กระบี่จงมา 363.3-365.2

บทที่ 363.3 หวังไว้บนไหล่ของคนอื่น

 

ม่านรัตติกาลแผ่ปกคลุม เฉินผิงอันหิ้วม้านั่งตัวยาวออกมา สุยโย่วเปียนและพวกเว่ยเซี่ยนสามคนแยกไปกินยาในสองห้องที่อยู่ด้านข้างเสร็จเรียบร้อยก็เดินเข้ามาในลานบ้าน


เจิ้งต้าเฟิงยืนเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างวางไว้ตรงหน้าท้อง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนขอบเขตเดียวกัน ในระยะสิบจั้ง ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวต้องการแค่หมัดเดียวเท่านั้น แม้ว่าข้าจะไม่รู้ประวัติความเป็นมาของพวกเจ้าสี่คน แต่กลับสามารถปฏิบัติต่อพวกเจ้าทั้งสี่คนดุจผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเจ็ดเป็นอย่างน้อยที่สุด พวกเจ้าแค่ดาหน้าเข้ามา พวกเราจะได้ประหยัดเวลา”


ไม่มีใครเดินออกไปข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียว


เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างจนใจ “ทำไม ไม่เห็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าอย่างข้าเป็นอาหารในจาน? รังเกียจที่จะต้องร่วมมือกันสี่คนมารุมข้าคนเดียว กลัวว่าจะเป็นการลดสถานะตัวเอง?”


เผยเฉียนย้ายม้านั่งตัวเล็กมานั่งข้างเท้าของเฉินผิงอัน


เจิ้งต้าเฟิงหันหน้ามามองเฉินผิงอัน


เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง บอกเป็นนัยแก่เจิ้งต้าเฟิงว่าออกหมัดได้ตามสบาย


“ในเมื่อพวกเจ้าเกรงใจขนาดนี้ งั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว”


เจิ้งต้าเฟิงบิดปลายเท้า แล้วร่างของเขาก็หายไป


เสียงตู้มทุ้มหนักดังอื้ออึง


สี่หมัดถูกปล่อยออกไปแทบจะเวลาเดียวกัน


สุยโย่วเปียน เว่ยเซี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงและจูเหลี่ยนที่ยืนอยู่ตรงขั้นบนสุดของบันไดใต้ชายคาสองฝากฝั่งต่างถอยกรูดไปด้านหลังตั้งแต่หนึ่งก้าวถึงสามก้าวไม่เท่ากัน


เจิ้งต้าเฟิงจุ๊ปากพูด “ปูรากฐานกันมาได้ไม่เลว เฉินผิงอัน เจ้าไปหาสาวใช้และผู้ติดตามพวกนี้มาจากไหนกันแน่? ข้าเองก็อยากได้บ้าง โดยเฉพาะคนที่หน้าตาเหมือนพี่สาวท่านนี้…”


สุยโย่วเปียนออกกระบี่ก่อนผู้ใด


จูเหลี่ยนหลังโก่งงอก็กระโดดผลุงออกไป


เว่ยเซี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยงเบี่ยงเท้าเดินไปด้านข้างสองฝั่งแทบจะเวลาเดียวกัน คอยร่วมมือกับสุยโย่วเปียนและจูเหลี่ยนสองคนที่อยู่ในลานตลอดเวลา


ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไร จิตใจก็เชื่อมโยงถึงกัน


นี่คือขอบเขตที่บุคคลอันดับหนึ่งของพื้นที่มงคลดอกบัวทั้งสี่คนสมควรมี


เฉินผิงอันถามเบาๆ “หากสนใจก็ลองตั้งใจดูพวกเขาได้”


เผยเฉียนชูมือขึ้น ในฝ่ามือเต็มไปด้วยเมล็ดแตง เฉินผิงอันส่ายหน้า นางถึงได้ดึงมือกลับมา แทะเมล็ดแตงพลางส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่สนใจหรอก ห่างชั้นกับ…ท่านอาจารย์ตั้งเยอะ”


เรียกพ่อลับหลัง แต่พออยู่ต่อหน้าเฉินผิงอันกลับเรียกอาจารย์ เผยเฉียนรู้สึกว่าตัวเองเรียนหนังสือจนสติปัญญาเปิดกว้างแล้วจริงๆ เป็นอาจารย์หนึ่งวันก็เป็นบิดาไปทั้งชีวิตนี่นะ


เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว หากแข่งกันแค่เรื่องของขอบเขตวรยุทธ์ว่าสูงหรือต่ำ อันที่จริงข้ายังสู้พวกเขาสี่คนไม่ได้ ตอนนี้ข้าเพิ่งจะเป็นขอบเขตห้า แต่เมื่อผ่านศึกเป็นตายที่ยากลำบากติดต่อกันมาหลายครั้ง รากฐานขอบเขตห้าของข้าจึงปูมาได้…ดีมาก ดังนั้นจึงสามารถฝ่าคอขวดไปสู่ขอบเขตหกได้ทุกเมื่อ”


ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่าตนเองทำเรื่องบางเรื่องได้ดีมาก


เกรงว่าคงไม่ด้อยกว่าเวลาที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยบอกว่าขอบเขตวิถีวรยุทธ์บางขอบเขตของเฉินผิงอันปูมาได้ ‘ไม่เลว’ อย่างแน่นอน


เผยเฉียนแหงนหน้าขึ้น ยิ้มกว้างสดใส “อาจารย์ ถึงอย่างไรท่านก็ร้ายกาจที่สุด”


สี่คนที่อยู่ในลานบ้านเผชิญกับความยากลำบากภายใต้เงื้อมมือของเจิ้งต้าเฟิงเสียเต็มกลืน


นี่ยังเป็นเพราะเจิ้งต้าเฟิงจงใจกดข่มขอบเขตของตัวเองให้อยู่ที่ขอบเขตแปดเดินทางไกลด้วย


ไม่อย่างนั้นก็ยิ่งไม่มีทางต่อสู้กันได้


ป้อนหมัดจะกลายเป็นรังแกคนอื่นไปแทน


ตบะวิถีวรยุทธ์ไม่ได้ต่างจากขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณ ต่างแค่หนึ่งขอบเขตก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน แน่นอนว่าก็มีข้อยกเว้น ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าแซ่ชุยที่สอนวิชาหมัดให้เฉินผิงอัน ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่อยู่บนยอดสูงสุดของขอบเขตสิบเพียงคนเดียวในแจกันสมบัติทวีป ตอนนั้นที่อยู่นอกเรือนไม้ไผ่ก็สามารถใช้หมัดของขอบเขตห้าต่อยให้ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกที่คิดจะมากราบอาจารย์ขอเรียนวิชาตายไปอย่างง่ายดาย


ทว่าข้อยกเว้นเช่นนี้ แม้จะไม่ใช่ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว แต่ก็แทบไม่ต่างกันสักเท่าไหร่


เฉินผิงอันนึกถึงเฉาสือ เด็กหนุ่มชุดขาวที่เดินอยู่บนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ปณิธานหมัดของทั้งร่างเขาสามารถสยบปณิธานกระบี่บนหัวกำแพงที่ขยับเข้ามาใกล้เรือนกายตัวเองได้


เฉินผิงอันอยากรู้อย่างมากว่า ตอนนี้คนทั้งสองเป็นขอบเขตห้าเหมือนกัน ตนจะยังคงแพ้เฉาสือติดต่อกันสามครั้งติดอย่างไม่มีข้อสงสัยเหมือนเดิมอีกหรือไม่


เฉินผิงอันโยนความคิดวุ่นวายในหัวออกไป สายตาจับจ้องการต่อสู้ในลานบ้าน แต่กลับพูดกับเผยเฉียนว่า “ครั้งนั้นก่อนจะเข้าไปในเขตของภูเขาชิงจิ้ง ตอนที่พวกเราผ่านเมืองแห่งนั้น อันที่จริงข้าลืมพูดกับเจ้าว่าขอโทษ”


เผยเฉียนที่กำลังแทะเมล็ดแตงเงยหน้าขึ้น ถามอย่างไม่เข้าใจ “หมายถึงเรื่องแผ่นแป้งย่างหรือ? ทำไมต้องขอโทษข้าด้วยล่ะ?”


ตอนนั้นเผยเฉียนลากเหล่าเว่ยที่เป็นสหายครึ่งตัวของนางไปซื้อของกิน เฉินผิงอันกับพวกหลูป๋ายเซี่ยงสามคนกำลังเดินเล่นอยู่ในร้านขายหนังสือ รอจนเฉินผิงอันไปเจอเผยเฉียนก็พบว่าเด็กหญิงกำลังกัดกินแผ่นแป้งย่างคำใหญ่ มีสตรีแต่งงานแล้วแต่งตัวหรูหราคนหนึ่งกำลังชี้ไม้ชี้มือใส่พลางด่าเด็กหญิงผิวดำเกรียมเสียงดัง ข้างกายสตรีแต่งงานแล้วยังมีเด็กชายที่น้ำมูกน้ำตาไหลอาบหน้าอีกคนหนึ่ง สตรีแต่งงานแล้วด่าไม่หยาบคายนัก คงเป็นเพราะมาจากตระกูลผู้มีความรู้ คำพูดที่ใช้ด่าจึงประมาณว่าเผยเฉียนเป็นเด็กบ้านป่าที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน เหตุใดถึงได้เอาแต่ใจไร้เหตุผลถึงเพียงนี้ พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอนบ้างหรือไง ฯลฯ


ความคิดแรกของเฉินผิงอันคือเผยเฉียนก่อเรื่องอีกแล้ว จึงเดินหน้าเคร่งไปหานาง


เขากลัวอย่างยิ่งว่าเผยเฉียนที่อยู่ข้างกายตัวเองจะไม่เพียงแต่ไม่สามารถเรียนรู้หลักการเหตุผลในตำรา กลับกลายเป็นว่าอยู่กับตัวเองและจูเหลี่ยนสี่คนนานวันเข้าจะติดกลิ่นอายโอหังไป


ดังนั้นพอเดินไปถึงข้างกายเผยเฉียนแล้ว ประโยคแรกที่เขาพูดจึงค่อนข้างรุนแรง แม้ว่าจะไม่ได้ตำหนิโดยตรง แต่ฟังแล้วก็รู้ว่าเข้าข้างสตรีแต่งงานแล้วและเด็กชายคนนั้น


เผยเฉียนเองก็กลัวเฉินผิงอันอย่างมาก ไม่พูดไม่จาก็ยื่นแผ่นแป้งขนาดใหญ่ที่กินเหลือครึ่งหนึ่งไปให้สตรีแต่งงานแล้ว บอกว่านางไม่ต้องการแล้ว ยกให้เด็กคนนั้นแล้วกัน


สตรีแต่งงานแล้วโมโหอย่างหนัก ยิ่งเดือดดาลมากกว่าเดิม รู้สึกว่าถูกหมิ่นเกียรติ เห็นเฉินผิงอันเป็นผู้ปกครองของเผยเฉียนจึงสั่งสอนเขาไปพร้อมกันเลย คงเป็นเพราะเห็นว่าการแต่งตัวของเฉินผิงอันคล้ายลูกหลานคนมีเงิน สตรีแต่งงานแล้วจึงสำรวมกว่าเดิมเยอะมาก  คำด่าก็คลุมเครือไม่โจ่งแจ้ง


รอจนเว่ยเซี่ยนอธิบายให้ฟัง เฉินผิงอันถึงได้เข้าใจต้นสายปลายเหตุ เรื่องของเรื่องคือเผยเฉียนมาซื้อแผ่นแป้งย่างแผ่นสุดท้ายของที่ร้าน แล้วมีเด็กคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี เขาอยากกินมากเลยขอให้เผยเฉียนยกแผ่นแป้งให้เขา


เผยเฉียนหรือจะยอม จึงเริ่มโคลงศีรษะแทะแป้งย่าง จงใจพูดเสียงดังว่าโอ้โห อร่อยจังเลย อร่อยจริงๆ เด็กชายโมโหจนร้องไห้ สตรีแต่งงานแล้วเลยเริ่มด่า เพียงแต่เผยเฉียนไม่แยแสแม้แต่น้อย ยังคงกินแผ่นแป้งย่างอย่างมีความสุข สตรีแต่งงานแล้วยิ่งด่าเผยเฉียนก็ยิ่งอารมณ์ดี ส่วนเว่ยเซี่ยนก็ยืนมองอยู่ด้านข้าง ขอแค่สตรีแต่งงานแล้วไม่ลงไม้ลงมือ เขาก็ไม่สอดมือเข้ายุ่ง


หลังจากเฉินผิงอันรู้ความจริงแล้วก็จูงมือเผยเฉียนมา บอกให้สตรีแต่งงานแล้วขอโทษเผยเฉียน


สตรีแต่งงานแล้วโมโหเจียนบ้า ตะโกนโหวกเหวกว่าจะไม่ปล่อยให้เฉินผิงอันออกนอกเมือง


เฉินผิงอันจึงบอกนางว่าก็ลองทำดู


หลังจากสตรีแต่งงานแล้วทิ้งคำพูดข่มขู่เอาไว้ก็บอกเฉินผิงอันว่ารอก่อนเถอะ จากนั้นก็พาเด็กชายจากไปด้วยความขุ่นขึ้ง


ผลกลับกลายเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก รออยู่พักใหญ่ เฉินผิงอันไม่เห็นว่าจะมีใครมาหาเรื่องจึงพาคนทั้งกลุ่มออกมาจากเมืองแห่งนั้น


เฉินผิงอันลูบศีรษะเผยเฉียน “ควรจะพูดขอโทษเจ้า”


เผยเฉียนแปลกใจยิ่งนัก แม้แต่เมล็ดแตงก็หยุดแทะ ขยับจากม้านั่งเล็กมานั่งบนม้านั่งตัวยาวของเฉินผิงอัน กล่าวอย่างกระวนกระวายว่า “เหล่าเว่ยบอกว่าใต้หล้านี้ข้าวหัวขาด (หมายถึงอาหารมื้อสุดท้ายของนักโทษประหาร) อร่อยที่สุด ท่านพ่อ ท่านคงไม่คิดจะทิ้งข้าไว้ไม่สนใจใยดีอีกแล้วใช่ไหม? ก็เลยเอาคำพูดพวกนี้มาหลอกข้าก่อน?”


ด้วยความลืมตัวจึงเรียกพ่อออกมาโดยตรง เผยเฉียนยิ่งลนลานกว่าเดิม โยนเมล็ดแตงทิ้ง ยื่นมือมากำชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันไว้แน่น


เฉินผิงอันทำท่าจะเขกมะเหงกใส่นาง เผยเฉียนจึงหัวเราะทั้งน้ำตาทันที


ดีล่ะ ไม่มีอะไรแล้ว


เผยเฉียนปล่อยมือ ฝ่ามือสองข้างยันไว้บนม้านั่งตัวยาว แกว่งเท้าไปมา “เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว อาจารย์ถึงต้องมาขอโทษข้า ทำให้ข้าตกใจเกือบตายจริงๆ นะเนี่ย หากพูดตามภาษาชาวบ้านในบ้านเกิดเหล่าเว่ยก็คือ เรื่องใหญ่เท่าก้น แค่ฝนเม็ดบางๆ จะเอามาสระผมยังรังเกียจว่าไม่พอเลย”


เฉินผิงอันเองก็ใช้ฝ่ามือสองข้างยันม้านั่งตัวยาว พูดด้วยรอยยิ้ม “ยังจำคราวก่อนที่พวกเราขึ้นไปบนยอดเขาเทียนแจว๋ได้ไหม? รู้สึกว่าข้าทำตัวแปลกมากเลยใช่หรือไม่?”


เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง “จำได้ชัดเจนเลยล่ะ ตอนนั้นท่านทำเรื่องประหลาดอย่างหนึ่ง ยืนตัวตรงแน่ว แถมยังประคองปิ่นหยกบนศีรษะ นั่นคือการสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย สวมกวานให้ตรง (การแต่งตัวอย่างเรียบร้อยคือมารยาทอย่างหนึ่งที่ควรปฏิบัติต่อผู้อื่น) อย่างที่กล่าวถึงในตำราไม่ใช่หรือ คนพวกนั้นของตำหนักพยัคฆ์เขียว ท่านไม่รู้จักสักหน่อย แล้วก็ไม่ใช่บุคคลยิ่งใหญ่ที่ร้ายกาจอะไรด้วย ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ? ข้าคิดอยู่นานมาก แต่ก็ยังไม่เข้าใจ ตอนหลังก็เลยไม่คิดมันแล้ว”


สายตาของเฉินผิงอันเลื่อนลอย เงยหน้ามองไปยังทิศไกล พูดเบาๆ ว่า “ในอดีต ครั้งแรกที่ข้าได้เห็นเทพเซียนต่างถิ่นตรงประตูใหญ่ของเมืองเล็กบ้านเกิด พวกเขามีทั้งเด็กมีทั้งผู้ใหญ่ มีทั้งคนแก่มีทั้งเด็ก ตอนนั้นข้ายืนอยู่ข้างกายเจิ้งต้าเฟิง มีประตูใหญ่รั้วไม้กางกั้น ข้าสายตาดีมากมาตั้งแต่เด็ก ความจำก็ไม่เลวเหมือนกัน ดังนั้นจนกระทั่งถึงตอนนี้ ข้าจึงยังจดจำได้อย่างชัดเจน ตอนนั้นสายตาที่คนเหล่านั้นมองข้า ท่าทางของพวกเขา…”


เฉินผิงอันหยุดไปนาน สุดท้ายก็พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ดังนั้นหลังจากที่ข้าฝึกวิชาหมัดก็คิดมาโดยตลอดว่า วันหน้าหากตัวข้าเองกลายเป็นคนบนภูเขา ต้องห้ามเปลี่ยนไปเป็นเหมือนคนพวกนั้นเด็ดขาด ห้ามใช้สายตาแบบนั้นมองคนอื่น เมื่ออยู่บนที่สูงแล้วก็ห้ามใช้สายตามองมดตัวเล็กมามองโลกใบนี้ของพวกเรา”


นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันพูดหลักการนอกตำรากับเด็กหญิงผิวดำเกรียมที่อยู่ตรงหน้าอย่างจริงจัง ถือเป็นหลักการของเขาเฉินผิงอัน


เฉินผิงอันย่อตัวลงนั่งยอง เก็บเมล็ดแตงเหล่านั้นมาวางไว้กลางฝ่ามือของตัวเอง พอกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้งก็หยิบมาเม็ดหนึ่ง ยื่นส่งให้เผยเฉียนพลางพูดเหมือนไม่ใส่ใจ “ท่านั่ง คำพูดและการกระทำ หลักการและความเชื่อของพวกเราทุกคน…จะพูดอย่างไรดีล่ะ ก็เหมือนกำลังบอกให้โลกนี้รู้ว่าเจ้าอ่านหนังสือมามากน้อยแค่ไหน รู้หลักการและเหตุผลมากน้อยเท่าไหร่ ได้รับความยากลำบากมาแค่ไหน จดจำคำสอนไร้เสียงของพ่อแม่ได้มากเท่าไหร่ ดังนั้นข้าไม่ต้องการให้เวลาคนอื่นมองข้าแล้วรู้สึกว่า ที่แท้แล้วพ่อแม่ของเฉินผิงอัน และยังมีคนเหล่านั้นที่เฉินผิงอันเคารพนับถือจากใจจริง สุดท้ายก็ได้แค่อบรมสั่งสอนคนแบบนี้ออกมา”


เฉินผิงอันหันมายิ้มให้เผยเฉียน “ตอนนี้ยังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เจ้าอายุยังน้อย ข้าคิดว่าเจ้าอายุเท่านี้…”


เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด รู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง


หัวเราะแล้วเฉินผิงอันก็เอาเมล็ดแตงทั้งหมดให้เผยเฉียน พูดพึมพำกับตัวเองว่า “อาจารย์ของอาจารย์ฉีพูดถูกแล้ว อายุน้อยๆ ก็ควรทำตัวสดใสมีชีวิตชีวา ข้าทำไม่ได้ เพราะผ่านวัยนั้นมาแล้ว ดังนั้นข้าจึงหวังว่าเจ้าจะทำได้ เสี่ยวเป่าผิงที่สำนักศึกษาซานหยา เฉาฉิงหล่างที่พื้นที่มงคลดอกบัวล้วนสามารถทำได้ คนหนึ่งบนไหล่มีกิ่งหลิวกิ่งหยาง คนหนึ่งบนไหล่มีดอกไม้มีนกโบยบิน คนหนึ่งบนไหล่มีลมเย็นมีแสงจันทร์กระจ่าง คงจะดียิ่งนัก แค่ข้าคิดแบบนี้ก็มีความสุขมากแล้ว”


เผยเฉียนร้องว้าวหนึ่งที ก่อนจะหัวเราะหึหึ “ท่านพ่อ คนดีเหมือนท่าน หากวันหน้าข้าออกจากบ้านไปคนเดียวจะไปหาจากที่ไหนกันนะ”


จากนั้นเด็กหญิงก็เริ่มกลัดกลุ้ม “ก่อนหน้านี้ไม่นานตอนที่อยู่บนเรือแล้วได้แต่จ้องมองไป ไม่สามารถขึ้นไปเล่นบนท่าเรือเหล่านั้นได้ ข้าก็แอบมีความคิดหนึ่ง คิดว่าวันใดข้าโตแล้ว ฝึกวิชากระบี่ล้ำโลกเป็นแล้วก็จะบอกกับท่านพ่อว่า ‘ท่านพ่อ ขอม้าให้ข้าตัวหนึ่งเถอะ ข้าจะออกไปท่องยุทธภพแล้ว!’ แต่ภายหลังข้าก็คิดอีกว่า ม้าน่าจะแพงไปสักหน่อย ไม่แน่เสมอไปว่าท่านพ่อจะเต็มใจหามาให้ข้า ถ้าอย่างนั้นลาก็ได้ ล่อก็ยังดี! ยุทธภพข้างนอกกำลังรอข้าอยู่นะ! เสียงกู่ก้องร้องตะโกนกำลังรอข้าอยู่!”


แล้วเด็กหญิงก็ทอดถอนใจ “ตอนนี้ข้ากลับไปไม่อยากออกไปเที่ยวเล่นในยุทธภพแล้ว น่าสนใจตรงไหนกัน มีแต่คนเลวทั้งนั้น หรือไม่อย่างนั้นก็ไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่”


เฉินผิงอันเองก็แกว่งเท้าทั้งสองข้าง พูดด้วยรอยยิ้ม “แต่เจ้าก็พบเจอข้าในยุทธภพไม่ใช่หรือ? ถูกไหม?”


หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กเล็กแกว่งเท้าทั้งสองข้างไปพร้อมกัน เผยเฉียนคิดอยู่นานก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า “แต่ข้าไม่อยากเจอคนอื่นแล้วนี่นา”



 

 

 


บทที่ 364.1 ใครมีกระบี่ให้ข้ายืม

 

ร้านยาฮุยเฉินกลับคืนสู่ความครึกครื้นอย่างในอดีตอีกครั้ง


เจิ้งต้าเฟิงป้อนหมัดไปได้ครึ่งชั่วยามก็บอกให้คนสี่คนในภาพวาดพักหายใจหายคอกันก่อน หลังจากนั้นก็เป็นอย่างนี้ไปอย่างต่อเนื่อง เจิ้งต้าเฟิงกดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตแปดอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละนิด จากแรกเริ่มสุดที่เป็นขอบเขตเดินทางไกลช่วงต้น ถึงท้ายที่สุดก็เป็นขอบเขตแปดขั้นสูงสุดที่ไร้ตำหนิ เผชิญหน้ากับการร่วมมือกันโจมตีของเว่ยเซี่ยนสี่คนที่ยิ่งนานก็ยิ่งเข้าขากันขึ้นเรื่อยๆ เจิ้งต้าเฟิงก็เริ่มไม่ผ่อนคลายขึ้นทุกที สี่คนยังคงไม่พูดไม่จาอะไรสักคำ ต่อให้เป็นช่วงเวลาหยุดพักก็ยังยืนแยกกัน ต่างคนต่างมีเรื่องให้ใคร่ครวญ ทุกอย่างล้วนตกอยู่ในความเงียบ


เผยเฉียนเป็นคนไม่คิดอะไรมาก กินอาหารเย็นคัดตัวอักษรเสร็จก็ใช้ไม้เท้าเดินป่าร่ายกระบวนท่าวิชากระบี่อันบ้าคลั่งที่ตนบรรลุมาอยู่ใต้ชายคาห้อง จากนั้นก็ไปนอนหลับในห้องด้านข้างอย่างพึงพอใจ ก่อนจะไปนอน นางได้บอกกับเฉินผิงอันก่อนแล้วถึงได้เปิดหีบไม้ไผ่สีเขียวของเฉินผิงอันที่วางอยู่ในห้องของนาง หยิบเอากล่องเก็บสมบัติที่เหยาจิ้นจือมอบให้ออกมา ดูชิ้นนี้ มองชิ้นนั้น บนหน้าผากยังแปะยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่เป็นของนางอย่างแท้จริงแล้วแผ่นนั้น โคลงศีรษะไปมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ วันนี้ตนมีเงินแล้ว ยื่นมือไปลูบคลำยันต์ที่อยู่บนศีรษะก็รู้สึกกลุ้มเล็กน้อย ทั้งๆ ที่หากขายมันก็สามารถซื้อบ้านหลังใหญ่ได้ แต่กลับตัดใจขายไม่ลง ช่างเถิด รอให้มีแผ่นที่สองก่อนค่อยว่ากัน ถึงอย่างไรทุกวันนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารเสื้อผ้าแล้ว มีบ้านก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่นางคิดมาดีแล้วว่า วันหน้าตนจะต้องมีบ้านหลังใหญ่เหมือนจวนปี้โหยวของเจ้าแม่เทพวารีที่หุ่นเหมือนฟักแคระผู้นั้นให้จงได้ แล้วก็ต้องมีกำแพงประหลาดแบบนั้นด้วย เวลาที่คนเข้ามาในบ้านก็จะรู้ได้ทันทีว่านางมีเงิน


คืนแรกที่คนทั้งกลุ่มมาพักที่ร้านยา เทพหยินแซ่จ้าวก็เอาแผนที่กลับมาหลายแผ่น ไม่รู้เหมือนกันว่าไปหามาจากไหน ตอนนี้ถูกคลี่วางไว้อยู่บนโต๊ะในห้องหลักอย่างเป็นระเบียบ ภายใต้แสงไฟจากตะเกียง หลูป๋ายเซี่ยงขอพู่กันปลายแข็งด้ามเล็กมาจากเจิ้งต้าเฟิง แล้วจึงเริ่มเขียนคำอธิบายรายละเอียดด้วยชาดแดงไว้ด้านบนคล้ายกำลังจัดขบวนทัพ ห้าแซ่ใหญ่ของนครมังกรเฒ่าต่างก็มี ‘หน้าด่าน’ เป็นของตัวเอง มีการ ‘กระจายกองกำลังทหาร’ ของผู้ถวายงานเซียนดินโอสถทอง จากนั้นก็วาดเส้นตรงเส้นหนึ่งระหว่างแท่นมังกรกับร้านยาฮุยเฉิน


เว่ยเซี่ยนเองก็อยู่ด้วย แต่จูเหลี่ยนและสุยโย่วเปียนกลับไม่ได้เข้าร่วม คนหนึ่งอาศัยแสงจันทร์นั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ชายคา อีกคนหนึ่งยืนอยู่ในลานบ้านกำลังหล่อหลอมปราณแท้จริงที่บริสุทธ์ซึ่งอยู่ในช่องโพรงลมปราณ


ส่วนเจิ้งต้าเฟิงนั้นไปนอนที่ห้องด้านข้างแล้ว เสียงกรนดังสนั่นราวเสียงฟ้าผ่า นัดหมายกับทุกคนไว้เรียบร้อยแล้วว่าอีกสองชั่วยามจะลุกมาป้อนหมัดต่อ


ป้อนหมัด เป็นทั้งการขัดเกลาตบะวิถีวรยุทธ์ของคนทั้งสี่ ขยับขอบเขตให้สูงขึ้นไปอีกระดับ ขณะเดียวกันก็ช่วยให้คนทั้งสี่ดูดซับประสิทธิผลของยาจากตำหนักพยัคฆ์เขียวได้ด้วยความเร็วที่มากที่สุด


การค้าครั้งนี้ เฉินผิงอันเป็นฝ่ายได้กำไร


เฉินผิงอันยืนอยู่ข้างโต๊ะตลอดเวลา มองหลูป๋ายเซี่ยง เว่ยเซี่ยนและเทพหยินแซ่จ้าวที่เดี๋ยวก็วาดวงกลม เดี๋ยวก็ชี้นิ้วจิ้มไปตามตำแหน่งต่างๆ บนแผนที่แต่ละแผ่น น้อยครั้งที่เขาจะเสนอความคิดเห็น ภายใต้สถานการณ์ที่คนสองคนและหนึ่งเทพหยินถกเถียงกันในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง อย่างมากสุดเฉินผิงอันก็แค่เลือกระหว่างข้อที่ดีกับข้อที่ดียิ่งกว่า ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินใจ นับว่าเป็นงานที่สบายไม่น้อย


การเดินทางไกลครั้งสุดท้ายในพื้นที่มงคลดอกบัวที่ต้อง ‘เดินอยู่ริมแม่น้ำกาลเวลาสายยาว’ นั้น ไม่เพียงแต่หนทางยาวไกล วันเวลาที่ผ่านพ้นมาก็ยิ่งยาวนานมากกว่า แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เฉินผิงอันก็กล้าพูดแค่ว่าพอจะเข้าใจหลักครองตนในสังคมโลกมนุษย์ได้บ้างเล็กน้อย รู้ถึงความสูงส่งของราชสำนักและความกว้างไกลของยุทธภพบ้างนิดหน่อย สำหรับการวางแผนการรบอย่างละเอียดนี้ เฉินผิงอันไม่มีทางเจ้ากี้เจ้าการ ยกให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงก็พอแล้ว เว่ยเซี่ยนไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก เขามีชาติกำเนิดมาจากสมรภูมิรบ ส่วนหลูป๋ายเซี่ยงก็คือมีผู้พรสวรรค์รอบด้านเป็นอันดับหนึ่งของโลกอย่างที่หาได้ยาก เชี่ยวชาญกลยุทธ์การวางแผน คุ้นเคยกับแก่นแท้ของสามลัทธิในพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างขงจื๊อ พุทธ และเต๋า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องพิณ หมากล้อม อักษรและภาพวาดเลย ตอนนี้บรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาของลัทธิมารท่านนี้อาจขาดแค่สิ่งเดียวนั่นคือ เขาเพิ่งจะมาเยือนใต้หล้าไพศาลเป็นครั้งแรกจึงยังไม่อาจขึ้นไปยืนบนยอดเขาได้ก็เท่านั้น


เพียงแต่ว่าเดินจากตีนเขาไปกึ่งกลางภูเขา แล้วค่อยเดินขึ้นไปบนยอดเขาอีกที บนเส้นทางของการฝึกตน ยิ่งเดินไปก็ยิ่งพบคนน้อยลงทุกที หากเดินแยกไปทางผิด เดินไปถึงปลายทางของทางหัวขาดบางเส้น แต่กลับต้องมาเห็นคาตาตัวเองว่าคนอื่นได้เดินขึ้นไปบนยอดเขาสูงต่อ ควรจะทำอย่างไรดี?


ดังนั้นการที่สุยโย่วเปียนมีความดึงดันต่อตำแหน่งที่สูงที่สุดของขอบเขตวิถีวรยุทธ์ จากที่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ซึ่งเป็นความสำเร็จสูงสุดในอนาคตกลับต้องถดถอยลงมายังขอบเขตเก้า สภาพจิตใจแทบจะยุบพังถล่ม จิตแห่งกระบี่แตกสลาย เฉินผิงอันจึงพอจะเข้าใจความโกรธแค้นของนางได้ แต่กลับไม่เห็นด้วย เจิ้งต้าเฟิงพูดแย้มยิ้มกับคนทั้งสี่ว่า ‘ขอบเขตเก้าเท่านั้น น่าขันแล้วๆ’ เป็นเพราะเขาคิดว่าขอบเขตเก้าคือผักกาดขาวหัวใหญ่ที่วางขายข้างถนนจริงๆ น่ะหรือ? เจิ้งต้าเฟิงคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหยางเหล่าโถว! ขนาดคนเฝ้าประตูของถ้ำสวรรค์หลีจูก็เกือบจะธาตุไฟเข้าแทรกบนธรณีประตูของขอบเขตเก้าเหมือนกัน


ศึกที่หน้าวัดร้าง สุยโย่วเปียนเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตร่างทองถือว่ามีโชควาสนายิ่งใหญ่มานอนรออยู่ในกระเป๋าแล้ว แต่กระนั้นสายตาของนางก็ยังมีแต่ทัศนียภาพในจุดที่สูงที่สุด เมื่อเทียบกับการเหยียบย่างลงบนพื้นอย่างมั่นคง ค่อยๆ เดินทีละก้าวขึ้นสวรรค์อย่างที่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวของใต้หล้าไพศาลให้ความสำคัญแล้ว อันที่จริงก็ถือว่านางวิ่งไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม (เปรียบเปรยว่ายิ่งเดินก็ยิ่งอยู่ห่างไกลจากเป้าหมาย)


เพียงแต่เฉินผิงอันไม่คิดว่าเหตุผลของตัวเองจะสามารถทำให้เซียนกระบี่หญิงจากพื้นที่มงคลดอกบัวยอมศิโรราบทั้งกายและใจได้อย่างแท้จริง แต่ก็ไม่เป็นไร กระบี่ชือซินเป็นของเขาเฉินผิงอัน ยาจากตำหนักพยัคฆ์เขียวก็เป็นของเขาเฉินผิงอัน จะมอบให้สุยโย่วเปียนหรือไม่ จะมอบให้เมื่อไหร่ จะมอบให้อย่างไร ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเฉินผิงอันทั้งสิ้น


ไม่มีใครติดค้างนางสุยโย่วเปียน


ภายใต้แสงตะเกียง บนแผนที่หลายแผ่น เส้นทางหลักเส้นหนึ่งได้ถูกจัดระเบียบไว้แล้ว เสียงถกเถียงในห้องเบาลงทุกที เฉินผิงอันจึงเดินออกจากห้องไปสูดอากาศข้างนอก


เดินผ่านลานบ้านไปนั่งม้านั่งตัวยาวใต้ชายคาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องหลัก


การจัดวางของร้านยาฮุยเฉินคล้ายกับร้านยาตระกูลหยางที่บ้านเกิดอย่างมาก ตอนที่เฉินผิงอันเดินไปหาม้านั่งยาวตัวนั้นก็ไพล่นึกไปถึงปีนั้นตอนที่อาจารย์สอนหนังสือมาพบหยางเหล่าโถวเป็นครั้งแรก เขาหุบร่ม แล้วก็น่าจะนั่งอยู่ในตำแหน่งประมาณนี้เช่นกัน


พบเห็นความอยุติธรรมบนโลก ผู้ที่รักความยุติธรรม คือผู้ที่ยากจะทำใจให้สงบได้มากที่สุด


หากเปลี่ยนไปเป็นพวกเกาซื่อเจิน หลิวจง จะต้องรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องอยุติธรรมใดๆ แค่นิ่งดูดายชมเรื่องสนุกอยู่ด้านข้างก็พอแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะยังฉวยโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วม ดูสิว่าจะสามารถแบ่งน้ำแกงถ้วยหนึ่งมาได้หรือไม่ (แบ่งน้ำแกงเปรียบเปรยถึงการแบ่งผลประโยชน์)


หากเปลี่ยนไปเป็นพวกเจียงซ่างเจิน อาจจะรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องอะไรเลย แค่จะมองให้นานอีกนิดก็ยังรู้สึกว่าถ่วงเวลาการฝึกตน


สำหรับการต่อสู้ฝ่าวงล้อมสังหารที่วัดร้าง ต่อให้เฉินผิงอันจะสูญเสียทรัพย์สิน ขาดทุนไปถึงบ้านยาย (เปรียบเปรยว่าขาดทุนอย่างหนัก) แต่เขากลับไม่รู้สึกเคียดแค้นสักเท่าไหร่ แน่นอนว่าแม้ไม่เคียดแค้นก็ไม่ได้หมายความว่าตอนออกหมัดจะใจอ่อน


แต่จนถึงตอนนี้เจียงซ่างเจินก็อาจจะยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดเฉินผิงอันที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวถึงได้เกิดจิตคิดสังหารโจวซื่อและยาเอ๋อร์


ต่อให้เป็นเจิ้งต้าเฟิงที่เวลานี้กำลังหลับสนิท เกรงว่าก็คงไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงต้องยื่นมือเข้ามายุ่งกับสถานการณ์วุ่นวายของนครมังกรเฒ่าครั้งนี้


อันที่จริงเหตุผลนั้นง่ายมาก หากทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพสูสีกัน ถ้าเช่นนั้นมหามรรคาไม่สอดคล้อง ต่างคนต่างมีเหตุผลในการกระทำ เจ้าไปข้ามา ต่างคนต่างอาศัยความสามารถในการเข่นฆ่าสังหาร แผนลับหรือแผนโจ่งแจ้ง ใครเป็นใครตาย เขาเฉินผิงอันล้วนสามารถยอมรับได้


แต่พ่อแม่ของเฉาฉิงหล่าง ศีรษะสองหัวที่ถูกโจวซื่อและยาเอ๋อร์โยนลงบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ เลือดสดไหลนอง


และยังมีแม่นางน้อยร้านยาที่ต้องตายด้วยน้ำมือของลูกหลานตระกูลฟาง


ไม่ว่าเจ้าติงอิง หรือเจ้าตระกูลฟางมีกี่พันกี่หมื่นเหตุผลและข้ออ้างที่สามารถพูดโน้มน้าวให้ตัวเอง ให้สองใต้หล้าเชื่อ พวกเขาสามคนนี้ก็ยังไม่ควรเผชิญกับหายนะเช่นนี้


ตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่รู้ว่าฉีจิ้งชุนเคยดื่มเหล้าชั้นเลวในบ้านของหลี่ไหว เคยพูดกับหลี่เอ้อร์ว่า ปล่อยหมัดใส่ผู้ที่แข็งแกร่งกว่า คือผู้กล้าที่แท้จริง


รู้เพียงว่าก่อนที่อาเหลียงจะบินทะยานเคยพูดกับทุกคนว่า ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงคนใดก็ตาม ควรจะต้องใช้อิสระเสรีของผู้อ่อนแอเป็นขอบเขต


การพบพราก ความสุขความทุกข์บนโลกมนุษย์มีมากมายนับพันนับหมื่น ต่างคนต่างก็มีโชควาสนาและหายนะแตกต่างกันไป บนโลกไม่มีใบไม้สองใบที่เหมือนกัน และไม่มีลำคลองหนึ่งสายที่เหมือนกัน


ทว่าเหตุผลบางอย่างนั้นเชื่อมโยงถึงกันได้


ลู่ไถพูดกับสตรีแต่งงานแล้วที่น่าสงสารของป้อมอินทรีบินซึ่งมี ‘ทารกผีก่อกำเนิดในหัวใจ’ ผู้นั้นว่า ‘โลกมนุษย์น่าเบื่อ สู้ไม่มาเยือนเสียยังดีกว่า’


เฉินผิงอันใคร่ครวญแล้วก็รู้สึกว่า หาใช่โลกมนุษย์น่าเบื่อไม่ แต่เป็นเพราะคนที่ไม่คิดจะใช้เหตุผลมีมากเกินไป


คนดีเสียเปรียบ จึงได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าการเสียเปรียบคือโชค ได้แต่บอกเตือนตัวเองว่ายินดีล่วงเกินวิญญูชน แต่จะไม่ล่วงเกินคนถ่อย ส่วนคนชั่วทำชั่วก็ยังไม่รู้ว่าชั่ว ถึงขั้นที่รู้ว่าชั่วร้ายแต่ก็ยังทำ


เฉินผิงอันนั่งบนม้านั่งตัวยาว ในห้องยังคงปรึกษากันทุกรายละเอียด เทพหยินแซ่จ้าวคุ้นเคยกับกองกำลังในนครมังกรเฒ่าเป็นอย่างดี ดังนั้นเว่ยเซี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยงจึงอยู่ฝ่ายเดียวกัน ส่วนเทพหยินนั้นเอาตัวเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ ‘สาธิต’ วิธีการจู่โจมจากกองกำลังต่างๆ ในมุมของตระกูลฝูที่จะเล่นงานร้านยาฮุยเฉิน ส่วนเว่ยเซี่ยนกับหลูป๋ายเซี่ยงก็ต้องคิดหาวิธีรับมือพลิกแพลงไปตามสถานการณ์


จูเหลี่ยนนั่งอ่านนิยายรักประโลมโลกที่เขาชอบมากที่สุดอยู่ใต้ชายคา หนังสือเล่มใหม่ที่เขาเพิ่งซื้อมาได้มานานกลับถูกเขาพลิกเปิดอ่านซ้ำไปซ้ำมาจนกลายเป็นหนังสือเก่า เวลานี้กำลังพร่ำพูดว่า ‘ผลงานที่มีมโนธรรม ผลงานที่มีมโนธรรม’ ที่แท้ในหน้าสุดท้ายของนิยายบุรุษมากความสามารถสตรีงดงามที่ถูกจัดพิมพ์อย่างหยาบๆ แค่มองชื่อผู้แต่งก็รู้ว่าจอมปลอมอย่างมากเล่มนี้ ได้เขียนชื่อตำรา ‘ผลงานชิ้นเอก’ ซึ่งเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันไว้อีกยาวเหยียด และยังมีคำวิจารณ์ที่ช่วยเพิ่มความสมบูรณ์อีกสองสามประโยค ดังนั้นคืนนี้เมื่อผู้เฒ่าปิดหน้าหนังสือลงอีกครั้ง จึงทอดถอนใจออกมาจากใจจริงว่า “คนดีมีชีวิตสงบสุขปลอดภัย”


กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าหลังค่อมก็หันไปยิ้มประจบให้เฉินผิงอัน “นายน้อย บ่าวเฒ่าล่วงเกินแล้ว วันหน้าจะระวังให้มาก”


เฉินผิงอันโบกมือยิ้มๆ ก่อนเอ่ยเตือนว่า “เรื่องนั้นจำไว้ว่าช่วยเก็บเป็นความลับให้ข้าด้วย”


จูเหลี่ยนกล่าวอย่างละอายใจ “เป็นบ่าวเฒ่าที่ความสามารถต่ำต้อยความรู้ตื้นเขิน หลายวันมานี้มโนธรรมในใจไม่เคยได้สงบสุข ไหนเลยจะกล้าเอามาแพร่งพราย”


เฉินผิงอันไม่ต่อปากต่อคำกับเขา


ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนเรือข้ามฟากยอดเขาเทียนแจว๋ เฉินผิงอันครุ่นคิดว่าจะส่งจดหมายจากภูเขาห้อยหัวไปถึงโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย จากนั้นก็ให้เถ้าแก่ของที่นั่นช่วยนำไปส่งมอบให้แก่ชายฉกรรจ์อุ้มกระบี่ ดูว่าจะสามารถส่งไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วมอบให้แก่แม่นางหนิงได้หรือไม่ เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่คิดจะจรดพู่กันล้วนยากลำบาก ด้วยไม่รู้ว่าควรจะเขียนจดหมายฉบับนี้อย่างไร ลังเลจนถึงท้ายที่สุดก็เลยไปหาจูเหลี่ยนที่มีความสามารถในการใช้ ‘คำพูดธรรมดาทำให้คนหวั่นไหว’ ได้มากที่สุด แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าจูเหลี่ยนคนนี้ เดิมทีคิดว่าเขาเป็นบุรุษเจ้าเสน่ห์ สุดท้ายดันกลายมาเป็นตาเฒ่าบ้ากามในสายตาของสุยโย่วเปียนจริงๆ คำแนะนำที่เขามอบให้ หากไม่ทำให้เฉินผิงอันขนลุกขนชัน ก็ทำให้เขาเหงื่อแตกท่วมศีรษะ ได้แต่กลับห้องมามือเปล่า


ในลานบ้าน สุยโย่วเปียนชักกระบี่ออกจากฝัก ใช้ปลายนิ้วดีดกระบี่


นางเอียงหูฟังเสียงติ้งที่ดังขึ้น


สตรีที่ไม่น่าเข้าใกล้ที่สุดในกลุ่ม เวลานี้กลับคลี่ยิ้มอย่างที่หาได้ยาก


 เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สุยโย่วเปียน เจ้ายิ้มแบบนี้ก็ดูดีมากนี่นา ทำไมวันๆ ต้องเอาแต่ทำหน้าบึ้งตั้งแต่เช้าจรดเย็น วันหน้ามีโอกาสข้าจะแนะนำเซียนกระบี่ให้เจ้ารู้จัก”


คำพูดที่ออกมาจากใจจริง แม้มาจากความหวังดี แต่ไม่ควรข้ามขีดจำกัดของมารยาท


สุยโย่วเปียนเก็บกระบี่เข้าฝัก หันหน้ามามองเฉินผิงอัน แค่นหัวเราะเสียงเย็น “หางจิ้งจอกโผล่ออกมาแล้วรึ? ทำไม อยากให้ข้าช่วยอุ่นผ้าห่มให้เจ้าด้วยหรือเปล่า?”


เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ “อย่าเลย ข้าน่ะขี้ขลาดจะตาย”


จูเหลี่ยนยิ้มตาหยี “ยินดีติดตามอาจารย์ขึ้นแท่นสวรรค์ ยามว่างกวาดบุปผาร่วงโรยอยู่กับเซียน กลอนดี นายน้อย ไม่ทราบว่าท่านเป็นอาจารย์หรือเป็นเซียนกันล่ะ?”


เฉินผิงอันได้ยินคำพูดประจบต่ำช้าจากเจ้าเฒ่าสารเลวจูเหลี่ยนก็รู้แล้วว่าเรื่องกำลังจะบานปลายย่ำแย่ แล้วก็จริงดังคาด สีหน้าของสุยโย่วเปียนเยียบเย็น ปราณสังหารผุดพุ่ง คงเป็นเพราะกำลังคิดว่าจะฟันใครให้ตายก่อนด้วยกระบี่เดียว



 

 

 


บทที่ 364.2 ใครมีกระบี่ให้ข้ายืม

 

ใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันและจูเหลี่ยนเหมือนถูกทาน้ำมันในเวลาเดียวกัน คนหนึ่งวิ่งปรู๊ดเข้าห้อง อีกคนวิ่งฉิวเข้าไปในร้านยาด้านหน้า


สุยโย่วเปียนแค่นเสียงดังหึแล้วกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง เผยเฉียนหลับไปแล้ว คงเป็นเพราะเคยชินที่จะอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะทุกข์ยากลำบากแค่ไหนก็ไม่มีใครสนใจใยดี อีกทั้งยังมีผืนฟ้าเป็นมุ้ง ผืนดินเป็นฟูกนอน หรือไม่ก็ไปนอนอยู่บนสิงโตหินหน้าบ้านคนรวย ท่านอนของนางจึงไม่เรียบร้อยอย่างยิ่ง มือเท้ากางอ้า ผ้าห่มจะรั้งความอบอุ่นไว้ได้อย่างไร สุยโย่วเปียนขมวดคิ้ว เดินเข้าไปหาเบาๆ ช่วยขยับมือและเท้าให้เด็กหญิงพร้อมกับเหน็บชายผ้าห่มให้นาง


สุยโย่วเปียนจุดตะเกียง นั่งอยู่ข้างโต๊ะเพียงลำพัง รอบด้านเงียบสงัด มีเพียงกระบี่อยู่เคียงกาย


คืนนี้เฉินผิงอันนอนในร้านยา ปูผ้านอนบนพื้น หลับไม่สนิทนัก


เจิ้งต้าเฟิงที่อยู่ในลานบ้านคอยป้อนหมัดให้คนทั้งสี่อยู่เป็นระยะ


เฉินผิงอันหลับตาลง ฟังเสียงปณิธานหมัดที่ไหลริน บ้างก็เบา บ้างก็หนัก ล้วนทำให้เกิดคลื่นกระเพื่อมในจิตใจราวกับมีคนมาเคาะประตูบ้าน


ในตรอกแถบนี้ หนึ่งค่ำคืนผ่านไปอย่างสงบสุข


สำหรับเรื่องนี้ตระกูลฝูยังพอจะมีเกียรติอยู่บ้าง อีกอย่างศึกใหญ่กำลังจะเปิดฉากขึ้น ต่อให้มีคนที่มีศักยภาพมากพอจะบุกเข้ามาในตรอกเพื่อท้าทายเจิ้งต้าเฟิง แต่ทำอย่างนั้นก็เท่ากับตบหน้าตระกูลฝู และตอนนี้ใบหน้าของตระกูลฝูในนครมังกรเฒ่าก็แทบจะเท่ากับหน้าของสกุลเจียงอวิ๋นหลินแล้ว หากไม่เป็นเพราะสาเหตุนี้ ฝูฉีก็ไม่มีทางนัดต่อสู้กับเจิ้งต้าเฟิงที่แท่นมังกรด้วยตัวเอง


เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าสรุปแล้วฝูฉีสามารถบังคับอาวุธเซียนได้กี่ชิ้น คือเรื่องที่สำคัญในสำคัญซึ่งในห้องหลักปรึกษากันก่อนหน้านี้


ลูกหลานตระกูลฝูขอบเขตโอสถทองสามารถบังคับอาวุธกึ่งเซียนที่ควบคุมได้ยากยิ่ง อีกทั้งอาวุธกึ่งเซียนอาจถึงขั้นแว้งกลับมาโจมตีคนบังคับได้ เดิมทีนี่เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากอยู่แล้ว เพียงแต่ว่านานวันเข้าโลกภายนอกกลับให้การยอมรับไปโดยปริยาย


เฉินผิงอันตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ เจิ้งต้าเฟิงนั่งกินโจ๊กอยู่หน้าประตูห้องหลัก เผยเฉียนนั่งยองอยู่ข้างๆ กำลังซุบซิบกันเบาๆ ไม่รู้ว่าพวกเขาสนิทสนมกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่


หลูป๋ายเซี่ยงดีดพิณอยู่ในห้องของตัวเอง มีท่วงทำนองของสายน้ำไหลรินท่ามกลางขุนเขาสูง


เว่ยเซี่ยนฝึกเดินนิ่งหกก้าวที่แอบลักจำมาจากเฉินผิงอันอยู่ในลานบ้าน สุยโย่วเปียนก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ นางก็ฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูอยู่เช่นกัน


จูเหลี่ยนพอจะมีคุณธรรมอยู่ข้าง เขายกโจ๊กขาวถ้วยใหญ่มาให้เฉินผิงอัน บอกว่านายน้อยลองชิมฝีมือของข้าดู เฉินผิงอันนั่งกินโจ๊กบนม้านั่งตัวยาว ฟ้าเริ่มสว่างทีละนิด เขารู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวา


เดินไปเปิดประตูร้านที่อยู่ด้านหน้า ร้านยาฮุยเฉินก็เท่ากับเปิดร้านรับลูกค้าแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าจะมีลูกค้าหรือไม่ เช้าตรู่แบบนี้กลับบอกได้ยากจริงๆ


เฉินผิงอันเปิดประตูแล้วก็ฝึกท่าหมัดเดินนิ่งอยู่ในตรอก เดินไปเรื่อยจนถึงหัวเลี้ยว จากนั้นก็เดินย้อนกลับ หลังจากเดินปล่อยหมัดวนกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้จนครบเป็นรอบที่สามก็มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในคลองจักษุของเขา


หนึ่งในนั้นคือคนคุ้นเคยจึงไม่แปลกใจ ส่วนอีกคนไม่คุ้นหน้านัก แต่กลับเป็นหญิงสาวที่เฉินผิงอันจดจำได้เป็นอย่างดี การปรากฏตัวของนางค่อนข้างอยู่เหนือการคาดการณ์ไปสักหน่อย


คนหนุ่มก็คือฟ่านเอ้อร์ ข้างกายเขาคือหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียว ตอนนั้นที่อยู่ในเส้นทางเรือมังกรเดินใต้ดิน เรือข้ามฟากสองลำแล่นสวนกัน เฉินผิงอันเคยเห็นนาง นางยังมีความสามารถในการควบคุมกาเหล้าให้ลอยกลางอากาศด้วยมือเดียวด้วย


ฟ่านเอ้อร์มองเห็นเฉินผิงอันแต่ไกลก็พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “เฉินผิงอัน กล้าประมือกับข้าฟ่านเอ้อร์ขอบเขตสี่หรือไม่?”


เฉินผิงอันหยุดอยู่หน้าร้านยา ส่ายหน้าตอบ “ไม่กล้า”


“เจ้าและข้าต่างก็เป็นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตสี่ ในเมื่อพบเจอกันบนทางแคบ แต่กลับไม่ต่อสู้กันให้สาแก่ใจ จะไม่ทำให้โลกใบนี้มีเรื่องน่าเสียดายเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหรอกหรือ!”


ฟ่านเอ้อร์ใช้กระบวนท่าหมัดหวังปาต่อยสะเปะสะปะให้อาจารย์ผู้เฒ่าตาย (เปรียบเปรยถึงความไม่เป็นระเบียบ ไร้กฎเกณฑ์ มั่วซั่วส่งเดช) เป็นการเปิดฉาก ปากก็ร้องย๊ากๆๆ กางเล็บแยกเขี้ยวพุ่งเข้าใส่เฉินผิงอัน


เฉินผิงอันยกมือกุมขมับ ได้แต่เดินนิ่งไปข้างหน้าช้าๆ ให้ความร่วมมือกับฟ่านเอ้อร์ด้วยการร่วม ‘ศึกตัดสินขั้นสูงสุดระหว่างปรมาจารย์ใหญ่’ ครั้งนี้


โชคดีที่ฟ่านเอ้อร์เพิ่งวิ่งออกมาได้สิบกว่าก้าวก็ถูกสตรีชุดเขียวผู้นั้นยื่นมือมาดึงคอเสื้อ จับตัวเขาโยนไปด้านหลังนาง “อย่ามาทำตัวน่าอับอายขายหน้าอยู่แถวนี้ เก่งจริงก็ไปปล่อยกระบวนท่าที่แท่นมังกรโน่น”


ฟ่านเอ้อร์เดินไปอยู่ด้านหลังนางแต่โดยดี ยักคิ้วหลิ่วตาให้เฉินผิงอันอย่างคนขี้เล่น


เฉินผิงอันหยุดเดิน กล่าวอย่างสงสัย “เจ้าคือพี่สาวฟ่านเอ้อร์ ฟ่านจวิ้นเม่า?”


ตรงเอวฟ่านจวิ้นเม่าก็ผูกกาเหล้าไว้เหมือนกัน นางไม่หยุดเดิน หัวเราะเสียงเย็นตอบว่า “ข้าไม่ได้อยากมีน้องชายแบบนี้หรอก แต่บังคับไม่ให้พ่อข้าและแม่รองคลอเคลียนัวเนียกันไม่ได้”


ฟ่านเอ้อร์หัวเราะคิกคักอย่างคนที่ไม่คิดอะไรมาก


เฉินผิงอันถอนหายใจอยู่ในใจ แต่จากนั้นก็วางใจลงได้ บางทีคงมีแค่ฟ่านจวิ้นเม่าที่นิสัยเช่นนี้ถึงจะทำให้ฟ่านเอ้อร์ชอบและเคารพจากใจจริงได้กระมัง หากเป็นสตรีในห้องหอที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย เขาก็อาจจะชอบ แต่ฟ่านเอ้อร์น่าจะไม่ถึงขั้นเคารพเลื่อมใสพี่สาวของเขาจากก้นบึ้งของหัวใจขนาดนี้


ฟ่านจวิ้นเม่าไม่คิดจะเดินเข้าไปในร้านยา นางเพียงชี้นิ้วไปที่นั่น “ฟ่านเอ้อร์ เข้าไปรอข้างใน”


ฟ่านเอ้อร์ร้องตอบอยู่สองทีแล้ววิ่งตุปัดตุเป๋เข้าไปในร้านยา ตอนที่เดินสวนไหล่กับเฉินผิงอันเขาเสี่ยงตายพูดเตือนว่า “ทำใจเสียเถอะนะ”


เฉินผิงอันกล่าวอย่างตกตะลึง “คุณหนูฟ่าน เจ้าคงจะไม่ใช่…”


ไม่รอให้เฉินผิงอันพูดจบ ฟ่านจวิ้นเม่าก็พยักหน้า “เจ้าเดาถูกแล้ว คือข้าเอง คราวก่อนที่พวกเราพบกัน เจ้าเดินทางลงใต้ ข้าเดินทางขึ้นเหนือไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูบ้านเกิดของเจ้า คนที่ไปพบก็คือตาเฒ่าหยางผู้นั้น สำหรับเจิ้งต้าเฟิง เขาไม่ค่อยสนใจนัก บอกว่าปล่อยให้ใช้ชีวิตไปตามยถากรรมในนครมังกรเฒ่า แต่กับเจ้า เขากลับพูดถึงเป็นพิเศษ บอกว่าหากข้าสนใจก็สามารถลองมองดูเจ้าให้มากหน่อยได้”


สำหรับท่าทีที่หยางเหล่าโถวมีต่อเจิ้งต้าเฟิง เจิ้งต้าเฟิงไม่อยากหลอกเฉินผิงอันด้วยเรื่องแบบนี้ เมื่อคืนวานจึงเล่าให้ฟังอย่างชัดเจน บอกว่าผู้เฒ่าทิ้งค่ำขู่ไว้นานแล้วว่า หากลูกศิษย์ที่ไม่เป็นโล้เป็นพายอย่างเขาตายไปก็ห้ามแพร่งพรายรากฐานของตัวเองเด็ดขาด


เป็นเหตุให้ความทรงจำทั้งหมดที่ฝูหนันหัวมีต่อเจิ้งต้าเฟิงก็คือคนเฝ้าประตูของถ้ำสวรรค์หลีจูที่เอ้อระเหยลอยชาย


ฟ่านจวิ้นเม่าตะโกน “ฟ่านเอ้อร์ โยนเก้าอี้ออกมาให้หน่อย จำไว้ว่าต้องเป็นเก้าอี้ ห้ามเอามานั่งมาให้ข้าเด็ดขาด”


ฟ่านเอ้อร์รับคำ แบกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาทางร้านยาที่อยู่เบื้องหน้าแล้วโยนออกมาจากประตูใหญ่จริงๆ


ฟ่านจวิ้นเม่ารับมาไว้แล้วก็เอามาวางตรงมุมกำแพงฝั่งตรงข้ามกับร้านยา พอนั่งลงไปแล้วก็เอนตัวไปด้านหลัง เก้าอี้จึงโยกตามไปด้วย นางพูดอย่างเกียจคร้านว่า “เจิ้งต้าเฟิงอาจจะยังใคร่ครวญได้ไม่ชัดเจน ฝูตงไห่วางแผนเรื่องนี้ ฝูฉีไม่รู้เรื่องด้วย แต่เป็นเพราะเจ้าโง่ฝูตงไห่ที่มีปณิธานยิ่งใหญ่แต่กลับไร้ความสามารถลงมือเองโดยพลการ ฝูฉีรู้เรื่องภายในซึ่งเป็นความลับทางประวัติศาสตร์บางอย่างของถ้ำสวรรค์หลีจู จึงตัดสินใจว่าจะดึงเจิ้งต้าเฟิงมาเป็นพวก ก่อนหน้านี้ยังจงใจพาสตรีขายาวมาให้เขาคนหนึ่ง ดูเหมือนจะชื่อว่าฝูชุนฮวาอะไรนี่แหละ น่าเสียดายที่ตอนนั้นเจิ้งต้าเฟิงปฏิเสธความหวังดีของเขาไป แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ฝูฉีก็มองเจิ้งต้าเฟิงเป็นเพียงมังกรข้ามแม่น้ำตัวหนึ่ง แค่เลี้ยงไว้ในบ่อน้ำบ่อเล็กของตระกูลฝูโดยที่ไม่ไปหาเรื่องด้วยก็พอ ทว่าฝูตงไห่กลับก่อเรื่องใหญ่ หญิงแก่จากสกุลเจียงอวิ๋นหลินผู้นั้นก็ดันไม่อยากตายดีสอดมือเข้ายุ่ง ทำให้ ‘ความเข้าใจผิด’ ที่เดิมทีฝูฉีสามารถอธิบายและปิดประตูจัดการกันเองเป็นการภายในได้ กลายมาเป็นปัญหาเรื่องหน้าตาของสกุลเจียงแทน คราวนี้จะทำอย่างไร? ก็เลยมีศึกเดิมพันที่ใครคนหนึ่งต้องตายบนแท่นมังกรเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับว่าเบื้องหน้าตระกูลฝูแต่งงานกับสกุลเจียง แต่เบื้องหลังกลับตบหน้าสกุลเจียง หากเจ้าเป็นบรรพบุรุษสกุลเจียงอวิ๋นหลินจะทำอย่างไร?”


เฉินผิงอันตอบคำถาม “ลูกหลานย่อมมีโชคของลูกหลาน หน้าใหญ่สู้เหตุผลไม่ได้”


บางทีอาจเป็นเพราะฟ่านจวิ้นเม่าตกใจกับคำตอบเช่นนี้ นางจึงปลดกาเหล้าลงมา “โชคดีที่เมื่อครู่ข้าไม่ได้ดื่มเหล้า ไม่อย่างนั้นต้องสำลักแน่”


เฉินผิงอันนั่งลงบนธรณีประตู “แม้ว่าข้าจะเคยมีความขัดแย้งกับซุนเจียซู่ แต่ข้ารู้สึกว่าในบรรดาสกุลใหญ่ของนครมังกรเฒ่าแห่งนี้ ยังคงเป็นหลักการทำการค้าของสกุลซุนที่ถูกต้องตรงไปตรงมามากที่สุด”


ฟ่านจวิ้นเม่าดื่มเหล้าหนึ่งอึก สายตามีเลศนัย ยิ้มถามว่า “ตระกูลฟ่านของพวกเราไม่เข้าตาเจ้าเลยรึ?”


เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สามารถอบรมสั่งสอนผู้สืบทอดในอนาคตอย่างฟ่านเอ้อร์ออกมาได้ ขนบธรรมเนียมของตระกูลฟ่านย่อมไม่แย่ เพียงแต่ว่าคนที่สามารถออกเสียงในศาลบรรพชนแห่งนั้นมีมากเกินไป แต่ละคนก็ย่อมต้องมีลูกคิดรางเล็กๆ อยู่ในใจตัวเอง ในฐานะเจ้าประมุขตระกูลจำเป็นต้องคอยดูแลทุกด้านอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง จึงยากที่จะ…รักษาตัวให้พ้นจากปัญหายุ่งยาก หรืออาจถึงขั้นต้องยอมอดทนข่มกลั้นเพื่อสถานการณ์โดยรวม หลักการข้อนี้ข้ายังพอจะเข้าใจ แต่ในเรื่องของเจิ้งต้าเฟิงนี้ ตระกูลฟ่านไม่มีคุณธรรมมากพอจริงๆ สมมติว่า ข้าบอกว่าสมมติ วันหน้าข้าต้องการทำการค้ากับตระกูลฟ่าน นอกจากฟ่านเอ้อร์เป็นคนจัดการเองแล้ว ข้าก็คงไม่มีทางวางใจได้ แต่หากทำการค้ากับตระกูลซุนที่ตัวซุนเจียซู่เองไม่ยื่นมือเข้ายุ่ง ข้ากลับจะยิ่งวางใจได้มากกว่า”


ฟ่านจวิ้นเม่าเอียงศีรษะ จุ๊ปากพูด “เจ้าเองก็ไม่ได้โง่นี่นา ทำไมหยางเหล่าโถวถึงได้ชอบพูดว่าเจ้าไม่ค่อยฉลาดล่ะ?”


เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด “ข้าออกจากบ้านเกิดมานานหลายปีแล้ว นอกจากตัวสูงแล้ว ก็ควรต้องมีสมองเพิ่มขึ้นตามไปด้วยกระมัง?”


ฟ่านจวิ้นเม่าพยักหน้ารับ “มีสมองเพิ่มก็จริง แต่พอเจอกับเรื่องใหญ่ก็ยังไม่ค่อยฉลาดอยู่ดี”


เฉินผิงอันไม่ถือสา พูดเข้าประเด็นโดยตรงว่า “พวกเรามาเริ่มพูดคุยเรื่องการค้าขายกันได้หรือยัง?”


ฟ่านจวิ้นเม่าหัวเราะคิก “หากดูแค่ใบรายการที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้ข้า ข้าก็รู้แล้วว่าการหลอมวัตถุของเจ้าต้องล้มเหลวแน่นอน ไม่เพียงแต่เป็นคนนอกวงการ จิตใจยังสูงยิ่งกว่าแผ่นฟ้า หากข้าเดาไม่ผิด วัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุน้ำของห้าธาตุที่เจ้าจะหลอม ระดับขั้นคงไม่ต่ำกระมัง คาถาหลอมวัตถุและเตาหลอมก็คงไม่แย่ด้วยเหมือนกัน? เจ้ารู้หรือไม่ว่านอกจากจะไม่สำเร็จแล้ว หากล้มเหลวขึ้นมา ข้อเสียที่ถูกสะสมไว้อย่างลึกล้ำจะยิ่งทำให้มีผลร้ายตามมาเบื้องหลังอย่างไม่จบไม่สิ้น?”


เฉินผิงอันสีหน้าเคร่งเครียด


ฟ่านจวิ้นเม่าคลี่ยิ้ม “ข้ารู้ว่าคนอย่างเจ้าย่อมไม่เชื่อ การค้าขายนี่นะ ข้าจะไปสนใจทำไมว่าเจ้าซื้อของจากข้าไปแล้วจะขาดทุนหรือได้กำไร วางใจเถอะ วัตถุดิบล้ำค่ากองใหญ่เหล่านั้น ข้าเอามาให้เจ้าแล้ว ข้าต้องการโอสถทองของเจียวเฒ่าก่อกำเนิดในร่องเจียวหลงเม็ดนั้น! วัตถุล้ำค่าที่มีแต่ราคาทว่าหาซื้อไม่ได้ชิ้นนี้ ทำให้ข้าหวั่นไหวได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่มีทางมาเยือนด้วยตัวเอง แค่ให้ฟ่านเอ้อร์มาคนเดียวก็พอ”


ฟ่านจวิ้นเม่ากรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่อย่างสาแก่ใจ “เจ้าคิดถูกแล้ว ข้าจะขูดรีดเจ้า จะฉวยโอกาสปล้นสะดมตอนไฟไหม้ อีกทั้งมีดนี้ที่กรีดลงไปยังอำมหิตอย่างมาก แต่เจ้าเฉินผิงอันจะไม่ขายได้หรือ?!”


เฉินผิงอันโยนขวดกระเบื้องที่บรรจุโอสถทองของเจียวเฒ่าออกไป ฟ่านจวิ้นเม่ารับเอาไว้ทันที


เฉินผิงอันถาม “ได้ยินเจิ้งต้าเฟิงบอกว่า เจ้าสามารถควบคุมทะเลเมฆเหนือนครมังกรเฒ่าได้ แล้วถ้าข้าสามารถเอาของดีกว่านี้ออกมาได้ เจ้าจะยินดีลงมือหรือไม่ รับปากว่าไม่ว่าศึกที่แท่นมังกรจะชนะหรือแพ้ก็จะช่วยรักษาชีวิตของเจิ้งต้าเฟิง”


“บนร่างของฟ่านเอ้อร์มีวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งที่ข้ามอบให้เขา เวลานี้เขาน่าจะเอาของออกมาข้างนอกแล้ว ในเมื่อข้าเป็นลูกหลานสกุลฟ่าน ทำการค้าก็ต้องมีความจริงใจกันบ้าง ของเหล่านั้นล้วนเป็นของดี แต่ราคาแพงไปสักหน่อย เรื่องอื่นๆ ล้วนหาข้อตำหนิไม่ได้ ต่อให้ไปหาตระกูลฝู ฝูฉีก็ยังได้แค่หาของที่พอๆ กันนี้ออกมา”


ฟ่านจวิ้นเม่าพูดประโยคเหล่านี้จบก็โยนขวดกระเบื้องที่อยู่ในมือเบาๆ ยิ้มบางกล่าวว่า “ต่อให้ข้ายอมทำลายกฎ เลือกจะลงมือ แต่อย่างมากก็คงมีความเป็นไปได้แค่ห้าส่วนที่จะรักษาชีวิตด้อยค่าที่ตายไปก็ไม่น่าเสียดายของเจิ้งต้าเฟิงเอาไว้ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าไม่อยากทำเลยสักนิดเดียว”



 

 

 


บทที่ 364.3 ใครมีกระบี่ให้ข้ายืม

 

เฉินผิงอันกำลังจะขยับปากพูด


เจิ้งต้าเฟิงกลับมานั่งบนธรณีประตู กลายเป็นเทพทวารบาลสององค์ของร้านยาฮุยเฉินขนาบซ้ายขวาคู่กับเฉินผิงอัน เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พอเถอะ ขอร้องนางไปก็ไม่มีประโยชน์”


ฟ่านจวิ้นเม่าพยักหน้ารับ หมุนข้อมือทีเดียวขวดกระเบื้องก็หายไป “เป็นเช่นนี้จริง”


เฉินผิงอันถูกเจิ้งต้าเฟิงตัดบทอีกครั้ง คราวนี้เจิ้งต้าเฟิงถึงขั้นส่ายหน้าให้เขา บอกเป็นนัยว่าอย่าเอาของชิ้นนั้นออกมา


ฟ่านจวิ้นเม่าดวงตาเป็นประกาย “มีของดีอีกจริงๆ หรือนี่?! ไหนลองเอาออกมาดูสิ หากข้ารู้สึกว่ามีค่าพอ ก็ใช่ว่าจะลงมือไม่ได้ ต่อสู้หนักๆ ยืดเส้นยืดสายก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”


เจิ้งต้าเฟิงถลันพรวดลุกขึ้นยืน “พอแล้ว! ฟ่านจวิ้นเม่า เรื่องที่เฉินผิงอันจะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตมีโอกาสเลือนรางจริงๆ หรือ?”


เห็นได้ชัดว่าต้องการจะเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย ความสงสัยใคร่รู้นั้นของฟ่านจวิ้นเม่าจึงไม่ยืดขยายออกไปอีก


ฟ่านจวิ้นเม่ารู้สึกว่าน่าเบื่อเล็กน้อย เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แกว่งกาเหล้าที่อยู่ในมือ “เห็นว่าการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตเป็นการหลอมยาหล่อเลี้ยงลมปราณไม่กี่เม็ดของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างจริงๆ งั้นหรือ? รู้จักคำว่าฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคีหรือไม่? หรือว่าเจ้าเฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองคือคนโชคดีที่ได้รับความเมตตาปราณีจากสวรรค์ มีวาสนายิ่งใหญ่เทียมฟ้า แม้จะไม่มีความเชี่ยวชาญ แต่หากหาสถานที่สักแห่งหนึ่งมาหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตก็จะหลอมได้สำเร็จจริงๆ? หากเจ้าเฉินผิงอันทำสำเร็จ ข้าฟ่านจวิ้นเม่าจะควักลูกตาตัวเองออกมาส่งให้เจ้าเลย”


เจิ้งต้าเฟิงหันมาพูดกับเฉินผิงอัน “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ต้องหลอม!”


น้อยครั้งนักที่ในชีวิตนี้เจิ้งต้าเฟิงจะมีสีหน้าเคร่งเครียดขนาดนี้


เฉินผิงอันเพียงแค่พยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถิด ข้ารู้จักโชควาสนาของตัวเองดี”


ฟ่านจวิ้นเม่าลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ เอาตามนี้ก็แล้วกัน เจิ้งต้าเฟิงเอ๋ย ถึงเวลานั้นจงตั้งใจต่อสู้ให้ดี ข้าจะรอดูอยู่บนหัวเจ้านะ จำไว้ว่าตายให้องอาจผึ่งผายหน่อยล่ะ”


จิ้งต้าเฟิงกลับคืนมาเป็นคนเดิม ยิ้มตาหยีถูมือกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ฟ่าน วันนั้นที่อยู่บนทะเลเมฆจะสวมกระโปรงสีอะไรหรือ ชุดกระโปรงสีเขียวชุดนี้น่าดูก็จริง แต่บางครั้งเจ้าก็ควรจะเปลี่ยนชุดใหม่บ้างนะ”


ถึงอย่างไรฟ่านจวิ้นเม่าก็ไม่เหมือนสตรีหัวไป นางพูดกลั้วหัวเราะว่า “ถึงเวลานั้นต่อให้ข้าเปลือยก้นยืนอยู่บนแท่นมังกร เจ้าก็ลืมตาไม่ขึ้นแล้ว ไม่แน่ว่าฝูฉีอาจจะใช้หนึ่งกระบี่แทงเจ้าให้ตายก่อน แต่ก็ยังไม่สาแก่ใจ เลยกระทืบหัวเจ้าให้แหลกซ้ำไปอีก ตอนนั้นลูกตาเจ้าคงปลิ้นถลนออกมา ระเบิดดังปัง ปลิวกระเด็นจากแท่นมังกรขึ้นไปบนทะเลเมฆ เดี๋ยวข้าค่อยใช้สองนิ้วคีบมันเอาไว้ แล้วก็บีบให้แตกโพล๊ะ”


เจิ้งต้าเฟิงรีบพูดวิงวอน “คุณหนูใหญ่ฟ่าน ขอท่านผู้อาวุโสช่วยเห็นแก่ความดีข้าบ้างได้ไหม?”


ฟ่านจวิ้นเม่าหัวเราะเสียงดังพลางก้าวยาวๆ เดินจากไป


รอจนฟ่านจวิ้นเม่าจากไปไกลจริงๆ แล้ว เจิ้งต้าเฟิงถึงได้พูดเสียงหนักว่า “โอสถปีศาจเม็ดนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อถึงช่วงเวลาสุดท้าย ขอแค่เจ้าเอาออกมา ไม่ว่าจะเป็นฝูฉี หรือคนของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน หรือแม้แต่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินคนใดก็ตาม ถ้าได้เห็นล้วนต้องหวั่นไหวกันทั้งนั้น แล้วเจ้าก็จะสามารถเอามันไปแลกกับโอกาสรอดชีวิต วันนี้เจ้ามอบมันให้ฟ่านจวิ้นเม่า สามารถแลกมาด้วยอะไร?! นางลงมือแล้วอย่างไร ความเป็นไปได้แค่ห้าส่วนเท่านั้น แต่สำหรับข้าเจิ้งต้าเฟิงแล้ว ต่อให้ถึงเวลานั้นข้าถูกช่วยเอาไว้ได้ แต่พวกเจ้าทั้งกลุ่มล่ะ จะออกไปจากนครมังกรเฒ่ากันอย่างไร?”


เฉินผิงอันพลันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาให้แก่เจ้าเจิ้งต้าเฟิง ข้าไม่เต็มใจหรอกนะ”


เจิ้งต้าเฟิงเหลือกตามองบน นั่งกลับลงไปบนธรณีประตูอีกครั้ง “เจ้าคิดว่าข้าผู้อาวุโสยินดีนักหรือไง? นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ข้าไม่อาจเงยหัวเวลาอยู่ต่อหน้าหลี่เอ้อร์ไปได้ตลอดชีวิต”


เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ มองไปทางกำแพงฝั่งนั้น “แต่หากจะให้เป็นผู้ปกป้องมรรคาของเจ้าเจิ้งต้าเฟิงตอนนี้ ข้ากลับเต็มใจ”


ฟ่านจวิ้นเม่าพลัน ‘กลับมานั่ง’ บนเก้าอี้ตัวนั้น นางหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ดูท่าคงจะมีโอสถปีศาจที่น่าครั่นคร้ามยิ่งกว่าอยู่เม็ดหนึ่งจริงๆ ขอบเขตสิบเอ็ด? ไม่ถูกสิ โอสถปีศาจของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสอง! ต้องเป็นโอสถทองของปีศาจใหญ่ที่สำนักฝูจีใบถงทวีปแน่นอน น่าสนใจ น่าสนใจ!”


เจิ้งต้าเฟิงหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง จ้องเขม็งไปที่สตรีชุดกระโปรงเขียวผู้นี้ “ข้าไม่ได้ล้อเจ้าเล่น เจ้าอย่าหวังว่าจะได้โอสถปีศาจเม็ดนั้นไปครอง!”


ฟ่านจวิ้นเม่ายื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่งแล้วหมุนเบาๆ เห็นเพียงว่าผนังด้านหลังของนางมีไอหมอกเป็นกลุ่มๆ แผ่อบอวลสุดท้ายมารวมตัวกันกลายเป็นเมฆก้อนเล็กอยู่ที่ปลายนิ้วของนาง


หากไม่เตรียมการมาก่อน นางก็คงไม่มีทางได้ยินคำพูดจากใจจริงของเจิ้งต้าเฟิงประโยคนี้


จุ๊ๆ ขนาดคนอย่างเจิ้งต้าเฟิงก็ยังเต็มใจควักหัวจิตหัวใจออกมาให้คนอื่นด้วยหรือ?


ฟ่านจวิ้นเม่าหรี่ตามองประเมินคนหนุ่มผู้นั้น


ฟ่านจวิ้นเม่าดื่มเหล้าหนึ่งอึก ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ “โอสถทองของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองสามารถแบ่งการหลอมออกเป็นสามระดับได้แก่ใหญ่กลางเล็ก การหลอมใหญ่ ระดับความยากไม่แพ้การหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตเลย เพราะฉะนั้นเจ้าเฉินผิงอันอย่าได้หวัง เอามาให้ข้าจะดีกว่า ข้าเป็นผู้ควบคุมทะเลเมฆที่อยู่เหนือศีรษะของพวกเจ้า ในความเป็นจริงแล้วตระกูลฝูก็มีหน้าที่คล้ายพ่อบ้านเท่านั้น หากข้าไม่อยู่ ตระกูลฝูสามารถดึงมาใช้ได้เล็กน้อย แต่หากข้าอยู่ ต่อให้เขาแค่อยากจะขยับก้อนเมฆเล็กๆ เท่าก้อนเมฆที่ปลายนิ้วข้านี้ก็ยังทำไม่ได้”


นางเช็ดมุมปาก ไม่อาจปกปิดแววตาเร่าร้อนกระตือรือร้นนั่นได้ “มอบโอสถปีศาจเม็ดนั้นให้ข้า ข้าสามารถฮุบเอาโชคชะตาน้ำของน้ำทะเลนครมังกรเฒ่ามาสามส่วน เลือกช่วงเวลาดีๆ ก็จะมีทั้งฟ้าอำนวย ดินอวยพรและคนสามัคคีแล้ว เป็นอย่างไร เอาออกมา ข้าก็มีโอกาสครึ่งหนึ่งที่ทำให้เจิ้งต้าเฟิงมีชีวิตรอด ถึงอย่างไรไม่ช้าก็เร็วชีวิตด้อยค่าชีวิตนี้ก็ต้องรักษาไม่อยู่ ข้าช่วยเขาหนึ่งครั้งก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร”


เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “ขอถามคุณหนูฟ่าน แล้วการหลอมแบบกลางกับแบบเล็กล่ะเป็นอย่างไร?”


ฟ่านจวิ้นเม่าเลิกคิ้ว “หลอมระดับเล็กนั้นไม่ยาก จากนั้นก็เอามาหมักเหล้าดื่มจึงจะเหมาะสมที่สุด ส่วนประสิทธิภาพนั้น ใครดื่มคนนั้นก็ได้รู้เอง!”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับยิ้มๆ “ตกลง ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเอามา ‘หลอมระดับกลาง’ ก็แล้วกัน ขอบคุณคุณหนูฟ่านที่เอ่ยเตือน”


ฟ่านจวิ้นเม่าลุกขึ้นยืน สายตาคมกริบ


เจิ้งต้าเฟิงเองก็ลุกขึ้นพูดเสียงหนัก “ฟ่านจวิ้นเม่า! เจ้าอย่าลืมล่ะว่าที่ข้ายังมีเทพหยินอยู่ตนหนึ่ง! หากเจ้ากล้าลงมือ ข้าก็กล้าทำให้ขอบเขตของเจ้าถูกถ่วงให้เลื่อนขั้นล่าช้าอย่างน้อยร้อยปี!”


ฟ่านจิ้นเม่าเดินกลับไปกลับมาอยู่ในตรอกช่วงที่อยู่ตรงข้ามกับประตูใหญ่ของร้านยา ดวงตาจ้องเขม็งไปยังเจ้าคนที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นั้น


ถึงท้ายที่สุดฟ่านจวิ้นเม่าก็กระทืบเท้า ทะยานตัวผลุบหายเข้าไปในทะเลเมฆ นางกำลังอารมณ์เสียสุดขีด แผดเสียงตะโกนพลางโบกชายแขนเสื้อคว้าจับทะเลเมฆมาเป็นกลุ่มก้อนแล้วปล่อยให้พวกมันชนปะทะกันเองจนแหลกสลาย


นางอาละวาดอยู่ครึ่งวัน สุดท้ายก็ทิ้งตัวนอนหงายอยู่บนทะเลเมฆ “เอามาหลอมแบบเล็กทำเป็นเหล้าดื่ม ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มแล้ว”


นางเช็ดน้ำลายที่ปากแล้วเริ่มกลิ้งไปกลิ้งมาบนทะเลเมฆ


ทางฝั่งของตรอก เจิ้งต้าเฟิงเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ชำเลืองตามองเฉินผิงอันที่มั่นคงดุจภูผา “เจ้านี่มันใจกล้าจริงๆ!”


เฉินผิงอันพูดโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี “เจ้าลองดูที่แผ่นหลังข้าสิ?”


เจิ้งต้าเฟิงข้ามธรณีประตูไปดูจริงๆ จึงเห็นว่าเฉินผิงอันเหงื่อแตกเต็มแผ่นหลัง…


เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะแล้วกลับมานั่งบนธรณีประตูอีกครั้ง พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มผิวดำเป็นถ่านที่ปีนั้นได้แต่มองทัศนียภาพนอกประตูจะกลายมาเป็นอย่างในวันนี้ได้”


เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่จิบเหล้าคำเล็กๆ “ตัวข้าเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน”


เงียบงันกันไปครู่หนึ่ง


เฉินผิงอันหันหน้ามาถามด้วยรอยยิ้ม “เปลี่ยนเป็นดีขึ้น หรือว่าเปลี่ยนเป็นแย่ลงล่ะ?”


เจิ้งต้าเฟิงคิดแล้วก็ตอบว่า “น่าจะไม่เลวกระมัง”


จากนั้นเจิ้งต้าเฟิงก็ตบบ้องหูตัวเอง “เจ้าเจิ้งต้าเฟิงอยู่กับเผยเฉียนจูเหลี่ยนแค่วันเดียวก็รู้จักพูดประจบแล้วรึ?”


เจิ้งต้าเฟิงลุกขึ้นยืน พึมพำพลางเดินกลับไปในเรือนด้านหลังร้านยา เรียกคนทั้งสี่ออกมาประมือ คราวนี้คนทั้งสี่ต่างก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่เจิ้งต้าเฟิงนำมา ไม่เหมือนว่าจะป้อนหมัด กลับเหมือนว่าจะเอาพวกเขามาซ้อมมือเสียมากกว่า


ฟ่านเอ้อร์หัวเราะวิ่งออกมาจากร้าน มานั่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน “ข้าเอาของวางไว้ในห้องให้เรียบร้อยแล้ว”


เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ข้าคงจะไม่หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตแล้วล่ะ แต่อยากหลอมของเล็กๆ ชิ้นหนึ่งแทน เจ้ารีบกลับไปเถอะ สถานที่แห่งนี้ไม่ควรอยู่นาน อย่าสร้างปัญหาเพิ่มให้กับตระกูล”


ฟ่านเอ้อร์เองก็ไม่มัวโอ้เอ้ “วันหน้าข้าค่อยหาโอกาสมาที่ร้านยานี่อีกครั้ง”


เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินไปส่งฟ่านเอ้อร์ที่หัวเลี้ยว ที่นั่นมีรถม้ามาจอดรออยู่นานแล้ว สารถีก็คือผู้ฝึกกระบี่เฒ่าโอสถทองที่อยู่บนเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาคนนั้น หม่าจื้อ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตคือเหลียงอิน


การฝึกตนของผู้ฝึกกระบี่ ถ้ำสถิตหกสิบปีผู้ฝึกลมปราณแก่หง่อม ถ้ำสถิตร้อยปีผู้ฝึกกระบี่ยังเป็นหนุ่ม


ตอนนั้นผู้ฝึกกระบี่หม่าจื้อยังเคยระบายความทุกข์กับเฉินผิงอันอย่างที่หาได้ยาก บอกว่าหากตระกูลฟ่านยินดีเอาทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งของตระกูลออกมาช่วยเหลือผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่เป็นผู้ถวายงานเช่นเขา เขาก็สามารถเลื่อนเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดได้แล้ว


เฉินผิงอันไม่ได้เดินออกจากตรอก เพียงยิ้มพลางโบกมือทักทายผู้ฝึกกระบี่เฒ่า หม่าจื้อก็ผงกศีรษะยิ้มกลับ


ในค่ำคืนนี้ เฉินผิงอันนอนอยู่บนหลังคา ในมือคือป้ายหยกที่ไม่ค่อยเอาออกมาบ่อยนัก เขามองมันด้วยสายตาเหม่อลอย ภายใต้แสงจันทร์ แผ่นหยกใสแวววาว


ตอนนี้เฉินผิงอันเหลือเงินเทพเซียนอีกไม่มาก ทว่าทรัพย์สินกลับไม่ถือว่าน้อย แผ่นหยกชิ้นนี้ก็คือหนึ่งในทรัพย์สินที่เฉินผิงอันมีมานานที่สุด ตั้งแต่ก่อนจะออกจากบ้านเดินทางไกลครั้งแรกไปต้าสุยก็มีมันแล้ว


เขาไม่ได้หลอมตราประทับตัวอักษรน้ำชิ้นนั้น


ชีวิตคนเดินอยู่บนเส้นทาง บางครั้งทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเป็นหลุมที่อันตราย ลองเสี่ยงอันตรายด้วยตัวเองก็ถือว่าถูกแล้ว แต่เมื่อเจอกับการล่อลวงบางอย่างก็ต้องฟังประโยคเก่าแก่ประโยคนั้น ‘ชะตาชีวิตแปดฉื่อ อย่าไขว่คว้าหนึ่งจั้ง’


เฉินผิงอันวางแผ่นหยกไว้บนกาย เอาสองมือปิดทับมันเบาๆ หลับตาลง


กระบี่ชือซินได้ให้สุยโย่วเปียนยืมไปแล้ว แต่ต่อให้ไม่มีสุยโย่วเปียน สำหรับเฉินผิงอันแล้ว กระบี่เล่มนั้นก็ยังอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอนัก น่าเสียดายที่ต้องทิ้งกระบี่ปราณยาวไว้ในพื้นที่มงคลดอกบัว ไม่อย่างนั้นก็เอาออกมาใช้ต้านรับศัตรูได้แล้ว


หากมีคนที่ให้ข้ายืมกระบี่ได้ก็คงดี


ทว่าใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีเรื่องดีๆ เช่นนั้น


จนกระทั่งหนึ่งวันก่อนวันช่วงที่อากาศหนาวที่สุด ร้านยาฮุยเฉินยังคงอยู่ในบรรยากาศผ่อนคลาย ไม่มีลูกค้ามาเยือนแม้แต่คนเดียว


ทว่าไม่มีลูกค้า แต่เรือข้ามทวีปที่ว่างเปล่าลำหนึ่งกลับมาจอดอยู่ตรงท่าเรือของเกาะโดดเดี่ยวนอกทะเลแห่งนั้น


ฝูฉีเจ้านครมังกรเฒ่า หมัวมัวก่อกำเนิดที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน และยังมีตู้เหยี่ยนลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักใบถงกลับมายืนเคียงไหล่กัน รอคอยให้มีคนเดินลงมาจากเรือลำนั้น


สุดท้ายมีเพียงผู้เฒ่าลักษณะไม่สะดุดตาคนหนึ่งเดินลงเรือข้ามฟากมา


หากคนทั้งสามคนที่ไล่ฆ่าปีศาจใหญ่ของสำนักฝูจีในเวลานั้นอยู่ตรงนี้ด้วยย่อมต้องรู้จักคนผู้นี้แน่นอน


บรรพบุรุษแซ่ตู้ผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์ของสำนักใบถงท่านนั้น


ผู้เฒ่าที่สวมใส่อาภรณ์เรียบง่ายเดินลงจากเรือมาอย่างเชื่องช้า มองเห็นทุกคนที่รออยู่ตรงท่าเรือก็เอ่ยทักทายอย่างสุภาพมีมารยาท พูดจาปราศรัยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่มีนิสัยดุร้ายก้าวร้าวอย่างที่เจียงซ่างเจินเรียกว่า ‘ผู้เฒ่าวิปริตของสำนักใบถง’ เลยแม้แต่น้อย


แต่เมื่อผู้เฒ่ามองไปยังทิศทางของนครมังกรเฒ่า พอเปิดปากพูดเรื่องเป็นการเป็นงานกลับทำให้ทุกคนรู้สึกกดดันเหมือนขุนเขากดทับได้ทันที “คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า?”


ฝูฉียิ้มขื่นตอบ “ใช่แล้ว”


ผู้เฒ่ายื่นนิ้วโป้งมาเช็ดมุมปาก “ความต้องการของราชสำนักต้าหลีคือให้ตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่าพวกเจ้ามอบเรือข้ามฟากเส้นทางเดินเรือไปยังภูเขาห้อยหัวให้สำนักใบถงข้าสี่ลำ ของขวัญนี้ไม่ใช่น้อยๆ เลยทีเดียว”



 

 

 


บทที่ 365.1 สถานการณ์ที่มิอาจคลี่คลาย

 

ช่วงที่อากาศหนาวจัด นกโบยบินผ่านม่านฟ้าไปอย่างว่องไว


ข้างแท่นมังกร เสียงลมหวีดหวิวประหนึ่งเสียงกรีดร้องของสตรีคลุ้มคลั่งที่ดังขึ้นไม่หยุด


ในนครมังกรเฒ่า รถม้าหลายคันมาจอดอยู่ตรงหัวเลี้ยวของถนนนอกร้านยาฮุยเฉิน


เพียงคำสั่งเดียวจากตระกูลฝู เมืองทั้งเมืองก็ถูกป้องกันอย่างเข้มงวด ไม่เพียงแต่ไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกตนอิสระและชาวบ้านไปชมการต่อสู่ที่แท่นมังกรนอกเมือง ยังห้ามไม่ให้ทุกคนที่ไม่ได้ใช้หกแซ่ใหญ่ออกมาเดินบนถนน แน่นอนว่าลูกหลานตระกูลใหญ่ที่มีเส้นสายสามารถยืมป้ายคำสั่งจากตระกูลหกแซ่ที่สนิทสนมกันมาหนึ่งแผ่น เมื่อเอามาแขวนไว้ตรงเอวก็จะสามารถไปเยือนระหว่างแท่นมังกรและเมืองชั้นในได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค สำหรับเรื่องนี้ในเมืองนครมังกรเฒ่าก็มีเสียงบ่นด้วยความไม่พอใจอยู่เหมือนกัน แต่ติดที่ตอนนี้ตระกูลฝูมีบารมีและอำนาจมากล้น อีกทั้งตระกูลฝูยังแจ้งเรื่องนี้กับคนในตระกูลอื่นที่สำคัญนอกเหนือจากหกแซ่ไว้ก่อนแล้ว ไม่มีใครมีความคิดชั่วร้ายหรือกลอุบายมากนัก ความขัดแย้งที่มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำในนครมังกรเฒ่าก็ถูกสยบไว้ในทันที พวกเด็กเกเรบางคนที่ถือดีในสถานะของตัวเองถูกผู้ฝึกตนตระกูลฝูที่ห้อยหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณไว้ตรงเอวขัดขวางไว้ หลังกลับไปถึงจวนก็ถูกผู้อาวุโสที่รู้ข่าวด่าจนไม่เหลือชิ้นดี ตำหนิพวกเขาว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร


ร้านยาฮุยเฉิน หลังจากกินโจ๊กที่จูเหลี่ยนเป็นคนต้มไปแล้ว คนทั้งกลุ่มก็เตรียมพร้อมออกเดินทางไปยังแท่นมังกร


เจิ้งต้าเฟิงเดินออกมาจากห้องหลักก่อน เขาสูบยาอยู่ตรงหน้าประตูสองสามที สีหน้าไม่มีความตึงเครียดใดๆ แต่เมื่อเทียบกับท่าทางสกปรกมอซออย่างในเวลาปกติแล้ว วันนี้กลับเปลี่ยนมาสวมชุดคลุมยาวสีเขียวที่ดูเก่าแก่อย่างเห็นได้ชัด แต่กลับสะอาดเอี่ยม


จูเหลี่ยนและเผยเฉียนเก็บชามและตะเกียบที่วางอยู่บนโต๊ะ


สุยโย่วเปียนสวมชุดสีขาว สะพายกระบี่ชือซินที่หลังจาก ‘กินหัวใจไปนับไม่ถ้วน’ ระดับขั้นก็เพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ไว้ด้านหลัง นางยืนอยู่ใต้ชายคา ตบะวิถีวรยุทธ์ขอบเขตเจ็ดร่างทอง บุคลิกสง่างามโดดเด่น มองไปคล้ายเทพเซียน


หลูป๋ายเซี่ยงยังคงสวมชุดขงจื๊อดังเดิม ไม่ถือเม็ดหมากเอามาถูกันกลางฝ่ามืออีกแล้ว ห้อยดาบแคบหยุดหิมะ ดาบพกเล่มนี้ เจ้าของคนเดิมคือเซียนดินก่อกำเนิดแห่งภูเขาไท่ผิงที่ชอบกำจัดปีศาจปราบมาร มีชื่อเสียงดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด และยิ่งเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งเผ่าปีศาจที่วางแผนทิ้งร่องรอยไว้ไกลเป็นพันลี้ ป้ายหยกผู้สืบทอดศาลบรรพชนแผ่นหนึ่งทำให้เฉินผิงอันตกอยู่ในวงล้อมสังหารที่วัดร้าง


วันนี้เว่ยเซี่ยนแต่งกายสะดุดตาที่สุด เขาถามเฉินผิงอันว่าสวมชุดคลุมมังกรอยู่ในนครมังกรเฒ่าผิดกฎหมายหรือไม่ เฉินผิงอันพูดด้วยรอยยิ้มว่าต่อให้เจ้าสวมมงกุฎหงส์ผ้าคลุมลายปักของฮองเฮาก็ยังไม่มีใครสนใจเจ้า เว่ยเซี่ยนจึงสวมชุดคลุมมังกรที่นำออกมาจากม้วนภาพวาดด้วย บนร่างสวมชุดพิธีการของฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยน ในชายแขนเสื้อซ่อนเม็ดเสื้อเกราะซีเยว่ซึ่งเป็นหนึ่งในเสื้อเกราะบรรพบุรุษของเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างแห่งสำนักการทหารเอาไว้


จูเหลี่ยนที่ทำหน้าที่เป็นดั่งพ่อครัวเช็ดหยดน้ำบนมือ เดินออกมาจากห้องครัว ด้านหลังคือเผยเฉียนที่ดูเหมือนว่าวันนี้จะอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก


วันนี้เฉินผิงอันยังคงสวมจินหลี่ชุดคลุมอาคมตัวนั้น บนมวยผมปักปิ่นหยกที่ทำจากวัสดุธรรมดา ห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาด อีกฝั่งหนึ่งห้อยแผ่นหยกสีขาวที่ไม่ว่าใครก็ไม่เคยเห็นมาก่อน


แผ่นหยกนี้เฉินผิงอันเอาออกมาจากช่องโพรงลมปราณที่เคยมี ‘ปราณกระบี่ที่เล็กที่สุดกลุ่มหนึ่ง’ ขดตัวนอนอยู่ ถือเป็นการหล่อหลอมระดับเล็กของฟ่านจวิ้นเม่า ตอนนี้ยังคงได้แค่มอง ไม่อาจใช้


การดำรงอยู่ของมัน เดิมทีก็แค่มีไว้ให้ระลึกถึงเท่านั้น


หากจะพูดให้ถูกต้องก็คือ นี่คือหนึ่งในความยึดมั่นถือมั่นที่มีไม่มากของเด็กบ้านนอกอย่างเฉินผิงอัน


แก้แค้นให้พ่อแม่ เป็นเซียนกระบี่ใหญ่ตามที่รับปากหนิงเหยาเอาไว้ สัญญาหกสิบปีกับพี่หญิงวิญญาณกระบี่ สักวันหนึ่งจะสามารถพูดประโยคนี้แก่ใต้หล้าทั้งสี่แห่งได้อย่างเปิดเผย


วันนี้เฉินผิงอันเปลี่ยนมาสวมรองเท้าหุ้มแข้งคู่ใหม่ คือคู่ที่ก่อนหน้านี้เผยเฉียนแอบเอามาให้ ฟ้ายังไม่ทันสาง เผยเฉียนก็ตื่นขึ้นมา คลำความมืดเดินมาหาเฉินผิงอันที่ปูผ้านอนอยู่ในร้านยาด้านหน้า ในมือหิ้วรองเท้าหุ้มแข้งคู่หนึ่ง เฉินผิงอันถามด้วยความแปลกใจว่าไปเอารองเท้ามาจากไหน เผยเฉียนบอกว่าครั้งนั้นที่อยู่โรงเตี๊ยม นางยืมเงินหลายตำลึงมาจากพวกจิ่วเหนียงใช่ไหมล่ะ ตอนที่ไปเมืองหูเอ๋อร์นอกจากจะซื้อของกินแล้ว ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ก็คือรองเท้าคู่นี้ อยากมอบให้เฉินผิงอันตั้งนานแล้ว แต่ภายหลังคนที่เมืองหูเอ๋อร์มาด่าถึงหน้าโรงเตี๊ยม แล้วเฉินผิงอันก็จะไล่นางไป จะทิ้งนางไว้ที่โรงเตี๊ยมคนเดียว นางโกรธมาก ก็เลยเอามันไปฝัง ตอนหลังเฉินผิงอันเปลี่ยนใจพานางไปที่เมืองเซิ่นจิ่งด้วยกัน คืนนั้นนางเลยแอบไปขุดออกมา ตอนนั้นจงขุยก็ดูเรื่องสนุกอยู่ข้างกายนางด้วย แถมยังบอกว่านั่นเรียกว่าหลุมอีกวานอะไรสักอย่าง ตลอดทางตั้งแต่เมืองเซิ่นจิ่งมาถึงท่าเรือตระกูลเซียนภูเขาชิงจิ้ง จนกระทั่งมาถึงนครมังกรเฒ่า นางกลัวอยู่ตลอดว่าเรื่องหลุมอีกวานนี้จะทำให้เฉินผิงอันโมโห นางเหมือนคนทำความผิดแล้วร้อนตัวจึงไม่เคยกล้าหยิบมันออกมา


ตอนนั้นหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็ก ผู้ใหญ่นั่งอยู่บนผ้าปูนอน เริ่มสวมรองเท้า รู้สึกดีใจไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยชมเด็กหญิงผอมแห้ง เพียงแต่คำพูดที่อยากพูดได้ปรากฏให้เห็นในดวงตาใสกระจ่างบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาแล้ว


คนเด็กนั่งยองอยู่ด้านข้าง ถามว่า “พอดีเท้าไหม?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “พอดี”


เพียงแต่ว่าพอเฉินผิงอันสวมรองเท้าเรียบร้อย ลุกขึ้นกระโดดอยู่สองทีก็เปลี่ยนสีหน้าไม่จำบุญคุณคน บอกว่าให้เผยเฉียนอยู่ในร้านยาฮุยเฉินกับเทพหยินแซ่จ้าว ไม่ต้องตามไปที่แท่นมังกรด้วย และถ้าหลังจากนั้นเทพหยินต้องออกไปจากร้านยา เผยเฉียนก็ไม่ต้องกลัว ขอแค่ไม่ออกไปจากร้านยาโดยพลการก็จะไม่มีอันตรายแล้ว


เผยเฉียนย่อมไม่ยินดี หลายวันมานี้นางตั้งใจฝึกวิชากระบี่บ้าคลั่งกระบวนท่านั้นทุกวัน เพียงแต่เห็นว่าเฉินผิงอันพูดด้วยหน้าตาจริงจังจึงได้แต่ไหล่ลู่คอตก รับคำว่าอ้อหนึ่งคำ


เวลานี้เฉินผิงอันมองเจิ้งต้าเฟิงพลางถามด้วยรอยยิ้ม “เอาอย่างไร ออกเดินทางเลยไหม?”


เจิ้งต้าเฟิงสูบยาแรงๆ หนึ่งคำ ห้อยกระบอกยาสูบไว้ตรงเอว ก้าวยาวๆ ไปทางลานบ้าน “ไป!”


คนทั้งกลุ่มเดินทางออกจากร้านยาฮุยเฉิน มาเดินอยู่ในตรอก


ขึ้นรถม้าที่ตระกูลฟ่านส่งมาให้ ทั้งฟ่านเอ้อร์และผู้ฝึกกระบี่หม่าจื้อต่างก็ไม่อยู่ ก่อนหน้านี้ฟ่านเอ้อร์มาเยือนร้านยาอีกหนึ่งรอบ คนทั้งสองนั่งดื่มเหล้ากันบนหลังคา เฉินผิงอันจึงบอกเขาว่าวันที่อากาศหนาวจัดนี้ห้ามมาปรากฎอยู่ตัวใกล้กับร้านยาเด็ดขาด ฟ่านเอ้อร์บอกว่าเขารู้หนักเบา ไม่มีทางทำอะไรตามใจตัวเองแน่นอน


เผยเฉียนหิ้วม้านั่งตัวเล็กมานั่งหน้าประตูร้านยาฮุยเฉิน ก้มหน้าค้อมเอว ใช้สองมือกอดเข่า


ตรงฝ่าเท้าวางไม้เท้าเดินป่าที่อยู่กับนางมานานอันนั้น มันถูกนางเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้าแล้วเอาเท้าคลึงเบาๆ มันจึงกลิ้งกลับไปกลับมา


ตรงธรณีประตูยังวางร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งไว้เอียงๆ เฉินผิงอันบอกให้นางทำเช่นนี้ ต่อให้อยู่ในร้านยาฮุยเฉินก็ต้องเอาร่มมาวางไว้ใกล้ๆ ตัว


ตอนนี้เทพหยินแซ่จ้าวยังไม่ต้องทำอะไร ขอแค่เจิ้งต้าเฟิงหักกระบอกยาสูบอันนั้น มันก็จะไปปรากฎตัวอยู่ข้างกายเจิ้งต้าเฟิงทันที แต่หากไปโผล่ที่แท่นมังกรเร็วเกินไป ไม่แน่ว่าทางฝ่ายนั้นอาจจะวางแผนรับมือไว้นานแล้ว จะกลับกลายเป็นว่าไม่เหมาะไม่ควร บริเวณใกล้เคียงกับแท่นมังกรควรต้องพูดว่าเป็นสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบอย่างแท้จริง คนที่มีคุณสมบัติไปอยู่ที่นั่นล้วนเป็นยอดฝีมือที่สูงส่งของนครมังกรเฒ่าทั้งสิ้น ไม่มีใครที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนหรือปรมาจารย์ที่เป็นผู้ถวายงานรับใช้ห้าแซ่ใหญ่เลย


เทพหยินตนนั้นมายืนอยู่ข้างกายเด็กหญิงผอมดำ ถามว่า “เป็นห่วงเฉินผิงอันหรือ?”


เผยเฉียนพูดเบาๆ “พ่อข้าร้ายกาจขนาดนั้น”


เทพหยินแซ่จ้าวที่เดินออกมาจากศาลเล็กของถ้ำสวรรค์หลีจูพูดด้วยรอยยิ้ม “ร้ายกาจก็ร้ายกาจอยู่หรอก แต่โง่ไปหน่อย ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของเขา เขากลับดึงดันจะเดินเข้ามาในบ่อน้ำขุ่นนี้ให้ได้”


เผยเฉียนไม่ได้เต้นผางด่าคนอย่างที่หาได้ยาก นางพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ก็นั่นน่ะสิ ไม่อย่างนั้นจะเอาข้ามาอยู่ข้างกายตลอดเวลาหรือ? ทั้งๆ ที่ข้าเป็นตัวขาดทุน พ่อข้ามีเงินมากขนาดนั้น แต่กลับเป็นพวกขี้งก ไม่เคยใช้เงินมือเติบ เหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งก็ยังอยากจะแบ่งใช้เป็นแปดส่วนด้วยซ้ำ”


ยิ่งพูดก็ยิ่งกลุ้ม เผยเฉียนยืดเอวตรง หยิบยันต์กระดาษสีเหลืองแผ่นนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อ แปะเพี๊ยะไว้บนหน้าผากตัวเอง เชิดหน้าขึ้น อมลมจนแก้มพอง เป่าให้ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจปลิวเบาๆ


รถม้าสามคันแล่นจากในเมืองไปยังนอกเมือง


เจิ้งต้าเฟิงนั่งอยู่ในห้องโดยสารรถม้าคันหน้าสุดเพียงลำพัง หลับตาทำสมาธิ พยายามสะกดกลั้นปณิธานหมัดของทั้งร่างเอาไว้ แต่กลับยังมีลางว่ามันจะล้นเอ่อออกมา ทุกครั้งที่รถม้ากระเด้งกระดอนก็จะมีพายุลมกรดแผ่กระเพื่อมไม่หยุดนิ่ง เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่เจิ้งต้าเฟิงหายใจเข้าออก พวกมันก็กลับเข้าไปในร่างกายเขาอย่างรวดเร็ว


ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าขั้นสูงสุดย่อมต้องมีบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว


เดิมทีเฉินผิงอันควรจะนั่งอยู่กับจูเหลี่ยนสุนัขรับใช้ที่เรียกตัวเองว่าบ่าวเฒ่า เพียงแต่สุยโย่วเปียนชิงตัดหน้าไปก่อน จูเหลี่ยนรู้กาลเทศะจึงหัวเราะเฮอๆ แล้วเดินไปนั่งรถม้าคันเดียวกับเว่ยเซี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยง


ในห้องโดยสาร คนทั้งคู่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน


สุยโย่วเปียนเปิดปากถาม “เจ้าโปรดปรานหลูป๋ายเซี่ยง เป็นเพราะเขาเป็นคนแรกที่เปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ พูดบางประโยคให้เจ้าฟังใช่หรือไม่? เจ้าไม่พอใจข้าขนาดนี้เป็นเพราะตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมริมชายแดน ข้าเคยเผยจิตสังหารต่อเจ้า จนเจ้าสัมผัสได้ใช่ไหม?”


เฉินผิงอันถามกลับ “นักพรตเฒ่าบอกว่าหลังจากพวกเจ้าออกมาจากภาพวาด ย่อมต้องซื่อสัตย์ภักดีต่อข้า เป็นเพราะเขาเล่นตุกติกกับสภาพจิตใจของพวกเจ้าใช่ไหม?”


เฉินผิงอันพูดพึมพำกับตัวเอง “แต่ข้ากลับรู้สึกว่าไม่น่าจะใช่ ไม่เพียงแต่ครั้งนั้นที่เจ้าเผยจิตสังหารต่อข้า ในสายตาของข้า พวกเจ้าสี่คนคือคนตายที่มีชีวิตอยู่ เป็นคนย่อมต้องมีอารมณ์ที่ไม่หยุดนิ่ง ต่อให้จิตใจจะสงบดุจน้ำนิ่ง ดุจบ่อโบราณไร้คลื่นแค่ไหน บนเส้นทางของการฝึกตนล้วนไม่มีใครกล้าพูดว่าตนเองไม่เคยเปลี่ยนความตั้งใจเดิม ดังนั้นข้าจึงสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งว่า เหตุใดนักพรตเฒ่าถึงกล้าบอกให้ข้าใช้งานพวกเจ้าได้อย่างวางใจ”


สุยโย่วเปียนเองก็ถามกลับ “เจ้าไม่เชื่อใจ…ท่านเทพเทวาแห่งพื้นที่มงคลดอกบัวของพวกเราหรือ?”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “สำหรับเรื่องนี้ ข้าเชื่อใจนักพรตเฒ่า”


สุยโย่วเปียนยื่นมือมาปาดผ่านฝักกระบี่ชือซินที่วางพาดไว้บนหัวเข่า “พวกเราสี่คนต่างก็ได้รับคำพูดกันคนละหนึ่งประโยค แต่อันที่จริงยังมีอีกประโยคหนึ่งที่คนทั้งสี่ล้วนรู้ดี…เว่ยเซี่ยนนั้นบอกได้ยาก เพราะเขาไม่เคยมาพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับพวกเราสามคน แต่อย่างน้อยข้า หลูป๋ายเซี่ยงและจูเหลี่ยนต่างก็รู้ประโยคนี้”


เฉินผิงอันถาม “บอกได้ไหม?”


สุยโย่วเปียนยิ้มเจื่อน “อันที่จริงก็บอกได้ ก็คือประโยคว่า ‘คนที่ฆ่าเฉินผิงอันตายกับมือตัวเอง จะเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับอิสระ’ ดังนั้นหากเจ้าเชิญข้าออกจากม้วนภาพวาดเป็นคนแรก ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องพยายามฆ่าเจ้าให้ได้ ส่วนเหตุใดทั้งๆ ที่เว่ยเซี่ยนได้เดินออกมาจากภาพวาดเป็นคนแรก แต่กลับไม่ได้ลงมือต่อเจ้า หรือถึงขั้นไม่มีแม้แต่จิตสังหาร ข้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ รอจนศึกที่โรงเตี๊ยม เจ้าเชิญคนสามคนออกมาพร้อมกันจึงกลายมาเป็นสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างคุมเชิงกันเอง ใครก็ไม่ต้องการให้คนอื่นทำสำเร็จ กลายเป็นเพียง ‘หนึ่งเดียว’ คนนั้น”


 เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “แต่ตอนอยู่นอกวัดร้าง เว่ยเซี่ยนพูดเองว่าหากข้าตาย พวกเจ้าล้วนต้องตาย นี่ไม่ขัดแย้งกันเองหรอกหรือ?”


สุยโย่วเปียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากไม่เป็นเพราะเว่ยเซี่ยนโกหกครึ่งหนึ่ง ก็ต้องเป็นเทพเทวาผู้เฒ่าท่านนั้นที่คาดเดาได้ว่าเจ้าจะเชิญเว่ยเซี่ยนออกมาก่อนจึงจงใจไม่พูดประโยคนี้กับเขา แต่ไม่ว่าเว่ยเซี่ยนจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยข้า หลูป๋ายเซี่ยงและจูเหลี่ยนสามคนจะไม่มีทางอนุญาตให้อีกสองในสามคนที่เหลือสังหารเจ้าเด็ดขาด ใครกล้าคิดฆ่าเจ้า เขาก็จะต้องตกเป็นเป้าหมายที่ถูกอีกสองคนที่เหลือหมายหัวสังหาร ไม่ว่าจะมีประโยคที่ไม่รู้ว่าเว่ยเซี่ยนพูดจริงหรือเท็จประโยคนั้นหรือไม่ พวกเราล้วนไม่ยินดีสูญเสียโอกาสที่จะ…ได้เป็นอิสระไป เจ้าเคยเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าของพื้นที่มงคลดอกบัวมาก่อน น่าจะรู้ว่าสำหรับคนอย่างพวกเราแล้ว อิสระ ไม่ใช่สิ่งที่แสวงหาซึ่งจะมีหรือไม่มีก็ได้”


เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไรมากเกี่ยวกับ ‘อิสระ’ ที่สุยโย่วเปียนกล่าวถึง เพียงแค่เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “มิน่าเล่าถึงได้พูดกันว่าคนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต ฟ้าลิขิตได้กำหนดความคิดจิตใจของคนเอาไว้หมดแล้ว”


แต่ไม่นานเฉินผิงอันกลับปฏิเสธข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงนี้ “ไม่ใช่ทุกเรื่องและทุกคนที่จะเป็นอย่างนี้เสมอไป”


สุยโย่วเปียนถามด้วยรอยยิ้ม “ต่อให้ครั้งนี้รอดชีวิตมาได้ คุณชายก็ขาดทุนอย่างหนัก คุ้มแล้วหรือ?”


ใต้หล้าแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไป ภูเขาสูงชันเกินไป ผู้ฝึกตนอยู่ห่างจากโลกมนุษย์ไกลเกินไป คนและเรื่องราวที่ไม่มีคุณค่ามีมากมายเกินไป


เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร เขาเริ่มหลับตาฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู


รถม้าสามคันขับออกไปนอกเมือง มุ่งหน้าตรงไปยังแท่นมังกร



 

 

 


บทที่ 365.2 สถานการณ์ที่มิอาจคลี่คลาย

 

ฝูฉีเริ่มเดินขึ้นบันไดไปบนแท่นมังกรแห่งนั้นเพียงลำพัง


บุรพาจารย์ก่อกำเนิดของตระกูลฝูไม่ได้ปรากฏตัว ฝูตงไห่บุตรชายคนโต ฝูชุนฮวาบุตรสาวคนโต และยังมีฝูหนันหัวบุตรชายคนเล็กของฝูฉีซึ่งเป็น ‘เจ้าบ่าว’ คนใหม่ที่เพิ่งจะแต่งงานกับบุตรสาวสายตรงสุกลเจียงหลินอวิ๋น รวมไปถึงฉู่หยางโอสถทองอันดับหนึ่งแห่งนครมังกรเฒ่าที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่ และข้ารับใช้ผู้ถวายงานอีกกลุ่มหนึ่งต่างก็ยืนกันอยู่ด้านล่างแท่นมังกร


ฉู่หยางสีหน้าเย็นชา หลังจากที่เขาเปิดศึกกับเจิ้งต้าเฟิงไปครั้งหนึ่งก็ได้รับโชคดีหลังโชคร้าย ฝ่าทะลุคอขวดใหญ่ได้สำเร็จ กลายเป็นเทพเซียนก่อกำเนิด แต่วันนี้ก่อนหน้าที่ฝูฉีจะเดินขึ้นแท่น ผู้ฝึกตนเฒ่ากลับพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ เขาก็จะไม่เข้าร่วมเรื่องเละเทะครั้งนี้อีก คราวก่อนยอมแหกกฎของตัวเองออกจากกระท่อมริมทะเลไปขัดขวางเจิ้งต้าเฟิงที่ตระกูลฝูถือว่าได้ทำหน้าที่ของผู้ถวายงานตระกูลฝูอย่างเต็มที่แล้ว สำหรับเรื่องนี้ฝูฉีไม่มีความเห็นต่าง เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่าวันหน้าฉู่เหล่าแค่ยิ้มมองคลื่นโถมตัวขึ้นลงบนทะเลผืนนี้ก็พอ จะไม่มีความวุ่นวายในโลกมนุษย์มารบกวนการฝึกตนอย่างสงบของฉู่เหล่าอีกแล้ว


ฝูตงไห่สีหน้าไร้อารมณ์ มองไม่ออกว่าดีใจหรือเสียใจ


เดิมทีเขาคิดว่าในช่วงเวลาที่ฝูหนันหัวลำพองใจมากที่สุด ตนวางแผนเล่นงานเจิ้งต้าเฟิงคือการสร้างคุณความชอบที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กให้แก่ตระกูลฝู สามารถข่มกำราบพลังอำนาจของฝูหนันหัวน้องชายลงได้บ้าง


ไหนเลยจะรู้ว่าเรื่องจะลุกลามมาถึงขั้นนี้ หลังจากที่เขาถูกเจิ้งต้าเฟิงทำร้ายให้บาดเจ็บหนักอยู่หน้าจวน ฝูฉีบิดาผู้เป็นเจ้านครถึงขั้นไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็น ทั้งไม่ลงโทษและไม่มีคำปลอบใจ ราวกับเห็นบุตรชายคนโตอย่างเขาเป็นคนตายไปแล้ว นี่ต่างหากที่ทำให้ฝูตงไห่คลุ้มคลั่งมากที่สุด ในฐานะเจ้าประมุขตระกูลฝู อีกทั้งยังสวมตำแหน่งเจ้านครมังกรเฒ่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกิจธุระในตระกูลหรือสถานการณ์ต่างๆ ในนครมังกรเฒ่า ฝูฉีล้วนเป็นคนที่ ‘พูดง่ายมาก’ มาโดยตลอด ยกตัวอย่างเช่นเขาไม่เคยข่มเหงหรือรังแกเพื่อห้ามปรามไม่ให้แซ่ใหญ่แซ่อื่นเจริญรุ่งเรือง สำหรับพวกเศษสวะที่ไม่อาจฝึกตนในตระกูลก็ยิ่งปฏิบัติด้วยเป็นอย่างดี แต่ในช่วงเวลาที่ฝูฉีพูดไม่ง่ายนั้น แม้แต่ผู้สืบทอดสายตรงอย่างฝูตงไห่ ฝูชุนฮวา เห็นแล้วก็ยังรู้สึกเหน็บหนาวไปถึงขั้วหัวใจ


ฝูชุนฮวาเงยหน้ามองแผ่นหลังสูงใหญ่ที่กำลังเดินขึ้นสู่ที่สูงทีละก้าวนั้นด้วยสายตาเลื่อนลอย


นางยังจำภาพเหตุการณ์ตอนนั้นที่บิดาพานางไปหาเจิ้งต้าเฟิงได้ดี ทั้งสองฝ่ายไม่ถือว่าพูดคุยกันถูกคอ แต่ก็ไม่ถึงขั้นแยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์ เพียงแค่ปณิธานแตกต่างไม่อาจร่วมทางก็เท่านั้น และนับแต่วันนั้นมาทั้งสองฝ่ายก็เป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง


ทว่าการกระทำเล็กๆ ของฝูตงไห่ในครั้งนี้กลับก่อให้เกิดคลื่นลมมรสุมใหญ่ถึงเพียงนี้ ในฐานะคนนอกสถานการณ์ครึ่งตัว ฝูชุนฮวากลับมองเหตุการณ์ได้ทะลุปรุโปร่งยิ่งกว่าฝูตงไห่ที่กระวนกระวายไม่เป็นสุข อันที่จริงฝูฉีผู้เป็นบิดาไม่ได้โกรธที่ครั้งนี้ฝูตงไห่ทำตัวอวดฉลาด กลับยังคล้ายจะดีใจอยู่เนืองๆ ด้วยซ้ำ เหมือนคนโง่เขลาคนหนึ่งที่ไม่เคยฝากความหวังไว้ให้ วันหนึ่งกลับจับผลัดจับผลูช่วยคนฉลาดที่รอคอยอย่างยากลำบากมานาน แต่กลับไม่อาจเข้ามาข้องเกี่ยวในเรื่องนี้ให้ทำเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งได้สำเร็จ


ฝูหนันหัวบุตรชายคนเล็กของฝูฉีที่ถูกคนเรียกขานว่า ‘เจ้านครน้อย’ มาโดยตลอดรู้สึกเบื่อหน่ายที่สุด


เจิ้งต้าเฟิงย่อมต้องตายอยู่บนแท่นมังกรอย่างไม่ต้องสงสัย


ส่วนบุตรสาวสายตรงสกุลเจียงคนนั้น ได้แต่งงานกราบไหว้ฟ้าดินกันอย่างยิ่งใหญ่ก็จริง แต่หลังจากเข้าห้องหอกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา ฝูหนันหัวรู้สึกว่าสามารถรับได้ เพียงแต่ว่าหน้าตาของนางอยู่นอกเหนือจากการคาดการณ์ของผู้คน ไม่ได้อ้วนฉุอัปลักษณ์อย่างที่เล่าลือกันภายนอก ต่อให้เปรียบเทียบกับจินซู่แห่งเกาะกุ้ยฮวาที่เขาเคยชอบในอดีตก็มีแต่จะเหนือกว่า ไม่มีด้อยกว่า แต่ฝูหนันหัวกลับไม่ได้สัมผัสความงามของนางเลยสักนิดเดียว เพราะว่าตอนนั้นที่คู่แต่งงานใหม่ซึ่งในนามถือว่าเป็นคู่สร้างคู่สมเข้าห้องหอกัน นอกจากบุตรสาวสายตรงสกุลเจียงที่ถอดชุดแต่งงานเปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงอย่างในเวลาปกติแล้ว ด้านหลังยังมีหมัวมัวผู้อบรมยืนอยู่อีกคน


ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดมากประสบการณ์ท่านหนึ่งที่สกุลเจียงเลี้ยงเอาไว้


ฝูหนันหัวหรือจะกล้าทำอะไร แค่มองบุตรสาวสกุลเจียงหรือภรรยาของตัวเองนานหน่อยก็ถูกหมัวมัวผู้อบรมท่านนั้นตวัดสายตาคมกริบมองมา มีเรื่องด้วยไม่ได้แล้วยังจะหลบเลี่ยงไม่ได้อีกหรือ ดังนั้นหลังจากนั้นมาฝูหนันหัวก็ไม่หาเรื่องน่าเบื่อใส่ตัวอีก นอกจากบางสถานการณ์ที่ต้องรักษาหน้าตาแล้วก็มีน้อยครั้งที่เขาจะหาเรื่องไปอยู่กับนางและหมัวมัวเฒ่าให้ตัวเองอึดอัดใจ ส่วนสตรีผู้นั้นก็เป็นคนรักษาคำพูด ต่อให้เป็นเงินที่ฝูหนันหัวออกไปดื่มเหล้ากับเพื่อน นางก็เป็นคนออกให้


ฝูหนันหัวรู้สึกว่าชีวิตแต่งงานใหม่เช่นนี้ดีมากแล้ว คนเราต้องรู้จักพอ


เดิมทีเขาก็แค่แต่งกับสถานะของบุตรสาวสายตรงสกุลเจียงเท่านั้น สำหรับสตรีที่หน้าตางดงามเช่นนาง อยู่ในนครมังกรเฒ่าขอแค่ยอมทุ่มเงินก็หาได้หลายคน


ตระกูลติงยืนอยู่ตรงกลาง ตระกูลฟางและตระกูลโหวยืนขนาบอยู่ฝั่งซ้ายขวา


เพียงแต่ว่าวันนี้ตู้เหยี่ยน ‘ลูกเขย’ ของตระกูลติงที่มีประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่จากสำนักใบถงกลับไม่ได้เผยโฉม


ไม่มาก็ดีเหมือนกัน บุคคลจากสามสกุลใหญ่ของนครมังกรเฒ่าที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกันนี้จะได้พูดคุยกันผ่อนคลายมากขึ้น ไม่ต้องคอยคาดเดาจิตใจของผู้สืบทอดสายตรงสำนักใบถงผู้นั้นตลอดเวลา กลัวว่าหากไม่ทันระวังพูดผิดไป หายนะจะมาเยือน


ถึงอย่างไรสำนักใหญ่ตระกูลเซียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทวีปใหญ่ก็มีรากฐานลึกล้ำ ต่อให้ตระกูลใหญ่ทั้งหมดของนครมังกรเฒ่าซึ่งถือว่าเป็นเศรษฐีในแจกันสมบัติทวีปมารวมตัวกันก็ยังไม่อาจต้านทานได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่แต่ไหนแต่ไรมา ‘ลูกหลานตระกูลพ่อค้า’ ที่ถูกเยาะหยันว่าเป็นพวกฉวยโอกาสแสวงหากำไรอย่างพวกเขาก็เป็นดั่งเม็ดทรายกระจัดกระจายที่ไม่อาจรวมตัวกันได้อยู่แล้ว


เดิมทีแจกันสมบัติทวีปก็เป็นทวีปที่เล็กที่สุดในเก้าทวีปอยู่แล้ว แต่สำนักใบถงกลับเป็นสำนักตระกูลเซียนที่ใหญ่ที่สุดของใบถงทวีปซึ่งอยู่ทางทิศใต้


แขนใหญ่สู้ต้นขาไม่ได้ (เปรียบเปรยว่าอ่อนแอสู้แข็งแกร่งไม่ได้) ตระกูลฟางและตระกูลโหวต่างก็แอบดีใจ ถึงอย่างไรตู้เหยี่ยนที่สถานะสูงศักดิ์ยอมปกป้องตระกูลติงก็เพียงแค่เพื่อสตรีแซ่ติงคนหนึ่ง ไม่ใช่บุรพาจารย์ผู้เต็มไปด้วยตำนานอันน่าสนใจที่อยู่เบื้องหลังเขาผู้นั้นที่เกิดความสนใจในนครมังกรเฒ่า


ตอนนี้ตระกูลติงตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถมากที่สุด ถูกเจิ้งต้าเฟิงคนเดียวเล่นงานจนจวนเกือบจะทะลุพังถล่ม


แต่วันนี้ลูกหลานตระกูลฟางที่เป็นตัวการของเรื่องร้ายกลับโอหังลำพองใจอย่างยิ่ง ไม่มีท่าทางห่อเหี่ยวเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้กำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานอยู่กับคนของตระกูลโหวซึ่งเป็นสหายที่นิสัยชั่วร้ายพอๆ กับเขา


เขาจะไม่อารมณ์ดีได้อย่างไร เจ้าคนบ้าแซ่เจิ้งผู้นั้นใกล้จะถูกซ้อมตายอยู่บนแท่นมังกรแล้ว เขายังเตรียมเงินก้อนใหญ่ไว้แล้วด้วย ขอแค่กลับไปถึงเมืองก็จะจัดงานเลี้ยงใหญ่ทันที สตรีคนใดก็ตามที่เคยเป็นลูกจ้างในร้านยาฮุยเฉินมาก่อน ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อย หน้าตางดงามหรืออัปลักษณ์ก็จะต้องถูกโยนเข้าไปในซ่องชั้นต่ำที่สุดของนครมังกรเฒ่าเพื่อเป็นหญิงคณิกา เจ้าเจิ้งต้าเฟิงทำเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ก็เพียงแค่เพื่อนางแพศยาในโคลนตมคนหนึ่งไม่ใช่หรือ ตอนนี้เสียใจภายหลังแล้วหรือไม่?


ตระกูลซุนกับตระกูลฟ่านอยู่ห่างจากคนสองกลุ่มจากตระกูลฝูและตระกูลติงฟางโหวไปไกลมาก


อีกทั้งคนของทั้งสองตระกูลที่มาร่วมความครึกครื้นครั้งนี้ก็มีน้อยมาก


ซุนเจียซู่เจ้าประมุขตระกูลซุนไม่ได้ปรากฏตัว ตระกูลฟ่านก็มีแค่ผู้เฒ่าที่ดูแลควันธูปในศาลบรรพชนคนเดียวที่มา คนอื่นๆ ล้วนเป็นลูกหลานสายรองที่ความสามารถพอจะโดดเด่นอยู่บ้าง


เมื่อรถม้าสามคันขับเคลื่อนเข้ามาในม่านสายตา


กลุ่มของสกุลใหญ่ที่ต่างก็มีกิจการอยู่ในนครมังกรเฒ่าไม่ได้ส่งเสียงดังเอะอะใดๆ ไม่ได้ชี้ไม้ชี้มือใส่ ต่อให้เป็นลูกหลานตระกูลฟางที่มั่นใจว่าเจิ้งต้าเฟิงต้องตายอยู่บนแท่นมังกรก็ยังกลั้นหายใจทำสมาธิ หุบรอยยิ้มลง


ไม่ว่าจะนิสัยดีหรือชั่วร้าย


วันนี้คนที่สามารถยืนอยู่ที่นี่ล้วนเป็นหน้าเป็นตาของตระกูลได้ไม่มากก็น้อย ไม่มีใครที่เป็นคนโง่จริงๆ


ก็เหมือนกับการชมศึกครั้งนี้ เหตุใดทุกตระกูลถึงไม่ได้ให้เซียนดินเรียกสมบัติอาคมออกมาใช้ ไม่ยืนอยู่ในศาลา หอเก๋ง เรือข้ามฟากขนาดเล็ก ไม่บินทะยานไปกลางอากาศ ให้ทุกคนได้มองเห็นสนามรบอย่างชัดเจนและสบาย? แต่ยอมยืนอยู่ด้านล่างหอมังกรแต่โดยดี เพียงแค่ใช้เวทคาถาบนภูเขาที่คล้ายคลึงกับ ‘บุปผาในกระจกจันทราในธารา’ มาชมศึกแทนเท่านั้น?


ถึงขั้นไม่มีใครกล้าเสนอความเห็นนี้


นี่ก็คือพลังอำนาจยิ่งใหญ่ที่ตระกูลฝูสะสมมานานเป็นพันปี และยังเป็นความฉลาดเฉลียวที่คนของตระกูลใหญ่และตระกูลพ่อค้าในนครมังกรเฒ่าสมควรมี


รถม้าสามคันจอดลงช้าๆ อยู่ใกล้กับแท่นมังกร


สายตาของคนในตระกูลฝูคลุมเครือ แน่นอนว่าไม่มีใครกระโดดออกมาพูดจาท้าทายใส่กลุ่มของเจิ้งต้าเฟิง เพราะอาจจะตายได้ อีกทั้งยังทำให้ตระกูลฝูขายหน้า หากเป็นอย่างนั้นแม้แต่คนตระกูลฝูเองก็ยังรู้สึกว่าคนผู้นั้นตายไปก็ไม่น่าเสียดาย อย่าได้อยู่ให้สิ้นเปลืองเงินทองของตระกูลอีกเลย


เจิ้งต้าเฟิงเดินขึ้นไปบนแท่นสูงเพียงลำพัง


ไม่ได้มีคำบอกลาใดๆ กับพวกเฉินผิงอัน แค่เดินก้าวยาวๆ ขึ้นไปยังที่สูงเท่านั้น


เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน ไม่นานก็ดึงสายตากลับมา เพียงแค่เงยหน้ามองไปตามขั้นบันไดเท่านั้น


ฝูหนันหัวที่อยู่ห่างไปไกลจ้องมองเจ้าหมอนี่ด้วยความประหลาดใจอย่างหนัก เด็กหนุ่มผอมดำแห่งตรอกหนีผิงในปีนั้นโชคดีไม่น้อยเลยจริงๆ หลังออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีก็มีพื้นฐานเช่นนี้แล้ว ไม่เพียงแต่ไม่อ้อมผ่านเขาฝูหนันหัวและนครมังกรเฒ่าไป กลับกันยังบุกเข้ามาก่อกวนสถานการณ์ อีกทั้งคราวก่อนในกลุ่มคนที่เดินทางมาอวยพร ไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรืองทีเดิมทีควรตายจนตายไปมากกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว ไม่เพียงแต่มีชีวิตรอดออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู พอกลับไปถึงภูเขาเมฆาเรือง ตบะของนางไม่เพียงไม่ถอยกลับยังรุดหน้า อีกทั้งวันนั้นหลังจากที่นางพบตน ท่าทางของไช่จินเจี่ยนก็มีค่าพอจะให้คนขบคิด


หลังจากที่เจิ้งต้าเฟิงเดินเข้าไปยังจุดที่สูงที่สุดของแท่นมังกรแล้ว


เส้นสายตาของเฉินผิงอันจึงมองเลยไปยังจุดที่สูงยิ่งกว่า ตรงนั้นคือทะเลเมฆผืนหนึ่ง เพียงแต่ว่าเมื่อตัวอยู่ในอาณาเขตของนครมังกรเฒ่า เงยหน้ามองไปกลับมองไม่เห็น มีเพียงนั่งโดยสารเรือข้ามฟาก หลุบตามองลงมาจากที่สูงเท่านั้นถึงจะเห็นทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่และงดงามนี้


ตามคำบอกของเจิ้งต้าเฟิง ทะเลเมฆผืนนี้ต่างหากถึงจะเป็นรากฐานที่ทำให้ตระกูลฝูหยัดยืนอยู่ในนครมังกรเฒ่ามานานนับพันปีได้อย่างแท้จริง


มีประวัติศาสตร์ยาวนานจนสามารถย้อนทวนไปถึงช่วงเวลาที่มังกรแท้จริงตัวสุดท้ายบนโลกขึ้นฝั่งที่แจกันสมบัติทวีปได้เลย


หลังจากนั้นมาถึงได้มีเส้นทางมังกรเดินใต้ดินสายนั้น มีการเข่นฆ่านองเลือดที่ผู้ฝึกตนใหญ่ของถ้ำสวรรค์หลีจูตายกันเป็นใบไม้ร่วง มีซุ้มประตูก้ามปูและเมืองเล็กแห่งนั้น มีบ่อน้ำ มีค่ำคืนที่หิมะใหญ่ตกกระหน่ำ มีเด็กสาวที่เกือบจะแข็งตายมาล้มลงหน้าประตูบ้านบรรพบุรุษของเฉินผิงอันในตรอกหนีผิง มีเหตุการณ์ที่เฉินผิงอันช่วยนางไว้โดยบังเอิญ แต่นางกลับไปอยู่บ้านข้างๆ ไปเป็นสาวใช้ของซ่งจี๋ซิน


นักพรตเฒ่าตงไห่พาเฉินผิงอันเดินท่องไปในพื้นที่มงคลดอกบัวไม่รู้กี่ปี ไม่รู้ว่าเป็นระยะทางกี่หมื่นลี้ ระหว่างนั้นผู้เฒ่าเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘เรื่องราวบนโลก ล้วนมีเส้นสายที่สามารถมองเห็น ทุกความคิดของคนบนโลก ล้วนมีแนวทางให้สืบเสาะ’


เพียงแต่ว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ที่เฉินผิงอันยังไม่อาจศึกษาใคร่ครวญได้อย่างลึกซึ้ง


เหนือศีรษะของทุกคน บนทะเลเมฆผืนใหญ่ยักษ์มีสตรีสวมชุดกระโปรงสีเขียวคนหนึ่งนอนอยู่ นางเหม่อมองม่านฟ้าเบื้องบนที่ปกป้องอาณาประชาราษฎร์ของใต้หล้าเอาไว้ หากสามารถมองไปได้ไกลกว่านี้อีกหน่อยก็คงดี


เพียงแต่ว่ามองเห็นแล้วอย่างไร ราชวงศ์บนโลกมนุษย์ แคว้นล่มสลาย แต่แม่น้ำและภูเขายังคงอยู่ ถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ใบหญ้าก็ยังคงแผ่ปกคลุมเมือง นาง ซุนเจียซู่ในนครมังกรเฒ่าที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า สตรีคนนั้นที่เคยพบหน้ากันครั้งหนึ่งริมลำคลองหลงซวี และน่าจะมีคนอีกบางส่วน แต่พวกเขาล้วนทำไม่ได้


ส่วนนังหนูผู้นั้นที่ก่อนหน้านี้เดินขึ้นมาบนแท่นมังกร หวังจะช่วงชิงทะเลเมฆ น่าจะเป็นเพราะต้องการซ่อมแซมชุดคลุมมังกรที่ตระกูลฝูสร้างขึ้นชิ้นนั้นให้สมบูรณ์ ถึงเวลานั้นก็มีหวังว่าจะขยับชุดคลุมมังกรเฒ่าที่เป็นอาวุธกึ่งเซียนให้กลายเป็นอาวุธเซียนที่สมชื่อชิ้นหนึ่งได้สำเร็จ


นี่เป็นเรื่องที่ฟ่านจวิ้นเม่าสนใจอย่างยิ่ง


การช่วงชิงบนมหามรรคามีอันตรายรายล้อมรอบด้านยิ่งกว่าการเดิมพันด้วยชีวิต


เหมือนกับนาง ตายไปหนึ่งครั้ง ไม่นับเป็นอะไรได้


ขอแค่ควันธูปบนมหามรรคายังไม่ขาดสาย ย่อมสามารถหวนกลับมาใหม่ได้อีกครั้ง


ดังนั้นผู้เฒ่าในร้านตระกูลหยางจึงเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่อาจตาย ขอแค่ผู้เฒ่ายังสามารถพ่นควันโขมงอยู่ที่นั่นได้ นางที่ชีวิตนี้อาศัยเรือนกายของฟ่านจวิ้นเม่า หลี่หลิ่วบุตรสาวของหลี่เอ้อร์ คนทุกคนที่ผู้เฒ่าเลือกไว้ แม้ตัวตาย แต่มรรคาก็ไม่ต้องดับสลาย


ดังนั้นหากพูดถึงใต้หล้าแห่งนี้ นอกจากผู้เฒ่าแล้ว ฟ่านจวิ้นเม่ายังจะกลัวใครอีกเล่า


คำตอบคือไม่มี


ต่อให้เป็นบรรพจารย์สามลัทธิที่เดินไปถึงปลายทางบนมรรคาแล้ว หากพวกเขาทั้งสามคนมาเยือนนครมังกรเฒ่า ใช้วิชาอภินิหารที่สูงส่งยิ่งกว่าของผู้เฒ่า เพียงแค่ดีดนิ้วนางก็สามารถแหลกสลายกลายเป็นผุยผงได้ตามความหมายที่แท้จริง ถึงอย่างนั้นนางก็คงแค่เคียดแค้นอยู่ในใจ แต่ไร้ซึ่งความเคารพยำเกรง


ในข้อนี้ ฟ่านจวิ้นเม่ากับจื้อกุยที่เดินขึ้นบนหอสูง มหามรรคาแตกต่าง แต่จิตใจกลับเชื่อมโยงถึงกัน


นางพลันลุกขึ้นยืน มองฝูฉีที่อยู่บนแท่นมังกรด้วยความสงสัยไม่เข้าใจ


เจิ้งต้าเฟิงเดินไปถึงยอดบนสุดแล้ว


ฝูฉีตั้งมั่นพร้อมต่อสู้


—–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)