กระบี่จงมา 361.1-363.2
บทที่ 361.1 ถึงนครมังกรเฒ่า
เรือข้ามฟากลำนี้ของตำหนักพยัคฆ์เขียวแห่งยอดเขาเทียนแจว๋ ก่อนจะไปถึงนครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีปยังต้องจอดเทียบท่าอีกสามครั้ง ท่าเรือที่อยู่ทางเหนือสุดก็คือท่าเรือฉางชุนซึ่งอยู่นอกภูเขาอันเป็นที่ตั้งของสำนักใบถง สี่ฤดูของที่นี่ล้วนเป็นดั่งฤดูใบไม้ผลิ
เพียงแต่ว่าตอนนี้เฉินผิงอันคิดแต่อยากจะไปถึงนครมังกรเฒ่าอย่างสงบสุขปลอดภัย เวลาที่จอดเทียบท่าเรือทั้งสามแห่งนี้รวมกันแล้วก็เกือบสิบวัน เขาไม่ยอมอนุญาตให้เผยเฉียนลงจากเรือไปเดินเล่นตามร้านค้าต่างๆ ของท่าเรือ เด็กหญิงผิวดำเกรียมจึงได้แต่ยกม้านั่งมานั่งบนระเบียง มองภาพความเจริญรุ่งเรืองที่ผู้คนเบียดเสียดกันอย่างแออัดตรงท่าเรือทั้งสามแห่ง บางครั้งเว่ยเซี่ยนก็จะมาคุยเล่นเป็นเพื่อนเผยเฉียน
แต่ว่าถึงแม้จะไม่ได้ลงจากเรือ เฉินผิงอันกลับขอให้ผู้ดูแลอาวุโสของตำหนักพยัคฆ์เขียวช่วยไปซื้อของมาให้หลายอย่าง พวกเว่ยเซี่ยนสี่คนเองก็มอบใบรายการให้กับผู้ดูแล
เว่ยเซี่ยนต้องการตำราที่บอกถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของสถานที่ต่างๆ หลูป๋ายเซี่ยงซื้อกู่ฉินของเชื้อพระวงศ์ในวังที่พลัดมาอยู่ในหมู่ชาวบ้านคันหนึ่ง สุยโย่วเปียนไม่ได้ต้องการอะไร ยังคงวางท่าว่ามีเพียงกระบี่อยู่ข้างกายก็เพียงพอแล้วเหมือนเดิม จูเหลี่ยนกลับเขียนรายการหนังสือมายาวเหยียด ผลคือเฉินผิงอันบอกว่าให้จูเหลี่ยนเก็บกลับไป บอกว่าท่าเรือตระกูลเซียนไม่ขายหนังสือพวกนี้ เมื่อไปถึงนครมังกรเฒ่าแล้วให้เขาไปเลือกหาด้วยตัวเองในร้านหนังสือของหมู่ชาวบ้าน จูเหลี่ยนเสียดายอย่างสุดแสน ทว่าก็ได้แต่ล้มเลิกความคิด เดิมทีนิยายกองโตที่ผู้เฒ่าหลังค่อมคิดจะซื้อนั้น ลำพังแค่ดูจากชื่อหนังสือบนหน้ากระดาษ เฉินผิงอันก็รู้สึกชาหนึบไปทั้งหนังศีรษะแล้ว ให้ตายก็ไม่ยอมมอบให้แก่ผู้ดูแลเรือ เพราะเขาไม่อาจขายหน้าด้วยเรื่องนี้ได้จริงๆ
เฉินผิงอันนอกจากจะฝึกท่ายืนนิ่ง เดินนิ่ง นอนนิ่งของตำราหมัดเขย่าขุนเขาแล้ว วิชากระบี่ที่ถูกบันทึกไว้ใน ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ ก็ไม่ได้ละทิ้ง ถึงอย่างไรทั้งสองอย่างก็สามารถฝึกด้วยกันได้ นอกจากนี้ยังศึกษาคาถาตระกูลเซียนบทนั้นด้วย แม้ว่านี่จะเป็นวิชาชั้นสูง ทว่าการหลอมวัตถุบนโลกกลัวเรื่องไม่มีเงื่อนไขด้านวัตถุก็ไม่อาจทำงานได้ดีมากที่สุด ต่อให้มีฝีมือเลิศล้ำก็ไม่อาจลงมือได้ กระบี่บินชูอีและสืออู่ที่เนื่องจากไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เฉินผิงอันหลอมเอง ดังนั้นเขาจึงแค่ต้องเลี้ยงกระบี่ก็พอ อีกทั้งยังมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่าง ‘เจียงหู’ ลูกนี้ เขาจึงยิ่งไม่ต้องเปลืองแรงกายแรงใจเข้าไปอีก แต่หากตนหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตด้วยตัวเอง จำนวนและมูลค่าของวัตถุดิบล้ำค่าที่จำเป็นต้องใช้ก็มากจนทำให้คนอ้าปากค้างได้อย่างแท้จริง ยิ่งระดับขั้นสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นเหมือนหลุมที่ไร้ก้นมากเท่านั้น
ประโยค ‘จ่ายเงินเหมือนน้ำไหล’ ที่นักพรตผู้เฒ่าตงไห่เจ้าอารามกวานเต๋าผู้นั้นให้หลูป๋ายเซี่ยงนำมาบอกต่อ นอกจากจะต้องการสัพยอกแล้ว ยังเป็นเรื่องจริงที่ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจล้มล้างได้
ตอนนี้สะพานแห่งความเป็นอมตะสร้างมาได้เกินครึ่ง ประตูใหญ่ของจวนเปิดอ้า ต้อนรับแขกจากแปดทิศ ยิ่งอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น เฉินผิงอันก็ยิ่งอันตราย ดังนั้นตอนอยู่บนสะพานหินโค้งที่ใกล้กับยอดเขาเทียนแจว๋ของภูเขาชิงจิ้ง เฉินผิงอันถึงได้สะดุดล้มหัวทิ่ม ตอนนั้นเขายังไม่สามารถควบคุมชุดคลุมอาคมจินหลี่ให้ไปขัดขวางการพุ่งทะยานดุจกองทัพม้าเหล็กของปราณวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์แบบ ปราณวิญญาณจึงเกิดปะทะกับลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในร่างกาย ถึงได้เสียการควบคุม
ต่อให้ชุดคลุมอาคมจินหลี่จะสามารถรับและถ่ายโอนปราณวิญญาณได้มากแค่ไหน แต่ถึงสุดท้ายแล้วก็ยังมีขีดจำกัด หากจินหลี่กักเก็บน้ำไว้จนเต็มอิ่มแล้ว ปล่อยให้ปราณวิญญาณพุ่งไปตามช่องโพรงลมปราณใหญ่แต่ละแห่งในร่างกายก็ถึงคราวที่ขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของเฉินผิงอันต้องถดถอยลงแล้ว
ปัญหาในตอนนี้อยู่ที่ว่าควรจะเลือกอะไรมาหลอมเป็นสมบัติอาคมชิ้นแรกของถ้ำสวรรค์ หากเลือกน้ำของห้าธาตุก็จะง่ายหน่อย เพราะบนแผ่นหยกนั้น เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอได้ยกการหล่อหลอมน้ำเป็นตัวอย่าง อธิบายถึงมหามรรคาที่ซุกซ่อนอยู่ในบทความขอฝน อธิบายเกี่ยวกับวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการหลอมน้ำคร่าวๆ หนึ่งในนั้นได้เน้นย้ำถึงวัตถุที่เป็นกุญแจสำคัญอย่าง ‘แก่นน้ำ’ สมบัติทุกชิ้นที่สามารถรวบรวมแก่นของการโคจรทางน้ำเอาไว้ได้ล้วนถือเป็นแก่นน้ำ เพียงแต่ว่าระดับขั้นมีความแตกต่าง น้ำในลำคลองที่พ่อปู่ลำคลองเฝ้าบัญชาการณ์กับน้ำในแม่น้ำที่ตำหนักมังกรโบราณพิทักษ์ดูแล สมบัติแห่งแก่นน้ำที่เกิดขึ้นมาตามโอกาสย่อมแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
สามารถพูดได้ว่าใช้แก่นน้ำระดับใดมา ‘หลอมน้ำ’ ก็จะเป็นตัวตัดสินระดับขั้นสูงต่ำของวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุน้ำของเฉินผิงอันโดยตรง
เรือข้ามฝากจอดอยู่ข้างท่าเรือฉางชุน เผยเฉียนยืนอยู่บนม้านั่งมองไปทางท่าเรือ จ้องตาเป็นมัน กลัดกลุ้มอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันเวลานี้นั่งอยู่ข้างโต๊ะ ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะคือตราประทับตัวอักษรน้ำที่น่ารักและน่าใกล้ชิดสนิทสนม เขาเองก็กลุ้มเหมือนกัน
ที่กลุ่มยิ่งกว่านั้นก็คือ หลังจากที่เฉินผิงอันเข้าใจวิชาที่ ‘หล่อหลอมหมื่นสรรพสิ่ง’ บทนั้นได้อย่างลึกล้ำแล้ว จึงเดาได้ว่าหากเขาหลอมตราประทับตัวอักษรน้ำเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ทุกครั้งที่ประทับมันลงไปเพื่อช่วยให้เทพวารีบนโลกซึ่งมีวาสนากับเขาได้ยกระดับโชคชะตาน้ำ ก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะทำให้เฉินผิงอันบาดเจ็บไปถึงพลังต้นกำเนิด ข้อดีก็คือเดิมทีเมื่อประทับตราลงไปหนึ่งครั้ง ตราประทับตัวอักษรน้ำก็จะสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ไปหนึ่งส่วน แต่คราวนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่ามันจะกลายเป็นเพียงตราประทับธรรมดาอีกต่อไป ดังนั้นเฉินผิงอันจึงตัดสินใจว่าน้ำของห้าธาตุ เขาจะเลือกหล่อหลอมตราประทับตัวอักษรน้ำชิ้นนี้แหละ!
เมื่อเกี่ยวพันไปถึงวัตถุแห่งชะตาชีวิตก็จะไม่เหมือนเชือกพันธนาการปีศาจที่ทำมาจากหนวดทองของเจียวเฒ่าอีกต่อไป เนื่องจากไม่ใช่แค่การหล่อมหลอมสิ่งของให้กลายเป็นภาพมายาว่างเปล่าธรรมดาๆ เท่านั้น ถ้าเช่นนั้นอันดับต่อไปก็จำเป็นต้องมีเตาโอสถสำหรับหลอมวัตถุหนึ่งใบ นี่ก็เป็นปัญหาที่ใหญ่เทียมฟ้าอีกเหมือนกัน เพราะหาซื้อได้ไม่ง่าย ต้องไปหาตระกูลเซียนที่เต็มใจจะขาย และต่อให้หาเจอแล้ว หากคิดจะซื้อเตาโอสถที่ดี จะบอกว่าง่ายก็ง่าย แต่บอกว่าไม่ง่ายก็เรียกว่ายากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ ต้องดูว่าในกระเป๋าของเฉินผิงอันมีเงินเทพเซียนเท่าไหร่
ตอนนี้ข้าผู้อาวุโสไม่เหลือเงินแล้ว!
ใบหน้าเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความเจ็บใจ
เงินฝนธัญพืชไม่เหลือสักเหรียญเดียว ตอนนี้ไม่มีถ้ำสวรรค์หลีจูแล้วก็หมายความว่าใต้หล้าจะไม่มีเงินเหรียญทองแดงแก่นทองปรากฎขึ้นอีก ทุกครั้งที่ใช้ไปหนึ่งเหรียญก็จะหายไปจากโลกนี้หนึ่งเหรียญ ศึกที่วัดร้างถูกใช้ไปรวดเดียวตั้งสองเหรียญ
หากไม่ใช่สุยโย่วเปียน แต่เป็นพวกบุรุษหยาบกระด้างอย่างเว่ยเซี่ยนสามคน เฉินผิงอันก็อยากจะหิ้วตัวอีกฝ่ายออกไปอัดสักรอบ
เผยเฉียนแบกม้านั่งกลับเข้ามาในห้อง มานั่งข้างเฉินผิงอัน ถามอย่างเป็นกังวลว่า “เป็นอะไรไป? พวกเรามีเงินไม่พอใช้แล้วหรือ?”
คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับแทงใจดำเต็มๆ
เฉินผิงอันมองเผยเฉียนแวบหนึ่ง ความสามารถในการปลอบใจของนังหนูนี่ไปเรียนจากใครมากันแน่นะ?
เผยเฉียนนึกว่าเฉินผิงอันเริ่มรังเกียจที่ตนเป็นตัวขาดทุน นางตกใจไม่น้อย น้ำตาคลอเจียนหยด ใบหน้าเล็กๆ ที่ดำเกรียมยับยุ่ง “อย่าโยนข้าลงจากเรือนะ วันหน้าข้าจะไม่เรียกร้องว่าจะกินเนื้อกินปลาอีกแล้ว ข้าวหนึ่งถ้วยกับคีบผักดองอีกสามทีก็สามารถเลี้ยงดูข้าได้แล้ว!”
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเจ้ากินมากน้อยแค่ไหน ตอนนี้เจ้าอยู่ในวัยกำลังโต กินข้าวมากหน่อยจะใช้เงินสักเท่าไหร่กันเชียว”
เผยเฉียนเช็ดหน้า พลันยิ้มกว้างอย่างสดใส “พอไปถึงนครมังกรเฒ่า พวกเรามีที่พักไหม? หากมีก็สามารถลดค่าใช้จ่ายลงไปได้เล็กน้อย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มี ข้ามีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่นั่น อีกทั้งยังถือว่าพอมีเงิน แต่บอกไว้ก่อนว่า คนอื่นเขาใจกว้างก็เป็นเรื่องของคนอื่นเขา ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าจะแบมือขอสิ่งของจากคนอื่นเขาได้ส่งเดช”
เผยเฉียนทำท่าอ่อนระโหยโรยแรง พูดอย่างหมดแรงว่า “เข้าใจแล้ว”
นางยังนึกว่าจะได้ไปเจอกับคนอย่างเหยาจิ้นจือที่มอบของให้ผู้อื่นโดยที่ตาไม่กะพริบ แถมยังขอร้องให้นางรับเอาไว้อีก ประเด็นสำคัญคือเฉินผิงอันยังไม่สามารถปฏิเสธได้ หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นไม่ควรเอ่ยเหน็บแนมเหยาจิ้นจือด้วยประโยคนั้นเลย มีครั้งหนึ่งเหยาจิ้นจือที่สวมหมวกคลุมหน้ามาพูดคุยกับเผยเฉียนเป็นการส่วนตัว เผยเฉียนเห็นนางปลดหมวกคลุมหน้าลง ผิวของนางนั้นขาวนวลเนียนยิ่งนัก ทำให้เผยเฉียนละอายใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้อย่างมาก ภายหลังลืมไปแล้วว่าคุยเรื่องอะไรกัน เผยเฉียนถึงได้หัวเราะฮิๆ พลางพูดประจบด้วยถ้อยคำที่แฝงใบมีด “พี่หญิงจิ้นจือท่านหน้าตางดงามปานนี้ ความคิดจะสวยงามก็สมควรแล้ว” เหยาจิ้นจือเองก็ไม่โกรธ เพียงแค่ยื่นนิ้วมือที่เรียวยาวดุจต้นหอมมาจิ้มหน้าผากเผยเฉียนเบาๆ
วันเวลาล่วงเลยผ่านไป
จากต้นฤดูหนาวก็ย่างเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการทั้งอย่างนี้ เรือข้ามฟากแล่นผ่านอาณาเขตของใบถงทวีปมาอยู่เหนือมหาสมุทรระหว่างสองทวีป รอจนขยับเข้าใกล้เกาะโดดเดี่ยวนอกทะเลของนครมังกรเฒ่า คาดว่าน่าจะเป็นช่วงปลายฤดูหนาวแล้ว
ระหว่างนี้มีครั้งหนึ่งที่หลูป๋ายเซี่ยงมองเฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งอย่างน่าเบื่อหน่ายอยู่ในห้องได้ถามขึ้นว่า “วิชาหมัดนี้ธรรมดามาก เหตุใดถึงได้ยืนหยัดขนาดนี้?”
เฉินผิงอันตอบมาประโยคหนึ่งว่ารากฐานในการตั้งตัวไม่ได้อยู่ที่ว่าต้องสูงเท่าไหร่
หลูป๋ายเซี่ยงได้ยินแล้วก็เก็บเอามาครุ่นคิด
รอจนหลูป๋ายเซี่ยงออกไปจากห้อง เผยเฉียนจึงถามเฉินผิงอันเบาๆ ว่าหมายความว่าอย่างไร เฉินผิงอันจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่าคิดหาคำพูดที่สละสลวยสูงส่งไม่ออก ก็เลยพูดส่งเดชไปอย่างนั้น คนที่เล่นหมากล้อมเก่งล้วนชอบคิดอะไรซับซ้อน ทำเอาเผยเฉียนหัวเราะชอบใจ
วันนี้เฉินผิงอันนั่งอยู่ในห้องหนังสือ เดี๋ยวก็ยกพู่กันขึ้น เดี๋ยวก็วางลง ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา จนเผยเฉียนที่นั่งคัดตัวอักษรอยู่ฝั่งตรงข้ามเห็นแล้วร้อนใจยิ่งกว่าเฉินผิงอันเสียอีก
สุดท้ายเฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ออกจากห้องไปหาจูเหลี่ยน ตอนกลับมาเผยเฉียนสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันยิ่งลังเลใจ สุดท้ายก็ได้แต่เก็บพู่กันและกระดาษลงไป
เผยเฉียนสงสัยอย่างยิ่ง
จดหมายสองฉบับก่อนหน้านี้ที่เขียนให้สำนักศึกษาต้าฝูและภูเขาไท่ผิง แล้วให้กระบี่บินพุ่งสวบไปส่ง เฉินผิงอันเขียนได้รวดเร็วมาก
ถ้าอย่างนั้นจดหมายฉบับนี้จะเขียนถึงใครนะ?
เฉินผิงอันเดินไปที่ระเบียง เริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
มีคนมาเคาะประตู เผยเฉียนวิ่งไปเปิดประตู เห็นคนผู้นั้นแล้วก็ทำท่าคารวะอย่างเข้าท่าเข้าที “เผยเฉียนคารวะเทพเซียนผู้เฒ่าลู่แห่งตำหนักพยัคฆ์เขียว!”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ในใจรู้สึกโล่งสบายขึ้นหลายส่วน
เขาก็คือลู่ยงเซียนดินก่อกำเนิดแห่งยอดเขาเทียนแจว๋ เฉินผิงอันรีบมาต้อนรับอีกฝ่ายทันที
หลังจากนั่งลงเรียบร้อย เผยเฉียนก็รินน้ำชาสามถ้วยอย่างคล่องแคล่วว่องไว ยื่นส่งให้เฉินผิงอันก่อน จากนั้นค่อยยื่นให้ลู่ยง แน่นอนว่ายังไม่ลืมรินให้ตัวเองด้วย
ลู่ยงพูดจาปราศรัยตามมารยาทอ้อมไปอ้อมมาอยู่ประมาณหนึ่งเค่อ เฉินผิงอันก็อดทนพูดคุยกับเทพเซียนลู่ที่ถูกเจียงซ่างเจินข่มตอนอยู่บนยอดเขาเทียนแจว๋อย่างมีมารยาทเช่นกัน
อย่าได้ไม่เห็นเซียนดินอยู่ในสายตา
เฉินผิงอันเคยท่องยุทธภพน้อยใหญ่มามากมาย รู้ถึงน้ำหนักของเทพเซียนพสุธาท่านหนึ่งดี เขาไม่มีทางวางตัวไม่อ่อนน้อมแต่ก็ไม่ยโสต่อหน้าเจียงซ่างเจิน แล้วก็ไม่เกิดใจดูแคลนเจ้าตำหนักพยัคฆ์เขียวตรงหน้าผู้นี้เพียงเพราะตัวเองรู้จักจั่วโย่ว ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตก่อกำเนิดที่ได้พิทักษ์พื้นที่ฮวงจุ้ยยอดเยี่ยม ได้ครอบครองท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ถ้าไม่นับความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนแล้วตัดสินใจเด็ดขาดจะฆ่าเขาเฉินผิงอัน อย่างมากลู่ยงก็แค่ต้องสะบัดชายแขนเสื้อสองสามทีเท่านั้น
เห็นว่าเฉินผิงอันไม่มีท่าทีคิดจะอาศัยอำนาจมาข่มขู่คนอื่น ความประทับใจที่ลู่ยงมีต่อคนหนุ่มผู้นี้จึงดีขึ้นหลายส่วน
อำนาจที่เขาจะอาศัย มาจากเจียงซ่างเจินขอบเขตหยกดิบที่เดินทางไกลเป็นหมื่นลี้มาเยือนยอดเขาเทียนแจว๋ และยิ่งมาจากผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังซึ่งสั่งให้เจ้าประมุขสกุลเจียงทำเช่นนี้
หาไม่แล้วสำหรับเด็กหนุ่มต่างถิ่นคนหนึ่งที่ไม่มีญาติไม่มีสหาย หากเป็นคนที่ไม่ควรมีเรื่องด้วย อย่างมากลู่ยงกับเขาก็แค่เดินไปบนเส้นทางใครเส้นทางมัน เหตุใดจะต้องประจบสอพลอ ขึ้นเรือมามอบของขวัญให้อีกฝ่ายด้วยตัวเองถึงที่ด้วย?
ลู่ยงดื่มน้ำชารสชาติจืดจางไปสองถ้วยแล้ว ในที่สุดก็เข้าประเด็น “คุณชายเฉินไปเยือนยอดเขาเทียนแจว๋ทั้งที ถือเป็นเกียรติของตำหนักพยัคฆ์เขียวข้า ตอนนั้นอันที่จริงข้ากำลังหลอมโอสถอยู่เตาหนึ่งพอดี เป็นยานั่งลืมตนของลัทธิเต๋า ยานี้มีฤทธิ์อ่อนโยน เหมาะให้ผู้ฝึกตนใช้เวลานั่งสมาธิเข้าฌานมากที่สุด นอกจากจะทำให้จิตใจสงบแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือสามารถบำรุงจิตวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังหล่อเลี้ยงช่องโพรงหัวใจให้อบอุ่น ชื่อยาคือนั่งลืมตน แต่อันที่จริงในโลกมนุษย์ยังมีคำกล่าวอีกอย่างหนึ่งที่แม้จะหยาบไปบ้าง แต่กลับตรงอย่างยิ่ง นั่นคือเมื่อกินยานี้เข้าไปแล้ว นั่งก็คือการฝึกตน ลืมเรื่องการฝึกตนแต่เดิมไปสิ้นก็ยังไม่เป็นไร”
บทที่ 361.2 ถึงนครมังกรเฒ่า
พอพูดถึงเรื่องการหลอมโอสถ ลู่ยงก็มีสีหน้าสดชื่นท่าทางกระฉับกระเฉงราวกับเป็นคนละคนกับตอนที่อยู่ข้างกายเจียงซ่างเจิน “ใจคือนายของกาย คือแม่ทัพของร้อยวิญญาณ เพียงแต่ว่าจิตใจนั้นยากจะสงบนิ่งมาตั้งแต่ยุคสมัยโบราณ ศาสนาพุทธจึงมีคำกล่าวที่ว่าจิตใจดุจลิงที่ไม่อยู่นิ่ง ความคิดดุจม้าที่แล่นเตลิด เป็นเหตุให้การฝึกตนมีภูเขาศักดิ์สิทธิ์ผูกม้าแห่งความคิด มีจวนหยกกักขังลิงแห่งจิตใจ โอสถนั่งลืมตนที่ข้าหลอมขึ้นนี้หลอมสำเร็จได้ยากอย่างถึงที่สุด ต่อให้โชคดีหลอมได้สำเร็จ วัตถุดิบสำหรับสิบเม็ดในหนึ่งเตา อย่างมากสุดก็หลอมออกมาได้แค่สามสี่เม็ดเท่านั้น การที่มันยังได้รับความนิยมจากเซียนดินมากมายในใบถงทวีป เพราะมีความอัศจรรย์ข้อหนึ่งที่เซียนซือหลอมโอสถของสำนักอื่นไม่เคยมี ยานั่งลืมตนที่มาจากมือข้าลู่ยงแห่งตำหนักพยัคฆ์เขียวสามารถหล่อเลี้ยงเทพทวารบาลสององค์ที่เหมือนกับเทพทวารบาลซึ่งแปะอยู่บนประตูใหญ่ของบ้านชาวบ้านล่างภูเขาให้มาลอยอยู่เหนือจิตใจ ช่วยปกป้องจิตใจของผู้ฝึกลมปราณ!”
เฉินผิงอันเอ่ยชื่นชมจากใจจริง “หล่อเลี้ยงเทพทวารบาลให้อยู่นอกห้องหัวใจ นับเป็นฝีมือของเทพเซียนแล้ว”
ลู่ยงชอบใจคำกล่าวนี้มากจึงลูบหนวดยิ้มกริ่ม
แน่นอนว่าเขาไม่ได้กำลังหลอมยานั่งลืมตนเตานี้ ‘พอดี’ ในความเป็นจริงแล้วหากคิดจะหลอมยานี้ให้สำเร็จ นอกจากต้องใช้วัตถุดิบวิเศษกองใหญ่แล้ว ยังต้องรอให้ถึงเวลาที่ฟ้าอำนวย และยิ่งต้องเผาผลาญ ‘ดินอวยพร’ ซึ่งก็คือโชคชะตาอันล้ำค่าในแถบภูเขาชิงจิ้ง ไม่อย่างนั้นจะทำให้แม้แต่เซียนดินก่อกำเนิดและโอสถทองของสำนักใบถงก็ยังแย่งชิงกันได้อย่างไร? ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดเทพเซียนแห่งการหลอมโอสถของฝ่ายอื่นถึงหลอมออกมาไม่ได้ นอกจากจะเป็นเพราะวิชาการหลอมยาของลู่ยงสูงส่งอย่างแท้จริงแล้ว โชคชะตาน้ำและภูเขาที่มีเฉพาะในภูเขาชิงจิ้งก็ยิ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างถึงที่สุด
นี่คือสาเหตุที่ว่าเหตุใดการสร้างพรรคก่อตั้งสำนักและการบุกเบิกก่อตั้งจวนของเทพเซียนพสุธาถึงได้ต้องระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก
เฉินผิงอันพลันถามขึ้นว่า “ในเมื่อพวกเซียนดินของใบถงทวีปยังเห็นมันเป็นดั่งสมบัติล้ำค่า ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตหกเจ็ดก็สามารถเอามาสร้างจิตวิญญาณให้มั่นคงได้เหมือนกันน่ะสิ?”
ลู่ยงอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ “แน่นอน เพียงแต่ว่าหากเอายานั่งลืมตนของตำหนักพยัคฆ์เขียวข้าไปมอบให้แก่พวกคนมุทะลุที่เดินไปบนทางตันเหล่านั้น ก็ออกจะเป็นการเอาวัตถุดิบใหญ่ไปใช้กับเรื่องเล็กเกินไปหน่อย ไม่ต่างจากยื่นดอกโบตั๋นให้วัวเคี้ยว”
เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าตำหนักพูดถึงยานั่งลืมตนนี้กับข้า เพราะเห็นแก่หน้าของเจียงซ่างเจิน จึงคิดจะขายให้ข้าเฉินผิงอันในราคาที่ต่ำลงหน่อย ใช่หรือไม่?”
หัวใจลู่ยงบีบรัดตัว
เจ้าหมอนี่ถึงขั้นกล้าเรียกชื่อเจียงซ่างเจินออกมาตามตรง
ลู่ยงหน้าไม่เปลี่ยนสี “คุณชายเฉินดูแคลนตำหนักพยัคฆ์เขียวของข้าเกินไปหน่อย คบค้าสมาคมกับสหาย จะพูดเรื่องราคาอะไรกัน ยาเตานี้พูดแล้วก็บังเอิญนัก พอคุณชายเฉินไปถึงยอดเขาเทียนแจว๋ ข้าส่งคุณชายและเจ้าประมุขเจียงจากไปแล้วก็เหมือนสวรรค์ช่วย! ถึงกับหลอมออกมาได้มากถึงหกเม็ดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยปีที่ข้าลู่ยงหลอมโอสถมา โชควาสนาเช่นนี้ ในหนึ่งชีวิตมีได้แค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น ดั่งว่าสวรรค์คอยให้ความช่วยเหลือ เห็นได้ชัดว่าคุณชายเฉินมีวาสนายิ่งใหญ่กับตำหนักพยัคฆ์เขียว และกับข้าลู่ยง โชควาสนาบนมหามรรคา ข้าหรือจะกล้าเก็บซ่อนไว้เพียงลำพัง? จึงเอายานั่งลืมตนทั้งหกเม็ดนี้มาให้คุณชายเฉิน!”
เผยเฉียนอ้าปากกว้างเล็กน้อย
มารดาข้า บนโลกนี้ยังมีคนที่พูดจาได้เหลวไหลยิ่งกว่าข้าอยู่อีกหรือ?
วิชาการประจบสอพลอของเทพเซียนผู้เฒ่าคนนี้ นางสามารถลองเรียนรู้ดูได้ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็น ‘คนอ่านหนังสือ’ มากยิ่งกว่านางเสียอีก?
ลู่ยงเองก็คงรู้สึกได้ว่าคำพูดประโยคนี้ของตน ‘ไม่ค่อยเข้าที’ สักเท่าไหร่ จึงแสร้งพูดอย่างเสียดายว่า “แม้ว่าจะเป็นจุดที่มหามรรคาชี้ไป จึงจำเป็นต้องทำตามเจตนารมสวรรค์ แต่ข้าก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง หวังเพียงว่าวันหน้าคุณชายเฉินจะพูดถึงตำหนักพยัคฆ์เขียวของข้าในทางที่ดีต่อหน้าเจ้าประมุขสกุลเจียงสักหน่อย กิจการของสกุลเจียงมีอยู่เกินครึ่งในใบถงทวีป ไม่แน่ว่ายาวิเศษที่ตำหนักพยัคฆ์เขียวของข้าหลอมออกมาในวันหน้าอาจนำมาใช้ชดเชยยานั่งลืมตนหกเม็ดนี้ได้ นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีเช่นเดียวกัน ดังนั้นคุณชายเฉินแค่รับไว้อย่างสบายใจ ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้เจ้าประมุขสกุลเจียงดูแคลนผลผลิตที่เล็กน้อยนี้ของตำหนักพยัคฆ์เขียว แต่ตำหนักพยัคฆ์เขียวได้กลายมาเป็นสหายของคุณชายเฉินก็ไม่ขาดทุนแล้ว!”
เผยเฉียนรีบรินชาอีกถ้วยยื่นส่งไปให้ตาเฒ่าลู่ขี้ประจบ อ้อ ไม่ถูกสิ ต้องเรียกว่าเทพเซียนผู้เฒ่าลู่
เฉินผิงอันย่อมคิดเยอะกว่าเผยเฉียน
ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เกี่ยวพันไปถึงเจียงซ่างเจิน รวมไปถึงกิจการของตระกูลเจียงและผลผลิตของตำหนักพยัคฆ์เขียว
ยานั่งลืมตนหกเม็ดนี้ อันที่จริงค่อนข้างจะร้อนลวกมือ
เฉินผิงอันใคร่ครวญอยู่เล็กน้อยก็คิดจะปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม หากเปลี่ยนเจียงซ่างเจินมาเป็นตระกูลฟ่านของนครมังกรเฒ่า ไม่แน่ว่าอาจยังพอมีพื้นที่ให้ปรึกษากันได้ เรื่องการค้านี้ เดิมทีก็เป็นการปักดอกไม้ลงบนผ้าแพรของเจ้าและข้าทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว ทว่าเฉินผิงอันกลับไม่เต็มใจจะคบค้าสมาคมกับเจียงซ่างเจินให้มากนัก
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเปิดปากกล่าวว่า “ความหวังดีของเจ้าตำหนักลู่ ข้าขอรับน้ำใจเอาไว้แล้ว เพียงแต่ว่ายานั่งลืมตนเตานี้มีมูลค่าควรเมืองเกินไป ข้าย่อมไม่กล้าช่วงชิงของรักของผู้อื่นมาครอบครอง อีกอย่าง ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเจียงซ่างเจินก็ธรรมดายิ่ง…แต่เรื่องที่เจ้าตำหนักลู่นำยามามอบให้ ข้าสามารถส่งจดหมายไปให้แก่เจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกได้ฉบับหนึ่ง เพื่อปฏิเสธเรื่องยานี้ จะไม่ทำให้เจ้าตำหนักลู่ลำบากใจเด็ดขาด”
ลู่ยงมีสีหน้าเป็นปกติคล้ายกำลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย
แต่ลึกๆ ในใจกลับหงุดหงิดกับการวาดงูเติมหางของตัวเอง
เขาไม่ควรจะใช้อุบายเล็กๆ น้อยๆ เพราะคิดอยากจะให้เฉินผิงอันฟังความนัยที่ตนต้องการให้เขาช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตำหนักพยัคฆ์เขียวกับสกุลเจียงออก
ชั้นที่หนึ่งด้านล่างของเรือข้ามฟากลำนี้ มีผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่าง สีหน้ามืดทะมึน
เจ้าโง่ลู่ยงผู้นี้ไม่รู้จักกลัวตายเลยจริงๆ
ในห้องยังมีผู้ฝึกตนหญิงที่หน้าตางดงาม แต่กลับสีหน้าซีดขาวอยู่อีกคนหนึ่ง นางก็คือเซียนดินโอสถทองที่ก่อนหน้านี้เกือบถูกฝ่ามือหนึ่งของเจียงซ่างเจินตบตายอยู่บนยอดเขาเทียนแจว๋
ส่วนนักพรตหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างซึ่งร่ายเวทอำพรางตานั้นก็คือเจียงซ่างเจินที่ซ่อนตัวอยู่ในเรือข้ามฟาก เขาเกิดความคิดนี้ขึ้นมาในฉับพลัน หลังจากเปิดคาบสอนที่ตำหนักพยัคฆ์เขียวแล้วก็ไม่ได้กลับไปยังสำนักกุยหยกในทันที แต่เลือกที่จะแอบขึ้นมาบนเรือข้ามฟาก แล้วตรงมาหาผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตโอสถทองที่ถูกแงะออกมาจากร่องหินอย่างน่าสงสารผู้นี้ หลังจากที่เจียงซ่างเจินมาเคาะประตูจนทำให้นางต้องเปิดประตูอย่างหงุดหงิด วินาทีที่เจียงซ่างเจินถอนคาถาอำพรางโฉมหน้าและลมปราณที่ปกปิดออก ฝ่ายหลังก็ตกใจจนแทบจะคุกเข่าร้องอ้อนวอน
เจียงซ่างเจินไม่คิดจะเปิดเผยตัวตนต่อหน้าเฉินผิงอัน แล้วก็ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นใด
ทำอืดอาดยืดยาดในเรื่องที่เกี่ยวพันกับต้นกำเนิดของมหามรรคา แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นข้อห้ามใหญ่หลวงในการฝึกตน หยดน้ำสามารถกร่อนจิตใจ เศษดินก็สามารถทำให้ร่างทองสกปรกแปดเปื้อน ไม่ระวังไม่ได้
เขาแค่จะรอให้ลู่ยงเผยตัวแล้วจัดการเรื่องที่เขามอบหมายให้สำเร็จอย่างเหมาะสมก็จะหวนกลับไปยังสำนักกุยหยกที่อยู่ทางใต้สุดของใบถงทวีปทันที ยังมีเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยอีกเป็นกองพะเนินรอให้เขาไปจัดการ ยกตัวอย่างเช่น ‘บุตรโทน’ ที่ขวัญกล้าเทียมฟ้ากระทำการโดยพลการ เจียงเป่ยไห่ผู้นั้น เจียงซ่างเจินนึกอยากจะตัดมือตัดเท้าเจ้าลูกล้างลูกผลาญผู้นี้แล้วโยนให้ไปเกิดเป็นขอทาน เป็นนางโลมอยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาทุกภพทุกชาติซะจริง ดูท่าหกสิบปีที่ตนไม่อยู่ในตระกูล เจ้าคนปณิธานยิ่งใหญ่ แต่ความสามารถน้อยนิดผู้นี้ได้เย่อหยิ่งทะนงตนจนลืมแม้แต่หน้าที่ซึ่งตนต้องกระทำไปแล้ว
ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนมีลูกหลานได้ยากมาก อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับห้าขอบเขตกลางที่แค่คิดจะแตกหน่อขยายกิ่งก้านสาขาก็มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองแล้ว
ชั้นบน ลู่ยงไม่กล้ามีความคิดและอุบายอะไรที่เกินความจำเป็นอีกแล้ว ในที่สุดก็คิดแค่อยากจะมอบยานั่งลืมตนขวดนั้นออกไป
เพียงแต่ทุกเรื่องล้วนเริ่มต้นยาก แต่หลังจากนั้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะง่าย เดินผิดไปหนึ่งก้าว กลับกลายเป็นว่ายิ่งยากลำบากกว่ากัน
เฉินผิงอันไม่รู้เรื่องที่ลับหลังเจียงซ่างเจินใช้ทั้งพระเดชและพระคุณต่อตำหนักพยัคฆ์เขียว เขาแค่มั่นใจในเรื่องหนึ่ง นั่นคือเรื่องที่เขามีความสัมพันธ์กับเจียงซ่างเจินก็มีแค่เรื่องที่จั่วโย่วต้องการให้เจียงซ่างเจินนำโอสถปีศาจมามอบให้เขาเท่านั้น จะมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ฝึกวิชาหมัดเพื่อต่อชีวิต นั่นคือรากฐานแห่งการหยัดยืนภายนอกของเฉินผิงอัน
จิตใจและความคิดบริสุทธิ์ ดึงรั้งไว้ได้อยู่นิ่ง หยัดยืนได้อย่างมั่นคง บนโลกที่จิตใจคนซับซ้อน อันที่จริงก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
เฉินผิงอันแน่ใจแค่ว่าในเมื่อเจียงซ่างเจินมาปรากฎตัวที่ยอดเขาเทียนแจว๋ ลู่ยงก็ไม่มีทางกล้าเกิดใจคิดร้ายต่อตน ดังนั้นต่อให้ไม่รับยานั่งลืมตนขวดนี้เอาไว้ เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะแตกหักกับตำหนักพยัคฆ์เขียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งลู่ยงยังเป็นเซียนดินก่อกำเนิดท่านหนึ่ง เขามีแต่จะยิ่งทะนุถนอมตบะและตำแหน่งฐานะของตัวเองในทุกวันนี้
นี่จึงลำบากเจ้าตำหนักผู้เฒ่าที่เสียใจภายหลังอย่างสุดแสน
ถึงท้ายที่สุด ไม่ว่าจะใช้ไม้อ่อนไม้แข็งอย่างไร คนหนุ่มผู้นั้นก็ยังพูดจานุ่มนวลน่าฟัง แต่กลับไม่ยอมรับยานั่งลืมตนขวดนั้นเอาไว้
หรือว่าจะต้องทำตามคำหยอกล้อของเจียงซ่างเจิน เซียนดินก่อกำเนิดอย่างเขาต้องร้องไห้โวยวายว่าจะแขวนคอตายในถิ่นของตัวเองต่อหน้าเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งจริงๆ?
ลู่ยงทำไม่ลง
ดังนั้นจึงได้แต่บอกให้เฉินผิงอันคิดพิจารณาดูอีกสักครั้ง ส่วนลู่ยงก็ออกจากห้องของเฉินผิงอันไปยังอีกห้องหนึ่งที่อยู่บนชั้นเดียวกันของเรือข้ามฝาก
ผลกลับกลายเป็นว่าเพิ่งจะเปิดประตูก็มองเห็นใบหน้าที่ตนไม่อยากพบเจอมากที่สุด เจียงซ่างเจินผู้มีสีหน้าเฉยชา
เจียงซ่างเจินที่เกลียดคน ‘ทำตัวอวดฉลาด’ ที่สุดในชีวิตไม่คิดจะเสียเวลาพูดจาไร้สาระกับลู่ยงแม้แต่ครึ่งคำ เขาร่ายวิชาอภินิหารใหญ่ของขอบเขตหยกดิบออกมาโดยตรง สร้างห้องแห่งนี้ให้กลายเป็นคุกแห่งหนึ่งไว้รอนานแล้ว พอเห็นหน้าอีกฝ่ายก็ยื่นมือไปคว้า กระชากก่อกำเนิดเฒ่าที่ไม่ทันตั้งตัวเข้ามายังฟ้าดินในห้อง ในห้องมีเสาคานสีทองหลายต้นที่มีมังกรทองสีทองล้อมวนปรากฎขึ้นมาจากความว่างเปล่า พวกมันเริ่มพุ่งออกมาจากเสาเบื้องบน ประหนึ่งโซ่ตรวนสีทองหลายเส้นที่ทะลุผ่านช่องโพรงลมปราณที่สำคัญในร่างของลู่ยง มังกรทองตัวสุดท้ายคือตัวที่มีอำนาจบารมีมากที่สุด กรงเล็บของมันกดลงบนศีรษะของลู่ยง ตบให้เขาล้มลงไปบนพื้น
เจียงซ่างเจินเดินมาหยุดอยู่หน้าก่อกำเนิดเฒ่าที่นอนหมอบอยู่บนพื้น เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนท้ายทอยของเขา พูดกลั้วหัวเราะเสียงเบา “เกียรติยศหน้าตาที่ใหญ่เทียมฟ้าก็มอบให้ตำหนักพยัคฆ์เขียวของเจ้าไปหมดแล้ว แต่เจ้ายังไม่รู้จักพอ นึกจริงๆ หรือว่าข้าเจียงซ่างเจินมีจิตใจดุจพระโพธิสัตว์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันปรากฎตัวที่ยอดเขาเทียนแจว๋ เพราะปิ่นหยกชิ้นนั้นของเขาทำให้ข้าหวนรำลึกถึงอะไรบางอย่าง ข้าก็จะไม่อธิบายถึงมหามรรคามอบโชควาสนาให้แก่ลูกศิษย์ตำหนักพยัคฆ์เขียว แต่จะตบดวงจิตต้นกำเนิดของตาเฒ่าลู่อย่างเจ้าฝังเข้าไปในผนังหินให้กลายเป็นภาพวาดฝาผนังไปแล้ว?!”
เจียงซ่างเจินเพิ่มแรงที่ฝ่าเท้าอีกเล็กน้อย ลู่ยงผู้น่าสงสารเมื่ออยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ แม้แต่เสียงร้องคร่ำครวญก็ยังร้องไม่ออก มีเพียงจิตวิญญาณที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เจ็บปวดจนเซียนดินก่อกำเนิดที่ไม่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าสังหารผู้นี้รู้สึกเพียงว่าอยู่ไม่สู้ตาย
เจียงซ่างเจินหรี่ตาลง ยิ่งนานก็ยิ่งเพิ่มแรงมากขึ้น “ผู้ฝึกตนกี่มากน้อยบนโลกที่ไม่รู้จักหลักการหยุดเมื่อพอสมควรเช่นเจ้าลู่ยง! ลำพังแค่โชควาสนาเล็กน้อยแค่นี้ ได้กลายเป็นคนบนภูเขาอย่างครึ่งๆ กลางๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองร้ายกาจมากแล้ว? ขนาดข้าเจียงซ่างเจินยังต้องนอบน้อมเจียมตน แค่เพื่อผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งก็สามารถสะกดกลั้นจิตสังหารที่ท่วมท้นอยู่เต็มท้อง ยอมพูดคุยดีๆ ต่อหน้าเฉินผิงอัน เจ้าลู่ยงกลับดีนัก เก่งกาจยิ่งกว่าข้าเจียงซ่างเจินเสียอีก!”
ท้ายทอยของลู่ยงยุบลงไปเล็กน้อยแล้ว หากผ่านไปอีกสักครู่หนึ่ง คาดว่าจิตต้นกำเนิดคงระเบิด โอสถทองและทารกก่อกำเนิดต่างก็แตกสลายอยู่ท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้ แน่นอนว่าเจียงซ่างเจินต้องถูกลูกหลงจนบาดเจ็บไม่ใช่น้อยๆ ไปด้วย แต่ดูจากท่าทางแล้ว เจียงซ่างเจินไม่สนใจผลลัพธ์ที่จะตามมาพวกนี้เลย
เดิมทีเจียงซ่างเจินรับปากแล้วว่าหากตำหนักพยัคฆ์เขียวมีลูกศิษย์ที่พรสวรรค์พอใช้ได้ ในอนาคตที่คนผู้นั้นเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางก็สามารถไปฝึกประสบการณ์ที่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ตามหาโชควาสนาของตัวเองได้
และด้วยเหตุนี้ก็ถือว่าตำหนักพยัคฆ์เขียวผูกความสัมพันธ์กับสกุลเจียงและสำนักกุยหยกแล้ว
หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น วันหน้าอย่างน้อยก็จะไม่มีผู้ฝึกตนโอสถทองคนใดกล้าชี้หน้าด่าประณาม ล่วงเกินผู้อาวุโสของเรือข้ามฟากตำหนักพยัคฆ์เขียวอย่างลู่ยงอีกต่อไป
แต่แล้วจะอย่างไรเล่า?
โชควาสนามาถึงมือแล้ว กลับคว้าไว้ไม่อยู่ กลายเป็นหายนะเข้ามาแทน คราวนี้ทุกเรื่องก็ล้วนหมดหวัง
สืบย้อนเรื่องไปไกลอีกหน่อย เป็นเด็กหนุ่มที่มีชาติกำเนิดมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูเหมือนกัน จ้าวเหยาและซ่งจี๋ซิน เมื่อเทียบกับเฉินผิงอันซึ่งไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน คนวัยเดียวกันทั้งสองคนนี้ถือเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายตรงในโรงเรียนของฉีจิ้งชุนได้ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะจ้าวเหยาที่ได้รับ ‘ตราประทับอักษรตัวชุน’ ที่ถือเป็นรากฐานสำคัญที่สุดของฉีจิ้งชุนไป ทว่าเมื่อเด็กหนุ่มเผชิญหน้ากับราชครูชุยฉานต้าหลีในเวลานั้น เด็กหนุ่มจ้าวเหยาที่ฉีจิ้งชุนฝากความหวังยิ่งใหญ่ไว้ให้ เด็กหนุ่มผู้นั่งรถเทียมวัวที่แม้แต่คนเฝ้าประตูเจิ้งต้าเฟิงก็ยังชื่นชอบ ก็ยังถูกชุยฉานมองเป็นมดตัวหนึ่งที่ใหญ่กว่าตัวอื่นเล็กน้อยแค่นั้นไม่ใช่หรือ? เป็นเหตุให้ตราประทับอักษรตัวชุนหายไปจากฟ้าดินอย่างสิ้นเชิง
หากจ้าวเหยาไม่ได้ ‘ฉลาด’ มากถึงเพียงนั้น แต่ยอมตายโดยไม่ยอมใช้ตราประทับตัวอักษรชุนมาแลกกับโชควาสนาจากชุยฉาน
ฉีจิ้งชุนที่ตอนนั้น ‘ลมวสันต์ยังอยู่ในชายแขนเสื้อของเด็กหนุ่ม’ จะยอมปล่อยให้ชุยฉานเอาตราประทับไปได้อย่างไร?
ตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน แค่ความคิดชั่ววูบความคิดเดียวที่ผิดพลาด ลู่ยงก็จะต้องมาตายอยู่ตรงนี้
บทที่ 361.3 ถึงนครมังกรเฒ่า
เจียงซ่างเจินสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ดึงเท้ากลับคืนมา แต่ยังเตะไปบนใบหน้าของลู่ยงหนึ่งที ทำให้ร่างของเขากระเด็นไปกระแทกบนเสาต้นหนึ่งที่มีมังกรสีทองล้อมพัน
ลู่ยงกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน เอนหลังพิงเสาใหญ่ เหนือศีรษะก็คือมังกรทองที่ห้อยตัวลงมา ศีรษะของมันหมุนบิดตามลู่ยงอยู่ตลอด แสดงให้เห็นว่าสามารถกัดหัวของลู่ยงได้ทุกเมื่อ
เจียงซ่างเจินข่มกลั้นโทสะ หุบยิ้ม ย่อตัวลงนั่งยอง มองสบตาลู่ยงแล้วคลี่ยิ้มอีกครั้ง “ได้รับความอัปยศใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ โกรธหรือไม่?”
ลู่ยงกล่าวอย่างตระหนกลนลาน “มิกล้าๆ!”
ความคิดของเจียงซ่างเจินขยับเล็กน้อย เบื้องหน้าของเขาก็มีใบหลิวสีเขียวขจีใบหนึ่งปรากฏขึ้น
ลู่ยงตะลึงพรึงเพริด ถึงกับหมอบลงโขกหัวเสียงดังปังๆ “ขอร้องผู้อาวุโสโปรดเว้นชีวิต!”
แต่ไหนแต่ไรมาเจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกมีแค่ชื่อเสียงเรื่องกระเป๋าเงินตุงแน่นโด่งดังไปทั่วใบถงทวีป น้อยครั้งนักที่จะมีข่าวว่าเขาสังหารคนแพร่ออกไป
แต่เจ้าสำนักผู้เฒ่าของสำนักกุยหยกโปรดปรานเจียงซ่างเจินมาก นี่เป็นเรื่องที่คนรู้กันทั่วทั้งทวีป เดิมทีพื้นที่มงคลถ้ำเมฆานั้นมีสำนักกุยหยกและสกุลเจียงร่วมกันดูแล แต่เจ้าสำนักกลับไม่สนใจคำครหา ยกทั้งถ้ำเมฆาให้เจ้าประมุขสกุลเจียงที่ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มไป
เมื่อประมาณห้าร้อยปีก่อน สำนักใบถงมีกฎเกณฑ์ที่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรข้อหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘กุยหยกรังแกได้ แต่เจอเจียงให้เดินอ้อมไป’ อีกทั้งเล่าลือกันว่านี่เป็นคำสั่งเสียก่อนตายของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งของสำนักใบถงด้วย
เจียงซ่างเจินเจ้าประมุขตระกูลเจียง มีวัตถุแห่งชะตาชีวิตเป็นเพียงแค่ใบหลิวใบเดียว อย่าว่าแต่สำนักใบถงเลย ต่อให้เป็นเซียนดินของสำนักกุยหยกเองก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน
ประโยคสั่งเสียท่อนสุดท้ายของผู้เฒ่าก่อกำเนิดสำนักใบถงท่านนั้นก็คือ ‘หนึ่งใบหลิวสังหารเซียนดิน’
เจียงซ่างเจินลูบคลำปลายคาง “เมื่อมาอยู่ในมือของข้า ชื่อเสียงและบารมีของสกุลเจียงเงียบหายไปสองร้อยปี ออกจากภูเขามาครั้งนี้ ถ้าไม่ฆ่าเซียนดินสักคนย่อมผิดต่อบรรพบุรุษ”
ลู่ยงน้ำตาไหลอาบหน้า เงยหน้าพูดว่า “ผู้อาวุโสสังหารก่อกำเนิดปลายแถวอย่างข้าลู่ยงจะไม่ยิ่งสร้างความอัปยศให้แก่สกุลเจียงหรอกหรือ? ผู้อาวุโสควรเปลี่ยนไปฆ่าคนอื่นมากกว่า!”
เจียงซ่างเจินจุ๊ปาก “ประโยคนี้กล่าวได้อย่างมีไหวพริบเฉียบไวเหมือนข้า น่าสนใจๆ”
เจียงซ่างเจินดีดนิ้วหนึ่งที ใบหลิวใบนั้นและฟ้าดินขนาดเล็กก็หายไปพร้อมกัน
ลู่ยงที่ไปเดินวนเวียนอยู่หน้าประตูผีมารอบหนึ่งยังคงไม่กล้าลุกขึ้นยืน นั่งอยู่บนพื้นด้วยสภาพกระเซอะกระเซิง “ขอผู้อาวุโสโปรดมอบโอกาสให้ข้าลู่ยงอีกสักครั้ง คราวนี้หากยังไม่สามารถทำให้ท่านผู้อาวุโสพอใจได้ ลู่ยงจะขอร้องความตายด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าหากเป็นเช่นนั้น ยังหวังว่าท่านผู้อาวุโสจะไม่เอาความโกรธไประบายใส่ตำหนักพยัคฆ์เขียว”
เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับ “ถือว่ายังพูดภาษาคนเป็นอยู่บ้าง เอาเถิด ลุกขึ้นได้แล้ว เป็นถึงเซียนดินก่อกำเนิดผู้ยิ่งใหญ่ ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ได้ หากแพร่ออกไปคนอื่นจะนึกว่าข้าเจียงซ่างเจินอาศัยขอบเขตที่สูงกว่ามารังแกคนอ่อนแอ ถือว่าเจ้าโชคดี หากวันนี้เจ้าลู่ยงเป็นขอบเขตหยกดิบ ก็คงตายไปแล้ว”
ลู่ยงลุกขึ้นยืนอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วน้ำตาก็ไหลพรากอาบใบหน้าที่เหี่ยวย่นอีกครั้ง “ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสที่ไม่สังหาร”
เจียงซ่างเจินกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ดูจากท่าทางของเจ้าตอนนี้ ข้ากลับรู้สึกว่าน่าสงสารนัก ดูท่าคงเพราะไปอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งมานานเกินไป จิตใจถึงได้อ่อนลงตามไปด้วย ต้องรู้ว่าปีนั้นหากเจอกับเซียนดินสำนักใบถงที่มีขอบเขตเดียวกัน สุดท้ายต่อให้เขาจะโขกศีรษะขอร้องข้าหนึ่งพันครั้ง ข้าก็ยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่มีความจริงใจมากพอ ยังต้องประทานหนึ่งใบหลิวให้เขาเป็นรางวัล ตัดหัวทารกก่อกำเนิดที่อยู่ในร่างของเขามาซะ คราวนี้กลับไปถึงสำนักต้องหาเรื่องยุ่งยากทำบ้างถึงจะได้”
เจียงซ่างเจินโบกมือ “ออกไปเถอะ หากเจ้าส่งมอบสิ่งของเรียบร้อย เรื่องราวทุกอย่างก็ถือว่าจบลงตรงนี้ ไม่ต้องกังวลว่าวันหน้าข้าจะมาคิดบัญชีเจ้าย้อนหลัง ลูกศิษย์คนนั้นของตำหนักพยัคฆ์เขียวก็ยังคงสามารถไปเยือนพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาได้”
เจียงซ่างเจินอารมณ์ดีขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขาหัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “ใช่แล้ว นี่เรียกว่าคนละเรื่องไม่เอามาปนกัน”
ลู่ยงก้าวถอยหลังเดินออกไปจากห้อง พอปิดประตูเรียบร้อยก็พลันตระหนักได้ว่าห้องนี้เป็นห้องที่เขาใช้พักอาศัยบนเรือข้ามฝากลำนี้ แต่เขาหรือจะกล้าเคาะประตูอีกครั้ง ได้แต่ตรงไปขอห้องธรรมดาอีกห้องหนึ่งมาจากผู้ดูแลเรือ
ท่ามกลางม่านราตรี ลู่ยงย้อนกลับไปที่ห้องของเฉินผิงอันอีกครั้ง พอนั่งลงเรียบร้อยก็ไม่พูดมากความใดๆ หยิบขวดกระเบื้องขนาดเล็กลักษณะเรียบง่ายธรรมดาออกมาสามใบ ภายใต้สายตาสงสัยของเฉินผิงอัน ลู่ยงลุกขึ้นพูดว่า “ในขวดกระเบื้องสามใบนี้ ยานั่งลืมตนหกเม็ดบรรจุอยู่ในขวดหนึ่ง ในอีกสองขวดที่เหลือบรรจุยามังกรเพลิง ยาโปรยพิรุณไว้ขวดละหกเม็ด ใต้ก้นขวดมีระบุไว้ วัตถุดิบหลักของฝ่ายแรกเลือกมาจากคราบร่างของเจียวเพลิงตัวหนึ่ง ฝ่ายหลังเลือกมาจากตะไคร่ที่มีเฉพาะบนผนังหินแห่งนั้นของสำนัก เหมาะสำหรับผู้ฝึกลมปราณทุกคนที่มีขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงไป ใช้ร่วมกันสองเม็ดจะให้ประสิทธิผลที่ดีเยี่ยม สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้ดวงวิญญาณ มีคำกล่าวขานที่น่าฟังว่า ‘ร่างทองทาสี’ โดยเฉพาะหากเป็นผู้ฝึกลมปราณที่ถูกสกัดกั้นอยู่เหนือธรณีประตูขอบเขตโอสถทอง ยานี้ก็จะถูกมองเป็นทางลัดในการฝ่าทะลุขอบเขต”
ไม่รอให้เฉินผิงอันปฏิเสธ
ลู่ยงก็กล่าวขึ้นเสียงหนักว่า “หากวันนี้คุณชายเฉินไม่รับไว้ ลู่ยงไม่กล้าบีบบังคับ ถ้าอย่างนั้นก็ขอร้องท่านว่าหากคราวหน้าเดินทางผ่านยอดเขาเทียนแจว๋ โปรดอย่าลืมจุดธูปสามดอกให้ข้าลู่ยงเหนือซากปรักหักพังของตำหนักพยัคฆ์เขียวข้าด้วย”
กล่าวจบร่างของลู่ยงก็หายวับไปทันที
เผยเฉียนเบิกตากว้าง
ใต้หล้านี้มีวิธีมอบของขวัญเช่นนี้ด้วยหรือ?
ข้อนี้นางเลียนแบบไม่ได้หรอกนะ
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน กวาดตามองไปรอบด้าน “เจียงซ่างเจิน ออกมาพบกันหน่อยดีไหม?”
เจียงซ่างเจินยืนอยู่ตรงระเบียงชมทิวทัศน์ ยิ้มตาหยีโบกมือให้
หลังจากโบกมือทักทายเสร็จ เจียงซ่างเจินก็ทิ้งตัวหงายไปด้านหลัง พุ่งตัวออกจากระเบียงจมหายไปในทะเลเมฆด้านหนึ่งของเรือ จากไปอย่างสง่างามเช่นนี้
เฉินผิงอันยกมือนวดคลึงหว่างคิ้ว
ปวดหัว
ลู่ยงเดินไปยังห้องที่เจียงซ่างเจินใช้ ‘พูดเหตุผลกับตน’ อย่างกระวนกระวายใจ หลังเคาะประตูแล้วไม่มีคนตอบรับก็ปลุกความกล้าเคาะประตูอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว
เขารออยู่นานมากถึงได้ผลักประตูเข้าไป
ไม่เห็นเจียงซ่างเจินอยู่ในห้องแล้ว
มีเพียงเงินฝนธัญพืชกองใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ
ลู่ยงนั่งลงข้างโต๊ะอย่างเหม่อลอย ก่อกำเนิดเฒ่านั่งอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่งก็ยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาแห่งความเจ็บปวดทิ้งแรงๆ
ตัดสินใจแล้วว่าครั้งนี้เมื่อกลับไปถึงยอดเขาเทียนแจว๋จะหลอมยา ชีวิตนี้จะหลอมแค่ยาอย่างเดียวเท่านั้น ไม่คบค้าสมาคมกับพวกผู้ฝึกตนบนยอดเขาที่อารมณ์แปรปรวนพวกนี้อีกแล้ว!
ทางฝั่งนั้น
เฉินผิงอันเรียกคนทั้งสี่ในภาพวาดมาปรึกษาเรื่องนี้อย่างไม่มีปิดบังอำพราง บนโต๊ะวางขวดกระเบื้องสามใบเอาไว้
ความหมายของเว่ยเซี่ยนคือยาพวกนี้ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน สามารถวางใจได้
คำแนะนำของหลูป๋ายเซี่ยงคือวิธีการของคนบนภูเขามีมากมายเกินกว่าจะป้องกันได้ไหว เพื่อความปลอดภัย เมื่อไปถึงนครมังกรเฒ่าก็ให้ขายออกไปด้วยราคาที่สูงเทียมฟ้า
สุยโย่วเปียนไม่ได้เอ่ยอะไร นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางถนัด
จูเหลี่ยนพูดตรงไปตรงมาที่สุด เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่าใช้วิธีพบกันครึ่งทาง ขอนายน้อยโปรดมอบยามังกรเพลิงและยาโปรยพิรุณให้เขาอย่างละเม็ด แล้วเขาจะลองชิมดูว่ารสชาติเป็นเช่นไร ก่อนไปถึงนครมังกรเฒ่า หากเขาไม่ตายอย่างเฉียบพลันไปเสียก่อน อีกทั้งจิตวิญญาณยังได้รับการบำรุงให้แข็งแกร่ง นั่นก็หมายความว่ายาวิเศษในขวดกระเบื้องสามใบนี้ไม่มีปัญหา ถึงเวลานั้นค่อยตัดสินใจว่าจะกินเองหรือขายไปเล่นงานคนอื่น
เฉินผิงอันทำเพียงแค่เก็บขวดกระเบื้องทั้งสามใบไว้ในกระบี่บินสืออู่
คืนนั้นจูเหลี่ยนก็แอบมาเคาะประตูขอร้องเฉินผิงอันว่าให้ขายยาของตำหนักพยัคฆ์เขียวแก่เขาสองเม็ด ส่วนเงินเขาขอติดไว้ก่อน
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “จูเหลี่ยน เจ้าไม่กลัวตายจริงๆ หรือ?”
ผู้เฒ่าหลังค่อมหัวเราะเหอๆ นั่งลงข้างโต๊ะ ถูมือกล่าวว่า “ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้ามาจนชินแล้ว ตอนนี้มาอยู่ในใต้หล้าใหญ่แห่งนี้ คงไม่ต้องหวังว่าจะได้เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าอีก แต่จะดีจะชั่วก็ต้องพยายามช่วงชิงอันดับหนึ่งในบรรดาคนทั้งสี่ ไม่อย่างนั้นบ่าวเฒ่าจะมีหน้ารับใช้นายน้อยได้อย่างไร หากแม้แต่สตรีคนหนึ่งก็ยังสู้ไม่ได้ สมควรเอาหัวโหม่งก้อนเต้าหู้ตายแล้ว”
จูเหลี่ยนกล่าวต่อว่า “แสวงหาความร่ำรวยในความเสี่ยง ศึกหน้าวัดร้างก่อนหน้านี้ บ่าวเฒ่าสังหารเข่นฆ่าอย่างเต็มกำลังหวังความสาแก่ใจ จึงทิ้งต้นตอโรคบางอย่างไว้บนร่าง หรือท่านจะทนเห็นบ่าวเฒ่าเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตทองทีหลังสุดได้?”
เฉินผิงอันถาม “คิดดีแล้วจริงๆ นะ?”
จูเหลี่ยนพยักหน้าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากไม่คิดมาดีแล้ว ด้วยนิสัยไม่เห็นกระต่ายไม่ปล่อยเหยี่ยว (เปรียบเปรยว่าลงมือเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจนเท่านั้น) ของบ่าวเฒ่า จะมาเคาะประตูรบกวนการพักผ่อนของคุณชายหรือ?”
เฉินผิงอันเอาขวดกระเบื้องออกมาสองใบ เทยาตระกูลเซียนที่มีสีสันแตกต่างกันออกมาสองเม็ด กล่าวอย่างจนใจว่า “เป็นตายต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง ยาสองเม็ดนี้ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่เจ้าจูเหลี่ยนยอมสู้สุดชีวิตไม่คิดถอยหน้าวัดร้าง”
จูเหลี่ยนแบมือรับยาสองเม็ดนี้ไปแล้วโยนเข้าปากโดยตรง จากนั้นจึงหัวเราะหึหึพลางลุกขึ้นยืนเอ่ยลาเฉินผิงอัน “คุณชายให้รางวัลและลงโทษชัดเจน บ่าวเฒ่ายินดีติดตามด้วยความจงรักภักดี”
คำพูดประจบยกยอเช่นนี้ เฉินผิงอันแค่ฟังเข้าหูซ้ายออกหูขวาเท่านั้น
จูเหลี่ยนชำเลืองตามองเผยเฉียนที่เอียงศีรษะเอาซีกหน้าแนบกับพื้นโต๊ะ ฝ่ายหลังก็จ้องเป๋งมองตาเขา
แล้วจูเหลี่ยนก็จากไป
ครึ่งคืนหลัง เผยเฉียนไปนอนที่ห้องด้านข้าง เฉินผิงอันฝึกยืนนิ่งอยู่ในห้องเพียงลำพัง ถอนหายใจหนึ่งที ก่อนเดินไปเปิดประตู
สุยโย่วเปียนยืนอยู่นอกประตู
นางกล่าวว่า “ข้าไม่ต้องการยามังกรเพลิงและยาโปรยพิรุณ ต้องการยานั่งลืมตนแค่เม็ดเดียวเท่านั้น”
“เจ้าอยากจะหยิบเกาลัดในกองไฟ (เปรียบเปรยว่าเสี่ยงอันตรายเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์) เป็นเพื่อนจูเหลี่ยนขนาดนี้เชียวหรือ? อยากตายเพราะความสิ้นหวังหรือเพราะอะไร? ขนาดแค่รอให้ไปถึงนครมังกรเฒ่าก่อนก็ยังไม่ยินดีรอ ข้าว่าเจ้าสุยโย่วเปียนกินยานั่งลืมตนทั้งขวดก็ล้วนเสียเปล่า!”
เฉินผิงอันกล่าวจบก็ไม่แม้แต่จะยอมให้นางเข้ามาในห้อง ปิดประตูลงดังปัง
สุยโย่วเปียนยืนสีหน้าไร้อารมณ์อยู่นอกประตูนานมาก สุดท้ายถึงจากไปอย่างเงียบงัน
ช่วงครึ่งสุดท้ายของคืน คลื่นลมสงบ ทะเลเมฆงดงามเกินบรรยาย
ยังเหลือระยะเวลาอีกช่วงหนึ่งกว่าจะไปถึงนครขนาดใหญ่ยักษ์ที่เป็นดั่งมังกรโผล่หัวพ้นผิวทะเลซึ่งอยู่ทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปแห่งนั้น
วันนี้เฉินผิงอันไปหาผู้ดูแลของตำหนักพยัคฆ์เขียวที่รับผิดชอบดูแลกิจธุระบนเรือข้ามฝาก เป็นฝ่ายเปิดปากสอบถามว่ามีเตาโอสถระดับเยี่ยมขายหรือไม่
ผู้ดูแลบอกว่ามี แม้ว่าตำหนักพยัคฆ์เขียวจะไม่ได้ทำการค้าในเรื่องนี้ แต่เจ้าตำหนักผู้เฒ่าทุ่มเทกำลังและจิตใจทั้งชีวิตไปกับเรื่องของการหลอมยา จึงเก็บรักษาเตาหลอมยาจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ ในเมื่อคุณชายเฉินคือสหายของตำหนักพยัคฆ์เขียวเรา ถ้าเช่นนั้นเขาจึงกล้าเปิดปากพูดเรื่องนี้กับเจ้าตำหนักผู้เฒ่า เพียงแต่ว่าเจ้าตำหนักผู้เฒ่าจะเต็มใจยกของรักให้หรือไม่ เขาเป็นแค่นักการที่ทำงานเบ็ดเตล็ดบนเรือข้ามฟาก ไม่กล้ารับรอง เขาจำเป็นต้องใช้กระบี่บินส่งข่าวไปบอกทางตำหนักพยัคฆ์เขียวก่อน
เฉินผิงอันกำหมัดขอบคุณ
เซียนดินขอบเขตโอสถทองที่บอกว่าตัวเองเป็น ‘นักการที่ทำงานเบ็ดเตล็ด’ ผู้นั้นไม่รู้เรื่องภายในเท่าไหร่จริงๆ แค่แน่ใจว่าคุณชายหนุ่มผู้นี้คือลูกหลานตระกูลเซียนที่มีเบื้องหลังน่าตะลึง ดูเหมือนว่าจะเป็นสหายสนิทกับตระกูลเจียงที่สูงส่งจนมิอาจปีนป่าย ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่กล้ารับปากว่าจะสอบถามเรื่องการขายเตาหลอมโอสถจากเจ้าตำหนักผู้เฒ่าเองโดยพลการ นั่นเป็นหัวจิตหัวใจของเจ้าตำหนักผู้เฒ่าเชียวนะ เตาหลอมโอสถทุกใบที่ยังไม่นำมาใช้งานชั่วคราวล้วนถูกลู่ยงเก็บรักษาไว้อย่างระมัดระวัง ขอแค่ไม่ได้หลอมยา ทุกวันเขาก็จะต้องไปตรวจสอบเช็ดถูเตาพวกนี้ด้วยตัวเองหนึ่งรอบ
กระบี่บินส่งข่าวของยอดเขาเทียนแจว๋ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษจากสำนักใหญ่ของผู้ฝึกกระบี่แห่งหนึ่งในอุตรกุรุทวีป ราคาแพงลิ่ว แต่คุณภาพก็เป็นไปตามราคา วัสดุดีเยี่ยม ความเร็วสูงสุด เร็วยิ่งกว่าเรือข้ามฟากที่เน้นในความมั่นคงปลอดภัยลำนี้มากนัก
ผลคือเมื่อผู้ดูแลที่ท่าทางเหมือนคนเห็นผีมาพบเฉินผิงอัน เฉินผิงอันก็รู้สึกกระอักกระอ่วนและร้อนตัวอยู่บ้างเล็กน้อย
คำตอบของลู่ยงก็คือเขาจะนำเตาหลอมโอสถชั้นเยี่ยมใบหนึ่งที่เก็บรักษาเป็นอย่างดีมานานหลายปีมาส่งมอบให้ด้วยตัวเอง และสิ่งที่ทำให้เฉินผิงอันกระอักกระอ่วนก็คือเงินเทพเซียนที่เขามีอยู่บนร่างตอนนี้ไม่พอให้ซื้อเตาหลอมยาใบนั้น ได้แต่รอให้ไปถึงนครมังกรเฒ่าก่อนแล้วค่อยขอยืมจากฟ่านเอ้อร์หรือเจิ้งต้าเฟิงถึงจะได้ แต่หากเป็นเช่นนั้นก็ออกจะกำเริบเสิบสานเกินไป ดูเหมือนว่าไม่ควรทำการค้าเช่นนี้ ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็คุ้นเคยกับลักษณะการทำการค้าของผู้เฒ่าในร้านยาตระกูลหยางที่บ้านเกิดมาตั้งนานแล้ว
บทที่ 361.4 ถึงนครมังกรเฒ่า
ในขณะที่เฉินผิงอันเต็มไปด้วยความละอายใจ พอได้พบกับก่อกำเนิดเฒ่าที่เร่งรุดเดินทางมาจนเนื้อตัวมอมแมม เขาก็พูดเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา นึกไม่ถึงว่าลู่ยงจะหัวเราะเสียงดังกังวาน กลับกลายเป็นว่าสีหน้าผ่อนคลายยิ่งกว่าเดิม พวกเขาพากันเดินมาที่ห้องของเฉินผิงอัน บอกให้เซียนดินโอสถทองของตำหนักพยัคฆ์เขียวผู้นั้นเฝ้านอกห้องเอาไว้ ลู่ยงถึงได้หยิบเอาวัตถุฟางชุ่นชิ้นพิเศษที่พอจะบรรจุเตาหลอมโอสถที่ตนรักถนอมไว้ได้อย่างถูไถออกมา เมื่อเตาหลอมโอสถเผยกายบนโลกก็ลอยเหนือพื้นโต๊ะมาหนึ่งฉื่อ ทันใดนั้นก็มีเมฆหมอกห้าสีลอยอวลกรุ่นขึ้นมาเป็นระลอก กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งห้องทันที
เกรงว่านอกจากคนตาบอด ไม่ว่าใครก็มองออกถึงความล้ำค่าผิดไปจากปกติของเตาหลอมยาใบนี้
เผยเฉียนเดินมือเบาเท้าเบาวนไปรอบโต๊ะ จ้องเป๋งไปยังเตาโอสถสีชาดที่สูงเพียงหนึ่งแขนใบนั้น
เตาหลอมยามีห้าขา แบ่งออกเป็นสัตว์ห้าตัวที่แยกเป็นขาข้างหนึ่งของเตา ส่วนศีรษะของสัตว์เหล่านี้อ้าปากกว้างอยู่บนริมขอบของเตาหลอม ไอหมอกห้าสีที่ลอยกรุ่นถูกพ่นออกมาจากปากของพวกมันนั่นเอง ดูเหมือนว่าจะเป็นห้าสีที่สอดคล้องกับห้าธาตุ
ใบหน้าของก่อกำเนิดผู้เฒ่าลู่ยงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขาชี้ไปยังกระถางที่ลอยอยู่กลางอากาศพลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เตาหลอมยาใบนี้มีชื่อว่าเตาตู้ทองห้าสี วัสดุหลักที่ใช้หลอมเป็นตัวเตาคือทองจากห้าธาตุ เพราะอิงตามประโยคสั่งสอนของบรรพบุรุษในการหลอมยาของพวกเราที่ถ่ายทอดต่อกันมาเป็นพันปีที่บอกว่า ‘ทองมิอาจทำลาย จึงเป็นผู้นำแห่งหมื่นสมบัติ’ ในอดีตข้าเคยได้รับโชควาสนายิ่งใหญ่บนเส้นทางการฝึกตนอย่างหนึ่ง ได้รับจวนเซียนจากในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่ปริแตกแห่งหนึ่งมา ครานั้นกองกำลังแต่ละฝ่ายช่วงชิงกันอย่างดุเดือด ตอนนี้มาคิดดูแล้วก็น่าอกสั่นขวัญผวายิ่งนัก ข้าก็แค่โชคดีที่สุด ถึงได้เตาหลอมยาใบนี้มาครอบครอง เพราะเป็นวาสนาที่ได้มาครอง ไม่ได้ซื้อมา ดังนั้นข้าจึงตั้งราคาที่ยุติธรรมสำหรับคุณชาย ไม่กล้าทำตัวเป็นสิงโตที่อ้าปากกว้างต่อหน้าคุณชายเฉิน เงินฝนธัญพืชห้าสิบเหรียญ แค่ห้าสิบเหรียญเท่านั้น!”
กล่าวมาถึงท้ายที่สุด ก่อกำเนิดผู้เฒ่าได้ยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง
เฉินผิงอันมุมปากกระตุก
ตั้งห้าสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช!
ราคาสูงเทียมฟ้า
แต่ส่วนลึกในใจก็รู้ดีว่าลู่ยงเรียกราคานี้ ยุติธรรมจนไม่อาจยุติธรรมไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ไม่มัวคิดมากอีก กล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “เจ้าตำหนักลู่ ข้าต้องอยากซื้อไว้อยู่แล้ว แต่ไม่กลัวท่านหัวเราะเยาะ สหายที่นครมังกรเฒ่าจะยอมให้ข้ายืมเงินฝนธัญพืชจำนวนเท่านี้หรือไม่ ตอนนี้ข้ายังไม่อาจบอกได้”
กล่าวจบเฉินผิงอันก็กุมหมัดกล่าวว่า “หากทำให้เจ้าตำหนักลู่ต้องมาเสียเที่ยว ข้าก็ต้องขอโทษท่านไว้ ณ ที่นี้ก่อน”
อารมณ์ของลู่ยงซับซ้อน ในใจเขาคิดว่า มารดามันเถอะ หากผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ไม่ว่าจะมีตบะสูงหรือต่ำก็ล้วนพูดง่ายและเข้าใจมารยาทอย่างเฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ จะดีสักเท่าไหร่นะ
หากถามว่าเขาเต็มใจขายเตาตู้ทองห้าสีใบนี้หรือไม่ ก่อนหน้าที่จะเจอกับเจียงซ่างเจินและเฉินผิงอัน หากใครกล้าเปิดปาก เขาก็กล้าด่าคนนั้น หากเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตต่ำกว่าก่อกำเนิด ไม่แน่ว่าอาจจะโดนเขาซ้อมสักรอบหนึ่งด้วย
เพียงแต่ว่าเวลานี้ สภาพจิตใจเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดิน คราวนี้หลังจากลู่ยงหวนกลับไปถึงตำหนักพยัคฆ์เขียวพร้อมกับเงินฝนธัญพืชที่ใช้ชีวิตแลกมากองนั้น เขาคิดไปคิดมาก็คิดตกเรื่องหนึ่งจริงๆ นั่นก็คือควรจะคบค้าสมาคมกับเจียงซ่างเจินอย่างไร ดังนั้นพอได้รับกระบี่บินส่งข่าวจากเฉินผิงอัน เขาจึงไม่เพียงไม่โมโห กลับกันยังรู้สึกยินดี ข่มกลั้นความเจ็บปวดปานหัวใจหลั่งเลือดนำเตาหลอมยาที่เป็นดั่งเงินทุนค่าโลงของเขาลู่ยงใบนี้มา ขอแค่เขาเฉินผิงอันกล้าซื้อ เขาลู่ยงก็กล้าขาย!
ซึ่งในนี้ยังมีความลับเรื่องหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดทราบซุกซ่อนอยู่ นั่นก็คือระดับขั้นของเตาตู้ทองห้าสีใบนี้สูงเกินไป กลับกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ลู่ยงรู้สึกเสียดายมาโดยตลอด เพราะคาถาหลอมวัตถุที่เขามีความชำนาญนั้นระดับขั้นไม่สูงมากพอ รวมไปถึงวัตถุดิบวิเศษที่ตัวเองมีอยู่ในครอบครอง หรือไม่ก็วัตถุดิบต่างๆ ที่คนอื่นนำมามอบให้ระดับต่ำเกินไป อาจต้องรอถึงร้อยปี เขาลู่ยงถึงจะใช้เตาหลอมห้าสีได้หนึ่งครั้ง อีกทั้งยาหรือวัตถุที่หลอมออกมาจากเตาใบนี้ แค่ทำให้ได้รายรับที่พอๆ กับรายจ่ายเท่านั้น บางครั้งยังถึงขั้นขาดทุน ต่อให้เป็นลู่ยงก็จำต้องยอมรับว่า เอาเตาใบนี้เก็บไว้ในตำหนักพยัคฆ์เขียว สำหรับเขาลู่ยงแล้ว มันคือซี่โครงไก่ และสำหรับเตาหลอมแล้ว เขาลู่ยงก็คือ…เศษสวะ
ก่อนที่ลู่ยงจะย้อนกลับไปยังห้องของตัวเอง เฉินผิงอันได้แต่พูดประโยคหนึ่งตามมารยาทว่า “บุญคุณยิ่งใหญ่มิจำเป็นต้องเอ่ยขอบคุณ”
ลู่ยงอารมณ์ดีอย่างยิ่งยวด เดินจากไปด้วยรอยยิ้ม ถึงขั้นทิ้งเตาตู้ทองห้าสีใบนี้ไว้ที่เฉินผิงอัน แถมยังมอบตำราการหลอมยาเล่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุใดไว้ให้ด้วย
เฉินผิงอันเก็บเตาหลอมยาใบนั้นใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่ออย่างระมัดระวัง แล้วเริ่มพลิกเปิดตำราลับในการหลอมยาที่ลู่ยงเขียนด้วยตัวเองออกอ่าน อ่านไปได้ครู่หนึ่ง
เขาก็เดินออกจากห้องไปยังห้องกระบี่ของเรือข้ามฟากที่มีไว้สำหรับกระบี่บินส่งข่าวโดยเฉพาะ ส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้เจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยก
นอกจากพูดเรื่องลู่ยงขายเตาให้คร่าวๆ แล้ว ช่วงท้ายของจดหมายลับยังเขียนไว้ว่า ‘หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก ติดค้างน้ำใจเจ้าสองครั้ง’
ในห้องแห่งหนึ่ง ผู้ดูแลโอสถทองของเรือข้ามฟากยืนอยู่ข้างกายลู่ยง เล่าเรื่องที่เฉินผิงอันเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปให้สำนักกุยหยก
ส่วนเนื้อหาในจดหมาย เขาย่อมไม่รู้
ไม่อย่างนั้นใต้หล้านี้ใครจะยังกล้าใช้กระบี่บินส่งข่าวอีก
ลู่ยงอืมรับหนึ่งที
เซียนดินโอสถทองถามอย่างใคร่รู้ “เจ้าตำหนัก คุณชายเฉินท่านนี้มีความเป็นมาไม่ธรรมดามากเลยหรือ?”
ลู่ยงใคร่ครวญอย่างระมัดระวังแล้วก็ยิ้มตอบว่า “อายุน้อยๆ ก็มีวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งแล้ว เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เพิ่งออกมาจากห้องของเฉินผิงอัน ลู่ยงที่เสียเปรียบไปครั้งหนึ่งก็ฉลาดขึ้นจากเดิมตระหนักได้ว่าท่าไม่ดี เพื่อแสดงความจริงใจเขาถึงได้มอบเตาตู้ทองห้าสีไว้ที่เฉินผิงอันอย่างใจกว้าง เพียงแต่เตาใบนี้ไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด วัตถุฟางชุ่นธรรมดาอาจเก็บไว้ไม่ได้ อีกทั้งต่อให้ฝืนยัดเข้าไปก็อาจจะทำให้ ‘ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก’ เกิดความโกลาหลวุ่นวาย แต่ลู่ยงเพียงแค่ชะงักฝีเท้าเล็กน้อยก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าลมปราณของเตาพลันหายวับไป อีกทั้งลมปราณในห้องของเฉินผิงอันยังสงบนิ่งอย่างถึงที่สุด
คือวัตถุจื่อชื่ออย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
เซียนดินก่อกำเนิดถอนหายใจ “มีเงิน มีเงินจริงๆ! ย่อมต้องเป็นลูกศิษย์สายตรงของตระกูลเซียนบนภูเขาที่สืบทอดตระกูลกันมานานเป็นพันปีแน่นอน เพียงแต่ว่าคนหนุ่มที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลเซียนเช่นนี้ออกมาท่องเที่ยวอยู่ใต้หล้า แต่กลับชอบให้ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเป็นข้ารับใช้ติดตามอยู่ข้างกาย น่าสนใจยิ่งนัก”
ลู่ยงโบกมือเพราะไม่อยากพูดถึงเฉินผิงอันมากนัก
เมื่ออยู่เพียงลำพัง ลู่ยงก็กล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “โทษทัณฑ์ครั้งนั้นไม่ได้รับไว้อย่างเสียเปล่า ตำหนักพยัคฆ์เขียวของข้าโชคดีแล้ว”
เมื่อเรือข้ามฟากจอดเทียบท่าเรือของเกาะโดดเดี่ยวนอกทะเลนครมังกรเฒ่าอย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันก็ผ่อนลมหายใจโล่งอกได้ในที่สุด
มาถึงแจกันสมบัติทวีป
เป็นช่วงปลายฤดูหนาวพอดี
ไม่เห็นเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านจอดอยู่ที่ท่าเรือ น่าจะเป็นเพราะย้อนกลับไปยังภูเขาห้อยหัว ตอนนี้ยังไม่กลับมา แค่ไม่รู้ว่าจะยังมีโอกาสได้พบกับกุ้ยฮูหยินอีกหรือไม่
ทว่าเมื่อเฉินผิงอันเห็นผู้ดูแลโอสถทองคนนั้นมายืนอยู่หน้าประตูโดยที่ไม่มีเงาร่างของเจ้าตำหนักลู่ยง เฉินผิงอันก็รู้ว่าไม่ดีแล้ว
แล้วก็จริงดังคาด ผู้ดูแลโอสถทองผู้นั้นกล่าวด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างปั้นยากว่า “เจ้าตำหนักมีธุระสำคัญต้องย้อนกลับไปที่ยอดเขาเทียนแจว๋ทันที ดังนั้นจึงฝากคำพูดให้ข้าบอกกับคุณชายเฉินว่า เงินฝนธัญพืชไม่กี่เหรียญนั้น ท่านจะไหว้วานให้คนนำมามอบให้ที่เรือข้ามฟากเมื่อไหร่ก็ได้ หวังว่าคุณชายเฉินจะไม่เก็บเอาเรื่องเล็กๆ นี้ไปใส่ใจ”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ข้าจะพยายามนำเงินฝนธัญพืชมามอบให้ผู้อาวุโสโดยเร็วที่สุด”
เซียนดินโอสถทองเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มิกล้าเร่งรัดคุณชายเฉิน เจ้าตำหนักบอกไว้แล้ว อีกอย่างก่อนที่เจ้าตำหนักจะไปจากเรือข้ามฟากก็ได้พูดกับข้าด้วยน้ำเสียงที่จริงจังอย่างยิ่ง ข้าไม่กล้าไม่ทำตาม”
ไม่กี่วันหลังจากที่ลู่ยงย้อนกลับมายังตำหนักพยัคฆ์เขียวก็มีกระบี่บินเล่มหนึ่งที่มีความไวสุดขีดพุ่งมายังตำหนักพยัคฆ์เขียวจนเกือบจะทำให้ห้องกระบี่ของตำหนักแตกสลาย
หลังจากลู่ยงเอาจดหมายลับมาเปิดอ่านอย่างอกสั่นขวัญแขวนก็เดินกลับเรือนพักด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วถึงได้หัวเราะออกมาเสียงดัง
นับแต่วันนี้ไป นอกจากสายหลักของสกุลเจียงจะมอบเงินฝนธัญพืชหนึ่งร้อยเหรียญให้ลู่ยงโดยเฉพาะแล้ว สำนักกุยหยกจะยังเหมายาทุกๆ หนึ่งร้อยเม็ดที่ออกจากเตาของตำหนักพยัคฆ์เขียว ช่วยนำไปขายให้แก่สี่ทิศของใบถงทวีป
ลู่ยงใช้หมัดทุบฝ่ามือ รีบบอกให้คนลงภูเขาไปสมัครหาลูกศิษย์ ไม่ว่าจะตามหาต้นกล้าในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็ดี หรือเปิดปากขอตัวจากต้าเฉวียนและหนันฉีโดยตรงก็ช่าง สรุปก็คือตำหนักพยัคฆ์เขียวต้องการรับสมัครลูกศิษย์จำนวนมากเข้าสำนัก! พรสวรรค์แย่หน่อยก็ไม่เป็นไร ฝึกตนสักเจ็ดแปดปี ขอแค่ตำหนักพยัคฆ์เขียวให้การอบรมสั่งสอนอย่างตั้งใจ อย่างน้อยก็ต้องสามารถหลอมยาที่ดีที่สุดออกมาได้ ยาทุกเม็ดที่ออกจากเตาล้วนเท่ากับเงินหิมะน้อยที่มีแต่กำไรไม่มีขาดทุนก้อนหนึ่งเลยทีเดียว!
ลู่ยงไปที่ศาลบรรพจารย์ ตอนที่จุดธูปกราบไหว้เหล่าบรรพจารย์ที่อยู่ในภาพแขวน เขาก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า “บรรพจารย์ปกป้องคุ้มครองควันธูปของตำหนักพยัคฆ์เขียวให้รุ่งโรจน์สืบทอดไปนานนับพันปีหมื่นปี”
……
เฉินผิงอันสะพายหีบไม้ไผ่เดินจากเรือข้ามฟากขึ้นไปบนฝั่งของท่าเรือ
ตอนที่เหลือก้าวสุดท้าย เผยเฉียนจงใจประกบขาสองข้างเข้าหากันแล้วพลิ้วกายลงบนพื้นด้วยท่ากระโดด นางยืดอกตั้งกล่าวว่า “แจกันสมบัติทวีป ข้ามาแล้ว!”
หึหึ ดูเหมือนว่ายังมีเด็กหญิงที่ชอบสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงชื่อว่าหลี่เป่าผิงคนหนึ่ง ตอนนี้ยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาซานหยาอย่างโง่งมอยู่เลย บังอาจมาเรียกพ่อข้าว่าอาจารย์อาน้อย เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!
พวกเว่ยเซี่ยนสี่คนพากันเดินลงเรือ แล้วมายืนขนาบสองฝั่งของเฉินผิงอัน
จูเหลี่ยนค้อมเอวถามว่า “นายน้อย หลังจากนี้พวกเราจะไปที่ไหน? เข้าเมืองไปโดยตรงเลยหรือ?”
เฉินผิงอันมีแผนการคร่าวๆ นานแล้ว จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่าเรือแห่งนี้มีคนตระกูลฟ่านของเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาอยู่ เดี๋ยวพวกเราไปหาพวกเขาก็แล้วกัน ข้าเป็นเพื่อนกับคนผู้หนึ่งที่บิดาตั้งชื่อให้ดีมาก และเป็นผู้สืบทอดของตระกูลพวกเขา เป็นเพื่อนสนิทเลยทีเดียว!”
จูเหลี่ยนเอ่ยชื่นชม “เพื่อนของนายน้อยไม่ธรรมดาจริงๆ”
หลังจากกินยาสองเม็ดของตำหนักพยัคฆ์เขียวเข้าไป บาดแผลที่สะสมตามเส้นเอ็นและกระดูกของจูเหลี่ยนไม่เพียงแต่ล้วนหายดีหมด แม้แต่จิตวิญญาณก็ได้รับการบำรุงอย่างมาก ได้รับผลประโยชน์มหาศาล
เพียงแต่ว่าเมื่อไหร่จะเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองได้อย่างราบรื่น เฉินผิงอันไม่ถาม จูเหลี่ยนก็ไม่เคยบอก
หลูป๋ายเซี่ยงกับสุยโย่วเปี่ยนกลับคิดถึงเรื่องหนึ่งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย สามารถถูกเฉินผิงอันเรียกว่าเป็น ‘เพื่อนสนิท’ ได้ ไม่ง่ายเลยทีเดียว
เว่ยเซี่ยนพูดกับเผยเฉียนว่า “เจ้ายังติดค้างน้ำตาลปั้นข้า อย่าลืมซะล่ะ”
เผยเฉียนกลอกตาไปมา พูดอย่างน่าสงสารว่า “ข้ายากจนจนแม้แต่เสียงเหรียญเงินกระทบกันก็ยังไม่มีให้ได้ยิน ตอนนี้ข้ายังไม่มีเงินหรอกนะ”
เว่ยเซี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเป็นปีนั้น หลอกลวงเบื้องสูงต้องถูกตัดหัว”
เผยเฉียนแอบชี้ไปที่เฉินผิงอัน จากนั้นก็ชูแขนเล็กๆ ขึ้น วางนิ้วชี้กับนิ้วโป้งติดกัน พูดกับเว่ยเซี่ยนเสียงเบาว่า “เจ้าดูสิว่าพ่อข้าเป็นเพื่อนกับคนอื่นอย่างไร แล้วดูสิว่าเจ้าเหล่าเว่ยเป็นเพื่อนกับข้าอย่างไร เหล่าเว่ยเจ้าไม่รู้สึกละอายใจบ้างสักนิดเลยหรือ?”
เว่ยเซี่ยนหัวเราะเหอๆ “พี่น้องแท้ๆ ยังต้องคิดบัญชีกันให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นยึดแผ่นดินมาได้แล้วก็นั่งบนเก้าอี้มังกรได้ไม่มั่นคง”
เผยเฉียนกระทืบเท้าเว่ยเซี่ยนหนึ่งที บ่นว่า “เป็นเพื่อนกับเจ้านี่น่าเบื่อจริงๆ”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับมา
เผยเฉียนรีบย่อตัวลงปัดขากางเกงให้เว่ยเซี่ยน “เหล่าเว่ยเจ้านี่ก็จริงๆ เลย โตขนาดนี้แล้วยังออกมาพบคนทั้งที่เนื้อตัวสกปรกได้อย่างไร ข้าจะช่วยปัดฝุ่นให้เจ้าเอง”
เฉินผิงอันอาศัยความทรงจำเดินนำไปยังท่าเรือของเกาะกุ้ยฮวาสกุลฟ่าน
พอนึกถึงว่าตอนนี้ตนยังมีหนี้ติดตัวอีกห้าสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช ฝีเท้าของเฉินผิงอันก็หนักอึ้งเล็กน้อย
บนไหล่ของเด็กหนุ่มควรแบกกิ่งหลิวกิ่งหยางและทัศนียภาพปลายฤดูใบไม้ผลิ ไม่ใช่หรือ?
แต่ตอนนี้ข้าก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มแล้ว
หากพูดตามคำพูดติดปากของเผยเฉียนก็คือ กลุ้มใจจริง
บทที่ 362.1 ที่แท้ก็ไม่ค่อยสงบ
เฉินผิงอันเดินนำพวกเผยเฉียนไป เพียงไม่นานก็เจอคนตระกูลฟ่านของท่าเรือเกาะกุ้ยฮวา คราวก่อนมีผู้ฝึกตนเฒ่าโอสถทองขับรถม้าและฟ่านเอ้อร์ตามมาส่ง เฉินผิงอันเดินขึ้นเกาะกุ้ยฮวาโดยตรง จึงไม่ได้สัมผัสกับลูกหลานตระกูลฟ่านที่ท่าเรือมาก่อน เพียงแต่ว่าหลังจากที่เฉินผิงอันบอกชื่อแซ่ของตัวเองเรียบร้อย ผู้ดูแลสกุลฟ่านก็เหมือนได้ยินข่าวดีใหญ่เทียมฟ้า บอกให้เฉินผิงอันรอสักครู่ จากนั้นเขาก็ส่งข่าวกลับไปที่นครมังกรเฒ่าทันที อีกทั้งยังเรียกรถม้าที่ประดับประดาอย่างงดงามมา ส่งพวกเฉินผิงอันขึ้นรถม้าไปด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายนอบน้อมเสียจนเฉินผิงอันมึนงงไปหมด
ในฐานะจุดศูนย์กลางเชื่อมต่อแจกันสมบัติและใบถงสองทวีป นครมังกรเฒ่าจึงมีระดับความเจริญรุ่งเรืองเหนือกว่าเมืองหลวงของราชวงศ์ใหญ่ ได้ครอบครองท่าเรือตระกูลเซียนสองแห่ง เรือข้ามทวีปหกลำของห้าแซ่ในนครมังกรเฒ่ามีท่าเรืออยู่ที่เกาะโดดเดี่ยวซึ่งตั้งอยู่ห่างจากนครมังกรเฒ่าไปสามสิบกว่าลี้ และปีนั้นตอนที่เฉินผิงอันเพิ่งมาเยือนนครมังกรเฒ่าเป็นครั้งแรก ท่าเรืออยู่ทางฝั่งตะวันตกของนครมังกรเฒ่า เวลาเข้าเมืองจะต้องผ่านถนนเส้นยาวสามร้อยลี้ที่ทำให้คนปากอ้าตาค้าง ซึ่งถนนยาวสายนั้นคือกิจการบรรพบุรุษของสกุลซุน ซุนเจียซู่เจ้าประมุขตระกูลคือคนหนุ่มที่เกือบจะกลายเป็นเพื่อนและเกือบจะกลายเป็นศัตรู จนถึงตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังไม่อาจปล่อยวางได้
เฉินผิงอันนั่งรถม้าคันเดียวกับเผยเฉียน เผยเฉียนโดยสารอยู่บนเรือที่มีนกสีเขียวช่วยดันให้ล่องลอยอยู่บนฟ้ามานานขนาดนี้ คราวนี้ในที่สุดก็ได้เหยียบลงพื้นจริงๆ แล้ว อีกทั้งที่นี่ยังเป็นบ้านเกิดของเฉินผิงอัน นางตื่นเต้นอย่างมากจึงเลิกผ้าม่านมองทัศนียภาพด้านนอกอย่างเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้
หลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียนที่อยู่ในห้องโดยสารรถม้าคันเดียวกันเริ่มประลองฝีมือหมากล้อม ส่วนเว่ยเซี่ยนกับจูเหลี่ยนที่อยู่ในห้องโดยสารเดียวกัน คนหนึ่งงีบหลับ อีกคนหนึ่งเบิกตากว้างอ่านหนังสือ
ดูจากท่าทีของผู้ดูแลตระกูลฟ่าน เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงความผิดปกติเสี้ยวหนึ่ง เขาเริ่มจัดลำดับความคิด เขาเฉินผิงอันไม่ใช่บุคคลที่สำคัญอะไร ตอนที่ออกไปจากนครมังกรเฒ่าก็ยังเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ที่เพิ่งจะฝ่าทะลุคอขวดที่บ้านบรรพบุรุษสกุลซุน คนที่รู้จักก็มีแค่ฟ่านเอ้อร์ ซุนเจียซู่ที่แยกกันเดินคนละทางมานานแล้ว เจิ้งต้าเฟิงของร้านยาฮุยเฉิน ฝูหนันฮวาที่ผูกความแค้นกันในถ้ำสวรรค์หลีจู แต่กลับไม่ได้มาเจอกันในนครมังกรเฒ่า เรียกได้ว่าน้อยจนนับนิ้วได้
และนครมังกรเฒ่าในเวลานั้นก็ถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองอันชื่นมื่น เพราะสกุลฝูเพิ่งจะสู่ขอบุตรสาวสายตรงสกุลเจียงอวิ๋นหลินคนหนึ่งเข้ามา พูดให้ถูกต้องก็คือ บุตรสาวสายตรงสกุลเจียงอวิ๋นหลินแต่งต่ำให้กับตระกูลฝู เจ้าบ่าวของนางก็คือฝูหนันหัวนายน้อยแห่งนครที่เกือบจะถูกเฉินผิงอันฆ่าตายไปพร้อมกับไช่จินเจี่ยน
คำว่า ‘แต่งต่ำ’ นี้พิถีพิถันอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นตระกูลฝูที่ร่ำรวยเป็นหนึ่งในทวีปก็ยังไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสม
ร่ำรวยสูงศักดิ์ ร่ำรวย ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องสูงศักดิ์ แต่หากสูงศักดิ์แล้วย่อมต้องร่ำรวย ดังนั้นร่ำรวยจึงเทียบกับสูงศักดิ์ไม่ได้ เนื่องจากฝ่ายหลังมีความหมายถึงการสืบทอดที่มีระบบระเบียบ รากฐานของตระกูลที่ลึกล้ำ ที่พึ่งอันเป็นดั่งภูเขาแข็งแกร่งซึ่งมีแต่จะอยู่ในจุดสูงที่เมฆหมอกล้อมวน
แน่นอนว่าอย่างสกุลเจียงสำนักกุยหยกของใบถงทวีป หรือแม้แต่ผู้ที่มีเงินอย่างสกุลหลิวธวัลทวีปซึ่งใช้เงินยากยิ่งกว่าหาเงิน กลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
สกุลเจียงอวิ๋นหลินคือหนึ่งในตระกูลชั้นสูงของแผ่นดินกลางที่ในอดีตย้ายมาอยู่แจกันสมบัติทวีป คฤหาสน์ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรใหญ่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประตูคฤหาสน์หันเข้าหามหาสมุทร ทางเดินของซุ้มประตูใหญ่ทอดยาวลงไปในทะเลสามสิบกว่าลี้ สุดท้ายใช้โขดหินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติทำเป็นซุ้มประตูใหญ่ ถูกขนานนามว่า ‘ควบรวมกับทะเลบูรพา’ มีชื่อเสียงโด่งดังไปหลายทวีป
ในขณะที่ลัทธิขงจื๊อเพิ่งจะกลายเป็นระบบสืบทอดดั้งเดิม หลี่เซิ่งตั้งกฎเกณฑ์และระเบียบพิธีการยิบย่อยซับซ้อนต่างๆ ของใต้หล้าไพศาลด้วยมือของตัวเอง บรรพบุรุษสกุลเจียงเคยมีหลายคนที่ได้ดำรงตำแหน่งขุนนางต้าจู้ (ขุนนางที่ทำหน้าที่หลักในการเซ่นไหว้บวงสรวง) ที่สถานะสูงส่ง คือหนึ่งในขุนนางสวรรค์ใหญ่ทัดเทียมต้าสื่อ (เอกอัครราชทูต) และต้าจ่าย (อัครเสนาบดี) ที่บันทึกไว้ใน ‘ต้าหลี่ชุนกวาน’ หน้าที่หลักคือรับผิดชอบเขียนบทอวยพรเชื้อเชิญองค์เทพให้แก่จักรพรรดิ
ตอนนั้นตลอดทั้งนครมังกรเฒ่าต่างก็คาดเดากันว่าสินเดิมของบุตรสาวสายตรงสกุลเจียงผู้นั้นจะเป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งหรือไม่
เพียงแต่ว่าสำหรับเฉินผิงอันแล้ว ความครึกครื้นที่อย่างมากสุดก็เกี่ยวข้องกับเขาแค่สองส่วนนี้เป็นได้แค่เรื่องคุยเล่นระหว่างดื่มเหล้ากับเจิ้งต้าเฟิงและฟ่านเอ้อร์เท่านั้น เขาทั้งไม่ใช่คนของนครมังกรเฒ่า แล้วก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ใหญ่ของทวีปเหล่านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สัมผัสอย่างลึกซึ้ง ต่อให้ฝูหนันหัวแต่งงานกับสตรีที่สถานะสูงศักดิ์แล้วอย่างไร? ต่อให้ศัตรูที่ตบะและขอบเขตต่างก็สู้พี่ชายใหญ่ฝูตงไห่ และพี่สาวใหญ่ฝูชุนฮวาของเขาไม่ได้ผู้นี้จะโชคดีได้เป็นเจ้านครมังกรเฒ่าขึ้นมาจริงๆ …ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็คงหงุดหงิดนิดๆ แล้ว เพราะนี่หมายความว่าอาจเกี่ยวพันกับฟ่านเอ้อร์ หรือเกี่ยวพันกับทั้งตระกูลฟ่าน
เพียงแต่ว่าต่อให้เป็นเรื่องที่ลำบากยากเข็ญแค่ไหน คิดมากไตร่ตรองมากนั้นได้ แต่ไม่ควรเป็นกังวลหรือหวาดกลัวมากเกินไป เพราะมีแต่จะสร้างปัญหาให้ตัวเอง
สำหรับข้อนี้เฉินผิงอันเข้าใจชัดเจนดี
ผ่านไปประมาณเกือบครึ่งชั่วยาม รถม้ายังไม่ทันเข้าเมืองก็จอดลงอย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันค้อมตัวเลิกผ้าม่านขึ้นก็เห็นเงาร่างหนึ่งที่คุ้นเคยทันที เขากระโดดลงจากรถม้า วิ่งเหยาะๆ พลางโบกมืออย่างแรง ยังคงมีรอยยิ้มที่สดใสเจิดจ้าปานนั้น เฉินผิงอันที่พอจะโล่งใจได้ก็ลงจากรถม้า ชูมือขึ้นสูง ตีมือกับฝ่ายที่มาอย่างแรง เขาก็คือฟ่านเอ้อร์ ไม่ใช่เด็กหนุ่มหน้าขาวปากแดงแล้ว แต่กลายเป็นคุณชายหนุ่มผู้หล่อเหลาคนหนึ่ง ทว่าไม่ว่าจะเดินไปที่ไหน กลิ่นอายอบอุ่นสดใสดุจแสงอาทิตย์ที่มีเฉพาะตัวของฟ่านเอ้อร์ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ฟ่านเอ้อร์โบกฝ่ามือไปมา หัวเราะร่าพลางกล่าวว่า “เฉินผิงอัน สัมผัสได้ถึงพลังของฝ่ามือข้างนี้ข้าไหม? พูดไปแล้วอาจทำให้เจ้าตกใจ ตอนนี้ข้าก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่แล้ว! แต่ว่าไม่เป็นไร ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ใต้หล้านี้ เจ้าที่หนึ่ง ข้าที่สอง ดีที่สุดแล้ว!”
เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่แล้วเหมือนกัน? เหมือนกัน?
พวกเผยเฉียนห้าคนที่เดินตามเฉินผิงอันลงจากรถม้าต่างก็ประหลาดใจกันเล็กน้อย
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี “ร้ายกาจๆ”
ฟ่านเอ้อร์เดินวนรอบตัวเฉินผิงอันหนึ่งรอบ “ทำไมไม่สวมรองเท้าแตะแล้วเล่า ทำเอาข้าเกือบไม่กล้าทักเจ้า”
จากนั้นก็ทำมือวัดส่วนสูง ฟ่านเอ้อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงห่อเหี่ยวเล็กน้อย “สูงขึ้นกว่าข้าตั้งเยอะ”
ฟ่านเอ้อร์ควักถุงเงินตุงแน่นใบหนึ่งออกมาจากในชายแขนเสื้ออย่างลับๆ ล่อๆ จากนั้นแบให้เฉินผิงอันดูแล้วขยิบตาอย่างแรง
ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ เฉินผิงอันต้องเผาเครื่องปั้นชิ้นหนึ่งเป็นของขวัญให้เขา น่าเกลียดหน่อยก็ไม่เป็นไร ขอแค่เฉินผิงอันทำเองกับมือก็พอ เขาฟ่านเอ้อร์จะได้เอาไปโอ้อวดสหายคนอื่น
เฉินผิงอันรีบบอกให้ฟ่านเอ้อร์เก็บถุงเงินให้ดี จากนั้นพูดเสียงเบาว่า “เจ้าหมายถึงเครื่องปั้นที่ข้ารับปากว่าจะปั้นให้เจ้า? ยังไม่ได้ทำเลย ไปถึงนครมังกรเฒ่าแล้ว ข้าต้องซื้ออุปกรณ์ในการทำเครื่องปั้นอีกหลายชิ้น แล้วยังต้องหาดินที่เหมาะสมด้วย เจ้าคิดว่าทำได้ง่ายนักหรือไง?”
“ก็ได้ ไปถึงนครมังกรเฒ่าก่อนค่อยว่ากัน งานละเอียดประณีตย่อมทำได้ช้า ถึงเวลานั้นข้าจะช่วยเจ้าหาดินเอง”
ฟ่านเอ้อร์เองก็ไม่ผิดหวัง เก็บเงินที่ตัวเองสะสมไว้เป็นอย่างดีถุงนั้นลงไป ด้านในล้วนเป็นทองหยวนเป่าที่เป็นเงินของโลกมนุษย์ กฎตระกูลฟ่านค่อนข้างเข้มงวด ไม่ว่าคนทั้งบนและล่างจวนจะรักและเอ็นดูฟ่านเอ้อร์แค่ไหน แต่กลับไม่ยอมให้เงินเทพเซียนเขาแม้แต่เหรียญเดียว ดังนั้นเมื่อนัดหมายไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะเลี้ยงเหล้าเฉินผิงอัน ในสองปีที่ผ่านมานี้ฟ่านเอ้อร์จึงประจบเอาใจผู้อาวุโสในตระกูลไม่น้อย ตรุษจีนปีก่อน ฟ่านเอ้อร์แทบอยากจะไปเยี่ยมเยือนบ้านของทุกคนที่ใช้แซ่ฟ่านให้ครบทุกบ้านหนึ่งรอบ นี่ถึงได้เก็บหอมรอมริบเงินส่วนตัวก้อนนี้มาอย่างยากลำบาก
ฟ่านเอ้อร์พลันกล่าวว่า “ขึ้นไปคุยกันบนรถ ไปนั่งรถของข้า”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ บอกให้เผยเฉียนกลับไปนั่งรถม้าคันเดิม ส่วนตัวเองตามฟ่านเอ้อร์ขึ้นรถไป
คนทั้งสองเข้ามานั่งในห้องโดยสารแล้ว เฉินผิงอันจึงถามว่า “มีปัญหาหรือ?”
มีเพียงรถม้าคันนี้ที่สามารถสกัดกั้นการแอบฟังได้
ฟ่านเอ้อร์พยักหน้ารับ “เจ้าจากไปได้ไม่นานเท่าไหร่ ฟ้าของนครมังกรเฒ่าก็เปลี่ยนสีแล้ว”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้ายื่นส่งให้ฟ่านเอ้อร์ “ค่อยๆ เล่า ไม่ต้องรีบร้อน”
ฟ่านเอ้อร์ยิ้มดุจบุปผาผลิบาน รับเจียงหูมาแกว่งดู “ข้าจะดื่มจิบเล็กๆ แล้วกัน วิญญูชนต้องระมัดระวัง…อั๊ยหยา เหล้านี่อร่อยจริง รสชาติไม่เหมือนกับเหล้าหมักดอกกุ้ยฮวาของบ้านข้า ต่างก็มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำกัน เมื่อครู่แค่จิบไปอึกเล็กๆ เท่านั้น ขอดื่มอีกหน่อย ดื่มอีกหน่อย…”
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิยิ้มมองคนวัยเดียวกัน
ไม่ว่าจากนี้จะได้ยินข่าวร้ายอะไร
เห็นว่าฟ่านเอ้อร์ยังเป็นฟ่านเอ้อร์คนเดิมก็คือข่าวดีที่ดีที่สุดแล้ว
ฟ่านเอ้อร์ดื่มสุรารสดีจากใบถงทวีปที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไป ‘จิบเล็กสามจิบ’ ถึงส่งคืนให้เฉินผิงอัน แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ห้าแซ่ใหญ่ในนครมังกรเฒ่า เจ้าคงรู้มานานแล้ว หากเรียงตามศักยภาพที่แท้จริง ก็ควรจะเป็นฝู ซุน ฟาง โหวและติง เพียงแต่ว่าตระกูลฟ่านของพวกเราพึ่งพิงตระกูลฝูมาโดยตลอด อีกทั้งตระกูลฝูยังเป็นเจ้านครมังกรเฒ่าที่กำลังของพวกเขาฝ่ายเดียวก็เอาชนะอีกสี่ฝ่ายที่เหลือได้ บวกกับที่ตระกูลฟ่านเองก็มีเกาะกุ้ยฮวาหนึ่งลำ ดังนั้นหลายๆ คนจึงชอบตัดตระกูลใดตระกูลหนึ่งอย่างฟางโหวติงทิ้งไป แล้วยัดตระกูลฟ่านเข้าไปแทนที่ เนื่องจากตระกูลซุนมีบุรพาจารย์ก่อกำเนิดเฝ้าพิทักษ์บ้านบรรพบุรุษ อีกทั้งกิจการของพวกเขาก็มีชื่อเสียงที่ดีมากมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกังขา”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ฟ่านเอ้อร์วางสองมือเท้าไว้บนหัวเข่า เล่าเจื้อยแจ้วให้เฉินผิงอันฟังถึงเรื่องวงในและคลื่นลมในนครมังกรเฒ่าตลอดเกือบๆ สองปีที่ผ่านมานี้
“ห้าตระกูลใหญ่ของนครมังกรเฒ่าก็ดี หรือหกสกุลใหญ่ก็ช่าง เดิมทีตระกูลฝูไม่คิดจะยึดครองความเป็นใหญ่เพียงลำพัง ทุกคนจึงอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ความขัดแย้งก็มีบ้าง เพียงแต่ว่าก่อนหน้าปีที่แล้วยังไม่ถึงขั้นที่ต้องฉีกหน้าแตกหักกัน”
“เดิมทีฝูฉีก็เป็นเซียนดินก่อกำเนิด ในมือยังได้ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนสี่ชิ้น อีกทั้งตระกูลฝูก็ประหลาดมาก ขอบเขตโอสถทองก็สามารถควบคุมอาวุธตระกูลเซียนแบบนี้ได้แล้ว แถมยังมีบุรพาจารย์หลบอยู่เบื้องหลัง”
“ซุนเจียซู่เจ้าประมุขตระกูลซุนไม่เห็นตบะเป็นเรื่องสำคัญ แต่ลำพังแค่บรรพจารย์ก่อกำเนิดที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน และผู้ถวายงานโอสถทองอีกสามคน คนหนึ่งในนั้นยังเป็นผู้ฝึกตนโอสถทองที่เพิ่งต่อสัญญาอีกหนึ่งร้อยปี เมื่ออยู่ในนครมังกรเฒ่าของพวกเรา หากเทียบกับฉู่หยางผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตระกูลฝูที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ข้างหอมังกรแล้วก็ถูกมองว่าเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตโอสถทองที่มีความหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดมากที่สุด”
“ส่วนตระกูลฟางที่แม้ว่าจะไม่มีก่อกำเนิด แต่ก็มีปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตเจ็ดสองท่าน ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปดโอสถทองหนึ่งท่าน เมื่ออยู่ด้านล่างภูเขาทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์หรือยุทธ์ก็ล้วนหยั่งรากฐานลึกล้ำ มิอาจดูแคลน”
“ตระกูลโหวอาศัยนักปราชญ์ของสำนักศึกษาที่มีสถานะเป็นบุตรอนุของตระกูลถึงสามารถหยัดยืนอยู่ในนครมังกรเฒ่าได้อย่างมั่นคง เดิมทีก็เป็นตระกูลที่มีกำลังอ่อนแอที่สุด ทว่านักปราชญ์แซ่โหวที่กลับบ้านเกิดมากราบไหว้บรรพบุรุษผู้นั้น เมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิของปีก่อน จู่ๆ กลับกลายเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษากวานหูไปแล้ว เมื่อครึ่งปีแรกของปีก่อน ตระกูลโหวมีหน้ามีตากันอยู่พักใหญ่ เดิมทีตระกูลโหวเกือบจะสูญเสียเส้นทางการเดินเรือข้ามฟากในเส้นทางมังกรเดินสายนั้นไป พอมีวิญญูชนเพิ่มเข้ามา ตระกูลฟางที่กลืนเนื้อเข้าไปในท้องแล้วก็ยังยอมคายออกมาแต่โดยดี อีกทั้งยังชดใช้ให้ตระกูลโหวอีกมากมาย สำนักตระกูลเซียนบนภูเขาหลายแห่งที่ตระกูลโหวประคับประคองมากับมือตัวเองล้วนเป็นเหมือนหญ้าบนยอดกำแพง”
“สถานการณ์ของตระกูลติงคล้ายคลึงกับตระกูลโหวอยู่บ้าง ต่างก็ต้องอาศัย ‘คนนอก’ มาประคับประคองตระกูล ตระกูลโหวคือวิญญูชนที่ถูกคนในตระกูลทำร้ายความรู้สึก ส่วนตระกูลติงนั้นอาศัยสตรีคนหนึ่งที่ตอนแรกไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่สะดุดตา แต่นางกลับได้แต่งงานกับคนของสำนักใบถง ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนนั้น หรือควรจะพูดว่าหญิงสาวคนนั้น นางเองก็เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน จึงทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับวิญญูชนสำนักศึกษากวานหูที่ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่สนใจคนในตระกูล เมื่อปีก่อน บุรุษคนนั้นถึงขั้นพาภรรยากลับมาที่นครมังกรเฒ่าอีกครั้ง อีกทั้งผู้ติดตามข้างกายยังเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองหลายคน”
ฟ่านเอ้อร์ยื่นมือออกมา “กระหายแล้ว”
เฉินผิงอันโยนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เขา “เจ้าถือน้ำเต้าไว้เองเถอะ คอยโยนกันไปโยนกันมา เจ้าไม่รำคาญ แต่ข้ารำคาญ”
ฟ่านเอ้อร์เองก็ไม่เกรงใจ จิบเหล้าอึกเล็กหนึ่งคำแล้วก็พูดต่อว่า “แต่หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องสองอย่างที่ทำให้ฟ้าดินในนครมังกรเฒ่าของพวกเราพลิกคว่ำ เรื่องหนึ่งเจ้าต้องคิดได้ ส่วนอีกเรื่องหนึ่งเจ้าไม่มีทางเดาถูกแน่นอน”
บทที่ 362.2 ที่แท้ก็ไม่ค่อยสงบ
เฉินผิงอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “บุตรสาวสายตรงสกุลเจียงแต่งให้กับฝูหนันหัวคือเรื่องหนึ่งในนั้น ข้อนี้ข้าเดาได้”
ฟ่านเอ้อร์พยักหน้ารับ “สินเดิมที่สตรีผู้นั้นนำมายิ่งใหญ่อลังการเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดได้ถึง หมัวมัวที่ช่วยอบรมสั่งสอนนางคือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดในตำนาน ติดตามนางเข้ามาอยู่ในตระกูลฝูด้วย นอกจากนี้ในสินเดิมยังมี…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ฟ่านเอ้อร์ก็ถอนหายใจ จิบเหล้าอีกหนึ่งอึก “เจียวน้อยตัวหนึ่งที่แอบติดตามมาจากใต้ทะเลลึกของคฤหาสน์สกุลเจียงจนมาถึงนอกนครมังกรเฒ่า แม้ว่าเพิ่งจะมีตบะเป็นขอบเขตโอสถทอง เพียงแต่เผ่าพันธุ์ที่เหลือทิ้งไว้จากยุคบรรพกาลเช่นนี้ ตามกฎแล้วโอสถทองสามารถนำมาใช้เทียบกับก่อกำเนิดได้”
เฉินผิงอันกล่าว “เมื่อเป็นเช่นนี้ตระกูลฝูก็มีรากฐานที่แน่นหนาลึกล้ำที่สุดในนครมังกรเฒ่าแล้ว อย่างน้อยด้านพลังอำนาจก็มากพอ”
เพียงแต่ไม่นานเฉินผิงอันก็ขมวดคิ้ว “แต่ต่อให้มีสินเดิมของสกุลเจียงอวิ๋นหลินมาช่วยเป็นกำลังเสริม อีกทั้งยังมีตระกูลฟ่านของพวกเจ้าเป็นพันธมิตร ตระกูลฝูคิดจะฮุบกลืนทั้งนครมังกรเฒ่าเอาไว้ ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายก็ยังมหาศาลอยู่ดีไม่ใช่หรือ ซุน โหว ฟาง ติงสี่แซ่ใหญ่ย่อมต้องถูกบีบให้ปรองดองเป็นพวกเดียวกัน หากเปิดศึกกันขึ้นมา ศึกของเซียนดินบนภูเขาอย่างพวกโอสถทอง พวกก่อกำเนิดนี้ อย่าว่าแต่จะทำลายพื้นที่ในนครมังกรเฒ่าไปมากน้อยแค่ไหนเลย ตระกูลฝูเองก็ต้องเข้าเนื้อมากเหมือนกัน”
ฟ่านเอ้อร์ยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่กระบี่ถูกชัก ธนูถูกง้าว แต่กลับไม่มีใครที่มี ‘ความชอบธรรม’ มากพอให้ลงมือนี้ จึงได้เกิดเรื่องไม่คาดฝันเรื่องหนึ่งขึ้นมา”
เฉินผิงอันถาม “เรื่องอะไร?”
ฟ่านเอ้อร์เกาหัว “เกี่ยวกับร้านยาฮุยเฉิน แล้วก็เกี่ยวกับอาจารย์เจิ้ง ดังนั้นจึงเกี่ยวกับตระกูลฟ่านเราด้วย”
เฉินผิงอันเงียบฟังคำพูดต่อไปของอีกฝ่าย
คราวนี้ฟ่านเอ้อร์แหงนหน้ากระดกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ แล้วจึงเช็ดปาก พูดเบาๆ ว่า “เจ้าจากไปได้ไม่นานเท่าไหร่ แม่นางคนหนึ่งในร้านก็ถูกลูกหลานสายตรงคนหนึ่งของตระกูลฟางย่ำยี แล้วก็ตาย”
เฉินผิงอันเงียบงัน
ฟ่านเอ้อร์เอ่ยเนิบช้า “พอได้ยินข่าว ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ดูแลผังตระกูลในศาลบรรพชนของตระกูลฟ่านก็รีบไปบอกเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้อาจารย์เจิ้งฟังทันที แม้แต่พ่อของข้าก็ยังมารอฟังข่าวจากร้านยาฮุยเฉินอยู่ที่ศาลบรรพชน ตอนนั้นผู้อาวุโสคนนั้นกลับมาที่ศาลบรรพชนด้วยสีหน้าผ่อนคลาย บอกว่าดูเหมือนอาจารย์เจิ้งจะไม่ได้เก็บไปใส่ใจสักเท่าไหร่ พ่อข้าก็เลยเชื่อ ทว่าแม่ใหญ่ของข้าได้เตือนพ่อข้าเป็นการส่วนตัวว่า เรื่องราวไม่ได้ง่ายดายขนาดนี้ ให้พ่อข้าระวังไว้ให้มาก ให้ช่วยอาจารย์เจิ้งสืบหาเบาะแส ดูสิว่ามีคนก่อกวนอยู่เบื้องหลังเพราะคิดจะเล่นงานตระกูลฟ่านหรืออาจารย์เจิ้งหรือไม่ หากเป็นอย่างแรกแสดงว่าต้องมีการเตรียมการมานานแล้ว แต่หากเป็นอย่างหลังก็ยิ่งไม่อาจนิ่งดูดาย ทว่าพ่อข้าไม่อยากทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ บอกว่าตอนนี้สี่แซ่ใหญ่นอกเหนือจากตระกูลฝูต่างก็เริ่มจับมือเป็นพันธนมิตรกันแล้ว หากตระกูลฟ่านออกหน้าในเวลานี้ก็ง่ายที่จะถูกมองว่าเป็นทหารแนวหน้าของตระกูลฝู ไม่แน่ว่าอาจถูกสี่แซ่ใหญ่มองเป็นศัตรู หรืออาจถึงขั้นเห็นพวกเราเป็นมะพลับนิ่มรังแกง่าย ดังนั้นจะวู่วามไม่ได้เด็ดขาด ข้าไปพูดกับพ่อข้ามารอบหนึ่ง แต่จากนั้นก็ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในศาลบรรพชนหนึ่งเดือนเต็ม ดินถุงนั้นที่อยู่ใต้เตียงไม่เคยมีโอกาสได้เอาออกมาลอง คราวนี้ข้าเลยลองชิมดู เจ้าโกหกจริงๆ ด้วย จะเอาดินมากินแทนข้าวได้อย่างไร”
เฉินผิงอันเห็นว่าฟ่านเอ้อร์จะดื่มเหล้าอีกก็ยื่นมือไปแย่งน้ำเต้าบรรจุเหล้ามา “เจ้าดื่มไปหลายคำแล้ว ประโยคเหลวไหลอย่างยืมเหล้าดับทุกข์นั้น เจ้าอย่าไปเชื่อ”
ฟ่านเอ้อร์พยักหน้ารับ ยื่นมือมาขยี้ข้างแก้มตัวเอง “ข้าอยากจะหนีออกจากศาลบรรพชนอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนถูกขวางไว้ พอหนึ่งเดือนผ่านไป ได้ยินว่าไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากร้านยาฮุยเฉิน ข้าจะเชื่อได้อย่างไร จึงไปที่ร้านยาด้วยตัวเองหนึ่งรอบ ตอนนั้นอาจารย์เจิ้งกำลังนั่งสูบยาอยู่หน้าประตู เห็นข้าก็ยังทักทายยิ้มแย้มเป็นปกติ ตอนนั้นข้าเองก็อึ้งงันไปเหมือนกัน หลังจากพยายามพูดถึงเรื่องนั้นกับอาจารย์เจิ้งแบบอ้อมๆ เห็นว่าอาจารย์เจิ้งคล้ายจะไม่เก็บ ‘เรื่องเล็ก’ นั่นมาใส่ใจจริงๆ ตอนที่จากมา อันที่จริงข้าโมโหอยู่บ้าง”
ฟ่านเอ้อร์พูดอย่างน่าสงสาร “ข้ารู้ว่าในสายตาของคนมากมาย ต่อให้เป็นในสายตาของท่านพ่อที่น่าเคารพของข้า นั่นก็คือเรื่องเล็กเรื่องหนึ่ง เรื่องเล็กอย่างจริงแท้แน่นอน ก็นครมังกรเฒ่านี่นะ มีปัญหาใดบ้างที่เงินแก้ไขไม่ได้? ถึงขั้นที่ว่าข้ายังหาข้อตำหนิจากเหตุผลมากมายที่ทุกคนมอบให้ไม่ได้ แต่ลึกๆ ในใจข้ากลับไม่คิดว่านั่นเป็นเรื่องเล็ก”
เฉินผิงอันกล่าว “ฟ่านเอ้อร์ เจ้าคิดถูกแล้ว เดิมทีนั่นก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก”
ฟ่านเอ้อร์อดกลั้นมานานขนาดนี้ ในที่สุดก็มีคนบอกกับเขาว่านั่นไม่ใช่เรื่องเล็กเสียที
คนหนุ่มที่เคยมีสายตาใสกระจ่างแวววาวตอนอยู่ในร้านยาฮุยเฉินจนเฉินผิงอันอิจฉา เวลานี้พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนักๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะเค้นรอยยิ้มส่งให้เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันดึงน้ำเต้าบรรจุเหล้าคืนมา แต่กลับไม่ได้ดื่มเหล้า ในความเป็นจริงแล้วหลังจากที่เหยียบขึ้นเรือข้ามฟากบนยอดเขาเทียนแจว๋ เขาก็ดื่มเหล้าน้อยครั้ง มีเพียงแค่บางครั้งที่จะดื่มจอกเล็กๆ กับเว่ยเซี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยงบ้าง
เขาถาม “หลังจากนั้นล่ะ?”
รอยยิ้มของฟ่านเอ้อร์กดลึกมากขึ้นอีกนิด “ภายหลังอาจารย์เจิ้งก็ไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ มีผู้ถ่ายทอดมรรคาเช่นนี้คือเกียรติสูงสุดในชีวิตนี้ของข้าฟ่านเอ้อร์!”
แต่แล้วสีหน้าของฟ่านเอ้อร์ก็หม่นหมองลง “เพียงแต่ว่าหลังจากที่อาจารย์เจิ้งไปเอาเรื่องตระกูลฟาง ข้าก็ถูกกักบริเวณอยู่ในตระกูล ไม่ได้ออกจากประตูใหญ่แม้แต่ก้าวเดียว ได้แต่ประติดประต่อข่าวต่างๆ มาทำความเข้าใจการกระทำของอาจารย์เจิ้ง”
ดวงตาของฟ่านเอ้อร์เป็นประกายขึ้นมาอีกครั้ง “ได้ยินคนเล่าว่า หลังจากที่อาจารย์เจิ้งเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้ว วันย่างเข้าฤดูร้อนของเมื่อปีก่อน เขาไปเยือนหน้าจวนของตระกูลฟางกลางวันแสกๆ! ใช้หมัดเดียวต่อยให้ประตูใหญ่พังทลายแล้วเดินดุ่มเข้าไปข้างใน พูดแค่ประโยคเดียวว่า ‘ต่ำกว่าโอสถทอง ไสหัวไปให้ไกล’ ตอนแรกตระกูลฟางก็เดือดดาลอย่างหนัก ผู้ฝึกตนข้ารับใช้ขอบเขตประตูมังกรสองคนโผล่หน้ามาก่อนใคร แต่กลับถูกอาจารย์เจิ้งปล่อยสองหมัดต่อยจนล้มคว่ำหมดสติไปทันที จากนั้นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดคนหนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์จวนอยู่พอดีก็ก้าวยาวๆ ออกมา บอกว่าจะขอความรู้จากเขาสักหน่อย อาจารย์เจิ้งปล่อยหนึ่งหมัด เขาก็ตายคาที่! หลังจากนั้นคนของตระกูลฟางที่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องต่างๆ ก็ลากเจ้าตัวการผู้นั้นออกมา บอกว่าขอแค่เว้นชีวิตเขา อย่างอื่นล้วนปล่อยให้อาจารย์เจิ้งจัดการได้ตามสบาย จะตัดมือหรือตัดเท้า ตระกูลฟางล้วนไม่ห้ามปราม ตอนนั้นข้างกายของคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจของตระกูลฟางยังมีผู้ฝึกกระบี่เฒ่าโอสถทองคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย เขาก็คือเสาค้ำมหาสมุทรสำหรับตระกูลฟาง อาจารย์เจิ้งของข้าผู้นั้นไม่แม้แต่จะชายตามองคนไกล่เกลี่ยของตระกูลฟางและเจ้าสารเลวน้อยผู้นั้นเลย เขาแค่กระดิกนิ้วเรียกผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง สุดท้าย…ก็ยังต่อยให้เขาล้มคว่ำด้วยหมัดเดียว!”
ฟ่านเอ้อร์ยื่นมือออกมา “เอาเหล้ามา!”
น้ำเสียงฮึกเหิมยิ่ง
เฉินผิงอันจึงได้แต่ยื่นน้ำเต้าบรรจุเหล้าไปให้
ฟ่านเอ้อร์ดื่มเหล้าอึกใหญ่ “ตระกูลฟางไม่มีก่อกำเนิดเฝ้าพิทักษ์ ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าโอสถทองผู้นั้นไม่ยอมแพ้ จึงเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา แต่กลับถูกอาจารย์เจิ้งต่อยจนแหลกละเอียด! ทว่าที่น่าแปลกก็คือ อาจารย์เจิ้งไม่ได้สังหารเจ้าสารเลวน้อยผู้นั้นให้ตายคาที่ เขาแค่ทิ้งประโยคหนึ่งไว้แล้วก็จากมา จากนั้นก็ตรงไปที่ตระกูลฝู บอกว่าต้องการให้ฝูตงไห่ออกมารับหมัดเขาหนึ่งครั้ง จนกระทั่งนาทีนั้น คนของนครมังกรเฒ่าถึงได้เข้าใจว่าฝูตงไห่บุตรชายของฝูฉีเป็นคนตั้งใจจัดฉากอุบัติเหตุครั้งนี้ขึ้น เมื่อเทียบกับเจ้าสารเลวที่กระทำการหยาบช้าผู้นั้น ฝูตงไห่ย่อมสมควรตายมากกว่า ทว่าความกล้าหาญของเขามีมากกว่าตระกูลฟางมากนัก เขาบอกให้คนเปิดประตูใหญ่ออกจริงๆ แล้วก็ออกมารับหมัดหนึ่งจากเจิ้งต้าเฟิง แต่น่าเสียดายที่อาศัยหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณชิ้นหนึ่งที่สืบทอดจากบรรพบุรุษจึงรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ได้ สุดท้ายหมัวมัวเฒ่าแปลกหน้าคนหนึ่งก็มาช่วยเอาเขากลับเข้าไป”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “น่าจะเป็นหมัวมัวผู้อบรมสั่งสอนของสกุลเจียงอวิ๋นหลินคนนั้น”
การกระทำนี้ของฝูตงไห่ ยิงธนูดอกเดียวได้เหยี่ยวสองตัว ทั้งสามารถยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างเจิ้งต้าเฟิงกับตระกูลฟ่าน แล้วก็หวังว่าจะผลักตระกูลฟ่านออกไป บีบให้ตระกูลฟ่านเป็นฝ่ายเปิดฉากต่อสู้กับสี่สกุลใหญ่ที่ปรองดองเป็นพันธมิตรก่อน
เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรฝูตงไห่ก็คงคิดไม่ถึงว่า ข้างกายของเจิ้งต้าเฟิงจะมีเทพหยินแซ่จ้าวที่ออกมาจาก ‘ศาลเล็ก’ ของหยางเหล่าโถวในถ้ำสวรรค์หลีจูซึ่งเชี่ยวชาญด้านการจับดวงวิญญาณมาสอบสวน และอำพรางตัวเพื่อคอยสืบความลับต่างๆ จึงสามารถช่วยเจิ้งต้าเฟิงสืบสาวราวเรื่องจนไปเจอผู้บงการเบื้องหลังที่ซ่อนตัวอย่างลึกล้ำเช่นเขา
ฟ่านเอ้อร์เสียใจเล็กน้อย ไม่ดื่มเหล้าอีก เพียงแต่ประคองน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้ พูดเสียงเบาว่า “ตอนนั้นตระกูลฝูเป็นดั่งดวงตะวันกลางนภาของนครมังกรเฒ่า แรกเริ่มก็เป็นเจ้าประมุขฝูฉีที่ซื้ออาวุธกึ่งเซียนชิ้นใหม่จากทวีปอื่นมาเพิ่ม จากนั้นก็แต่งบุตรสาวสายตรงสกุลเจียงอวิ๋นหลินเข้ามาในตระกูล ต่อให้ตระกูลฝูไม่ต้องการรักษาเกียรติยศหน้าตา ยินดีปล่อยให้เรื่องเงียบไปเอง แต่สกุลเจียงหรือจะยอมให้บุตรสาวสายตรงที่เพิ่งแต่งออกไปกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งทวีป? ดังนั้นหญิงชราก่อกำเนิดผู้นั้นจึงปรากฏตัว ช่วยฝูตงไห่ที่ร่อแร่ใกล้ตายเอาไว้ เพียงแต่ว่าไม่ได้ลงมือด้วยตัวเอง นางแค่พูดกับอาจารย์เจิ้งว่ามีปัญญาก็ต่อสู้กับบุรุษตระกูลฝูให้ครบ แล้วค่อยมาประมือกับนาง”
ฟ่านเอ้อร์เอนหลังพิงผนังรถม้า สอดสองมือรองไว้ท้ายทอย “เรื่องราวต่อจากนั้นพ่อข้าเป็นคนเล่าให้ฟัง ขอบเขตก่อกำเนิดของหญิงชราสกุลเจียงผู้นั้นเปี่ยมล้นสมบูรณ์อย่างยิ่ง เกรงว่าห่างจากห้าขอบเขตบนอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น ต่อให้เป็นฝูฉีเจ้านครที่ในมือครอบครองอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง หากต่อสู้กับนาง ก็ยังมีความเป็นไปได้มากว่าจะได้แค่สูสีเท่านั้น”
เขามองเฉินผิงอัน “ตอนแรกข้าเข้าใจว่าอาจารย์เจิ้งคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ด ภายหลังรู้สึกว่าไม่แน่อาจเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปด แต่พอหลังจากศึกนั้นถึงได้รู้ว่าเขาคือปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตเก้าปลายทาง เพียงไม่นานตระกูลฝูก็ต้องเชิญตัวฉู่หยางแห่งหอมังกรออกมา เขาก็คือผู้ฝึกตนที่ถูกขนานนามว่าเป็นโอสถทองอันดับหนึ่งในนครมังกรเฒ่า เมื่อเทียบกับผู้ฝึกกระบี่เฒ่าโอสถทองของตระกูลฟางแล้วยังเชี่ยวชาญการเข่นฆ่าสังหารมากกว่า ว่ากันว่าตอนที่อยู่นอกประตูตระกูลฝู ในที่สุดอาจารย์เจิ้งก็ไม่อาจต่อยคู่ต่อสู้ให้ล้มด้วยหมัดเดียวได้อีกต่อไป”
ฟ่านเอ้อร์ยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง ชูสามนิ้ว “หนึ่งหมัดต่อยให้ฉู่หยางล่าถอย สองหมัดต่อยให้ฉู่หยางบาดเจ็บสาหัส คิดไม่ถึงว่าฉู่หยางผู้นั้นกลับโชคดีหลังโชคร้าย เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดได้อย่างราบรื่น แต่ก็ยังล้มคว่ำหลังจากอาจารย์เจิ้งปล่อยหมัดที่สามไปอยู่ดี!”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก
กรอบตาของฟ่านเอ้อร์พลันเปียกชื้น “คืนนั้นตระกูลฟ่านของพวกเราก็ทะเลาะกัน ผู้อาวุโสหลายคนในตระกูลเถียงกันไปเถียงกันมาก็ล้วนเป็นสี่คำว่า ‘เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว’ ต่อให้ในใจของบิดาข้าจะเสียใจภายหลังแค่ไหน แต่ก็ยังรู้สึกว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้ส่งของขวัญไปขอขมาอาจารย์เจิ้งก็ยังไม่อาจแก้ไขอะไรได้อยู่ดี คนที่อยู่ในศาลบรรพชนต่างก็พากันเกลี้ยกล่อมบิดาข้าว่าไม่สู้ตัดสินใจพึ่งพาตระกูลฝูไปเลย ในเมื่อตระกูลฝูมีอำนาจมากขนาดนี้ก็ควรผลักเรือไปตามน้ำ ขอแค่ทำลายพันธมิตรของสี่แซ่ใหญ่ที่เหลือลงได้ ต่อให้พลังต้นกำเนิดของตระกูลฟ่านจะเสียหายอย่างหนัก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเป็นร้อยปีเพื่อพักฟื้น แซ่ใหญ่อันดับสองของนครมังกรเฒ่าก็จะกลายเป็นของที่อยู่ในกระเป๋าพวกเราแล้ว ท่านแม่ใหญ่และท่านแม่แท้ๆ ของข้า รวมไปถึงฟ่านจวิ้นเม่าพี่สาวของข้าต่างก็ไม่มีคุณสมบัติจะเข้าไปในศาลบรรพชนได้ ไม่ว่าข้าฟ่านเอ้อร์พูดอะไรก็ล้วนไม่มีประโยชน์ เห็นว่าข้าบ่นไม่หยุด ท่านพ่อคงจะโมโหมากจริงๆ จึงถามข้าว่าสรุปใครเป็นประมุขของตระกูลกันแน่ แล้วข้ายังจะพูดอะไรได้อีก?”
เฉินผิงอันถาม “สุดท้ายศาลบรรพบุรุษตระกูลฟ่านของพวกเจ้าได้ข้อสรุปว่าอย่างไร? ทำใจดำไม่สนใจเจิ้งต้าเฟิงที่รนหาที่ตาย หันไปสวามิภักดิ์กับตระกูลฝูที่ลอบเล่นงานพวกเจ้า จากนั้นก็ไปหาเรื่องสี่สกุลใหญ่?”
สายตาของฟ่านเอ้อร์เลื่อนลอย “เดิมทีควรเป็นเช่นนี้ แต่ภายหลังกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีก พ่อข้าบอกกล่าวกับทุกคนว่าให้มาหารือกันใหม่ ไม่มีใครรู้ต้นสายปลายเหตุ ข้าไปถามแม่ใหญ่กับท่านแม่ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่รู้ความคิดของพ่อข้า”
บทที่ 362.3 ที่แท้ก็ไม่ค่อยสงบ
ฟ่านเอ้อร์พูดต่อ “หลังจากต่อยสามหมัดให้ฉู่หยางพ่ายแพ้ไป ฝ่ายหลังก็กลับไปรักษาตัวที่แท่นมังกร ไม่ได้คิดจะต่อสู้โรมรันกับอาจารย์เจิ้งต่อ ทว่าภายใต้สายตาของคนตระกูลฝูมากมายที่จับจ้องมองมา เสียหน้าใหญ่ขนาดนี้ มีหรือจะยอมเลิกราง่ายๆ ดังนั้นตามหลังฝูตงไห่และฉู่หยางผู้ถวายงานอันดับหนึ่งแล้วจึงมีคนที่สามเดินออกมา เขาก็คือฝูหยางบรรพจารย์ก่อกำเนิดที่ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนตกทอดชิ้นหนึ่งจากบรรพบุรุษตระกูลฝู เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นที่หน้าประตูจวนตระกูลฝู อีกทั้งอาวุธกึ่งเซียนก็เผยตัวบนโลก ผู้ฝึกลมปราณตระกูลฝูจึงร่วมมือกันอำพรางสนามรบนี้เอาไว้ รู้แค่ว่าตอนที่อาจารย์เจิ้งเดินออกมา บนตัวเขาเต็มไปด้วยคราบเลือด เขาเดินอยู่บนถนนใหญ่เพียงลำพัง ยกมือขึ้นชูนิ้วก้อยนิ้วหนึ่งให้กับตระกูลฝูที่อยู่ด้านหลัง”
ฟ่านเอ้อร์พูดเสียงเบา “และวันนั้นเอง ตระกูลซุนทรยศคำสัญญาละทิ้งคุณธรรม วางอาวุธสวามิภักดิ์ต่อศัตรู ประกาศพึ่งพาตระกูลฝู ตระกูลฟางที่ไม่เป็นโล้เป็นพายร่วมมือกับตระกูลโหว เลือกให้ตระกูลติงเป็นผู้นำ และแกนหลักของตระกูลติงก็เห็นได้ชัดว่าคือลูกหลานสายตรงของสำนักใบถงผู้นั้น และในความเป็นจริงแล้ว เพียงไม่นานก็มีเรือลำหนึ่งจากสำนักใบถงมาจอดเทียบท่า คนที่มามีไม่มาก ลงจากเรือมาแค่สองคน ทว่าหลังจากนั้นมา พันธมิตรสามตระกูลที่มีตระกูลติงเป็นผู้นำกลับมีความมั่นใจมากกว่าตอนที่ยังมีตระกูลซุนอยู่ด้วยเสียอีก”
สำนักใบถง
คือตระกูลอันดับหนึ่งบนภูเขาของใบถงทวีป
สำนักใบถงและสำนักกุยหยกของเจียงซ่างเจินหนึ่งตั้งอยู่เหนือหนึ่งตั้งอยู่ใต้สองปลายฝั่งของใบถงทวีป ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสำนักใบถงเหนือกว่าอยู่หนึ่งระดับ
ตามคำบอกของเจียงซ่างเจิน ตอนนั้นคนทั้งสามไล่ล่าปีศาจใหญ่จากสำนักฝูจีไป หากไม่เป็นเพราะกระบี่นั้นของจั่วโยว ย่อมต้องเป็นหนึ่งในบุรพาจารย์ของสำนักใบถงที่อาศัยสมบัติพิทักษ์ภูเขามาปลิดชีพของปีศาจใหญ่ตนนี้
สำหรับเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในนครมังกรเฒ่า ในใจเฉินผิงอันพอจะมีเส้นสายเค้าโครงอยู่คร่าวๆ แล้ว
‘การลงมืออย่างไร้เหตุผล’ ซึ่งใครก็คาดคิดไม่ถึงของเจิ้งต้าเฟิงครั้งนั้น ดั่งการกระตุกผมเส้นเดียวสั่นสะเทือนทั้งร่าง เป็นการเพิ่มความเร็วให้กับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ใหญ่ในนครมังกรเฒ่า
เป็นเหตุให้แซ่ใหญ่ต่างๆ หากพูดให้น่าฟังสักหน่อย ก็เรียกว่าโผล่พ้นผิวน้ำ แต่พูดให้ไม่น่าฟังก็เรียกว่าเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาหมด
เจิ้งต้าเฟิง เป็นศัตรูกับคนทั้งเมือง
เพียงเพื่อเด็กสาวคนหนึ่งที่ทำงานเบ็ดเตล็ดในร้านยา
เฉินผิงอันดื่มเหล้าอึกสุดท้าย
ฟ่านเอ้อร์ยิ้มขื่น “ตระกูลฝูย่อมไม่มีทางยอมเลิกราเพียงเท่านี้ ฝูฉีเจ้าประมุขตระกูลออกหน้าด้วยตัวเอง ไปพูดคุยตกลงกับอาจารย์เจิ้งเรื่องนัดหมายครึ่งปี ซึ่งก็คือต้นฤดูหนาวของปีนี้ ทั้งสองฝ่ายจะประมือกันที่แท่นมังกร เพียงแต่ว่าก่อนที่ศึกใหญ่จะเกิดขึ้น ลูกหลานสำนักใบถงที่เก็บตัวอยู่ในตระกูลฟางได้ไปเยือนร้านยาฮุยเฉินด้วยตัวเองมารอบหนึ่ง เรื่องราวภายในเป็นอย่างไร คนนอกไม่อาจรู้ได้ ไม่ว่าความตั้งใจเดิมของเขาจะเป็นต้องการหาพวกหรือต้องการข่มขู่ สรุปก็คืออาจารย์เจิ้งเปิดศึกต่อสู้กับคนผู้นั้นไปหนึ่งรอบบนถนนนอกร้านยาฮุยเฉินนั่นเอง บางคนบอกว่าอาจารย์เจิ้งหนึ่งคนต่อสู้กับศัตรูสามคน บางคนบอกว่าเป็นการเข่นฆ่ากันตัวต่อตัว สรุปก็คือได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นฝูฉีจึงป่าวประกาศแก่ร้านยาฮุยเฉินว่าจะยืดระยะเวลาของศึกใหญ่ออกไปถึงปลายปี ศึกที่แท่นมังกรต้องเป็นศึกยุติธรรม จะสู้จนกระทั่งรู้เป็นรู้ตาย! นี่ก็เหลืออีกแค่ไม่กี่วันแล้ว…”
ฟ่านเอ้อร์นั่งกอดเขา พูดไม่ออกอีกแม้แต่คำเดียว
เลิกผ้าม่านมองด้านนอก ใกล้จะเข้าประตูใหญ่เมืองฝั่งนอกของนครมังกรเฒ่าแล้ว
เฉินผิงอันรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เรียบร้อยก็พูดกับฟ่านเอ้อร์ว่า “ข้ารู้สถานการณ์คร่าวๆ แล้ว ปล่อยพวกเราลงเถอะ เวลานี้ข้าไปที่ตระกูลฟ่านของพวกเจ้าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง”
ฟ่านเอ้อร์อับอายจนพานเป็นความโกรธ เตรียมจะปฏิเสธ เฉินผิงอันกลับพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “อย่าโง่เลยน่า กินดินอิ่มแทนข้าว เรื่องโง่ๆ แบบนี้ทำแค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว ไม่มีใครเขาเป็นเพื่อนอย่างเจ้าหรอก สุดท้ายกลายเป็นเจ้าอกตัญญู ข้าไร้คุณธรรม ไม่น่าเบื่อหรือไร”
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือออกมาตบอกตัวเองเบาๆ “ฟ่านเอ้อร์ยังเป็นลูกศิษย์ของเจิ้งต้าเฟิงหรือไม่ อยู่ที่ตรงนี้ ฟ่านเอ้อร์ยังใช่เพื่อนของเฉินผิงอันหรือไม่ ก็อยู่ที่ตรงนี้”
ไม่รอให้ฟ่านเอ้อร์พูดอะไร เฉินผิงอันก็ค้อมตัวเลิกผ้าม่านขึ้นแล้ว “หยุดรถ”
ฟ่านเอ้อร์กำลังจะลุกขึ้นยืน เฉินผิงอันกลับค้อมเอวเดินออกไปแล้ว ก่อนจะปล่อยผ้าม่านลง เขาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องมาส่ง ทำราวกับว่าจะส่งข้าเดินทางไปไหนอย่างนั้นแหละ ข้าจะไปนั่งที่ร้านยาฮุยเฉินสักพัก ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด ใต้หล้าวุ่นวายขนาดนี้ ไม่ว่าที่ใดก็ล้วนไม่สงบสุข ข้าเฉินผิงอันคอยจัดการดูแลทุกอย่างไม่ได้หรอก ก็แค่อยากพบหน้าเจิ้งต้าเฟิงสักครั้ง ใครใช้ให้เจ้าพร่ำพูดถึงแต่อาจารย์เจิ้งที่ ‘ต่อยคนล้มคว่ำด้วยหมัดเดียว’ เล่า”
ฟ่านเอ้อร์ถลึงตาใส่ “อย่าลืมเครื่องปั้นชิ้นนั้นล่ะ แล้วยังมีสัญญาที่ว่าจะไปดื่มเหล้าด้วยกันอย่างจริงจังอีก…”
เฉินผิงอันกระโดดลงจากรถม้าไปแล้ว
ฟ่านเอ้อร์นอนเหม่ออยู่ในห้องโดยสารรถม้า
ดื่มเหล้า ได้พบกับสหายที่ดีที่สุด ทว่าอารมณ์ของฟ่านเอ้อร์กลับยังไม่เบิกบาน
เฉินผิงอันลงจากรถม้า เผยเฉียนและอีกสี่คนจึงได้แต่ตามลงมาด้วย
หลังจากมองส่งรถม้าของตระกูลฟ่านเข้าเมืองไปก่อนแล้ว เผยเฉียนก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เกิดอะไรขึ้น เจ้าหมอนั่นไม่เต็มใจจ่ายเงิน ไม่ยินดีให้พวกเราไปกินฟรีอยู่ฟรีกับเขาอย่างนั้นหรือ? แต่เขาดูไม่เหมือนคนแบบนั้นเลยนะ”
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พูดเหลวไหลอะไรน่ะ พวกเราไปหาคนอีกคนหนึ่งก่อน”
จ่ายเงินค่าเข้าประตูเมืองชั้นนอกแล้ว หากคิดจะเข้าไปยังเมืองชั้นในยังต้องจ่ายเงินอีก
เงินก้อนนี้ ถึงอย่างไรร้านยาฮุยเฉินก็น่าจะช่วยออกให้กระมัง?
เฉินผิงอันรู้ทางไปร้านยาฮุยเฉิน อีกทั้งเขาก็เป็นคนความจำดี เพียงแต่นครมังกรเฒ่าใหญ่มากเกินไป รอจนเฉินผิงอันเดินไปถึงตรอกและหัวเลี้ยวถนนของร้านยาฮุยเฉินก็เป็นเวลาเกือบย่ำค่ำแล้ว
พาคนห้าคนด้านหลังเข้าไปในตรอกเล็กเส้นนั้นก็มองเห็นชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมนั่งอยู่บนม้านั่งเล็กหน้าประตูร้านยา กำลังสูบยาสูบเลียนแบบอาจารย์ของเขา
เจิ้งต้าเฟิงสำลัก ไอโขลกๆ ก่อนจะจุ๊ปากพูดด้วยรอยยิ้ม “แขกที่หาได้ยากๆ”
เฉินผิงอันเห็นชายฉกรรจ์ที่ยังคงเอ้อระเหยลอยชายอยู่เหมือนเดิมแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงชำเลืองตามองไปยังร้านยาที่ไม่มีเสียงหัวเราะพูดคุยของสตรีอีกต่อไป แล้วนั่งแปะลงบนธรณีประตู ถามว่า “ร้านยารับสมัครคนหรือไม่?”
เจิ้งต้าเฟิงพูดเสียงขุ่น “ไม่มีเงินจ้างคนแล้ว”
เฉินผิงอันพูดพึมพำกับตัวเอง “ให้ข้ายืมเงินสี่สิบเหรียญฝนธัญพืช ข้าก็จะเป็นลูกจ้างร้านยาให้เจ้า ให้ข้ายืม ไม่ได้ยกให้เลย”
เจิ้งต้าเฟิงมองเฉินผิงอันด้วยสีหน้าเหมือนมองคนโง่ “ทำไม ขอบเขตเพิ่มขึ้นแล้ว เปลี่ยนรูปโฉมใหม่ก็สามารถใช้เงินฝนธัญพืชเป็นเงินเหรียญทองแดงแล้ว? ไปๆๆ ไสหัวไป ข้าผู้อาวุโสไม่มีอารมณ์จะพูดเล่นกับเจ้า”
เจิ้งตาเฟิงพลันเงยหน้าขึ้นมองสุยโย่วเปียนที่ด้านหลังสะพายกระบี่ชือซิน พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แต่หากแม่นางผู้นี้ยินดีอยู่ต่อที่ร้านของพวกเราก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จะกินจะดื่มหรือจะอยู่นานแค่ไหนก็ตามใจ ส่วนเงินเดือนของทุกเดือน ขอติดไว้ก่อน!”
สุยโย่วเปียนยืนอยู่กลางตรอก สำหรับคำพูดแทะโลมของชายฉกรรจ์สกปรกคนนี้ นางไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย แม้แต่ริ้วคลื่นอารมณ์ใดๆ ก็ล้วนไม่ปรากฏบนใบหน้า
เฉินผิงอันกวักมือเรียกเผยเฉียนแล้วชี้ไปข้างในร้านยา “เราจะพักอยู่ที่นี่ เอาสัมภาระไปเก็บ หาห้องเอาเองเลย”
เผยเฉียนที่ถือไม้เท้าเดินป่าอยู่ในมือร้องอุทานด้วยความยินดี หยิบยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นที่นางชอบที่สุดออกมาจากชายแขนเสื้อ จากนั้นก็แปะลงบนหน้าผากของตัวเองแล้ววิ่งปรู๊ดเข้าไปในร้านยา ก่อนหน้านี้นางเดินอยู่ในนครมังกรเฒ่าจนเหนื่อยแทบตาย อยากจะหยิบยันต์แผ่นนี้ออกมา ‘เพิ่มกำลังภายใน’ ให้ตัวเองนานแล้ว คราวนี้ในที่สุดก็ได้สมใจปรารถนาเสียที
เว่ยเซี่ยนสี่คนทยอยกันเดินข้ามธรณีประตูไปไม่พูดไม่จา
เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างจนใจ “นายท่านใหญ่เฉินของข้า เจ้าไม่รู้สภาพการณ์ของนครมังกรเฒ่าตอนนี้จริงๆ หรือรู้สึกว่าตัวเองพอจะมีความสามารถ เลยมาแสร้งทำตัวเป็นวีรบุรุษที่ร้านโทรมๆ นี้ของข้า?”
เฉินผิงอันหัวเราะ “เจ้าลองเดาดูสิ?”
เจิ้งต้าเฟิงเหมือนได้รู้จักเฉินผิงอันเป็นครั้งแรก จ้องมองอีกฝ่ายอยู่นาน ก่อนจะหันหน้ากลับไปพ่นควันโขมงต่ออีกครั้ง เขาพูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัดว่า “ก็ได้ อยากอยู่ก็อยู่ ท่านผู้อาวุโสลงเดิมพันข้างเจ้าไว้ไม่น้อย คงไม่ปล่อยให้เจ้ารีบตายเร็วขนาดนี้ อย่างมากก็ให้พี่จ้าวจับตามองเจ้าเอาไว้ ถึงอย่างไรทางฝ่ายแท่นมังกรนั่น เหล่าจ้าวก็สอดมือเข้าแทรกไม่ได้”
เทพหยินตนหนึ่งปรากฏตัวในมุมมืดของตรอก พูดกับเฉินผิงอันว่า “อย่ามามีส่วนร่วมด้วย ข้ากับเจิ้งต้าเฟิงอาจจะตายอยู่ที่แท่นมังกรแห่งนั้น”
เฉินผิงอันไม่ได้ให้คำตอบในทันที เขามองใบหน้าด้านข้างของเจิ้งต้าเฟิง ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
เจิ้งตาเฟิงสูบยาสูบ จิ๊ปากพูด “อย่าคิดว่าข้าจะเป็นคนดีสักแค่ไหน ก็แค่เกี่ยวพันกับมหามรรคา ไม่อาจไม่ลงมือก็เท่านั้น ตอนนั้นไม่ว่าอย่างไรข้าก็ฝ่าคอขวดขอบเขตเก้าไปไม่ได้เสียที ผู้พิทักษ์มรรคาผายลมสุนัขเช่นเจ้า อันที่จริงมีแค่คุณความชอบครึ่งหลังเท่านั้น ครึ่งก่อนหน้านั้นคือมาจากหนังสือเล่มหนึ่งของแม่นางคนหนึ่ง ในนั้นมีบท ‘ความจริงใจ’ อยู่ ข้าแอบขโมยมาจากนาง นางจับได้ ข้าก็เลยได้แต่บอกว่าขอยืมก่อนชั่วคราว ภายหลังข้าไม่ทันระวังบีบมันจนแหลกสลาย รอจนในที่สุดก็ฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว ข้าจึงอยากจะซื้อเล่มใหม่คืนให้นาง ตอนนั้นเสียดายเงินแค่สี่สิบกว่าอีแปะ ถ่วงเวลาอยู่หลายวัน หลังจากนั้นก็ไม่มีโอกาสได้คืนให้นางอีก”
สีหน้าของเจิ้งต้าเฟิงอึมครึม ถูกปกคลุมอยู่ภายในควันขโมง “ตอนนั้นก็แค่ติดเงินเจ้าเฉินผิงอันห้าอีแปะ ตอนนี้กลับติดเงินแม่นางน้อยมากขนาดนั้น เจ้าคิดว่าข้าจะนั่งอยู่เฉยๆ ได้หรือไง? ถึงอย่างไรก็ต้องทำอะไรบางอย่าง อีกอย่างหากไม่เป็นเพราะข้า ผ่านไปอีกสองสามปีนางก็สามารถหาคนมาแต่งงานด้วยได้แล้ว แม้ว่าจะยากจนสักหน่อย แต่ก็ดีกว่าไม่มีชีวิต ตายดีไม่สู้มีชีวิตอยู่อย่างขี้เกียจ ข้าเจิ้งต้าเฟิงทำอย่างนี้มาทั้งชีวิต แล้วนับประสาอะไรกับที่นางเองก็ไม่ถือว่า ‘ตายดี’ กว่าเหล่าจ้าวจะช่วยรวบรวมจิตวิญญาณนางมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นังเด็กโง่นั่นไม่ได้เอ่ยอะไร แค่ขอร้องให้ข้าช่วยดูแลพ่อแม่และน้องชายของนางให้ดี ร่ำไห้พูดว่าไม่โทษข้าด้วยนะ”
เทพหยินแซ่จ้าวพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา “นางบอกว่านางชอบเจ้า บอกว่าชีวิตนี้ร่างกายนางมีมลทินแล้วจึงไม่กล้าคิด ชาติหน้าไม่ว่าจะมีโอกาสได้เจอเจ้าเจิ้งต้าเฟิงอีกหรือไม่ นางก็จะยังชอบเจ้า เพียงแต่ต้องใจกล้าสักหน่อย”
เจิ้งต้าเฟิงพลันเงยหน้าขึ้น
พายุลมกรดขุ่นคลั่กแผ่อบอวลไปทั่วทั้งตรอก
เจิ้งต้าเฟิงพูดเสียงหนัก “ไสหัวไป!”
เทพหยินไม่ถือสา เพียงแค่ค่อยๆ หายตัวไปอย่างเชื่องช้า
“รับเอาไว้”
เฉินผิงอันโยนขวดกระเบื้องใบหนึ่งให้เจิ้งต้าเฟิง
เพียงแต่ว่าเจิ้งต้าเฟิงปล่อยให้ขวดกระเบื้องลอยผ่านเบื้องหน้าไปตกลงบนพื้น
เฉินผิงอันลุกขึ้นไปเก็บยานั่งลืมตนขวดนั้นมา ยืนอยู่หน้าเจิ้งต้าเฟิง ยื่นส่งไปให้เขา “นี่คือยาที่เซียนดินก่อกำเนิดของใบถงทวีปใช้บำรุงจิตวิญญาณ มีอยู่หกเม็ด เจ้าเจิ้งต้าเฟิงกินได้กี่เม็ดก็กินไป หากตายอยู่บนแท่นมังกร ข้าจะกลับไปเอาเงินจากหยางเหล่าโถว แต่หากไม่ตาย ก็ถือว่าเจ้าติดค้างข้า”
เจิ้งต้าเฟิงเงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เฉินผิงอัน เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? นี่มันเกี่ยวบ้าอะไรกับเจ้าด้วย?”
เฉินผิงอันยืนค้อมเอวยื่นขวดกระเบื้องใบนั้นส่งให้อีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา “เจ้าคิดว่าเด็กบ้านนอกแห่งตรอกหนีผิงอย่างข้าฝึกวิชาหมัด ฝึกวิชากระบี่อย่างยากลำบาก เผชิญกับความเหนื่อยยากแสนเข็ญมาไม่น้อย เมื่อก่อนเพื่อต่อชีวิต ตอนนี้เจ้าก็พูดเองว่าข้าเปลี่ยนไปแล้ว เจ้าคิดว่าข้าต้องการอะไรล่ะ?”
เจิ้งต้าเฟิงพูดอย่างเฉยเมย “ข้าจะไปรู้กับมารดาเจ้าได้อย่างไรว่าเจ้าคิดอะไรอยู่? คราวก่อนตอนอยู่ร้านยาข้าเจิ้งต้าเฟิงก็เคยพูดกับเจ้าแล้วว่า ข้าไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกับเจ้าเฉินผิงอัน”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า แต่ข้าก็มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่ต่อ”
เฉินผิงอันยังคงยืนค้างอยู่ในท่านั้น ถามว่า “อยากจะฟังแบบสุภาพ หรืออยากจะฟังแบบบ้านนอกหน่อย?”
เจิ้งต้าเฟิงไม่สนใจเขา
เฉินผิงอันพึมพำกับตัวเองว่า “คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก ใช้อะไรดับทุกข์? มีเพียงเหล้าและเงิน ความไม่สงบเล็กๆ น้อยๆ บนโลก จ่ายเงินซื้อเหล้าสามารถดับทุกข์ได้ แต่ความอยุติธรรมใหญ่หลวงในโลกมนุษย์ ข้ายังมีหนึ่งกระบี่กับหนึ่งหมัด”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “นี่คือสิ่งที่เรียนรู้มาจากในตำรา แต่หากพูดตามคำพูดของเด็กบ้านนอกอย่างข้าเฉินผิงอัน ก็คือตอนนี้ข้าผู้อาวุโสไม่สบอารมณ์แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เล่นพวกมันให้ตายไปเลย! หาไม่แล้วข้าผู้อาวุโสจะฝึกกระบี่ฝึกหมัดมาแค่เพื่อเล่นสนุกอย่างเดียวงั้นหรือ?!”
บทที่ 363.1 หวังไว้บนไหล่ของคนอื่น
เจิ้งต้าเฟิงอึ้งงันอยู่นาน คงเป็นเพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเอาคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ไปทับซ้อนรวมเข้ากับเด็กหนุ่มผิวดำเกรียมดุจถ่านที่นั่งอยู่ข้างกายตนบนตอไม้ในความทรงจำได้ สุดท้ายเขาเอามือลูบหน้า หลุดประโยคหนึ่งออกมาว่า “พูดก็พูดไปสิ ไยต้องพ่นน้ำลายเต็มหน้าข้าด้วย?”
แต่สุดท้ายแล้วเจิ้งต้าเฟิงก็ยอมรับยานั่งลืมตนขวดนั้นมา และหากเฉินผิงอันไม่ได้คุยโวโอ้อวดจนเกินไป ถ้าเช่นนั้นยาแค่สองเม็ดก็น่าจะสามารถระงับอาการบาดเจ็บของเขาลงได้ ส่วนจะตัดรากถอนโคนต้นตอของโรคร้ายหรือไม่ น่าจะยังยากมากอยู่ดี เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าต้องกินยาวิเศษกี่เม็ดแล้ว
เผยเฉียนยื่นหัวออกมาจากตรงธรณีประตู ยกไม้เท้าเดินป่าในมือขึ้น พูดอย่างโมโห “เจ้าคนนี้ ทำไมไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่นบ้างนะ หากยังพูดแบบนี้อีก ระวังข้าจะโกรธล่ะ…”
เจิ้งต้าเฟิงรับขวดกระเบื้องใบนั้นมา หันหน้ามาหัวเราะกับนาง “ข้าตกใจเกือบตาย จอมยุทธ์หญิงตัวน้อยที่สุดยอดเลิศล้ำเกินใครจะเปรียบท่านนี้เป็นใครกันหนอ?”
เผยเฉียนกระแอมหนึ่งทีแล้วรีบลุกขึ้นยืนให้ดี ใช้ไม้เท้าเดินป่าเคาะลงบนพื้นหนักๆ “ฟังให้ดีล่ะ ข้าชื่อเผยเฉียน คือองค์หญิงท่านหนึ่งที่ประสบหายนะพลัดพรากมาอยู่ในหมู่ชาวบ้าน เฉินผิงอันเป็น…อาจารย์ของข้า! ข้าคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดสำนักของสำนักพวกเรา!”
คำพูดกวนโอ้ยน่าเตะที่บอกว่าเฉินผิงอันเป็นพ่อนาง เผยเฉียนไม่เคยพูดต่อหน้าเฉินผิงอันมาก่อน
เจิ้งต้าเฟิงกลืนน้ำลาย หันหน้าไปมองเฉินผิงอัน คงเพราะอยากถามว่าเจ้าเฉินผิงอันที่ทึ่มทื่อเป็นตอไม้ ไปหานังหนูแบบนี้มาจากที่ใด?
เฉินผิงอันกล่าว “เข้าห้องไปพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน”
เจิ้งต้าเฟิงพูดอย่างสงสัย “ไม่ใช่ว่าคุยจบแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันโมโหจัดจนกลายเป็นหัวเราะ “ข้ายินดียื่นมือเข้ามาสอดเรื่องนี้ ก็ไม่เท่ากับว่ารนหาที่ตายหรอกหรือ? อีกฝ่ายมีกองกำลังแบบใดบ้าง แต่ละฝั่งมีเซียนดินโอสถทองก่อกำเนิดกี่คน? กองกำลังฝ่ายใดที่นั่งภูดูเสือกัดกัน เซียนดินจากฝ่ายใดจะลงสนามเข่นฆ่า เบื้องหลังของแต่ละคนมีผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนที่คิดจะฉวยโอกาสลงมือหรือไม่ ข้าไม่ควรต้องทำความเข้าใจสักหน่อยหรือ? สภาพภูมิศาสตร์ของนครมังกรเฒ่า รวมไปถึงเส้นบริเวณทางใกล้เคียงแท่นมังกร ข้าไม่ควรต้องรู้ไว้บ้างหรือไร? สามครั้งที่เจ้าประมือกับตระกูลฝู ตระกูลฟางและตระกูลติง ข้าจะไม่อยากฟังบ้างเลยหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงปวดหัวแปลบขึ้นมาทันที ควักขวดกระเบื้องออกมา “เอากลับไปๆ พวกเราไม่ได้เดินบนเส้นทางเดียวกัน เยี่ยวกันคนละไห!”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเจิ้งต้าเฟิง เดินข้ามธรณีประตูเข้าไปโดยตรง
เทพหยินแซ่จ้าวปรากฏตัวอยู่ด้านในร้าน พูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “ข้าสามารถเล่าให้เจ้าฟังอย่างละเอียดได้”
เจิ้งต้าเฟิงทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อยหนึ่งที ถลกขากางเกงขึ้นด้วยความเคยชิน หิ้วม้านั่งกลับเข้าไปในร้านยา เดินตามเฉินผิงอันเข้าไปในเรือนด้านหลัง ในห้องหลักของเจิ้งต้าเฟิง เฉินผิงอันและเทพหยินแซ่จ้าวนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม เผยเฉียนไม่กล้าวางก้นนั่งลงบนตำแหน่งประธานที่อยู่ทิศเหนือหันหน้าเข้าหาทางทิศใต้ จึงเดินไปนั่งบนม้านั่งยาวหันหลังให้กับประตูห้อง ทิ้งตำแหน่งประธานให้เจิ้งต้าเฟิง เฉินผิงอันยังบอกให้เว่ยเซี่ยนหลูป๋ายเซี่ยงสี่คนเอาม้านั่งของตัวเองออกมานั่งฟังในห้องหลักด้วยกัน
ก่อนเจิ้งต้าเฟิงจะนั่งลง ในที่สุดก็พอจะมีท่าทีของเจ้าบ้านอยู่บ้าง เขาคว้าเอาเมล็ดแตงกำมือใหญ่ใส่ในจานเล็กใบหนึ่ง เอามาวางไว้ตรงหน้าเผยเฉียน เผยเฉียนชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ก่อนจะเอ่ยขอบคุณเจิ้งต้าเฟิงอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนัก
จากนั้นเจิ้งต้าเฟิงก็ยกถั่วลิสงโรยเกลือและเนื้อวัวแห้งหมักเต้าเจี้ยวสองจานใหญ่มาให้ตัวเอง
เผยเฉียนมองเมล็ดแตงในจานเล็กของตัวเอง แล้วค่อยหันไปมองเจิ้งต้าเฟิงที่อยู่ตรงข้าม ขนาดจานที่ใช้ก็ยังใหญ่กว่าของนาง แบบนี้เกินไปหน่อยไหม?
เผยเฉียนชูนิ้วโป้ง “วิธีการรับรองแขกของเจ้า ข้านับถือ!”
เจิ้งต้าเฟิงยื่นมือมาทำท่ากดลงเบื้องล่างสองที “จดจำไว้ในใจก็พอ อย่าเอาแต่พร่ำพูด”
เผยเฉียนนั่งขัดสมาธิบนม้านั่ง แทะเมล็ดแตงแรงๆ อย่างใส่อารมณ์
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาวางไว้บนโต๊ะ ถามว่า “ดื่มเหล้าได้ไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงลอกเปลือกถั่วลิสงโรยเกลือออกพลางส่ายหน้าตอบ “แตะเหล้าไม่ได้สักหยด ช่วงนี้ไม่ได้ดื่มแล้ว”
เทพหยินแซ่จ้าวเอ่ยขึ้นเนิบช้า “อีกหกวันให้หลัง อากาศจะหนาวจัด ที่แท่นมังกรของตระกูลฝู เจิ้งต้าเฟิงจะต้องเปิดศึกใหญ่ไม่ตายไม่เลิกรากับฝูฉี ซึ่งก็หมายความว่าสุดท้ายคนที่สามารถรอดชีวิตเดินลงมาจากแท่นมังกรแห่งนั้นได้ มีเพียงคนเดียว หากเจิ้งต้าเฟิงตายก็ง่ายหน่อย พวกเราแค่ขึ้นไปช่วยเก็บศพเขามาก็พอ ไม่มีอันตรายอะไร ในเมื่อตระกูลฝูสังหารผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าคนหนึ่งได้ ก็ถือว่าได้หน้าได้ตามากพอ ย่อมยินดีที่จะทำใจกว้างไม่ถือสาร้านยาฮุยเฉินอีกต่อไป”
เห็นว่าเฉินผิงอันมองมายังตน เทพหยินก็ยิ้มขื่น “แน่นอนว่าข้าไม่อาจมองเจิ้งต้าเฟิงไปตายอยู่บนแท่นมังกรคาตาตัวเองได้ หากเขาตายไป ข้าก็คงไม่มีทางได้เป็นเทพหยินนี่ต่อ ยิ่งไม่ต้องหวังว่าจะปกป้องลูกหลานอะไร ดังนั้นต่อให้ถึงเวลานั้นบนแท่นมังกรจะถูกร่ายตราผนึกไว้เต็มไปหมด ข้าก็ยังมีวิธีที่จะบุกเข้าไป แต่ก็ได้แค่ช่วยให้เจิ้งต้าเฟิงตายช้ากว่าเดิมครู่หนึ่ง หากถึงเวลานั้นเจ้าเฉินผิงอันยังยืนกรานจะลงมือช่วยเหลือ ก็จะกลายเป็นศึกใหญ่ที่วุ่นวายทันที ไม่พูดถึงโอสถทองและก่อกำเนิด เกรงว่าขอแค่เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลาง นอกจากตระกูลฟ่านแล้ว ห้าแซ่ในนครมังกรเฒ่าก็คงพากันยื่นเท้าเข้าเหยียบย่ำ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “นี่คือผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ข้าทราบแล้ว ไหนลองพูดถึงสถานการณ์ที่ดีที่สุดบ้างสิ”
ในใจเทพหยินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย การเดินทางไปกลับภูเขาห้อยหัวในครั้งนี้ ดูเหมือนเฉินผิงอันจะเปลี่ยนไปมาก เพียงแต่เดิมทีรูปลักษณ์ของเทพหยินก็เป็นภาพมายาล่องลอย ใบหน้าคลุมเครืออยู่แล้ว จึงมองเห็นสีหน้าของเขาได้ไม่ชัดเจน เขาพูดต่อไปว่า “หลังจากที่เจิ้งต้าเฟิงใช้สามหมัดต่อยให้ผู้ฝึกตนโอสถทองอันดับหนึ่งในนครมังกรเฒ่าอย่างฉู่หยางล้มลง และยังเปิดศึกใหญ่กับบุรพาจารย์ก่อกำเนิดตระกูลฝูที่ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนหนึ่งชิ้น ตระกูลฝูตั้งรกรากมีกิจการอยู่ในนครมังกรเฒ่ามานานขนาดนี้ จวนของพวกเขาจึงถูกสร้างให้มีลักษณะคล้ายสำนักศึกษา คล้ายอารามเต๋าในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลมานานแล้ว ดังนั้นการต่อสู้ในครั้งนั้นจึงไม่ง่ายเลย”
เจิ้งต้าเฟิงหลุดหัวเราะพรืด “แสร้งอ่อนแอให้ศัตรูเข้าใจผิด คนที่ข้าอยากจะล้มให้ได้มาตั้งแต่ต้นก็คือฝูฉีเจ้านครมังกรเฒ่าผู้นั้น หากไม่เป็นเพราะข้าจงใจระงับขอบเขตเอาไว้ ตาแก่ที่ถือทวนเหล็กผุๆ มาแกว่งส่ายอยู่ตรงหน้าคงถูกข้าคว่ำ แล้วถ่มน้ำลายใส่หน้าเหี่ยวๆ ของเขาไปนานแล้ว”
เฉินผิงอันไม่ค่อยเชื่อในคำพูดของเจิ้งต้าเฟิงนัก เทพหยินพยักหน้ารับรองด้วยรอยยิ้ม “เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้พูดเกินจริงสักเท่าไหร่ ตอนนั้นเขาไม่เต็มใจจะเปิดเผยขอบเขตที่แท้จริงออกมาเร็วเกินไปจริงๆ”
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ นี่ก็สอดคล้องกับลักษณะนิสัยของเจิ้งต้าเฟิงดี
หากเปลี่ยนเป็นหลี่เอ้อร์บิดาหลี่ไหว อาจจะไม่มัวมาอำพรางเก็บซ่อนอยู่เช่นนี้
ในความเป็นจริงแล้วถ้ำสวรรค์หลีจูในปีนั้น นอกจากอาจารย์ฉีกับหยางเหล่าโถว รวมไปถึงหลี่ซีเซิ่งพี่ชายของหลี่เป่าผิง เกรงว่าคงเป็นคนเฝ้าประตูชายโสดขึ้นคานนี้ที่ถึงจะเป็นบุคคลที่มีความรู้มากที่สุด ยิ่งเข้าใจเท่าไหร่ สิ่งที่แสวงหาก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น ปณิธานหมัดของทั้งร่างจึงกลับกลายเป็นว่าไม่บริสุทธิ์อย่างหลี่เอ้อร์ เนื่องจากมากปรารถนา แต่จิตใจคับแคบ ดังนั้นการฝ่าทะลุขอบเขตของเจิ้งต้าเฟิงในเวลานั้นจึงลำบากยากเข็ญ เป็นเหตุให้ต้องมีเฉินผิงอันและบท ‘ความจริงใจ’ มาเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของเขา
เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นก็คือบุตรเขยตระกูลติง ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักใบถงที่พาภรรยากลับบ้านเดิมคนนั้นที่ทำร้ายให้เจิ้งต้าเฟิงต้องบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้? เหตุใดถึงคุยกันไม่รู้เรื่อง กลายเป็นลงไม้ลงมือกันแทน?”
เจิ้งต้าเฟิงสีหน้ามืดทะมึน เพียงแค่ฉีกเนื้อวัวหมักเต้าเจี้ยวชิ้นหนึ่งโยนเข้าปาก
เทพหยินแซ่จ้าวคลี่ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าตัวดีนั่นมีภูมิหลังไม่เล็กเลยจริงๆ พอมาถึงร้านยาฮุยเฉินก็พูดเข้าประเด็นทันที ความหมายคร่าวๆ มีอยู่สองข้อคือ หนึ่งเขาชื่อตู้เหยี่ยน คือหลานสายตรงของบรรพจารย์จงซิ่งแห่งสำนักใบถงผู้นั้น อีกข้อหนึ่งก็คือปีนั้นเขาตู้เหยี่ยนปิดบังสถานะท่องไปทั่วนครมังกรเฒ่า บรรพบุรุษของคนหนุ่มแซ่ฟางผู้นั้น ในอดีตก็คือลูกสมุนที่คอยตามก้นเขาต้อยๆ พอมาถึงรุ่นคนหนุ่มนี้มีบุตรโทนเพียงคนเดียว ดังนั้นจึงหวังว่าเจิ้งต้าเฟิงจะเห็นแก่หน้าของเขา อย่าปล่อยให้ควันธูปของคนอื่นต้องขาดหาย ขอแค่เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้าตอบรับ เขาก็รับรองว่าสำนักใบถงจะยืนอยู่ข้างเดียวกับร้านยาฮุยเฉิน”
เทพหยินชำเลืองตามองเจิ้งต้าเฟิงที่คอยแอบตวัดตามองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบนั้นอยู่ตลอดเวลาแล้วแค่นเสียงหยัน “ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า นึกว่าตัวเองไร้ผู้ใดทัดเทียมแล้ว ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าข้างกายตู้เหยี่ยนมีผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบอยู่คนหนึ่ง ยังไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง ยังกล้าหัวเราะเยาะคนอื่นเขาที่เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนว่าเต็มใจเป็นสุนัขที่เห่าคนไปทั่ว เจิ้งต้าเฟิง ทีนี้เป็นอย่างไร อยากดื่มเหล้าไหมล่ะ? อยากดื่มก็ดื่มสิ ถึงอย่างไรใต้หล้านี้ก็ไม่มีผู้ใดทัดเทียมเจ้าได้อีกแล้ว ก็แค่ฝูฉีที่เป็นก่อกำเนิดขอบเขตสิบขั้นสูงสุด บวกกับอาวุธที่ระดับขั้นอย่างน้อยก็กึ่งเซียน นอกจากนี้ยังได้เปรียบด้านชัยภูมิบนแท่นมังกรเท่านั้น นายท่านใหญ่เจิ้งอย่างเจ้าก็ยังสามารถล้มคว่ำได้ด้วยหมัดเดียวอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงเหลือกตามองบน เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนม้านั่ง ยักไหล่ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าดื่มเหล้าไม่ได้นี่ช่างทรมานซะจริง ประเด็นสำคัญคือเจ้าเด็กเฉินผิงอันผู้นี้ยังไร้คุณธรรมนัก ทั้งๆ ที่ตนก็บอกไปแล้วว่าแตะเหล้าไม่ได้แม้แต่หยดเดียว เจ้าเฉินผิงอันก็ไม่ดื่มเหล้า ถ้าอย่างนั้นก็เอากลับไปผูกเอวซะสิ เจ้ายังจะเปิดจุกน้ำเต้าทิ้งไว้ นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ถามอย่างใคร่รู้ “ฟ่านเอ้อร์แค่เล่าให้ข้าฟังว่าก่อนหน้านี้เจิ้งต้าเฟิงไปเยือนตระกูลฟาง ประโยคที่เขาทิ้งไว้ให้คนหนุ่มผู้นั้น คืออะไร?”
เจิ้งต้าเฟิงโยนเปลือกถั่วลงบนพื้น พูดด้วยสีหน้าเฉยชา “จะทำให้เจ้าหมอนั่นอยู่ไม่สู้ตาย เหล่าจ้าวเป็นวิชาลับนอกรีตบางอย่าง ถึงเวลานั้นเจ้าเด็กนั่นก็มีสุขให้เสพแล้ว”
จนกระทั่งบัดนี้ เฉินผิงอันถึงได้หันหน้ามาพูดกับเว่ยเซี่ยนสี่คนที่อยู่ด้านหลังด้วยรอยยิ้ม “ลืมแนะนำไป คนผู้นี้ชื่อว่าเจิ้งต้าเฟิง เป็นคนบ้านเดียวกับข้า คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า มีหน้าที่เฝ้าประตู ทว่าตอนนั้นข้าเคยทำการค้าที่ได้เงินไม่กี่อีแปะกับเขา แต่ข้ายังเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนที่มีร่วมกับเขา”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกุมหมัดให้คนทั้งสี่ “แค่ขอบเขตเก้าเท่านั้น เป็นที่ขบขันแล้วๆ”
เฉินผิงอันพูดต่อ “กระบี่บินสืออู่ของข้าเล่มนั้น เจ้าของเดิมก็คืออาจารย์ของเขา หลายสิบปีมานี้ดูเหมือนว่าอาจารย์ของเขาจะรับลูกศิษย์แค่สองคน เจิ้งต้าเฟิงขอบเขตเก้า ศิษย์พี่ของเขาเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตสิบได้อย่างราบรื่นไปตลอดทาง แทบไม่ต่างจากเวลาที่พวกเรากินข้าวดื่มน้ำ”
ดวงตาเผยเฉียนเป็นประกายวาบ เส้นทางนี้เหมาะกับตนยิ่งนัก! กินข้าวดื่มน้ำก็เดินไปบนวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสิบอะไรนั่นได้แล้ว ทุกวันตนยังต้องคัดตัวอักษร หากลองแอบดื่มเหล้าเพิ่มสักสองคำจะไม่ยิ่งร้ายกาจเลยหรือ?!
เจิ้งต้าเฟิงยื่นมือมาลูบหน้า พูดอย่างอัดอั้น “ปู่ทวดเจ้าเถอะ…”
คนในม้วนภาพวาดสี่คนที่อยู่ในห้องต่างก็มีความคิดแตกต่างกันออกไป
หลังจากเทพหยินแซ่จ้าวพูดเหน็บแนมเจิ้งต้าเฟิงไปแล้วก็เอ่ยต่อว่า “ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็คือเจิ้งต้าเฟิงชนะฝูฉีที่ได้ครอบครองทั้งฟ้าอำนวยดินอวยพร อันดับต่อมาก็ต้องดูว่าพวกเราจะพาเจิ้งต้าเฟิงที่รอดชีวิตเดินจากแท่นมังกรนอกเมืองมาจนถึงร้านยาฮุยเฉินของเมืองชั้นในแห่งนี้ได้อย่างไร! อันตรายยิ่งนัก คงต้องดูที่บัญชาจากสวรรค์แล้ว แต่เมื่อลองมองย้อนกลับไป การดำรงอยู่ของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน เป็นทั้งความอันตรายอย่างใหญ่หลวง แต่เกียรติยศหน้าตาของชนชั้นสูงที่สั่งสมมาจากตำแหน่ง ‘ต้าจู้’ หลายท่านตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษของสกุลเจียงอวิ๋นหลินก็ถือว่าเป็นโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งของพวกเราด้วย ถึงอย่างไรหากมองภายนอก ถ้าเจิ้งต้าเฟิงโชคดีรอดชีวิตเดินลงมาจากแท่นมังกรได้ ก็คงไม่มีใครกล้าวาดงูเติมหางช่วยออกหน้าลงมือแทนสกุลเจียงอวิ๋นหลินหรือตระกูลฝู แม้แต่ตระกูลฟ่านก็ยังไม่กล้าทำลายสัญญาอย่างโจ่งแจ้ง แต่หากคิดจะลงมือในทางลับก็มีแค่ระหว่างทางจากแท่นมังกรมาถึงร้านยาแห่งนี้เท่านั้น…”
เทพหยินแซ่จ้าวกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า “คนผู้นั้นไม่เต็มใจจะลงมือจริงๆ หรือ?”
ถึงอย่างไรคนผู้นั้นก็คือสาเหตุใหญ่ที่สุดที่ทำให้เขาและเจิ้งต้าเฟิงออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูมาปักหลักอยู่ที่นครมังกรเฒ่า
เจิ้งต้าเฟิงเบ้ปาก “ก่อนข้าจะลงมือ คนผู้นั้นของตระกูลฟ่านก็พูดจาชัดแล้วว่า อย่างมากสุดคือจะไม่ปล่อยให้ตระกูลฟ่านผลักข้าลงหลุม นอกจากนี้จะทำให้ตระกูลฝูไม่สามารถควบคุมทะเลเมฆเหนือนครมังกรเฒ่าได้ ส่วนเรื่องอื่นๆ หากข้าเจิ้งต้าเฟิงยินดีรนหาที่ตาย นางก็จะมองดูข้าตายกับตาตัวเอง”
คำพูดของสตรีชุดเขียวผู้นั้น เจิ้งต้าเฟิงนำมาปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ฟ่านจวิ้นเม่าที่ก่อนหน้านี้มาดื่มเหล้าในร้านก็ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิด สตรีสกุลฟ่านที่โยนกระบี่เล่มหนึ่งออกมาจากทะเลเมฆแล้วทำลายชุดคลุมอาคมชั้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งของผู้ถวายงานก่อกำเนิดสกุลเจียงสำนักกุยหยกไปได้โดยตรง คำพูดเต็มๆ ที่นางพูดกับเจิ้งต้าเฟิงก็คือ ‘ต่อให้ผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังมีสภาพเละเทะไม่อาจทำการใหญ่ได้สำเร็จอยู่เช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะคอยดูเจ้าถูกคนปักตรึงตายอีกครั้งก็แล้วกัน’
เจิ้งต้าเฟิงย่อมไม่พูดประโยคดั้งเดิมให้เฉินผิงอันฟัง เป็นอัปมงคลเกินไป แล้วก็น่าอายเกินไป
อันที่จริงคำพูดประโยคนี้ ตอนนั้นแม้แต่เทพหยินแซ่จ้าวก็ยังไม่ได้ยิน ขอบเขตของฟ่านจวิ้นเม่าไต่ทะยานมาถึงขอบเขตก่อกำเนิดในทุกวันนี้ ช่างแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
ตลอดทั้งนครมังกรเฒ่า เกรงว่านอกจากเจ้าเมืองฝูฉีแล้ว ทุกคนคิดจนหัวแทบแตกก็คงไม่มีทางคิดออกว่าเหตุใดตระกูลฟ่านถึงได้กระทำการในทางที่ตรงข้ามกับผู้อื่น เหตุใดสุดท้ายถึงได้ไม่ยอมพึ่งพาตระกูลฝูแต่โดยดี?
ในตระกูลฟ่าน มีคนพูดจาได้ผลยิ่งกว่าบิดาของฟ่านเอ้อร์ หรือแม้แต่ต่อให้คนทั้งหมดในศาลบรรพชนตระกูลฟ่านตะเบ็งเสียงรวมกันก็ยังไม่ดังพอเท่าคนผู้นั้น ไม่ใช่บุรพาจารย์ผู้เฒ่าก่อกำเนิดที่เก็บตัวอย่างสันโดษ แม้จะเป็นก่อกำเนิดก็จริง แต่ไม่ถือเป็นบุรพาจารย์อะไร นางก็คือพี่สาวพ่อเดียวกันแต่ต่างแม่ของฟ่านเอ้อร์ ฟ่านจวิ้นเม่าหญิงสาวในห้องหอที่ชื่อเสียงไม่โด่งดัง แต่นางกลับไม่ได้ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเจิ้งต้าเฟิง นางพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าครั้งนี้นางแค่จะรอชมเรื่องสนุก ไม่ก้าวเข้ามาในน้ำขุ่นบ่อนี้ ปล่อยให้เจิ้งต้าเฟิงกระโจนเข้าหาความตายด้วยความห้าวเหิมเอง
เจิ้งต้าเฟิงรู้ว่านางไม่ได้ล้อเล่น
จากนั้นเทพหยินแซ่จ้าวก็พูดถึงเซียนดินโอสถทอง ก่อกำเนิดของห้าแซ่ในนครมังกรเฒ่า รวมไปถึงวิชาอภินิหารและสมบัติอาคมคร่าวๆ ของพวกเขา
เมื่อเทียบกับตอนที่ฟ่านเอ้อร์เล่าให้ฟังในรถม้าก็มีคนเพิ่มมาแค่สามคนเท่านั้น อีกทั้งไม่มีก่อกำเนิดคนใดโผล่มากลางคันเพิ่มอีก นี่ถือว่าเป็นข่าวดีที่ไม่เล็กข่าวหนึ่ง
เทพหยินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แผนที่ชัยภูมิของนครมังกรเฒ่าและแท่นมังกร ข้าสามารถหามาให้ได้คืนนี้”
เฉินผิงอันย่อมไม่ปฏิเสธ
เทพหยินชำเลืองมองเจิ้งต้าเฟิง แต่กลับระเบิดเสียงสบถหยาบคายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “แม่งเอ๊ย หากเปลี่ยนมาเป็นปกป้องเฉินผิงอันก็คงดี! ต่อให้มีศึกใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าคอยตามเช็ดก้นทุกเรื่อง ต่อให้เป็นศึกตายก็ยังทำให้คนสู้ได้อย่างสบายใจ ไหนเลยจะต้องคอยคิดหาวิธีมาปะชุนอุดรูโหว่ ต้องคอยอกสั่นขวัญผวาอยู่เช่นนี้?!”
เจิ้งต้าเฟิงเหล่ตามองมา “โอ้โห ลืมภาพที่นอนอาบแดดสุขสบายเป็นเพื่อนข้าผู้อาวุโสทุกวันไปแล้วหรือไง?”
เทพหยินแค่นเสียงหึ
เฉินผิงอันถามอีกรอบ “มีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตหยกดิบหลบอยู่เบื้องหลังหรือไม่ หากมี มีกี่คน?”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มตอบ “แจกันสมบัติทวีปของพวกเรามีขอบเขตหยกดิบเยอะนักหรือ? ไหนเจ้าลองนับนิ้วให้ข้าดูสิ?”
บทที่ 363.2 หวังไว้บนไหล่ของคนอื่น
เจิ้งต้าเฟิงเริ่มกระดกนิ้วขึ้นมานับ “ถ้ำสวรรค์หลีจูของพวกเรา หร่วนฉงถือว่าเป็นคนหนึ่ง สกุลซ่งต้าหลีร้ายกาจขนาดนั้น ตอนนี้เขมือบกลืนพื้นที่เกือบครึ่งของแจกันสมบัติทวีปไปแล้ว แต่ก็ยังอยากจะยกช่างตีเหล็กขึ้นบูชาเป็นพระโพธิสัตว์เต็มทีไม่ใช่หรือ? บรรพบุรุษสกุลเกาต้าสุยคนที่ชอบเป็นนักเล่านิทาน ถือว่าเป็นคนหนึ่ง แต่เมื่อเจอกับหลี่เอ้อร์ศิษย์พี่ของข้าก็ยังไม่กล้าปล่อยหมัดใส่หลี่เอ้อร์ ศาลลมหิมะมีเว่ยจิ้น นั่นคือผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ซึ่งพันปีจะปรากฏสักครั้ง ภูเขาเจินอู่ต้องมีอยู่คนหนึ่งแน่นอน เพียงแต่ว่าไม่เคยยินดีปรากฏตัว เจ้าสำนักโองการเทพเพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตเซียนเหริน ได้รับบรรดาศักดิ์เทียนจวิน แต่เจ้าขุนเขาสำนักศึกษากวานหูกลับไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นห้าขอบเขตบน เจ้าลองนับดู ในหนึ่งทวีปมีขอบเขตหยกดิบแค่กี่คนเอง? แน่นอนว่าเทียนจวินเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีป และเซียนกระบี่เฉาซีแห่งทักษินาตยทวีป สวี่รั่วจอมยุทธ์พเนจรสำนักโม่ คนพวกนี้ไม่นับ เมื่อสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ต่างก็ไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปเรา”
เฉินผิงอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เทียนจวินเซี่ยสือและเซียนกระบี่เฉาซีจะไม่นับได้อย่างไร สองคนนี้ต่างก็เดินออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูของพวกเรา เพียงแต่เป็นบุปผาบานส่งกลิ่นหอมนอกกำแพงเท่านั้น แม้จะไปมีตบะและชื่อเสียงอยู่ในทวีปอื่น แต่รากฐานยังอยู่ในบ้านเกิดของพวกเรา โดยเฉพาะเฉาซีผู้นั้นที่บ้านบรรพบุรุษอยู่ในตรอกเดียวกับบ้านข้า คราวก่อนข้ายังเจอเซียนกระบี่ผู้เฒ่าคนนี้ในตรอกหนีผิงอยู่เลย เฉาซีเป็นคนไร้คุณธรรม แอบเล่นตุกติกกับภาพเทพทวารบาลของบ้านข้า แต่พี่ชายใหญ่ของหลี่เป่าผิงมองเส้นสนกลในออกจึงฉีกทิ้งไปให้”
เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้ตอบโต้ เพียงแต่ฉีกเนื้อวัวแห้งยัดใส่ปากเคี้ยวแรงๆ
คนสี่คนในภาพวาด
พวกเขาที่ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้พยายามทำให้ตัวเองมีสีหน้าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติใกล้จะเกร็งหน้าไม่อยู่แล้ว
‘บ้านเกิด’ ของเฉินผิงอันออกจะพิลึกพิลั่นเกินไปหน่อยหรือเปล่า?
คนเฝ้าประตูคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า? แล้วก็มีศิษย์พี่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบ? ในตรอกหนีผิงอะไรนั่นก็มีเซียนกระบี่ที่ชื่อว่าเฉาซี? ห่างออกไปไกลอีกนิด ก็คือ ‘พื้นที่มังกรผงาด’ ของเทียนจวินลัทธิเต๋า?
เจิ้งต้าเฟิงอยากจะหาเหตุผลให้ตัวเองสักหน่อย จึงกล่าวว่า “แต่แจกันสมบัติทวีปเพิ่งจะมีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบแค่กี่คน? แค่สองคน หลี่เอ้อร์ ซ่งจ่างจิ้ง อันดับต่อมาก็เป็นข้าแล้วใช่ไหม? คนที่สอนวิชาหมัดให้เจ้าก็คงไม่ใช่ขอบเขตสิบเหมือนกันกระมัง?”
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็เลือกจะตอบไปตามตรง “ท่านผู้นั้นที่อยู่ในบ้านข้าก็น่าจะเป็นขอบเขตสิบเหมือนกัน”
เจิ้งต้าเฟิงขยี้หน้าตัวเอง “ตอนนั้นข้าผู้อาวุโสก็เกือบจะเลื่อนจากขอบเขตแปดสู่ขอบเขตสิบโดยตรงแล้วเหมือนกันเถอะ!”
เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เจ้าลองเดินไม่กี่ก้าวแล้วเลื่อนสู่ขอบเขตสิบให้ข้าดูอีกครั้งสิ นั่นจะไม่ยิ่งเป็นเรื่องมหามงคลหรอกหรือ? ข้าก็ไม่ต้องไปที่แท่นมังกร แต่ทำกับข้าวเลี้ยงฉลองโต๊ะใหญ่รอเจ้าเจิ้งต้าเฟิงอยู่ในร้านยาฮุยเฉิน ดีหรือไม่?”
เจิ้งต้าเฟิงสะอึกอึ้ง
หากเลื่อนสู่ขอบเขตสิบง่ายขนาดนั้น เหตุใดหลี่เอ้อร์ต้องออกจากถ้ำสวรรค์หลีจู
ความต่างระหว่างขอบเขตเก้าและสิบของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวค่อนข้างคล้ายคลึงกับความต่างระหว่างขอบเขตสิบสองกับขอบเขตสิบสามของผู้ฝึกกระบี่
ส่วนวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสิบเอ็ดและผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ในตำนานนั้น แค่ลองคิดจินตนาการอย่างเดียวก็พอ
ธรณีประตูสองแห่งนี้ เมื่อเทียบกับร่องปราการธรรมชาติสองเส้นระหว่างขอบเขตห้าและหก กับขอบเขตสิบและสิบเอ็ดของผู้ฝึกลมปราณทั่วไปก็ยิ่งยากจะจินตนาการได้มากกว่า
ขนาดเจิ้งต้าเฟิงที่คิดว่าจิตใจตัวเองสูงส่งยิ่งกว่าฟ้าก็ยังไม่กล้าเพ้อฝันถึงขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ที่เลื่อนลอยไร้ความหวัง
ทางหัวขาด เหตุใดถึงเรียกว่าหัวขาด?
อยู่กับหยางเหล่าโถว ‘เสินจวิน’ แห่งถ้ำสวรรค์หลีจูที่ไม่ว่าอริยะรุ่นใดล้วนต้องมาเยี่ยมเยือนทักทายมานานหลายปีขนาดนี้ เจิ้งต้าเฟิงก็พอจะรู้เรื่องราวภายในบางอย่าง
เทพหยินแซ่จ้าวอารมณ์ผ่อนคลายอย่างถึงที่สุด ยังคงต้องเป็นเฉินผิงอันที่เป็นผู้ถ่ายทอดมหามรรคาของเจิ้งต้าเฟิงที่ถึงจะทำให้เจิ้งต้าเฟิงลำบากใจได้
เฉินผิงอันมองไปทางเทพหยินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ถามว่า “ตามคำบอกของท่านผู้อาวุโส ร้านยาฮุยเฉินแห่งนี้มีความลี้ลับ?”
เทพหยินพูดด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน เสินจวินบอกให้ข้าเลือกที่แห่งนี้เป็นสถานที่ลงหลักปักฐาน หาใช่สถานที่ธรรมดาที่เจิ้งต้าเฟิงขอมาจากตระกูลฟ่านไม่ หากเปิดใช้ค่ายกล ข้าที่อยู่ที่นี่สามารถใช้ตบะขอบเขตหยกดิบได้”
เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจ “แต่นั่นก็เป็นวิธีชั้นล่างที่ต้องสูญเสียบุญกุศลในโลกมืดที่สะสมไว้เพื่อแลกมาด้วยตบะที่เพิ่มขึ้น ประคับประคองตนได้ไม่นาน”
เทพหยินสีหน้าเป็นปกติ “คิดจริงๆ หรือว่าข้าติดตามเจ้ามาอยู่ที่นครมังกรเฒ่าแห่งนี้ ทุกวันเอาแต่อาบแดด ชมจันทร์ รอให้วันใดมีเทพธิดาทะยานลมผ่านเหนือศีรษะไปจริงๆ ขอแค่ผ่านหนึ่งเดือนนี้ไปได้ บางทีสถานการณ์อาจมีการเปลี่ยนแปลง”
“เข้าใจแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็มาเริ่มคำนวณศักยภาพของทางฝั่งพวกเรากันบ้าง”
เจิ้งต้าเฟิงกินถั่วลิสงโรยเกลือพลางกล่าวว่า “เจ้าหมายถึงใครบ้าง? ก็ไม่ได้อยู่ในห้องนี้ทั้งหมดแล้วหรือ?”
เผยเฉียนชี้ไปที่ตัวเอง ยิ้มพูดอย่างอารมณ์ดี “ข้าก็นับด้วยหรือ? แต่ข้ายังอยู่ห่างจากเวทกระบี่ล้ำโลกอีกหนึ่ง ‘พรุ่งนี้’ นะ”
เด็กหญิงที่ผิวดำเกรียมราวกับถ่านรู้สึกลำบากใจอย่างที่หาได้อย่าง
เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “จอมยุทธ์หญิงน้อยเผย อันที่จริงเจ้าต่างหากที่เป็นเสาคาน เป็นหัวใจหลักของพวกเรา จะดูถูกตัวเองไม่ได้!”
เผยเฉียนยิ้มรับอย่างชอบใจ ยื่นมือไปผลักจานที่ว่างเปล่า “เอาเมล็ดแตงมาเพิ่มอีก”
เจิ้งต้าเฟิงลุกขึ้นเดินไปหยิบเมล็ดแตงกำใหญ่จากห้องด้านข้างมาใส่ในจานใบเล็กเบื้องหน้าเผยเฉียนจริงๆ เนื่องด้วยจานใบไม่ใหญ่ จึงทำให้ปริมาณของเมล็ดแตงกำนั้นเปี่ยมล้นมากพอ ดูแล้วจริงใจยิ่ง
เผยเฉียนมองเจ้าหมอนี่แล้วรู้สึกถูกชะตามากขึ้นอีกนิด
ในที่สุดเฉินผิงอันก็ดื่มเหล้าคำแรก พอวางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงแล้ว กระบี่บินสืออู่ก็พุ่งออกมา จากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบแผ่นหยกวัตถุจื่อชื่อที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้ออกมา ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คนของนครมังกรเฒ่าหลายคนรู้สึกว่ามีเงินก็ร้ายกาจมากแล้วไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ข้ามีเงินเหลือไม่เท่าไหร่แล้ว แต่อย่างน้อยข้าก็มีทรัพย์สินที่เก็บสะสมเอาไว้ ชุดคลุมอาคมบนร่างตัวนี้มีชื่อว่าจินหลี่ คือของตกทอดจากเซียนบรรพกาลท่านหนึ่ง เจิ้งต้าเฟิง เจ้าสวมได้หรือไม่? และยังมีเชือกพันธนาการปีศาจที่ทำมาจากหนวดเจียวหลงเฒ่าขอบเขตก่อกำเนิดในร่องเจียวหลง เจ้าใช้ได้หรือไม่?”
เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า “รอจนเจ้าเลื่อนสู่ขอบเขตสามหลอมดวงจิตของวิถีวรยุทธ์ก็จะรู้เองว่าวัตถุนอกกายของตระกูลเซียนเหล่านี้มีแต่จะยิ่งรัดมือรัดเท้า เจ้าสวมไว้สามารถรักษาชีวิตได้ แต่ข้าสวมไว้ มีแต่จะยิ่งเร่งให้ตายเร็วขึ้น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ หยิบยันต์ปึกใหญ่ที่วาดเสร็จเรียบร้อยแล้วออกมา “ยันต์ปราณหยางส่องไฟน่าจะเอามาใช้ไม่ได้ ในเมื่อแท่นมังกรถูกตระกูลฝูสร้างให้เป็นดั่งถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่มีโอกาสได้ใช้ยันต์ทำลายคาถาอำพรางตา และยังมียันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจ…ยันต์ตัดโซ่ สร้างขึ้นเพื่อพวกเจียวหลงโดยเฉพาะ ส่วนยันต์สยบกระบี่แผ่นนี้ที่เพื่อนข้าเขียนด้วยมือของตัวเอง มีระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด แม้แต่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดก็ยังสยบไว้ได้ครู่หนึ่ง…”
เพียงแค่เฉินผิงอันหยิบเอายันต์ปึกนั้นออกมา เทพหยินแซ่จ้าวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็รู้สึกกดดันบีบคั้นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว โดยเฉพาะยันต์สยบกระบี่ที่เขียนลงบนกระดาษสีเขียวแผ่นนั้น ถึงแม้จะบอกว่าเอาไว้ใช้เล่นงานผู้ฝึกกระบี่เซียนดินโดยเฉพาะ แต่ก็ยังทำให้มันรู้สึกเสียวสันหลังวาบอยู่ดี
เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างตื่นตะลึง “เฉินผิงอัน คราวนี้เจ้าเดินทางไปภูเขาห้อยหัว วันๆ มัวแต่ยุ่งอยู่กับการปล้นทรัพย์หรือไร?”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเจิ้งต้าเฟิง ยังคงหยิบของชิ้นแล้วชิ้นเล่าออกมา และหยิบขวดกระเบื้องออกมาสามขวดติด “โอสถทองที่ยังไม่สุกงอมเต็มที่ของปีศาจลำคลองหมายเหอแห่งใบถงทวีปตนหนึ่ง โอสถทองก่อกำเนิดของเจียวเฒ่าแห่งร่องเจียวหลง และยังมี…โอสถทองของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองอีกหนึ่งเม็ด!”
เจิ้งต้าเฟิงหันหน้าไปมองเทพหยินแซ่จ้าว ชี้ไปยังขวดกระเบื้องใบใหญ่สูงครึ่งแขนใบสุดท้ายนั้น “เจ้าเชื่อไหม?”
เทพหยินแซ่จ้าวส่ายหน้า แต่แล้วก็ผงกศีรษะ “หากเป็นคนอื่น ข้าคงไม่เชื่อ แต่หากเป็นเฉินผิงอัน ข้าก็เชื่อ…ครึ่งหนึ่งแล้วกัน”
เฉินผิงอันถาม “มีของสิ่งใดที่สามารถเอามาใช้ในยามฉุกเฉินเช่นนี้ได้บ้าง?”
เจิ้งต้าเฟิงพูดประโยคหนึ่งว่า “ขอข้าสงบสติอารมณ์ก่อน” จากนั้นก็จมสู่ภวังค์ความคิด
เทพหยินแซ่จ้าวถาม “หากรู้ว่าเจ้ามีทรัพย์สินเยอะอย่างนี้ตั้งแต่แรก ก็ไม่ควรให้เจ้าเฉินผิงอันเข้ามาในห้องนี้แล้ว เพื่ออะไรกัน?”
เทพหยินพูดซ้ำอีกรอบ “เพื่ออะไรกัน?!”
สีหน้าของเฉินผิงอันสงบนิ่ง “เจ้าสามารถมองมันเป็นการค้าครั้งใหญ่ที่ข้าทำกับเสินจวินหยางในร้านยาที่หากไม่แพ้หมดตัว ก็ต้องได้กำไรจนอิ่มท้องเกือบแตก”
เทพหยินเพียงแค่ส่ายหน้าไม่พูดไม่จา เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดนี้ของเขา
เฉินผิงอันหันหน้าไปพูดถามความเห็น “พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เว่ยเซี่ยนเอ่ยอย่างเฉยเมย “ช่วยไม่ได้ ยังจะทำอย่างไรได้อีกเล่า”
สุยโย่วเปียนวางกระบี่พาดไว้บนหัวเข่า สายตาฉายประกายเจิดจ้า “นอกจากยานั่งลืมตนของตำหนักพยัคฆ์เขียวหนึ่งเม็ดแล้ว ข้ายังต้องการยามังกรเพลิงและยาโปรยพิรุณอีกคู่หนึ่งด้วย”
จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “สังหารพวกเทพเซียนบนภูเขา สาแก่ใจเสียจริง”
“หากคำพูดของข้ามีน้ำหนัก แน่นอนว่าข้าหวังให้ออกไปจากนครมังกรเฒ่าโดยทันที เพียงแต่ว่าในเมื่อตอนนี้ตัดสินใจอยู่ต่อแล้ว”
หลูป๋ายเซี่ยงคือคนที่เป็นการเป็นงานที่สุด “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอยามังกรเพลิงและยาโปรยพิรุณสองเม็ด หลังจากได้แผนที่ของนครมังกรเฒ่ามาแล้ว ข้าสามารถช่วยวางแผนเส้นทางอย่างละเอียดได้”
เฉินผิงอันกุมหมัดให้คนทั้งสี่ “ขอบคุณมาก!”
แล้วจึงหันหน้ามาถามเจิ้งต้าเฟิง “นอกจากกินยาลงไปแล้ว เจ้าคิดว่าในระยะเวลาสั้นๆ นี้ขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของพวกเขาสี่คนจะยังเพิ่มขึ้นอีกได้ไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ “ขอบเขตเจ็ดโอสถทองหนึ่งคน ขอบเขตหกขั้นสูงสุดสามคน แต่ละคนต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวตามความหมายที่แท้จริง ขนาดข้ายังไม่รู้ว่าเจ้าไปสมัครรวมคนพวกนี้มาจากไหน เรื่องที่จะทำให้ขอบเขตโอสถทองมั่นคงนั้นไม่ยาก แต่อีกสามคนที่เหลือ หากคิดจะฝ่าทะลุขอบเขตภายในเวลาไม่กี่วันนี้ นับว่ายากมาก แต่มาลองคิดดูแล้ว ต้องสามารถยกระดับขอบเขตหกขั้นสูงสุดให้เพิ่มขึ้นไปอีกขั้นได้แน่นอน ขอแค่ครั้งนี้พวกเขามีชีวิตรอดไปได้ สำหรับการฝึกตนบนวิถีวรยุทธ์ในวันหน้าก็จะได้รับผลประโยชน์มหาศาล ถึงอย่างไรยอดเขาสูงสุดก็เป็นแค่คำว่า ‘ไร้ตำหนิ’ เท่านั้น ยังห่างจากการช่วงชิงคำว่าแข็งแกร่งที่สุดมาครอบครองอีกไกลโขนัก สองวันนี้ข้าสามารถป้อนหมัดให้พวกเขาสี่คน ปณิธานหมัดของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าของข้านี้ พวกเขากินเข้าท้องไปได้มากน้อยแค่ไหนก็อยู่ที่ความสามารถของพวกเขาเองแล้ว”
คนในภาพวาดทั้งสี่สีหน้าไร้อารมณ์
เจิ้งต้าเฟิงเลิกคิ้ว ผู้ติดตามสี่คนข้างกายเฉินผิงอันวางท่าใหญ่โตไม่เบาเลยจริงๆ
แต่ว่าลักษณะพลังและความห้าวหาญของคนทั้งสี่ก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวล้วนมีวิธีที่บริสุทธ์เต็มตัวในแบบของใครของมัน
เว่ยเซี่ยนคือหมื่นศัตรูมิอาจต้านในสนามรบ เมื่อตกอยู่ในวงล้อมของศัตรู สี่ด้านแปดทิศมีแต่เกราะเหล็ก ก็แค่ต้องทะลวงขบวนทัพออกมาเท่านั้น
หลูป๋ายเซี่ยงคือผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำ นอกจากวิถีวรยุทธ์แล้ว พิณ หมากล้อม อักษร ภาพวาด ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าของพื้นที่มงคลดอกบัว
สุยโย่วเปียนแสวงหาจุดสูงสุดของวิถีกระบี่ เพื่อจะสร้างวีรกรรมบินทะยานที่ไม่เคยมีมานานเป็นพันปีในประวัติศาสตร์
เบื้องใต้โฉมหน้าที่ยิ้มแย้มอารมณ์ดีเป็นนิจของจูเหลี่ยนซุกซ่อนคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ที่แท้จริงคนหนึ่งเอาไว้ ผู้ฝึกยุทธ์ในใต้หล้าอย่างพวกเจ้าจะมารวมกันมากเท่าไหร่ ก็ยังมิอาจต้านทานสองหมัดของข้าจูเหลี่ยนได้
เจิ้งต้าเฟิงจึงรู้สึกรอคอยการป้อนหมัดของตนหลังจากนี้อยู่มาก
สีหน้าของเฉินผิงอันเคร่งเครียดขึ้นมา เขาถามว่า “ข้าอยากจะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่ง ตอนนี้ที่ร้านยาฮุยเฉินหาคนซื้อวัตถุดิบให้ได้ไหม? อีกทั้งยังต้องรับประกันด้วยว่าจะไม่เล่นตุกติกกับวัตถุวิเศษที่หามา หากหลอมสำเร็จก็เท่ากับว่าข้าจะมีชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชีวิต”
เทพหยินแซ่จ้าวหันหน้าไปมองเจิ้งต้าเฟิง
เจิ้งต้าเฟิงครุ่นคิด “ข้าต้องถามคนคนหนึ่งก่อน หากนางยอมอนุญาตก็หาให้ได้”
เจิ้งต้าเฟิงพลันถามด้วยรอยยิ้ม “ข้าเชื่อนาง เจ้าเชื่อข้าไหม?”
เฉินผิงอันตอบกลับมาหนึ่งประโยค “ข้าเชื่ออาจารย์ของเจ้า”
เจิ้งต้าเฟิงสะอึกอึ้งไปอีกครั้ง
เทพหยินลุกขึ้นยืน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไปหาภาพแผนที่มาสักหลายๆ แผ่นหน่อย”
เฉินผิงอันหันหน้าไปพูดกับเผยเฉียน “เจ้านอนห้องเดียวกับสุยโย่วเปียน จูเหลี่ยนสามคนเบียดกันหน่อย ข้าสามารถปูผ้านอนบนพื้นของร้านยาด้านหน้าได้ แต่หากสามารถรวบรวมวัตถุดิบได้ครบถ้วนแล้ว…”
ไม่รอให้เฉินผิงอันเอ่ยจบ เผยเฉียนก็เอ่ยขึ้นอย่างองอาจว่า “ถ้าอย่างนั้นข้ากับพี่หญิงเทพเซียนจะไปปูผ้านอนบนพื้นเอง!”
พวกสุ่ยโย่วเปียนสี่คนไม่มีความเห็นต่าง
ในขณะที่ศึกใหญ่กำลังจะเปิดฉาก เรื่องหยุมหยิมเหล่านี้สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่เรื่องเล็กที่ไม่สลักสำคัญใดๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น