หมอดูยอดอัจฉริยะ 363-368
ตอนที่ 363 ศิษย์พี่ใหญ่ (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“การเจริญสติของศิษย์พี่ถึงระดับกลับสู่พื้นฐานจริงๆ! ”
เยี่ยเทียนสามารถรู้สึกได้ว่าคำพูดที่ออกจากศิษย์พี่ของตนเองคนนี้ล้วนเป็นความจริงใจทั้งหมด การเจริญสติของเขา
แบบนั้นเกือบจะถึงจุดฟ้าดินและมนุษย์เป็นหนึ่งเดียวแล้ว และไม่ถูกรบกวนโดยความวุ่นวายของโลกอีก
เดิมทีหลี่ซั่นหยวนถือว่าเป็นข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆในการเจริญสติของโก่วซินเจีย แต่ในเวลานี้ บนโลกนี้ไม่มีสิ่ง
ใดสามารถแตกหักหัวใจเต๋าของเขาได้อีกแล้ว ถ้าเอาไว้ในสมัยโบราณ จะเป็นตัวละครเทพยดาพื้นดินอย่างแน่นอน
ก็เหมือนกับนักพรตซานเฟิงในสมัยราชวงศ์หมิงตอนต้น ทำตัวบ้าระห่ำและถูกคนเรียกขานว่าเป็นนักพรตเต๋าที่สกปรก แต่กลับไม่มีคนรู้จัก นั่นเป็นเพียงการแสดงของการมองสรรพสิ่งทะลุปลอดโปร่งและหวนกลับคืนสู่ความจริงของนักพรตซานเฟิงเท่านั้น
“เอาเถอะ นายไปโทรศัพท์เถอะ ฉันเพิ่งขุดอึ่งเจ็งมาได้สองอัน เอาไปต้มโจ๊กให้นายหน่อย!”
การมองสรรพสิ่งทะลุปลอดโปร่งไม่ได้แสดงถึงการจะกลายเป็นสัตว์ที่เลือดเย็น ตรงกันข้าม คนเช่นนี้จะยิ่งไม่ปกปิด
ความรู้สึกความชอบของตนเองมากขึ้น เมื่อเห็นศิษย์น้องสำนักเดียวกัน ความดีใจของโก่วซินเจียนั้นยิ่งเกินคำบรรยาย
“ได้ครับ ผมโทรเดี๋ยวนี้แหละ ถ้าศิษย์พี่ไม่พูด ผมเกือบลืมไปเลย” หลังจากได้ยินโก่วซินเจียเอ่ยถึงเรื่องนี้ เยี่ยเทียนก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้โทรศัพท์เลย จึงหัวเราะแฮะๆและรีบกดเบอร์โทรศัพท์ของหลิวติงติง
จัวเจียจวิ้นกับเยี่ยเทียนเป็นคนธรรมชาติ ปกติไม่ค่อยชอบพกมือถือสักเท่าไหร่ คนฮ่องกงมากมายรู้ว่าถ้าต้องการหา
ปรมาจารย์จั่ว ก่อนอื่นต้องหาคุณหนูบ้านหลิวให้พบเสียก่อน
“ฮัลโหล ใครเหรอคะ?”
หลังจากโทรติดแล้ว เสียงของหลิวติงติงไม่ค่อยมีชีวิตชีวาสักเท่าไหร่ เนื่องจากการหายตัวไปของเยี่ยเทียน อารมณ์ของคุณตากลายเป็นกระวนกระวายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่แค่สองสามวันเท่านั้นหลิวติงติงโดนคุณตาต่อว่าไปแล้ว
หลายครั้ง
“ฉันคือเยี่ยเทียน!”
เยี่ยเทียนเพิ่งจะเอ่ยนามของตนเองออกไป เสียงร้องแหลมจากสายก็ดังขึ้นมาอย่างไม่ทันป้องกัน จึงต้องรีบเอามือถือ
ห่างออกไป ปากก็ด่าทอว่า “เด็กผู้หญิงคนนี้ิ่ จะแต่งออกไปได้ไหมเนี่ย?”
ตามปกติแล้วถ้าหลิวติงติงได้ยินคำนี้ คงจะพูดกับเยี่ยเทียนยกใหญ่เลยทีเดียว แต่เวลานี้ดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีอารมณ์แบบนั้น หยิบมือถือเอาไว้และพุ่งออกไปข้างนอก
……-
“น้องจั่ว เรื่องนี้เป็นความผิดของฉันเอง ฉันไม่ควรให้เยี่ยเทียนมาที่ไต้หวันเลย!”
ในห้องนั่งเล่นห้องสวีทของโรงแรมนี้ ถังเหวินหย่วนกำลังเผชิญหน้าอยู่กับจัวเจียจวิ้น เขารู้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ขัดใจต่อ
เพื่อนเก่าของเขาคนนี้จนเข้ากระดูกเลยทีเดียว
“ไม่ ปรมาจารย์จั่ว ถ้าจะโทษ ก็โทษเสี่ยวเสี่ยว ถ้าไม่ใช่เพราะปรมาจารย์เยี่ยช่วยเสี่ยวเสี่ยวตามหาสามีก็คงไม่เจอ
เรื่องนี้แบบนี้หรอก!”
เยี่ยเทียนเกิดเรื่องแล้ว ในฐานะเจ้าของเรื่องอย่างกงเสี่ยวเสี่ยวก็ถือว่ามีความรับผิดชอบสูง เธอเก็บเถ้ากระดูกของสามีเสร็จและไม่ได้นำกลับไปทำพิธีงานศพที่ฮ่องกง แต่ใช้กำลังแรงของเธอทั้งหมดค้นหาเยี่ยเทียนที่ไต้หวันมาโดยตลอด
“เห้ ไม่โทษพวกคุณหรอก!”
จัวเจียจวิ้นรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อยสะบัดมือไปมา เยี่ยเทียนเองเป็นคนของฉีเหมินอยู่แล้ว เขาไม่สามารถทำนายได้เลยว่าตอนนี้เยี่ยเทียนเป็นหรือตาย ปกติวิชาดูดวงที่ไม่เคยผิดพลาด แต่ตอนนี้กลับไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เลยสักนิด
หยิบแก้วน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมาดื่มน้ำ จัวเจียจวิ้นคิดถึงเรื่องนึงขึ้นมา มองไปที่ถังเหวินหย่วนและถามว่า “ว่าแต่เหล่าถัง ผู้กำกับที่ชื่อจางจือซวนคนนั้นหาเจอหรือยัง?”
คำสุภาษิตเคยกล่าวไว้ว่าบนโลกนี้ไม่มีกำแพงสุญญากาศ ถึงแม้จางจือซวนจะเป็นคนรอบคอบ แต่หลวนเก้อหนาน เคยปล่อยข่าวว่าจะลอบฆ่าเยี่ยเทียนออกไป ถ้าไล่ตามเส้นทางเส้นนี้จะทำให้จางจือซวนมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
“หวาเซิ่งไปออสเตรเลียแล้ว เชื่อว่าพรุ่งนี้จะสามารถนำเขากลับไปฮ่องกงได้!”
ถังเหวินหย่วนได้ข่าวเรื่องที่จางจือซวนเป็นผู้ว่าจ้างนักฆ่าแล้ว โกรธมากถึงที่สุดจนหยุดไม่ได้ เขาจีงติดต่อองค์กร หงเหมินต่างประเทศภายในคืนนั้นและให้คนไปควบคุมจางจือซวนเอาไว้ และให้หวาเซิ่งพาคนไปด้วยตนเอง
“โอเค ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่มีข่าวคราวของเยี่ยเทียนอีก ฉันจะกลับฮ่องกงก่อน!”
จัวเจียจวิ้นพยักหน้า พูดว่า “พวกคุณนั่งลงก่อน ฉันออกไปถามอาเหลียงก่อนว่ามีอะไรเพิ่มเติมไหม?” ความสัมพันธ์
ของจัวเจียจวิ้นกับเฉินเซี่ยวหลี่ไม่เลวทีเดียว ครั้งนี้สามารถใช้แก๊งป่าไผ่ได้ก็เพราะความสัมพันธ์นี้ด้วย
“คุณตา คุณตา!”
จัวเจียจวิ้นเพิ่งลุกขึ้น ประตูของห้องก็ถูกเปิดออก หลิวติงติงพุ่งเข้ามาเหมือนกับพายุเข้า แยกเขี้ยวยิงฟันพุ่งเข้าใส่จั่วเจียจวิ้น
“ทำอะไร! บ๊องๆไม่มีสติเลย?”
ในใจของจัวเจียจวิ้นตอนนี้กำลังเบื่อหน่าย มองเห็นหลานสาวสภาพเช่นนี้ จึงใช้มือขวาทั้งจับทั้งเหวี่ยงหลิวติงติงลงบนโซฟา
หลิวติงติงลุกขึ้นอย่างน้อยใจเล็กน้อย หยิบมือถือและพูดว่า “คุณตา……โทรศัพท์จากคุณอา!”
“อะไรนะ?”
“โทรศัพท์จากเยี่ยเทียน?”
“ฮัลโหล เยี่ยเทียน? ใช่เยี่ยเทียนหรือเปล่า? ทำไมไม่พูดละ?!”
ถังเหวินหย่วนกับกงเสี่ยวเสี่ยวที่นั่งอยู่ลุกขึ้นมาพร้อมๆกัน จัวเจียจวิ้นยิ่งกว่าแย่งโทรศัทพ์มาและทักคนที่อยู่ในสายไปหลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีเสียงตอบรับใดๆกลับมา
“ไอ้เด็กบ้า กล้าหลอกตาเหรอ?!” ตาของจัวเจียจวิ้นจ้องเขม่นใส่หลิวติงติง
หลิวติงติงพูดตอบอย่างอ่อนน้อมว่า “คุณตา ถือโทรศัพท์กลับหัว”
“หืม?” จัวเจียจวิ้นหน้าแดงทันที รีบหมุนโทรศัพท์กลับมาและแนบไปใกล้หู
“ศิษย์พี่ โมโหใส่ติงติงขนาดนี้ทำไม?” เยี่ยเทียนได้ยินสิ่งที่จัวเจียจวิ้นพูดเมื่อครู่ได้อย่างชัดเจน
“เยี่ยเทียน นายไปอยู่ที่ไหน? ทำไมไม่โทรศัพท์กลับมาเลย? ถ้านายยังไม่รับโทรศัทพ์อีก แม่ของนายก็คงจะมาที่
ไต้หวันแล้ว!”
ได้ยินน้ำเสียงที่เยาะเย้ยของเยี่ยเทียนแล้ว จัวเจียจวิ้นนำทุกเรื่องมารวมกันและโกรธมาก อายุของคนสามคนในห้องรวมๆกันแล้วมากกว่า 250 ปี ทุกคนล้วนเป็นห่วงเยี่ยเทียน แต่เจ้าหนุ่มนี่กลับพูดจาตัดกำลังใจอย่างไม่มีหัวใจ
“แม่ผม?” เสียงของเยี่ยเทียนในสายสะอึกไปหนึ่งครั้ง และพูดต่อว่า “ศิษย์พี่ อย่าให้เขามานะ ผมไม่เป็นอะไรเลย!”
เยี่ยเทียนมีความต้องการความรักจากแม่ตั้งแต่เด็ก แต่กลับไม่อยากพบหน้าแม่ในเวลานี้ ส่วนสาเหตุเพราะอะไรเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะยังรู้สึกโกรธเกลียดแม่อยู่ข้างในลึกๆมั้ง?
“โอเค ฉันจะบอกเขานะ” จัวเจียจวิ้นตอบตกลงและถามต่อว่า “เยี่ยเทียน นายอยู่ที่ไหน? ฉันไปรับนายกลับมา!”
“พี่จะมารับผม?” เยี่ยเทียนได้ยินและอึ้งอีกครั้ง “ศิษย์พี่ พี่อยู่ที่ไต้หวันแล้ว?”
“พูดไรบ้าๆ เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ จะไม่ให้ฉันมาได้ยังไง?”
จัวเจียจวิ้นไม่พูดดีดี ศิษย์น้องของตนเองนั้นไม่มีหัวจิตหัวใจเอาซะเลย ทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้กลับไม่บอกกล่าวอะไร
และหลบซ่อนซะอย่างนั้น
จุดประสงค์ที่กลุ่มเทียนหลงไล่ฆ่าเยี่ยเทียนนั้นชัดเจนมากจนไม่มีความน่าสงสัยเลย และเจ้าของเรื่องอย่างเยี่ยเทียนกลับหายสาบสูญไป เท่ากับว่าเยี่ยเทียนนี่แหละเป็นคนต้องสงสัยที่ใหญ่ที่สุดของเรื่องคนตาย 22 คน
ถึงจะเข้าใจว่าเยี่ยเทียนป้องกันตัวอย่างถูกต้อง แต่ผลของคนตาย 22 คน ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาถูกบันทึกในรายการที่ต้องการของตำรวจสากลแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะจัวเจียจวิ้นและถังเหวินหย่วนเป็นต้น ช่วยกันทำเรื่องนี้ให้เงียบลงไป เกรงว่าฝั่งไต้หวันก็คงไม่ใช่การหา
ตัวเยี่ยเทียน แต่จะส่งกองกำลังตำรวจไปจับเยี่ยเทียนแทน
“เหอะ ดีเลย ศิษย์พี่มาได้พอดีมาก!”
สิ่งที่ทำให้จัวเจียจวิ้นคิดไม่ถึงก็คือ เยี่ยเทียนแสดงความดีใจและตะโกนออกมาจากสายในโทรศัพท์ ทั้งหัวเราะทั้งร้อง
ไห้พูดว่า “ศิษย์น้อง ครั้งนี้เกี่ยวข้องในวงกว้างมาก แม้แต่คนชั้นสูงในพื้นที่เองก็ถูกกระทบ พี่ว่า……นายช่วยจริงจังหน่อยได้
ไหม? ”
ถึงแม้จะมีฐานะเป็นศิษย์พี่ของเยี่ยเทียน แต่เยี่ยเทียนคือเจ้าของสำนักเสื้อป่าน จัวเจียจวิ้นก็ไม่กล้าใช้คำพูดที่รุนแรงมากกว่านี้ ทำได้เพียงกระตุ้นอย่างอ้อมๆกับเยี่ยเทียน
“ศิษย์พี่ ฉันหาศิษย์พี่ใหญ่เจอแล้ว พี่รีบมา ฉันอยู่ที่วัดเต๋าของเขาฝ่อกงซาน พี่มาเองนะ แล้วเราสองพี่น้องมาฉลองด้วยกันสักหน่อย”
เยี่ยเทียนไม่สนใจว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบกับใคร ในเวลานี้ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ตอนแรกเขาคิด
ว่าจะต้องแจ้งให้ศิษย์พี่รองมาจากฮ่องกง แต่ใครจะรู้ว่าตัวเขาอยู่ที่ไต้หวันแล้ว
“”ศิษย์พี่ใหญ่? เยี่ย……เยี่ยเทียน นายพูดจริงเหรอ?”
จัวเจียจวิ้นถือโทรศัพท์ไว้และอึ้งจนพูดไม่ออก สิบกว่าปีที่ผ่านมาเขามาที่ไต้หวันไม่ต่ำกว่า 20 ครั้ง ทุกๆครั้งเขาจะ
ให้ผู้คนไปค้นหาโก่วซินเจีย แต่ไม่เคยมีข่าวคราวเลยสักครั้ง ไม่คิดเลยว่าพบโดยเยี่ยเทียน?
“ศิษย์พี่ เอาอาหารและเหล้าชั้นเลิศมาด้วยนะ ที่ๆศิษย์พี่ใหญ่อยู่ที่นี่บ้านนอกหน่อย อืม พี่มาคนเดียวเหรอ!”
คำพูดของเยี่ยเทียนยังคงดำเนินต่ออยู่ในสายโทรศัพท์ และนี่ทำให้จัวเจียจวิ้นรู้ว่า ศิษย์น้องเล็กไม่ได้พูดมั่ว และหาศิษย์พี่ใหญ่ที่หายสาบสูญไปนานจนเจอแล้วจริงๆ
“โอเค ฉัน……ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
อารมณ์ที่ปั่นป่วนของจัวเจียจวิ้น หลังจากวางสายโทรศัพท์ไป เขาตอบคำถามของถังเหวินหย่วนกับกงเสี่ยวเสี่ยวเสร็จ เขาตรงไปที่ห้องครัวของโรงแรม และไม่ลืมที่นำอาหารและเหล้าชั้นเลิศตามที่เยี่ยเทียนได้สั่งไว้
จนถึงขึ้นรถไปแล้ว จัวเจียจวิ้นเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แจ้งข่าวให้แม่ของเยี่ยเทียนทราบ เขาจึงโทรศัพท์อีกครั้งไปที่
อเมริกา อธิบายเรื่องราวทั้งหมดเสร็จ ในที่สุดก็สามารถเกลี้ยกล่อมความคิดการเดินทางมาไต้หวันของซ่งเหวยหลันได้
……
“ศิษย์น้อง นายได้รับบาดแผลจากปืน พิษที่อยู่ในร่างกายเพิ่งจะทำความสำอาดเสร็จ เหล้าและเนื้อสัตว์อันนี้กินไม่ได้
นะ!” เยี่ยเทียนเพิ่งวางสายเสร็จ โก่วซินเจียก็เดินเข้ามา และได้ยินสิ่งที่เขาสั่งไว้กับจัวเจียจวิ้น
“ศิษย์พี่ใหญ่ ร่างกายของฉันแข็งแรงมาก ไม่เป็นไรหรอก”
เยี่ยเทียนยิ้มและตบโพรงไหล่ที่ได้รับบาดแผลของตนเองพูดว่า “ศิษย์พี่รองอยู่ไต้หวันพอดี ที่สำคัญอยู่แค่เกาสง เขากำลังจะมาที่นี่ ศิษย์พี่ใหญ่ ในที่สุดพวกเราสามพี่น้องก็ได้อยู่ร่วมกันแล้ว!”
อาจารย์ผู้เฒ่าหลี่ซั่นหยวนทิ้งความมหัศจรรย์ไว้มากมาย แต่ส่วนใหญ่ก็หายไปตามสายน้ำประวัติศาสตร์แล้ว ในโลกปัจจุบัน จำนวนคนที่รู้จักชื่อหลี่ซั่นหยวนไม่น่าเกินหนึ่งฝ่ามือแล้ว
แต่หลี่ซั่นหยวนมีชีวิตอยู่สามช่วงที่แตกต่างกัน และสืบทอดไว้ให้กับศิษย์ทั้งสาม คนโบราณเคยกล่าวไว้ว่าเป็นอาจารย์วันเดียวนับถือเป็นพ่อไปตลอดชีวิต หลี่ซั่นหยวนไม่มีผู้สืบทอด ดังนั้นศิษย์ทั้งสามคนสำหรับเขาก็เป็นเหมือนกับการต่อชีวิตอีกแบบนึง
ตั้งแต่ 5 ขวบเยี่ยเทียนก็ได้ติดตามหลี่ซั่นหยวนฝึกฝนศิลปะ ความรู้สึกที่มีต่ออาจารย์ผู้เฒ่ามากกว่าพ่อและลูกเสียอีก
ก่อนเสีย หลี่ซั่นหยวนเคยสั่งไว้ว่าให้เขาตามหาศิษย์พี่ทั้งสองด้วย เยี่ยเทียนจึงจำเรื่องนี้ขึ้นใจ และในเวลานี้ความปรารถนาของเขาก็สำเร็จแล้ว ความดีใจของเยี่ยเทียนนั้นไม่อาจใช้คำพูดใดใดมาอธิบายได้เลย
“ศิษย์น้องรองก็อยู่ไต้หวัน? ดี ดี ดี!!!” โก่วซินเจียถึงแม้ว่าไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนกับเยี่ยเทียนขนาดนั้น แต่การพูดว่า ดี ติดกันสามตัวอักษรก็แสดงให้เห็นว่าภายในใจของเขาตอนนี้ไม่ได้สงบนิ่งเลย
อาจารย์ตายแล้ว ความรู้สึกของโก่วซินเจียจึงย้ายไปอยู่ที่เยี่ยเทียนกับจัวเจียจวิ้นโดยอัตโนมัติ สำหรับโก่วซินเจียแล้ว เยี่ยเทียนเขาสองคนคือญาติที่เหลืออยู่บนโลกนี้
………..
ตอนที่ 364 ความลับ (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
วัดเต๋าแห่งนี้บนเขาฝ่อกงซานสำหรับผู้เชื่อในพระพุทธศาสนามากมายนั้นไม่มีความประทับใจอะไรเลย แต่พระที่อยู่
เต็มภูเขาแห่งนี้กลับไม่มีใครไม่รู้จักวัดเต๋าแห่งนี้
จั่วเจียจวิ้นมาถึงตีนเขาและเริ่มสืบข้อมูลเพียงครู่เดียวก็รู้ตำแหน่งทิศทางของวัดเต๋าแล้ว สั่งให้คนขับรถรออยู่ที่ตีนเขา
ส่วนตัวจั่วเจียจวิ้นถือเหล้าขาวไม่กี่ขวดและอาหารสุกเดินขึ้นเขาไปแล้ว
“นี่……นี่เป็นรูปปั้นแกะสลักของบรรพจารย์ไม่ใช่หรือ?”
หลังจากที่เข้าไปถึงกลางวิหารของวัดเต๋าแล้ว จั่วเจียจวิ้นมองดูประติมากรรมดินเผาที่ตั้งไว้ตรงกลางแล้วรู้สึกเสียดายอย่างมาก ถ้าหากเขามาถึงวัดเต๋าแห่งนี้เร็วกว่านี้หน่อย ก็คงหาเยี่ยเทียนกับศิษย์พี่ใหญ่เจอแล้ว
มองดูวัดเต๋าสักพัก จั่วเจียจวิ้นก็เริ่มตะโกน “เยี่ยเทียน เยี่ยเทียน ศิษย์พี่ใหญ่?!”
“นายคือ……ศิษย์น้องจั่ว?” เสียงที่แก่ไปบ้างดังออกมาจากข้างหลังวิหาร จั่วเจียจวิ้นหันไปตามเสียง ทันใดนั้นทั้งตัว
ของเขาก็ตะลึงไปเลย
ผ่านไปครู่หนึ่ง จั่วเจียจวิ้นพูดออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว “อา……อาจารย์? โอ้ ไม่ ศิษย์พี่!”
อาจารย์ที่อยู่ตรงหน้าคนนี้คล้ายกับหลี่ซั่นหยวนมากๆ นอกจากใบหน้าที่ไม่เหมือนแล้ว แต่หุ่นและบุคลิกที่เหมือนกับบรรลุแล้วนั้นเกือบจะเหมือนกันทุกประการ มองอย่างรวดเร็วจนจั่วเจียจวิ้นเกือบจะจำผิดคนด้วยซ้ำ
ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่จั่วเจียจวิ้นเท่านั้น แม้แต่ตอนที่เยี่ยเทียนเผชิญหน้ากับโก่วซินเจีย ก็มักเกิดภาพลวงตาขึ้น ศิษย์พี่ใหญ่กับอาจารย์ล้วนเป็นที่ยึดนักพรตป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง ความเหมือนในเรื่องของบุคลิกนั้นก็มีมากมาย
“ศิษย์น้องจั่ว มาที่ห้องด้านข้างที่นี่สิ ศิษย์น้องเล็กก็อยู่ที่นั่น!” โก่วซินเจียแสดงรอยยิ้มที่คล้ายกับเด็กทารกออกมาเพราะเขาได้พบกับศิษย์สำนักเดียวกันถึงสองคนในวันเดียว ทำให้เขารู้สึกปรีดาอย่างควบคุมอารมณ์ไม่ได้
การฝึกฝนการเจริญสติจนถึงระดับโก่วซินเจียเช่นนี้จะไม่ไปควบคุมอารมณ์ชอบโกรธเศร้าดีใจของตนเองอีกแล้ว ใน
เต๋านั้นแน่นอนว่าสรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามใจ ยามร้องไห้ควรร้องไห้ ยามยิ้มควรยิ้ม
ก้าวขาเข้าไปข้างในห้องด้านข้างเพียงก้าวเดียว จั่วเจียจวิ้นก็เห็นบริเวณไหล่ของเยี่ยเทียนถูกพันด้วยผ้า จึงรีบก้าวเข้าไปสองก้าวถามว่า “เยี่ยเทียน นายได้รับบาดแผล?”
ตอนแรกจั่วเจียจวิ้นคิดว่าแผลนี้คือความรับผิดชอบที่เยี่ยเทียนได้รับจากการหลบหนีการฆ่าคนในครั้งนี้ แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว เรื่องนี้กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพูดว่า “ครั้งนี้เป็นความสะเพร่าของผมเอง ไหล่ถูกยิงหนึ่งนัด ตรงนี้ก็ถูกงูกัด ถ้าไม่ใช่เพราะได้เจอ
ศิษย์พี่ใหญ่ ชีวิตของผมจะรักษาและอยู่มาถึงตอนนี้ได้หรือไม่ ก็ยังไม่รู้เลย……”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียยิ้มและพูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก บุญวาสนาสูง ไม่ใช่คนอายุสั้น ถึงแม้ทั้ง ชีวิตจะมีอยู่อุปสรรคเยอะ แต่ก็รอดมาอย่างปลอดภัย!”
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะเป็นคนของสำนักฉีเหมินก็ตาม แต่การฝึกฝนระดับโก่วซินเจีย แม้จะทำนายชะตาชีวิตของเยี่ยเทียนไม่แตกฉาน แต่ก็สามารถดูเงื่อนงำบางอย่างจากรูปลักษณ์ใบหน้าของเยี่ยเทียนได้
ก็เหมือนกับเยี่ยเทียนในปีนั้น ที่เคยทำนายอายุชีวิตขีดสูงสุดของอาจารย์ได้ เพียงแต่ว่าพลังของเขาในตอนนั้นยังอ่อนมากทำให้ได้รับพลังที่ตีกลับมาหนักพอสมควรเท่านั้นเอง
“จั่วเจียจวิ้นสำนักเสื้อป่าน ขอคารวะศิษย์พี่ใหญ่!”
รอจนได้พูดคุยกับโก่วซินเจียไปไม่กี่คำเสร็จ จั่วเจียจวิ้นจัดระเบียบเสื้อผ้าและเดินไปข้างหน้าโก่วซินเจีย ก้มหัวคารวะ
ด้วยความเคารพ
คนในฉีเหมินให้ความสำคัญกับลำดับรุ่นมาก ตั้งแต่หลี่ซั่นหยวนถึงแก่กรรม โก่วซินเจียจึงเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเสื้อป่านในปัจจุบัน ขอแค่เยี่ยเทียนไม่ใช้อำนาจของการเป็นเจ้าสำนัก เขายังคงให้โก่วซินเจียเป็นใหญ่
โก่วซินเจียเดินไปข้างหน้าก่อนหนึ่งก้าว ใช้แขนข้างเดียวพยุงจั่วเจียจวิ้นขึ้นมา ยิ้มและพูดว่า “ชื่อเสียงของศิษย์น้องจั่วในไต้หวันไม่เบาเลยนะ เพียงแต่ว่าตัวพี่เองกลับไม่เคยรู้ว่าเราอยู่สำนักเดียวกันเท่านั้น จึงทำให้เจอกันช้าไปสิบกว่าปี……”
“ต่อหน้าศิษย์พี่ จะมีชื่อเสียงของเจียจวิ้นให้เอ่ยถึงได้อย่างไรกัน?!” จั่วเจียจวิ้นถูกโก่วซินเจียพูดถึงจนหน้าแดง ระเรื่อไปหมด เขาไม่ได้ถ่อมตัวเพียงแต่รู้สึกอับอายอย่างจริงจัง
ไม่พูดถึงวิธีจัดการที่คล้ายกับปีศาจของเยี่ยเทียนแล้ว วัยชราตอนปลาย 80 ปีอย่างศิษย์พี่ใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า พลังลมปราณภายในร่างกายนั้นลึกจนไม่อาจคาดเดาได้ ทั้งหนุ่มทั้งแก่ก็ถูกเอาชนะจนหมด
และจั่วเจียจวิ้นเคยได้ยินอาจารย์พูดว่า ศิษย์พี่ใหญ่ของเขามีพรสวรรค์มาก การฝึกฝนวิชาภายในสำนักนั้นไม่มีใครอาจเทียบเทียมได้สักคน และได้ค้นคว้า ศึกษาเกี่ยวกับการฝึกจิตจนชำนสญ เป็นศิษย์คนนึงที่ได้รับการสืบทอดวิชามากที่สุด
ตัวของจั่วเจียจวิ้นนั้นฝึกได้ถึงระดับพลังแฝง(อันจิ้ง)แล้ว อีกเพียงก้าวเดียวจะก้าวข้ามไปสู่ระดับพลังสับเปลี่ยน(หวาจิ้ง)แล้ว เดิมทีรู้สึกภูมิใจอยู่ในใจอย่างมาก แต่ข้างหน้าเขามีเยี่ยเทียนข้างหลังเขามีโก่วซินเจียจึงทำให้สภาพจิตใจของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่น้อยทีเดียว
การฝึกฝนในช่วงแรกคือการฝึกหมัด เท้าของร่างกาย เมื่อฝึกฝนถึงระดับหนึ่งแล้ว ขั้นต่อไปก็คือการฝึกจิตนั่นเอง
สภาพจิตใจของจั่วเจียจวิ้นผ่อนคลายลงครั้งนี้ คนทั้งคนก็กลายเป็นว่างเปล่าขึ้นมา สิ่งที่ไม่เข้าใจในอดีตก็กระจ่าง แจ้งขึ้นมาทันใด ในเวลานี้ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มออกมาจากข้างในอย่างไม่ทันตั้งตัว
“สติปัญญาของศิษย์พี่ ศิษย์น้องนั้นสูงมาก!”
เยี่ยเทียนกับโก่วซินเจียสบตาต่อกัน ขณะเดียวกันก็ยิ้มออกมาพร้อมๆกัน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเพื่อทำให้จั่ว
เจียจวิ้นตื่นขึ้นมา เพราะการเข้าใจทันใดในลัทธิเต๋า เป็นสิ่งที่เพียงพานพบมิอาบครอบครอง
“หา เยี่ยเทียน ศิษย์พี่ใหญ่ ฉันเสียมารยาท!” เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงเต็มๆ จั่วเจียจวิ้นเหมือนเพิ่งตื่นขึ้นจากฝัน สติค่อยๆกลับมา
“ยินดีด้วยศิษย์น้องจั่ว เชื่อว่าถ้าใช้เวลาอีกสักครึ่งปี นายก็สามารถเข้าสู่ระดับหลอมปราณสู่จิตเหมือนกัน
“คงต้องพึ่งการชี้แนะจากศิษย์พี่ครับ” จั่วเจียจวิ้นเองดีใจมาก และโค้งคำนับกับโก่วซินเจียอีกครั้ง
ตอนแรกจั่วเจียจวิ้นนึกว่าทั้งชีวิตนี้คงไม่สามารถเข้าสู่ระดับหลอมปราณสู่จิตแล้ว แต่ไม่คิดว่าการเข้าใจทันใดเพียง
ครั้งเดียว จะสามารถทำให้เขาก้าวข้ามประตูนี้ได้ ขอแค่ตั้งใจฝึกฝนอย่างแน่วแน่ ครึ่งปีเท่านั้นก็จะสามารถแตกฉานและก้าวข้ามระดับที่มีอยู่ในปัจจุบันได้อย่างแน่นอน
โก่วซินเจียหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่าๆ สายเลือดเสื้อป่านทั้งสามพี่น้อง สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดของการฝึก
ลมปราณได้ ศิษย์พี่อย่างฉัน ภาคภูมิใจจริงๆ!”
นักพรตเวลาฝึกพลังลมปราณ ถึงแม้จะมีระดับการหลอมปราณสู่จิตยังมีฝึกเซียนหวนคืนสู่ความว่างเปล่า และฝึก
ความว่างเปล่ารวมเต๋าเป็นต้น แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงคำเล่าขานต่อๆกันมาเท่านั้นอย่างน้อยตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจุจัน
ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครสามารถทำได้ถึงระดับนั้น แม้แต่การฝึกหลอมปราณสู่จิตเองก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ฝึกจนสำเร็จ
ถ้าหากนำระดับของเยี่ยเทียนทั้งสามคนเปิดเผยสู่ยุทธภพฉีเหมิน เกรงว่าทั้งองค์กรฉีเหมินคงจะสั่นสะเทือนอย่างแน่
นอน เพราะว่าฉีเหมินในปัจจุบันเริ่มถดถอย นอกจากชายชราที่ไม่อาจะพบได้โดยทั่วไปแล้ว คนที่สามารถเข้าสู่ระดับพลังแฝงได้ก็มีไม่มากแล้ว
“ลุกขึ้นมา วันนี้ต้องทำโทษด้วยเหล้าแก้วใหญ่!” โก่วซินเจียพยุงจั่วเจียจวิ้นลุกขึ้นมา ยิ้มพร้อมพูดว่า “แต่ว่าศิษย์พี่ใหญ่ร่างกายทรุดโทรม การเงินก็ฝืดเคือง อาหารและเหล้ายา ต้องเตรียมเองนะ”
หลังจากได้ยินคำของโก่วซินเจียแล้ว จั่วเจียจวิ้นรีบพูดต่อว่า “ศิษย์พี่ใหญ่พูดอะไรแบบนั้น ความสามารถของพี่ตอนนี้เพียงพอที่จะเป็นองค์ชายหัวเราะใส่ขุนพลได้แล้ว จะมาแปดเปื้อนสิ่งของทางโลกเหล่านี้ได้อย่างไรกันเล่า?”
จั่วเจียจวิ้นคิดว่า ศิษย์พี่ใหญ่นั้นฝึกฝนโดยการหนีทางโลก มิฉะนั้นด้วยความสามารถของเขาแล้ว ก็คงถูกบูชากราบ
ไหว้เหมือนเซียนที่มีชีวิตอย่างนั้นแล้วมั้ง?
นำของที่ถือไว้ในมือวางลงบนโต๊ะ จากนั้นจั่วเจียจวิ้นพยุงโก่วซินเจียพร้อมพูดว่า “ศิษย์พี่ เชิญนั่งครับ!”
โก่วซินเจียโบกมือไปมา ยิ้มพร้อมพูดว่า “พวกเราที่เป็นพี่น้องกันไม่ต้องพูดกันขนาดนี้หรอก เก้าอี้ที่ห้องฉันไม่พอ ศิษย์น้องนั่งบนเตียงก็แล้วกันนะ”
“ครับ ศิษย์พี่ใหญ่ แขน……แขนของพี่?”
จนถึงเวลานี้ จั่วเจียเพิ่งจะสังเกตเห็นความว่างเปล่าของแขนขวาของโก่วซินเจีย สีหน้าเปลี่ยนอย่างกะทันหัน “ศิษย์พี่ แขนของพี่ใครเป็นคนทำหรือ?”
การแสดงออกของเขาเหมือนกับเยี่ยเทียนตอนนั้นเลย ใบหน้าของจั่วเจียจวิ้นก็แสดงความตกใจมากถึงที่สุดออกมาเช่นกัน จากการฝึกฝนของศิษย์พี่ใหญ่นั้นสามารถที่จะแสวงหาความดี หลีกเลี่ยงภยันตรายได้แล้ว เป็นใครกันที่ทำร้ายเขาได้จนถึงขนาดนี้?
“ศิษย์พี่จั่ว นั่งลงคุยกันเถอะ”
เยี่ยเทียนดึงจั่วเจียจวิ้นเอาไว้ จากนั้นก็เดินออกจากห้องด้านข้างไปเอาถ้วยจากห้องครัวกลับมาสามใบ หลังจากกลับมาถึงก็เปิดเหล้าขาวที่จั่วเจียจวิ้นนำมาด้วย เทใส่ถ้วยจนเต็มทั้งสามถ้วย เปิดปากพูดว่า “วันนี้ผมได้พบกับศิษย์พี่ใหญ่ นับเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดของสำนักเสื้อป่าน น้องขอเคารพศิษย์พี่ทั้งสองหนึ่งถ้วย!”
เยี่ยเทียนเองก็เคยถามโก่วซินเจียด้วยคำถามเดียวกัน แต่ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ยอมพูด เยี่ยเทียนจึงคิดว่าดื่มกันสักถ้วยสองถ้วยให้เหล้าได้เริ่มทำงานครู่หนึ่ง เดี๋ยวก็คงพูดออกมาเอง
“ศิษย์น้องเล็ก กล้าตุกติกกับศิษย์พี่แล้วเหรอ?”
โก่วซินเจียมีชีวิตมาแล้ว 80 ปี วิธีที่เยี่ยเทียนกำลังใช้อยู่นั้นเขารู้ดีอย่างแน่นอน ส่ายหัวหัวเราะและพูดว่า “มีโอกาสได้
พบกับศิษย์น้องทั้งสอง ทั้งชีวิตของคนแก่คนนี้ไม่มีอะไรจะขออีกแล้ว ส่วนเรื่องแขนข้างนี้ จะพูดให้พวกนายฟังก็แล้วกัน!”
“มา ชนถ้วยนี้ก่อน!”
นักพรตเต๋าไม่มีข้อห้ามเรื่องการกินอาหารคาว อย่ามองว่าโก่วซินเจียตัวเล็ก แต่ระดับการกินเหล้าของเขานั้นไม่แพ้เยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้นเลย อึกเดียวก็ดื่มเหล้าในถ้วยลงท้องไปแล้วกว่าครึ่งถ้วย
“พวกนายรู้ดีว่า ฉันมาไต้หวันกับคุณเจียงตั้งแต่ปี 49 แต่ที่พวกนายไม่รู้คือฉันเคยกลับเข้าไปภายในประเทศหนึ่งครั้งในปี 50……”
โก่วซินเจียถือถ้วยเปล่าเอาไว้และเริ่มดำดิ่งสู่ความทรงจำในอดีต และพูดความลับอันนึงที่ทำให้เยี่ยเทียนและจั่วเจีย
จวิ้นตกใจอย่างมาก
ที่แท้ในตอนนั้นโก่วซินเจียอยู่ในรัฐบาลของตระกูลเจียง เขาเป็นตัวละครที่พิเศษมากคนหนึ่ง ดูแลเรื่องที่ตระกูลเจียง
ไม่สามารถมอบหมายให้คนอื่นทำโดยเฉพาะ
ในปี 1950 ประเทศจีนเปิดประเทศเกือบทุกๆด้านแล้ว โก่วซินเจียได้รับภารกิจหนึ่งอย่าง ต้องขนย้ายทองคำจำนวน
มหาศาลจำนวนหนึ่งจากประเทศจีนไปที่ไต้หวัน
ทองคำครั้งนี้ไม่ได้เป็นของประเทศจีนทั้งหมด แต่เป็นของที่ญี่ปุ่นไปปล้นมาจากนานาประเทศในแถบตะวันออกเฉียงใต้ และเนื่องจากในปี 45 ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงคราม จนไม่ทันได้ขนย้ายทองคำกลับสู่ประเทศญี่ปุ่น จึงต้องฝังเอาไว้ที่แถบชายแดนประเทศจีนกับพม่าแทน
ข้อมูลนี้เพิ่งจะรู้กันในวันที่ตระกูลเจียงพ่ายแพ้ให้กับประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ตระกูลเจียงในตอนนั้นก็ไม่เวลาสน
ใจทองคำครั้งนั้นแล้ว จนเมื่อปักหลักที่ไต้หวันเรียบร้อยแล้ว ความคิดจะนำทองคำออกมาก็เพิ่งจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น
ภารกิจนี้ในเวลานั้นถูกมอบหมายให้โก่วซินเจีย โดยมีคนติดตามเขาอีกยี่สิบกว่าคน ผ่านความยากลำบากไม่น้อยในการหาทางเข้าประเทศจีนแผ่นดินใหญ่โดยเส้นทางพม่า
ในเวลานั้นภายในมณฑลยูนหนานยังไม่เปิดทั้งหมด นายพลเฉินกับซ่งเหรินฉงยังไม่ได้เข้าเมืองชุน สถานการณ์ค่อนข้างวุ่นวาย
ตอนเริ่มต้นภารกิจของโก่วซินเจียสามารถดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น ใช้เวลาเพียงสามวันเต็มๆเท่านั้นก็สามารถนำทองคำครึ่หนึ่งออกมาและขนส่งไปถึงประเทศพม่า เตรียมพร้อมส่งกลับไปยังไต้หวันโดยใช้เส้นทางทางทะเลของอ่าวเบงกอล
แต่หลังจากที่เข้าสู่ภายในประเทศพม่าแล้ว ก็มีสัญญาณเตือนโก่วซินเจียขึ้นมา เขาจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดให้ลูกน้องฝังทองคำอีกครั้ง และเตรียมตัวพาคนของตนเองกลับสู่ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่
ถึงแม้ว่าทองคำจะถูกซ่อนไว้แล้ว แต่ตอนที่โก่วซินเจียกลับเข้าเขตชายแดนนั้น กลับถูกกลุ่มคนลึกลับซุ่มยิง คนของเขาตายในเหตุการณ์ทั้งหมด ส่วนโก่วซินเจียได้จ่ายค่ารอดชีวิตด้วยแขนข้างซ้ายไปหนึ่งข้างเขาจึงรอดออกมาได้
………
ตอนที่ 365 ความลับ (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
พูดมาถึงตรงนี้โก่วซินเจียรู้สึกเสียใจ พี่น้องที่เดินทางกลับไปจีนแผ่นดินใหญ่กับเขาล้วนแล้วแต่เป็นลูกน้องที่เขาฝึกฝนมากับมือ มีสายใยความผูกพันลึกซึ้ง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าทั้งหมดจะต้องมาพบจุดจบแบบนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะเหล่าลูกน้องได้ใช้ระเบิดมือเปิดให้ทางเขา แล้วสู้จนตัวตายแล้วละก็ แม้แต่ตัวเขาเองอาจไม่รอด เรื่องราวผ่านมาแล้วเกือบห้าสิบปี นึกถึงทีไรก็ทำให้จิตใจหวั่นไหวได้ทุกครั้ง
“ศิษย์พี่ เป็นฝีมือใครกัน? ใช่นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ไหม?”
ทั้งเยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้นหน้าเปลี่ยนสีทันที สำนักของพวกเขามีความแค้นชนิดฝังลึกกับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ นี่อาจจะเป็นฝีมือของนายทักษิณก็เป็นได้?
“นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ทำไมพวกนายถึงคิดว่าเป็นเขาล่ะ?”
ฟังข้อสงสัยของเยี่ยเทียนจบ โก่วซินเจียแสดงสีหน้าฉงน “ฉันคิดว่า อาจารย์ของเราเคยประลองฝีมือกับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เรื่องที่ฉันถูกลอบฆ่าไม่น่าจะเกี่ยวกับเขา”
โก่วซินเจียเริ่มติดตามร่ำเรียนวิชากับหลี่ซั่นหยวนมาตั้งแต่ยุคปี1920-1930 เขาจึงทราบดีถึงเรื่องราวสมัยวัยหนุ่มของอาจารย์ แม้แต่ตอนที่หลี่ซั่นหยวนกับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ประลองฝีมือกัน เขายังได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย
เยี่ยเทียนพูดอย่างเปิดเผยว่า “ศิษย์พี่ ช่วงก่อนผมได้สังหารชาญ ทองทวนลูกศิษย์ของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จนตาย ที่ผมถูกตามล่าตัวครั้งนี้คนที่ตามมาฆ่าผมเป็นคนที่เชี่ยวชาญไสยศาสตร์มาก ผมคาดว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แน่นอน
ในเอเชียอาคเนย์มีผู้ใช้ไสยศาสตร์มนต์ดำมากมาย แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ เยี่ยเทียนฆ่าศิษย์เอกของเขาตาย การลอบฆ่าเยี่ยเทียนครั้งนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าเทียนหลงที่เยี่ยเทียนฆ่าเป็นคนสุดท้ายก็เป็นศิษย์ของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน คราวนี้ตัวเยี่ยเทียนกับตำหนักไสยศาสตร์มนต์ดำในประเทศไทยคงต้องตามจองล้างจองผลาญกันไม่สิ้นสุด
“อืม พิษงูในร่างกายของนายนั้นร้ายแรงมาก ถ้าฉันไม่มียาเฉพาะ แขนข้างนี้ของนายคงรักษาไว้ไม่ได้ นี่คงจะเป็นอสรพิษร้ายที่คนไทยเลี้ยงไว้”
โก่วซินเจียพยักหน้า แล้วขมวดคิ้วเอ่ยต่อ “จะว่าไปความสามารถของพวกเราไม่ได้ด้อยกว่านายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เลย แต่ด้วยวิชาชั้นต่ำของมัน ทำให้เราป้องกันตัวยาก”
เยี่ยเทียนกับจั่วเจียจวิ้นเห็นด้วยกับความคิดเห็นของโก่วซินเจีย อย่างกรณีของชาญ ทองทวนจะว่าไปฝีมือก็ธรรมดา แต่เพราะว่ามีเจ้าครึ่งผีครึ่งคนนั่นคอยคุ้มครองอยู่ จึงทำให้ทั้งเยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้นรับมือได้ยาก
สิ่งที่เยี่ยเทียนเรียนรู้ได้ดีที่สุด ตอนที่เขาฆ่าเทียนหลงไปเมื่อหลายวันก่อน แม้ร่างกายของเทียนหลงที่หมดลมแล้ว ยังอุตส่าห์ปล่อยงูพิษร้ายจู่โจมเยี่ยเทียนได้อีก นึกถึงทีไรเขายังกลัวไม่หาย
โก่วซินเจียเห็นสีหน้าของศิษย์น้องทั้งสองไม่สู้ดี เขาคิดว่าศิษย์น้องคงวิตกหวาดกลัว ก็หัวเราะออกมา “ไม่เป็นไร พวกนายไม่ต้องกลัว ตอนนั้นอาจารย์กำราบมันลงได้ ตอนนี้ศิษย์พี่อย่างฉันถึงจะแก่แล้ว แต่ก็ยังสามารถคุ้มครองความปลอดภัยพวกนายได้อยู่!”
โก่วซินเจียพูดจบ เห็นสีหน้าของจั่วเจียจวิ้นกลับแปลกไปกว่าเดิม อดถามไม่ได้ว่า “ศิษย์น้องจั่ว เป็นอะไรไป? ไม่เชื่อคำพูดของฉันเหรอ?”
จั่วเจียจวิ้นติดตามอาจารย์เป็นคนแรก ได้เล่าเรียนวิชามามากที่สุด นอกจากวิชายุทธแล้ว พวกวิชาค่ายกลต่างๆ นักพรตเฒ่าได้สืบทอดให้เขาทั้งหมด
บวกกับการฝึกฝนมาห้าสิบปี วิชาค่ายกลสังหารของเขา เขาได้ทำให้มันสมบูรณ์ที่สุด จนกล้าบอกได้เลยว่า ในสำนักค่ายกลทั้งหลายไม่มีใครต่อกรกับเขาได้
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ศิษย์พี่ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
จั่วเจียจวิ้นรีบโบกมือปฏิเสธ เหลือบไปทางเยี่ยเทียนแล้วกล่าวต่อ “แต่ในบั้นปลายชีวิตของอาจารย์ ท่านได้ปรับปรุงวิชาค่ายกลจนสมบูรณ์แล้วสืบทอดวิชาทั้งหมดให้ศิษย์น้องเล็กไปแล้ว”
“อะไรนะ? ศิษย์น้อง นายพูดจริงหรือ?”โก่วซินเจียตกตะลึง ปากกำลังถามจั่วเจียจวิ้นแต่สายตามองไปที่เยี่ยเทียน
การฝึกวิชาของโก่วซินเจียได้พัฒนาขึ้นมาก เขาคิดว่าเขาสามารถพัฒนาวิชาของสำนักให้สมบูรณ์เหมือนอาจารย์ได้ แต่วิชานั้นสุดลึกล้ำยากจะเข้าใจ แม้ใช้เวลาหลายสิบปี ฝีมือค่ายกลของเขาทำได้แค่เพียงทำให้ค่ายกลแข็งแรงขึ้น
โก่วซินเจียเคารพยกย่องวิชาของอาจารย์ที่สุด แต่คิดไม่ถึงว่าอาจารย์จะทำให้วิชาบรรลุขั้นสูงสุดได้แล้ว เมื่อรู้เข้าจึงอดเสียจริตไม่ได้
เยี่ยเทียนพยักหน้า พูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่จั่วพูดถูกแล้ว อาจารย์เคยไปสืบเสาะหาตำราของสำนักวิชาต่างๆ แล้วเรียนรู้วิชาเหล่านั้นมาประยุกต์กับสำนักของเรา จนในที่สุดก็สำเร็จ และสืบทอดวิชาเอาไว้มาถึงตอนนี้”
เยี่ยเทียนได้ใส่ไฟลงไปนิดหน่อย เพราะว่าวิชาของโก่วเจียซินนั้นแทบจะไม่ได้ด้อยกว่าอาจารย์เลย ความเข้าใจถ่องแท้ในวิชาที่ตัวเองคิดค้นขึ้นนั้นย่อมลึกซึ้งกว่าคนอื่นอยู่แล้ว
ถ้าหากเยี่ยเทียนยังดันทุรังว่าวิชาสำเร็จขั้นสูงได้เพราะ นักพรตเฒ่าเป็นผู้สร้างขึ้น โก่วเจียซินคงจะไม่ยอมเชื่อ
สำนักวิชาที่หลากหลาย เยี่ยเทียนเพียงบอกว่าอาจารย์ได้ยืมวิชาจากสำนักอื่นมาดัดแปลง กลับทำให้โก่วซินเจียหลงเชื่อ แต่โก่วซินเจียไม่ทราบเลยว่าสำนักต่างๆนั้นได้สูญสิ้นไปหมดแล้ว ถึงจะมีที่หลงเหลืออยู่ ฝีมือก็เทียบไม่ได้กับของเยี่ยเทียน
พอได้ยินคำตอบเยี่ยเทียน โก่วซินเจียพยักหน้าเห็นด้วยแล้วทอดถอนใจออกมา “อาจารย์ของเราศึกษาค้นคว้าวิชาอย่างลึกซึ้ง ศิษย์อย่างเราเทียบไม่ได้เลย”
“ศิษย์พี่โก่ว อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย ไว้ผมค่อยรวบรวมเคล็ดลับวิชาแล้วมอบให้พี่คราวหลัง”
เยี่ยเทียนกลัวว่าโก่วซินเจียจะถามรายละเอียดของวิชาที่อาจารย์คิดค้นอีก จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ศิษย์พี่ตอนนั้นใครเป็นคนทำร้ายพี่ ช่วยเล่าให้ผมกับศิษย์พี่จั่วฟังหน่อย”
“ใช่ ใช่ เป็นคนพวกไหนถึงกล้ามาทำร้ายศิษย์พี่?”
จั่วเจียจวิ้นรีบเออออตาม ยังไม่นับความแค้นเรื่องที่ทำให้โก่วซินเจียเสียแขนไปข้างหนึ่ง แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็เป็นความลับใหญ่หลวงแล้ว
“ได้ ฉันจะเล่าให้ฟัง!”
โก่วซินเจียลุกขึ้นเดินไปข้างเตียง เปิดผ้าห่มบนเตียงออกกึ่งหนึ่ง แล้วหยิบเอาดาบญี่ปุ่นด้ามยาวอันหนึ่งออกมา
“เป็นฝีมือคนญี่ปุ่น!”
โก่วซินเจียวางดาบลงบนโต๊ะ เล่าต่อ “สมบัติทองคำทั้งหลายที่ญี่ปุ่นปล้นมาจากเอเชียอาคเนย์ พอญี่ปุ่นแพ้สงคราม พวกเขาได้นำทองคำฝังซ่อนเอาไว้ ตอนหลังทหารที่ฝังทองคำไว้บางคนยังมีบางคนรอดชีวิต
แต่ตอนนั้นสถานการณ์ในเอเชียอาคเนย์ไม่มั่นคง ญี่ปุ่นยังเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม พวกทหารญี่ปุ่นจึงรออีกห้าปี ตั้งใจว่าเมื่อผ่านไปแล้วจะกลับมาลักลอบขนทองกลับประเทศตนเอง แต่คิดไม่ถึงว่าฉันได้มาพบเข้าก่อน…”
หลังจากโก่วซินเจียพ่ายแพ้ครั้งนั้น ย่อมไม่ยอมเลิกราง่ายๆ พอหนีกลับไต้หวันแล้ว เขาอาศัยความสัมพันธ์ที่ปิดบังมิดชิด สืบหาความจริง
ทางฝ่ายญี่ปุ่นและคนแซ่เจียงคนนั้นก็มีความคิดแบบเดียวกัน พวกเขาได้ส่งกำลังคนที่มีพละกำลังรบมหาศาล ในนั้นยังมีสมาชิกของสำนักการต่อสู้แบบญี่ปุ่นรวมอยู่ด้วยถึงสามสำนัก
แขนซ้ายของโก่วซินเจียถูกตัดขาดโดยนักฆ่าหนุ่มคนหนึ่งของตระกูลคิตะมิยะของญี่ปุ่น แต่เขาเองก็เสียท่าโก่วซินเจียด้วยเหมือนกัน โดนโก่วซินเจียซัดที่หน้าอกไปหนึ่งฝ่ามือ แม้แต่อาวุธของตัวเองยังถูกแย่งมา
“ดาบเยี่ยม!”
จั่วเจียจวิ้นหยิบดาบบนโต๊ะขึ้นมา ชักดาบออกมาครึ่งหนึ่ง ดาบสะท้อนกับแสงไฟสาดลงบนหน้าของจั่วเจียจวิ้น พร้อมกับไอพิฆาตที่เกิดจากการฆ่าคนมากมายพรั่งพรูออกมา ถึงกับทำให้จั่วเจียจวิ้นหายใจติดขัด
ดาบญี่ปุ่นด้ามยาวเล่มนี้คมกริบ ตัวดาบถูกตีขึ้นด้วยแร่เหล็กชั้นดี บนตัวดาบมีลวดลายละเอียดอ่อนสวยงาม ดาบมีค่าแบบนี้ ในสมัยปัจจุบัน แทบจะหาไม่ได้แล้ว
เมื่อจั่วเจียจวิ้นสังกตุเห็นตัวอักษรที่สลักบนดาบสองตัวแล้ว ลมหายใจกระชั้นถี่ขึ้น ตะโกนออกมาว่า “มุรามาสะ? เป็นมันนี่เอง!” “ดาบมารมุรามาสะ?”
เยี่ยเทียนที่นั่งฟังอยู่ข้างๆยังอึ้งไป สมัยสงครามจีนต่อต้านญี่ปุ่น นักพรตเฒ่าได้ต่อสู้กับสำนักการต่อสู้หลายแห่งของญี่ปุ่น เยี่ยเทียนจึงพลอยได้รู้จักคุ้นเคยกับสำนักเหล่านี้ไปด้วย
ตัวคมดาบยาว 37.32 เซนติเมตร ดาบมุรามาสะเป็นดาบที่ตีขึ้นในโรงดาบที่เมืองมุรามาสะในยุคปลายสมัยมูโรมาชิ ความคมกริบของมันเหนือกว่าดาบทั่วไป
วิญญาณน่าเวทนาที่ต้องสังเวยให้ดาบเล่มนี้มีมากเหลือเกิน ปู่ของโทคุงาวะ อิเอะยะสึ คือคิโยยาสึ มัตสึไดระได้ทำสงครามกับตระกูลคิตะ สุดท้ายถูกขุนนางของตัวเองใช้ดาบเล่มนี้ฟันตะพายแล่งตั้งแต่ไหล่ขวาลงไปถึงท้องด้านซ้าย
หลังจากนั้นพ่อของโทคุงาวะ อิเอะยะสึ หรือฮิโรทาดะ มัทสึไดระถูกขุนนางใกล้ชิดใช้ดาบนี้ฟันเข้าที่ต้นขา ต่อมาบุตรชายคนโตของโทคุงาวะ อิเอะยะสึก็ถูกโนบุนากะ โนดะร่วมมือกับตระกูลทาเคดะฆ่าคว้านท้อง ได้ใช้ดาบเล่มนี้เช่นกัน
ดังนั้นโทคุงาวะ อิเอะยะสึกับดาบมุรามาสะเป็นศัตรูคู่แค้นกัน ถึงกับสั่งคนในตระกูลว่า ดาบนี้เป็นของอัปมงคล ห้ามคนในตระกูลใช้ดาบนี้เด็ดขาด ผู้ที่ใช้จะถือว่าทรยศต่อตระกูล จะต้องได้รับการลงโทษขั้นสูงสุด เพราะเหตุนี้ชื่อเสียงของ “ดาบมารมุรามาสะ”ถูกเผยแพร่ออกไป
แต่ที่เมืองมุรามาสะเป็นแหล่งกำเนิดของของดาบซามูไรที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น ในยุคแรกเริ่มก็ได้เป็นดาบที่มีชื่อเสียงติดหนึ่งในสิบของญี่ปุ่น
ในบรรดาดาบเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงที่ได้รับการตกทอดมามีเพียงไม่กี่เล่ม แต่ดาบมารเล่มนี้กลับหายสาบสูญ เยี่ยเทียนกับจั่วเจียจวิ้นคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นดาบนี้กับตาของตัวเองที่นี่
“ไม่ผิดหรอก นี่เป็นดาบมุรามาสะแห่งยุคโทคุงาวะ อิเอะยะสึของแท้ ตอนหลังตกไปอยู่ในมือของตระกูลคิตะมิยะ เหอะๆ คิดไม่ถึงว่าดาบมีค่าประจำตระกูลจะถูกฉันแย่งมา คงไม่มีหน้าประกาศออกไปหรอก?”
เห็นท่าทางสงสัยของจั่วเจียจวิ้นและเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียหัวเราะเสียงดัง หลายปีมานี้ ตระกูลคิตะมิยะออกตามหาดาบนี้แทบพลิกแผ่นดิน แม้โก่วซินเจียจะไม่มีจิตใจใฝ่ในการต่อสู้แล้ว แต่พอคิดได้อย่างนี้ก็อดสะใจไม่ได้
โก่วซินเจียละทางโลกแสวงหาทางธรรมอาศัยอยู่บนเขาฝ่อกงซาน ยังล่วงรู้ข่าวคราวเป็นอย่างดี หรืออย่างน้อยก็รู้ว่าเกือบห้าสิบปีมานี้ ตระกูลคิตะมิยะไม่เคยหยุดเสาะแสวงหาดาบมุรามาสะเลย
เยี่ยเทียนรับดาบมุรามาสะมาจากมือของจั่วเจียจวิ้น สีหน้าแสดงความโกรธแค้น กล่าวขึ้นมาว่า “ตระกูลคิตะมิยะกล้ามารังแกสำนักเสื้อป่านของเรา ศิษย์พี่ทั้งสอง เราบุกไปฆ่ามันที่ญี่ปุ่นกันไหม? บุกไปที่รังของมัน?”
“บุกไปญี่ปุ่น? ศิษย์น้อง นายว่าพวกเราจะไหวหรือ?”
โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นฟังเยี่ยเทียนพูดจบก็ทำหน้าไม่ถูก อายุของคนทั้งสองรวมกันก็เกือบ150 ปีแล้ว ต่อให้ความแค้นจะใหญ่หลวงกว่านี้ คงจะบุกไปถึงฐานศัตรูไม่ไหวหรอก
……….
ตอนที่ 366 ความลับ (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฟังคำของโก่วซินเจียพูดจบ เยี่ยเทียนรู้สึกขัดเขินยิ้มออกมา “ไม่ต้องรบกวนพวกศิษย์พี่ออกโรงหรอก ถ้าได้มีโอกาสศิษย์น้องคนนี้จะต้องเรียกร้องความเป็นธรรมแทนศิษย์พี่ใหญ่ให้จนได้!”
เยี่ยเทียนเป็นคนเห็นแก่พวกพ้องแต่ไม่ค่อยฟังเหตุผลเท่าไหร่ ทั้งยังได้รับอิทธิพลจากนักพรตเฒ่ามามาก จึงรู้สึกไม่ชอบคนญี่ปุ่นเท่าใดนัก
เยี่ยเทียนไม่ได้พูดส่งเดช หากมีวันหนึ่งที่เขาได้มีโอกาสไปพบกับตระกูลคิตะมิยะ เยี่ยเทียนอาจจะใช้วิชาสายมืดทำลายคนพวกนั้น
“ศิษย์น้องเล็ก คิดไม่ถึงว่านายจะมีจิตสังหารรุนแรงถึงเพียงนี้ ฝึกยังไงถึงทำได้ขนาดนี้?”
โก่วซินเจียฟังเยี่ยเทียนจบ ก็ยิ้มขื่นพลางส่ายหัว “ถึงฉันจะเสียแขนไปข้างหนึ่ง แต่ก็ไม่เคยด้อยไปกว่าใครเลย เรื่องมันก็ผ่านไปนานมากแล้ว ช่างมันเถอะ”
เพราะต่างฝ่ายต่างก็โลภอยากได้ทองคำพวกนั้น ไม่มีใครผิดใครถูก อีกทั้งโก่วซินเจียก็สู้ตาย ทำให้ฝ่ายญี่ปุ่นบาดเจ็บสูญเสียไปไม่น้อย
โดยเฉพาะผู้กล้าที่ตัดแขนของโก่วซินเจีย เป็นถึงนักสู้ที่แข็งแกร่งคนหนึ่งของตระกูลคิตะมิยะ แต่พอถูกโก่วซินเจียซัดฝ่ามือเข้าที่หน้าอกทีหนึ่ง ก็ถึงกับหลบซ่อนตัว หมดชื่อเสียงไปเลย
การที่โก่วซินเจียเสียแขนไปข้างหนึ่งนั้น นับว่าไม่ได้สูญเสียมากเท่าฝ่ายตรงข้ามที่ถูกช่วงชิง “ดาบมารมุรามาสะ” แล้วยังทำให้ชื่อเสียงตระกูลคิตะมิยะเสียหาย กลายเป็นตระกูลชั้นสองสถานะรองลงมาในสังคม
“ศิษย์พี่สั่งสอนได้ถูกแล้ว”
ฟังโก่วซินเจียกล่าวจบ เยี่ยเทียนรู้สึกสะท้อนใจขึ้นมา นั่นสิระยะนี้จิตสังหารของเขารุนแรงเหลือเกิน นิสัยก็เปลี่ยนไปเป็นพาลมากขึ้น ชอบหาเรื่องคนอื่นออกบ่อย
จะโทษเยี่ยเทียนก็ไม่ได้ ในจิตใจของเราทุกคนต่างมีมารร้ายซ่อนอยู่ เยี่ยเทียนอายุน้อยแต่ฉลาดหลักแหลม การฝึกวิชาก็ก้าวล้ำ แต่นิสัยของเขากลับสู้จั่วเจียจวิ้นไม่ได้ ความเป็นอัตตาตัวตนยิ่งใหญ่ค่อยปรากฏชัดยิ่งขึ้นในใจของเยี่ยเทียน
แต่ครั้งนี้เหมือนได้ตายแล้วฟื้นคืนชีพใหม่ เยี่ยเทียนกลับเปลี่ยนเป็นสุขุมเยือกเย็นขึ้น ยิ่งพอเห็นว่าโก่วซินเจียผู้ซึ่งไม่เคยได้รับโอกาสใดแต่กลับสามารถฝึกตนได้ถึงเพียงนี้ นี่แหละที่เขาเรียกว่าฟ้าเหนือฟ้า คนเหนือคน
อยู่ๆจั่วเจียจวิ้นก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ใช่ละ ศิษย์พี่ เมื่อก่อนพี่เคยได้ติดตามท่านเจียงด้วย ทำไม…ทำไมถึงมาออกบวชเล่า?”
จั่วเจียจวิ้นอึดอัดใจ เขามาเมืองเกาสงนี้หลายครั้ง ลัทธิเต๋ากับศาสนาพุทธแม้ไม่ถึงขั้นเข้ากันไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ไม่ได้ปรองดองกันนัก คนที่ศรัทธาแน่นแฟ้นในลัทธิเต๋าอย่างจั่วเจียจวิ้นแน่นอนว่าไม่เคยมาถึงที่เขาฝ่อกงซานนี้แน่
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าศิษย์พี่ใหญ่จะมาออกบวชซ่อนตัวอยู่ในสถานที่แห่งนี้ เมื่อก่อนโก่วซินเจียน่าจะเป็นคนมีอำนาจบารมีไม่น้อย ทำไมถึงตกอยู่ในสภาพอย่างทุกวันนี้ได้?
ฟังคำถามของจั่วเจียจวิ้นแล้วโก่วซินเจียสีหน้าว่างเปล่า ถอนใจแล้วตอบว่า “อยู่ข้างกายคนมีอำนาจเหมือนอยู่กับเสือ ท่านเจียงแม้จะมีปณิทานยิ่งใหญ่ มีความทะเยอทะยานสูง แต่จิตใจคับแคบ ทั้งหูเบาเชื่อคนง่าย ถ้าฉันไม่มาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ป่านนี้คงไม่มีชีวิตรอดแล้ว…”
ตอนนั้นโก่วซินเจียหนีกลับมาไต้หวันอย่างยากลำบาก กลับมาถึงต้องรีบไปรายงานตัวถึงสาเหตุที่ภารกิจของเขาล้มเหลว เขายังได้รับการต้อนรับและการปลอบโยนจากท่านเจียง
แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน เขาสังเกตว่าในห้องพักผู้ป่วยของเขามีสายสืบเพิ่มมาอีกหลายคน ลูกน้องเก่าของเขาจากค่ายทหารคนหนึ่งยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อมาบอกข่าวเขาว่า
ความจริงแล้วมีคู่อริของเขาในค่ายทหารได้ไปพูดเป่าหูท่านเจียงว่า โก่วซินเจียวางแผนแกล้งทำเป็นบาดเจ็บเพื่อยักยอกทองคำที่ได้มาทั้งหมดไว้เป็นของตัวเอง
ท่านเจียงปกติแล้วเป็นคนช่างระแวงไม่ไว้ใจใครง่ายๆ บวกกับตัวโก่วซินเจียเองก็เสียแขนไปข้างหนึ่ง หมดประโยชน์สำหรับเขาแล้ว ท่านเจียงจึงคิดจะฆ่าปิดปากโก่วซินเจียเพื่อปิดบังเรื่องขุมทรัพย์ทองคำ
โก่วซินเจียตอนนั้นเป็นตัวแทนสมาชิกขององค์กรทหารหนุ่มในแผนกพิเศษ จึงไม่ได้ถูกจัดการง่ายนัก แม้ลูกน้องคนสนิทส่วนใหญ่ยี่สิบกว่าคนจะตายในพม่าเกือบหมด แต่ยังเหลือลูกน้องที่ภักดีอยู่คอยช่วยเหลือเขาต่อกรกับท่านเจียง
เมื่อคิดพิจารณาเหตุการณ์ดีแล้ว โก่วซินเจียอาศัยความสัมพันธ์ก่อนเก่า แกล้งก่อเหตุไฟไหม้ในโรงพยาบาล แล้วไปขโมยศพๆหนึ่งมาตัดแขนแสร้งให้เหมือนตน แล้วหนีออกไป
ตอนแรกโก่วซินเจียคิดจะไปจากไต้หวัน แต่จะไปจีนแผ่นดินใหญ่ก็ไม่ได้ จะไปต่างประเทศเขาก็ไม่มีทุนทรัพย์มากพอ ตอนหลังได้ไปพบกับเพื่อนเก่าที่รู้จักตอนอยู่ประเทศจีน คือหลวงจีนซิงอวิ๋น กำลังก่อสร้างวัดฝ่อกงซาน หลังจากนั้นจึงหลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหมู่คณะสงฆ์มาตลอด
ตั้งแต่เด็กเขาได้เรียนแต่หลักการของลัทธิเต๋า พอมาอยู่ในวัดพุทธ กับหลวงจีนซิงอวิ๋นแม้จะเป็นเพื่อนสนิทคุ้นเคย แต่มักจะเกิดเรื่องถกเถียงกันบ่อยครั้ง พอช่วงปี 70 ท่านเจียงสิ้นชีวิตลง โก่วซินเจียยังพูดล้อเล่นกับหลวงจีนซิงอวิ๋น ว่าชนะจนได้อารามเต๋านี้มา
ภรรยาของโก่วซินเจียจากโลกนี้ไปในช่วงปี 60 เขาไม่มีบุตรธิดา จึงไม่มีห่วงในโลกแล้ว เอาแต่มุ่งมั่นคิดค้นพัฒนาวิชาของอาจารย์ ส่วนเรื่องบุญคุณความแค้นก็ค่อยเจือจางลงตามกาลเวลา
“การที่หนีเอาชีวิตรอดมาได้ ถือว่าเป็นโชคดีสุดในความโชคร้ายแล้ว”
ฟังจบทั้งเยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้นต่างถอนใจโล่งอก ท่านเจียงนั้นเป็นผู้มีอิทธิพลล้นฟ้าที่สุดในประเทศจีนคนหนึ่งในรอบร้อยปีนี้ หนีเอาตัวรอดจากเขามาได้นั้นถือว่าเก่งมากแล้ว
“เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล เป็นวิถีของท่านเจียงมาแต่ไหนแต่ไร ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่น่าบอกตำแหน่งที่ซ่อนขุมทองให้เขารู้เลย”
เยี่ยเทียนเติบโตในจีนแผ่นดินใหญ่ ไม่ได้รู้สึกชื่นชมคนๆนั้นเท่าไหร่ ยังคงรู้สึกแค้นเคืองแทนโก่วซินเจีย
ได้ยินที่เยี่ยเทียนพูด โก่วซินเจียแสดงสีหน้าทะเล้นเหมือนเด็กตอบว่า “บอกน่ะบอกไปแล้ว แต่สิ่งที่ฉันพูดอาจไม่เป็นความจริงก็ได้?”
“อะไรนะ?”
คราวนี้ทั้งเยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้นยิ่งตะลึง ขุมทองที่ทั้งฝ่ายไต้หวันและญี่ปุ่นต่างต้องการนั้นต้องไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยแน่
“ในโลกนี้ มีแค่นายสองคนที่รู้ความจริงละ”
โก่วซินเจียเผยยิ้มอย่างได้ใจ “หากตอนนั้นท่านเจียงมาถามที่ตั้งขุมทองจากฉันด้วยตัวท่านเองละก็ ฉันคงบอกความจริงไม่ปิดบัง แต่เขาให้คนอื่นมาถามแทน ฉันจะเสียมืออีกข้างไปไม่ได้…”
โก่วซินเจียในตอนนั้นไม่ได้มีใจละโมบ แต่เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เขาจึงรายงานเท็จถึงที่ตั้งขุมทองที่ถูกฝังซ่อนไว้ คิดว่าในวันหน้าเขาจะบอกความจริงกับท่านเจียงอีกครั้ง
แต่ยังไม่มีโอกาสได้บอก เขากลับได้ข่าวว่าท่านเจียงต้องการฆ่าเขาปิดปากเสียก่อน แน่นอนว่าเขาจะไม่มีทางบอกความจริงแก่ท่านเจียงอีก
หลังจากข่าวการเสียชีวิตของโก่วซินเจียไปแล้วปีหนึ่ง ภรรยาของเขาก็ถูกส่วนที่เกี่ยวข้องจับตามอง
จนถึงช่วงปี 60 ที่ภรรยาของเขาเสียชีวิต การสอดแนมยังไม่ยุติลง น่าจะเป็นเพราะท่านเจียงรู้ว่าตัวเองหลงกลเข้าแล้ว แต่โก่วซินเจียเสียชีวิตลง เขาจึงได้แต่ไปสืบจากบุคคลในครอบครัวของโก่วซินเจีย
โก่วซินเจียกลัวว่าจะทำให้ภรรยาเดือดร้อน ตั้งแต่ข่าวการตายปลอมนั้นแพร่ออกไป เขาก็ไม่กล้าติดต่อครอบครัวอีกเลย การสอดแนมของท่านเจียงจึงไร้ผล ตำแหน่งขุมทรัพย์ทองคำยังคงเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้
“ศิษย์พี่ ทองคำพวกนั้นมีเท่าไหร่กันแน่?”
เยี่ยเทียนอยากรู้อยากเห็น เรื่องราวขุมทรัพย์ทองคำแบบนี้ ทุกทีเคยได้ยินแต่เป็นตำนานเรื่องเล่า ตอนนี้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จริงนั่งอยู่ตรงนี้แล้ว เยี่ยเทียนก็อดถามไม่ได้
“ทำไมเหรอ? ศิษย์น้องเริ่มหวั่นไหวแล้วล่ะสิ?”
สีหน้าหยอกเย้าของของโก่วซินเจียช่างขัดกับแววตาที่จ้องเยี่ยเทียนเขม็ง แม้ว่าโก่วซินเจียจะเชื่อใจศิษย์น้องทั้งสอง แต่ใครจะไปรู้ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ถ้าหากเยี่ยเยียนมีจิตใจละโมบ ศิษย์น้องแบบนี้ไม่มีก็ดีเหมือนกัน
คนถูกถามหน้าแดงขี้นมา รีบบ่ายเบี่ยง “ศิษย์พี่ใหญ่ ผม…ผมก็แค่สงสัยเท่านั้น ผมไม่ได้คิดจะไปเอามาหรอก ถือว่าผมไม่ได้ถามแล้วกัน”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ครั้งนี้เยี่ยเทียนมาตามหาร่างของสามีของกงเสียวเสี่ยว ค่าตอบแทนที่กงเสียวเสี่ยวให้ก็เกินสิบล้านแล้ว ศิษย์น้องเล็กไม่อยากได้ขุมทองนั่นหรอก””
จั่วเจียจวิ้นคลุกคลีกับเยี่ยเทียนมานานพอสมควรจึงรู้ว่าเยี่ยเทียนไม่ใช่คนโลภ จึงเอ่ยปากช่วยพูดอีกแรง
โก่วซินเจียจ้องพิจารณาเยี่ยเทียนอยู่ครู่ใหญ่ เห็นว่าแววตาของเยี่ยเทียนใสซื่อจริงใจ ค่อยพยักหน้า แล้วตอบว่า “ขุมทองนั่นมียี่สิบตัน ทั้งหมดถูกหลอมเป็นทองคำแท่ง ตอนที่ขนย้ายพวกเราใช้ล่อเทียมรถหลายสิบคันกว่าจะขนหมด พวกนายคิดดูละกันว่ามันมีมูลค่าเท่าไหร่!”
จั่วเจียจวิ้นทำธุรกิจเกี่ยวกับทองคำและอัญมณี ราคาทองคำเขาย่อมรู้ดีที่สุด หลังจากแอบคำนวณในใจ จั่วเจียจวิ้นโพล่งออกมา
“ยี่สิบตัน? สวรรค์ นั่นมันมูลค่าหลายพันล้านเชียวนะ?”
ช่างเป็นจำนวนมหาศาลที่ทำให้คนดีๆกลายเป็นคนชั่วขึ้นมาได้เลย แม้แต่เยี่ยเทียนกับจั่วเจียจวิ้นได้ฟังยังอ้าปากค้าง ต้องรออีกพักใหญ่ถึงจะดึงสติกลับมาได้
เมื่อครู่เพิ่งถูกโก่วซินเจียสงสัยไป เยี่ยเทียนไม่อยากพูดเรื่องเงินๆทองๆอีก จึงยกถ้วยสุราขึ้นมา “เอาเถอะ เราไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ไม่แน่ว่าขุมทองอาจจะถูกคนอื่นพบเข้าเอาไปหมดแล้ว มา ศิษย์น้องขอดื่มคารวะศิษย์พี่ทั้งสองแก้วหนึ่ง”
สุราตกถึงท้องแล้ว เยี่ยเทียนพูดต่อ “ศิษย์พี่ใหญ่ พี่ไม่มีห่วงภาระอะไรแล้ว ทั้งไม่มีครอบครัว ผมว่าพี่กลับเมืองจีนไปพร้อมกับผมเถอะ จะได้ไปกราบหลุมศพอาจารย์ด้วย!”
เห็นโก่วซินเจียอยู่อย่างอดยาก เยี่ยเทียนก็มีความคิดนี้เกิดขึ้น เขามีความตั้งใจจริง ไม่กลัวว่าโก่วซินเจียจะสงสัยในตัวเขาอีก จึงได้พูดออกมาตรงๆ
จั่วเจียจวิ้นได้ฟังก็ไม่ชอบใจ พูดขัดเยี่ยเทียนว่า “ศิษย์น้อง ให้ศิษย์ใหญ่อยู่กับฉันที่ฮ่องกงดีกว่า ฉันอยู่คนเดียวไม่มีใคร เวลาว่างจะได้ถกปัญหากับศิษย์พี่ใหญ่ได้”
โบราณว่าไว้ พี่ชายก็เหมือนพ่อ แม้จะรู้จักกันได้เพียงวันเดียว แต่ด้วยความเป็นศิษย์ร่วมสำนักสามารถทำให้พวกเขารู้สึกผูกพัน ไม่มีสิ่งใดมากั้นขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลักษณะท่าทางของโก่วซินเจียคล้ายกับหลี่ซั่นหยวนมาก ทำให้ทั้งจั่วเจียจวิ้นและเยี่ยเทียนยิ่งรู้สึกอยากใกล้ชิดด้วย
“ไปกราบหลุมศพอาจารย์ก่อนแล้วกัน ส่วนที่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนนั้น ก็ค่อยว่ากัน”
เห็นศิษย์น้องทั้งสองคนถกเถียงกัน ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ โก่วซินเจียสัมผัสได้ว่าทั้งสองมีความจริงใจที่อยากจะให้ตนเองไปอยู่ด้วย รู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างประหลาด
……….
ตอนที่ 367 ออกจากภูเขา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในวันนี้ ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามคนต่างก็กินเหล้าเมามาย ไม่มีใครใช้กำลังภายในในการลดแอลกอฮอล์เลย ชายชราสองเด็กหนุ่มหนึ่ง ต่างก็อัดอยู่ในบ้านเล็กๆแคบๆของโก่วซินเจียแล้วก็หลับใหลลงไป
วันที่สองท้องฟ้ายังไม่สว่าง ไก่ขันที่เลี้ยงในวัดเริ่มร้องขึ้นมา เยี่ยเทียน โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นทั้งสามในเวลานั้นเริ่มลืมตาแล้วก็ยิ้มขึ้นมา มิตรภาพระหว่างพี่น้องสำนักเดียวกันนั้นอบอุ่นไปในหัวใจของทั้งสามคน
ถึงไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด และอายุของคนสามคนถึงจะต่างกันมาก แต่ที่มาจากสำนักเสื้อป่านด้วยกัน กลับทำให้พวกเขาสนิทกันมากกว่าพี่น้องเสียอีก
“ภูเขานั้นสะอาดบริสุทธิ์ นักพรตเต๋าถูกปนเปื้อนด้วยฝุ่นสีแดงอีกครั้ง!”
หลังจากโก่วซินเจียตื่นขึ้นมา พอมาถึงในบ้านก็ยืดเส้นยืดสาย เมื่อมองสถานที่ที่อยู่มากว่าสิบปี ในใจกลับละทิ้งบางอย่างไม่ได้
“ศิษย์พี่ สำหรับพี่แล้วการเข้าออกทางโลก ยังไม่เหมือนกันอีกเหรอ”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ยิ้มขึ้น ถึงแม้ว่าร่างกายจะได้รับพิษของงู แต่อายุเขายังน้อยและแข็งแรง ได้รีบการฟื้นฟูมาสองสามวันแล้ว ถึงแม้ร่างกายจะอ่อนแอลงบ้าง แต่ความกระตือรือร้นไม่แตกต่างจากเมื่อก่อน
“ศิษยพี่ใหญ่ ที่นี่ยังมีของอะไรที่ยังไม่เอาไปอีกไหม เดี๋ยวผมจะให้คนมาเก็บกวาดสักหน่อย” จั่วเจียจวิ้นเดินออกมาจากในบ้าน ในมือถือโทรศัพท์มาอีกหนึ่งเครื่อง ใบหน้าก็ยิ้มด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
ตั้งแต่เมื่อวานตอนกลางคืนจนถึงตอนนี้ มือถือของจั่วเจียจวิ้นคิดไม่ถึงว่าจะไม่ได้รับหลายสิบสาย เขากับเยี่ยเทียนถ้าหากไม่กลับไป เกรงว่าถังเหวินหย่วนก็คงขึ้นมาภูเขาพระพุทธรูปนี้แล้ว
โก่วเจียซินเป็นคนง่ายๆสบายๆ การไม่ละทิ้งบางอย่างในใจก็หายไปอย่างรวดเร็ว มองไปรอบๆแล้วพูดว่า “นอกจากดาบมูรามาสะนั่น ฉันก็ไม่มีของที่มีค่าอะไรอีก”
จั่วเจียจวิ้นพยักหน้าแล้วพูดว่า “งั้นพวกเราเดินไปกันเถอะ ผมเรียกรถมารับแล้ว”
การหายตัวไปของเยี่ยเทียน เรื่องนี้มีส่วนพัวพันอย่างมาก เมื่อก่อนเขาก็ได้ฆ่าทหารรับจ้างของเทียนหลงจนเกิดเป็นเรื่องใหญ่ขึ้น จั่วเจียจวิ้นก็อยากจะรีบกลับฮ่องกงให้เร็วที่สุด พอถึงตอนนี้ต่อให้คนคิดไม่ดีกับเยี่ยเทียน ก็ไม่ถึงกับไล่ยิงเสียงดังเอะอะเหมือนวันก่อน
โก่วซินเจียครุ่นคิดสักพักหนึ่ง ในมือที่ถือดาบมูรามาสะมาด้วย ส่งให้กับยี่ยเทียนถือ พูดว่า “พวกนายไปรอฉันที่ด้านล่างภูเขาสักพักหนึ่ง ฉันจะไปบอกลาเจ้าอาวาสซิงหยุนต้าก่อน อาศัยที่คนอื่นมาหลายสิบปี ก็ต้องคืนให้เขา”
โก่วเจียซินถึงแม้จะอายุมากกว่าซิงหยุนเกือบสิบปี แต่เขาก็บำเพ็ญเพียรอย่างหนัก ช่วงชีวิตต้องยาวนานกว่าซิงหยุนแน่นอน
ซิงหยุนกับโก่วซินเจียเป็นพระภิกษุรูปหนึ่ง อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งสองเป็นเพื่อนกันมาครึ่งชีวิต ถ้าภูเขาพระพุทธรูปแห่งนี้มีสิ่งเดียวที่โก่วซินเจียทิ้งไม่ลง ก็คงมีแค่อาจารย์ซิงหยุนแล้วแหละ
“ได้ ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเราจะไปรอคุณที่ด้านล่างภูเขา”จั่วเจียจวิ้นพยักหน้า หลังจากที่รู้ที่ไปที่มาบางอย่างของโก่วซินเจีย ในใจของเขาก็เคารพพระซิงหยุนอย่างเป็นที่สุด
ต้องรู้ว่า คุณเจียงคนนั้นเป็นคนที่มีอำนาจใหญ่โตในไต้หวัน ชิงหยุนกล้าที่จะรับโก่วซินเจียในขณะที่ทุกคนไม่ยอมรับ นี่ก็ถือว่าเป็นคนที่ใจกล้า
หลังจากที่ออกจากวัดลัทธิเต๋า โก่วซินเจียก็เดินเข้าไปในภูเขาต่อ เยี่ยเทียนกับจั่วเจียจวิ้นกลับเดินลงจากภูเขา แต่พอมาถึงหน้าประตูทางขึ้นเขา คิ้วของจั่วเจียจวิ้นก็ขมวดขึ้น
“ศิษย์พี่ พวกเขาเป็นใครกัน”
เมื่อเห็นผู้ชายผิวขาวที่ตัวใหญ่น่าเกรงขามสี่คนยืนอยู่หน้าประตู เยี่ยเทียนถึงกับจับดาบมุรามาสะให้แน่นเข้าไปอีก ค่อยๆก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่มีเสียง ยืนอยู่ที่ด้านหน้าของจั่วเจียจวิ้น
จั่วเจียจวิ้นถึงแม้วิชากังฟูจะดี แต่ความสามารถเมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่อันตราย ยังเทียบกับยี่ยเทียนไม่ได้มาก ใกล้กันขนาดนี้ ถ้าอีกฝ่ายควักปืนออกมาไล่ยิง จั่วเจียจวิ้นต้องหลบไม่ได้อย่างแน่นอน
“พลังพิฆาตแรงมาก”
เยี่ยเทียนขยับไปข้างหน้าอีก ทันใดนั้นชายผิวขาวทั้งสี่คน ก็รู้สึกเหมือนกับว่าถูกพลังบางอย่างกดดัน ต้องสูดหายใจถี่เร็วขึ้น ราวกับว่าที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาคือมังกรยักษ์ในตำนานตะวันตก
ในเวลานั้นสายลมพลันนิ่งสนิท ดาบญี่ปุนในมือของเยี่ยเทียนก็ส่งเสียงขึ้นเบา ๆ ราวกับว่าอยากกระโดดออกมาจากฝักเพื่อดื่มเลือดของศัตรู
เวลาที่เยี่ยเทียนมองมาที่คอของพวกเขา ผู้ชายผิวขาวทั้งสี่คน ถึงกับอดไม่ได้ที่จะสั่นเทาไปทั้งตัว ร่างกายก็ขนลุกขนพองขึ้น ในสมองก็อดคิดถึงการตายของทหารรับจ้างเมื่อสองสามวันก่อนไม่ได้
“คุณเยี่ย สวัสดีครับ ผมชื่อมาราไกย์ ดามัวดี้ สามคนนี้เป็นทีมของผม พวกเราได้รับการไหว้วาน ให้มาคุ้มครองคุณ
ทหารรับจ้างพวกนี้เป็นคนที่ซ่งเวยหลันส่งมา วันนั้นหลังจากที่หาเยี่ยเทียนไม่พบ พวกเขาก็ถูกจั่วเจียจวิ้นไล่กลับไป แต่ก็ยังคงสะกดรอยตามจั่วเจียจวิ้นทุกการเคลื่อนไหว
เมื่อวานจั่วเจียจวิ้นมาที่ภูเขาพระพุทธรูป คนพวกนี้ก็ตามเข้ามา แต่วัดอยู่บนภูเขาพระพุทธรูปนั้นอยู่สุดลูกหูลูกตา พวกเขาก็ไม่มีวิธีที่จะเข้าไปหา ก็ได้แค่เฝ้ารอที่ด้านล่างภูเขา
ในฐานะหัวหน้าทีมทหารรับจ้างชุดนี้ ไม่เพียงแต่ขนที่ลุกออกมา เขาก็ยังจำรูปลักษณ์หน้าตาของเยี่ยเทียนได้ขึ้นใจ เมื่อรู้ว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเต็มไปด้วยพลังพิฆาต ที่พวกเขาต้องมาปกป้องในครั้งนี้
แต่ในตอนนี้มาราไกย์ก็ได้รู้แล้ว ทหารรับจ้างทั้งยี่สิบสองคนที่ถูกเยี่ยเทียนฆ่าตายไป ในใจก็อดที่จะเป็นกังวลไม่ได้ คนที่เหมือนเทพการฆ่าคนนี้ จำเป็นต้องให้พวกเขาปกป้องด้วยเหรอ
“ปกป้องผมเหรอ”เยี่ยเทียนฟังภาษาอังกฤษของฝ่ายตรงข้ามเข้าใจ เมื่อได้ยินก็อดที่จะตะลึง ถามว่า “พวกคุณได้รับคำสั่งจากใครเหรอ”
“คุณเยี่ย คุณนายซ่งจากอเมริกาเป็นคนจ้างมา ระยะเวลาคุ้มครองมีผลหนึ่งปี หวังว่า…หวังว่าคุณจะไม่ทำให้พวกเราทำงานลำบาก”
เมื่อหันไปเผชิญหน้ากับจั่วเจียจวิ้น มาราไกย์ในใจยังคิดว่าได้เปรียบฝ่ายตรงข้าม แต่ตอนนี้เมื่อยืนต่อหน้าเยี่ยเทียน ความเย่อหยิ่งในใจของเขานั้นก็ได้หายไปตั้งนานแล้ว
ถึงแม้ว่าตัวเองจะมั่นใจในการใช้ปืนที่แม่นยำ มาราไกยก็ไม่มั่นใจว่า จะชักปืนออกมาทันก่อนที่ดาบเล่มนั้นในมือของฝ่ายตรงข้ามจะตัดคอตัวเขาเสียก่อน
ดังนั้นมาราไกย์ไม่กล้าพูดถึงหน้าที่การรับผิดชอบความปลอดภัยให้กับเยี่ยเทียนอะไรพวกนั้น เขาแค่ขอร้องเยี่ยเทียนให้พวกเขากับเพื่อนอีกสามคนที่ตามมา ใช้เวลาที่ถูกจ้างหนึ่งปีนี้อยู่ด้วยก็เท่านั้น
“เยี่ยเทียน เป็นคนที่แม่คุณส่งมา ผมได้ตรวจสอบแล้ว”จั่วเจียจวิ้นเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว กระซิบข้างหูเยี่ยเทียน
“พวกเขาไม่มีประโยชน์อะไร จะมาเพิ่มความวุ่นวายให้มากกว่า”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า คาดไม่ถึงกับพฤติกรรมของแม่ตัวเอง ที่อยากให้ตัวเองปลอดภัย รีบจัดการซ่งเสียวหลงที่ไม่รู้เรื่องอะไรให้เสร็จก็ไม่ใช่โอเคแล้วหรือ
“มากเท่าไรก็ตกใจมากเท่านั้น ตอนนี้คุณก็มีปัญหารอบด้าน ก็เอาไว้ข้างกายเถอะ
จั่วเจียจวิ้นถึงแม้จะรู้สึกว่าทหารับจ้างที่มีฝีมือพวกนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไร แต่มีพวกเขาอยู่ข้างกาย อาจจะทำให้หลายคนที่กำลังหาเรื่องเดือดร้อนพะว้าพะวงได้
“เอาเถอะ”
เยี่ยเทียนถอนหายใจ มองมาที่มาราไกย์แล้วพูดว่า “ตามผมมาก็พอ แต่ผมไม่อยากให้พวกคุณมารบกวนชีวิตประจำวันของผม ตั้งแต่วันนี้ไป นอกจากมีเกิดเรื่องขึ้น ให้พวกคุณออกห่างจากผมยี่สิบเมตร”
คำพูดของบอดี้การ์ดทุกคนต่างก็เข้าใจ แต่ที่ประเทศจีน บอดี้การ์ดไม่ใช่ทุกคนที่จะมีได้ โดยเฉพาะบอดี้การ์ดที่เป็นชาวต่างชาติ เยี่ยเทียนกลับไม่อยากได้รับการปฏิบัติเหมือนหมีแพนด้าที่อยู่นอกประเทศจีน
เมื่อยี่ยเทียนพูดออกมา พลังพิฆาตที่อยู่ในตัวนั้นก็หายไปในพริบตา ทำให้หลายคนถึงกับถอนหายใจ มาราไกย์รีบพูดว่า “ครับ คุณเยี่ย พวกเราจะทำตามวิธีของคุณ”
ตั้งแต่เห็นหน้าเยี่ยเทียนครั้งแรก ในใจของมาราไกย์ก็เข้าใจเป็นอย่างดี นี่คือคนที่มีพลังอย่างมากทั้งในและนอก ถ้าแม้แต่เขายังรับมือไม่ได้ ลูกน้องไม่กี่คนก็คงรับมือไม่ได้เหมือนกัน
ดังนั้นคำขอของเยี่ยเทียนถึงแม้จะไม่สอดคล้องกับกฎการคุ้มครองของบอดี้การ์ด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มาราไกย์รับปากรับคำ ต้องรู้ว่า ทำงานเสร็จในหนึ่งปีนี้ เงินสามสิบล้านเหรียญอเมริกาก็เพียงพอสำหรับพวกเขาสองสามคนที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่
“พอแล้ว งั้นตอนนี้พวกคุณก็ออกห่างหน่อยได้ไหม”
เยี่ยเทียนโบกไม้โบกมือ แต่ไหนแต่ไรเขาก็ชินกับการใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ถูกพวกมาราไกย์ติดตามอีก เนื้อตัวก็รู้สึกไม่สบาย หากไม่ใช่เพื่อไว้หน้าของแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบคนนั้น เยี่ยเทียนก็คงขับไล่คนเหล่านี้ออกไปตั้งนานแล้ว
มาราไกย์พยักหน้า รีบควักมือถือออกมา พูดว่า “คุณเยี่ย มือถือเครื่องนี้หวังว่าคุณจะพกติดตัวด้วย มันมีฟังก์ชั่นระบุตำแหน่งผ่านดาวเทียม ในกรณีฉุกเฉินเราจะหาคุณได้สะดวก”
“ได้ ผมจะเอาไปด้วย พวกคุณก็ไปกันได้แล้ว”
เยี่ยเทียนยื่นมือมารับ โทรศัพท์มือถือของเขาหายไปในคืนฝนตกนั้นอย่างไร้ร่องรอย เมื่อเหลือบมองไปที่โทรศัพท์ของมาราไกย์ที่เล็กกว่าโทรศัพท์เครื่องนั้นของตัวเอง เยี่ยเทียนก็ไม่ได้พูดอะไร
มาราไกย์รอให้ทุกคนโค้งคำนับนิดหนึ่งให้กับเยี่ยเทียน หลังจากนั้นกลับไปที่รถที่จอดห่างออกไปหลายสิบเมตร นี่ถึงรู้สึกว่าด้านหลังเสื้อของตัวเองเปียกไปหมด นี่ก็เห็นได้ว่าพวกถูกกดดันจากเยี่ยเทียนมากขนาดไหน
“ดาบมูรามาสะนี้เป็นดาบมารจริงๆ ·พลังพิฆาตนี้ไม่แตกต่างกับ มีดสั้น อู่เหินเลย ”หลังจากที่รอพวกมาราไกย์จากไป เยี่ยเทียนมองดาบมุรามาสะด้วยความประหลาดใจ
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนควักดาบออกมาดู จั่วเจียจวิ้นรีบห้ามเขา แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ดาบเล่มนี้กลับไปวางไว้ที่บ้าน ไม่มีเรื่องอะไรห้ามเอาออกมาเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะทำให้เกิดภัยพิบัติได้”
ดาบมุรามาสะเล่มนี้ ตีขึ้นโดยช่างตีดาบที่มีชื่อเสียงที่อาศัยอยู่ในคูวานะในญี่ปุ่นยุคมูโรมาจิ ดาบที่ถูกตีออกมาในรุ่นแรก ๆ จะถูกสลักว่า “ สร้างโดย ซามูไร ตระกูล มุรามาสะ ” จึงเรียกด้ามเล่มนี้ว่า ดาบมุรามาสะ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังเป็นประเทศที่ผู้คนรักษาหน้า รักษาศักดิ์ศรีของตัวเอง โดยเฉพาะพวกซามูไรที่ต้องให้ยิ่งกว่าชีวิต เมื่อคราวบรรพบุรษของตระกูล “คิตะ” ได้ทำดาบ มุรามาสะ หายไป เมื่อกลับมาถึงบ้าน เกือบถูกสั่งให้ฆ่าตัวตายด้วยการผ่าท้องฮาราคีรี
ดังนั้นถ้าพวกเขารู้ว่าดาบเล่มนี้อยู่ในมือของเยี่ยเทียน เกรงว่าเยี่ยเทียนในวันข้างหน้าจะไม่สงบสุข มองจากมุมมองนี้ ดามมุรามาสะนี้เป็นของที่ไม่สามารถบรรยายได้
“ศิษย์พี่ ผมเข้าใจแล้ว”
หลังจากที่ได้ฟังจั่วเจียจวิ้นอธิบาย เยี่ยเทียนพยักหน้า ถ้าหากเป็นเขาหลายวันก่อน ไม่แน่ว่าอาจจะตั้งใจทิ้งมันไว้ และดึงดูดผู้คนในตระกูล คิตะมิยะ ให้มาล้างแค้นศิษย์พี่ใหญ่
แต่เมื่อผ่านค่ำคืนการลอบฆ่าในคืนฝนตก เยี่ยเทียนกลับโตไม่น้อย บุรุษตามที่โบราณได้กล่าวไว้ว่า การได้ยืนอยู่ในกำแพงที่อันตรายจะทำให้เข้าใจได้มากกว่า
“หือ เหล่าถังและคุณนายกงมาเองเลยเหรอ”
ในขณะที่เยี่ยเทียนพูดกับจั่วเจียจวิ้น รถตู้นักธุรกิจคันหนึ่งก็วิ่งมาที่หน้าประตูภูเขา ถังเหวินหย่วนและกงเสียวเสี่ยว คนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลังก็ลงมาจากรถ
……….
ตอนที่ 368 มีจิตสำนึกที่ชัดเจน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เยี่ยเทียน คุณ……คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม ทำไมถึงได้รับบาดเจ็บล่ะ”
เมื่อถังเหวินหย่วนลงจากรถก็เห็นไหล่ของเยี่ยเทียนพันด้วยผ้าพันแผลสีขาว รีบเดินมาสองสามก้าวมาคว้ามือของเยี่ยเทียน พูดด้วยสีหน้าที่ละอายแก่ใจว่า “เยี่ยเทียน ครั้งเป็นฉันเองเหล่าถังที่ต้องขอโทษนาย”
“ไม่ ไม่ ทั้งหมดนี้ต้องโทษเสียวเสี่ยว ถ้าไม่ใช่เพราะจะหาศพของสามี อาจารย์เยี่ยก็คงไม่ได้รับบาดเจ็บกงเสียวเสี่ยวมองเยี่ยเทียนเต็มเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้ง กลับเอาความรับผิดชอบทั้งหมดดึงมาที่ตัวเอง
สองสามวันนี้นอกจากจะตามหาเยี่ยเทียนแล้ว กงเสียวเสี่ยวก็ไม่ได้ว่างเลยเมื่อเทียบดีเอ็นเอระหว่างศพนั้นกับเส้นผมและเลือดของฝูอี้ที่หลงเหลืออยู่ พิสูจน์ได้ว่าเจ้าของศพเป็นของฝูอี้อย่างไม่มีข้อสงสัย คดีที่ค้างคานี้ถูกลากยาวมาแปดปี ในที่สุดก็ได้ปิดฉากสักที
แค่อาศัยการคำนวณทำนาย ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลหาศพที่ฝังลงในดิน สำหรับกงเสียวเสี่ยวแล้ว แทบจะเป็นความฝัน
ดังนั้นภาพลักษณ์ของเยี่ยเทียน ในสายตาของกงเสียวเสี่ยวในตอนนี้ แน่นอนว่าเป็นเทพเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่ ความซาบซึ้งนั้นออกมาจากใจของตัวเองทั้งหมด
“พอแล้ว คุณนายกง เหล่าถัง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคุณจริงๆ
เมื่อเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าทั้งสองคนนี้แย่งกันรับผิดชอบความผิด เยี่ยเทียนก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้
“เป็นเพราะผมเองที่ไม่ได้ตั้งใจ ไปยั่วพวกที่โกรธแค้น เลยทำให้พวกคุณต้องเป็นห่วง。”
นิสัยเดิมของเยี่ยเทียนไม่ได้เป็นคนที่พูดโอ้อวด เขายึดมั่นคำสอนของนักพรตเต๋าให้เป็นคนที่ดีในการใช้ชีวิตในโลกภายนอก หลังจากที่มาถึงฮ่องกง นิสัยของเยี่ยเทียนที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเขาหลายอย่าง ได้เปลี่ยนไปมาก แน่นอน นี่ก็มีเหตุผล พอเยี่ยเทียนมาถึงฮ่องกงก็พบประสบภัยหลายอย่าง ตอนแรกก็ต้องประลองวิชากับชาญ ทองทวน หลังจากนั้นก็ต้องเจอเรื่องฆาตกรที่ลอบฆ่า ท่ามกลางความกังวลของเยี่ยเทียน ดังนั้นจึงมีนิสัยใจร้อนและฆ่าได้ง่าย
แต่หลังจากที่อาศัยอยู่ภูเขาพระพุทธรูป บนภูเขานั้นมีพลังของความเมตตา กลับทำให้พลังบาปกรรมในตัวของเยี่ยเทียนที่มองไม่เห็นถูกกำจัดออกไปไม่น้อย รวมถึงคำชี้แนะของโก่วซินเจีย ทำให้เยี่ยเทียนตระหนักถึงจิตใจของตัวเองที่ยังบกพร่อง เยี่ยเทียนตอนนี้หลังจากที่รวบรวมพลังชี่แท้เข้าสู่ร่างกายตัวเอง ก็สามารถควบคุมได้ จึงเหมือนเด็กหนุ่มทั่วไป
หลังจากที่พูดกันอย่างเรียบง่ายไม่กี่ประโยค ถังเหวินหย่วนพูดว่า “ไป กลับโรงแรมก่อน ตอนบ่ายก็ค่อยกลับฮ่องกง!”
“รอก่อนครับ ยังรอคนคนหนึ่งอยู่” เยี่ยเทียนส่ายหน้า มองมาที่ถังเหวินหย่วนแล้วพูดว่า “เหล่าถัง เรื่องเมื่อก่อนยังไม่ยุ่งยากพอเหรอครับ”
เยี่ยเทียนได้ฆ่าคนยี่สิบสองคนบนภูเขาพระพุทธรูปแห่งนี้ ถึงแม้ว่าคนที่ถูกฆ่าจะเป็นกลุ่มนักรบรับจ้าง แต่ถ้าเรื่องราวถูกเผยแพร่ออกไป จะทำสังคมเกิดความวุ่นวาย ในใจของเยี่ยเทียนก็กระสับกระส่ายไม่น้อย
“เรื่องเมื่อก่อนเหรอ”
ถังเหวินหย่วนถึงกับตะลึงเล็กน้อยจากนั้นก็ตอบสนองโดยเร็วยิ้มพูดว่า “เรื่องที่นายพูดก็คือการตายของคนพวกนั้นเหรอ”
“ไม่เป็นไร พวกเขาไม่ได้ผ่านกระบวนการคัดกรองคนเข้าเมืองที่เหมาะสม ตัวเองก็ลักลอบเข้ามาที่ไต้หวัน อีกทั้งยังพกอาวุธที่ผิดกฎหมายมาอีก ไม่มีใครที่จะไต่สวนความผิดของคุณหรอก”
ใบหน้าถึงแม้จะพกพารอยยิ้ม แต่ในใจของถังเหวินหย่วนตกตะลึง เป็นอย่างที่คิด จากคำพูดของเยี่ยเทียนที่ออกมาเมื่อครู่ เขาฟังแล้วถึงกับคาดเดาได้ว่า คนพวกนั้นแท้ที่จริงแล้วตายในมือของเยี่ยเทียน
คิดถึงการเสียชีวิตของศพมากกว่า 20 ศพนั้น ถังเหวินหย่วนถึงกับอดไม่ได้ที่จะกลุ้มใจ เด็กหนุ่มใหญ่คนหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่เป็นพิษเป็นภัยกับคน คาดไม่ถึงว่าจะลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมแบบนี้
ในสังคมปัจจุบันนี้ ความกล้าของคนจะอ่อนแอลงเรื่อย อย่างไม่มีที่สิ้นสุด รวมถึงถังเหวินหย่วนซึ่งมีทรัพย์สินส่วนบุตัวมูลค่านับพันล้าน เมื่อยืนอยู่หน้าเยี่ยเทียน ก็ยังรู้สึกว่าความสำคัญของตัวเอง ไม่มีทางข้อได้เปรียบอีกฝ่ายเลย
“พอแล้ว ขึ้นรถเถอะ”
มีชายหญิงใจบุญหลายคนที่กำลังมุ่งหน้าไปภูเขาพระพุทธรูปเพื่อไหว้พระ เยี่ยเทียนไม่อยากยืนรอโก่วซินเจียที่ด้านนอก หลังจากที่เรียกจั่วเจียจวิ้นแล้ว ก็เข้าไปในรถตู้
ถังเหวินหย่วนถึงแม้จะอยากถามเยี่ยเทียนว่าคนที่รอคือใคร แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเยี่ยเทียนพลังก็อ่อนลง นี้กลับทำให้ไม่สามารถเปิดปากพูดได้
โก่วเจียซินไม่ทำให้เยี่ยเทียนรอนาน นั่งรอในรถประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า พระสงฆ์ทั้งสองนิกายห่มด้วยจีวรสีเหลืองเข้มจู่ ๆ ก็ลงมาจากภูเขา
หลังจากที่พระสงฆ์สองนิกายลงจากภูเขาแล้ว ก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่มแยกกันยืนอยู่หน้าภูเขา คนที่ยืนอยู่ต่อหน้าทั้งสามคนถือร่มจีน แลเห็นได้ชัดเจนว่ามีใบหน้าที่เคร่งขรึม
พระภิกษุใบหน้ากลมและหูใหญ่ที่ห่มด้วยจีวรสว่าง กับนักบวชลัทธิเต๋าที่ตัวผอมใส่จีวรที่ไม่เก่าและไม่ใหม่ เดินออกมาจากพระทั้งสองนิกาย
ถังเหวินหย่วนและก่งเสียวเสี่ยวที่นั่งอยู่บนรถหลังจากที่เห็นใบหน้าของพระภิกษุอย่างชัดเจน สะดุ้งตกใจไปทั้งตัว ทันใดนั้นพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “อาจารย์ซิงหยุน เขา……คนที่เขามาส่งเป็นใครกันเหรอ”
ซิงหยุนเกิดที่จินหลิงในปี 1920 โกนผมออกบวชในวัย 20 ปี เกือบหกสิบปีที่ส่งเสริม“ศาสนาพุทธกับมนุษย์” สืบต่อพระพุทธศาสนา เผยแพร่คำสอน โดยมีลูกศิษย์ลูกหาทั่วโลกราวพันกว่ารูปได้รับความเลื่อมใสจากคนทั้งโลกมากกว่าล้านคน
เมื่อต้นปี 1990 พระอาจารย์ซิงหยุนเป็นประธานสหพันธ์โลกขององค์กรสงฆ์และฆราวาส ยิ่งกว่านั้นได้รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วโลก และถือได้ว่าเป็นบุคคลแรกในโลกพุทธศาสนาในปัจจุบัน
กงเสียวเสี่ยวกับถังเหวิยหย่วนที่นั่งอยู่บนรถ ต่างก็รู้จักพระอาจารย์ซิงหยุนดี เคยบริจาคเงินให้กับภูเขาพระพุทธรูปหลายสิบล้าน แต่ต่อให้เป็นอย่างนี้ พวกเขาก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติจากพระอาจารย์ซิงหยุน ที่เวลาจะลงจากภูเขาก็มาส่งด้วยตัวเอง
“เดี๋ยวผมลงรถไปทักทายอาจารย์ซิงหยุนก่อน เอ๋ เยี่ยเทียน นายไปทำไมกัน”
เมื่อถังเหวินหย่วนหันมาพูดกับเยี่ยเทียน กลับพบว่าเยี่ยเทียนผลักประตูรถลงไปแล้ว มองไปที่พระอาจารย์ซิงหยุนที่อยู่ประตูภูเขากับนักพรตเต๋าที่เดินมาด้วยกัน
ถังเหวินหย่วนรู้ดีว่าซิงหยุนนั้นมีความสำคัญกับไต้หวันมาก เกรงว่าเยี่ยเทียนเทพเจ้าแห่งการฆ่าจะทำร้ายอาจารย์เอา จึงรีบตามลงไป อย่ามองว่าเขาเป็นชายชราวัยแปดสิบปี แต่ขากลับคล่องแคล่วอย่างมาก
ไม่ได้รอให้ถังเหวินหย่วนอยู่ด้านหน้า เยี่ยเทียนยิ้มแล้วก็สนทนสกับอาจารย์ซิงหยุนที่อยู่ด้านข้างนักพรตเต๋ารูปนั้น อาจารย์ซิงหยุนมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มมองมาที่ทั้งสองคน อดไม่ได้ที่จะทำให้ถังเหวินหย่วนถึงกับตกตะลึง
ปกติเต๋าและพุทธสองฝ่ายถึงแม้จะพูดไม่ได้ว่าเข้าด้วยกันไม่ได้ เพราะเส้นทางการปฏิบัติที่ไม่เหมือนกันตั้งแต่โบราณไม่ใช่ว่าเส้นทางพระพุทธศาสนาจะเสื่อมลง อาจารย์ซิงหยุนมาส่งนักพรตเต๋าลงจากภูเขา เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ประหลาดมาก
ไม่เพียงแต่ถังเหวินหย่วนกับกงเสียวเสี่ยวที่ประหลาดใจ ผู้ที่เลื่อมใสทั้งชายและหญิงที่กำลังจะขึ้นไปมนัสการบนภูเขา ก็ได้แต่ยืนพูดกันอยู่ที่ไกลๆ ต่างก็คาดเดาสถานะของนักพรตเต๋าคนนั้น
“อาจารย์ซิงหยุน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ ยิ่งนับวันพระอาจารย์ก็ยิ่งมีความรู้ความสามารถมากขึ้น ” ถังเหวินหย่วนกดความสงสัยไว้ในใจ ขึ้นบันไดมาทักทายอาจารย์ซิงหยุน
เมื่อเห็นถังเหวินหย่วน อาจารย์ซิงหยุนถึงกับพนมมือ ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นอุบาสกถัง อุบาสกร่างกายแข็งแรง มีความสุขดีนี่”
เมื่อคิดถึงการส่งเสริมพุทธศาสนา จะขาดอุบาสกที่มีกำลังทรัพย์มหาศาลเหล่านี้ไม่ได้ ท่านอาจารย์ซิงหยุนและคนจีนที่ร่ำรวยทั่วมุมโลกต่างก็รู้จักกันดี ในนั้นก็รวมถึงถังเหวินหย่วนกับกงเสียวเสี่ยวเป็นต้น
“พระอาจารย์ ท่านนี้คือ”
ถังเหวินหย่วนมองมาที่เยี่ยเทียนกับนักพรตเต๋าครู่หนึ่ง ถึงอย่างไรในใจก็อดที่จะอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ นี่เป็นคนสูงศักดิ์ที่พบเจอยากในโลกนี้หรือ คุ้มค่าที่ซิงหยุนจะต้องมาส่งลงภูเขาเองเลยเหรอ
“เพื่อนเก่าแก่ของอาตมาวันนี้จะต้องไปจากภูเขาพระพุทธรูป อาตมาก็เลยมาส่ง”
สำหรับซิงหยุนแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพูดให้คนฟังได้ รวมถึงเจียงไคเชกที่ได้เสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว ไต้หวันก็ไม่ได้ฟื้นฟูตระกูลเจียงอีกเลย โก่วซินเจียก็ไม่จำเป็นต้องลักลอบเข้ามาเหมือนหลายปีก่อน
“ขอบคุณท่านอาจารย์ซิงหยุนที่ดูแลศิษย์พี่ในหลายปีมานี้”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของซิงหยุนแล้ว เยี่ยเทียนก็หันกลับมาน้อมแสดงความเคารพกับพระภิกษุ โก่วซินเจียได้ฝึกปฏิบัติบำเพ็ญตบะหลายสิบปีมานี้ ที่จริงต้องขอบคุณพระองค์นี้
“ฮา ฮา อาตมากับหยวนหยางจื้อคบหากันมาหกสิบกว่าปี พวกนี้เป็นสิ่งที่ควรทำ”อาจารย์ซิงหยุนได้ฟังก็ยิ้มขึ้นมา มองมาทางเยี่ยเทียนแล้วพูดว่า “คงมีโอกาสได้สนทนากันนะ”
ซิงหยุนกับโก่วซินเจียต่างก็พูดกันด้วยศักดิ์ที่เสมอกัน ต่อหน้าเยี่ยเทียนก็ไม่ได้วางมาดเป็นพระอาจารย์ใหญ่อะไร น้ำเสียงที่พูดก็อบอุ่น ทำให้คนรู้สึกถึงลมในฤดูใบไม้ผลิ
“ขอท่านอาจารย์กรุณา” เยี่ยเทียนพยักหน้า ทำท่าทางราวกับได้รับการสั่งสอน
“โยมเยี่ยเทียนเป็นผู้มีความสามารถ อายุยังน้อยก็สามารถฝึกวิชาของนักพรตเต๋าได้อย่างลึกซึ้ง เป็นคนแรกที่ตลอดชีวิตพระอาจารย์ใหญ่พบเจอ
ซิงหยุนชมเยี่ยเทียนสักพักหนึ่ง หัวข้อสนทนาจู่ๆก็เปลี่ยนไป แล้วพูดว่า “แต่พลังพิฆาตของโยมมีมากเกินไป ต้องรู้ว่า ต้นไม้ใบหญ้ายังมีจิตวิญญาณ ยิ่งกว่านั้นแล้ววิญญาณมนุษย์ ยังหวังว่าวันข้างหน้าโยมเยี่ยจะฆ่าให้น้อยลง แล้วทำความดีให้มาก”
เรื่องที่เกิดขึ้นบนภูขาพระพุทธรูปวันก่อน แน่นอนว่าปิดบังหูตาของซิงหยุนไม่ได้ เยี่ยเทียนถึงแม้ว่าจะรวบรวมพลังชี่ได้ แต่ยังคงไม่สามารถหลบหนีการตอบสนองพลังชี่ของซิงหยุนที่ลึกซึ้งและยอดเยี่ยมได้
“พระอาจารย์ ศิษย์น้องจะให้ท่านมาสอนได้อย่างไรกัน”
เยี่ยเทียนยังพูดไม่ทันจบ โก่วซินเจียไม่พอใจเท่าไหร่ ถือหางพรรคพวกของตัวเองเป็นธรรมเนียมที่ดีที่สุดของสำนักเสื้อป่านเทพพยากรณ์ จากหลี่ซั่นหยวนมาที่เยี่ยเทียน มาถึงโก่วซินเจียอีก แทบจะเป็นอย่างนี้
“ศิษย์พี่ ไม่เป็นไร”
เยี่ยเทียนยิ้มมาที่โก่วซินเจียพร้อมโบกไม้โบกมือ ดวงตาคู่หนึ่งมองที่ซิงหยุนด้วยสายตาที่ตรงไปตรงมา พูดว่า “ท่านอาจารย์ ศาสนาพุทธยังมีพระสกันทโพธิสัตว์ กำจัดความชั่วร้ายด้วยการทำความดี คนที่พวกเยี่ยเทียนฆ่าเป็นคนที่สมควรฆ่า ต่อให้วันข้างหน้าต้องตกนรกหมกไหม้ เยี่ยเทียนถึงจะฆ่าคนตายเท่าไหร่ก็ไม่เสียใจภายหลังเป็นอันขาด”
นับตั้งแต่ฝึกจนสำเร็จ ในมือของเยี่ยเทียนก็แปดเปื้อนเลือดไม่น้อย แต่ไม่ว่าจะเป็นโจรปล้นหลุมศพหรือฆาตกรตะวันตกอย่างชาญ ทองทวน รวมถึงเทียนหลงเป็นต้น เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกไม่ฆ่าต้องมีภัย แน่นอนว่าเยี่ยเทียนไม่เคยฆ่าคนดีเลยสักคน
“ฮ่าๆ พระอาจารย์ ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ ศิษย์น้องเยี่ยเป็นเจ้าสำนักเสื้อป่านเทพพยากรณ์รุ่นปัจจุบัน จะให้ท่านมาสั่งสอนได้ยังไงกัน
เมื่อเห็นซิงหยุนที่พูดไม่ออกเมื่อเยี่ยเทียนถาม ทันใดนั้นโก่วซินเจียก็หัวเราะดังขึ้นมา หลายสิบปีมานี้มักจะโต้แถ้งกับซิงหยุนเป็นประจำ เมื่อเห็นซิงหยุนเกือบจะเสียหน้า นักพรตเต๋ากลับสบายอกสบายใจขึ้นมา
“เป็นเพราะอาตมาวู่วามไป ขอให้โยมเยี่ยเทียนยกโทษให้ด้วย”
เมื่อได้ยินโก่วซินเจียบอกสถานะของเยี่ยเทียน ซิงหยุนรู้ว่าที่ตัวเองพูดนั้นไม่สมควรพูด เยี่ยเทียนเป็นถึงเจ้าสำนักเสื้อป่านเทพพยากรณ์ มีสถานะไม่น้อย ไม่ใช่ว่าตัวเองจะสั่งสอนได้
“ท่านอาจารย์อย่าจริงจังเกินไป เรื่องของเยี่ยเทียนไม่มีอะไรที่ได้ดั่งใจไปทั้งหมด แต่ขอให้ตัวเองไม่ละอายใจในสิ่งที่ทำก็พอแล้ว” น้ำเสียงของเยี่ยเทียนเสียงดังกังวานและเต็มไปด้วยพลัง เขาชี้แจงจุดยืนของตัวเองด้วยคำพูดของปรมาจารย์ฉีเหมิน “หลิวป๋อเหวิน”
…………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น