ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 366-367
ตอนที่ 366 สามวันคิดถึงครั้งหนึ่ง?
ตู๋กูถิงกำมือแน่น เขาแทบจะพุ่งเข้าไปแล้ว
แต่กลับเห็นหลานสาวของตนเองโผล่ศีรษะออกมาเสียก่อน “ท่านปู่ หากว่าหอกของท่านยังคงแทงลงมา ฤกษ์ที่ฝ่าบาทจะเสด็จไปทำศึกก็ต้องเลื่อนออกไปอีก”
สีหน้าของท่านผู้เฒ่าคล้ำลง เขาคิดว่าสมควรส่งฮ่องเต้น้อยผู้นี้ให้รีบออกไปฝึกฝนตนเองจะดีกว่า
หากปล่อยให้มาคลุกคลีอยู่ข้างๆ หลานสาวของตนทั้งวันทั้งคืนคงปวดหัวน่าดู
“ฝ่าบาททรงล้อกระหม่อมเล่นแล้ว เมื่อครู่กระหม่อมนึกว่าเป็นหัวขโมยมาจากที่ใด ฝ่าบาทเสด็จมาจวนตระกูลตู๋กูของพวกเรา ประตูใหญ่มีกลับไม่ผ่าน แต่กลับปีนหน้าต่างเข้ามา นี่มิเท่ากับว่าทำให้ผู้คนเข้าใจผิดง่ายๆ หรอกหรือ?”
ตู๋กูถิงกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่ดวงตากลับไม่ยิ้ม หอกในมือก็ส่งเสียงครืนครานออกมา
“ในเมื่อคืนนี้ฝ่าบาททรงบรรทมไม่หลับ มิสู้ลองมาแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับกระหม่อมดีกว่าไหม? แคว้นต้าเหยียนมีแม่ทัพที่ดุร้ายอยู่ผู้หนึ่งเกรงว่าคงไม่แพ้แก่ฝ่าบาทเป็นแน่ ฝ่าบาทจะได้ทรงทดลองดูก่อน”
ว่าตามจริงแล้ว เขาก็สงสัยในความสามารถที่แท้จริงของจีเฉวียนอยู่เหมือนกัน
หากได้ประลองดูสักรอบ ไม่แน่ว่าสามารถล้วงอะไรออกมาได้บ้าง
“ก็ได้” ฮ่องเต้มิได้ทรงปฏิเสธ
พระองค์ยังทรงจดจำคำแนะนำของอู๋เหนียงจื่อได้ดี หากคนในครอบครัวของซิงซิงมีข้อแม้อันใด ทางที่ดีสมควรจะรับปากไปให้หมด
ฝ่าบาทพลิกพระองค์ลงจากเตียง ทั้งยังทรงไม่ลืมห่อตัวตู๋กูซิงหลันอย่างมิดชิด
“สวนด้านนอกกว้างขวางพอดี ท่านผู้เฒ่าโปรดสั่งสอน”
ตรัสแล้ว จีเฉวียนก็ทรงเสด็จออกไปก่อน พลางยื่นพระหัตถ์ไปหักกิ่งไม้ลงมากิ่งหนึ่ง “ใช้กิ่งไม้นี้แทนอาวุธ จี้ถึงพึงหยุดลง”
ท่านผู้เฒ่ากำหอกเอาไว้ในมือ พลิกร่างไล่ตามไป
“ฝ่าบาทสมควรใช้ดาบ กระหม่อมขอใช้หอกก็พอแล้ว”
จีเฉวียนพระสรวลเบาๆ “ท่านผู้เฒ่าอายุมากแล้ว อย่าได้หักโหมเลย”
ตู๋กูถิงฟังแล้วแทบจะระเบิดตัวเอง
เขาควงหอกอยู่ครู่หนึ่งก็พุ่งเข้ามาถึงเบื้องหน้าของจีเฉวียน ทุ่มแทงปลายหอกออกมา ราวกับว่าต้องการต่อสู้กับจีเฉวียนอย่างจริงจัง
ตู๋กูซิงหลันยังคงนอนอยู่บนเตียง นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมอยู่ๆ ทั้งสองคนถึงได้ตีกันขึ้นมา
เพราะว่าตอนนี้นางง่วงแทบตายแล้ว
จึงไม่คิดจะสนใจอะไรพวกเขาอีก นางทำเป็นไม่สนใจหลับสบายในผ้าห่มต่อไป
พอตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าข้างกายมีอะไรเย็นๆ
แสงแดดสาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ตกต้องลงบนร่างของเขา งดงามราวกับภาพฝัน
“ซิงซิง อรุณสวัสดิ์” จีเฉวียนจุมพิตลงบนหน้าผากของนางครั้งหนึ่ง “หลับสบายดีไหม?”
ตู๋กูซิงหลันมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นในสวนมีแต่ความสงบนิ่ง
“ท่านปู่เล่า?”
“ท่านผู้เฒ่าเมื่อวานพ่ายแพ้การประลอง ตอนนี้คงกำลังพักผ่อนอยู่” จีเฉวียนยื่นพระหัตถ์มากอดหัวไหล่ของนางเอาไว้ สีพระพักตร์แสนจะอบอุ่น
ตู๋กูซิงหลันกวาดตามองดูจีเฉวียนอย่างละเอียดลออครั้งหนึ่ง เห็นเขาสบายดีเป็นปกติตลอดร่าง แม้แต่รอยขีดข่วนสักนิดก็ไม่มี
“ท่านผู้เฒ่ารับปากเรา แพ้แล้วก็จะยอมให้เราอยู่เป็นเพื่อนเจ้า” จีเฉวียนลูบศีรษะน้อยๆ ของนางเบาๆ “เจ้าช่างเป็นลูกหมูน้อยจริงๆ เรากับท่านผู้เฒ่าอึกทึกครึกโครมกันขนาดนั้น เจ้ากลับหลับอย่างสบาย เราอิจฉาเจ้านัก”
ลูกหมูน้อยกับผีน่ะสิ
“หลายวันนี้เราจะขออยู่กับเจ้าตลอดเวลา อีกไม่กี่วันก็จะยกทัพออกไปจัดการแคว้นเหยียนแล้ว” จีเฉวียนเอนพระองค์อยู่ข้างกายนาง สายพระเนตรมีแต่ความอาวรณ์
“ครึ่งปีที่เราจากไปนี้ เจ้าจะหาเวลามาคิดถึงเราวันละนิดได้ไหม?”
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าตนเองคงไม่คิดถึงเขาหรอก
“สามวันคิดถึงครั้งหนึ่งเป็นอย่างไร?”
“ห้าวัน…..มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
จีเฉวียนประคองหน้าของนางเอาไว้ “ทุกสิบวันเราจะให้คนส่งข่าวมา ไม่ให้เจ้าต้องเป็นห่วงไป”
ตู๋กูซิงหลันก็ไม่รู้สึกว่าตนเองจะต้องห่วงอะไร
“อืม”
ผ่านไปครึ่งวันนางค่อยส่งเสียงรับคำออกมา
นางชักจะรู้สึกว่าแง่มุมระหว่างตนเองกับฮ่องเต้อยู่ๆ ก็ชักจะเปลี่ยนไปแล้ว
ก่อนหน้านี้เป็นนางที่คอยประจบเขา เพราะกลัวว่าจะไปทำอะไรผิดใจ
ตอนนี้กลับกันแล้ว จีเฉวียนคอยเอาใจนาง กลัวว่านางจะไม่ชอบเขา
นี่เรียกว่าอะไรนะ? สถานการณ์เปลี่ยนสถานะ ผลัดกันเป็นสุนัขขี้ประจบ คนที่ต้องชะเลียเป็นคนสุดท้ายนั้นยังไม่รู้ว่าจะเป็นใครเลย
“เจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับเรา ไม่คิดจะทำอะไรให้กับเราสักหน่อยหรือ?”
จีเฉวียนรอคอยด้วยความคาดหวังจากหัวใจ
ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน ค่อยกล่าวออกมาคำหนึ่ง “ฝ่าบาท เดินทางโดยสวัสดิภาพนะเพคะ”
จีเฉวียน “…..”
……………………………
บนดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาล แคว้นต้าโจวถือว่าตั้งอยู่ตรงศูนย์กลาง
แคว้นเหยียนนั้นค่อนไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ติดกับทะเล อากาศจึงอบอุ่นกว่าแคว้นต้าโจวมาก
วันที่ฝ่าบาททรงยกทัพออกไปนั้น หิมะตกอย่างหนัก
พระองค์สวมใส่เกราะสีทอง พระเศียรทรงหมวกเกราะ หมวกเกราะใบนี้เป็นสีดำประดับด้วยพู่ไข่มุก
บั้นพระองค์แขวนกระบี่สีทอง
เหล่าทหารสวมใส่เกราะนักรบยืนอยู่ท่ามกลางหิมะโปรยปรายทั่วฟ้า
เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นทั้งหมดอยู่ที่ประตูตงฮวาเหมินรอคอยส่งเสด็จฝ่าบาทที่ออกรบด้วยพระองค์เอง
แคว้นต้าโจวผ่านการสถาปนามาแล้วถึงสามพระองค์ หลังจากที่ปฐมฮ่องเต้ทรงก่อตั้งแว่นแคว้นขึ้นมาก็ออกศึกด้วยพระองค์เองเพียงสองครั้งเท่านั้น
อดีตฮ่องเต้ทรงเป็นฮ่องเต้ผู้ตั้งมั่นอยู่ในความสงบอยู่เสมอ แม้แต่ประตูเมืองหลวงก็ยังไม่เคยก้าวออกไปเลยสักครั้ง
ดังนั้นตอนแรกที่ได้ยินข่าวว่าฝ่าบาทจะเสด็จไปออกศึกด้วยพระองค์เอง ทุกผู้ทุกนามต่างก็พากันประหลาดใจ
คนส่วนมากล้วนพากันคัดค้าน ….ทุกวันนี้แคว้นต้าโจวของพวกเขา ควรเป็นแคว้นมั่งคั่งประชาชนเข้มแข็ง นี่ราวกับว่าแม่ทัพสักคนก็หาไม่ได้ จำเป็นจะต้องให้ฝ่าบาทเสด็จไปด้วยพระองค์เองหรือ?
เพียงแต่ว่าเสียงคัดค้านเหล่านี้พอไปถึงจีเฉวียนก็สลายกลายเป็นฟองอากาศไปจนหมด
เรื่องที่ฝ่าบาทตัดสินพระทัยไปแล้วว่าจะทรงทำ ใครก็ไม่อาจขวางได้ทั้งนั้น
ยามนี้ ตู๋กูซิงหลันอยู่บนกำแพงเมือง ข้างกายของนางมีหยวนเฟยและเชียนเชียนยืนอยู่
เกล็ดหิมะตกลงบนใบหน้า หนาวอย่างยิ่ง
ตู๋กูซิงหลันจับจ้องไปยังจีเฉวียน
เขาช่างดึงดูดสายตาอย่างยิ่ง
นางไม่เคยได้เห็นเขาสวมใส่ชุดเกราะมาก่อนเลย
ชุดเกราะหนามาก แต่เมื่ออยู่บนร่างของเขา ดูไปแล้วเหมือนมิได้หนักเลยสักนิด
กลับส่งเสริมความองอาจที่ไม่ธรรมดา ให้ความรู้สึกที่บ่งบอกไม่ถูก
หยวนเฟยเอาแต่จับจ้องไปยังตู๋กูจุนที่อยู่ข้างกายจีเฉวียน
เขามักจะไปไหนมาไหนอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยใช้เวลาอยู่ในเมืองหลวงเนิ่นนานมาก่อน
ถึงแม้ว่าจะสวมใส่ชุดเกราะสีเงินยืนอยู่ข้างกายฝ่าบาทแต่ก็มิได้ด้อยกว่าเลยสักนิด
ตู๋กูซิงหลันเหลือบตามองดูนางแวบหนึ่ง อากาศหนาวถึงเพียงนี้ หยวนเฟยยังคงสวมใส่ชุดที่เปิดเผยเรียวขาและหน้าท้อง สาวน้อยเอาแต่จับจ้องไปที่ด้านล่างอยู่ตลอดเวลา แววตาบ่งบอกว่านางกำลังพยายามอดทน
ตู๋กูซิงหลันเอ่ยขึ้นมา “อดห่วงไม่ได้หรือ?”
“ใช่แล้ว” หยวนเฟยคล้อยตามคำพูดของนาง “ได้ยินมาว่าสตรีแคว้นเหยียนเปิดเผยอย่างยิ่ง ขนหน้าอกเขาหนาขนาดนั้น…. จะต้องมีคนชื่นชอบมากๆ แน่เลยใช่ไหม?”
ตู๋กูซิงหลัน “ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะไม่มีขนหน้าอกนะ?”
หยวนเฟย “…..”
นางพลันได้สติขึ้นมา ซอยกำปั้นน้อยๆ ลงบนบ่าของตู๋กูซิงหลัน “ไทเฮาเพคะ ทำไมถึงทรงเป็นคนที่แย่เช่นนี้?”
ตู๋กูซิงหลันเกิดคำถามขึ้นมา ลูกสะใภ้มีใจเป็นอื่น ลูกชายกำลังจะถูกสวมหมวกเขียว นางที่เป็นแม่เลี้ยงสมควรจะทำเช่นไรดี?
นี่ยังไม่นับว่าเท่าไหร่ พอนางกวาดตามองออกไป ก็เห็นองค์หญิงใหญ่ประทับยืนอยู่ในหมู่ฝูงชนเช่นกัน
สายตานั้นหยุดอยู่ที่ร่างของตู๋กูจุน
ตู๋กูซิงหลันแทบจะต้องตบเข่าฉาดออกมา เรื่องชักจะยากจริง!
ช่างเถอะ ช่างเถอะ เรื่องนี้นางอย่าได้สอดมือเข้าแทรกจะดีกว่า…..
สายตาของนางวกกลับมาที่พ่อลูกชาย อืม ดูองอาจกล้าหาญดีมาก
ท่ามกลางหมู่ฝูงชน ฝ่าบาททรงหันพระพักตร์กลับมา ก็ทอดพระเนตรเห็นว่าตู๋กูซิงหลันกำลังมองพระองค์อยู่เช่นกัน ในพระทัยพลันอบอุ่นขึ้นมา
บางทีเมื่อพระองค์สามารถครองแผ่นดินทั้งหมดได้แล้ว ระยะห่างระหว่างพระองค์กับนางก็อาจจะสลายกลายเป็นหมอกไป
คิดได้เช่นนี้ ฝ่าบาทก็ทรงชูกระบี่ในพระหัตถ์ขึ้นมา ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า
“เหล่าทหารทั้งหลาย ติดตามเราออกศึก!”
——
ไรท์: ฉวนฉวนอย่างเท่!!
คำถาม: เมื่อพี่เต้ไม่อยู่ หลันหลันจะเป็นอย่างไร?
ตอนต่อไป “เจ้าว่าเขาเป็นปีศาจหรือไม่?”
ตอนที่ 367 เจ้าว่าเขาเป็นปีศาจหรือไม่?
เมืองหลวงมิได้มีบรรยากาศที่ฮึกเหิมน่าตื่นเต้นเช่นนี้มานานแล้ว
ทันทีที่ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาออกไป ผู้คนทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความคิดติดตามพระองค์ไปด้วย
พระองค์ทรงประสูติมาพร้อมกับความเป็นผู้นำ ความสูงส่งและพระบารมีเปล่งประกายออกมาจากกระดูก ทำให้คนทั้งหลายต้องศิโรราบ
แม้แต่ตู๋กูซิงหลันเมื่อได้เห็นแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าเขางดงามไร้ที่ติเหมือนดั่งบุรุษที่มีอยู่แต่ในละครเท่านั้น
นางนั่งอยู่บนกำแพงเมือง ใช้สายตามองส่งจีเฉวียนจากไป
เมื่อมองดูกองทัพของเขาจากไปไกลแล้ว ก็ไม่รู้ว่าทำไมในใจถึงได้รู้สึกว่างเปล่าขึ้นมา
……………………….
วันแรกที่ฮ่องเต้เสด็จจากไป ไทเฮาทรงพระเกษมสำราญถึงขนาดเรียกเหล่าลูกสะใภ้ทั้งหมดมาแทะเมล็ดแตงชมงิ้วด้วยกัน
วันที่สองที่ฮ่องเต้เสด็จจากไป ไทเฮาทรงเสด็จออกจากวังไปยังโรงเตี้ยมอันดับหนึ่งของเมื่อหลวงกับพี่รองของตนเอง
วันที่สามที่ฮ่องเต้เสด็จจากไป ไทเฮาเสด็จไปทรงหมากรุกกับเจ้าอารามเทียนเก๋อกวน ถูกท่านเจ้าอารามเทียนเก๋อกวนกอดขาขอให้รั้งอยู่เป็นบรรพชน
วันที่…ฮ่องเต้เสด็จจากไป ไทเฮาทรงเริ่มวนไปวนมาเป็นวงกลมอยู่ใต้กำแพงแล้ว
อิสระที่ไร้ผู้ควบคุม หลังจากสำเริงสำราญจนสิ้นแล้ว ที่หลงเหลืออยู่ก็คือความหงอยเหงา
ความรู้สึกเช่นนี้ตู๋กูซิงหลันไม่เคยมีมาก่อน
ติ๊งต๊องและราชาหมาป่าตะวันตกถูกนำเข้าวังมาอยู่ข้างกายนาง
ครั้งก่อนตอนที่กลับจากเมืองกู่เย่วเพราะเดินทางอย่างรีบร้อนจึงหลงลืมพวกมันไป
ตอนนี้พอไปรับกลับมาในวังก็คึกคักอย่างยิ่ง
ต้นไห่ถางที่เ**่ยวเฉาในตำหนักเฟิ่งหมิงกงกลับมาสดชื่นอีกครั้งแล้ว ขนาดเป็นช่วงกลางฤดูหนาวก็ยังแตกยอดใหม่ออกมาอย่างมีชีวิตชีวา
ทุกครั้งที่ราชาสุนัขป่าถ่ายมูล ที่ปากประตูตำหนักเฟิ่งหมิงกงแม้แต่ผีสักตัวก็ยังไม่มี
กลิ่นเหม็นสุดทนทานนี้เรียกว่าตลบอบอวลไปเกือบจะทั่วทั้งวังหลวง
ในตอนนี้เองตู๋กูซิงหลันพลันคิดอะไรขึ้นมาได้ นางออกคำสั่งให้เรียกตัวอาปู้ทาลาเข้ามาในวัง ทั้งสองช่วงกันสร้างระเบิดมูลราชาหมาป่าขึ้นมา
“สิ่งนี้ยอดเยี่ยมมาก ขอเพียงฮ่องเต้ทรงขว้างออกไปลูกหนึ่ง อย่างน้อยๆ ศัตรูหนึ่งค่ายจะต้องสลบเหมือด”
อาปู้ทาลาทูลตอบอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ไทเฮาพะยะค่ะ พระองค์แน่พระทัยหรือว่าก่อนที่ฝ่าบาทจะทรงระเบิดศัตรูสลบไปนั้น จะไม่ทรงสิ้นพระสติไปเองเสียก่อน?”
หากว่าเขาจำได้ไม่ผิดล่ะก็ ฮ่องเต้ทรงแพ้กลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงมิใช่หรือ?
ดังนั้นตู๋กูซิงหลันจึงได้สร้างหน้ากากกันพิษขึ้นมาด้วยตนเอง ในครั้งแรกที่หลงเซียวกลับมาส่งข่าว ก็ฝากส่งระเบิดมูลราชาสุนัขป่ากับหน้ากากกันพิษไปให้เขาพร้อมๆ กัน
หลงเซียวแสดงออกอย่างชัดเจนเลยว่าไม่อยากจะนำระเบิดมูลนี้เดินทางไปด้วยสักเท่าไร….ก็เส้นทางห่างไกลถึงเพียงนี้ หากว่าไม่ทันระวังเกิดทำมันระเบิดขึ้นมา เขาเกรงว่าตนเองคงจะเหม็นเน่าไปชั่วชีวิต
แต่ว่าในเมื่อเป็นรับสั่งของไทเฮาเขาย่อมไม่กล้าขัดขืน ได้แต่เดินทางอย่างระมัดระวังไปตลอดทางด้วยความหวาดกลัวว่ามันจะระเบิด
ดึกดื่นมากแล้ว ในตำหนักเฟิ่งหมิงกงยังคงจุดตะเกียงเอาไว้
เงาของตู๋กูซิงหลันสะท้อนลงไปบนผ้าม่าน มิว่าจะเป็นใบหน้าด้านข้างหรือว่าด้านตรง นางก็ยังคงงดงามอย่างที่สุด
เมื่อมีติ๊งต๊องและราชาสุนัขป่าสองเทพผู้พิทักษ์เฝ้าอยู่นอกหน้าต่าง ตำหนักเฟิ่งหมิงกงนี้แม้แต่ยุงก็ยังไม่กล้าบินเข้ามาใกล้
วิญญาณทมิฬเองก็ตัวสั่นสะท้านไปหมด……สวรรค์ทรงโปรด สายตาของราชาสุนัขป่ายามมองมาที่มันนั้น น่ากลัวอย่างที่สุดจริงๆ ทั้งชั่วร้ายและเปี่ยมไปด้วยความหื่นกระหายอย่างรุนแรง
ใกล้จะเป็นเหมือนกับจีจ้านในความทรงจำของเจียงเย่วเข้าไปทุกทีอยู่แล้ว
ตอนนี้มันเอาแต่คอยติดตามตู๋กูซิงหลันโดยไม่ออกห่างแม้แต่ก้าวเดียว เพราะกลัวว่าเกิดตนเองไม่ทันระมัดระวังตัวขึ้นมาจะรักษาพรหมจรรย์เอาไว้ไม่ได้
ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ ที่อยู่ในมือคือจดหมายที่จีเฉวียนทรงเขียนด้วยพระองค์เอง
“ซิงซิง วันนี้เรายึดเมืองจิงหวาของแคว้นเหยียนได้แล้ว เมืองหลวงแห่งนี่มีเนื้อหมูดำเป็นผลผลิตเลื่องชื่อ ในฤดูหนาวชาวบ้านจะตากเนื้อหมูดำเอาไว้เป็นจำนวนมาก เราชิมดูแล้ว รสชาติดีทีเดียว ซิงซิงจะต้องชอบกินอย่างแน่นอน”
“ใกล้จะถึงช่วงสิ้นปีแล้ว ปีนี้ไม่อาจอยู่ร่วมฉลองกับซิงซิง เรารู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง วันหน้าจะต้องอยู่กับซิงซิงให้มาก จะไม่ยอมห่างแม้ชั่วขณะเลย”
“ซิงซิงอยู่เพียงลำพังในวัง กินอิ่มนอนหลับหรือไม่ มีความสุขดีหรือไม่?”
อักษรของจีเฉวียนก็เหมือนกับตัวของเขา สวยงามอย่างยิ่ง แค่ได้เห็นก็รู้สึกว่าน่าประทับใจแล้ว
บนจดหมายยังเล่าถึงเรื่องราวในชีวิตประจำวัน มองดูแวบแรกยังนึกว่าเป็นบทกลอนเสียอีก
ทุกสิบวัน หลงเซียวมักจะนำจดหมายของฝ่าบาทและของขวัญมาส่งให้นาง
เครื่องประดับ ชาดแต้มปาก บางครั้งก็เป็นดอกไม้แห้ง แต่ส่วนใหญ่แล้วก็คือของกินตากแห้งต่างๆ โดยเฉพาะพวกเนื้อจำนวนมาก
ช่วงนี้เชียนเชียนมักจะยุ่งอยู่ในห้องครัวเล็กทำข้าวอบกุนเชียงให้กับนาง กลิ่นหอมฟุ้งขจรขจายจนเข้ามาถึงในห้อง
ตู๋กูซิงหลันอดไม่ได้ต้องกลืนน้ำลายแล้วกลืนน้ำลายอีก แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่ทันรู้สึกเลยว่า ใบหน้าของตนเองนั้นเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม
วิญญาณทมิฬได้แต่ซุกตัวถอนหายใจอยู่ในมุมมุมหนึ่ง
มันรู้สึกว่า ถึงแม้ว่าปากของตู๋กูซิงหลันนั้นจะไม่ยอมรับ แต่ว่าร่างกายกับซื่อสัตย์กว่ามาก
ช่วงหลายวันนี้ช่างเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวจริงๆ ขนาดไม่มีอะไรก็ยังต้องเพียรหาอะไรให้ตนเองทำ
ดูเอาเถอะ ทุกๆ ครั้งที่ได้รับจดหมายจากฮ่องเต้สุนัขนั่น นางล้วนต้องยิ้มแย้มจนหน้าบานดุจดอกเก็กฮวย ฮ่องเต้สุนัขเป็นนักเขียนเรื่องขำขันหรืออย่างไร? จดหมายทุกฉบับล้วนสามารถทำให้นางหัวเราะอย่างสุขใจ?
ทั้งๆ ที่บอกว่าไม่ได้ยอมรับคนเขาแท้ๆ แต่ทำไมท่าทางที่แสดงออกมาถึงได้เหมือนกับสามีหนุ่มภรรยาสาวที่พึ่งแต่งงานแล้วต้องแยกจากกันอย่างไรอย่างนั้น
คราวนี้ ตู๋กูซิงหลันเป็นฝ่ายยกพู่กันขึ้นมา เริ่มเขียนจดหมายตอบกลับไปให้จีเฉวียนบ้าง
แต่ว่าเปรียบเทียบกับจีเฉวียนแล้วตัวอักษรของนางโยกเยกโย้เย้เหมือนกับงูเลื้อยกลับบ้านน่ะสิ
ว่าตามจริง พอมองดูอีกครั้งขนาดเป็นตัวเองนางก็ยังรับไม่ได้
พูดไปก็เป็นเรื่องแปลก ตอนเด็กๆ ท่านอาจารย์ถึงกับจับมือนางเขียนหนังสือ แต่นางกลับเขียนออกมาไม่ได้เรื่อง
สุดท้ายแล้วแม้แต่ท่านอาจารย์ก็ยังถอดใจ แต่ว่าตัวอักษรโยกเยกโย้เย้ของนางกลับเป็นพรสวรรค์ที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับการเขียนภาพยันต์
ก่อนหน้านี้นางยังไม่รู้สึกอะไร คิดว่าอักษรของตนเองก็ไม่ได้แย่อะไรมากสักเท่าไหร่
แต่พอมาเปรียบเทียบกับของจีเฉวียน กลับน่าเกลียดอัปลักษณ์แทบตายแล้ว
นี่เรียกว่า หากไม่มีคู่เปรียบก็ไม่รู้จักบาดเจ็บ
คนหนึ่งสูงส่งยิ่งกว่ายอดปราชญ์ในเชิงอักษร อีกคนเหมือนเด็กที่ไม่ยอมจบจากอนุบาล……
ประเด็นสำคัญก็คือตัวอักษรของต้าโจวนั้นซับซ้อนเขียนยาก พอตู๋กูซิงหลันเขียนออกมาจึงกลายเป็นมหาวิบัติอย่างแท้จริง
ที่จริงนางถึงกับต้องขยำกระดาษทิ้งไปมากมายก่ายกอง หมึกที่ฝนไว้ในถาดก็แห้งไปแล้วรอบหนึ่ง ใบหน้าก็เปรอะเปื้อนเป็นสีดำไปหมดแล้ว
นางวางจดหมายของจีเฉวียนเอาไว้ด้านข้าง จากนั้นก็เขียนอักษรลงไปอย่างตั้งใจ “ทูลฮ่องเต้….”
เขียนเพียงไม่กี่อักษร ยังอัปลักษณ์จนอยากร้องไห้
ตู๋กูซิงหลันแหงนหน้ามองฟ้า ส่งเสียงถามวิญญาณทมิฬว่า “เจ้าว่าในโลกจะมีคนที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้อยู่จริงๆ หรือ? เกิดมาหน้าตางดงามมีเงินมีอำนาจยังไม่พอ ยังเก่งทั้งบุ๋นบู๊ปราบปีศาจก็ได้ ที่สำคัญก็คือเขียนอักษรได้สวยมากๆ เจ้าว่าเขาเป็นปีศาจใช่หรือไม่?”
วิญญาณทมิฬแคะจมูก “ข้าคิดว่านะ เจ้าเหมือนปีศาจยิ่งกว่าอีก”
ตู๋กูซิงหลัน “……..”
วิญญาณทมิฬ “เจ้าก็ลองคิดแบบนี้สิ เขาหน้าตาดีมีเงินแต่เขาโหด เขาเขียนอักษรสวยแต่ว่าสติปัญญาไม่ได้เรื่อง ดูสิในจดหมายนั่นเขียนอะไรไว้บ้าง? มีแต่น้ำท่วมทุ่งทั้งนั้น! ขนาดข้ายังเลิกเขียนจดหมายแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อแปดร้อยปีก่อนแล้วเลย พอคิดแบบนี้ เขาก็ดูไม่ค่อยสมบูรณ์แบบแล้วใช่ไหม?”
ตู๋กูซิงหลัน “เรื่องโหดนั่นมันผ่านไปแล้ว เจ้าดูเขาตอนนี้สิ ส่งทั้งเงินทั้งทองทั้งอาหาร ที่ไม่ได้เขียนอะไรไพเราะเพราะพริ้งมา…..คงจะเป็นเพราะกลัวว่าข้าจะอ่านไม่เข้าใจละมั้ง? ถึงได้เขียนเพียงคำพูดธรรมดา”
วิญญาณทมิฬ “เอาเถอะ เจ้าดีใจก็พอ”
“แต่ข้ายังรู้สึกว่า ตัวอักษรของซื่อมั่วยังสวยกว่าของเขามาก!”
ตู๋กูซิงหลัน “ข้าเห็นว่าไม่อาจแบ่งลำดับได้”
——
ตอนต่อไป “ฝ่าบาทจะเป็นยอดบุรุษ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น