ้าคลั่งที่ชอบฉีกเนื้อคน หลังจากนั้นก็มีลำแสงเป็นเส้นๆ เหมือนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่หล่นลงมาจากทะเลเมฆ ทำให้ผู้ฝึกตนที่เดิมทีสามารถล้อมสังหารผู้ติดตามอีกสองคนที่เหลือล้วนตายคาที่ทั้งหมด ที่เหลือเกินที่สุดคือบุรุษร่างสูงใหญ่พกดาบผู้นั้นยังถือกระบี่ยาวโบราณที่แปลกประหลาดเล่มนั้นทิ่มแทงไปที่หัวใจของศพผู้ถวายงานจนครบทุกคน


พอรู้ข่าวที่เป็นดั่งฝันร้ายนี้ สามแซ่ใหญ่ต่างก็รีบร้อนสุมหัวประชุมลับปรึกษาหารือกัน ตู้เหยี่ยนได้ข่าวแล้ว แต่กลับไม่ได้มาร่วมความครึกครื้นนี้ด้วย ดังนั้นทุกคนจึงคาดเดาเอาว่านี่จะเป็นแผนการใหญ่เทียมฟ้าที่ตระกูลฝูและตู้เหยี่ยนร่วมกันจัดวางไว้ ใช้เจิ้งต้าเฟิงเป็นตัวหลอกล่อ ล่อให้งูออกจากโพรง คิดจะใช้วิธีการที่ ‘ถูกต้องสมเหตุสมผล’ มากที่สุด อีกทั้งยังเสียหายน้อยที่สุดมาสังหารผู้ฝึกตนที่ถวายการรับใช้ซึ่งไม่ต่างจากสมบัติก้นกรุของพวกเขาสามตระกูลหรือไม่?


ไม่อย่างนั้นเหตุใดหลังจากแต่งบุตรสาวสายตรงตระกูลเจียงอวิ๋นหลินเข้าตระกูลมาได้ไม่นาน ฝูฉีที่เป็นทั้งเจ้าประมุขและเจ้านคร เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดของนครมังกรเฒ่าถึงไม่คิดจะรักษาหน้าตาของตัวเอง พูดเป็นดิบดีว่ามีเพียงคนคนเดียวที่จะรอดชีวิตมาจากศึกเป็นตายที่ยิ่งใหญ่และดุเดือดบนแท่นมังกร ผลกลับกลายเป็นว่าฝูฉีที่ต่อสู้แค่ได้แผลเจ็บๆ คันๆ กลับยอมแพ้ให้แก่เจิ้งต้าเฟิง ปล่อยให้เทพเซียนผู้เฒ่าตู้เป็นคนจัดการเจิ้งต้าเฟิงแทน หากนี่ไม่ใช่แผนการที่วางไว้แต่แรกแล้วจะเป็นอะไรได้? ดูท่าพวกเขาคงดูแคลนจิตใจทะเยอทะยานของตระกูลฝูเกินไป นี่คงตัดสินใจเด็ดขาดแล้วสินะว่าแม้แต่น้ำแกงเหลือๆ ก็ไม่ยินดียกให้สามตระกูลใหญ่อย่างพวกเขากิน?


ตอนนั้นก็มีคนตบโต๊ะถลึงตา ป่าวประกาศว่าตระกูลฝูจิตใจอำมหิตเช่นนี้ก็อย่ามาโทษถ้าพวกเขาทุ่มไหแตกให้แหลกละเอียด ถึงท้ายที่สุดค่อยมาดูกันว่านครมังกรเฒ่าจะเหลือได้ถึงครึ่งหนึ่งหรือไม่


ทุกคนอยู่ในอารมณ์โกรธแค้น ป่าวประกาศว่าพร้อมยอมให้พินาศวอดวายกันไปทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นประเภทแข็งนอกอ่อนในกันทั้งสิ้น


การเงียบงันไม่พูดจากลับกลายเป็นอำนาจที่ใช้ได้ผลอย่างแท้จริงในนครมังกรเฒ่า


รากฐานที่แท้จริงของนครมังกรเฒ่าไม่ใช่หมัดหรือสมบัติอาคม แต่เป็นสมุดบัญชีแต่ละเล่ม


ทันใดนั้นก็มีพ่อบ้านคนหนึ่งมารายงานว่าฝูหนันหัวเจ้านครน้อยมาเยือน


ฝูหนันหัวพาผู้ติดตามมาด้วยหลายคน แต่กลับเข้าไปพูดคุยในห้องโถงใหญ่เพียงลำพัง หลังจากนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ก้นยังไม่ทันร้อน ชาก็ยังไม่ได้ดื่มสักคำ เพียงแค่พูดด้วยรอยยิ้มไม่กี่ประโยคก็ลุกขึ้นเอ่ยลา


ทุกคนในห้องโถงใหญ่เริ่มชั่งน้ำหนัก พวกเขาที่นั่งอยู่ในนี้ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการดีดลูกคิด คิดคำนวณผลได้ผลเสีย


ฝูหนันหัวพูดจากระชับได้ใจความ ไม่พูดถึงสกุลเจียงอวิ๋นหลินที่เป็นญาติเกี่ยวดองทางการแต่งงาน สำนักใบถงก็ถือเป็นพันธมิตรกับตระกูลฝูแล้ว เรือข้ามทวีปหกลำของนครมังกรเฒ่าที่มุ่งหน้าไปยังภูเขาห้อยหัว เรือสี่ลำที่อยู่นอกเหนือจากการควบคุมของตระกูลฝู ตระกูลฝูล้วนต้องการทั้งหมด กำไรสามส่วนที่ตระกูลใหญ่ทั้งสามซึ่งนั่งอยู่ตรงนี้จะได้รับหลังจากนี้ทุกปี ต้องมอบให้แก่ตระกูลฝู ถือเป็น ‘ค่าเช่าบ้าน’ ในการพักอาศัยอยู่ในนครมังกรเฒ่าต่อไป แน่นอนว่าหลังจากนี้ตระกูลฝูจะยังอาศัยกองกำลังของฝ่ายต่างๆ ยกทัพขึ้นเหนือ ราชวงศ์ในโลกมนุษย์ ตระกูลเซียนบนภูเขา พรรคต่างๆ ในยุทธภพล่างภูเขาล้วนถูกกองกำลังตระกูลฝูควบรวมไว้ภายใน และจะกำราบ ขับไล่ ถอนรากถอนโคนกองกำลังตระกูลพ่อค้าทั้งหมดที่อยู่นอกเหนือจากนครมังกรเฒ่า ช่วงเวลาระหว่างนี้ตระกูลใหญ่ทั้งสามอย่างติง ฟาง โหวจะสามารถช่วงชิงเงินขาวทองคำก้อนมาได้มากน้อยเท่าไหร่ เงินทองจะไหลมาเทมา เจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าในอดีต จะล้มแล้วลุกไม่ขึ้น หรือเพื่อที่จะหาเงินมาจ่ายค่าเช่านั้นจึงเป็นเหตุให้การดำเนินงานผิดพลาด สุดท้ายถูกขับไล่ออกจากนครมังกรเฒ่า ก็จำเป็นต้องให้ทุกคนอยู่บนพื้นฐานของการร่วมมือกันอย่างจริงใจ และยังต้องอาศัยความสามารถของใครของมัน ส่วนรายละเอียดที่ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง หากวันนี้ทุกท่านรู้สึกว่าทิศทางคร่าวๆ ไม่มีปัญหา คราวหน้าก็นั่งลงปรึกษารายละเอียดกันอย่างจริงจังได้แล้ว


มีผู้เฒ่าคนหนึ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “แสวงหาความร่ำรวยจากความเสี่ยง ลองวัดดวงดูสักตั้ง”


มีคนยิ้มพูดว่า “กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีใกล้จะบุกมาถึงภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปเราแล้วกระมัง พวกเราเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ หากทำสำเร็จก็ไม่รู้ว่าจะได้ปะหน้ากับคนเถื่อนทางเหนือพวกนั้นหรือไม่?”


หญิงชราคนหนึ่งเอ่ยเยาะหยันตัวเอง “ตระกูลฝูทำเช่นนี้คือคิดจะจูงหมาออกไปกัดคนแล้ว แต่ว่าหากกัดได้ดีก็สามารถกัดเอาเนื้ออวบอ้วนเข้าปากของตัวเอง เทียบกับการต่อยตีเล็กๆ น้อยๆ อย่างในตอนนี้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะได้กำไรมากกว่า”


คุณชายคนหนึ่งที่อายุน้อยที่สุด หน้าตาธรรมดา ทว่าบุคลิกกลับไม่สามัญ ต่อให้รอบด้านจะรายล้อมไปด้วยจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ แต่ใครก็ไม่อาจดูแคลนเขา เวลานี้เขาใช้สองมือสอดรองใต้ท้ายทอย แหงนหน้ามองโคมแก้วดวงหนึ่งที่อยู่เหนือศีรษะ พึมพำว่า “สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังเป็นการใช้อำนาจรังแกคนอื่นอยู่ดี”


……


ร้านยาฮุยเฉิน ตระกูลฟ่านทุ่มเงินก้อนใหญ่เชิญหมอเทวดามาหลายคน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกศิษย์สำนักแพทย์ในกลุ่มของผู้ฝึกลมปราณ บ้างก็เป็นยอดฝีมือของลัทธิเต๋าที่เชี่ยวชาญเรื่องโอสถ ช่วงนี้คนเหล่านี้พากันตบเท้าเดินเข้าๆ ออกๆ ร้านยา


ในศาลบรรพชนตระกูลฟ่านมีแต่เสียงถกเถียงดังเซ็งแซ่ จากความเชื่อมั่นในตัวเจ้าประมุขตระกูลเริ่มเปลี่ยนไปเป็นความกังขา สุดท้ายก็ถึงกับเคียดแค้นชิงชัง แต่ละคนพูดว่าตัวเองละอายใจต่อป้ายวิญญาณทั้งหลายที่ตั้งอยู่ในศาลบรรพชนตระกูลฟ่าน ลูกหลานอกตัญญู ละอายใจต่อบรรพบุรุษยิ่งนัก ได้แค่เบิกตามองตระกูลฟ่านเดินไปบนเส้นทางแห่งความตาย ในเวลาสำคัญเช่นนี้ยังทำตัวเป็นตั๊กแตนขวางหน้ารถ คิดปกป้องเจิ้งต้าเฟิงที่กลายเป็นเศษสวะไร้ค่าไปแล้ว บิดาของฟ่านจวิ้นเม่าและฟ่านเอ้อร์ เจ้าประมุขตระกูลฟ่านคนปัจจุบันที่เผชิญหน้ากับคำวิจารณ์ต่างๆ นานากลับทำเพียงแค่ดื่มชาเงียบๆ


ทางฝั่งของร้านยา


เจิ้งต้าเฟิงฟื้นแล้ว สามารถเปิดปากพูดได้ นอกจากตระกูลฟ่านจะเชิญยอดฝีมือให้ใช้ยารักษาพลังต้นกำเนิดแล้ว เทพหยินแซ่จ้าวก็มีทรัพย์สมบัติที่เอามาจากถ้ำสวรรค์หลีจูอยู่เช่นกัน สามารถช่วยซ่อมแซมรอยโหว่ของดวงวิญญาณให้กับเจิ้งต้าเฟิง ทำให้เจิ้งต้าเฟิงไม่ถึงขั้นทรุดลงทันควัน แต่ละวันได้แต่ผ่ายผอมดั่งซากต้นไม้แห้ง


เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้โวยวายอยากตาย แม้จะไม่ได้พูดอะไรมาก แต่สีหน้ากลับค่อนข้างผ่อนคลาย บางครั้งเวลาที่เผยเฉียนมานั่งอยู่ในห้องด้วยครู่หนึ่งก็ยังพูดคุยกับเด็กหญิงผอมแห้งด้วยรอยยิ้มอยู่สองสามคำ ทุกครั้งที่เผยเฉียนมาที่นี่จะมานั่งอยู่บนพื้น ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางตำรา จากนั้นก็เริ่มคัดตัวอักษร พออยู่กับเผยเฉียน เจิ้งต้าเฟิงจะยินดีพูดคุยด้วยมากที่สุด แม้ว่าทุกครั้งที่เปิดปากพูดจะสะเทือนบาดแผลก็ตาม แต่เผยเฉียนกลับไม่ค่อยรับน้ำใจนัก เวลาคัดตัวอักษรนางจะตั้งใจมากเป็นพิเศษ หากเจิ้งต้าเฟิงพูดมากเกินไป นางจะบ่นว่าเจ้านี่น่ารำคาญจริงๆ หากคัดตัวอักษรเบี้ยว ขีดอักษรขีดไหนไม่เป็นระเบียบมากพอ เดี๋ยวพ่อข้าก็ต้องให้ข้าเขียนใหม่อีก


เจิ้งต้าเฟิงจะหัวเราะชอบใจ เพียงแต่การหัวเราะนี้กลับทำให้เขาเจ็บจนเหงื่อเย็นๆ แตกพลั่ก ทว่าเมื่อในห้องมีเผยเฉียนมานั่งคัดตัวอักษรอยู่ด้วย บุรุษที่นอนป่วยอยู่บนเตียงก็คล้ายว่าจะอารมณ์ดีไม่น้อย


เฉินผิงอันเองก็มานั่งอยู่ในห้องนี้เป็นระยะ คนหนึ่งนั่ง คนหนึ่งนอน เนื่องจากต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งคู่ คนทั้งสองจึงพูดคุยกันไม่มากนัก


ยามสนธยาของวันนี้ ออกจากห้องด้านข้างที่อบอวลไปด้วยกลิ่นยา เฉินผิงอันเดินไปที่ลานบ้าน จูเหลี่ยนกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารในห้องครัว เผยเฉียนกำลังฝึกสุดยอดวิชาอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองอยู่ในลานบ้าน


ในลานบ้านวางโต๊ะไว้ตัวหนึ่ง หลูป๋ายเซี่ยงกับสุยโย่วเปียนนั่งตรงข้ามกัน กำลังเล่นหมากล้อมกันอยู่ เว่ยเซี่ยนยืนอยู่ข้างๆ ยังคงดูสถานการณ์บนกระดานไม่ออก แต่กลับรอคอยผลแพ้ชนะอย่างอดทน


ก่อนหน้านี้จูเหลี่ยนและสุยโย่วเปียนตายอยู่นอกนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันต้องโยนเงินเหรียญทองแดงแก่นทองอีกสองเหรียญลงไปในม้วนภาพวาดแห่งชะตาชีวิตของพวกเขา


หลังจากที่คนทั้งสองตายไปในการต่อสู้ ตามกฎ ‘สวรรค์’ ที่นักพรตเฒ่าตงไห่ตั้งไว้แต่แรกเริ่ม ผลสำเร็จสูงสุดของจูเหลี่ยนคนบ้าวรยุทธในอนาคต คอขวดจะถดถอยลงมาที่วิถีวรยุทธขอบเขตสิบ


ส่วนสุยโย่วเปียนก็ยิ่งอนาถมากกว่า ศึกหน้าวัดร้างตายติดต่อกันสองครั้ง คราวนี้ยังแลกชีวิตกับขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง ผลสำเร็จในอนาคตก็ต้องหยุดอยู่แค่ขอบเขตเก้ายอดเขาเท่านั้น เฉินผิงอันก็ดี คนทั้งสี่ในม้วนภาพวาดก็ช่าง ไม่ว่าพวกเขาจะมีความรู้สึกต่อผู้เฒ่าเจ้าอารามกวานเต๋าเช่นไร แต่คนทั้งห้าต่างก็ไม่สงสัยใน ‘มรรคกถาอันค้ำฟ้าของท่านผู้อาวุโส’


เทพหยินแซ่จ้าวที่ทุกครั้งจะปรากฏตัวพร้อมกับควันดำตลบอบอวล ปราณดุร้ายท่วมท้น วันนี้กลับไม่ได้เผยกาย


ใครก็คาดไม่ถึงว่า เทพหยินขอบเขตก่อกำเนิดท่านนี้ที่เดิมทีควรจะเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะบนกระดานหมาก เพราะเมื่อบัญชาการณ์อยู่ในร้านยาก็ไม่ต่างจากผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง กลับกลายเป็นว่าตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่มีเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับมันเลย เฉินผิงอันบาดเจ็บสาหัส เจิ้งต้าเฟิงกลายเป็นคนไร้ค่า จูสุยสองผู้ติดตามรบตาย หลูป๋ายเซี่ยงและเว่ยเซี่ยนต่างก็ไม่ได้อยู่เฉย ล้วนไปวนเวียนหน้าประตูผีก่อนจะกลับมายังโลกมนุษย์ มีเพียงเทพหยินตนนี้ที่ดูเหมือนว่าพูดคุยกับเผยเฉียนอยู่หน้าประตูร้านยาแค่ไม่กี่คำ กาลเวลาก็หยุดนิ่ง ค่ายกลร้านยายังไม่ทันได้เปิดใช้ มันก็ถูกพันธนาการไว้ภายใน หลังจากที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลรินอีกครั้ง สถานการณ์ก็มั่นคงดีแล้ว


เฉินผิงอันเดินมานั่งตรงธรณีประตูของร้านยาด้านหน้า


ในลานบ้าน เผยเฉียนใช้สองมือยันไม้เท้าเดินป่า หอบหายใจฮักๆ “เหล่าเว่ย เวทกระบี่ของข้าฝึกฝนจนเป็นอย่างไรแล้ว?”


เว่ยเซี่ยนไม่ได้หันหน้ากลับมา ยังคงจ้องหมากสีดำและสีขาวบนกระดานที่ลักษณะคล้ายการตั้งขบวนสลับเป็นฟันปลาบนสนามรบ เขามองออกแค่ความหมายทำนองนี้ ปากก็ตอบรับเผยเฉียนอย่างขอไปที “แข็งแกร่ง”


เผยเฉียนไม่ค่อยพอใจนัก ถามเสียงดัง “แข็งแกร่งแค่ไหน?”


เว่ยเซี่ยนคิดแล้วก็ตอบว่า “แข็งแกร่งจนไร้ศัตรูทัดเทียม”


เผยเฉียนโมโหหนัก “เหล่าเว่ย เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่หรือไง คำพูดแบบนี้ใครจะไปเชื่อ?”


เว่ยเซี่ยนชำเลืองตามองเผยเฉียน “แล้วเจ้าเชื่อหรือไม่?”


เผยเฉียนรีบเปลี่ยนจากหน้าดำเป็นสีหน้าสดใส หัวเราะคิกคัก “เชื่อนิดๆ”


ความมั่นใจของเผยเฉียนเพิ่มพรวดพราด ยกไม้เท้าเดินป่าชี้ไปที่แผ่นหลังของหลูป๋ายเซี่ยง “เสี่ยวป๋าย เจ้าจะยอมพ่ายแพ้โดยที่ไม่ต้องเปลืองแรงกายแรงใจ หรือจะนั่งนิ่งไม่ขยับต่อสู้กับข้า?”


หลูป๋ายเซี่ยงที่หันหลังให้เผยเฉียนยิ้มเอ่ยว่า “ยอมแพ้ๆ”


เผยเฉียนถามอีก “พี่หญิงสุย เจ้าจะยอมเปิดศึกใหญ่อย่างตรงไปตรงมากับเด็กน้อยที่ปีนี้อายุเพิ่งจะสิบขวบหรือไม่?”


สุยโย่วเปียนตอบอย่างเฉยเมย “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สู้ดีกว่า”


เผยเฉียนตะเบ็งเสียง หันหน้าไปทางห้องครัวขนาดเล็ก “จูเหลี่ยนผู้มีฝีมือทำอาหารเป็นหนึ่งในใต้หล้า เหลือแค่เจ้าคนเดียวแล้ว กล้าปล่อยให้อาหารคืนนี้ไม่น่ากินเหมือนอย่างที่เคยแล้วออกมาต่อสู้กับข้าหรือไม่?”


 จูเหลี่ยนที่รัดผ้ากันเปื้อนไว้ที่เอว ในมือถือตะหลิวตะโกนตอบกลับมาเสียงดัง “ไม่กล้า!”


เผยเฉียนอืมรับหนึ่งที กวาดตามองรอบด้าน กอดไม้เท้าเดินป่าไว้ในอ้อมอก “นอกจากพ่อข้าก็มีแต่ข้าที่แข็งแกร่งจนไร้ศัตรูทัดเทียมแล้วจริงๆ เหงาจังเลย ดูท่าวันนี้กับพรุ่งนี้คงไม่ต้องฝึกวิชากระบี่แล้ว”


เฉินผิงอันที่ไม่รู้ว่ากลับมานั่งตรงม้านั่งยาวใต้ชายคาตั้งแต่เมื่อไหร่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ต้องพากเพียรอย่างไม่ลดละ”


เผยเฉียนกระโดดโลดเต้นมานั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน ถามอย่างเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง “อาจารย์ ข้าใช่ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของท่านหรือไม่?”


เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ข้ามีลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่ออยู่คนหนึ่ง ชื่อว่าชุยตงซาน ตอนนี้อยู่ที่สำนักศึกษาซานหยาต้าสุย หากเจ้าอยากเป็นลูกศิษย์ใหญ่ อาจต้องถามเขาก่อนว่าเต็มใจหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าเขาน่าจะไม่ค่อยชอบชื่อเรียกว่า ‘ศิษย์พี่ใหญ่’ นี้สักเท่าไหร่ ดังนั้นเจ้าจึงยังพอจะมีความหวัง”


เผยเฉียนไม่เห็นเป็นสำคัญ “ชุยตงซาน? ชื่อนี้ฟังดูเหมือนพวกปลาตัวเล็กกุ้งตัวน้อย ไม่มีทางได้ดิบได้ดีแน่นอน ถึงเวลานั้นข้าจะปรึกษากับเขา ให้เขาเป็นศิษย์น้องของข้า เรียกข้าว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ อาจารย์ท่านวางใจเถอะ ข้าจะไม่อาศัยความสนิทสนมของพวกเราสองคนไปรังแกเขา แล้วก็จะไม่เอาเงินติดสินบนให้เขามอบสถานะศิษย์พี่ใหญ่มาให้ด้วย”


เฉินผิงอันยิ้มเหยเก “ก็ได้ เจ้าก็ลองทำดู”


 

 

 


บทที่ 368.2 หลี่เอ้อร์เดินทางไกล จั่ว...

 

เทพหยินแซ่จ้าวมายืนอยู่ตรงม่านไม้ไผ่ของร้านยา “เฉินผิงอัน ข้ามีธุระอยากจะคุยกับเจ้า”


เฉินผิงอันลุกขึ้น เลิกผ้าม่านเดินเข้าไปในร้านยาที่อยู่ด้านหน้า


เทพหยินพาเฉินผิงอันเดินออกมานอกประตูใหญ่ เดินเข้าไปในตรอกเล็ก ไม่รู้ว่าร่ายใช้ค่ายกลอย่างไรถึงสามารถเปลี่ยนตบะของตัวเองให้กลายเป็นขอบเขตหยกดิบที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ได้ ในตรอกเล็กพลันมืดสลัว แม้ว่าใบหน้าของเทพหยินแซ่จ้าวจะพร่าเลือน แต่ก็ยังพอจะทำให้เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงความระมัดระวังของมันอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอารมณ์หวาดผวาไม่คลายที่หาได้ยากอยู่ด้วย หลังจากที่มันตัดขาดการสำรวจตรวจตราจากโลกภายนอกเรียบร้อยแล้ว เรือนกายที่ล่องลอยก็หยุดยืนนิ่ง พูดกับเฉินผิงอันด้วยเสียงทุ้มหนัก “มีผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งที่บอกว่าตัวเองมีความเกี่ยวข้องกับฉีจิ้งชุนมาหาข้า หรือควรจะพูดให้ถูกต้องก็คือคุมตัวข้าให้ไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา เขาบอกว่าตัวเองเป็นอาจารย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ…ของเจ้าเฉินผิงอัน…”


กล่าวมาถึงตรงนี้เทพหยินก็รู้สึกอยากหัวเราะแต่ไม่กล้า


ใต้หล้านี้มีเพียงลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ มีอาจารย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อเสียที่ไหน?


เคารพอาจารย์ให้ความสำคัญกับมรรคาคือกฎเกณฑ์ข้อหนึ่งของใต้หล้าไพศาลที่ไม่อาจเหยียบย่ำได้ตามใจชอบ หากข้ามผ่านบ่อสายฟ้านั้นไป ส่วนใหญ่ก็มักจะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เจ็บปวดซึ่งหนักหนากว่า ‘ชื่อเสียงฉาวโฉ่’ มากนัก


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไม่ได้เล่ารายละเอียดของเรื่องนี้กับเทพหยินแซ่จ้าว


เทพหยินเองก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียง ก็เหมือนกับที่เฉินผิงอันไม่เคยถามตนว่าในเมื่อแซ่จ้าว อีกทั้งยังมีชาติกำเนิดมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู ถ้าอย่างนั้นเป็นบรรพบุรุษของสกุลจ้าวสายไหนกันแน่


หลวงจีนไม่ถามชื่อ นักพรตเต๋าไม่ถามอายุ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำไม่ถามเรื่องในอดีตชาติ ล้วนเป็นเหตุผลเดียวกันนี้


มันพูดต่อว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนั้นต้องการให้ข้านำความมาบอกต่อเจ้าว่า อยู่ในนครมังกรเฒ่าจนผ่านพ้นตรุษจีนไปก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง และยังมีของบางอย่างที่จะนำมามอบให้เจ้าช้าสักหน่อย หลังฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า อยากจะไปไหนก็ไป ทำในสิ่งที่เจ้าเฉินผิงอันต้องการก็พอ”


เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ตกลง”


จากนั้นเฉินผิงอันก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังถามไปตามตรงว่า “ผู้อาวุโสหยางจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเคราะห์กรรมที่เจิ้งต้าเฟิงต้องประสบพบเจอจริงๆ หรือ?”


เดิมทีเทพหยินแซ่จ้าวไม่ยินดีพูดเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเสินจวินผู้เฒ่า แต่พอนึกถึงบุรุษที่นอนป่วยอยู่บนเตียงในร้าน มันก็ยอมแหกกฎเป็นครั้งแรก พูดเบาๆ ว่า “เสินจวินผู้เฒ่ามองการณ์ไกลยิ่งกว่าทุกคน ถึงได้เย็นชาไม่เห็นใจใครเป็นพิเศษ แต่สำหรับหลี่เอ้อร์และเจิ้งต้าเฟิง แม้จะมีเพียงสถานะอาจารย์และศิษย์ ไม่เกี่ยวพันไปถึงเรื่องการถ่ายทอดมรรคา แต่เทพหยินตัวเล็กๆ อย่างข้าที่มีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ บนโลกใบนี้กล้าพูดประโยคหนึ่งว่า ความรู้สึกที่มีต่อพวกเขาแตกต่างไปจากพวกเราอยู่มาก”


เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ข้าเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน”


เทพหยินพูดเกลี้ยกล่อม “แม้เจิ้งต้าเฟิงจะไม่มีตบะวิถีวรยุทธ์แล้ว แต่สภาพจิตใจยังดีอยู่ พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลมากไป หากพวกเราเอาแต่มองเขาด้วยสายตาสงสารเวทนาทุกวัน แบบนั้นต่างหากถึงจะทำให้เจิ้งต้าเฟิงรับไม่ได้มากที่สุด”


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องนี้ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไร”


เทพหยินเอ่ยชื่นชม “ในเรื่องนี้ อันที่จริงเจ้าทำได้ดีที่สุด…”


เฉินผิงอันโบกมือเป็นพัลวัน “ทำไม หรือว่าพอมาอยู่ร้านยาฮุยเฉินแล้วก็เริ่มชอบพูดประจบเอาใจคนอื่นแล้ว?”


เทพหยินหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี สลายตราผนึกทิ้งแล้วพุ่งทะยานจากไป


จากนั้นเฉินผิงอันก็เห็นสตรีสวมชุดกระโปรงสีเขียวที่มุมหัวเลี้ยว ฟ่านจวิ้นเม่า


ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเหตุใดในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนางถึงเลือกลงมือช่วยเหลือหลูป๋ายเซี่ยงและเว่ยเซี่ยน เป็นเพราะรู้สึกว่าตู้เม่าไม่ได้เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป ก็เลยรีบปักดอกไม้ลงบนผ้าแพร? แสดงความเป็นมิตรต่อร้านยาฮุยเฉิน?


แต่นี่ดูเหมือนว่าจะไม่สอดคล้องกับนิสัยของนางที่เฉินผิงอันรู้จักมาสักเท่าไหร่


ฟ่านจวิ้นเม่าเดินเข้ามาในตรอกเล็ก โยนกาเหล้าใบหนึ่งให้เฉินผิงอัน “ด้านในบรรจุโอสถทองของเจียวเฒ่าที่ข้าหล่อหลอมระดับเล็กไปแล้ว ตอนนี้เจ้ากับเจิ้งต้าเฟิงต่างก็ต้องการสิ่งนี้ ทุกวันข่มกลั้นความเจ็บปวดดื่มสักสองสามคำ สำหรับการซ่อมแซมร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์แล้วมีประโยชน์ยิ่งกว่ายาวิเศษทุกชนิด โอสถปีศาจของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองเอามาหลอมเป็นเหล้า ฤทธิ์จะแรงเกินไป ตอนนี้พวกเจ้าดื่มไปมีแต่จะตาย หากเป็นโอสถทองของเผ่าปีศาจทั่วไปก็จะไม่พออีก เหล้าที่แช่จากโอสถทองของเจียวเฒ่าก่อกำเนิดเม็ดนี้จึงกำลังดี”


เฉินผิงอันถาม “เหล้าไหนี้ข้ารับไว้แล้ว แต่เจ้าเป็นคนทำการค้า ต้องการให้ข้าจ่ายด้วยอะไร?”


ฟ่านจวิ้นเม่าส่ายหน้า “ถือซะว่าเป็นสิ่งที่ตระกูลฟ่านพวกเราชดเชยให้ร้านยา ไม่ต้องให้เจ้าเฉินผิงอันจ่ายอะไรเพิ่มเติม”


เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ได้ยินเจ้าอธิบายแบบนี้ ข้าก็ไม่ค่อยกล้ารับของขวัญล้ำค่าชิ้นนี้ไว้สักเท่าไหร่”


ฟ่านจวิ้นเม่าแค่นเสียงเย็น “แล้วถ้าข้าบอกว่า ตระกูลฟ่านยังจะทุบหม้อขายเหล็กช่วยจ่ายเงินห้าสิบเหรียญฝนธัญพืชให้ตำหนักพยัคฆ์เขียวยอดเขาเทียนแจว๋แทนเจ้า เจ้าจะไม่ยิ่งตกใจจนโยนกาเหล้าคืนมาให้ข้าเลยหรือ?”


เฉินผิงอันถาม “เป็นเพราะอะไรกันแน่?”


ฟ่านจวิ้นเม่ามองประเมินคนหนุ่มที่ตอนนี้ลักษณะคล้ายคนขี้โรค “ถูกเรือกลืนกระบี่อาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตของตู้เม่าที่เป็นขอบเขตบินทะยานแทงทะลุหน้าท้องจนเป็นรู ไม่ตายก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะมีคนช่วยเจ้าไว้นี่นะ แต่ตอนนี้กลับสามารถกระโดดโลดเต้น เดินเหินเป็นปกติ หมายความว่าพื้นฐานขอบเขตห้าของเจ้าปูมาดีจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ในฐานะที่ข้าเป็นคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจอยู่เบื้องหลังตระกูลฟ่าน ก็มีเหตุผลให้ข้าลงเดิมพันข้างเจ้า ลงเดิมพันอย่างหนัก! เฉินผิงอัน ปราณแท้จริงที่บริสุทธ์หนึ่งเฮือกที่อยู่ในร่างกายของเจ้าตอนนี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งโคจรได้ไม่ราบรื่นแล้วใช่ไหม ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่อยู่บนร่างก็ยิ่งขาดยับเยินเหมือนกระท่อมที่เต็มไปด้วยรูรั่ว รอจนปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นเสื่อมถอยลง ปราณวิญญาณกรอกเข้าใส่ร่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าจะไม่เพียงแต่ตบะวิถีวรยุทธ์ถดถอยลงครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่สะพานแห่งความเป็นอมตะก็ต้องพังถล่มลงมาด้วย คิดอยากจะลองเดิมพันดูสักครั้งไหมล่ะ?”


เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนปฏิเสธหรือตอบรับ เพียงถามด้วยรอยยิ้ม “เดิมพันอย่างไร?”


ฟ่านจวิ้นเม่าชี้ไปยังทะเลเมฆที่อยู่เหนือศีรษะ “เจ้าอยากหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุน้ำไม่ใช่หรือ? ตอนนี้เจ้ามีคาถา กระถางยาและวัตถุดิบวิเศษในจำนวนที่มากพอแล้ว คนสามัคคีรวบรวมได้ครบถ้วน ข้าก็จะช่วยหาฟ้าอำนวยดินอวยพรมาให้เจ้า หากหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้ ในร่างเจ้ามีจวนแห่งแรกที่สามารถบรรจุปราณวิญญาณฟ้าดินไว้ได้ ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ขุมนั้นของเจ้าไม่ต้องถูกเผาผลาญไปกับเรื่องการคุมเชิง การสู้รบที่ไม่มีความหมายอีกต่อไป ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าอย่างไร?”


เฉินผิงอันพลันกล่าวว่า “หากเดาไม่ผิด เจ้าต้องรู้จักคนคนหนึ่ง ใช่ไหม?”


ฟ่านจวิ้นเม่าไม่ได้ปฏิเสธ แต่กลับส่ายหน้ายิ้มพูด “คน?”


เฉินผิงอันเงียบงันไม่ตอบ


สายตาของฟ่านจวิ้นเม่าอึมครึมมืดลึกอย่างถึงที่สุด ดวงตางดงามคู่หนึ่งกลายเป็นเหมือนบ่อโบราณมืดสนิทที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง “เจ้าช่างไม่คู่ควรจริงๆ ไม่จริงๆ ไม่จริงๆ!”


สตรีชุดกระโปรงสีเขียวผู้ได้ครอบครองทะเลเมฆพูดคำว่า ‘จริงๆ’ ถึงสามครั้งติด


เฉินผิงอันถามยิ้มๆ “เจ้าเป็นคนตัดสินใจหรือไง?”


ฟ่านจวิ้นเม่าสะอึกอึ้งพูดไม่ออก ได้แต่ขบฟันอย่างโมโห


เฉินผิงอันไม่คิดจะหาเรื่องหญิง ‘สาว’ ที่นิสัยไม่ค่อยดีผู้นี้ต่อ “ฟ่านเอ้อร์ล่ะ เขาไม่เป็นไรใช่ไหม?”


พอได้ยินชื่อเจ้าหมอนี่ ฟ่านจวิ้นเม่าก็เหลือกตามองด้านบนอย่างอดไม่อยู่ “อย่าพูดถึงเลย ถูกกักบริเวณอยู่ในบ้าน วันๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่แบกจอบเล็กๆ ไปขุดตรงนั้นที ขุดตรงนี้ที ตักดินใส่ถุงเล็กๆ สะสมไว้สิบกว่าถุง บอกว่าเตรียมไว้ใช้ในยามที่จำเป็น แม่รองเจ็บปวดใจยิ่งนัก ท่านแม่ข้าเองก็ร้องไห้ตาแดงก่ำอยู่หลายครั้ง ไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมเขาไม่ให้เสียสติอย่างไรดีแล้ว”


มุมปากเฉินผิงอันขยับโค้งขึ้น


ไม่ว่ารากฐานของนครมังกรเฒ่าจะเละเทะถึงขนาดไหน ขอแค่มีฟ่านเอ้อร์อยู่ วันหน้าขอแค่มีโอกาส เฉินผิงอันก็ยังเต็มใจจะมาเยือน


ก่อนที่ฟ่านจวิ้นเม่าจะจากไป นางพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่ไม่ค่อยเป็นบ่อยนัก “สำนักใบถงอาจถูกคิดบัญชีย้อนหลังอย่างหนัก”


เฉินผิงอันสีหน้าเย็นชา “ปลูกแตงได้แตง ปลูกถั่วได้ถั่ว ใช้ชีวิตไร้เหตุผลอย่างสุขสบายมาจนเคยชินแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องจดจำบ้างแล้วว่าเวลาปกติควรหมั่นจุดธูปให้มากๆ ขอร้องสวรรค์อย่าให้ตนเองได้พบเจอคนที่สามารถพูดคุยกับพวกเขาด้วยเหตุผล ในเมื่อได้พบเจอแล้วก็ต้องยืนรอให้โดนตีแต่โดยดี หากถูกตีจนตายก็ค่อยไปเกิดในชาติใหม่”


ฟ่านจวิ้นเม่ามองดวงหน้าที่ซีดขาวเพราะอาการบาดเจ็บนั้น


ราวกับเพิ่งเคยรู้จักเฉินผิงอันเป็นครั้งแรก


……


อุตรกุรุทวีปมีก่อกำเนิดท่านหนึ่งเฝ้าพิทักษ์ยอดเขาราชสีห์


อุตรกุรุทวีปมีผู้ฝึกกระบี่มากมายราวกับก้อนเมฆ อีกทั้งไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขาต่างก็เลื่อมใสฝ่ายบู๊อย่างถึงที่สุด แค่ขี่กระบี่สวนไหล่กันบนทะเลเมฆแล้วจ้องหน้ากัน สองฝ่ายก็อาจเปิดฉากสังหารกันจนมืดฟ้ามัวดิน อาจถึงขั้นโพล่งชื่อของภูเขาลูกอื่นออกมาแล้วเปิดฉากทุบทำลายภูเขาที่ตัวเองไม่ชอบขี้หน้า ทุบเสร็จก็เผ่นหนี ภูเขาที่เผชิญกับหายนะอย่างไม่คาดคิด กรอบป้ายโดนคนทุบทำลายเละเทะ ศาลบรรพชนพังถล่มไม่เหลือชิ้นดีก็ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ หลังจากนั้นก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะไปเอาเรื่องกับภูเขาลูกอื่น และเดี๋ยวก็ต้องมีคนรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรม หาเรื่องไประบายความแค้นใส่ภูเขาที่เล็กกว่าซึ่งห่างจากสำนักของตัวเองไปไกลเป็นทอดๆ กันไป


 อุตรกุรุทวีปก็คือสถานที่ประหลาดที่การฝึกตนเน้นเรื่องการฝึกพละกำลังอย่างสุดโต่ง และมีผู้ฝึกกระบี่เป็นผู้นำของผู้ฝึกตนทั้งหมด


ไม่อย่างนั้นก็คงไม่แย่งเอาคำว่า ‘อุตร’ ของธวัลทวีปที่อยู่ทางเหนือมาครองทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของใต้หล้าไพศาล


เพียงแต่ว่าหลังจากอริยะจากสถานศึกษาอวี๋ฝูท่านนั้นลงมือจัดการกับสามผู้ฝึกตนใหญ่อย่างสองก่อกำเนิดหนึ่งหยกดิบจน ‘หมดสภาพ’ จากนั้นก็ป่าวประกาศห้ามไม่ให้ผู้ฝึกกระบี่ของฝ่ายต่างๆ ใช้อำนาจรังแกคนอื่นอย่างไร้เหตุผล กองกำลังของแต่ละฝ่ายถึงได้สำรวมกันมากขึ้น


ตอนนี้ตลอดทั้งยอดเขาราชสีห์ หลังจากที่ได้เห็นกับตาว่าหลี่หลิ่วสามารถเข้าออกสถานที่ต้องห้ามที่แม้แต่เซียนดินก็ยากจะเยื้องกรายเข้าไปได้อย่างอิสระเสรี อีกทั้งยังนำตราประทับราชสีห์สีทองหนึ่งชิ้นออกมา เลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตกลางได้ในรวดเดียว ทุกคนต่างก็ตระหนักได้อย่างลึกซึ้งถึงความไม่ธรรมดาของ ‘หลี่หลิ่ว’ ผู้นั้น เมื่อเวลาล่วงเลยผ่าน ฐานะของหลี่หลิ่วในหัวใจของผู้ฝึกตนบนภูเขาจึงเป็นดั่งเรือที่ลอยสูงตามกระแสน้ำ จนกระทั่งเป็นรองแค่เจ้าขุนเขาผู้เฒ่าเท่านั้น ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตก่อกำเนิดที่เคยประมือกับอริยะสถานศึกษาอวี๋ฝูมาก่อน ตอนที่พูดคุยกับหลี่หลิ่วเป็นการส่วนตัวก็ยังวางตนอ่อนน้อมยิ่งกว่าตอนที่พวกผู้ฝึกลมปราณที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในสำนักได้พบกับหลี่หลิ่วเสียอีก!


คงมีแต่มารดาแท้ๆ ของหลี่หลิ่วที่เปิดร้านขายของอยู่ในเมืองเล็กตรงตีนเขาเท่านั้นที่ยังเลอะเลือน เข้าใจผิดคิดว่าบุตรสาวของตัวเองเหยียบขี้หมานำโชคที่ใหญ่เทียมฟ้า ถึงได้ถูกเซียนซือบนภูเขาบางท่านที่วัยวุฒิไม่สูงรับเป็นลูกศิษย์ สตรีแต่งงานแล้วยังถามโน่นถามนี่ กลัวว่าตาแก่หน้าไม่อายบางคนจะปรารถนาในความงามของบุตรสาวตน ถึงได้ให้หลี่หลิ่วไปฝึกวิชาเทพเซียนอะไรพวกนั้น นี่จะไม่ถ่วงเรื่องการแต่งงานของบุตรสาวตนหรอกหรือ? รอจนบุตรสาวอายุมากแล้ว ไหนเลยจะยังมีลูกเขยที่ชาติตระกูลดี ถุงเงินตุงแน่น หน้าตาพอใช้ได้มาหาถึงที่ หรือจะต้องให้นางช่วยหาบุรุษที่พอเข้าท่าเข้าทีจากในเมืองเล็กแห่งนี้ให้หลี่หลิ่วจริงๆ?


สตรีแต่งงานแล้วค่อนข้างจะดูแคลนบุรุษเหล่านี้อยู่บ้าง นางเริ่มเสียใจภายหลังที่ตอนนั้นหน้าไม่หนาพอรั้งตัวลูกหลานตระกูลร่ำรวยที่เดินทางมาด้วยกันนั่นไว้เสียก่อน ดูเหมือนจะแซ่ซือถูอะไรสักอย่าง? หากให้เขาได้อยู่ต่อสักปีครึ่งปี ไม่แน่ว่าบุตรสาวหลี่หลิ่วอาจไม่ต้องขึ้นภูเขาไปทำเรื่องไร้สาระ แต่งงานเข้าบ้านคนมีเงินอย่างมีหน้ามีตา ชีวิตนี้ก็ถือว่าไม่ต้องทุกข์เรื่องการกินการอยู่อีกแล้ว รอหลี่ไหวโตอีกหน่อยก็รับมาอยู่ด้วยกันที่นี่ ไม่แน่ว่าอาจจะขอให้พี่เขยของเขาช่วยหางานดีๆ ที่ทั้งสบายและได้เงินให้เขาทำ


สตรีแต่งงานแล้วเปิดร้านมาเกือบสองปี อารมณ์ของนางไม่ค่อยจะดีนัก หาเงินได้ไม่มาก วันๆ ยังต้องคอยเป็นกังวลว่าบุตรชายที่อยู่ในสำนักศึกษาจะถูกคนรังแก กังวลว่าบนภูเขาลมแรง บุตรสาวจะผิวพรรณหยาบกร้าน ไม่งดงามบอบบางเหมือนเดิมแล้วหรือไม่


ช่วงเวลานี้ทุกครั้งที่หลี่หลิ่วลงจากภูเขาล้วนต้องมาอยู่ช่วยงานที่ร้านพ่อแม่ อยู่ครั้งหนึ่งก็นานสองสามวัน


คนทั้งบนและล่างยอดเขาราชสีห์ล้วนได้รับคำสั่งอย่างเข้มงวดจากเจ้าขุนเขาผู้เฒ่า ไม่อนุญาตให้เข้าใกล้ร้านเล็กในเมืองแห่งนี้ หากถูกจับได้จะถูกโบยตายคาที่อย่างไม่มีข้อยกเว้น


ดังนั้นจนถึงตอนนี้สตรีแต่งงานแล้วก็ยังไม่รู้ว่า บุตรสาวหลี่หลิ่วที่อยู่บนยอดเขาราชสีห์เป็นเทพเซียนยิ่งกว่าเทพเซียนเสียอีก ไม่ได้เป็นสาวใช้น้อยหน้าตางดงามที่คอยยกน้ำส่งชาอยู่ข้างกายเทพเซียนคนใด



 

 

 


บทที่ 368.3 หลี่เอ้อร์เดินทางไกล จั่ว...

 

สองวันมานี้หลี่หลิ่วเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไกลครั้งหนึ่ง นางกำลังนวดไหล่ให้ท่านแม่อยู่ในร้าน ฟังสตรีแต่งงานแล้วเล่าเรื่องจุกจิกของแต่ละครอบครัว บ่นเรื่องการชิงดีชิงเด่นของเพื่อนบ้านที่หาแก่นสารไม่ได้


หลี่เอ้อร์นั่งอยู่บนประตูอาบแสงอาทิตย์ปลายฤดูหนาว สตรีแต่งงานแล้วยิ่งมองก็ยิ่งหงุดหงิดใจ คนไม่ได้เรื่อง!


บุรุษของบ้านอื่น ต่อให้หน้าเหมือนหนูผอมเหมือนไม้เสียบผีเมียก็ยังคอยบ่นคอยด่า ร้องไห้คร่ำครวญว่าบุรุษของตัวเองไปลักลอบมีความสัมพันธ์กับนางจิ้งจอกของบ้านใด หลี่เอ้อร์กลับดีนัก ทำตัวให้นางวางใจได้จริงๆ! แต่หากหลี่เอ้อร์มีแผนการในใจอันแยบยล คาดว่านางเองก็คงต้องหยิบมีดหั่นผักมาเฉือนขาที่สามของหลี่เอ้อร์ก่อน จากนั้นค่อยไปสู้ตายกับนางแพศยานั่น แต่สำหรับคนนอก สตรีแต่งงานแล้วไม่กล้าใช้มีดจริงๆ นางอยู่ที่นี่ไม่คุ้นเคยกับทั้งคนและสถานที่ ทำแบบนั้นต้องถูกคนอื่นรวมตัวกันมารังแกแน่นอน


ในเรื่องที่เก่งแต่ในผ้าห่มตัวเองนี่ หลี่ไหวเหมือนนาง


หลี่เอ้อร์เช็ดปาก ไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตที่สงบสุขของที่นี่เป็นสิ่งที่เกินจะทานทน อันที่จริงเขาคุ้นเคยกับชีวิตแบบนี้มานานแล้ว และก็ชอบแค่ชีวิตแบบนี้เท่านั้น แต่ถึงอย่างไรตอนนี้สามคนในครอบครัวต่างก็อยู่ที่อุตรกุรุทวีป มีเพียงหลี่ไหวคนเดียวที่อยู่ต่อในสำนักศึกษาต้าสุยของแจกันสมบัติทวีป ชายฉกรรจ์เป็นคนไม่ช่างพูด แล้วก็ชอบเก็บเรื่องทุกอย่างไว้ในใจ ทว่าใต้หล้านี้จะมีบิดาคนใดที่ไม่เป็นห่วงว่าบุตรของตัวเองจะหิวหรือไม่ จะหนาวหรือไม่บ้างเล่า


หลี่หลิ่วปรนนิบัติแม่ของตัวเองเสร็จก็ยกม้านั่งตัวเล็กสองตัวมาที่หน้าประตู พ่อลูกสองคนนั่งกันคนละตัว


เฉาซีเซียนกระบี่แห่งนาตยทวีปที่ทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องมรรคาของหลี่หลิ่วอยู่ที่ยอดเขาราชสีห์มานานมากแล้ว ทุกครั้งที่ลงจากเขาล้วนต้องคอยคุ้มกันหลี่หลิ่วเวลาที่นางไปเยือนสถานที่ลึกลับที่หายเข้ากลีบเมฆ หรือไม่ก็ซากปรักหักพังของจวนตระกูลเซียนที่ควันธูปขาดสะบั้น คอยมองดูนางเก็บเอาสมบัติมา


คือการเก็บจริงๆ


เฉาซีไม่ต้องลงมือทำอะไร แค่คอยมองหลี่หลิ่วที่เดินทางกลับพร้อมสมบัติเต็มมือครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ด้านข้างเท่านั้น


ครั้งนี้หลังจากคุ้มกันหลี่หลิ่วกลับมาถึงยอดเขาราชสีห์แล้ว เฉาซีผู้ฝึกกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ ในที่สุดก็ไม่ต้องคอยติดตามนังหนูนิสัยประหลาดผู้นั้นเตร็ดเตร่ไปทั่วอย่างส่งเดชอีกแล้ว เขาจึงลงจากภูเขาไปเพียงลำพัง ตอนนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหน


ตอนนี้ตรงเอวของหลี่หลิ่วห้อยตราประทับราชสีห์ทองคำหนึ่งแผ่น ยังมีกระบี่สั้นที่สะพายไว้เอียงๆ อีกหนึ่งเล่ม


เพียงแต่ว่าถูกเฉาซีร่ายคาถาอำพรางตาเอาไว้ ขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินก่อกำเนิดลงไปล้วนมองไม่เห็น


หลี่หลิ่วพลันหันมามองหลี่เอ้อร์ สายตาคนทั้งสองสบกันเพียงเล็กน้อย หลี่เอ้อร์ก็ลุกขึ้นยืนบอกว่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอก ส่วนหลี่หลิ่วกลับเข้าไปในห้อง พูดคุยเป็นเพื่อนท่านแม่


สตรีแต่งงานแล้วด่ายิ้มๆ “รู้จักย้ายรังบ้างแล้ว หากมีความสามารถไปเกี้ยวพาเอาผู้หญิงกลับมาบ้าน จะให้ข้ารับนางเป็นน้องสาวก็ยังได้”


หลี่เอ้อร์สาวเท้าเดินเร็วขึ้น


สตรีแต่งงานแล้วตวัดค้อนใส่ บ่นให้หลี่หลิ่วฟัง “ปีนั้นตาบอดจริงๆ ถึงได้แต่งงานกับท่านพ่อเจ้า ตอนนั้นที่เมืองเล็กมีหนุ่มน้อยหล่อเหลาตั้งมากมายเท่าไหร่ที่มาหลงใหลแม่ของเจ้า คงเป็นเพราะถูกผีบังตาล่อลวงจิตใจกระมัง ข้าถึงได้เลือกพ่อเจ้า”


หลี่หลิ่วยิ้มอย่างอ่อนโยน “หากไม่เป็นเช่นนี้ จะมีข้าและน้องชายได้อย่างไร”


สตรีแต่งงานแล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากหลี่หลิ่วหนึ่งที แค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “หลี่ไหวรู้ความตั้งแต่เด็กแล้ว เจ้าล่ะ ดูเจ้าที่เป็นพี่สาวนี่สิ ไม่รู้จักสงสารน้องชายบ้างเลย…ดื้อจะเรียนวิชาเซียนอะไรนั่นให้ได้ เด็กโง่อย่างเจ้าจะเรียนได้หรือ? เวลาบนภูเขาผ่านไปเร็ว แปบเดียวก็ผ่านไปสามปีห้าปีแล้ว ถึงเวลานั้นจากที่เจ้าเป็นสาวน้อยในห้องหอก็จะกลายเป็นหญิงแก่ ใครจะยังเต็มใจอยากแต่งงานกับเจ้าอีก? ไม่เพียงแต่สินสอดจะน้อย ยังต้องให้แม่ควักเอาเงินเก็บก้อนที่ไว้ให้น้องชายเจ้าแต่งเมียมาเพิ่มในสินเจ้าสาวของเจ้าอีก เจ้าทำแบบนี้จะไม่รู้สึกผิดต่อหลี่ไหวหรือ…”


บ่นยาวไม่หยุด


อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว เรียกได้ว่าลำเอียงจนเลอะเลือนแล้ว


หลี่หลิ่วกลับไม่รู้สึกโกรธ กลับกันดวงตาคลอประกายน้ำคู่นั้นยังหยีลงเป็นพระจันทร์เสี้ยว “ฝึกวิชาเซียนบนภูเขา ทุกเดือนจะได้รับเงินส่วนหนึ่ง ข้ายังเก็บสะสมไว้ให้หลี่ไหวด้วยนะ วันหน้าเมื่อเขาแต่งภรรยาจะได้ไม่ต้องถูกคนดูแคลน”


สตรีแต่งงานแล้วได้ยินก็ตกตะลึงระคนยินดี แต่แล้วก็ร้อนใจขึ้นมาครามครัน ยื่นมือออกมา “แล้วไม่รีบพูด?! รีบเอาออกมาเร็วเข้า หากวันใดเจ้าไปเจอกับคนเสเพลปากหวานช่างเอาใจ ถูกเขาเอาเงินไปผลาญจนหมด หลี่ไหวจะทำอย่างไร? ข้าต้องช่วยเก็บไว้แทนเจ้า!”


หลี่หลิ่วหยิบถุงเงินใบหนึ่งออกมา มีเงินอยู่ข้างในประมาณยี่สิบสามสิบตำลึง “อันที่จริงบนภูเขายังมีอีก”


สตรีแต่งงานแล้วรีบเก็บไว้ ในที่สุดมโนธรรมในใจก็เริ่มทำงาน “ส่วนที่เหลือเจ้าเก็บไว้เองเถอะ อยู่บนภูเขาต้องคบค้าสมาคมกับพวกลูกศิษย์เทพเซียน ย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลักการเล็กน้อยแค่นี้แม่ยังรู้อยู่บ้าง เจ้าไปบอกพวกเขาว่า หากลงจากภูเขามาซื้อของที่ร้านพวกเรา ข้าจะลดราคาให้”


หลี่หลิ่วอืมรับอย่างว่าง่าย


คำว่า ‘ยังมีอีก’ ของนาง


แม้แต่เซียนกระบี่แห่งนาตยทวีปที่เคยเห็นเงินทองมากมายมาจนชินตาก็ยังอดหวั่นไหวไม่ได้


สตรีแต่งงานแล้วได้เงินก้อนใหญ่ที่เหมือนหล่นลงมาจากฟ้าก้อนนี้ อารมณ์ก็ดีขึ้นทันตา ลูบมือเล็กๆ อ่อนนุ่มของบุตรสาวตัวเอง “วันหน้าแต่งงานให้กับคนดีๆ แม่กับพ่อของเจ้าก็วางใจแล้ว จำไว้นะว่า ทางที่ดีที่สุดควรจะหาคนจากครอบครัวใหญ่ที่สามารถช่วยเหลือน้องชายเจ้าได้”


หลี่หลิ่วตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ทราบแล้ว”


ตอนที่หลี่เอ้อร์กลับมา สีหน้าของเขามืดทะมึนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


สตรีแต่งงานแล้วประหลาดใจเล็กน้อย แต่จากนั้นก็โมโหอย่างหนัก “ทำไม มองผู้หญิงบ้านไหนนานหน่อยเลยถูกนางด่าเข้าหรือ? คิดจะก่อกบฏหรือไร แค่มองไม่กี่ทีเนื้อหน้าอกของนางจะหายไปอย่างนั้นหรือ ข้าจะไปด่านางเอง!”


หลี่เอ้อร์ส่ายหน้า “พวกเราสามคนไปคุยกันที่เรือนหลังบ้าน”


ก่อนหน้านี้เบื้องหน้าหลี่เอ้อร์มีควันธูปกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา


จากนั้นเขาก็พุ่งขึ้นเขาไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่เงียบสงบแห่งหนึ่งของยอดเขาราชสีห์ พอได้ยินข่าวหนึ่งก็รีบกลับมาที่ร้านทันที


ข้างโต๊ะของเรือนหลัง สตรีแต่งงานแล้วเริ่มกระวนกระวายมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะน้อยครั้งนักที่หลี่เอ้อร์จะทำท่าทางเช่นนี้ ชั่วชีวิตที่ผ่านมาเคยมีแค่ครั้งเดียว ครั้งนั้นหลี่เอ้อร์คนขี้ขลาดที่ดีแต่จะรังแกนางบนเตียง แต่เวลาพูดกับคนนอกกลับไม่กล้าทำเสียงดังใส่เข้าไปตัดฟืนในภูเขามารอบหนึ่ง เนิ่นนานกว่าจะออกมาจากภูเขา แต่ยังดีที่ได้เงินมาจำนวนหนึ่ง


หลี่หลิ่วนั่งลงข้างกายมารดา เห็นว่าบิดากำลังจะเปิดปากพูดก็รีบเอ่ยถามอย่างคนที่ ‘เข้าใจผู้อื่น’ ทันที “ทางบ้านเกิดส่งจดหมายมาที่เมืองเล็กแห่งนี้หรือ?”


หลี่เอ้อร์ไม่ใช่คนโง่ รีบพยักหน้าตอบรับทันที พูดอย่างอัดอั้นว่า “ท่านอาจารย์บอกเรื่องหนึ่งมา ข้าจึงอยากจะปรึกษากับพวกเจ้าสองแม่ลูก”


สตรีแต่งงานแล้วกลืนน้ำลาย “คงไม่ใช่ว่าตาเฒ่านั่นตายแล้วไม่มีคนช่วยเก็บศพให้ เลยต้องการให้ลูกศิษย์อย่างเจ้ากลับไปช่วยจัดการงานศพให้กระมัง? นี่มันไกลมากเลยนะ พวกเราแค่ส่งเงินกลับไป บอกให้คนของร้านยาตระกูลหยางช่วยทำแทนไม่ได้หรือ? ตาแก่นั่นก็จริงๆ เลย จะตายทั้งทีไม่รู้จักตายให้ดี พวกเราเพิ่งจะหยัดยืนอยู่ที่นี่ได้อย่างมั่นคง เขาก็ไปพบยมบาลซะแล้ว หากข้าเห็นโลงศพเขาจะต้องด่าให้ตาแก่นั่นฟื้นคืนชีพกลับมาเลย!”


หลี่หลิ่วปิดปากหัวเราะ


หลี่เอ้อร์อ้าปากค้าง อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “ท่านอาจารย์ผู้อาวุโสสบายดี ก็แค่…เกิดเรื่องกับเจิ้งต้าเฟิงแล้ว”


สตรีแต่งงานแล้วกะพริบตาปริบๆ “เจ้าคนบ้ากามหน้าไม่อายนั่นหรือ คนที่ทำเรื่องชั่วเก่งแบบนั้นจะเกิดเรื่องอะไรได้? ทำไม ไหนบอกว่าเขาไปอยู่ทางใต้ไม่ใช่หรือ หรือพอไปอยู่ที่นั่นแอบไปถ้ำมองเด็กสาวหน้าตางดงาม หรือแอบไปขโมยของประจำกายของสตรีแต่งงานแล้วมา ก็เลยถูกคนตีจนตาย?”


หลี่เอ้อร์จ้องมองผิวโต๊ะ พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ยังไม่ตาย แต่ถูกคนตีจนกลายเป็นคนพิการ กระดูกสันหลังหักหมด ตอนนี้ยังนอนอยู่บนเตียง วันหน้าต่อให้อาการป่วยดีขึ้นแล้วก็กลายเป็นบุรุษที่ไม่อาจยืดสันหลังได้ตรงอีก อีกทั้งคราวนี้ศิษย์น้องไม่ได้หาเรื่อง แต่เป็นคนอื่นที่มาหาเรื่องเขา ข้าถามอาจารย์ว่าทำไมไม่ดูแลเขาบ้าง ท่านอาจารย์ผู้อาวุโสบอกว่าไม่ใช่พ่อแม่ของต้าเฟิงสักหน่อย สอนวิชาให้เขาแล้ว เขาไม่ได้ตายอยู่ข้างนอกสักหน่อย ยังจะทำอะไรได้อีก”


หลี่หลิ่วหรี่ดวงตาที่งดงามเรียวยาวดุจใบหลิ่วคู่นั้นลง


สตรีแต่งงานแล้วอึ้งตะลึง พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว


เจ้าสารเลวเจิ้งต้าเฟิงผู้นี้เป็นคนปากเปราะ แม้นางจะชอบด่าเขาว่ามีชะตาชีวิตต้อยต่ำเป็นได้แค่ชายโสด แต่ศิษย์น้องของบุรุษของตนผู้นี้ อันที่จริงเขา…ไม่ใช่คนเลวร้าย


หลี่เอ้อร์เงยหน้าขึ้นมองภรรยาของตัวเอง “ข้าอยากไปหาศิษย์น้อง แต่กลัวว่าเจ้า…จะไม่ยอม”


สตรีแต่งงานแล้วตาแดงก่ำ สบถด่าเสียงดัง “หากเจ้าไม่ไป เจ้าหลี่เอ้อร์ยังเป็นคนอยู่ไหม?”


หลี่เอ้อร์ยิ้มกว้างทันที


สตรีแต่งงานแล้วถามอย่างระมัดระวัง “ไปแล้ว เจ้าห้ามแขนขาดขาขาดกลับมาได้ไหม?”


หลี่เอ้อร์พยักหน้ารับ “สู้ไม่ได้ก็หนี ไม่ใช่เรื่องใหญ่”


สตรีแต่งงานแล้วเป็นกังวลขึ้นมาทันที “อะไรนะ? ยังจะต้องต่อยตีกับคนอื่นด้วยหรือ?!”


หลี่เอ้อร์ไหล่ลู่คอตก ไม่ค่อยอยากโกหกภรรยาของตัวเองสักเท่าไหร่


หลี่หลิ่วรีบพูดโน้มน้าว “ท่านแม่ ไม่เป็นไรหรอก สถานที่ที่เจิ้งต้าเฟิงอยู่อาศัยไม่เหมือนกับบ้านเกิดของพวกเรา ขอแค่จ่ายเงินให้กับทางการก็สามารถทวงคืนความเป็นธรรมได้แล้ว แค่อาจจะสิ้นเปลืองหน่อยเท่านั้น ใช่ไหม ท่านพ่อ?”


หลี่เอ้อร์รีบพยักหน้ารับ


สุดท้ายก็ยังเป็นบุตรสาวแท้ๆ ที่รู้ใจบิดามากที่สุด


สตรีแต่งงานแล้วเช็ดน้ำตา วางถุงเงินที่เพิ่งได้มาลงบนโต๊ะ แล้วเดินเข้าไปพลิกค้นกล่องและชั้นวางในห้อง หยิบถุงใบใหญ่ออกมาอีกหนึ่งถุง นอกจากเงินแต่งภรรยาของหลี่ไหวบุตรชายที่ต่อให้ตายก็ไม่มีทางแตะต้องแล้ว ทรัพย์สมบัติเกือบทั้งหมดของพวกเขาก็ล้วนเอามามอบให้หลี่เอ้อร์ทั้งหมด ก่อนจะพูดว่า “เดินทางใช้จ่ายประหยัดหน่อย เหลือไว้มากๆ จะได้เอาไปจ่ายให้กับทางการ”


หลี่เอ้อร์หยิบเงินมาแล้วก็ก้าวยาวๆ ออกจากร้านไป เพียงหันมาพูดกับหลี่หลิ่วว่าดูแลท่านแม่ของเจ้าให้ดี


สตรีแต่งงานแล้วนั่งเหม่ออยู่ในเรือนหลัง เนิ่นนานต่อมาจึงถอนหายใจหนึ่งครั้ง “ต้าเฟิงก็เป็นคนน่าสงสาร วันหน้าจะหาเมียยังไงนะ”


หลี่หลิ่วยื่นนิ้วสองนิ้วออกมาลูบด้ามกระบี่ของกระบี่สั้นที่อยู่ตรงเอวเงียบๆ


หลี่เอ้อร์ตรงดิ่งไปยังยอดบนสุดของยอดเขาราชสีห์ ไปหาผู้เฒ่าก่อกำเนิดที่มีชื่อเสียงด้านความเชี่ยวชาญการประลองคาถาอาคม บอกว่าต้องการเรือข้ามฟากลำเล็กของสำนักเพื่อเดินทางไปที่ท่าเรือใหญ่แห่งหนึ่งก่อน แล้วค่อยเดินทางไปแจกันสมบัติทวีป


ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ไม่กล้าถามมาก หนึ่งเพราะบุรุษทึ่มทื่อผู้นี้คือบิดาแท้ๆ ของ ‘บรรพจารย์หลี่หลิ่ว’ ของตน สองเพราะบุรุษคนนี้คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบ! ด้วยความต่างระหว่างคนทั้งสองในตอนนี้ คิดจะทำร้ายให้เซียนดินก่อกำเนิดอย่างตนบาดเจ็บสาหัส เกรงว่าคงเป็นเรื่องของหมัดเดียวเท่านั้น


อีกอย่างเจ้าขุนเขายอดเขาราชสีห์ก็รู้สึกมาโดยตลอดว่า คนอย่าง ‘หลี่เอ้อร์’ นี้ต่างหากที่น่ากลัวที่สุด


พูดง่ายเกินไป โอนอ่อนผ่อนตามมากเกินไป เมื่อเทียบกับชาวบ้านตามป่าตามเขาที่ขี้ขลาดที่สุดแล้วก็ยังไม่มีความกล้าใดๆ เลย


ดังนั้นหากเป็นช่วงเวลาที่หลี่เอ้อร์ไม่เต็มใจจะพูดคุยดีๆ อย่างน้อยยอดเขาราชสีห์แห่งนี้ของตนก็ไม่มีทางทนรับการทุบตีของอีกฝ่ายได้แน่นอน


ผู้เฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไปส่งท่านลงจากเขาเดินทางไปยังท่าเรือแห่งนั้นด้วยตัวเองดีกว่า ช่วยอะไรท่านไม่ได้มาก แต่ให้ช่วยลดปัญหายุ่งยากเล็กๆ น้อยๆ กลับยังพอทำได้”


หลี่เอ้อร์ไม่ได้ปฏิเสธ เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ จากนั้นก็โดยสารเรือข้ามฟากที่เจ้าขุนเขาของยอดเขาราชสีห์เป็นผู้บังคับด้วยตัวเองมุ่งหน้าลงใต้ไปอย่างรวดเร็ว


หลี่เอ้อร์ถึงขั้นไปนั่งอยู่บนราวระเบียงบนหัวเรือ


ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในพื้นที่เงียบสงบห่างไกล หลังจากที่ควันธูปทั้งสามกลุ่มลอยขึ้นมาก็สามารถมองเห็นภาพที่ผู้เฒ่านั่งอยู่ในลานบ้านด้านหลังร้านยาตระกูลหยางได้อย่างชัดเจน


สุดท้ายหลี่เอ้อร์ถามผู้เฒ่าว่า ตนสามารถไปเยือนสำนักใบถงได้หรือไม่


ผู้เฒ่าทิ้งไว้ประโยคหนึ่งว่า ตามใจเจ้า จากนั้นก็โบกมือสลายควันธูปเหล่านั้น


ตามใจข้าหลี่เอ้อร์


ถ้าอย่างนั้นก็จัดการได้ง่ายแล้ว


หลังจากที่เขาฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตเก้าเลื่อนสู่ขอบเขตสิบถึงได้รู้ว่ายังมีฟ้าดินแห่งใหม่ ที่สำคัญที่สุดก็คือเขารู้ว่าอันดับต่อไปตนควรจะเดินไปบนทางสายนี้อย่างไร ทำอย่างไรถึงจะเดินได้เร็วยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะไปถึงปลายทางของทางสายขาดนี้ เขาหลี่เอ้อร์สามารถเดินไปได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรคตลอดทาง


ได้ยินว่าเจ้าคนที่ชื่อตู้เม่าผู้นั้นจ่ายค่าตอบแทนไปในนครมังกรเฒ่าไม่น้อย สูญเสียอาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตและกายนอกกายจิตหยาง ตอนนี้อย่างมากก็มีแค่ตบะเซียนเหรินขั้นต้นเท่านั้นกระมัง? แต่ท่านผู้เฒ่าบอกว่า ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาของสำนักใบถงไม่ค่อยได้เรื่องสักเท่าไหร่


ถ้าอย่างนั้นทางที่ดีที่สุดคือช่วงนี้เจ้าตู้เม่าควรไปจุดธูปกราบไหว้ที่ศาลบรรพจารย์เยอะๆ ไม่อย่างนั้นวันหน้าก็อาจจะไม่มีโอกาสนี้อีกแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)