ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 364-365

ตอนที่ 364 ใต้หล้านี้นอกจากเขาก็ไม่มี...

 

ตู๋กูซิงหลันรู้ดีถึงความเลวของจีจ้านแต่แรกแล้ว การที่เขาตัดสินใจออกไปเช่นนี้จึงมิได้ทำให้แปลกใจอะไร


 


 


คนที่เห็นแก่ตัวอย่างรุนแรง บอกรักเพียงลมปาก ทุกสิ่งที่เขาทำลงไปล้วนเป็นการผลักเจียงเย่วลงไปในหลุมลึกนั้นก็คือปฐมฮ่องเต้


 


 


“ท่านปู่ ท่านจะต้องรักท่านย่ามากที่สุดแน่เลย” ตู๋กูซิงหลันอดจะเกิดความเคารพต่อท่านผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้


 


 


หากมิใช่เพราะว่ารักใครคนหนึ่งอย่างลึกล้ำ ไหนเลยจะสามารถสละชีวิตของตนเองเพื่อผู้อื่นได้กัน?


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นกับเจียงเย่ว…แต่ก็ยังคงดีต่อนางดุจเดิม


 


 


“ใช่แล้ว รักเหลือเกิน…..” ท่านผู้เฒ่าถอนใจออกมา กล่าวต่อไปว่า


 


 


“หลังจากเกิดเรื่องนั้น ปฐมฮ่องเต้ก็ไม่ได้บีบบังคับให้นางต้องอยู่ในวังอีก ข้าจึงรับนางมาอยู่ในจวน”


 


 


“ตอนที่ฟ่านอิงตายไปนั้น ข้าเป็นคนฝังร่างของเขาเอง บางทีอาจเพราะเหตุนี้ ฮูหยินจึงมิได้ชิงชังข้าสักเท่าไร ต่อมาภายหลัง นางก็แต่งให้ข้าในที่สุด วันนั้น นางสวมชุดแต่งงานสีแดงทั่วทั้งตัว ปักดอกไฮ่ถางเอาไว้ทั่วทั้งร่าง….”


 


 


จนถึงวันนี้พอคิดขึ้นมาท่านผู้เฒ่าก็ยังจดจำได้อย่างละเอียดลออ แม้แต่กระทั่งบนร่างของนางมีดอกไห่ถางอยู่กี่ดอกก็ยังจำได้อย่างแม่นยำ


 


 


พวกเขาไม่ได้มีงานแต่งงาน เพียงแต่คนทั้งสองสวมใส่ชุดสีแดง กราบไหว้ฟ้าดินร่วมกัน


 


 


เนื่องเพราะจีจ้านเป็นเหตุ เขาจึงไม่อาจจัดงานแต่งงานที่ใหญ่โตให้กับนางได้ นี่เป็นความเสียดายไปชั่วชีวิตของเขา


 


 


แต่ว่าตลอดช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกับนาง……คือช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุดในชีวิตอย่างแท้จริง


 


 


ถึงแม้ว่าจะเป็นเพราะ….นางถึงได้แต่งให้กับเขา


 


 


ฟังเรื่องเก่าๆ ถึงตรงนี้ ตู๋กูซิงหลันก็รู้แล้วว่า ท่านผู้เฒ่านั้นรักเจียงเย่วอย่างแท้จริง


 


 


“เจ้าคงจะรู้สึกว่า ปู่เองก็สับปลับใช่หรือไม่?” พอท่านผู้เฒ่าหายใจลอยก็เป็นฝ่ายเอ่ยกับนางเรื่องเจียงเหม่ยหยู่


 


 


“ตอนนั้นท่ามกลางการประหัตประหารในแคว้นกู่เย่ว ฮูหยินพยายามปกป้องเจียงเม่ยหยู่อย่างสุดชีวิต ทั้งยังร้องขอให้ข้ารับตัวนางไว้”


 


 


“ต่อมาหนึ่งในข้อแม้ที่ฮูหยินตอบรับแต่งงานกับข้า ก็คือให้รับเจียงเหม่ยหยู่เป็นอนุ หลายปีมานี้ ข้าไม่เคยทำผิดสัญญาต่อนาง”


 


 


ใต้หล้านี้ บุรุษที่มีสามภรรยาสี่อนุมีให้เห็นอยู่มากมาย อย่าว่าแต่เป็นแม่ทัพใหญ่ที่ผ่านสงครามมามากมาย


 


 


แค่ให้รับอนุผู้หนึ่งไม่ถือเป็นเรื่องยากอะไร ดังนั้นที่ต่อมาเขามีลูกกับเจียงเหม่ยหยู่….ตู๋กูซิงหลันก็เข้าใจได้


 


 


สำหรับเจียงเย่ว ดูท่าแล้วนางเพียงต้องการให้เจียงเหม่ยหยู่มีที่พักพิงที่ปลอดภัย ถึงได้บังคับให้ท่านผู้เฒ่ารับนางเป็นอนุ


 


 


“ท่านปู่ทำเพื่อท่านย่ามากพอแล้ว” ตู๋กูซิงหลันกล่าวต่อไป ที่จริงแล้ว นางยังคิดจะถามว่าเจียงเย่วลาโลกไปได้อย่างไร


 


 


นางตายไปเกือบสิบปีแล้ว


 


 


ตอนนั้นเจ้าของร่างยังอายุน้อยอยู่เลย จึงมีความทรงจำไม่มากมายนัก


 


 


ท่านผู้เฒ่ามองความในใจของนางออก ก็กล่าวว่า “ข้ากับฮูหยินอยู่ร่วมกันสิบกว่าปี เดิมทีก็ใช้ชีวิตมีความสุขอย่างเรียบง่าย……ต่อมา…..เพราะเรื่องของบิดามารดาของเจ้า ส่งผลกระทบต่อนางอย่างมาก พอล้มป่วยลงก็ลุกไม่ขึ้นอีก ในที่สุดก็จากไป”


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ตู๋กูซิงหลันได้ยินคนเอ่ยถึงบิดามารดา


 


 


นางรู้แต่ว่าไทเฮาน้อยสูญเสียบิดามารดาแต่เล็ก แต่กลับไม่รู้ชัดว่าสาเหตุเพราะอะไร


 


 


สองพี่ชายก็คงไม่มีทางเป็นฝ่ายบอกกับนาง


 


 


“ตู๋กูชิงชิง คือชื่อของมารดาของเจ้า” ท่านผู้เฒ่าเอ่ยพลางก็หยิบเอาหยกพกสีเขียวออกมา บนนั้นแกะเป็นตัวอักษรชิงชิงสองตัว


 


 


“นางเกิดในเดือนสาม เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิที่ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ แม้แต่ในอากาศก็มีกลิ่นหอมของใบหญ้า พวกเราจึงตั้งชื่อนางว่าชิงชิง”


 


 


ตู๋กูซิงหลันออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง เนื่องเพราะว่าไม่เคยมีใครเอ่ยถึงบิดามารดามาก่อน นางจึงนึกว่าตอนนั้นเย่วฮูหยินได้ให้กำเนิดบุตรชาย


 


 


คิดไม่ถึงว่า จะเป็นบุตรสาว?


 


 


“ชิงชิงนั้น แสนจะเอาแต่ใจ มีบุรุษมากมายมาสู่ขอ นางก็ไม่เหลียวแลเลยสักนิด กลับไปชอบไอ้หนุ่มที่ไม่มีที่มาคนหนึ่ง ไอ้หนุ่มนั้นหน้าเหมือนสุนัข เป็นคนไม่รู้มารยาท แต่ก็ขยันขันแข็ง ต่อมาพอแต่งเข้ามาเป็นเขยของบ้านเรา ก็นับว่าดีกับแม่ของเจ้าไม่เลว”


 


 


“น่าเสียดาย…..มารดาเจ้าคลอดเจ้าได้ไม่นาน ไอ้คนที่สมควรถูกสับสักพันดาบนั่น อยู่ๆ ก็หนีไป”


 


 


“ได้แต่ทิ้งจดหมายเอาไว้ฉบับหนึ่ง บอกว่าหมดวาสนากับมารดาของเจ้าแต่เพียงเท่านี้ ภูเขาสูงสายน้ำห่างไกลคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว”


 


 


“เพียงแค่คืนเดียว มารดาของเจ้าจากคุณหนูในจวนอ๋องผู้สูงส่งก็กลับกลายเป็นหญิงม่ายที่ถูกคนทอดทิ้ง นางเองก็บ้าดีเดือด ไม่พูดไม่จาคว้ากระบี่อ่อนได้ก็ไล่ตามไปแล้ว”


 


 


นี่เป็นเรื่องที่แสนจะเจ็บช้ำ….เพียงแต่เมื่อท่านผู้เฒ่าเล่าออกมาเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าออกจะน่าขำอยู่บ้าง


 


 


“บิดารมารดาของไทเฮาน้อยเป็นพวกนิสัยประหลาดหรือยังไง?” วิญญาณทมิฬเกิดความสงสัยขึ้นมา


 


 


“หลังจากนั้นมีอยู่วันหนึ่ง ลูกน้องของข้าก็พบร่างของมารดาเจ้าที่สุดขอบทะเลตะวันตก….” ขณะที่ท่านผู้เฒ่าพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าก็เปี่ยมไปด้วยความแค้นเคือง


 


 


“ที่จริงเน่าเปื่อยจนเละเทะไปหมดแล้ว แม้แต่ใบหน้าก็ไม่อาจเห็นได้อย่างชัดเจน ได้แต่อาศัยสิ่งของและเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกายเป็นเครื่องยืนยันตัวตน”


 


 


“หลังจากที่ท่านย่าของเจ้ารู้เรื่องเข้า จิตใจก็ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง….”


 


 


จากคำพูดของท่านผู้เฒ่า บิดาของไทเฮาน้อยนั้นเป็นคนไม่ได้เรื่อง


 


 


มารดากลับเป็นคนที่จริงจังกับความรัก ถึงกับไล่ตามไปแต่เพียงลำพัง สุดท้ายแล้วก็ต้องตกตายอยู่ที่ต่างแดน ทำให้คนอดที่จะต้องใจหายไม่ได้


 


 


“ยามที่บิดามารดาของเจ้าจากไป เจ้าพึ่งจะอายุสี่ขวบกว่าเท่านั้น คงจำอะไรไม่ได้”


 


 


“หลันหลัน ตอนนี้เจ้าก็โตแล้ว เจ้ามีสิทธิจะได้รับรู้เรื่องเหล่านี้”


 


 


“พี่ใหญ่ของเจ้ารู้จักหนักเบาที่สุด ตอนนั้นเขาเองก็อายุได้สิบสองสิบสามปี ติดตามข้าไปยังสนามรบแล้ว เรื่องเหล่านี้เขาล้วนทราบเป็นอย่างดี ตลอดหลายปีมานี้ เขามิได้บอกกับเจ้า เพราะว่าไม่อยากจะให้เจ้าต้องเสียใจ”


 


 


ตู๋กูซิงหลันพยักหน้า “ท่านปู่ ข้าเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ย่อมรู้ว่าสมควรจะทำเช่นไร”


 


 


“ตลอดหลายปีมานี้ ข้าส่งคนไปตามหาเบาะแสของบิดาเจ้ามาโดยตลอด เมื่อไหร่ที่หาเขาพบ จะต้องให้เขาชดใช้ให้กับมารดาของเจ้าอย่างสาสม”


 


 


เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ สายตาของท่านผู้เฒ่าก็เปี่ยมไปด้วยไอสังหาร


 


 


“ตอนนั้นยามที่เขาอยู่ต่อหน้าข้า ก็แสดงออกว่าจริงใจอย่างที่สุด มิได้น้อยไปกว่าฮ่องเต้น้อยผู้นั้นเลย”


 


 


พอคิดมาถึงตรงนี้ ท่านผู้เฒ่าก็ยิ่งมีโทสะขึ้นมา “ดังนั้นข้าจะบอกเลยว่า คำพูดของบุรุษนั้นจริงสามส่วนเท็จเจ็ดส่วน ไม่อาจเชื่อถือได้ทั้งหมด”


 


 


“ก่อนหน้านี้ใครกันนะ จีเย่ไอ้กระต่ายเปรียวนั่น ก็บอกว่ารักเจ้าหมดหัวจิตหัวใจเหมือนกัน เฮ่อ แต่ว่าปู่กลับถูกหลอกเข้าเสียเต็มเปา”


 


 


“หลันหลัน บิดาเจ้าเป็นเดรัจฉานใหญ่ จีเย่นั้นเป็นเดรัจฉานน้อย ปู่ของเจ้าถูกหลอกไปครั้งที่หนึ่งครั้งที่สองได้ แต่จะต้องไม่มีครั้งที่สาม ดังนั้นฮ่องเต้น้อยนั่น ข้าไม่มีทางเชื่อเขา เจ้าก็อย่าไปเชื่อเขาอย่างเด็ดขาด”


 


 


“ท่านปู่ เช่นนั้นท่านจริงใจกับท่านย่าใช่หรือไม่?”


 


 


ท่านผู้เฒ่าตบอกเสียงดัง “จริงแท้แน่นอน”


 


 


ท่านผู้เฒ่ามั่นใจเลยว่า ใต้หล้านี้นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีบุรุษที่ดีอีกแล้ว


 


 


ตู๋กูซิงหลันแอบหัวเราะเบาๆ เจียงเย่วที่ผ่านประสบการณ์ถูกทำลายจนย่อยยับ จนมาพบกับท่านปู่ ได้ผ่านชีวิตที่สงบสุขสิบกว่าปี สำหรับนางแล้วต้องถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้าย


 


 


ใต้หล้านี้มีผู้คนเป็นหมื่นเป็นแสน แต่ไม่มีใครที่มีแต่ความสุขตั้งแต่เกิดจนตาย


 


 


ว่าแล้ว ท่านผู้เฒ่าก็ตบไหล่ของตู๋กูซิงหลันเบาๆ กล่าวอย่างจริงจังว่า “หลันหลัน เจ้าจะต้องจดจำเอาไว้ นอกจากคนในครอบครัวแล้ว คนอื่นล้วนไม่เคยจริงใจต่อเจ้า อย่าได้ถูกเจ้าฮ่องเต้น้อยนั้นหลอกลวงไปโดยง่าย เข้าใจไหม?”


 


 


“ครั้งนี้ที่เขาไปทำสงครามกับต้าเหยียน ก็ไม่ใช่เพื่อเจ้า แต่เป็นหนทางของเจ้าแผ่นดินที่เขาเลือกเอง เจ้าไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น”

 

 

 


ตอนที่ 365 พ้นยามจื่อไป ก็นับว่าเป็นว...

 

“ปู่กลับมาครั้งนี้ จะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าระยะเวลาหนึ่ง หลันหลันอยากทำสิ่งใดก็จงทำสิ่งนั้น ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดทั้งสิ้น” ท่านผู้เฒ่าลูบไล้ศีรษะของนางด้วยความรักถนอม


 


 


“หากว่าใครกล้ากลั่นแกล้งรังแกเจ้าแม้เพียงนิดเดียว ปู่ก็จะทุบหัวมันให้แบะ ให้มันต้องสำนึกเสียใจที่เกิดมาบนโลกนี้ไปเลย!”


 


 


“ยังมีอีก เรื่องขาของเจ้าก็ไม่ต้องกังวลใจไป แม่ยายของหัวหน้าเผ่าอาปู้ไซ้ คือยอดหมอผีในเผ่าของพวกเขา ปู่จะเชิญนางมารักษาขาของเจ้า”


 


 


คำพูดนี้ของท่านปู่ ทำให้หัวใจของตู๋กูซิงหลันอบอุ่นจนละลายแล้ว


 


 


นางพยักหน้า คลี่ยิ้มหวาน “เจ้าค่ะ”


 


 


…………………


 


 


ยามดึกสงัด ตู๋กูซิงหลันได้ยินเสียงหน้าต่างเปิดออก สายลมพัดเข้ามาวูบหนึ่ง


 


 


นางก็รู้สึกตัวขึ้นมาอย่างตื่นตัว


 


 


นางหันหลังให้หน้าต่าง จึงมองเห็นไม่ชัดว่าเป็นใคร


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่ามีมือข้างหนึ่งสัมผัสลงบนใบหน้าของตนเอง


 


 


ตู๋กูซิงหลันยกมือขึ้นมาข้างหนึ่ง คว้ามือข้างนั้นเอาไว้อย่างแน่นหนา ทันทีที่จับเอาไว้ได้ในใจก็ต้องร้องครวญครางออกมาทันที


 


 


“ซิงซิง เจ้าเองก็คิดถึงเราจนทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ใช่ไหม?”


 


 


ฮ่องเต้ถูกนางคว้าพระหัตถ์เอาไว้ แย้มสรวลออกมาดุจดอกไม้บาน


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……”


 


 


“ฝ่าบาท ดึกดื่นแล้ว พระองค์พลิกหน้าต่างเข้ามาทำไม? มิใช่ว่าเสด็จกลับวังไปแล้วหรือเพคะ?”


 


 


ตู๋กูซิงหลันพูดพลางก็คลายมือออก หันหน้าไปมองดูดวงพระพักตร์ที่งดงามอย่างไร้ที่ติของฝ่าบาท หากมิใช่ว่าพระองค์ทรงยิ้มแย้มอย่างโง่งม ก็คงดูแล้วสบายตาน่าชมกว่านี้


 


 


“ตอนที่เรากลับไปจากจวนตู๋กูก็บอกแล้วมิใช่หรือว่า วันที่สองจะมารับเจ้ากลับไป?” จีเฉวียนเบียดเข้ามาที่บนเตียงของนาง ยื่นพระหัตถ์ออกมาคว้าตัวนางเข้าไปในอ้อมกอดทันที


 


 


แทบจะซบพระพักตร์ครึ่งหนึ่งลงไปบนเส้นผมของนาง


 


 


“แต่ตอนนี้พึ่งจะครึ่งคืนเองนะ พี่ชาย”


 


 


“เลยยามจื่อ [1] มาก็ถือเป็นวันที่สองแล้ว” จีเฉวียนตรัสอย่างน่าสงสาร “พวกเราตกลงกันแล้วมิใช่หรือ?”


 


 


พอได้สูดดมกลิ่นหอมของดอกฮว๋ายฮวาอย่างอุกอาจฮ่องเต้ก็ทรงรู้สึกพึงพอใจอย่างเต็มที่ นี่เป็นความรู้สึกที่บ่งบอกไม่ถูก


 


 


ตู๋กูซิงหลันหันไปมองดูดวงจันทร์นอกหน้าต่าง ก็รู้สึกว่ายังดึกอยู่เลย


 


 


“ซิงซิง เราไม่ได้เจอเจ้าเพียงครู่เดียวก็รู้สึกคิดถึงอย่างยิ่ง” จีเฉวียนยังคงเอาแต่กอดนางไม่ยอมห่าง “พอคิดว่าอีกหน่อยต้องแยกจากเจ้านานถึงครึ่งปี เราก็รู้สึกทรมานเหลือเกิน”


 


 


ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่านางผิดไปแล้ว เขาไม่ใช่สุนัขเฒ่าอะไรทั้งนั้นแต่ที่จริงแล้วเขาคือลูกหมาน้อยต่างหาก


 


 


ต่อหน้าผู้อื่นก็คือฮ่องเต้สุนัขที่หยิ่งผยองพองขน ลับหลังผู้คนก็คือลูกหมาน้อยขี้อ้อนที่เย้ายวน


 


 


จี๊ด….


 


 


นางปวดฟันจริงๆ


 


 


บางทีอาจเพราะถูกเขากอดเข้าบ่อยๆ เลยชักจะเคยชินขึ้นมาแล้ว


 


 


ขาก็พิการไปแล้ว ย่อมไม่อาจขัดขืน หรือจะให้ถีบเขาตกเตียงไปดี?


 


 


ตู๋กูซิงหลันได้แต่นอนราบลงไป ถือเสียว่าข้างกายมีลูกหมาน้อยมานอนอยู่ด้วยแล้วกัน


 


 


วิญญาณทมิฬพลันกระโจนออกมาอย่างผลุนผลัน “อะ นี่…”


 


 


มันกำลังจะอ้าปาก ฝ่ามือของฮ่องเต้ก็ชิงตวัดออกมาก่อน “ซิงซิง หากว่าเจ้าง่วงมากละก็ เราจะนอนเป็นเพื่อนเจ้า นอนตื่นแล้วพวกเราค่อยกลับเข้าวังไป”


 


 


จีเฉวียนพึ่งจะตรัสจบ ก็เห็นว่าที่นอกหน้าต่างปรากฏเงาร่างของคนผู้หนึ่งพุ่งเข้ามา


 


 


คนผู้นั้นสวมใส่ชุดสีเขียวยกไม้กวาดในมือขึ้นมาฟาดใส่ฮ่องเต้ที่อยู่บนเตียงอย่างดุดันชุดหนึ่ง


 


 


“ไอ้สุนัขขี้ขโมยมาจากที่ใดกัน แม้แต่หลานสาวของเราผู้เฒ่าก็ยังกล้าแตะต้องหรือ?”


 


 


ตู๋กูถิงแกล้งทำเป็นตาบอดมองไม่ออก


 


 


เมื่อกลางวันไม้กวาดด้ามนี้ยังไม้ทันได้ใช้กับจีเฉวียน เขารู้สึกว่าช่างขาดทุนเหลือเกิน


 


 


คาดไม่ถึงว่า ฮ่องเต้น้อยผู้นี้จะมีความกล้าล้นเหลือ ถึงกับปีนหน้าต่างมาหาหลานสาวของเขาตอนกลางคืน


 


 


เพื่อปกป้องผักกาดขาวหัวงามของบ้านตน คืนนี้ท่านผู้เฒ่าจึงพักผ่อนอยู่ในห้องข้างๆ ห้องของตู๋กูซิงหลัน


 


 


พอเกิดความเคลื่อนไหวเล็กน้อย เขาก็รู้สึกตัวทันที


 


 


ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นจีเฉวียน แต่กลับทำเป็นตาบอดแม้อยู่ในบ้านของตนเอง ใครสนใจกันเล่า ตีก่อนแล้วค่อยว่ากัน


 


 


ขณะที่ฮ่องเต้ทรงถูกฟาดรอบแรกนั้น ก็ตัดสินพระทัยยื่นพระหัตถ์ออกไปปกป้องตู๋กูซิงหลันก่อน


 


 


พอโดนรอบที่สองก็ทรงทราบแล้วว่าท่านผู้เฒ่าตีเฉพาะพระองค์เท่านั้น จึงยิ่งไม่กล้าส่งเสียง


 


 


เอาแต่กอดตู๋กูซิงหลันเอาไว้ในอ้อมพระพาหา บดบังอย่างมิดชิด ปล่อยให้ท่านผู้เฒ่ากระหน่ำตีพระองค์


 


 


วิญญาณทมิฬที่เกือบจะถูกตีจนแบนไปแล้วนั้น “ข้าก็แค่อยากจะเตือนท่านว่า…..ท่านผู้เฒ่าถือไม้กวาดมาแล้ว….”


 


 


จีเฉวียนถลึงพระเนตรใส่มันครั้งหนึ่ง “สายไปแล้ว [2] ”


 


 


วิญญาณทมิฬ “…..” ขอโทษนะ ที่จริงมันไม่น่าปากไวไปเตือนเขาก่อนเลย!


 


 


“ไอ้คนลามก ยังจะกล้าเกาะติดอยู่บนเตียงอีกหรือ?” ไม้กวาดของตู๋กูถิงด้ามนั้นมีหลากหลายกระบวนท่า ยามที่ทุบตีผู้คนแรงกระหน่ำทะลุทะลวงเสื้อผ้าไปถึงผิวเนื้อ เรียกว่าเจ็บจริง


 


 


แต่ฮ่องเต้ทรงเฉลียวฉลาดนัก ยื่นพระหัตถ์ไปคว้าเอาผ้าห่มมาคลุมตัวพระองค์เองและตู๋กูซิงหลันเอาไว้ด้วยกัน


 


 


ทำเอาท่านผู้เฒ่าแค้นเสียจนแทบจะถล่มเตียงให้หลุดเป็นชิ้นๆ


 


 


เห็นว่าปฐมฮ่องเต้ทรงไร้ยางอายแล้ว คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงรุ่นหลานก็มิได้น้อยหน้ากว่ากันเลย


 


 


ทุบตีอยู่ตั้งนานก็ยังไม่เห็นผล เขาจึงไม่ใช้ไม้กวาดแล้ว แต่ว่าหันไปคว้าเอาหอกประจำตัวขึ้นมาแทน


 


 


พอพุ่งออกไปครั้งหนึ่งหอกนั้นก็แทงเข้าไปในผ้าห่ม


 


 


ทันทีที่ทะลุเข้ามา หอกด้ามนั้นก็ถูกจีเฉวียนทรงคีบเอาไว้อย่างแน่นหนา “ท่านผู้เฒ่า หากแทงลงมาเช่นนี้ จะมีคนตายได้นะ”


 


 


ทันใดนั้น จีเฉวียนก็ทรงลุกขึ้นมาประทับนั่งอยู่บนเตียง พระองค์ปล่อยพระเกศายาวสยาย สวมฉลองพระองค์สีทอง ดวงเนตรหงส์คู่นั้นทำให้หัวใจของทุกผู้ต้องหนาวสะท้าน


 


 


จากที่เป็นลูกสุนัขน้อยยามอยู่ต่อหน้าตู๋กูซิงหลัน คนก็เปลี่ยนเป็นเทพเซียนผู้สูงส่งขึ้นมาในทันที


 


 


“ซิงซิงเคยบอกเอาไว้ว่า ตระกูลตู๋กูของพวกท่านมีวิชาไม้กวาดฟาดคน ตอนที่ได้พบท่านผู้เฒ่าเมื่อกลางวันเราก็รู้อยู่แล้วว่าท่านอยากทดสอบดู จึงได้มาในยามค่ำเพื่อมอบโอกาสให้กับท่าน เป็นอย่างไร ฟาดจนพอใจแล้วกระมัง?”


 


 


สมองของตู๋กูซิงหลันเกิดเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ขึ้นมาในทันที นางเคยบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าต้นตระกูลมีวิชาไม้กวาดฟาดผู้คน?


 


 


นางกระแอมคอส่งเสียงหัวเราะออกมาคำหนึ่ง “ฝ่าบาท ที่บ้านของหม่อมฉันสืบทอดกันมาคือวิชาตบใบหน้า….”


 


 


จีเฉวียน “ซิงซิง เราคิดว่าวิชาไม้กวาด สามารถสืบทอดกันต่อไปได้มากกว่าพันปี”


 


 


ตู๋กูซิงหลันหัวเราฮิฮะคำหนึ่ง พอหันหน้าไปก็เห็นว่าท่านผู้เฒ่ายังคงมีสีหน้างงงวย


 


 


เขาเตรียมใจเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าจะต้องเผชิญกับพระพิโรธของจีเฉวียนพระองค์กลับดีนัก มิได้ทรงพิโรธเลยสักนิด


 


 


ทั้งยังเป็นฝ่ายเสนอทางลงให้เขาเสียอีก?


 


 


ใบหน้าชราของตู๋กูถิงชักจะละอายจนรับไม่ได้อยู่บ้าง


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น พลังที่สะท้อนออกมาจากหอกยังรุนแรงกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้มาก


 


 


เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า วรยุทธ์ของฮ่องเต้น้อย….จะสูงล้ำถึงเพียงนี้


 


 


ยอดฝีมือปะกระบวนท่า เพียงแค่ความเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็รู้สึกได้แล้ว


 


 


หอกของเขา ไม่เคยมีผู้ใดรับได้มาก่อน


 


 


คนที่เคยรับ ล้วนตายไปหมดแล้ว


 


 


แต่พระองค์กลับสามารถคว้าเอาไว้ในมือ ด้วยความรวดเร็วและแม่นยำ โดยมิได้ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย


 


 


ถึงแม้ว่าตัวเขาจะใช้กำลังไปเพียงแค่สองสามส่วน แต่ก็เพียงพอที่จะแบะหัววัวได้แล้ว ตอนนี้กลับถูกฮ่องเต้คว้าจับเอาไว้โดยง่าย ทำให้ตู๋กูถิงอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนมุมมองต่อพระองค์ไป


 


 


ไม่รู้ว่ายามที่ฮ่องเต้น้อยไปเป็นตัวประกันที่แคว้นเหยียน ต้องเผชิญกับประสบการณ์เช่นไร ถึงได้ทำให้เขาฝึกฝนตนเองจนมีวิชาแก่กล้าเช่นนี้


 


 


“หากว่าท่านผู้เฒ่ายังตีไม่พอ ก็ยังสามารถลงมือได้อีก เราจะไม่หลบหลีก”


 


 


จากนั้น จีเฉวียนก็นั่งหลังตรง “เราจะถือว่าเป็นการสั่งสอนจากผู้อาวุโส สามารถรับการเคี่ยวกรำจากท่านผู้เฒ่า เราถือว่าได้ประโยชน์มหาศาล”


 


 


ตู๋กูถิงส่งสายตาทิ่มแทง ไอ้หนุ่มนี่คงจะคิดว่าเขาไม่กล้าตีสินะ?


 


 


ไอ้กระต่ายเปรียวสองตัวในบ้าน ถูกเขาตีมาตั้งแต่เล็กจนโต ฮ่องเต้น้อยมีพระชนม์มายุพอๆ กับพวกเขา ดูๆ แล้วช่างน่าฟาดโบยดีนัก


 


 


 


 


……………….


 


 


ไรท์ : ปู่คะ ต้องติดกล้องแล้วมั้ง


 


 


ตอนต่อไป “สามวันคิดถึงครั้งหนึ่ง?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)