กระบี่จงมา 365.3-367.1

 บทที่ 365.3 สถานการณ์ที่มิอาจคลี่คลาย

 

วันนี้ฝูฉีไม่ได้ยืมอาวุธกึ่งเซียนที่บรรพาจารย์ก่อกำเนิดเป็นผู้ครอบครองมาใช้ แล้วก็ไม่ได้สวมชุดคลุมมังกรเฒ่าตัวนั้นด้วย ขณะเดียวกันก็ไม่ได้หยิบเอาอาวุธกึ่งเซียนที่พิทักษ์ศาลบรรพชนตระกูลฝูออกมา


ตอนนี้ฝูฉีไม่สามารถควบคุมทะเลเมฆที่อยู่เหนือศีรษะได้แล้ว


ดังนั้นวันนี้ฝูฉีจึงพกมาแค่อาวุธกึ่งเซียนที่เพิ่งซื้อมาจากทวีปอื่น กระบี่บินไร้เจ้าของที่เซียนกระบี่ท่านหนึ่งทิ้งไว้หลังตายไป


ฟ่านจวิ้นเม่ารู้สึกถึงความผิดปกติ ผิดปกติอย่างมาก


นางตบทะเลเมฆหนึ่งที นอกจากทะเลเมฆจะลอยอ้อมผ่านแท่นมังกรแห่งนั้นแล้วยังพลันลดตัวลงต่ำ แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งนครมังกรเฒ่า เวลาเดียวกันนั้นฟ่านจวิ้นเม่าก็กัดปลายนิ้ว ใช้เลือดวาดยันต์ลงบนมือ คือยันต์โบราณแผ่นหนึ่งที่หายสาบสูญไปนานแล้ว วิชาเทพมองแม่น้ำภูเขาผ่านฝ่ามือที่พวกผู้ฝึกลมปราณใช้กันตอนนี้ก็เป็นแค่ของเลียนแบบที่ปรับปรุงใหม่จากยันต์แผ่นนี้เท่านั้น หลังจากวาดยันต์เสร็จฟ่านจวิ้นเม่าที่หน้าซีดขาวเล็กน้อยก็อาศัยช่วงเวลาที่ทะเลเมฆแผ่อบอวลไปทั่วทั้งนครมังกรเฒ่าตบฝ่ามือสองข้างเข้าหากัน จากนั้นก็พลันกางแขนออก ระหว่างสองแขนที่กางอ้าคือภาพต่างๆ ที่พุ่งวูบผ่านไป ฟ่านจวิ้นเม่ามองภาพที่อยู่เบื้องหน้าประหนึ่งมองโคมม้าวิ่ง


ศาลบรรพชนตระกูลฝู บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ร้านยาฮุยเฉิน แต่ละสถานที่พากันพุ่งผ่านไป


เมื่อภาพสุดท้ายหยุดลงบนร่างของผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนหัวกำแพงของเมืองชั้นนอก ภาพภูเขาและแม่น้ำย่อส่วนขนาดเล็กจิ๋วนี้ก็ระเบิดแตกดังปัง


ตรงฝ่ามือที่ฟ่านจวิ้นเม่าวาดยันต์ เนื้อหนังปริแตก นางฝืนกลืนแก่นเลือดจากหัวใจที่ตีตื้นขึ้นมาบนลำคอกลับลงไป เพียงแค่ชั่วครู่เดียวนี้ก็สูญเสียตบะหลายสิบปีของเซียนดินก่อกำเนิดทั่วไป สีหน้าของฟ่านจวิ้นเม่ามืดทะมึน ไม่ยี่หระการเผาผลาญตบะเล็กน้อยนี้เลย เจ้าตัวดีนั่นคือมังกรข้ามแม่น้ำที่อย่างน้อยก็มีขอบเขตเป็นขั้นสิบสองเซียนเหริน!


หรือว่าเป็นตาเฒ่าวิปริตจากสำนักใบถงผู้นั้น?


นับตั้งแต่ที่สติปัญญาเปิดออก ฟ่านจวิ้นเม่าที่เดิมทีจิตใจกว้างใหญ่ยิ่งกว่าฟ้าดิน ในที่สุดก็เริ่มรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว


เจิ้งต้าเฟิงตายอยู่บนแท่นมังกร นางรู้สึกว่าเป็นเพราะฝีมือเขาสู้คนอื่นไม่ได้ ตายแล้วก็จบเรื่องกันไป จะโทษใครไม่ได้


แต่หากเขามีชีวิตเดินลงไปจากแท่นมังกร แต่อยู่ดีๆ กลับต้องตายเฉียบพลันด้วยน้ำมือของ ‘คนนอก’ คนหนึ่ง ในใจนางไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง!


นครมังกรเฒ่าแห่งนี้ นับแต่โบราณกาลมาก็คือถิ่นของนาง!


แต่เพื่อเจิ้งต้าเฟิงที่ไม่ชอบขี้หน้าคนหนึ่ง มีค่าพอให้นางสละ ‘ฟ่านจวิ้นเม่า’ ในชาตินี้ทิ้งหรือ?


นางทิ้งตัวนอนหงาย เริ่มชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย อันที่จริงไม่มีผลได้ มีแต่ผลเสียอย่างเดียว ดังนั้นนางจึงหลับตาลง ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที จะดีจะชั่วก็ไม่ต้องคอยดูเรื่องน่าหัวเราะเยาะของเขาเจิ้งต้าเฟิงแล้ว เพราะมันไม่ตลกเลยสักนิดเดียว


ตลอดแท่นมังกรเริ่มสั่นสะเทือนไม่หยุด


นี่ชักนำให้ลูกคลื่นของทะเลบูรพา ทะเลทักษิณของแจกันสมบัติทวีปโถมตัวตีกระทบฝั่ง แต่เมื่อเหล่าเซียนดินต่างพากันร่ายวิชาอภินิหาร พวกมันก็ถูกสยบแล้วถอยกลับไป บนผิวน้ำทะเลที่ห่างจากท่าเรือเกาะโดดเดี่ยวแห่งนั้นไปไม่ไกล มีนักพรตน้อยคนหนึ่งยืนเหยียบอยู่บนน้ำเต้าสีทองลูกใหญ่ยักษ์ที่ลอยเท้งเต้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม


ร่มอู๋ถงช่วยบดบังเจตนารมณ์สวรรค์ ดังนั้นจึงทั้งสามารถคุ้มครองชีวิต แล้วก็ทั้งอำพรางไม่ให้คนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าเฉินผิงอันอนุมานและมาใช้ความช่วยเหลือได้ด้วย


โชคดีและหายนะไร้ประตู มีเพียงคนที่ไปเรียกหามันมาเอง


ครั้งนี้เจ้าเฉินผิงอันอนาถแน่แล้ว ดันไปมีเรื่องกับคนคนเดียวในสำนักใบถงที่ไม่ควรมีเรื่องด้วย ไม่อย่างนั้นสำนักกุยหยก สำนักฝูจีและภูเขาไท่ผิง หรือแม้แต่สำนักใบถงที่นอกจากคนผู้นี้แล้ว ย่อมไม่เห็นเจ้าเฉินผิงอันเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องกำจัดทิ้ง การช่วงชิงบนขอบเขตเดียวกัน เจ้าเฉินผิงอันพอจะมีความสามารถอยู่บ้างจึงไม่ต้องหวาดกลัวใครก็จริง หรือแม้แต่โอสถทองก่อกำเนิดที่เป็นเทพเซียนพสุธาในสายตาของคนบนโลก เจ้าก็ยังมีความสามารถให้ต่อสู้ด้วยได้ ขยับขึ้นไปอีกนิด ขอบเขตหยกดิบห้าขอบเขตบนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเต็มใจรังแกผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่อายุน้อยอย่างเจ้า ขยับสูงขึ้นอีกหน่อย ขอบเขตเซียนเหรินก็อาจจะมองเส้นสนกลในบางอย่างของเจ้าออก จึงอาจจะไม่เต็มใจแตกหักกับเจ้า


น่าเสียดายก็แต่


คราวนี้คนที่ลงมาจากภูเขาของสำนักใบถง


เป็นคนที่ไม่แยแสเรื่องพวกนี้มากที่สุด


และที่ไม่บังเอิญเลยก็คือ ผู้เฒ่าวิปริตที่ไม่พิถีพิถันเรื่องพวกนี้กลับเป็นบุคคลอันดับที่สองบนภูเขาของใบถงทวีป


ถึงอย่างไรใบถงทวีปก็ยังมีอารามกวานเต๋าของเขาอยู่นี่นะ


ดังนั้นไม่ว่าเจ้าเฉินผิงอันจะคิดคำนวณมาดีแค่ไหน ยินดีสละทรัพย์สินส่วนตัวจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างไม่เสียดาย วางแผนอย่างยากลำบากเพื่อปกป้องเจิ้งต้าเฟิงผู้นั้น แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ต่างจากใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องมาตายอยู่ที่นี่


แบบนี้ก็ไม่เลว ช่วยเก็บศพให้เจ้าเอากลับไปที่อารามก็แล้วกัน จงยอมเป็นสารบำรุงหล่อเลี้ยงพื้นที่มงคลดอกบัวแต่โดยดีเถอะ


เรือนกายของนักพรตน้อยที่เหยียบอยู่บนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีทองใบใหญ่ยักษ์โยกไปโยกมา กล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์คนอื่น “ละครดีได้เวลาแสดงแล้ว แจกันสมบัติทวีปเล็กๆ แห่งนี้ต้องเจอกับเรื่องลำบากแล้ว”


ไม่ถึงครึ่งชั่วยามเท่านั้น


แท่นมังกรก็สงบลงอย่างสิ้นเชิง


และผลลัพธ์สุดท้ายก็อยู่เหนือการคาดการณ์ของทุกคน


คนที่เดินลงมาจากแท่นมังกรกลับเป็นเจิ้งต้าเฟิงผู้นั้น ประเด็นสำคัญคือบนร่างของเขายังสะอาดเอี่ยม ไม่มีแววว่าบาดเจ็บหนักใกล้ตายเลยแม้แต่น้อย


จิตใจของฝูตงไห่และฝูหนันหัวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ให้ตายก็ไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่เห็น


หรือว่าฝูฉีผู้เป็นบิดาตายไปแล้ว?


แต่นี่ก็ไม่ได้แย่ไปทั้งหมด!


คนทั้งสองหันมาสบตากันอย่างจิตใจตรงกัน


ฝูหนันหัวสีหน้าผ่อนคลายเป็นปกติ บนใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ หลังจากได้ยินคำพูดที่ถูกเก็บซ่อนอำพรางดังขึ้นในทะเลสาบหัวใจแล้ว ฝูหนันหัวก็หมุนฝ่ามือเล็กน้อย ทำท่าเล็กๆ ที่ไม่ง่ายต่อการสังเกตเห็น


ทางฝั่งของตระกูลติง มีผู้รับใช้เฒ่าคนหนึ่งก้าวเดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว กระซิบเบาๆ ข้างหูของเจ้าประมุขตระกูลติง เพียงไม่นานฝ่ายหลังก็หันไปกระซิบกระซาบกับคนของตระกูลฟางและโหว สีหน้าของสองคนแตกต่างกันไป ทว่าสุดท้ายก็ยังคงพยักหน้ารับ


การกระทำเล็กๆ นี้ของฝูหนันหัวประหนึ่งหินก้อนใหญ่ที่ทุ่มลงบนทะเลสาบ ชักนำให้เกิดคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก


หลังจากเดินลงมาจากแท่นมังกรแล้ว เจิ้งต้าเฟิงก็ไม่พูดไม่จา เฉินผิงอันเข้าไปนั่งในรถม้าคันเดียวกับเจิ้งต้าเฟิง


ชั่วพริบตานั้นสีหน้าของเจิ้งต้าเฟิงเหมือนกระดาษสีทอง พูดเสียงแหบว่า “ฝูฉีต่อสู้ได้ครึ่งทางก็ยอมแพ้แล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะรักษาหน้าตาไว้แม้แต่น้อย ในเมื่อฝูฉีไม่เต็มใจจะต่อสู้กับข้าจนถึงที่สุด ไม่เปิดโอกาสให้ข้าได้ฝ่าคอขวดขอบเขตเก้าเลื่อนไปสู่ขอบเขตสิบ แล้วก็ไม่ได้บอกให้ทุกคนในตระกูลมาสู้กับข้า เพียงแค่แลกเปลี่ยนอาการบาดเจ็บกับข้าเท่านั้น ดังนั้นการเดินทางกลับไปร้านยาในเมืองคราวนี้จะต้องอันตรายมากแน่ๆ เฉินผิงอัน เจ้าลองคิดให้ดีเป็นครั้งสุดท้าย! จะลงรถครึ่งทาง หรือจะตามข้ากลับไปร้านยา?!”


เฉินผิงอันตอบเสียงเรียบ “ฝูฉีไม่ต้องการหน้าตา แต่ข้าต้องการ”


เจิ้งต้าเฟิงเอียงศีรษะ ยื่นมือมาเช็ดคราบเลือดที่ไหลออกจากรูหู พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คำพูดแบบนี้เจ้าก็เชื่อด้วยหรือ? หากเจ้าต้องการหน้าตา เพียงแค่เงินไม่กี่อีแปะ เช้าตรู่ของทุกวันเจ้าจะต้องไปนั่งอยู่ที่ตอไม้นั่น พอได้จดหมายไปแล้วก็คอยวิ่งกลับไปกลับมาอยู่ในเมืองเล็กทำไม?”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “เงินนั่นข้าหามาได้ด้วยความสุจริต”


เจิ้งต้าเฟิงยิ้มขื่น “ทำไม ต้องให้ข้าขอร้องเจ้า เจ้าถึงจะยอมจากไปอย่างนั้นหรือ?”


เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าขอร้องข้าก็ไม่มีประโยชน์”


เจิ้งต้าเฟิงเอนตัวพิงไปด้านหลัง “เจ้าแม่งต้องการอะไรกันแน่?”


เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “คราวก่อนที่ฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ในนครมังกรเฒ่า ค่อนข้างจะแปลกประหลาด เพียงแต่ว่าเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก ครั้งนี้ข้าไปเยือนพื้นที่มงคลดอกบัว พอกลับออกมา แล้วมาถึงนครมังกรเฒ่า ไม่รู้ว่าเหตุใดลางสังหรณ์ถึงบอกกับข้าว่า ในบ่อของหัวใจข้ามีเจียวร้ายตัวหนึ่งกำลังชูคอขึ้นมา หากข้าเลือกจะจากไป มันอาจจะหลุดพ้นจากพันธนาการ หลุดออกจากน้ำมาได้อย่างสิ้นเชิง นี่อาจเป็นหายนะที่ข้าต้องเผชิญเมื่อละเมิดวิถีสวรรค์คิดสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ คาดว่าในขณะที่ข้าข้ามผ่านสะพานหินโค้งแห่งนั้นแล้วรู้สึกว่าได้รับการยอมรับจากฟ้าดินแห่งนี้แล้ว แท้จริงกลับเป็นความเข้าใจผิด นั่นไม่ใช่เรื่องดีอะไร อีกทั้งยังถูกใต้หล้าไพศาลหมายหัวไว้แล้ว วันนี้หนีได้ แต่หลังจากนี้ก็ต้องหนีไปอีกตลอดชีวิต”


เรื่องนี้ เจิ้งต้าเฟิงเชื่อ


แต่ลึกๆ ในใจเขาก็รู้ดีว่า อันที่จริงนี่ก็ยังเป็น ‘ข้ออ้าง’ ของเฉินผิงอัน แม้ว่าทุกคำที่พูดออกมาจะเป็นความจริงก็ตาม


เจิ้งต้าเฟิงโวยวายเสียงดัง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อย่ามาตายอยู่ที่นี่เพราะข้าผู้อาวุโส เปลี่ยนไปเป็นคนอื่นไม่ได้รึไง อย่าให้ข้าเจิ้งต้าเฟิงต้องรู้สึกขาดทุนได้ไหม เจ้าไปหาหลี่เอ้อร์ที่เจ้าชื่นชอบ หรือไม่ก็หลิวเสี้ยนหยางเพื่อนรักของเจ้าโน่น…”


เฉินผิงอันชี้ไปที่ดวงตาของเจิ้งต้าเฟิง “เลือดไหลออกมาจากตาแล้ว เช็ดให้ดี เดิมทีหน้าตาก็ไม่ได้หล่อเหลา ผู้หญิงคนไหนชอบเจ้า สายตาคงไม่ดีจริงๆ หากว่านางยังมีชีวิตอยู่ เห็นสภาพเจ้าตอนนี้คาดว่าคงชอบไม่ลงแล้ว”


เจิ้งต้าเฟิงสบถด่ายิ้มๆ ยื่นเท้ามาเตะเฉินผิงอันเบาๆ หนึ่งที แต่กลับถูกเฉินผิงอันยื่นมือมาปัดเท้าของเขาออก


รถม้าสามคันขับเคลื่อนไปยังนครมังกรเฒ่า


สารถีสามคนล้วนเป็นนักรบเดนตายของตระกูลฟ่าน ทุกคนมีสีหน้าเฉยเมยไม่สะทกสะท้าน


หลังจากขับออกมาได้ประมาณสิบกว่าลี้ บนเส้นทางก็มีผู้ถวายงานสองคนของตระกูลฟางปรากฏตัว ซึ่งเหลือเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดและผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งเท่านั้น


เจิ้งต้าเฟิงคิดจะลงจากรถ แต่กลับถูกเฉินผิงอันห้ามเอาไว้


สุยโย่วเปียนเดินลงจากรถม้ามาก่อน หลูป๋ายเซี่ยงตามติดมาด้านหลัง เพียงแต่ว่าปล่อยให้สุยโย่วเปียนรับมือกับสองคนนั้นเพียงลำพังก่อน ส่วนหลูป๋ายเซี่ยงเดินตามรถม้าทั้งสองคันไปช้าๆ สามารถรับช่วงต่อจากสุยโย่วเปียนได้ทุกเมื่อ


รถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ที่เดิม


หลังจากนั้นก็มีผู้ถวายงานของตระกูลโหวมาปรากฏตัว


จูเหลี่ยนกระโดดลงจากรถม้า


แล้วรถม้าอีกคันหนึ่งของตระกูลฟ่านก็หยุดลง


เว่ยเซี่ยนเดินเท้าติดตามรถม้าคันสุดท้ายที่เฉินผิงอันกับเจิ้งต้าเฟิงนั่งโดยสารมา


หลังจากนั้นก็เป็นข้ารับใช้ตระกูลติง


เว่ยเซี่ยนสวมชุดคลุมมังกร ด้านนอกสวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน เขาหยุดเดิน แต่รถม้ายังขับเคลื่อนหน้าต่อไป


เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้ากล่าว “เป็นความคิดของตระกูลฝู ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่พวกเราคาดการณ์กันไว้ล่วงหน้าเลย ศึกบนแท่นมังกรดีกว่าที่คิดไว้ แต่พอเดินลงมาจากแท่นมังกร กลับแย่กว่าผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดที่คาดไว้เสียอีก ตระกูลฝูถึงขั้นไม่เห็นแก่หน้าตาของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน นี่มันเรื่องอะไรกัน?”


ขยับเข้าไปใกล้ประตูใหญ่ทางฝั่งตะวันออกนอกนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันเลิกผ้าม่านชำเลืองออกไปข้างนอกแวบหนึ่ง “นี่หมายความว่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่อยู่เบื้องหลังซึ่งข้าพูดถึงตอนนั้นได้ปรากฎตัวออกมาแล้ว อีกทั้งไม่น่าจะใช่ขอบเขตหยกดิบ ต่อให้เป็นขอบเขตสิบเอ็ดก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ถึงทำให้สกุลเจียงอวิ๋นหลินยอมอดทนข่มกลั้น แต่สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่างแท้จริงก็คือผู้ฝึกตนใหญ่ที่รอพวกเราสองคนอยู่นี้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่บุตรสาวสายตรงสกุลเจียงแต่งมายังนครมังกรเฒ่าตั้งแต่แรกแล้ว สังหารเจ้าเจิ้งต้าเฟิงเป็นเพียงแค่การถือโอกาสทำไปพร้อมกัน เป็นแค่รางวัลเล็กๆ จากการค้าครั้งใหญ่เท่านั้น ส่วนตระกูลฟ่าน ไม่แน่ว่าอาจถูกผลักไสออกไปแล้ว ต้องเผชิญกับการคิดบัญชีรอบหนึ่ง ไม่ว่าฟ่านจวิ้นเม่าจะลงมือหรือไม่ ตระกูลฟ่านก็ต้องเจอกับหายนะดับตระกูลแล้ว”


เจิ้งต้าเฟิงพูดเยาะหยันตัวเอง “หากพูดเช่นนี้ก็แสดงว่าข้าเจิ้งต้าเฟิงต้องตายอย่างไร้ที่ฝังแล้วน่ะสิ แค่ต้องดูว่าผู้ฝึกตนใหญ่ที่เฝ้าตอรอกระต่ายผู้นั้นจะให้โอกาสข้าได้เลื่อนสู่ขอบเขตสิบหรือไม่”


รถม้าหยุดลงอย่างเชื่องช้า


เฉินผิงอันเลิกผ้าม่านขึ้น เงยหน้ามองไปยังจุดสูงของกำแพงเมือง พูดเบาๆ ว่า “ค่อนข้างยากแล้วล่ะ”


เจิ้งต้าเฟิงกับเฉินผิงอันยืนเคียงไหล่กันอยู่บนถนนสายใหญ่ บนหัวกำแพงเมืองมีคนยืนอยู่สามคน คนหนึ่งคือผู้เฒ่าที่หน้าตาธรรมดาไร้ซึ่งความโดดเด่นใดๆ ตู้เหยี่ยนผู้สืบทอดสายตรงของสำนักใบถงและติงซื่อภรรยาของเขา


ตู้เหยี่ยนผู้มีหน้าตาหล่อเหลาพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ท่านบรรพจารย์ ท่านผู้อาวุโสลงมือด้วยตัวเองจะเป็นการรังแกคนอื่นเกินไปหน่อยหรือไม่?”


ผู้เฒ่ายิ้มบาง “ไม่อาศัยตบะและขอบเขตรังแกคนอื่น ถ้าอย่างนั้นจะฝึกตนอย่างยากลำบากมาเพื่ออะไร? อีกอย่างขอบเขตของข้าตอนนี้หล่นลงมาจากฟ้าเองได้งั้นหรือ? ก็ไม่ใช่เพราะผ่านการเข่นฆ่าครั้งแล้วครั้งเล่า หวุดหวิดเจียนตายกว่าจะสั่งสมมาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวหรือไง?”


ตู้เหยี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “บรรพจารย์สั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว”


ตู้เหยี่ยนลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “คนผู้นั้นคือคนที่ชื่อเฉินผิงอันหรือ?”


ผู้เฒ่ายิ้มตอบ “ข้าเคยได้ยินชื่อคนหนุ่มผู้นี้มาก่อน ก่อนหน้านี้เจ้าเศษสวะคนนั้นขอยืมอาวุธสำคัญของสำนักไป แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วกลับถูกผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งชิงลงมือสังหารปีศาจใหญ่สำนักฝูจีตนนั้นก่อน ปล่อยให้เจียงซ่างเจินได้ผลประโยชน์ใหญ่เทียมฟ้าไปโดยที่ไม่ต้องลงแรงอะไรเลย ข้ารู้จักชื่อของผู้ฝึกกระบี่คนนั้น ร้ายกาจนักล่ะ ชื่อจั่วโย่ว เป็นลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนเคยทำลายจิตแห่งกระบี่ของตัวอ่อนกระบี่ที่ดีในทวีปใหญ่ๆ ไปหลายคน ยกตัวอย่างเช่นเฉาจวิ้นแห่งนาตยทวีปผู้นั้น ยุคสมัยที่รุ่งเรืองเขาโดดเด่นจนไม่มีใครเทียบได้ ภายหลังซิ่วไฉเฒ่าขังตัวเองอยู่ในสถานศึกษากงเต๋อหลิน จั่วโย่วก็หายตัวไป เวทกระบี่ของเขาสูงส่งอย่างมาก ตอนนั้นที่จั่วโย่วอยู่บนทะเลถามถึงชื่อเฉินผิงอัน ดังนั้นเฉินผิงอันต้องมีความเกี่ยวข้องกับสายของเหวินเซิ่งอย่างแน่นอน”


ตู้เหยี่ยนฟังแล้วก็รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ


สามารถทำให้บรรพบุรุษผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนักใบถงท่านนี้ชมเชยว่า ‘ร้ายกาจ’ และ ‘สูงส่งอย่างมาก’ ได้ นั่นต้องเป็นเซียนกระบี่ที่โดดเด่นถึงเพียงใด? ส่วนคำว่า ‘เหวินเซิ่ง’ ‘ซิ่วไฉเฒ่า’ ‘มีความเกี่ยวข้อง’ ก็ยิ่งทำให้ตู้เหยี่ยนรู้สึกว่าครั้งนี้เฉินผิงอันผู้นี้ปลอดภัยแน่นอน แต่เจิ้งต้าเฟิงผู้นั้นย่อมยากที่จะหนีพ้นความตายไปได้



 

 

 


บทที่ 365.4 สถานการณ์ที่มิอาจคลี่คลาย

 

คิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าจะเอ่ยขึ้นอีกว่า “ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงพาเรือข้ามฟากลำนั้นมาด้วยเล่า? ข้ากำลังรอจั่วโย่วผู้นั้นอยู่ ไม่กลัวว่าเขาจะมา กลัวแต่ว่าเขาจะปล่อยให้ข้านำวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นนั้นมาเสียเที่ยวต่างหาก”


ตู้เหยี่ยนอารมณ์ฮึกเหิม กุมมือประสานกล่าวว่า “ท่านบรรพจารย์ช่างปราดเปรื่อง ความองอาจห้าวหาญของท่านเป็นหนึ่งในใบถงทวีปของพวกเรา!”


ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “คำพูดเหลวไหลพวกนี้อย่าพูดมากเลย มีความสามารถจริงก็เดินไปให้สูงถึงระดับเดียวกับข้าเสียก่อน แล้วค่อยให้ลูกหลาน ให้ลูกศิษย์รุ่นหลังในสำนักของพวกเจ้าเอ่ยคำประจบเยินยอแบบนี้ให้เจ้าฟัง”


ตู้เหยี่ยนกล่าวอย่างกระวนกระวาย “มิกล้าคาดหวัง”


ผู้เฒ่าส่ายหน้า “เพราะฉะนั้นเจ้าเองก็เป็นเศษสวะที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย เพียงแต่โชคดีที่ใช้แซ่ตามข้า”


ตู้เหยี่ยนไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจแม้แต่น้อย กลับกันยังหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “โชคดีก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือ”


ผู้เฒ่าพยักหน้าเห็นด้วยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “คำกล่าวนี้ก็ไม่ผิด”


ผู้เฒ่าก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว


พริบตานั้นผู้เฒ่าก็มาโผล่ตรงหน้าเจิ้งต้าเฟิง ห่างออกไปแค่สองสามก้าวเท่านั้น ใบหน้าแทบจะชนใบหน้าอยู่แล้ว แต่เพราะตัวไม่สูงพอ ผู้เฒ่าจึงต้องแหงนหน้ามองผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าที่บาดเจ็บไม่เบาผู้นี้เล็กน้อย ยิ้มถามว่า “ได้ยินว่าเจ้าคือคนเฝ้าประตูของถ้ำสวรรค์หลีจู ทำงานให้ตาเฒ่าประหลาดผู้นั้น ไม่รู้ว่าหากข้าฆ่าเจ้าตาย เขาจะกล้าออกจากกรงขังแห่งนั้นมาหาเรื่องข้าหรือไม่?”


เจิ้งต้าเฟิงเฉยเมยไม่สะทกสะท้าน


แค่ปล่อยหมัดหนึ่งหมัดออกไปเท่านั้น


ผู้เฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง ยืนเฉยรับหมัด เขาถอยกรูดออกไปด้านหลังหลายก้าว เพียงแต่ร่างทั้งร่างยังคงนิ่งตระหง่านดุจขุนเขา


หันกลับไปมองเจิ้งต้าเฟิง ตรงหน้าท้องของเขาถูกอาวุธลักษณะเหมือนเรือลำเล็กยาวสองช่วงแขนแทงทะลุไปแล้ว


ผู้เฒ่ายื่นนิ้วโป้งออกมาเช็ดคราบเลือดตรงมุมปากด้วยความเคยชิน “มีความสามารถแค่นี้เองหรือ? ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวอะไร ไหนบอกว่าร่างกายของผู้ฝึกลมปราณบอบบางเหมือนกระดาษอย่างไรเล่า ข้าว่าก็ไม่ได้เหมือนกันทุกคนหรอก”


ผู้เฒ่าดีดนิ้วสลัดเลือดสดหยดนั้นทิ้ง จากนั้นก็ชี้ไปที่หน้าท้องของเจิ้งต้าเฟิง “นี่ไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ ชีวิตนี้ข้ารำคาญพวกผู้ฝึกกระบี่มากที่สุด พวกเขาชอบทำตัวโดดเด่นเกินไป โดยเฉพาะพวกเซียนกระบี่ที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวใคร ข้าล่ะอยากจะควักลูกตาของพวกเขาออกมาแล้วยัดใส่ก้นพวกเขาซะ น่าเสียดายที่รอจนข้ามีความสามารถจนทำเรื่องพวกนี้ได้กลับต้องเคารพกฎเกณฑ์ของฟ้าดินแห่งนี้อีก กรงขังใหญ่นี่นะ ไม่อาจออกไปจากภูเขาได้ง่ายๆ เจ้าว่ามันน่าเจ็บใจหรือไม่?”


กล่าวมาถึงตรงนี้ผู้เฒ่าก็เหลือบมองไปยังม่านฟ้าแวบหนึ่ง


เจิ้งต้าเฟิงเดินออกไปหนึ่งก้าว ปล่อยหมัดใส่ผู้เฒ่าอีกครั้ง


ผลกลับกลายเป็นว่าผู้เฒ่าเบี่ยงตัวหลบ ขณะเดียวกันก็ยื่นมือข้างหนึ่งมากดศีรษะของเจิ้งต้าเฟิง ผลักเขาให้ถอยไปด้านหลัง


เจิ้งต้าเฟิงกระเด็นไปร้อยจั้งกว่า ตรงหน้าท้องยังถูกปักตรึงไว้ด้วยเรือลำเล็กที่ลักษณะคล้ายกระบี่บิน นอนจมอยู่ท่ามกลางกองเลือด พยายามลุกขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ต้องกระเด็นกลับไปบนพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า


ผู้เฒ่าหันหน้ามามองเฉินผิงอัน ถามว่า “เรียกจั่วโย่วมาได้ไหม?”


ไม่รอฟังคำตอบจากคนหนุ่มก็สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง


ชุดขาวลอยลิ่วออกไป เพียงแต่ว่าพลิกตัวกลับอยู่กลางอากาศอย่างปราดเปรียว ก่อนจะพลิ้วกายลงบนพื้น เท้าหน้าและหลังกระแทกลงบนพื้นหนักๆ ถึงจะหยุดการถอยร่นของเรือนกายเอาไว้ได้ ชายแขนเสื้อทั้งสองข้างโบกปลิว


ผู้เฒ่าตกตะลึงเล็กน้อย “ดีกว่าที่คิดไว้ไม่น้อย ถึงกับมีพรสวรรค์ ไม่ได้เป็นแค่เศษสวะ ไม่เลวๆ น่าเสียดายที่ไม่ได้แซ่ตู้ ถ้าอย่างนั้นตายไปก็…ไม่น่าเสียดาย!”


ผู้เฒ่ายกมือข้างหนึ่งกดลงเบาๆ


มือใหญ่สีทองที่ใหญ่โตดุจขุนเขาแหวกทะเลเมฆเบื้องบนเหนือนครมังกรเฒ่ากดลงมาใส่ศีรษะของเฉินผิงอัน


เฉินผิงอันใช้กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ออกหมัดใส่บนท้องฟ้า


ในรัศมีหนึ่งร้อยจั้ง ฝุ่นคลุ้งตลบมืดฟ้ามัวดิน


ในหลุมใหญ่ เฉินผิงอันเดินขึ้นเนินมาช้าๆ มาปรากฏตัวอยู่ในการมองเห็นของผู้เฒ่าอีกครั้ง


ผู้เฒ่ากวาดตามองรอบด้านพลางพยักหน้าอย่างกระจ่างแจ้ง “ดูท่าจั่วโย่วคงไม่ใช่ผู้ปกป้องมรรคาของเจ้า แน่นอนว่าไม่มาแล้ว…”


ระหว่างที่เขาพูด เฉินผิงอันที่ชุดอาคลุมจินหลี่กลายเป็นสีทองซึ่งเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงก็คล้ายถูกมือใหญ่ที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งปาดกระแทกเข้าที่เอว ร่างทั้งร่างลอยหวือไปกลางอากาศวาดเส้นโค้งหนึ่งเส้น ก่อนจะไปกระแทกลงบนกำแพงเมืองของนครมังกรเฒ่าที่อยู่ด้านหลังผู้เฒ่า


ผู้เฒ่าส่ายหน้า “เป็นต้นกล้าที่ดีแล้วอย่างไร แม้แต่ห้าขอบเขตบนก็ยังไม่ใช่ ก็ยังเรียกว่าเศษสวะอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”


ไม่แม้แต่จะชายตามองกำแพงเมืองด้านหลัง ผู้เฒ่ายื่นมือข้างหนึ่งออกมา แล้วดีดไปด้านหลังเบาๆ หนึ่งที


บนกำแพงเมืองจุดที่ร่างของเฉินผิงอันกระแทกลงไปปรากฏเป็นรอยแตกร้าวเหมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ยักษ์ พอผู้เฒ่าดีดนิ้ว เฉินผิงอันที่ร่างฝังอยู่กลางกำแพงเมืองก็พุ่งทะลุกำแพงเมืองออกไปตกอยู่นอกเมือง


ผู้เฒ่าเกาหัว รออยู่พักหนึ่ง ฟ้าดินยังคงเงียบสงัดดังเดิม


เจิ้งต้าเฟิงนั่งคุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้น เงยหน้าขึ้น ผู้เฒ่าพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสามารถทดลองหักกระบอกยาสูบเก่าแก่อันนั้นได้ ข้าอยากรู้นักว่าตาแก่นั่นจะมาช่วยเหลือเจ้าด้วยตัวเองหรือว่าจะใช้ฝีมือเล็กๆ น้อยๆ อันต่ำต้อยของเขา”


เจิ้งต้าเฟิงถ่มเลือดสดทิ้ง พูดอย่างยากลำบาก “ฆ่าข้าคนเดียวก็พอแล้ว”


ผู้เฒ่าส่ายหน้า “หากเป็นตาแก่ของถ้ำสวรรค์หลีจูผู้นั้นที่มายืนอยู่ต่อหน้าข้า แล้วพูดประโยคนี้กับข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจจะยอมพิจารณา”


ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว หันหน้ามองไป


คนหนุ่มผู้นั้นกลับฝืนพาตัวมาปรากฏกายอยู่ท่ามกลางหลุมโพรงขนาดใหญ่บนกำแพงเมืองได้ใหม่อีกครั้ง ในมือถือของอย่างหนึ่งลักษณะคล้ายเม็ดยา


หมัวมัวผู้อบรมมารยาทสีหน้ามืดทะมึน “คือโอสถปีศาจห้าขอบเขตบนเม็ดหนึ่ง หากเป็นของที่ผ่านการหล่อหลอมมาแล้ว ระเบิดแตกเมื่อไหร่ แถบตะวันออกทั้งแถบของนครมังกรเฒ่าแห่งนี้ก็จะพังราบไปด้วย”


ฝูหนันหัวหัวเราะเบาๆ “คนผู้นี้ไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด!”


หมัวมัวผู้อบรมมารยาทมีสีหน้าปั้นยาก ชำเลืองตามองฝูหนันหัว ฝ่ายหลังจึงพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “คนแบบเขาก็โง่อย่างนี้แหละ”


ซุนเจียซู่ถอนหายใจหนึ่งที เฉินผิงอันไม่มีทางทำแบบนั้นจริงๆ


เขาเพิ่งจะเดินออกไปหนึ่งก้าวก็ถูกบุรพาจารย์ก่อกำเนิดยื่นมือมากดไหล่เอาไว้ “ห้ามออกหน้าเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นแผนการและสิ่งที่ตระกูลซุนทุ่มเทไปในครั้งนี้จะต้องเสียเปล่า”


ซุนเจียซู่ดิ้นรน แต่กลับถูกผู้เฒ่ากดตัวไว้อย่างแน่นหนา “เรื่องอื่นๆ ปล่อยให้เจ้าทำตามอำเภอใจได้ แต่เรื่องนี้ไม่ได้! นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้าซุนเจียซู่คนเดียว”


ซุนเจียซู่ยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกบรรพบุรุษของตระกูลซุนตีจนสลบไป


เฉินผิงอันนั่งอยู่ริมกำแพงที่แตกพังยับเยิน แบฝ่ามือออก “โอสถปีศาจเม็ดนี้ของข้า ขอซื้อชีวิตเจิ้งต้าเฟิง”


แม้ว่าจะอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล ทว่าผู้เฒ่ากลับยังได้ยินอย่างชัดเจน “ชีวิตของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนหนึ่งมีค่ามากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”


ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย ผู้เฒ่าก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ทว่าต่อให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้ามีน้อยแค่ไหน ถึงอย่างไรก็ยังมากกว่าโอสถปีศาจขอบเขตสิบสองเม็ดนี้อยู่เล็กน้อย ข้ารับปาก”


เขายื่นมือมาคว้า โอสถปีศาจขอบเขตสิบสองเม็ดนั้นก็เข้ามาอยู่ในกระเป๋า แต่จากนั้นเขากลับหัวเราะเสียงเย็น “ชีวิตของเจิ้งต้าเฟิงเหลือไว้ให้เจ้า แต่ขอบเขตวรยุทธของเจ้าลูกกระต่ายผู้นี้ อย่าได้เก็บไว้อีกเลย”


เห็นเพียงผู้เฒ่ากระทืบเท้าหนึ่งครั้ง


เสียงลั่นแตกเป็นระลอกก็ดังมาจากกระดูกสันหลังของเจิ้งต้าเฟิงที่พยายามกระเสือกกระสนลุกขึ้นมา


ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนหนึ่งนอนพังพาบอยู่บนพื้นราวกับไม่มีกระดูก


ผู้เฒ่ามองไปยังคนหนุ่มผู้นั้น “เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าจะเอาอะไรมาซื้อชีวิตของตัวเองอีกล่ะ? จำไว้ว่าต้องมีค่ายิ่งกว่าโอสถปีศาจของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองถึงจะได้”


คนหนุ่มนั่งขัดสมาธิ ร่างทั้งร่างราวกับเป็นมนุษย์เลือด มองเห็นหน้าตาของเขาได้ไม่ชัดเจนแล้ว


ผู้เฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ต่างก็พูดกันว่าข้าคนนี้นิสัยไม่ดี แต่วันนี้ข้าจะแหกกฎสักครั้ง จะยอมรอเจ้าสักประเดี๋ยว”


บุรพาจารย์ผู้กอบกู้สำนักใบถงที่หน้าตาไม่โดดเด่นท่านนี้มีอาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตที่ชื่อว่า เรือกลืนกระบี่


คือโครงกระดูกที่สมบูรณ์แบบของปลาวาฬกลืนสมบัติตัวใหญ่ยักษ์ในยุคบรรพกาลตัวหนึ่ง ใช้เวลาหกร้อยปีเต็มถึงจะหล่อหลอมได้สำเร็จ ในช่วงหกร้อยปีที่ผ่านมานี้ สำนักใบถงต้องทุ่มทั้งพลังคนและทรัพยากรทั้งหมดที่มีเพื่อลองเสี่ยงดวง


มีเพียงครั้งเดียวที่สำนักใบถงเคยถูกสำนักกุยหยกที่อยู่ทางทิศใต้ข่มบารมี นั่นคือช่วงเวลาอันน่าเศร้าสลดใจ อันดับแรกเจ้าสำนักที่เป็นสายของบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาพบเจอกับเรื่องไม่คาดฝันขณะเดินทางไกลไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ร่างมอดม้วยมรรคาแหลกสลาย ในสำนักไม่มีขอบเขตเซียนเหรินนั่งบัญชาการณ์ ขาดคนรับช่วงต่อกลางคัน จากนั้นเพื่อบุรพาจารย์สกุลตู้ สำนักใบถงจึงต้องควักทรัพย์สินทั้งหมดที่มีออกมา หลังจากผู้ฝึกตนเฒ่าหลอมอาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตได้สำเร็จก็ต้องปิดด่านไปนานอีกหลายปี


เพียงแต่ว่าหลังจากที่ผู้เฒ่าท่านนี้ออกจากด่านมา เรื่องแรกที่ทำก็คือโดยสาร ‘เรือข้ามฟากยักษ์’ เดินทางไปถึงภูเขาที่ตั้งสำนักกุยหยก นัดหมายเปิดศึกกับเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง เป็นการต่อสู้ที่ต้องตัดสินเป็นตายเท่านั้น ผลคือเขาฆ่าเซียนกระบี่คนนั้นจนตาย แม้แต่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ท่านนั้นก็ถูกกลืนกินไปด้วย


ในเมื่อแม้แต่กระบี่บินของเซียนกระบี่ยังกลืนกินลงไปได้ ถ้าอย่างนั้นใต้หล้านี้ยังจะมีอะไรที่กลืนลงท้องไม่ได้อีก?


ผู้เฒ่ารออยู่ครู่หนึ่งก็ถามว่า “คิดเสร็จแล้วหรือยัง?”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว”


ผู้เฒ่ายิ้มตาหยีถามว่า “น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวมีระดับขั้นพอใช้ได้ อืม ยังมีแผ่นหยกแผ่นนั้นที่ดูท่าแล้วน่าจะมีประวัติความเป็นมายาวนานพอสมควร เป็นถึงวัตถุจื่อชื่อด้วยหรือ? น่าเสียดายที่พอเอามารวมกันแล้วก็ยังซื้อชีวิตของเจ้าไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่หากเจ้าตายไปแล้ว ของทั้งหมดของเจ้าก็ต้องเป็นของข้าอยู่ดี”


เฉินผิงอันก้มหน้าลงตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เค้นรอยยิ้ม กล่าวด้วยประโยคที่คนนอกฟังไม่เข้าใจ “ชีวิตนี้คงได้แค่นี้แล้ว พวกเจ้าหนีไปได้ก็หนีไปเถอะ”


จากนั้นเขาก็ยื่นมือซ้ายที่สั่นเทาและเต็มไปด้วยเลือดดึงแผ่นหยกที่อยู่ตรงเอวมากำแน่นไว้ในฝ่ามือ คิดจะบีบวัตถุจื่อชื่อที่ต้องหล่อหลอมอย่างยากลำบากกว่าจะเอาออกมาจากช่องโพรงในร่างได้สำเร็จชิ้นนี้ให้ระเบิดแตก


ในใจมีความคิดเดียว ของชิ้นนี้ ต่อให้ตายก็ห้ามให้ใครมาแตะต้อง


ทว่าวัตถุจื่อชื่อยังคงเป็นปกติไร้ความเสียหาย


เฉินผิงอันเต็มไปด้วยความละอายใจ เพียงแต่ว่าถึงท้ายที่สุดกลับรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ


เฉินผิงอันที่ไม่เคยโทษฟ้าดินโทษคนอื่น


เวลานี้กลับรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ


เขายกมือที่กำแผ่นหยกแน่นวางเบื้องหน้าในแนวขวาง น้ำตาปะปนไปด้วยเลือด เพียงแต่ไม่ยอมให้คนบนโลกได้เห็นภาพนี้


เฉินผิงอันวางมือทั้งสองข้างลง หลับตาช้าๆ เชิดหน้าขึ้นสูง มองไปทางทิศใต้ “ข้ามีหนึ่งกระบี่…สามารถย้ายขุนเขา สามารถพลิกมหาสมุทร…”


บรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนักใบถงหลุดหัวเราะพรืด “นี่คือทำอะไร? คำพูดสุดท้ายก่อนตายไม่ควรด่าว่าข้ารังแกคนอื่นหรอกหรือ?”


จากนั้นเขาก็บังคับอาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตให้แทงทะลุหน้าท้องของคนหนุ่มที่อยู่บนซากกำแพงเมืองด้วย ‘หนึ่งกระบี่’


ไม่รู้ว่าเหตุใด แผ่นหยกแผ่นนั้นถึงระเบิดแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


ผู้เฒ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็แค่รู้สึกเสียดายวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งเท่านั้น


……


บนยอดเขาสุ้ยซาน ซิ่วไฉเฒ่าที่นั่งอยู่บนยอดศิลาหินก่อกวนเทพเกราะทองกำลังคำนวณโชคชะตาฟ้าดินอยู่เงียบๆ พลันหน้าเปลี่ยนสี ลุกขึ้นยืน พูดด้วยน้ำเสียงเข้มหนักสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าโง่ตัวใหญ่ ช่วยข้าฝ่าสิ่งกีดขวางระหว่างสองทวีปใหญ่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องถามมาก เร็วเข้า!”


เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานที่สวมเสื้อเกราะสีทอง ใช้มือยันด้ามกระบี่ไว้กับพื้นรู้สึกประหลาดใจมาก แต่ก็พยักหน้ารับ ไม่ถามอะไร เพียงร่ายกายธรรมสีทองที่ใหญ่โตดุจขุนเขา เงื้อกระบี่ฟันออกไปจนเกิดความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุดยาวเหยียดดุจแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายหนึ่ง


ซิ่วไฉเฒ่าพุ่งทะยานไปตามความว่างเปล่านั้น


ช่องว่างหุบประกบไล่หลัง


โชคชะตาแม่น้ำและภูเขาของภูเขาสุ้ยซานอันเป็นขุนเขากลางแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางสั่นสะเทือนไม่หยุดนิ่ง


……


ระหว่างฟ้าดินคล้ายมีคนคนหนึ่งได้ยินประโยคที่ดังขึ้นในนครมังกรเฒ่า นางจึงตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาแล้ว”


……


ถ้ำสวรรค์หลีจูที่หลังจากปริแตกก็ร่วงลงสู่พื้น รัศมีพันลี้โดยรอบฟ้าดินขนาดเล็กเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง


หร่วนฉงสีหน้าเขียวคล้ำ พยายามระงับโชคชะตาที่ปั่นป่วนวุ่นวายจนใกล้เคียงกับคำว่าบ้าคลั่งนี้ไว้อย่างสุดความสามารถ


ตรงหน้าผาหินแท่นสังหารมังกร


เงาร่างสูงใหญ่สีขาวร่างหนึ่งพุ่งออกมา


นางที่ชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างเป็นสีขาวหิมะเหาะทะยานขึ้นฟ้าเป็นแนวตรง


หยุดชะงักร่างอยู่ตรงจุดสูงสุดของม่านฟ้าใต้หล้าไพศาล จากนั้นชำเลืองตามองไปทางทิศใต้สุดในอาณาบริเวณของแจกันสมบัติทวีป


แล้วร่างทั้งร่างก็เหมือนกระบี่ที่พุ่งออกไป


ทุกที่ที่เงาร่างสีขาวพุ่งผ่าน ในวันที่อากาศหนาวจัด ท้องฟ้าเบื้องบนเหนือแจกันสมบัติทวีปกลับมีเสียงฟ้าคำรามดังเป็นระลอก



 

 

 


บทที่ 366.1 จะฟังเหตุผลหรือไม่ กระบี่...

 

เบื้องใต้ทะเลเมฆ ทางทิศตะวันตกของแท่นมังกร ทางทิศเหนือของท่าเรือเกาะโดดเดี่ยว ตลอดทั้งนครมังกรเฒ่าตกอยู่ในสภาพที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาหยุดชะงักไม่เดินหน้า


วินาทีที่ฟ่านจวิ้นเม่ามองเห็นเงาร่างสีขาวหิมะนั้นพุ่งทะยานลงมายังผืนดินราวกับสายรุ้ง บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยความคิดถึงอย่างไร้ที่สิ้นสุด สุดท้ายน้ำตาร้อนๆ เอ่อคลอดวงตา นางลุกขึ้นยืน ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด ก่อนจะใช้ท่า ‘นั่งสงบ’ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนั่งอย่างสำรวมอยู่บนทะเลเมฆ ท่านั่งสงบสำรวมดุจศพดุจองค์เทพที่วิญญูชนลัทธิขงจื๊อในรุ่นหลังปฏิบัติตามอย่างพิถีพิถันก็เป็นท่าเดียวกันนี้


ทางฝั่งของร้านยาฮุยเฉิน เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ กำลังร่ายวิชากระบี่อันบ้าคลั่งอยู่ในตรอกนอกร้านยา ไม่รับรู้ถึงความผิดปกติของฟ้าดินเลยแม้แต่น้อย ทว่าเทพหยินแซ่จ้าวกลับแน่นิ่งไม่กระดุกกระดิก


นอกเมืองมีเศรษฐีผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยคนหนึ่งกำลังย่างเท้าข้างหนึ่งออกมา ทว่ากลับขมวดคิ้วแล้วหดเท้ากลับคืนไป ยืนนิ่งเฉย แต่กลับกลอกตาไปมาด้วยท่าทางครุ่นคิด จากนั้นก็ให้จิตหยินที่ถูกอำพรางตนอย่างดีออกจากช่องโพรงไปท่องเที่ยวดุจปลาได้น้ำ ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ


นอกประตูตะวันออกของนครมังกรเฒ่า หมัวมัวผู้อบรมมารยาทของสกุลเจียงอวิ๋นหลินหน้าแดงก่ำ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตส่งเสียงร้องอื้ออึงอยู่ในช่องโพรงลมปราณ เป็นเหตุให้นางที่พยายามจนสุดความสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ที่พร่าเลือนบางอย่าง


บรรพบุรุษแซ่ตู้ผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนักใบถงหรี่ตาลง มองไปทางช่องโพรงบนกำแพงเมือง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอย่างเรือกลืนกระบี่หยุดลอยนิ่งอยู่ข้างกาย


ใน ‘โพรงประตู’ บนกำแพงที่ถูกทะลุทะลวงออกไปมีหญิงสาวร่างสูงใหญ่สวมชุดขาวราวหิมะ ชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างโบกสะบัดนั่งอยู่บนกองหินปรักหักพัง โอบกอดคนหนุ่มที่ชุดคลุมอาคมจินหลี่แทบจะแหลกสลายไว้ด้วยท่าทางอ่อนโยน เนื่องจากได้รับบาดเจ็บหนักเกินไป คนหนุ่มจึงหมดสติไปแล้ว นางยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาลูบหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของคนหนุ่มให้คลายลง


ห่างออกไปไม่ไกลคือผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่สวมชุดเขียวมอซอคนหนึ่ง กำลังยืนเอามือปาดเหงื่อบนหน้าผาก “เจ้าเองก็บุ่มบ่ามเกินไปแล้ว ความเคลื่อนไหวรุนแรงขนาดนี้ รู้หรือไม่ว่าเพื่อปกปิดร่องรอยของเจ้า แม้แต่เรี่ยวแรงตอนกินนมข้าก็ดึงออกมาใช้หมดแล้ว (มนุษย์เราแรกเริ่มดื่มนมเป็นอาหารเพื่อให้เติบโต ภายหลังหย่านม หันมากินข้าวเพื่อให้มีเรี่ยวแรง หากแม้แต่เรี่ยวแรงหลังจากกินข้าวยังเอามาใช้ไม่พอ ต้องเอาเรี่ยวแรงตอนสมัยยังกินนมมาใช้เพิ่มด้วย ประโยคนี้จึงเป็นการเปรียบเปรยว่าใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ทุ่มสุดกำลัง) หากไม่เป็นเพราะเทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานยังจะพอมีน้ำใจอยู่บ้าง ยอมให้ข้ากระโดดมาถึงทางเหนือของแจกันสมบัติทวีปโดยตรง ป่านนี้ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงตัวตนของเจ้าหมดแล้ว ถึงเวลานั้นเฉินผิงอันจะยังฝึกตนอย่างสงบอีกได้อย่างไร?”


เห็นว่าสตรีผู้นั้นไม่พูดไม่จา ซิ่วไฉเฒ่าก็ยิ่งรู้สึกร้อนตัว เขาถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อยครั้งหนึ่ง ไม่มองบุคคลอันดับสองของตระกูลเซียนในอาณาเขตใบถงทวีปผู้นั้น แต่เดินมาหยุดอยู่ริมกำแพง สะกดกลั้นโทสะที่อยู่ในใจเอาไว้ “ทำไม ในเมื่อพวกเจ้าสองคนชอบดูเรื่องสนุกขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่กล้าโผล่หน้าออกมาเล่า?”


ทางทิศเหนือปรากฏเรือนกายเลือนรางเรือนกายหนึ่ง พอจะมองเห็นได้รางๆ ว่าเป็นคนของลัทธิขงจื๊อวัยกลางคน ตรงเอวห้อยหยกประดับสีทองหนึ่งแผ่น สลักอักษรคำว่า ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’


ส่วนทางฝั่งทิศใต้ก็เป็นชาวลัทธิขงจื๊อที่เรือนกายล่องลอยไม่อยู่นิ่งอีกคนหนึ่ง เพียงแต่ดูลักษณะแล้วเป็นชายชราอายุประมาณเจ็ดสิบปี ตรงเอวห้อยหยกประดับสีทองเช่นกัน แต่สลักคำว่า ‘ผู้มีคุณธรรมได้รับความช่วยเหลือมากมาย’


บุรุษจากลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนประสานมือคารวะ “คารวะท่านอาจารย์”


ทว่าชาวลัทธิขงจื๊อวัยชราที่อยู่ทางทิศใต้ผู้นั้น พอเห็นซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่งแล้วกลับเฉยเมย หนังตาไม่กระตุกสักครั้ง


ซิ่วไฉเฒ่าสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ชี้ไปยังบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนักใบถงผู้นั้น มองผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่ตรงเอวห้อยหยก ‘ผู้มีคุณธรรม’  แล้วถามว่า “ในฐานะอริยะผู้รับผิดชอบดูแลทางเหนือของใบถงทวีป หากถามถึงผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบและสิบเอ็ดที่เดินไปเดินมาในใต้หล้า เจ้าสามารถผลักภาระรับผิดชอบบอกว่าโลกมนุษย์มีเรื่องวุ่นวายมากมาย แสงตะเกียงนับหมื่นดวงดุจแสงดาวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า เจ้าอยู่บนฟ้าไม่มีเวลาพอมาจับตามองทุกคน แต่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตบินทะยานเช่นนี้ เจ้าตาบอดไปแล้วหรือไร? โคมไฟดวงใหญ่ลอยผ่านหน้าเจ้าไป เจ้ายังมองไม่เห็นอีกหรือ?”


ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อเงียบงันไม่ตอบโต้


บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนถอนหายใจหนึ่งที อันที่จริงก่อนจะเกิดเรื่องมีคนมาแจ้งเขาแล้ว บอกว่าตู้เม่าแห่งสำนักใบถงจะลงจากเขามาเยือนนครมังกรเฒ่าแห่งแจกันสมบัติทวีปซึ่งอยู่ในเขตการปกครองของเขา นี่คือหนึ่งในแผนการของสกุลซ่งต้าหลีที่อยู่ทางเหนือ อีกทั้งยังเกี่ยวพันไปถึงเรื่องราวภายในของปีศาจใหญ่ที่ก่อความวุ่นวายในสำนักฝูจีและภูเขาไท่ผิง ดังนั้นก่อนหน้าที่ตู้เม่าจะออกจากสำนักจึงได้รายงานเรื่องนี้แก่ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อแล้ว เพียงแต่เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน ยังไม่ทันยื่นขอป้ายจากสถานศึกษา ดังนั้นบุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนจึงทำได้เพียงหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งเท่านั้น


สำหรับพันธนาการที่มีต่อผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานทั้งหลาย คือกฎเหล็กข้อหนึ่งที่หลี่เซิ่งตั้งเอาไว้ หลายปีที่ผ่านมาใช่ว่าจะไม่ถูกคัดค้าน แม้แต่ผู้ฝึกตนใหญ่ยังพูดเย้ยหยันอย่างเปิดเผยว่า นายท่านผู้เฒ่าหลี่เซิ่งช่างมีภราดรภาพ เลี้ยงเผ่าปีศาจไว้ในใต้หล้าไพศาลมากมายถึงเพียงนั้น ไม่ยอมเข่นฆ่าสังหารให้หมดสิ้นเป็นการตัดรากถอนโคน ไม่เพียงแต่เลี้ยงเสือเลี้ยงตะเข้ไว้ให้เป็นภัยร้ายที่อาจตามมาเบื้องหลัง กลับยังใช้กฎเข้มงวดกับคนกันเอง แค่จะยืดแขนยืดขาออกมายังต้องได้รับคำอนุญาตจากสถานศึกษาเสียก่อน ลองดูใต้หล้ามืดสลัวที่สามสายของลัทธิเต๋าเป็นผู้ปกครองบ้างสิ ขอบเขตบินทะยานอยากจะอยู่ในหอป๋ายอวี้จิงแห่งนั้นก็อยู่ไป เบื่อเมื่อไหร่ก็ออกท่องไปทั่วใต้หล้าอย่างกำเริบเสิบสาน เหตุใดมีเพียงใต้หล้าไพศาลที่แค่จะจามสักทีก็ยังต้องทำตามกฎ?


ตู้เม่าแห่งสำนักใบถงเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว มือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งเกาหัว เงยหน้ามองซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้น “เจ้าก็คือเหวินเซิ่ง?”


ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ซิ่วไฉเฒ่ายังไม่ปรายตามองคนผู้นี้แม้แต่น้อย เขาหันไปพูดกับหนึ่งในเจ็ดสิบสองปราชญ์ที่มีรูปปั้นตั้งวางอยู่ในศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อซึ่งทำหน้าที่พิทักษ์อยู่บนแผ่นฟ้าทั้งสองท่านคนละประโยคว่า “พวกเจ้าสองคนต่างก็เป็นศิษย์ที่ภาคภูมิใจของเหล่าซาน คืออริยะ เหล่าซานควรจะสอนพวกเจ้ามาก่อน พวกเจ้าก็ยิ่งควรจะจดจำเอาไว้ ความเห็นอกเห็นใจคือสิ่งที่ทุกคนควรมี!”


“ละอายต่อความผิดบาป คือสิ่งที่ทุกคนควรมี!”


ประโยคแรกพูดกับบุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนที่เป็นผู้บัญชาการทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป


ส่วนประโยคหลังพูดกับผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่ปล่อยให้ตู้เม่าลงจากภูเขาข้ามทวีปมายังนครมังกรเฒ่า


บัณฑิตที่สามารถเลื่อนขั้นเข้าไปอยู่ในศาลบุ๋น มีรูปปั้นตั้งวางอยู่เคียงข้างปรมาจารย์มหาปราชญ์ได้ ย่อมคู่ควรกับคำว่าอริยะที่แท้จริง ยกตัวอย่างเช่นอริยะลัทธิขงจื๊อซึ่งเป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อที่ยิ่งมีน้ำหนักมาก ทว่าระบบสืบทอดดั้งเดิมของลัทธิขงจื๊อในใต้หล้าไพศาลยังคงยืนกรานที่จะเรียกพวกเขาว่าเจ็ดสิบสองปราชญ์


ซิ่วไฉเฒ่าพูดต่อว่า “อาจารย์ของพวกเจ้าก็เคยพูดไว้ว่า ชีวิต คือสิ่งที่ข้าต้องการ คุณธรรมก็คือสิ่งที่ข้าต้องการ หากไม่อาจมีทั้งสองอย่างได้ในเวลาเดียวกัน ถ้าเช่นนั้นข้าก็ได้แต่สละชีวิตเพื่อเลือกคุณธรรมแล้ว! ตอนนี้เฉินผิงอันกำลังสอนให้พวกเจ้ารู้ว่าเป็นคนควรปฏิบัติตนเช่นไร! ถึงอย่างไรเหล่าซานก็สอนไม่ดี ถ้าอย่างนั้นก็ให้เด็กคนหนึ่งที่เรียนหนังสือมาไม่มากสอนพวกเจ้าก็แล้วกัน”


ผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบสีหน้าเคร่งขรึม เปิดปากพูดอย่างเฉยเมยว่า “เจ้าไม่ได้อยู่ในศาลบุ๋นแล้ว ไม่มีเทวรูปตั้งอยู่ข้างในนั้นอีก ระบบการเรียนการสอนสายบุ๋นของเจ้าก็ขาดลง ควรจะเรียกอาจารย์ของข้าอย่างเคารพว่าหย่าเซิ่ง”


ซิ่วไฉเฒ่าโกรธจนเป่าหนวดถลึงตา “ข้าไม่ได้เรียกเขาว่าตะพาบเฒ่าก็ถือว่าให้หน้าที่ใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้าแก่เขาแล้ว! เจ้าจะนับเป็นตัวอะไรได้?! ก็แค่อาศัยบทความคุณธรรม ความรู้ผายลมสุนัขที่ไร้ประโยชน์พวกนั้นเข้าไปกินหัวหมูเย็นๆ อยู่ในศาลบุ๋นเท่านั้น”


ผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบยังคงสีหน้าไร้อารมณ์ดังเดิม เพียงแต่มุมปากกระตุกน้อยๆ คล้ายกำลังเย้ยหยัน


ซิ่วไฉเฒ่าตบอก พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ต้องใช้เหตุผลทำให้คนสยบ ใช้คุณธรรมทำให้คนยอมศิโรราบ”


ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจหนึ่งที “เป็นเพราะพวกเจ้าสองคนรู้ดีว่าตอนนี้ข้าไม่อาจทำอะไรพวกเจ้าได้ ถึงได้มีท่าทางไร้ยำเกรงเช่นนี้ ถูกไหม?”


บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนส่ายหน้า “มิกล้า แล้วก็ไม่เต็มใจจะทำเช่นนั้นด้วย”


ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อกลับหัวเราะเสียงเย็น “ความรู้ของเจ้าก็คือไม้กวนอาจม เหม็นโฉ่จนแมลงวันตอม ทำลายผลงานใหญ่พันปีของระบบลัทธิขงจื๊อของพวกเรา”


ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่ห้อยแผ่นหยกสีทองสลักคำว่า ‘ผู้มีคุณธรรมได้รับความช่วยเหลือมากมาย’ ไม่เพียงไม่ถอยหนีกลับยังเดินขึ้นหน้าเข้าหาอีกหนึ่งก้าว “ข้าพูดอย่างนี้ต่อหน้าเจ้า เจ้าจะทำอะไรได้?”


ซิ่วไฉเฒ่าโมโหจัดจนกลายเป็นขำ “ปีนั้นช่วงเวลาที่ข้าเป็นดั่งตะวันกลางนภา เจ้าเองก็ตั้งใจมานะศึกษาตำราความรู้ของสายข้า เจ้าลืมไปแล้วหรือไร? หากข้าจำไม่ผิด เจ้ายังวิ่งเคยไปขอความรู้จากชุยฉานด้วย? แต่ผลล่ะเป็นเช่นไร? หนึ่งในเรื่องดีไม่กี่เรื่องที่ชุยฉานทำมาตลอดชีวิตนี้ก็คือด่าว่าเจ้าเรียนรู้อะไรไม่ได้สักอย่าง รู้จักแต่การแสร้งวางตัวภูมิฐานเหมือนเหล่าซาน แถมยังเสนอแนะให้ลัทธิขงจื๊อแจกจ่ายตำแหน่ง ‘วิญญูชนจอมปลอม’ ให้ทัดเทียมกับวิญญูชนเจิ้งเหริน ช่างแทงใจดำดีจริงๆ”


บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนยิ้มจืดเจื่อน


ทว่าผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อกลับมีตบะดีเยี่ยม ถูกซิ่วไฉเฒ่าหมิ่นเกียรติถึงเพียงนี้ แต่สีหน้ากลับยังคงผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ


ซิ่วไฉเฒ่าเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าสูง พึมพำกับตัวเองว่า “วิญญูชนสามารถใช้เหตุผลที่เหมาะสมมาหลอกลวงคนอื่น เหล่าซานพูดประโยคนี้ด้วยตัวเอง ข้ารู้ เจ้าต้องการเพิ่มโซ่ตรวนอีกชั้นหนึ่งให้แก่บัณฑิต คิดจะให้สอดคล้องกับประโยคของปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่บอกว่า ‘ควบคุมตนเองแล้วจึงดำเนินไปในจริยธรรม นั่นก็คือ เมตตาธรรม’ แต่ตอนนี้เจ้าลองดูใต้หล้าแห่งนี้สิ มันสอดคล้องกับเจตนาเดิมของเจ้าหรือไม่? ไม่ต้องมองคนอื่น แค่มองลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของเจ้าคนนี้ก็พอแล้ว เพราะเป็นเช่นนี้ ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาหลี่จี้ที่ยิ่งใหญ่ ลูกศิษย์ในสำนักของหลี่เซิ่งถึงต้องทำหน้าหนาไปขอร้องให้ป๋ายเจ๋อลงมือ ผลคือคนเขาพูดว่าอย่างไร? ‘ค่อยดูอีกที’ ค่อยดูอะไร ข้าว่าไม่ต้องดูแล้ว วิถีบนโลกก็ไม่ได้ความอย่างนี้แหละ เพราะจิตใจคนไม่เหมือนในอดีต ดุจสายน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ! ตอนนั้นพวกเราประชันแลกเปลี่ยนความรู้ พูดกันว่าอย่างไรแล้วนะ ต่อให้มหามรรคาแตกต่าง แต่ทุกคนกลับมองว่า ‘ไม่แน่เสมอไปว่าคนในปัจจุบันต้องด้อยกว่าคนในอดีต’ ตลกนัก ตลกจริงๆ!”


บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนหันไปมองผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อผู้นั้นแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ไม่สู้ยอมรับผิดกับท่านอาจารย์ดีกว่าไหม?”


ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อถามกลับ “มีความผิดอะไร?”


บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยว่า “สะบั้นควันธูปสายบุ๋นของผู้อื่น ควรจะลงมือในด้านของความรู้ ควรจะเริ่มจากการเลือกของปวงประชาและแผ่นดิน ไม่ควรใช้กำลังสยบผู้อื่น ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง อาศัยข้ออ้างมาท้าทายเสินจวินผู้เฒ่าที่อริยะสี่ท่านให้การยอมรับ สังหารคนหนุ่มคนหนึ่งที่ ‘มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง’ อย่างกำเริบเสิบสาน ไม่สอดคล้องกับหลักการ ไม่สอดคล้องกับมารยาท!”


ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อเอ่ยอย่างเฉยเมย “ข้ามองไปถึงผลงานยิ่งใหญ่พันปี มองไปถึงชะตาสายบุ๋นหมื่นปี”


บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนส่ายหน้าเบาๆ ไม่เอ่ยอะไรอีก


ซิ่วไฉเฒ่านั่งแปะลงบนริมขอบช่องโพรงของกำแพงที่ปริแตก “จะพูดกันด้วยเหตุผลหรือไม่ ใครจะเป็นคนพูดถึงเหตุผลนี้ คนอื่นจะฟังหรือไม่ แต่บางเหตุผลก็ยังคงอยู่ พวกเจ้าไม่เข้าใจ”


น้ำเสียงเย็นชาใสกระจ่างดังขึ้นจากด้านหลัง “พูดจบแล้ว?”



 

 

 


บทที่ 366.2 จะฟังเหตุผลหรือไม่ กระบี่...

 

ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับ ห่อไหล่สองข้าง เอาฝ่ามือทั้งสองวางทับซ้อนกันบนหัวเข่า พูดอย่างหมดอาลัยตายอยากว่า “พูดจบแล้ว เดินทางมาไกลขนาดนี้ แถมยังต้องปกปิดลมปราณของเจ้ามาตลอดทาง มาถึงยังต้องพูดพล่ามไร้สาระอีกตั้งมากมาย ไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว ปรมาจารย์มหาปราชญ์ หลี่เซิ่ง เหล่าซาน หลักการเหตุผลดีๆ ทั้งหลายที่พวกเขาศึกษาใคร่ครวญออกมาอย่างยากลำบาก ข้าว่าคงต้องเอากลับคืนให้แก่ฟ้าดินแห่งนี้ อย่าไปแตะต้องจะดีกว่า”


สตรีชุดขาวร่างสูงใหญ่วางร่างเฉินผิงอันลงเบาๆ ลุกขึ้นยืน เดินเอื่อยเฉื่อยมาหยุดอยู่ข้างกายซิ่วไฉเฒ่า “ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลาที่ข้าต้องพูดเหตุผลของข้าบ้างแล้ว บอกไว้ก่อนว่า หากเจ้ากล้าขัดขวาง แม้แต่เจ้าข้าก็จะ…”


ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “ไม่ขวางหรอก เป็นเพราะตาแก่อย่างข้าไร้ความสามารถ ถึงทำร้ายให้เสี่ยวฉีต้องร่างมอดม้วยมรรคาสลาย ถึงทำร้ายให้ผิงอันน้อยต้องประสบเคราะห์กรรมครั้งนี้ เป็นข้าที่ผิดต่อลูกศิษย์ทั้งสองคน คนบางคนอยากจะกินอาจม ข้าขวางไว้ไม่อยู่ แล้วข้าจะต้องขวางเจ้าที่มีเหตุผลไปทำไม?”


ตู้เม่าที่ยืนมองเรื่องสนุกอยู่ที่เดิมตลอดเวลาพูดด้วยรอยยิ้ม “ทำไม เจ้าก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เก็บตัวอย่างสันโดษเหมือนกันหรือ? ขอบเขตเซียนเหริน? คงไม่ใช่ขอบเขตบินทะยานที่วิ่งมาจากภูเขาห้อยหัวหรอกกระมัง?”


บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนมีสีหน้าประหลาด ชำเลืองตามองผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่อยู่ทางทิศใต้แวบหนึ่ง ฝ่ายหลังมีสีหน้าเครียดขรึม เห็นได้ชัดว่าเมื่อเผชิญหน้ากับนาง เขารู้สึกกดดันยิ่งกว่าตอนเผชิญหน้าซิ่วไฉเฒ่าอดีตเหวินเซิ่งมากนัก


สตรีชุดขาวหาวหวอด เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทะยานดิ่งเป็นเส้นตรงลงมาด้านล่างของกำแพงแล้วเดินมาข้างหน้าอย่างเชื่องช้า


ตรงเอวห้อยกระบี่โบราณที่ไร้ฝักและไร้ด้าม สนิมขึ้นเกรอะกรัง มีเพียงส่วนปลายกระบี่ที่แหลมคมเพราะถูกขัดเกลาให้เกิดประกายเจิดจ้า


ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อพูดเสียงหนัก “หากเจ้ากล้าลงมือก็เท่ากับทำลายกฎของฟ้าดินแห่งนี้!”


สตรีชุดขาวเดินมาข้างหน้าเนิบช้า ยกมือตบปากตัวเองเบาๆ ราวกับคนที่เพิ่งตื่นนอน


กระบี่โบราณเล่มนั้นถูกผูกไว้ตรงเอวไม่แน่นหนานัก เมื่อนางเยื้องย่างก้าวเดิน ปลายกระบี่ก็แกว่งไกวเบาๆ แสงกระบี่สีขาวหิมะเปล่งวูบวาบไม่หยุดนิ่ง


ตู้เม่าใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว หดมือไว้ในชายแขนเสื้อ คิดจะอนุมานความลับสวรรค์ แต่พลันค้นพบว่าฟ้าดินแถบนี้ถูกคนร่ายตราผนึกเอาไว้ ไม่อาจอนุมานประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของสตรีร่างสูงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าได้อีก


ระหว่างที่นางเดินมาข้างหน้าก็หันไปพูดกับบุรุษวัยกลางคนว่า “เห็นแก่ไม่กี่ประโยคที่เจ้าพูดมา ออกไปซะ!”


บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนขมวดคิ้วน้อยๆ แต่กลับสังเกตเห็นว่าซิ่วไฉเฒ่ากำลังโบกมือให้เขา หลังจากลังเลเล็กน้อยก็สลายร่างไปจาก ‘ฟ้าดินขนาดเล็ก’ ที่เป็นดั่งเสากลางแม่น้ำแห่งกาลเวลา


สายตาของนางเหลือบมองไปทางทิศใต้เล็กน้อย ชำเลืองตามองผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบปีผู้นั้น “ไสหัวออกไป”


คราวนี้ซิ่วไฉเฒ่าไม่ทำท่าทางใดๆ อีก


ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อซักถาม “เจ้าคิดจะงัดข้อกับมหามรรคาของใต้หล้าแห่งนี้จริงๆ หรือ?”


สตรีร่างสูงใหญ่เอียงศีรษะ ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมากดลงบนปลายกระบี่โบราณเบาๆ “ขัดเกลามาได้เล็กน้อยแค่นี้ แต่หากคิดจะผ่าภูเขาห้อยหัวทั้งลูกก็น่าจะได้อยู่ ถ้าอย่างนั้นให้ข้าเป็นคนเปิดประตูระหว่างใต้หล้าไพศาลกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้วกัน”


ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง “ไม่ได้นะ!”


นางมีอารมณ์มาสนใจเจ้าหมอนี่เสียที่ไหน


ผลักกระบี่โบราณออกมาเบาๆ หนึ่งที


แสงหนึ่งพุ่งวูบออกไป


ม่านฟ้าของฟ้าดินที่เป็นดั่งเสาหินกลางแม่น้ำแห่งนี้ถูกฟันให้เกิดช่องโพรงขนาดใหญ่ กระบี่บินพุ่งตรงไปยังภูเขาห้อยหัว พริบตาเดียวก็ห่างไปหมื่นลี้และอีกหมื่นลี้


ซิ่วไฉเฒ่าไม่แยแสแม้แต่น้อย


ถึงอย่างไรเขาก็คือบัณฑิตผู้ไม่เคยสนใจสิ่งใด ซึ่งปีนั้นก่อนจะได้เป็นอริยะก็วิ่งไปบนม่านฟ้า ตะโกนคอยืดคอยาวบอกให้เต๋าเหล่าเอ้อร์ฟันกระบี่ลงมาที่นี่


บนน่านน้ำมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ระหว่างนาตยทวีปกับใบถงทวีป ผู้ฝึกกระบี่ผู้หนึ่งที่ตีตัวออกห่างจากโลกมนุษย์พลันเงยหน้าขึ้นมอง


พริบตานั้นเห็นเพียงว่าทะเลใหญ่ห่างออกไปพันลี้เบื้องหน้าคล้ายถูกกระบี่บินเล่มหนึ่งฟันออกเป็นสองท่อน คลื่นยักษ์สูงราวขุนเขาที่กำลังกดทับลงมาหาเขาอย่างรวดเร็ว


ผู้ฝึกกระบี่ท่านนี้ไม่เป็นกังวลกับพลังอำนาจของคลื่นเหล่านี้แม้แต่น้อย เพียงพวกมันขยับเข้ามาใกล้ร่างเขาในรัศมีร้อยลี้ก็ระเบิดแตกด้วยตัวเอง ทว่าพลังอำนาจของกระบี่บินเล่มนั้นต่างหากที่ทำให้เขาอกสั่นขวัญผวาเล็กน้อย


ใต้หล้าไพศาลมีผู้ฝึกกระบี่แบบนี้ด้วยหรือ?


อาเหลียงถูกเต๋าเหล่าเอ้อร์ต่อยกลับลงมาอีกหรือไร?


ทว่าตอนนี้อาเหลียงยังไม่มีกระบี่แบบนี้กระมัง? และในความเป็นจริงแล้วตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเขาก็ไม่เคยได้ครอบครองกระบี่เช่นนี้


กระบี่สี่เล่มที่ดีที่สุดในใต้หล้าทั้งสี่แห่ง เล่มหนึ่งอยู่ในมือของเทียนซือใหญ่แต่ละสมัยของจวนเทียนซือทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เล่มหนึ่งห้อยอยู่ตรงเอวของบัณฑิตที่บอกว่าตัวเอง ‘โง่เขลาไร้พรสวรรค์ ไม่อาจได้ครอบครองความรู้อันเลิศล้ำของลัทธิเต๋า’ ทว่าหนึ่งกระบี่ของเขากลับฟันผ่าแม่น้ำหวงเหอพุ่งตรงสู่ชั้นฟ้า เล่มหนึ่งอยู่ในมือของเต๋าเหล่าเอ้อร์ หลังจากที่อาเหลียงไปจากภูเขาห้อยหัว ว่ากันว่าไปตามหากระบี่เล่มสุดท้ายที่ ‘พลังพิฆาตสูงเหนือนอกฟ้า’ เล่มนั้น! เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด อาเหลียงที่คู่ควรกับกระบี่เล่มนั้นมากที่สุดในใต้หล้า ถึงท้ายที่สุดแล้วกลับต้องกลับมามือเปล่า บินทะยานไปยังฟ้านอกฟ้า


เขาไม่ได้ไล่ตามกระบี่บินที่พลังสังหารไร้ที่สิ้นสุดนั้นไป แต่พลันสะดุ้งคืนสติ รีบมุ่งหน้าตรงไปยังทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปทันที


ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อชี้หน้าหญิงสาวร่างสูงใหญ่ พูดอย่างเดือดดาล “เจ้าบ้าไปแล้ว!”


นางยังคงเดินหน้าไปอย่างเชื่องช้า


ตู้เม่ากลืนน้ำลาย “ในเมื่อเจ้าโยนกระบี่ทิ้งไปแล้ว ยังจะต่อสู้สุดชีวิตกับข้าอีกจริงๆ หรือ?”


นางคล้ายได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในใต้หล้า “สู้สุดชีวิต? เจ้าคงไม่รู้เรื่องเก่าแก่ปีมะโว้เรื่องหนึ่ง ถึงอย่างไรเจ้าก็อายุยังน้อย ข้าไม่โทษเจ้าหรอก”


ซิ่วไฉเฒ่าพลันหัวเราะก๊าก เรียกได้ว่าหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง “ปลาวาฬกลืนสมบัติตัวที่ใหญ่ที่สุดในยุคบรรพกาลตัวนั้นถูกใครฆ่า เจ้ารู้หรือไม่?! ข้ารู้ แต่ข้าไม่บอกเจ้าหรอก”


นางเดินเป็นแนวเส้นตรงอย่างนี้จนกระทั่งไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเทพเซียนขอบเขตบินทะยาน ระยะห่างพอๆ กับตำแหน่งที่ตู้เม่ายืนอยู่หน้าเจิ้งต้าเฟิงก่อนหน้านี้


เพียงแต่เพราะสตรีชุดขาวร่างสูงใหญ่ ดังนั้นนางจึงต้องหลุบตาลงต่ำ มองตาแก่หนังเหนียวสมควรตายผู้นี้ด้วยสายตาเย็นชา “ไม่สู้เจ้าลองบังคับอาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตชิ้นนี้ของเจ้าดู? ข้าจะยืนอยู่นิ่งๆ ไม่โกหกเจ้าหรอก”


“นังผู้หญิงบ้า เจ้ารนหาที่ตาย!”


ตู้เม่าระเบิดเสียงคำรามอย่างคลั่งแค้น ร่างโฉบวูบออกไปอย่างรวดเร็ว


ทว่าเรือกลืนกระบี่กลับเป็นดั่งสายฟ้าแลบที่พุ่งแทงเข้าสู่ศีรษะของหญิงประหลาด


เดิมทีก็ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว อีกทั้งยังเป็นอาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่ง


ทว่าจิตใจของตู้เม่ากลับสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง


ส่วนผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อกลับเริ่มหนังตากระตุก


เห็นเพียงว่าเรือกลืนกระบี่ลำนั้นตัวสั่นสะท้านหยุดนิ่งอยู่หน้าหว่างคิ้วของนาง เต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่เกิดจากสัญชาตญาณ รวมไปถึงความเศร้าโศกระคนแค้นเคืองที่มีต่อเจ้านายอย่างตู้เม่า


สตรีร่างสูงใหญ่ยื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง แล้วชี้ลงด้านล่าง “เด็กดี อย่ามาอยู่ให้เกะกะสายตา ขยับลงไปข้างล่างหน่อย”


เรือกลืนกระบี่เริ่มลดระดับลงต่ำอย่างว่าง่ายจริงๆ สุดท้ายหยุดอยู่ข้างเท้าของนาง ผลกลับกลายเป็นว่าถูกนางที่พูดอย่างมีโทสะเตะกระเด็น “ไม่รู้จักจำ”


ตู้เม่ายื่นนิ้วออกมาเช็ดมุมปากอย่างเคยชิน คู่ต่อสู้ที่คุ้นเคยกับ ‘ผู้เฒ่าวิปริตของสำนักใบถง’ เป็นอย่างดีจะรู้ว่า เมื่อตู้เม่าทำท่าทางเช่นนี้ แสดงว่าเขาเตรียมจะสู้สุดชีวิตแล้ว


สตรีร่างสูงใหญ่ถอนหายใจ พูดกับตู้เม่าว่า “เจ้าโชคดีไม่น้อย แค่ถูกทำลายวัตถุแห่งชะตาชีวิตไปชิ้นหนึ่ง เดิมทีกระบี่เมื่อครู่นี้ของข้าควรมอบให้เจ้า แต่ว่ารอให้คราวหน้าข้าไปปรากฏตัวที่ใบถงทวีป เจ้าคงไม่โชคดีแบบนี้อีกแล้ว”


และเวลานี้เอง ตรงช่องโหว่ที่เปิดอ้าระหว่างฟ้าดินก่อนหน้านี้ก็มีมือใหญ่จากชายแขนเสื้อสีเขียวยื่นออกมาข้างหนึ่ง สองนิ้วคีบกระบี่โบราณเล่มนั้นเอาไว้ มือนั้นสั่นเทา ชายแขนเสื้อพลิกตลบปั่นป่วน


เห็นได้ชัดว่าต่อให้แค่ควบคุมกระบี่โบราณที่ปลายกระบี่ถูกขัดเกลาให้แหลมคมส่วนเดียวเล่มนี้ไว้ชั่วคราว ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องง่ายดายนัก


น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยบารมีดังจากฟ้าดินด้านนอกเข้ามาในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ “เหลวไหล คราวหน้าห้ามทำอีก”


สตรีร่างสูงใหญ่หันหน้ามองไป “ทำไม ต้องการให้ข้าถือกระบี่ก่อนแล้วค่อยปล่อยกระบี่ออกไปอีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นข้าจะเปิดทางให้ใต้หล้าไพศาลกับใต้หล้ามืดสลัวเชื่อมโยงกันดีไหม?”


นางกวักมือหนึ่งครั้ง กระบี่โบราณก็หลุดพ้นจากการควบคุมของมือข้างนั้น แล้วถูกนางกุมไว้ในมือ


เจ้าของมือข้างนั้นไม่ได้เผยกาย แต่สะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง ลมเย็นในชายแขนเสื้อมารวมตัวกันเหมือนสายน้ำที่กลิ้งซัดตลบ ตรงเข้ามาห่อหุ้มผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบไว้ภายใน แล้วพูดว่า “ตามข้าไปที่ศาลบุ๋น ปิดประตูทบทวนตัวเอง”


ซิ่วไฉเฒ่าจุ๊ปาก “คราวนี้แม้แต่หัวหมูเย็นๆ ก็ไม่ได้กินแล้ว”


คนผู้นั้นแค่นเสียงเย็นคล้ายพูดกับซิ่วไฉเฒ่า “เรื่องในวันนี้ ซิ่วไฉเฒ่าเจ้าเป็นคนเก็บกวาดซะ ทางฝ่ายของศาลบุ๋นจะไม่ยื่นมือเข้าแทรก”


ซิ่วไฉเฒ่าเต้นผาง โวยวายเสียงดังสนั่น “ข้าผู้อาวุโสไม่ยอม! เอาผลประโยชน์มาให้ด้วย! ไม่อย่างนั้นคอยดูเถอะว่าข้าจะไปเยือนศาลบุ๋น นอกจากรูปปั้นของตาเฒ่าแล้ว รูปปั้นเจ็ดสิบกว่าองค์ที่เหลืออยู่ซึ่งรวมถึงของหลี่เซิ่งและของเจ้าจะถูกย้ายออกไปหมด จากนั้นค่อยย้ายรูปปั้นของข้าเข้าไป ถึงอย่างไรเดิมทีตาเฒ่าก็ถูกชะตากับข้าที่สุดอยู่แล้ว…”


หลังจากที่คนผู้นั้นเก็บผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อไว้ในชายแขนเสื้อแล้วก็ถอนหายใจหนึ่งที “เอาไป”


เพียงขาดคำ


ช่องโพรงบนม่านฟ้าของฟ้าดินขนาดเล็กก็หุบเข้าหากัน มีเพียงแผ่นหยกสีทองแผ่นหนึ่งที่ปลิวลงมา แต่กลับไม่ใช่ ‘ผู้มีคุณธรรมได้รับความช่วยเหลือมากมาย’ ของผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อเฒ่า แต่เป็นแผ่นหยก ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ ของบุรุษวัยกลางคนแทน


ซิ่วไฉเฒ่ารับมาไว้ในมือแล้วถึงได้กล่าวอย่างพึงพอใจ “คราวนี้ถือว่ายังพอยุติธรรม พอจะมีความดีเล็กๆ อยู่บ้าง”


ดูเหมือนคำว่า ‘ความดีเล็กๆ’ จะทำให้คนผู้นั้นโมโห เขาไม่ได้กลับไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางทันที แต่กลับทิ้งปราณแห่งความเที่ยงธรรมที่มหาศาลขุมหนึ่งไว้นอกฟ้าดินขนาดเล็ก ซิ่วไฉเฒ่ายืดคอตะเบ็งเสียง “ทำไม เจ้าเองก็ไม่ยอมเหมือนกันหรือ? ไม่อย่างนั้นให้ข้าพูดถึงศึกตรีจตุครั้งนั้นกับเจ้าดีไหมว่าทำไมข้าถึงได้แพ้? เป็นเพราะความรู้ของเจ้าสูงกว่าข้าจริงๆ งั้นหรือ? หากไม่เป็นเพราะในบรรดาลูกศิษย์ของข้าคือฉีจิ้งชุน คือจั่วโย่ว…”


ในขณะที่ดูเหมือนว่าซิ่วไฉเฒ่ากำลัง ‘พูดจาเหลวไหล’ เขากลับสะบัดชายแขนเสื้อสองข้าง งอเข่าลงเล็กน้อย ทำท่าจะนั่งถกปัญหาอย่างจริงจัง


มีเพียงอริยะลัทธิขงจื๊อและเซียนห้าขอบเขตบนในแผ่นดินกลางเท่านั้นที่เคยเห็นและเคยได้ยินความรู้ของคนบางคนในปีนั้นมากับหูและกับตาตัวเองว่าประหนึ่งดวงตะวันกลางนภาขนาดไหน สามารถกดกำราบเหล่าอริยะของสองลัทธิอย่างเต๋าและพุทธได้อย่างไร!


ต่อให้เป็นชุยฉานราชครูต้าหลีที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพบุรุษ เวลาพูดถึงประวัติศาสตร์ฝุ่นเกาะช่วงนี้ก็ยังมีสีหน้าฮึกเหิม


คนผู้นั้นจากไปทันที


ซิ่วไฉเฒ่าหยุดการกระทำข่มขู่คนอื่นลง ถลึงตามองท้องฟ้าอยู่ครู่ใหญ่ เห็นว่าไม่มีความเคลื่อนไหว น่าจะไปจริงๆ แล้วถึงได้กัดแผ่นหยกสีทองแผ่นนั้น “โอ้โห ของจริงซะด้วย ถือว่าพอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง น้ำลายอ่างใหญ่นี้ของข้าไม่เสียเปล่าแล้ว”


ออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูคราวนี้ หลังจากที่สตรีร่างสูงใหญ่ถือกระบี่โบราณไว้ในมือตามความหมายที่แท้จริงเป็นครั้งแรกก็พูดกับตู้เม่าด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะโชคร้ายกว่าที่ข้าคิดเอาไว้”


ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “รังเกียจที่ขอบเขตบินทะยานทำอะไรได้ไม่เต็มที่นักไม่ใช่หรือ เล่นงานให้ขอบเขตเขาถดถอยลงมาที่ขอบเขตหยกดิบ หรือไม่ก็ขอบเขตก่อกำเนิดเสียเลย เขาอยากไปที่ไหนก็จะได้ไปที่นั่น! คิดจะทำลายควันธูปสายบุ๋นของข้าไม่ใช่หรือ? ฮ่าๆ คราวนี้เดินมาชนตอเข้าอย่างจังแล้วไง ไม่ถูกสิไม่ถูก ต้องบอกว่าเดินมาเตะกระบี่โบราณเล่มหนึ่งเข้าอย่างจัง ตู้เม่า โชคชะตาของเจ้านี้ เป็นเอกลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวในรอบหมื่นปีจริงๆ วันหน้าออกจากบ้านยังสามารถเอาไปคุยอวดคนอื่นได้…”


สตรีร่างสูงใหญ่หันหน้ากลับมา หรี่ดวงตาที่คมกริบลง กล่าวว่า “ดูแลเจ้านายของข้าให้ดี!”


ซิ่วไฉเฒ่าทำคอย่น “วางใจเถอะ ข้าเองก็เป็นห่วงผิงอันน้อยไม่น้อยไปกว่าเจ้าหรอก”


ตู้เม่าม้วนชายแขนเสื้อขึ้น พูดเนิบช้า “ไม่มีเรือกลืนกระบี่ แต่ข้ายังคงเป็นขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง!”


ซิ่วไฉเฒ่ากระตุกมุมปาก โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เปิดม่านฟ้าของฟ้าดินขนาดเล็กที่อยู่เหนือศีรษะของตู้เฒ่าออก ให้ตู้เม่าได้เห็นฟ้าดินของใต้หล้าไพศาลอีกครั้ง


ในที่สุดตู้เม่าก็เริ่มเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ การที่ขอบเขตบินทะยานหดหัวอยู่ในกระดองไม่ยอมออกมาจากถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล นอกจากจะเป็นเพราะง่ายต่อการชักนำให้โชคชะตาของฟ้าดินวุ่นวาย และยังถูกกฎเกณฑ์ของลัทธิขงจื๊อพันธนาการแล้ว ยังเป็นเพราะตัวของพวกเขาเองไม่กล้าเผยโฉมหน้าง่ายๆ ด้วยกลัวจะชักนำให้มหามรรคาพุ่งตรงมาบดขยี้!


สตรีร่างสูงใหญ่วางกระบี่พาดขวางไว้เบื้องหน้า พูดอย่างเฉยเมยว่า “ปิดลง”


ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับแล้วปิดช่องโหว่บนม่านฟ้าลงอีกครั้งจริงๆ



 

 

 


บทที่ 366.3 จะฟังเหตุผลหรือไม่ กระบี่...

 

คราวนี้ตู้เม่าถึงเริ่มตระหนกลนขึ้นมาบ้างแล้ว เพียงแต่ว่าแววดุร้ายบนใบหน้ากลับไม่ลดน้อยลง “ในเมื่อให้ความสำคัญกับคนหนุ่มผู้นั้นขนาดนี้ เจ้าจะยอมตัดใจแลกตบะกับข้าได้ลงจริงๆ หรือ?”


สตรีร่างสูงใหญ่พูดกลั้วหัวเราะ “ตอนนี้เริ่มคุยกับข้าด้วยเหตุผลแล้วรึ?”


 ผู้รู้สถานการณ์ คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ


ตู้เม่าเดินทางขึ้นเหนือในครั้งนี้มีจุดประสงค์อยู่สามอย่าง มีโอกาสจะสะบั้นควันธูปสายของเหวินเซิ่ง แล้วถือโอกาสขอความรู้จากกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่วสักหน่อย สองคือมีคนคิดจะหยั่งเชิงขีดจำกัดของเสินจวินเฒ่าของถ้ำสวรรค์หลีจูผู้นั้น สามก็เพื่อให้สำนักใบถงแทรกซึมเข้ามาในแผ่นดินครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป


ตอนนี้เขาทำสำเร็จไปสองเป้าหมายแล้ว ข้อแรกจะมีหรือไม่มีก็ได้ เดิมทีเขาก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ ไม่จำเป็นต้องเผาผลาญตบะของตัวเองเพื่อสิ่งนี้


การฝึกตนบนภูเขา เคารพในผู้แข็งแกร่ง


อย่างน้อยที่สุดเขาตู้เม่าก็ยึดมั่นในความคิดนี้มาโดยตลอด


ผู้ชนะเรืองอำนาจ ผู้ชนะตนเองบรรลุมรรคา


ข้อแรกคือของจริงแท้แน่นอน หากได้เข้ามาอยู่ในกระเป๋าย่อมสบายใจ ส่วนข้อหลัง ในสายตาของตู้เม่าคือคำพูดเหลวไหลที่ยิ่งใหญ่แต่กลับไม่อาจเป็นจริงได้ ขอแค่ตายอยู่บนมหามรรคา ต่อให้จะคู่ควรกับคำว่าสละตนเพื่อคุณธรรม แต่สุดท้ายก็ยังตายอยู่ดีไม่ใช่หรือ?


นางกำกระบี่โบราณเล่มนั้นเบาๆ “ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้านายของข้าอยู่ต่อหน้าเจ้า เจ้าได้ใช้เหตุผลพูดคุยกับเขาหรือไม่?”


ตู้เม่าสมกับเป็นคนถ่อยอย่างแท้จริง “ตบะของเขาในตอนนี้ก็คือเศษสวะคนหนึ่ง หากไม่เป็นเพราะต้องการล่อให้ผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่วปรากฎตัว เขายังไม่มีคุณสมบัติจะพูดกับข้าแม้แต่คำเดียวด้วยซ้ำ แต่เจ้ามี!”


สตรีร่างสูงใหญ่มือหนึ่งถือกระบี่ มือหนึ่งยกขึ้นทำสัญญาณมืออย่างหนึ่ง


ซิ่วไฉเฒ่าหยิบม้วนภาพวาดแม่น้ำและภูเขาม้วนนั้นออกมาอย่างน่าสงสาร “อย่ารุนแรงนักล่ะ”


พอตู้เม่าเห็นม้วนภาพวาดที่ไม่ธรรมดาม้วนนั้นก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เก็บอาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตที่ไม่มีพื้นที่ให้ใช้กลับเข้าไปในช่องโพรงลมปราณ ขณะเดียวกันก็ร่ายกายธรรมร่างทอง ไหล่ข้างหนึ่งชนกระแทกให้ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้เปิดอ้า แล้วบินทะยานไปทางทะเลทิศใต้


นางไม่ได้ไล่ตามไป


ซิ่วไฉเฒ่าคลี่ยิ้มแล้วโยนม้วนภาพวาดนั้นออกไปอย่างง่ายๆ


ร่างของสตรีสูงใหญ่หายไปตามหลังกายธรรมร่างทองของตู้เม่า


จากนั้นม้วนภาพภูเขาและแม่น้ำก็มาลอยอยู่ตรงหน้าซิ่วไฉเฒ่า ส่วนฟ้าดินขนาดเล็กในนครมังกรเฒ่าแห่งนี้ก็ปิดประกบเข้าหากันอย่างไร้รอยต่ออีกครั้ง นอกนครมังกรเฒ่า นอกจากหมัวมัวผู้อบรมมารยาทที่พอจะกะพริบตาได้เล็กน้อยแล้ว คนอื่นๆ ล้วนยังอยู่ในสภาพแน่นิ่งไม่ขยับ


บนม้วนภาพมีเสียงผ้าฉีกขาดดังขึ้นมาเป็นระลอก เป็นกายธรรมร่างทองของตู้เม่าที่พยายามดันให้ฟ้าดินของม้วนภาพอ้าขยาย และยิ่งเป็นเพราะถูกกระบี่แล้วกระบี่เล่าพุ่งแหวกอากาศมาโดน


ทำเอาซิ่วไฉเฒ่าที่มองดูอยู่เจ็บปวดหัวใจอย่างถึงที่สุด


เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ซิ่วไฉเฒ่าที่พอจะแน่ใจได้แล้วจึงงอนิ้วเคาะไปมุมหนึ่งของม้วนภาพ จากนั้นก็เก็บม้วนภาพไว้ในชายแขนเสื้อ


สตรีร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากความว่างเปล่าช้าๆ กระบี่โบราณห้อยอยู่ที่เอว ปลายกระบี่เล็กๆ ที่ถูกลับจนแหลมคมหม่นแสงลงหลายส่วน


นางอ้าปากหาว ในมือลากขาข้างหนึ่งมาด้วย


ตู้เม่าผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานของใบถงทวีปถูกนางกระชากลากถูออกมาจากม้วนภาพวาดเหมือนหมาตายตัวหนึ่งทั้งอย่างนี้


นางเอ่ยถาม “เพียงแต่ว่าเจ้านี่…ชื่ออะไรแล้วนะ?”


ซิ่วไฉเฒ่าเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “ตู้เม่า ใบถงทวีปนอกจากนักพรตเฒ่าตงไห่แล้วก็คือเขาที่แข็งแกร่งที่สุด”


นางร้องอ้อหนึ่งที โยน ‘ศพ’ นั้นไว้ด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ “เขาพอจะมีวิชาอภินิหารนอกรีตติดตัวอยู่บ้าง วินาทีที่กระแทกชนให้ม่านฟ้าเปิด จิตหยินก็น่าจะกลับคืนสู่ตำแหน่งแล้ว ศพนี้เป็นเพียงแค่…กายนอกกายของจิตหยางใครสักคนเท่านั้น”


ซิ่วไฉเฒ่ากระจ่างแจ้งทันควัน “เป็นเพียงกายนอกกายเท่านั้นหรือ มิน่าเล่าคนของลัทธิขงจื๊อที่พิทักษ์แผ่นฟ้าถึงได้ยอมพยักหน้าตอบรับ หากพวกเราไม่ได้โวยวายจนเกิดเรื่องครั้งนี้ เกรงว่าคงพอจะอุดปากสถานศึกษาให้ผ่านไปได้”


เพียงแต่ไม่นานซิ่วไฉเฒ่าก็ทำสีหน้าจนคำพูด “แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ตู้เม่าก็มีตบะขอบเขตสิบสองไม่ใช่หรือ”


นางนั่งขัดสมาธินั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน โอบกอดเฉินผิงอันไว้ในอ้อมกอดอย่างระมัดระวังอีกครั้ง นางเงยหน้ามองทิศไกล เอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “อยู่ต่อหน้ากระบี่ของข้า สิบสอง สิบสาม ต่างกันตรงไหนหรือ?”


ซิ่วไฉเฒ่าถามเสียงเบา “เรือกลืนกระบี่ลำนั้นล่ะ?”


นางตอบอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ข้าสลายพันธนาการที่มีมาตั้งแต่กำเนิดของมันเอาไว้แล้ว ปล่อยให้จิตหยางของเขาใช้อาวุธชิ้นนี้ จากนั้นข้าก็ทำลายจนระเบิดแตก ไม่อย่างนั้นข้าก็ออกมาตั้งนานแล้ว ข้าก็แค่อยากรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘อาวุธเซียน’ ในทุกวันนี้ ร้ายกาจแค่ไหนกันแน่”


ซิ่วไฉเฒ่าปาดเหงื่อบนหน้าผาก “ตัวเจ้าล่ะเป็นอย่างไร?”


สตรีร่างสูงใหญ่ก้มหน้าลงเพ่งพิศดวงหน้าของคนหนุ่มที่ค่อนข้างจะซีดขาวราวกับกำลังตกอยู่ในฝันร้าย แม้ว่าจะถูกซิ่วไฉเฒ่าช่วยหยุดอาการบาดเจ็บไว้ก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังทุกข์ทรมาน นางยื่นนิ้วออกมานวดคลึงตรงหว่างคิ้วของเขาเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หน้าผาหินกลางภูเขาใหญ่ของถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนั้น คือการแข็งตัวของปณิธานกระบี่เจ้านายคนเดิมข้า ซึ่งเดิมทีก็คือของของข้า เพียงแต่ว่าผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว ข้าคร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ ภายหลังข้าทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ กับหร่วนอะไรสักอย่างนั่น เขาจึงยึดครองแท่นสังหารมังกรก้อนนั้นไปสามส่วน”


ซิ่วไฉเฒ่าชำเลืองตามองปลายกระบี่ของกระบี่โบราณที่ห้อยอยู่ตรงเอวนาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เจ้าจึงใช้แท่นสังหารมังกรของหร่วนฉงมาลับกระบี่?”


นางเอ่ยอย่างเฉยเมย “ใช้แถบของภูเขาเจินอู่ แถบของหร่วนฉงนี้ต้องเก็บไว้ให้ผิงอันน้อยของข้า”


ซิ่วไฉเฒ่าเหงื่อไหลราวกับฝนตก


นางมองไปทางทิศใต้ “เรื่องนี้ยังไม่จบ”


ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “อย่า อย่าเด็ดขาดเชียว ยังไม่จบก็ยังไม่จบ แต่เจ้าจะลงมืออีกไม่ได้แล้ว ปล่อยให้ข้าจัดการเถอะ ทำอย่างนี้ก็เพราะหวังดีต่อผิงอันน้อย”


นางพยักหน้ารับ “ข้ากลับไปคราวนี้คงออกมาไม่ได้ชั่วคราว หากออกมาคราวหน้าแล้วพบว่าคำว่าหวังดีของเจ้า ดีแค่นิดเดียว ข้าจะไปหาเจ้า เจ้าน่าจะรู้ดีว่า เมื่อเจ้ากับมหามรรคาของใต้หล้าไพศาลผสานรวมเป็นหนึ่ง บนโลกนี้มีเพียงข้าเท่านั้นที่สามารถสังหารเจ้าได้”


ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะแห้งๆ “พวกเราเป็นคนกันเองนี่นา จะต้องทำท่าดุร้ายแบบนี้ไปไย?”


สตรีร่างสูงใหญ่ที่ชายแขนเสื้อสีขาวโบกไสวแม้ไร้ลม ส่ายหน้า “เดิมทีก็ดีอยู่หรอก แต่เป็นเพราะเจ้ายืนกรานจะรับเขาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายให้ได้ ถึงได้มีหายนะอย่างในวันนี้ หากไม่ถือว่าเป็นคนกันเองครึ่งตัว เจ้าก็คือคนแรกที่ต้องตาย”


ซิ่วไฉเฒ่าถลึงตาใส่ “อย่าพูดจาใส่อารมณ์อย่างนี้สิ อีกอย่าง เจ้ากล้าพูดจาเหลวไหลแบบนี้ต่อหน้าเจ้านายของเจ้าด้วยหรือ?”


นางตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไม่พูด แต่จะแอบทำ ถึงเวลานั้นเฉินผิงอันจะยอมรับข้าหรือไม่ เขาก็ยังเป็นเจ้านายของข้าอยู่ดีไม่ใช่หรือ”


ซิ่วไฉเฒ่าบื้อใบ้พูดไม่ออก


นางกวักมือหนึ่งครั้ง หลังจากของขวัญชิ้นเล็กที่นางมอบให้เฉินผิงอันในปีนั้นแตกออก ก็มีก้อนหินสีดำรูปทรงยาวสามก้อนร่วงลงมาจากข้างใน ล้วนเป็นแท่นสังหารมังกรที่ผู้ฝึกกระบี่ในโลกใฝ่หาแม้ในยามหลับฝัน ขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ก้อนเล็กเหมือนไม้บรรทัด ก้อนใหญ่เหมือนแผ่นอิฐที่ปูลงบนพื้นของพระราชวัง นางส่งตัวเฉินผิงอันให้แก่ซิ่วไฉเฒ่า “ข้าจะออกไปจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ สักหน่อย”


ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวอย่างขลาดๆ “มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน”


คราวนี้สตรีร่างสูงใหญ่ไม่ได้เดินหายไปที่ไหน นางแค่ก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว มาหยุดอยู่ตรงหน้าคนบางคน


ก็คือหมัวมัวผู้อบรมมารยาทซึ่งเป็นเซียนกระบี่ก่อกำเนิดท่านนั้น


สตรีร่างสูงใหญ่ยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว กระชากดึงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมาจากช่องโพรงหัวใจของหมัวมัวผู้อบรมมารยาท สองนิ้วคีบไว้ตรงหัวและปลายของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้น ออกแรงเล็กน้อยก็บีบให้กระบี่บินโค้งงอ


ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ สายตาของหญิงชราที่ร่างกายมิอาจขยับเขยื้อนได้เต็มไปด้วยแวววิงวอน


สตรีร่างสูงใหญ่เบี่ยงหน้ามามอง “ขอร้องข้า? ไม่อย่างนั้นก็ทำเหมือนเจ้านายข้า พูดเหตุผลที่ถูกต้องให้ข้าฟัง แล้วข้าจะรับปากว่าจะไม่บีบกระบี่บินเล่มนี้ให้หัก”


นี่เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะใช้เหตุผลแล้ว


รออยู่ครู่หนึ่ง หมัวมัวผู้อบรมมารยาทของสกุลเจียงอวิ๋นหลินผู้นี้จะไปหาวิชาอภินิหารขอบเขตเซียนเหรินจากที่ไหนมาทำให้ตัวเองเอ่ยคำพูดในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ได้ ดังนั้นสตรีร่างสูงใหญ่จึงเพิ่มแรงขึ้นอีก กระบี่โค้งงอมากขึ้นทุกที เสียงเปาะหนึ่งทีก็หักครึ่ง


เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดของหมัวมัวผู้อบรมมารยาท โอสถทองเกิดรอยปริร้าว ทารกก่อกำเนิดก็ยิ่งร้องโหยหวนไม่หยุด


สตรีร่างสูงใหญ่หลุดหัวเราะพรืด “อันที่จริงข้าชอบหลักการเหตุผลของพวกเจ้ามาโดยตลอด ฉวยโอกาสตอนที่ผิงอันน้อยของข้ายังไม่ฟื้นขึ้นมา ข้าต้องรีบทำก่อนแล้วค่อยบอกทีหลัง เพราะวันหน้าอาจจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว”


พอนางพูดจบก็บินทะยานเป็นเส้นตรงขึ้นไปบนทะเลเมฆที่ลอยอยู่เหนือนครมังกรเฒ่า


ฟ่านจวิ้นเม่าหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวยังคงค้างอยู่ในท่านั่งประหลาดนั้น พอเงยหน้าขึ้น สายตาก็ฉายประกายเร่าร้อน อีกทั้งจิตใจยังเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง ประโยคแรกของฟ่านจวิ้นเม่าก็คือ “ข้าไม่รู้มาก่อนว่าคนหนุ่มผู้นั้นคือเจ้านายคนใหม่ของเจ้า!”


หญิงสาวสูงใหญ่ห้อยกระบี่โบราณไว้ตรงเอว ยืนอยู่ตรงหน้าฟ่านจวิ้นเม่า ถามด้วยรอยยิ้ม “คนไม่รู้คือคนไม่ผิด?”


ฟ่านจวิ้นเม่าส่ายหน้า “ไม่รู้ก็คือผิดมหันต์ ข้ายอมรับผิด!”


สตรีสูงใหญ่ยื่นมือมานวดคลึงหว่างคิ้ว “เหตุใดเจ้าถึงเหมือนเมื่อก่อนเปี๊ยบ วันๆ เอาแต่ทำตัวน่าสงสาร? หากไม่แอบไปร้องไห้บนทะเลเมฆที่อยู่ตรงข้ามกับสะพานโค้งก็มานั่งคุกเข่าอยู่บนทะเลเมฆอย่างวันนี้ แล้วจะให้ข้าฆ่าเจ้าอย่างไร?”


สีหน้าของฟ่านจวิ้นเม่ามีชีวิตชีวา “ฆ่าข้าก็ฆ่าสิ มีเจ้าอยู่ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!”


สตรีร่างสูงใหญ่ร้องอ้อหนึ่งที ใช้ฝ่ามือตบช่วงปลายของกระบี่โบราณเบาๆ หนึ่งที ปลายกระบี่ดีดขึ้นสูง หมุนตวัดกลับมาหนึ่งรอบ จากนั้นปลายกระบี่ก็แทงเข้าที่หัวใจของฟ่านจวิ้นเม่า ยกตัวนางลอยขึ้นกลางอากาศช้าๆ “พอไหม? เจ้าไม่รู้หรือว่าปีนั้นข้าฆ่าคนที่เป็นแบบเจ้าไปมากน้อยเท่าไหร่?”


เลือดสดไหลซึมลงมาจากมุมปากของฟ่านจวิ้นเม่า ทว่าดวงตาทั้งคู่กลับมีเพียงความสุข “เจ้าไม่ได้เปลี่ยน เจ้าไม่เปลี่ยนไปเลย ข้ารู้ดี หนึ่งหมื่นปีแล้ว ยังคงเป็นเช่นนี้ ต่อให้ผ่านไปอีกหนึ่งหมื่นปี เจ้าก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไป…ขอแค่เจ้ายินดีเอาจิตวิญญาณนี้ออกมา ใต้หล้าก็จะ…”


สตรีร่างสูงใหญ่หันหน้าไปมองตรงกำแพงเมืองของนครมังกรเฒ่า พลิ้วกายจากทะเลเมฆกลับลงไปบนพื้นดิน กระบี่โบราณก็ดึงตัวออกจากหัวใจของฟ่านจวิ้นเม่า กลับมาอยู่ที่เอวของนาง


ฟ่านจวิ้นเม่าเซล้มลงบนทะเลเมฆ ยกมืออุดตรงหัวใจ หมดสติไปทันที ทว่าทะเลเมฆกลับเริ่มไหลกรูเข้าหาร่างกายนางอย่างบ้าคลั่ง


ตรงช่องโพรงกำแพงเมืองของนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันฟื้นคืนสติกลับมาแล้ว เขายังคงเลื่อนลอยอยู่เล็กน้อย


ซิ่วไฉเฒ่าไม่รู้ว่าหายไปไหน


แต่จากนั้นเขาก็มองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยค่อยๆ พลิ้วกายลงมาตรงหน้าของเขา หยุดลอยอยู่กลางอากาศสูงนอกช่องโพรงของกำแพง


คนหนุ่มที่ไม่ใช่เด็กหนุ่มผอมแห้งยากจนแห่งตรอกหนีผิงอีกต่อไปถามเบาๆ ว่า “ข้าทำผิดใช่ไหม?”


นางส่ายหน้า


คนหนุ่มพูดรับรอง “คราวหน้าข้าจะระวังให้มากกว่านี้ ยกตัวอย่างเช่นจะหัดเรียนวิชาคำนวณของสำนักหยินหยาง เดิมทีนึกว่าตัวเองสามารถแก้ไขปัญหาได้ คิดไม่ถึงว่าขอบเขตของผู้ฝึกตนคนนั้นจะสูงขนาดนี้…”


นางยังคงส่ายหน้า


คนหนุ่มถาม “ไม่ผิดหวังในตัวข้าหรือ?”


นางส่ายหน้าอีกครั้ง


ดังนั้น


เฉินผิงอันจึงยิ้มตาหยี


สตรีร่างสูงใหญ่ก็ทำแบบเดียวกัน



 

 

 


บทที่ 367.1 วิญญาณกระบี่ขึ้นเหนือ จั่...

 

แม่น้ำแห่งกาลเวลายังคงไหลรินไปอย่างเชื่องช้าอยู่ด้านนอกฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ ตรงจุดที่ตัดกับม่านฟ้า การเสียดสีเคลื่อนกระทบระหว่างกฎเกณฑ์ของฟ้าดินสองชนิดก่อให้เกิดประกายแสงห้าสีแวววาวชวนให้คนหลงไหล


เฉินผิงอันและวิญญาณกระบี่นั่งเคียงไหล่กันอยู่บนริมซากปรักของกำแพงเมือง สองขาห้อยอยู่ด้านนอก


เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองหน้าท้องตัวเอง เลือดหยุดไหลแล้ว เลือดเนื้อตรงบาดแผลก็ประสานตัวหายดีพอประมาณแล้ว เพียงแต่ว่าอวัยวะภายในคล้ายถูกขยุ้มรวมกัน ยังคงเจ็บปวดจนทำให้คนตัวสั่น


บาดแผลที่เกิดจากอาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตของขอบเขตบินทะยาน ต่อให้ยังไม่ได้โจมตีอย่างเต็มกำลัง แค่ทะลุผ่านหน้าท้องของเฉินผิงอันไป แต่โรคร้ายที่ทิ้งไว้เบื้องหลังก็ยังมากมายจนยากจะจินตนาการได้


ห่างออกไปไกล ทุกคนล้วนหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมไม่กระดุกกระดิก


มีเพียงหมัวมัวผู้อบรมมารยาทที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถูกหักที่แปลกประหลาดที่สุด ร่างของนางส่ายโงนเงนเบามากจนแทบสังเกตไม่เห็น แต่กลับดูอเนจอนาถมากเป็นพิเศษ


ซุนเจียซู่ถูกบรรพบุรุษตีจนสลบไป แล้วส่งมอบให้ผู้ดูแลวัยชราที่อยู่ด้านข้างเป็นผู้ประคอง


บนใบหน้าของคนส่วนใหญ่มีรอยยิ้มสาแก่ใจ


ได้ยินนางเล่าให้ฟังว่า เจิ้งต้าเฟิงที่ถูกหักกระดูกสันหลัง ปราณบริสุทธ์แท้จริงที่หล่อหลอมมาจากขอบเขตเก้าของผู้ฝึกยุทธ์ได้สลายหายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว กลายมาเป็นคนไร้ค่าคนหนึ่งอย่างแท้จริง แต่พื้นฐานของร่างกายยังคงเหลืออยู่บ้างเล็กน้อย เทียบเท่ากับร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าหก เจิ้งต้าเฟิงถูกผู้เฒ่าเหวินเซิ่งส่งตัวไปที่ร้านยาฮุยเฉินแล้ว ถือว่าปลอดภัยไม่มีอันตรายถึงชีวิตแล้ว แต่ว่าต่อให้สามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง อีกครึ่งชีวิตหลังที่เหลืออยู่ก็คงอยู่ไม่สู้ตาย


นางยังบอกอีกว่า ซิ่วไฉเฒ่าบอกว่าเรื่องเละเทะครั้งนี้ให้เขาเป็นคนเก็บกวาดเอง สรุปก็คือจะไม่ทำให้เฉินผิงอันเสียเปรียบเด็ดขาด ตู้เม่าผู้นั้นกินเข้าไปเท่าไหร่ต้องคายออกมามากยิ่งกว่า อีกทั้งเรื่องราวยังไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่นั้นด้วย


นั่งมองม่านฟ้าเบื้องบนของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ด้วยกัน นางพลันเอ่ยขึ้นว่า “ข้าต้องไปแล้ว เรื่องลับกระบี่ จะมัวล่าช้าไม่ได้”


เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงพูดเบาๆ ว่า “ข้ามีร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งสามารถบดบังเจตนารมณ์สวรรค์ได้ พี่หญิงเทพเซียนท่านเอาไปดีไหม? ตามคำบอกก่อนหน้านี้ แม้แต่คู่อาฆาตของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งยังบอกไว้ชัดเจนแล้วว่า วันหน้าอย่างน้อยข้าก็ไม่ต้องเจอกับตาเฒ่าประหลาดอย่างตู้เม่าผู้นี้อีก ขอแค่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน ข้าก็ล้วนรับมือด้วยได้ อีกอย่างจะไม่มีทางไปหาเรื่องพวกเขาก่อนเด็ดขาด ครั้งนี้ช่วยเจิ้งต้าเฟิงในนครมังกรเฒ่าถือเป็นข้อยกเว้น”


นางอืมรับหนึ่งที ยื่นมือมาลูบศีรษะของเฉินผิงอัน “ก็ดีเหมือนกัน เจ้ายังไม่เคยมอบอะไรให้ข้าเลยนะ”


เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ


นางพูดอย่างมีเหตุมีผล “จะหมายถึงแท่นสังหารมังกรในตะกร้าไม้ไผ่ของเจ้าตอนที่อยู่บนสะพานหินก้อนนั้น? นั่นไม่ใช่ของขวัญที่เจ้ามอบให้เสียหน่อย เป็นเพราะข้าขโมยไปต่างหาก”


เฉินผิงอันยิ้ม “พี่หญิงเทพเซียน ท่านอยากได้อะไร ร่มกระดาษน้ำมันคันนั้นไม่นับ ข้าจะมอบอย่างอื่นให้ท่าน ท่านต้องเดินทางมาไกลขนาดนี้ วันหน้ายังต้องเดินต่อไปอีก ไม่แน่ว่าอาจจะเจอของที่ท่านชอบ”


นางเบี่ยงตัวมามอง จากนั้นก็เอนตัวไปด้านหลัง พูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่กลัวว่าแม่นางคนนั้นจะโกรธรึ?”


เฉินผิงอันยิ้มกว้างสดใส “อย่างมากก็แค่ถูกนางซ้อมรอบหนึ่ง”


นางงอสองนิ้วเคาะลงบนหน้าผากเฉินผิงอันเบาๆ “เด็กหนุ่มเติบใหญ่แล้ว”


เฉินผิงอันก็เบี่ยงตัว ยื่นมือมาทำท่าเทียบความสูงของคนทั้งสอง พูดอย่างดีใจ “ใช่ไหม?”


นางใช้ไหล่ชนไหล่เฉินผิงอันเบาๆ ยิ้มถามว่า “ชอบแม่หนูนั่นมากเลยหรือ? ชอบแบบไหน?”


เฉินผิงอันคิดแล้ว บนใบหน้าที่ซีดขาวก็แดงก่ำน้อยๆ ใช้สองมือยันพื้น มองไปยังทิศไกล พูดเบาๆ ด้วยความเขินอาย “ข้าจะกล้าพูดออกมาได้อย่างไร”


นางจุ๊ปากพูด “โอ้โหๆๆ ข้าจะหึงจริงๆ แล้วนะ”


เฉินผิงอันยังคงมองไปยังทิศไกล ส่ายหน้าพูดว่า “ไม่หรอก พี่หญิงเทพเซียนดีที่สุดแล้ว”


สตรีร่างสูงใหญ่ยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะ ไปเอาร่มที่ร้านยากัน ใช่แล้ว ศพบนพื้นนี่คือกายนอกกายของจิตหยางตู้เม่า สามารถเก็บเอาไปไว้ได้ จะดีจะชั่วก็เป็นเนื้อหนังมังสาของขอบเขตสิบสองเซียนเหริน สามารถเอาไปขายแลกเงินได้”


เฉินผิงอันชำเลืองตามอง ‘ตู้เม่า’ ที่อยู่บนพื้น


นางยิ้มพูดว่า “สามารถขายได้เงินไม่น้อย หรือถึงขั้นให้คนมาสิงร่าง ยกตัวอย่างเช่นคนประเภทชุยฉานราชครูต้าหลี”


เฉินผิงอันจึงเอามาเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อ


นางยิ้มอย่างรู้ใจ


แม้ช่องโพรงในร่างกายของเฉินผิงอันจะถูกทำลายไปมาก แค่เดินหรือเคลื่อนไหวไม่เป็นปัญหา ทว่าตอนนี้ไม่ต้องหวังว่าจะประมือกับคนอื่นได้ คาดว่าศักยภาพของเขาในเวลานี้ยังสู้ตบะของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามไม่ได้เลยด้วยซ้ำ


เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ก้มหน้ามองชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ขาดยับเยิน เจ็บปวดหัวใจด้วยความเสียดายยิ่งกว่าเจ็บปวดร่างกายเสียอีก ในมือนางถือแท่นสังหารมังกรสามชิ้นที่ตอนแรกใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อซึ่งเป็นแผ่นหยกสีขาว ยิ้มพูดว่า “ไม่เป็นไร ซ่อมแซมให้กลับมาดีดังเดิมได้ แค่เงินเหรียญทองแดงแก่นทองไม่กี่ถุงเท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจจะยังสามารถเลื่อนขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียนได้ในรวดเดียว หยางเหล่าโถวต้องจ่ายสักหน่อย ตู้อะไรนั่นก็ต้องคิดหาวิธีมาจ่ายให้ด้วย”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ


นางก้าวยาวๆ เดินไปข้างหน้า เดินไปหยุดอยู่ตรงช่องโพรงขนาดใหญ่ที่ถูกทะลุทะลวง “อย่าหมดอาลัยตายอยาก ปลายทางของมหามรรคายังอีกยาวไกล ถึงเวลานั้นข้าจะยังคงอยู่ข้างกายเจ้า”


เฉินผิงอันเดินเร็วๆ ตามไป นางคว้าไหล่ของเฉินผิงอัน กระโดดออกจากช่องโพรง หลังจากที่เฉินผิงอันชี้บอกทางก็พุ่งตัวไปยังร้านยาฮุยเฉินที่อยู่ในเมืองชั้นในของนครมังกรเฒ่า


เนื่องจากนครมังกรเฒ่ายังไม่ยกเลิกประกาศข้อห้าม รอบด้านจึงยังคงเงียบสงัด


ในตรอกนอกร้านยา เผยเฉียนที่ถือไม้เท้าเดินป่าร้อนรนราวกับมดบนกระทะร้อน เพราะนางร่ายวิชากระบี่บ้าคลั่งที่คิดค้นขึ้นเองจบแล้วก็พบว่าเทพหยินแซ่จ้าวแน่นิ่งคล้ายหุ่นไม้ ไม่ว่านางจะเรียกอย่างไรก็ไม่ได้ผล ควันดำเหล่านั้นประหนึ่งแท่งน้ำแข็ง นางใช้สองมือขยุ้มจับมาได้กลุ่มหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะกระชากอย่างไรก็ไม่ขยับเขยื้อน สุดท้ายนางจึงโยนไม้เท้าเดินป่าทิ้ง นั่งกุมหัวร้องไห้โฮอยู่บนพื้น ร้องเสร็จก็วิ่งออกไปจากตรอกเล็กราวกับคนบ้า แต่กลับหยุดอยู่ตรงหัวเลี้ยวของตรอกเพราะจำได้ว่าเฉินผิงอันสั่งเอาไว้ ดังนั้นนางจึงวิ่งกลับไปกลับมาอยู่ในตรอก สุดท้ายก็มานั่งยองอยู่บนพื้นร่ำไห้ปานจะขาดใจอีกครั้ง ร้องเรียกหาทั้งพ่อทั้งอาจารย์ ตะโกนจนลำคอแหบแห้ง กระทั่งเหนื่อยหมดแรงจึงหยิบยันต์แผ่นนั้นมาแปะลงบนหน้าผาก เพิ่มความกล้าให้กับตัวเอง ยู่ใบหน้าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตามอมแมม เตรียมจะก้าวออกไปตามหาเฉินผิงอัน!


แต่กลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากข้างหลัง “กลับมา”


เผยเฉียนหมุนตัวกลับ พอเห็นเฉินผิงอันที่ส่งยิ้มมาให้ตนก็ทั้งน้อยใจทั้งดีใจ เดี๋ยวร้องไห้เดี๋ยวหัวเราะวิ่งไปหาเฉินผิงอัน กระโดดกอดเขาเอาไว้


สตรีร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน พอเห็นภาพนี้ก็รู้สึกว่าน่าสนใจ เหมือนอย่างมาก


ส่วนความประหลาดในดวงตาของเด็กหญิงผิวดำดุจถ่านผู้นี้ ด้วยชาติกำเนิดและสายตาของนางทำให้นางมองเห็นวิธีการที่ซ่อนอยู่ภายในได้ชัดเจนยิ่งกว่าใคร


ภาพเหตุการณ์เช่นนี้เรียกว่าดวงตาซ่อนตะวันจันทรา


แน่นอนว่าไม่ใช่ตะวันจันทราที่ ‘แท้จริง’ ของใต้หล้าไพศาล แต่เป็นแก่นของตะวันจันทราที่มาจากถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลบางแห่ง ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าหรือเทพเซียนพสุธาก็ยังไม่สามารถรับโชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้านี้เอาไว้ได้


เหตุใดแม่นางน้อยถึงยังคงเป็นปกติสบายดี นางไม่สนใจนัก มีเรื่องประหลาดหรือคนมหัศจรรย์แบบใดที่นางไม่เคยพบมาก่อน? มากมายจนนางชินชามานานแล้ว ลำพังเพียงแค่คนที่ตายอยู่ภายใต้คมกระบี่ของกระบี่โบราณก็มีมากจนนับไม่ถ้วนแล้ว


เผยเฉียนเพิ่งจะมองเห็นสตรีสูงใหญ่สวมชุดสีขาวผู้นั้น นางเบิกตากว้าง สีหน้าอึ้งค้าง


วิญญาณกระบี่คลี่ยิ้ม พูดกับเฉินผิงอันว่า “ใต้หล้าในทุกวันนี้ น้อยนักที่จะมีตัวอ่อนผู้มีชะตาบู๊ที่บริสุทธิ์เช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่สอนนาง?”


เฉินผิงอันเอามือกดศีรษะเล็กๆ ของเผยเฉียนเอาไว้ “เมื่อก่อนกลัวว่านางเรียนวรยุทธ์แล้วจะไม่รู้จักหนักเบา ง่ายที่จะก่อเรื่อง แต่หลังจากนี้ข้าจะสอนนางด้วยตัวเอง”


เผยเฉียนเริ่มก้าวถอยหลังอย่างห้ามตัวเองไม่ได้


ร่างกายเป็นไปเอง เกรงว่าแม้แต่นางเองก็คงไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่


วิญญาณกระบี่หรี่ตาลง “ดูท่าจะไม่ใช่ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลธรรมดาที่ลัทธิขงจื๊อค้นพบใหม่ ไม่แน่ว่าหนึ่งในนั้นอาจถูกข้าสะบั้นให้หล่นลงสู่โลกมนุษย์เองกับมือในปีนั้น?”


เฉินผิงอันฉงนสนเท่ห์


วิญญาณกระบี่ยิ้มกล่าวว่า “ตอนนี้ยังไม่ต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ เรื่องเก่าแก่ไร้สาระ แค่ข้านึกถึงก็หงุดหงิดแล้ว”


นางหมุนตัวกลับเดินไปทางร้านยา


เผยเฉียนถึงได้คืนสติ ไปหลบอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันอย่างขลาดๆ


ร่มน้ำมันคันเล็กที่นักพรตเฒ่าตงไห่เรียกว่าพัดอู๋ถงวางเอนพิงไว้ตรงประตู นางค้อมตัวลงไปหยิบขึ้นมาแล้วกางออกทันที แผ่นหยกแผ่นหนึ่งร่วงลงมา ก็คือแผ่นหยกผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิง


นางคว้ามาไว้ในมือ ชำเลืองตามองหนึ่งทีก็บีบให้แหลกเป็นจุล “ของเล่นผุพังอะไรกัน”


เฉินผิงอันกระทืบเท้าหนึ่งที กล่าวอย่างร้อนใจ “ข้ายังต้องคืนให้กับภูเขาไท่ผิงอีกนะ”


วิญญาณกระบี่ยิ้มตาหยี “ก็ไม่บอกแต่แรกเล่า แต่ไม่เป็นไร แค่บอกว่าข้าเป็นคนทำพัง บอกให้ภูเขาไท่ผิงอะไรนั่นมาหาข้าที่ถ้ำสวรรค์หลีจู ข้าจะชดใช้ให้พวกเขาเอง”


ในใจนางคิดว่า แต่ก่อนจะทำเช่นนั้นได้ พวกเขาต้องกล้ารับเสียก่อน


เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ช่างเถอะ ข้าค่อยเขียนจดหมายไปบอกเทียนจวินผู้เฒ่าของภูเขาไท่ผิงก็แล้วกัน น่าจะไม่เป็นปัญหาใหญ่อะไร”


นางกางร่ม พยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าไปแล้วนะ”


เฉินผิงอันมีคำพูดนับพันนับหมื่น แต่กลับไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหน สุดท้ายจึงได้แค่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มเท่านั้น


นางเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน ค้อมเอวลงเล็กน้อย ใช้หน้าผากแนบกับหน้าผากเฉินผิงอัน พูดเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน ได้พบเจอเจ้า คือความโชคดีของข้า”


กล่าวจบ นางที่ในมือถือร่มกระดาษน้ำมันก็กลายร่างเป็นรุ้งยาวสีขาวหิมะ แหวกม่านฟ้าของนครมังกรเฒ่า แหวกทะเลเมฆที่ฟ่านจวิ้นเม่านอนสลบอยู่ หยุดลอยนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็มุ่งหน้ากลับไปทางแท่นสังหารมังกรในถ้ำสวรรค์หลีจูที่อยู่ทางทิศเหนือ


หน้าประตูร้านยา เผยเฉียนกระตุกชายแขนเสื้อของเฉินผิงอัน กล่าวอย่างอกสั่นขวัญผวาว่า “ท่านผู้นี้คือพี่หญิงเทพเซียนที่ร้ายกาจที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมาเลย เมื่ออยู่ต่อหน้านาง แม้แต่จะเอ่ยประจบข้าก็ยังไม่กล้าทำเลย”


เฉินผิงอันยิ้มพูด “เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า ดังนั้นหลังจากเรียนวรยุทธ์แล้วก็ห้ามมองไม่เห็นใครในสายตาเด็ดขาด”


เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง พลันเอ่ยถามว่า “นางก็คือ ‘แม่นาง’ คนนั้นใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าที่พบกัน ข้าควรจะเรียกนางว่าแม่ดีไหม?”


เฉินผิงอันกำลังข้ามธรณีประตูถึงกับสะดุดเซ


เผยเฉียนกล่าวเหมือนเข้าใจกระจ่างแจ้ง “ต้องเรียกว่าอาจารย์แม่!”


เฉินผิงอันรีบหมุนตัวกลับมา อุดปากเจ้าเด็กผู้นี้ ถลึงตาใส่ “ห้ามพูดเหลวไหล!”


เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ “ปากไม่พูด แต่เก็บไว้ในใจ?”


เฉินผิงอันที่หน้าดำดึงหูของนาง เผยเฉียนเอียงหัวตาม เขย่งปลายทางร้องโอ้ยๆๆ โดนเฉินผิงอันลากไปจนถึงเรือนด้านหลังร้านยา เขาถึงได้ยอมปล่อยมือ


เผยเฉียนนั่งยองบนพื้น ยกมือนวดคลึงหูตัวเอง


เฉินผิงอันเดินเข้าไปในห้องด้านข้างห้องหลักของเจิ้งต้าเฟิงเพียงลำพัง มองเห็นบุรุษที่นอนหมดสติอยู่บนเตียง เขาเองก็ได้รับการห้ามเลือดซึ่งเป็นแค่บาดแผลภายนอกแล้วเหมือนกัน


เพียงแต่เมื่อเทียบกับเฉินผิงอันแล้ว สภาพน่าสังเวชกว่ามาก ตอนนั้นที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว เฉินผิงอันใช้กระบวนท่าหมัดยอดเขาของจ้งชิวและ ‘ปรับแก้มังกรใหญ่’ มาฝ่าทะลุขอบเขต ตอนนี้บุรุษที่นอนอยู่บนเตียงผู้นี้ กระดูกสันหลังทั้งเส้นซึ่งเปรียบดั่งมังกรตัวใหญ่กลับแตกละเอียดหมดแล้ว


เฉินผิงอันยกเก้าอี้มานั่งอยู่ในห้องเล็กที่มืดสลัว เหม่อมองเจิ้งต้าเฟิง


เผยเฉียนเดินย่องเบาๆ มาที่ประตูของห้องด้านข้าง พอเห็นภาพนี้ก็เกิดลังเล ก่อนจะจากไปเงียบๆ


นางนั่งอยู่บนขั้นบันได มือสองข้างเท้าคาง


นางไม่เคยเห็น…เฉินผิงอันที่เสียใจขนาดนี้มาก่อน


นางจึงรู้สึกเสียใจตามไปด้วย เป่ายันต์สีเหลืองที่อยู่บนหน้าผากแผ่นนั้น


กระดาษยันต์ถูกเป่าแต่ไม่ปลิวไปไหน ความเสียใจที่ถูกปัดเป่าก็ไม่จางหายเช่นกัน


คนคนหนึ่งเมื่อเติบโตขึ้นแล้วล้วนต้องเป็นแบบนี้หรือ?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)