ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 361-363

ตอนที่ 361 ท่านปู่ ข้าชอบกินแต่เนื้อ

 

“เราไม่ได้ทำเพื่อซื้อใจตระกูลตู๋กู”


 


 


จีเฉวียนทรงทราบดีว่าในสายตาของคนตระกูลตู๋กูนั้นพระองค์เองทรงเป็นคนที่เจ้าแผนการมาแต่ไหนแต่ไร


 


 


ไม่เพียงแต่ตู๋กูถิงที่คิดเช่นนี้ คนทั่วทั้งแผ่นดินต่างก็คิดเช่นนี้


 


 


ก่อนหน้านี้พระองค์มิได้ใส่พระทัย แต่ว่าตอนนี้ถึงแม้ว่าจะเปิดเผยความในใจออกไปแล้ว ก็ยังคงถูกเข้าใจผิดเช่นนี้อยู่ดี


 


 


ราวกับว่าคนทั่วทั้งใต้หล้าต่างไม่เคยเชื่อถือพระองค์


 


 


“เฮอะ….” ตู๋กูถิงหัวเราะออกมาเบาๆ “ฝ่าบาท พระองค์ยังทรงเป็นคนหนุ่มแน่น กระหม่อมนั้นเคยเห็นกลอุบายในโลกนี้มามากแล้ว พบหน้าก็รักจากแล้วก็จบ หากว่าฝ่าบาทจะทรงอาศัยเพียงแค่คำพูดว่าโปรดเพียงคำเดียวก็สามารถขอหลานสาวของกระหม่อมไป พระองค์ก็ทรงมองเรื่องนี้อย่างง่ายดายเกินไปแล้ว”


 


 


“ยังไม่ต้องพูดถึงว่าดวงใจของบ้านเรามิได้ยอมรับพระองค์ด้วยซ้ำ หากถอยออกมาคุยกัน ต่อให้นางยอมรับพระองค์ ด้วยสถานะของพระองค์และนางจะบอกกล่าวกับผู้คนใต้หล้าว่าอย่างไร?”


 


 


“พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ ต่อให้ทรงกระทำเรื่องที่ผิดต่อฟ้าดินเพียงไร ผู้คนก็ยังไม่บังอาจถือโทษกับฝ่าบาทได้ พวกเขาได้แต่พากันมาลงที่ดวงใจของกระหม่อม ด่าว่านางไม่รักษาขนบธรรมเนียม ล่อลวงคนแก่ไปแล้วยังไม่พอ ยังจะมาคว้าเอาคนหนุ่มไปอีก”


 


 


“พระองค์ก็ทรงทราบดี คำพูดของคนเรานั้นแสนน่ากลัว ในโลกนี้ใช่จะมีแต่เพียงมีดดาบที่ฆ่าคนได้ คำพูดของคนก็เช่นเดียวกัน พระองค์จะทรงให้นางที่เป็นเพียงเด็กสาวตัวน้อย ไปเผชิญกับคลื่นลมที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้อย่างไร?”


 


 


“เพียงแค่คำว่าชอบเพียงคำเดียวของฝ่าบาท? นางก็ต้องเสียสละมากมายถึงเพียงนั้น แถมยังไม่อาจรับประกันได้ว่าความโปรดปรานของพระองค์นั้นจะจริงจัง จะทรงเปลี่ยนพระทัยในภายหลังหรือไม่?”


 


 


“มนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนที่สุด ยามรักนั้นก็บอกว่าจริง ยามไม่รักก็บอกว่าจริงเช่นกัน ผู้ใดก็ไม่อาจบอกได้ว่าจะผิดหรือถูก”


 


 


“กระหม่อมมีหลานสาวเพียงแค่คนเดียว ตอนที่ตามใจปล่อยให้นางอภิเษกกับอดีตฮ่องเต้ ที่จริงก็เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของกระหม่อมแล้ว แล้วนี่ยังจะให้ปล่อยนางเข้าไปในตาข่ายความรักของฝ่าบาทอีก? กระหม่อมมิได้โง่เขลาถึงเพียงนั้น?”


 


 


ตู๋กูถิงจะอย่างไรก็เป็นคนที่ผ่านประสบการณ์มามาก มองเห็นอะไรอย่างทะลุปรุโปร่ง


 


 


ทุกคำพูดที่เขากล่าวออกไป ล้วนแล้วแต่เป็นการไตร่ตรองเพื่อหลานสาวสุดที่รักทั้งนั้น


 


 


“ในเมื่อฝ่าบาททรงเปิดพระทัยรับสั่งกับกระหม่อม เช่นนั้นกระหม่อมก็ขอกราบทูลกับฝ่าบาทอย่างชัดเจน”


 


 


ตู๋กูถิงนั่งลง ซดน้ำในขนมหวานกลั้วคอคำหนึ่ง “ตัวกระหม่อมตู๋กูถิงมีสตรีที่รักที่สุดในชีวิต ก็คือฮูหยินที่จากไปแล้ว สตรีที่ห่วงใยที่สุด ก็คือหลันหลัน ตอนนั้นที่นางต้องการจะแต่งให้อดีตฮ่องเต้ เป็นการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดของนางเอง กระหม่อมรั้งไม่อยู่ ก็ได้แต่ต้องปล่อยตามใจนาง”


 


 


“ไม่ใช่เพราะว่าตระกูลตู๋กูของกระหม่อมต้องการจะเกี่ยวข้องกับราชวงศ์จึงได้ให้นางแต่งเข้าไปอย่างเด็ดขาด”


 


 


“ต่อมาพอเกิดเรื่องที่ใครก็ไม่คาดคิดเช่นนั้นขึ้นมา ก็ถือว่าเป็นการตัดจบปัญหาไปประการหนึ่ง เพื่อหลันหลัน อ๋องเช่นกระหม่อมสามารถสละกองทัพครึ่งหนึ่งออกไป หรือต่อให้เป็นทั้งหมดของตระกูลตู๋กูหากฝ่าบาทมีพระประสงค์ก็ล้วนสามารถนำไปได้ทั้งหมด”


 


 


“กระหม่อมเพียงของให้ฝ่าบาททรงเข้าพระทัยให้ชัดเจน หลันหลันคือคนที่ตระกูลตู๋กูของเราโอบอุ้มเอาไว้ด้วยความรักถนอมอย่างที่สุด หากนางประสงค์สิ่งใดต่อให้พวกเราต้องสละชีวิตลงไปก็ต้องทำให้นางสมปรารถนาให้จงได้ ยกเว้นเสียแต่ความโปรดปรานของฝ่าบาทเท่านั้น”


 


 


จีเฉวียนมิได้ขัดขวางคำพูดของตู๋กูถิง


 


 


สำหรับพระองค์แล้ว ซิงซิงสามารถมีผู้อาวุโสที่รักใคร่นางถึงเพียงนี้ พระองค์ก็ทรงปลาบปลื้มพระทัยอย่างยิ่งแล้ว


 


 


นางสมควรจะเกิดมาเพื่อเป็นบุคคลที่ถูกทนุถนอมเอาไว้ในมืออยู่แล้ว


 


 


มีคนรักนางเพิ่มขึ้นอีกคน พระองค์ย่อมมีแต่จะดีพระทัย


 


 


เพียงแต่ว่าพระองค์มิได้ทรงเห็นด้วยกับตู๋กูถิง “สิ่งที่ท่านผู้เฒ่ากังวลใจ เราเองก็เคยคิดดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ขอเพียงถึงวันที่นางยินยอมพยักหน้ารับเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเราจะจัดการจนเรียบร้อยเอง”


 


 


“ใต้หล้านี้จะไม่มีผู้ใดตำหนินางได้แม้แต่ครึ่งคำ”


 


 


หากจะด่าว่า…….ก็ให้พุ่งมาที่พระองค์เพียงผู้เดียว


 


 


เป็นมหาราชก็ดี ทรราชก็ช่าง เพื่อนางแล้วพระองค์ไม่สนพระทัยว่าจะต้องเป็นคนเช่นไรทั้งนั้น


 


 


“ฝ่าบาท คำพูดสวยหรูมิว่าผู้ใดก็ล้วนสามารถกล่าวออกมาได้ จริงอยู่ที่ไม่อาจปฏิเสธว่าที่ทรงตรัสออกมานั้นช่างน่าดึงดูดใจผู้คน เพียงแต่นั่นก็เป็นแค่เพียงคำพูดลอยๆเท่านั้น”


 


 


“เมื่อเป็นเช่นนี้ขอทรงอนุญาตให้กระหม่อมทูลถามอย่างอุกอาจ แคว้นเหยียน ทรงต้องการให้กระหม่อมนำมาถวายพระองค์ใช่หรือไม่?”


 


 


จีเฉวียนนิ่งเงียบไป ฮ่องเต้ชราของแคว้นเหยียนพระพลานามัยย่ำแย่จนจะไม่ไหวอยู่แล้ว รัชทายาทของแคว้นเหยียนก็เสียพระเพลาไปตอนที่อยู่ในแคว้นเซอปี่ซือ


 


 


เหยียนเฉียวหลัวพระธิดาที่ทรงโปรดปรานมากที่สุดก็ตายไปแล้ว องค์ชายเจ็ดของแคว้นเหยียนก็เป็นคนที่จิตใจทะเยอทะยาน


 


 


ตอนนี้ทั่วทั้งแคว้นเหยียนตกอยู่ในความวุ่นวายอย่างที่สุด


 


 


สามารถกล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะโจมตีแคว้นเหยียน


 


 


แต่ว่าอูฐที่ผ่ายผอมจะอย่างไรก็ยังใหญ่กว่าม้า แคว้นเหยียนถือเป็นอันดับหนึ่งในสามแคว้นใหญ่ หากคิดว่าจะได้มาอย่างง่ายๆนั้นคงไม่มีทาง


 


 


จีเฉวียนทรงต้องการแม่ทัพออกศึก และตระกูลตู๋กูก็คือตัวเลือกที่ดีที่สุด


 


 


หากว่าตอนนี้ตู๋กูถิงนำทัพตระกูลตู๋กูออกไป คาดว่าไม่ถึงหนึ่งปี ก็สามารถกำราบแคว้นเหยียนเอาไว้ได้


 


 


แต่หากพระองค์ทรงส่งแม่ทัพท่านอื่นออกไปก็คงไม่แน่นัก


 


 


ดังนั้นเมื่อตู๋กูถิงทูลถามคำถามนี้ออกมา จีเฉวียนก็ทรงถึงกับตรัสตอบไม่ถูกไปชั่วขณะ


 


 


ตู๋กูซิงหลันแทะขาหมูจนหมดจานไปแล้ว ตอนนี้ถึงกับตักขนมหวานตรงหน้าขึ้นมาซด จากนั้นก็ค่อยเหลือบตามองดูจีเฉวียนอยู่ตลอดเวลา


 


 


งานนี้พ่อลูกชายฮ่องเต้ได้เจอกับคู่ปรับแล้วจริงๆ ถูกดักคอเสียจนยากลำบากเข้าแล้ว


 


 


ขนมหวานถ้วยนี้ นางขอยกถ้วยให้กับท่านผู้เฒ่า เพื่อเป็นการแสดงความเคารพที่สามารถเผชิญหน้ากับจีเฉวียนได้อย่างตรงไปตรงมา ช่างสมกับเป็นวีรบุรุษจริงๆ


 


 


“ฝ่าบาทมิทรงตรัสอะไรแสดงว่าทรงยอมรับสินะ” ตู๋กูถิงกะเอาไว้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ “เห็นไหมเล่า คำพูดที่ออกจากปาก กับการกระทำนั้น มันเป็นคนละเรื่องกัน ดังนั้นที่ฝ่าบาททรงรับสั่งออกมานั้น ต่อไปก็ทรงอย่าได้พูดถึงมันอีกเลยจะดีกว่า”


 


 


 “ฝ่าบาทไม่จำเป็นจะต้องเสียพละกำลังไปกับหลันหลัน พวกเราตระกูลตู๋กูก็ยินดีที่จะบุกตะวันออกกวาดทิศเหนือให้กับฝ่าบาทอยู่แล้ว”


 


 


ตู๋กูถิงพูดจบแล้ว ก็ยกถ้วยขนมหวานขึ้นดื่มจนหมดถ้วย ด้วยกริยาประหนึ่งกำลังดื่มเหล้าชามโตในครั้งเดียว


 


 


คราวนี้ เขาถึงค่อยหันกลับมาคีบผักใส่ชามของตู๋กูซิงหลันอย่างสงบนิ่งอีกครั้ง “ดวงใจของปู่ อย่าได้เอาแต่กินเนื้อ เจ้าต้องกินผักด้วย มิเช่นนั้นจะเจ็บป่วยได้ง่าย”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “ท่านปู่ ข้าชอบกินแต่เนื้อนี่นา”


 


 


โดยเฉพาะขาหมูที่เปี่ยมนุ่มชุ่มปากเหล่านั้น


 


 


“ถึงอย่างนั้นก็ต้องกินผัก ระวังเถอะวันๆกินแต่เนื้อ กินจนกลายเป็นคนอวบอ้วนขึ้นมา ถึงตอนนั้นเจ้าจะไม่ใช่โฉมงามอันดับหนึ่งของต้าโจวแล้ว”


 


 


ท่านปู่และหลานพูดคุยกันอย่างสนิทสนมกลมเกลียว


 


 


ฉากนี้ย่อมอยู่ในสายตาของสองพี่ชายตระกูลตู๋กูอยู่แล้ว


 


 


ดูเอาเถอะ ถึงอย่างไรขิงแก่ก็ยังเผ็ดกว่า


 


 


ว่ากันตามจริงแล้ว ท่านผู้เฒ่าไม่เพียงแต่ถนัดนำทัพจับศึกเท่านั้น ฝีปากก็ยังเป็นหนึ่งไม่มีสองอีกด้วย ทำเอาฮ่องเต้ทรงกลายเป็นใบ้รับสั่งอะไรไม่ออกอีกเลย


 


 


นี่มิใช่ว่าพูดแทงใจพระองค์จนหมดหนทางจะแก้ต่างหรือไร?


 


 


น่าเสียดายที่ตู๋กูเจวี๋ยยังเคยคิดไปว่าพระองค์ทรงชอบน้องเล็กจริงๆเสียอีก


 


 


เขารู้สึกว่าหมดสนุกเสียแล้ว  เขาปล่อยชายแขนเสื้อของตู๋กูจุน หันมายกชามข้าวของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


ท่ามกลางอาหารเลิศรสเต็มโต๊ะ ยังคงเป็นข้าวเปล่ากับผักดองที่อร่อยที่สุด แล้วก็เติมซีอิ้วกับพริกเสียหน่อย อืม….กินข้าวสามชามสบายๆ


 


 


ตอนนี้ ฮ่องเต้ยังคงประทับยืนอยู่เลย


 


 


พระองค์ทรงชะงักงันไปชั่วครู่ ค่อยหันกลับมาประทับนั่งลงที่ข้างกายตู๋กูซิงหลันอีกครั้ง พลางฉวยมือของนางขึ้นมา จดจ้องนางอย่างจริงจัง “ซิงซิง เจ้าจะรอเราครึ่งปีได้หรือไม่?”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “ฝ่าบาท อยู่ดีๆตรัสเรื่องนี้ทำไมหรือเพคะ?”


 


 


ตอนนี้นางก็ยังกลับไปโลกปัจจุบันไม่ได้ ย่อมต้องอยู่ในวังไปก่อนอยู่แล้วนี่?


 


 


“เราจะไปปราบแคว้นเหยียนด้วยตนเอง อาจต้องใช้เวลาครึ่งปี เราเกรงว่าครึ่งปีที่เราไม่อยู่นั้น จะถูกคนอื่นมาชิงตัวเจ้าไป”


 


 


ขาของนางก็ยังไม่หายดี แล้วพระองค์จะทำพระทัยแข็งพานางไปสนามรบด้วยได้อย่างไร?”


 


 


แต่ต่อให้สองขาหายดีแล้ว พระองค์ก็ยังหักพระทัยไม่ได้อยู่ดี


 


 


นางสมควรจะได้อยู่อย่างสุขสบายในเมืองหลวง ใช้ชีวิตเหมือนดั่งตัวมอดในกองข้าว ไหนเลยจะไปเผชิญกับกองโลหิตในสยามรบ ทรมานกับความทุกข์ยากได้กัน?


 


 


 


 


——


 


 


ไรท์ : ท่านปู่สมกับเป็นระดับตำนานจริงๆ มาช้า แต่ว่าเด็ดดวงทุกประโยค


 


 


ตอนต่อไป “ซิงซิงหวานพออยู่แล้ว”

 

 

 


ตอนที่ 362 ซิงซิงหวานพออยู่แล้ว

 

“เดี๋ยวก่อนฝ่าบาท พระองค์จะทรงนำทัพด้วยตนเอง?” ตู๋กูเจวี๋ยที่ถือชามกินข้าวอยู่ในมือ


 


 


อยู่ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาว่าพริก ซีอิ้วกับผักดองในชามข้าวชักจะไม่ค่อยอร่อยขึ้นมาแล้ว


 


 


จีเฉวียนพยักพระพักตร์ “ท่านผู้เฒ่ากำลังทดสอบความจริงใจของเรา เราเคยบอกเอาไว้แล้ว ว่าหลงรักซิงซิง ไม่ใช่เพราะต้องการกำลังและอำนาจ ดังนั้นแคว้นต้าเหยียนนี้ เราจะไปปราบด้วยตนเอง”


 


 


 


 


 


 


แผ่นดินที่รวบรวมมาได้…..ก็จะมอบให้นาง


 


 


แม้แต่สีหน้าของตู๋กูถิงก็ยังเปลี่ยนไปด้วย “ฝ่าบาท พระองค์ทรงเคยเป็นองค์ประกันอยู่ในแคว้นต้าเหยียนมาระยะหนึ่ง ย่อมทรงทราบว่าคิดจะตีแคว้นต้าเหยียนนั้นมิใช่เรื่องง่าย พระโอรสองค์โตของฝ่าบาทยังมิทันมีประสูติกาลด้วยซ้ำ หากว่าพระองค์เกิดสิ้นพระชนม์ไปในสงคราม บางทีแม้แต่ผู้จะสืบทอดบัลลังก์ก็อาจจะไม่มีแล้ว”


 


 


ไม่อาจโทษว่าตู๋กูถิงที่กล่าวตามความจริง….ถึงแม้ว่าเขาจะมิได้ชมชอบจีเฉวียน นั้นก็เป็นเพราะเรื่องเก่าก่อนของสองตระกูล ยามนี้สถานการณ์แตกต่างกัน


 


 


เพราะหากให้พูดตามความจริง จีเฉวียนก็ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ดีมากๆ เรื่องนี้ย่อมไม่อาจจะปฏิเสธไปได้


 


 


หากว่าพระองค์เกิดสิ้นไปในแคว้นต้าเหยียน แคว้นต้าโจวก็คงจะวุ่นวายมากแล้ว


 


 


เรื่องนี้สำหรับพวกเขาแล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยากกว่ามากๆ


 


 


“เราชะตาแข็งแกร่งมาตั้งแต่เยาว์วัย ไม่มีทางตายง่ายๆ หรอก” จีเฉวียนคว้ามือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ดวงเนตรหงส์นั้นจ้องมองลึกลงไปในดวงตาของตู๋กูซิงหลัน “ซิงซิง หลังจากนี้ครึ่งปีเราจะต้องกลับมาพร้อมกับชัยชนะ พอถึงตอนนั้น เมื่อเรามอบฐานะใหม่ที่ถูกต้องให้กับเจ้า เจ้าจะยอมรับในตัวเราได้หรือไม่?”


 


 


พระองค์ทรงกลัวมากว่าตู๋กูซิงหลันจะปฏิเสธพระองค์อีกครั้ง จึงตรัสอีกว่า “ต่อให้ไม่ยอมรับเราก็ไม่เป็นไร….เราเพียงหวังว่า ถึงตอนนั้นเจ้าจะยอมให้โอกาสเราสักครั้ง อยู่ร่วมกับเราสองปี หากว่าเจ้ายังไม่รักเรา…..ถึงตอนนั้นเราค่อยวางมือถอดใจอย่างแท้จริง ได้หรือไม่?”


 


 


ฮ่องเต้ทรงตรัสถึงเพียงนี้แล้ว ต่อให้ตู๋กูซิงหลันมีหัวใจแข็งเป็นหินก็ยังต้องยอมอ่อนลง


 


 


หากว่าชาตินี้นางไม่มีโอกาสไปจากที่นี่ละก็ อยู่อย่างสนุกสนานกับฮ่องเต้ลูกชายก็เป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อย


 


 


ดูท่านางคงจะถูกอะไรเข้าสิงแล้วถึงได้พยักหน้าออกไป


 


 


หัวใจของวิญญาณทมิฬแตกดังเพล้ง มันอกหักแทนซื่อมั่วเสียแล้ว


 


 


ดูเอาสิ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ที่เอาแต่รุกคืบอยู่ตลอดเวลา ต่อให้เป็นหญิงสาวที่รักนวลสงวนตัวสุดๆ เช่นนางก็ยังต้องยอมรับ


 


 


ครั้งนี้ไม่อาจโทษว่าหลันหลันจริงๆ ……..


 


 


วิญญาณทมิฬรู้สึกว่า หากมีคนที่ไล่ตามจีบมันอย่างบ้าคลั่ง มันก็อาจจะยอมรับเหมือนกันนะ….ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสัตว์อสูร แต่ก็โสดนิ


 


 


ทันที่ทีตู๋กูซิงหลันรับปาก จีเฉวียนก็ทรงรู้สึกว่าพระองค์ทรงถูกความสุขมากมายโอบล้อมเอาไว้


 


 


หากมิใช่เพราะว่ามีคนมากมายอยู่ในที่นี้ด้วย พระองค์จะต้องจับตู๋กูซิงหลันเข้ามากอดในอ้อมพระพาหาและจุมพิตหนักๆ สักครั้ง


 


 


“เราจะต้องไม่ทำให้เจ้าผิดหวังอย่างแน่นอน” สายพระเนตรของฝ่าบาทระยิบระยับราวกับมีดวงดาวกระพริบอยู่


 


 


อาหารมื้อนี้สำหรับพระองค์แล้วถือว่ามีคุณค่ามากกว่าอาหารมื้อไหนๆ ที่เคยกินมาตลอดพระชนม์ชีพเสียอีก


 


 


ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงถึงกับอธิบายความรู้สึกในพระทัยไม่ถูกเลยทีเดียว หัวใจของพระองค์พลิ้วขึ้นมาเหมือนจะลอยขึ้นไป ลอยละล่องอยู่ในหมู่เมฆ


 


 


ตู๋กูซิงหลันเห็นเขายินดีปรีดาราวกับเด็กๆ หัวใจของนางก็พลันอบอุ่นขึ้นมา แต่ในขณะเดียวกันก็พลันเกิดความรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกแทงอย่างรุนแรงด้วยเช่นกัน


 


 


ราวกับว่าหัวใจถูกเจาะด้วยสิ่วอย่างแรง


 


 


นางพยายามฝืนใจสงบความรู้สึกนั้นลงไป กะว่ารอจนกลับไปแล้วค่อยไปให้ซุนย่วนสื่อตรวจดูให้ดีๆ ว่าตนเองใช่ป่วยเป็นโรคไม่อาจมีความรักกับใครใช่หรือไม่


 


 


คราวนี้ เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลตู๋กูต่างก็ไม่อาจพูดอะไรอีกแล้ว


 


 


พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ……ฮ่องเต้จะทรงทำเพื่อน้องเล็กได้ถึงเพียงนี้


 


 


ว่ากันตามจริง ก็มีอยู่ชั่วแวบหนึ่งที่พวกเขาต่างก็รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาอยู่เหมือนกัน


 


 


แต่พอหวนคิดให้ดี…..พระองค์จะไปเพื่อขยายดินแดนให้กับตนเอง ไม่ใช่ว่าจะรบเอาแผ่นดินมาให้น้องเล็กสักหน่อย พวกเขาจะไปตื่นเต้นด้วยทำไมกัน?


 


 


โดยเฉพาะท่านปู่ตอนนี้ถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปแล้ว


 


 


เขาเงียบงันไปพักใหญ่ พลางตักขนมหวานชามใหญ่ให้กับตนเองเพื่อปลอบใจ


 


 


จะว่าอย่างไรดีเล่า…….คลื่นลูกหลังใหญ่กว่า


 


 


ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ?


 


 


เขาคิดว่าการทำสงครามเป็นเรื่องง่ายงั้นหรือ?


 


 


ต้าเหยียน….เป็นเนื้อติดมันชิ้นงาม แต่ก็ติดฟันด้วย คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำสงครามมาก่อน อย่าว่าแต่สามปีห้าปีเลยเกรงว่าแม้แต่สงครามเดียวก็ไม่อาจชนะได้


 


 


ครึ่งปี?


 


 


ตู๋กูถิงนำทัพมาหลายสิบปี แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่กล้าตบอกออกมารับรองว่าจะสามารถยึดแคว้นเหยียนได้ภายในครึ่งปี


 


 


ก็ดี ให้ฮ่องเต้น้อยไปแนวหน้าเผชิญกับความยากลำบากเสียบ้าง จะได้ให้เขาได้รู้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ อย่างที่เขาคิด


 


 


“ภายในครึ่งปี แล้วหากว่าฝ่าบาทไม่อาจกลับมาได้เล่า?” ท่านปู่ตู๋กูที่ชำนาญการล้มกระดานเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


“ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นไปได้หรอก” จีเฉวียนย่อมทรงรู้พระองค์ดีว่าทรงมีความสามารถเพียงใด


 


 


ตู๋กูถิงหัวเราะเบาๆ “ฝ่าบาท หากไม่มีเรื่องใดก็แล้วไป กระหม่อมเพียงแต่ต้องการจะหาสิ่งรับประกันเอาไว้ให้หลานสาวเท่านั้น หากว่าฝ่าบาทไม่อาจนำชัยชนะกลับมาได้ภายในครึ่งปี ก็จะทรงวางมือจากหลันหลันด้วยเป็นอย่างไร?”


 


 


“พระองค์ย่อมไม่อาจปล่อยให้นางต้องเป็นฝ่ายรอคอยพระองค์อยู่ฝ่ายเดียวไปตลอดกระมัง? ยิ่งไปกว่านั้น….ตอนนี้หลันหลันของกระหม่อมก็ยังมิได้ยอมรับในตัวฝ่าบาท เพียงแต่ยอมรับข้อเสนอของพระองค์เท่านั้น”


 


 


หากว่าเป็นผู้อื่นคิดจะมาล้มกระดานเช่นนี้ เกรงว่าศีรษะของคนผู้นั้นคงต้องถูกฝังลงไปในก้นหลุมลึกแล้ว แต่ว่านี้คือท่านปู่ของนาง จีเฉวียนจึงได้แต่ต้องให้ความเคารพ


 


 


“เรา พูดได้ก็ต้องทำได้”


 


 


เขาจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นมาอย่างเด็ดขาด


 


 


“เป็นเช่นนั้นก็ดี”


 


 


ตู๋กูถิงว่าต่อไป “ฝ่าบาทอย่าได้ทรงเห็นว่ากระหม่อมใจร้าย เงื่อนไขออกรบด้วยพระองค์เองนี้พระองค์ทรงเสนอขึ้นมาเอง ฉะนั้นสงครามครั้งนี้กระหม่อมจะไม่เข้าร่วมด้วยแล้ว”


 


 


“แน่นอน” ในเมื่อฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยจะเสด็จไปด้วยพระองค์เองย่อมไม่ทรงต้องการความช่วยเหลือจากเขา


 


 


“แต่ว่าหลานชายคนโตของกระหม่อมสามารถเป็นผู้ช่วยของพระองค์ได้ หากว่าฝ่าบาทมิทรงรังเกียจก็นำเขาไปด้วยเถอะพะยะค่ะ”


 


 


ตู๋กูถิงผลักตู๋กูจุนออกไปในทันที “คนหนุ่มๆ ติดตามฝ่าบาทไปฝึกฝนให้มากๆ ย่อมเป็นการดี”


 


 


ตู๋กูจุนก็มิได้ปฏิเสธ เขาต้องการไปกับจีเฉวียนจะได้คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพระองค์


 


 


หากท่านปู่ยังมิได้มีคำสั่งให้กบฏ เมื่อถึงยามคับขันเขายังต้องปกป้องชีวิตของจีเฉวียนเอาไว้ ไม่ให้ตายไปได้


 


 


“กระหม่อมเต็มใจติดตามฝ่าบาทไปทำสงครามยังแนวหน้า” ยากนักที่ตู๋กูจุนจะว่าง่ายขึ้นมา แม้ในใจของเขาจะคิดว่า หากว่าจีเฉวียนมีความสามารถจะปราบแคว้นต้าเหยียนได้จริง ตลอดสงครามนี้เขาก็จะได้คอยดูว่าพระองค์ทรงเป็นบุคคลเช่นใดกันแน่ และเหมาะสมกับน้องเล็กหรือไม่


 


 


จีเฉวียนหรี่พระเนตรลง พวกเขาคิดอะไรกันอยู่ในใจ พระองค์ย่อมทรงทราบดีอยู่แล้ว


 


 


แต่ไหนแต่ไรผู้ที่เป็นฮ่องเต้ล้วนเป็นจิ้งจอกเฒ่า คิดจะวางหมากต่อหน้าพระองค์…..แค่เหลือบพระเนตรดูก็ทรงมองออกแล้ว


 


 


อย่าว่าแต่จุดประสงค์ของท่านผู้เฒ่าถึงกับชัดเจนเพียงนี้ ต้อให้เป็นคนโง่ก็สามารถคาดเดาได้


 


 


ฝ่าบาททรงพยักพระพักตร์ “ได้”


 


 


“อ้ายย่าห์ ถ้าเช่นนั้นก็ต้องขออวยพรให้ฝ่าบาททรงกำราบแคว้นต้าเหยียนได้ในเร็ววันแล้ว ขอให้แคว้นต้าโจวของพวกเรายิ่งใหญ่เกรียงไกรเหนือดินแดนทั้งหมด!” ตู๋กูเจวี๋ยยกชามขนมหวานในมือขึ้นสูง “กระหม่อมขอดื่มถวายก่อนถ้วยหนึ่ง ทุกท่านตามสบาย”


 


 


ดูเอาเถอะ บรรยากาศภายในห้องกำลังเคร่งเครียด แทบจะบีบคั้นคนให้ตายอยู่แล้ว


 


 


หากเขาไม่กล่าวอะไรออกมาผ่อนคลายบรรยากาศสักสองประโยค เกรงว่าตนเองคงต้องขาดใจตายไปก่อน


 


 


จีเฉวียน “ขนมหวานเราไม่ขอรับ แค่ซิงซิงก็หวานพอแล้ว เราได้หอมสักหน่อยก็พอใจแล้ว”


 


 


ทุกคนพากันระเบิดตัวเอง


 


 


วิญญาณทมิฬเองก็แอบจดบันทึกคำพูดของจีเฉวียนเอาไว้อย่างเงียบๆ ดูเอาเถอะ….หลันหลันกำลังจะกลายเป็นภรรยาของผู้อื่นไปแล้ว แต่ว่าซื่อมั่วยังไม่ทันได้สารภาพความในใจออกมาเลยสักคำเดียว


 


 


ระหว่างคนกับคนทำไมถึงได้มีข้อแตกต่างกันมากมายเพียงนี้นะ?


 


 


 


 


………………………………………….


 


 


ตอนต่อไป “เรื่องที่ปฐมฮ่องเต้ทรงทำไม่ได้ ข้าจะทำเอง”

 

 

 


ตอนที่ 363 เรื่องที่ปฐมฮ่องเต้ทำไม่ได...

 

ยามที่ฮ่องเต้เสด็จออกมาจากตระกูลตู๋กูนั้น สีพระพักตร์ทั้งสดชื่นและแจ่มใส ช่างเหนือความคาดหมายของผู้คนไปมากนัก!


 


 


คนในโรงน้ำชาต่างก็เฝ้ารอจนถึงมืดค่ำ เดิมทีนึกว่าในจวนจะเกิดเรื่องอึกทึกครึกโครมใดบ้างเสียอีก


 


 


สุดท้ายกลับกลายเป็นเช่นนี้?


 


 


นี่ก็ยังแล้วไปเถอะ….ที่น่าสนใจกว่าก็คือท่านผู้เฒ่าถึงกับมาส่งเสด็จฝ่าบาทด้วยตนเอง!


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น ภายในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ท่าทีของเขาที่มีต่อฝ่าบาทกลับเปลี่ยนแปลงมากถึงเพียงนี้


 


 


คุณชายตระกูลตู๋กูทั้งสองคน ก็อมยิ้มดุจดอกไม้ผลิบาน….จุ๊ จุ๊


 


 


ผู้คนทั้งหลายอดจะเกิดความสงสัยไม่ได้ ฮ่องเต้และตระกูลตู๋กูจะต้องบรรลุข้อตกลงอะไรที่ไม่อาจบอกผู้คนได้เป็นแน่


 


 


อย่างเช่น….ขายหลานสาวอะไรทำนองนี้?


 


 


อืม ….พูดถึงหลานสาว ทำไมถึงไม่ได้เห็นไทเฮาน้อยเลย?


 


 


นางไม่กลับวังแล้วหรือ?


 


 


พอบรรลุข้อตกลงได้ ก็เลยส่งคนคืนให้?


 


 


“ทำอย่างไรดี อยากจะรู้มากจริงๆ ตกลงแล้วฝ่าบาททรงทำข้อตกลงอะไรกับตระกูลตู๋กูกันแน่นะ?”


 


 


ในโรงน้ำชา คนที่เกิดข้อสงสัยมิได้มีเพียงผู้เดียว


 


 


ในมุมหนึ่งของโรงน้ำชา มีบุรุษที่นั่งอยู่ที่นี่มาแล้วทั้งวันเช่นกัน สีหน้าของเขาอึมครึมยิ่งนัก


 


 


เขาสวมหมวกคลุมหน้าสีดำ ปิดบังใบหน้าทั้งหมดเอาไว้ เขานั่งอยู่ในมุมด้านในสุด แทบไม่ทำให้รู้สึกถึงการคงอยู่เลยด้วยซ้ำ ทำให้ทั้งวันแทบจะมีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เห็นเขา


 


 


ยามนี้พอเห็นว่าจีเฉวียนเสด็จออกมาแล้ว ดวงตาที่อยู่ใต้หมวกคลุมหน้านั้นก็มืดครึ้มกว่าเดิม


 


 


เขายืดคอขึ้นมาน้อยๆ มองออกไปทางประตูใหญ่ของจวนตระกูลตู๋กู


 


 


ก็เห็นว่าตอนนี้จีเฉวียนกำลังจะเสด็จขึ้นไปบนรถม้า และก่อนที่จะขึ้นไป พระองค์ก็ทรงหันพระพักตร์มาทอดพระเนตรทางโรงน้ำชานี้แวบหนึ่งคล้ายดั่งมิได้ตั้งใจ


 


 


ชั่วแวบนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นการมองผ่านๆ ในระยะที่ห่างไกล แต่ก็ทำให้คนในชุดดำหัวใจเย็นวาบไปชั่วขณะหนึ่ง


 


 


จีเฉวียนเก็บสายพระเนตรกลับมาอย่างรวดเร็ว ก็หันกลับมากล่าวลาท่านผู้เฒ่าตู๋กูอีกครั้ง ค่อยเสด็จกลับวังไป


 


 


ท่านผู้เฒ่ากับหลานสาวแยกจากกันมานานถึงสองปี จึงยังมีเรื่องต่างๆ ที่อยากจะพูดคุยกันอีกมาก


 


 


พระองค์เองก็อยากจะให้นางได้มีความเป็นส่วนตัวบ้าง


 


 


ดังนั้นฝ่าบาทจึงตัดสินพระทัยว่าพรุ่งนี้ยามเช้าค่อยเสด็จมารับนางกลับไป


 


 


……………………..


 


 


 


 


ถึงจะบอกว่าเป็นงานเลี้ยงภายในบ้าน ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงแค่มื้ออาหารที่บริบูรณ์มากหน่อยมื้อหนึ่งเท่านั้น


 


 


พอจีเฉวียนเสด็จกลับไป ทุกคนต่างก็รับประทานเรียบร้อยแล้ว ตู๋กูถิงถึงได้นำตู๋กูซิงหลันไปพูดคุยกันยังห้องเล็กๆ เพียงลำพัง


 


 


หลี่กงกง ส่งถ่านไหมเงินจากพระตำหนักตี้หัวกงทั้งหมดมาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้จุดเอาไว้ในห้องส่วนตัวก่อนที่จะเข้าวังของตู๋กูซิงหลัน


 


 


ท่านผู้เฒ่านั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กๆ ปล่อยให้ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นที่สวยงาม


 


 


หลังจากจดจ้องหลานสาวของตนเองอยู่ครู่หนึ่ง ก็ค่อยเอ่ยว่า “ดวงใจเอ๋ย เจ้าต้องบอกปู่มาตามตรง ว่าเจ้าคิดจะยอมรับในตัวของฮ่องเต้น้อยนั่นจริงๆ หรือ?”


 


 


ช่วงนี้ตู๋กูซิงหลันมักจะถูกคนถามถึงเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา


 


 


ถามกันทีก็ปวดศีรษะขึ้นมาทีหนึ่ง


 


 


“ท่านปู่เองก็คาดเอาไว้แล้วว่าพระองค์ไม่มีทางจะเสด็จกลับมาพร้อมชัยชนะภายในครึ่งปี ถึงได้ยอมลืมตาข้างปิดตาข้างมิใช่หรือเจ้าคะ?”


 


 


ตู๋กูซิงหลันหัวเราะออกมา “ข้าไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ตอบรับอยู่แล้วแท้ๆ ท่านปู่ยังจะต้องถามเรื่องนี้อีกทำไม”


 


 


“แล้วหากว่าเขาเกิดกลับมาได้จริงๆ ล่ะ?” ถึงแม้ว่าตู๋กูถิงจะรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็รู้สึกว่า….ฮ่องเต้จะต้องทุ่มเทพละกำลังอย่างถึงที่สุดแน่นอน


 


 


“ถ้าเช่นนั้นข้ารับปากไปแล้วก็ต้องทำให้ได้ ข้าจะไม่โกหกเขา” รอยยิ้มบนใบหน้าของตู๋กูซิงหลันยังคงมิได้จางหายไป


 


 


ด้วยเกรงว่าท่านผู้เฒ่าจะไถ่ถามอะไรอีก นางจึงได้หันเหหัวข้อขึ้นมาใหม่ “ท่านปู่ ที่จริงแล้วข้ามีคำถามอยากจะถามอยู่เจ้าค่ะ”


 


 


“หลันหลันถามมาเถอะ”


 


 


“ตอนนั้นทำไมท่านย่าถึงได้แต่งให้กับท่านเจ้าคะ?”


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้อ้อมค้อม คำถามนี้คับแน่นอยู่ในใจของนางมานานแล้ว หากไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนออกมาจะต้องรู้สึกอึดอัดไปทั่วทั้งร่างอย่างแน่นอน


 


 


พอถามคำถามนี้ออกไป สีหน้าของท่านผู้เฒ่าก็แข็งค้างขึ้นมาในทันที


 


 


ที่จริงแล้วหลายปีมานี้ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงฮูหยิน ต่อหน้าเขามานานมากแล้ว


 


 


“ตอนที่ข้าอยู่ในเมืองกู่เย่ว ได้เห็นภาพความทรงจำของท่านย่า” ตู๋กูซิงหลันว่าต่อไป “นางดึงความทรงจำส่วนหนึ่งของตนเองออกมา บรรจุไว้ในลูกแก้วและถูกเหลียงจวิ้นอ๋องเก็บรักษาเอาไว้”


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่คิดจะปิดบังเขา “อดีตฮ่องเต้ทำลายท่านย่า บังคับพาตัวกลับมา สุดท้ายกลับแต่งให้กับท่านปู่ ในระหว่างนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันหรือเจ้าคะ?”


 


 


ตู๋กูถิงได้ฟังแล้ว ก็นิ่งงันไปอยู่นาน…….


 


 


เขาเหมือนกับถูกสูบเรี่ยวแรงออกไปจากร่างจนหมด นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้นั่งอยู่เช่นนั้นโดยไม่พูดไม่จาอะไรสักคำเดียว


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้เร่งรัดอะไรเขา นางนั่งอยู่บนรถเข็น รอคอยตู๋กูถิงอยู่อย่างนั้น


 


 


ผ่านไปอีกพักใหญ่ ถึงค่อยได้ยินเขาทอดถอนใจออกมา เขาพิงตัวเองกับพนักพิง เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า


 


 


“ฮูหยินนาง…. คือสตรีที่ดีงามที่สุดในใต้หล้า”


 


 


“นางเหมือนดั่งคนที่รวบรวมทุกสิ่งที่ดีงามเอาไว้ ได้เห็นเพียงแวบเดียวก็สามารถทำให้คนพากันชื่นชมหลงรัก ตอนที่ข้ายังหนุ่มแน่น เพราะได้เห็นเพียงแวบนั้นแวบเดียว ก็ไม่อาจตัดใจได้อีกเลย”


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็เคยเห็นเจียงเย่วในความทรงจำ


 


 


ความงามนั้นเป็นแรงดึงดูดที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้ อย่าว่าแต่บุรุษเลย ขนาดนางที่เป็นสตรีเห็นแล้วก็ยังชื่นชอบ


 


 


คนเรามักชื่นชอบสิ่งที่งดงามสะสวย นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร


 


 


ถึงแม้ว่าเจียงเย่วจะมีความสามารถอย่างแมรี่ซู แต่ก็เพราะความงามของนาง ถึงได้นำหายนะมาสู่ตัวนาง


 


 


“พอนางเข้าวังไปแล้ว…ก็ใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข นางไม่ต้องการฐานะ ไม่ต้องการความโปรดปราน แต่กลับต้องทนรับความริษยาและปองร้ายจากทั่วทั้งวังหลัง”


 


 


เรื่องในอดีตเหล่านี้พอถูกนำมากล่าวถึงอีกครั้ง หัวใจที่มีแผลเป็นของท่านผู้เฒ่าก็เหมือนกับถูกฉีกกระชากจนต้องหลั่งเลือดออกมาอีกครั้ง


 


 


“ประกอบกับนางเคียดแค้นชิงชังปฐมฮ่องเต้อยู่ตลอดเวลา มักจะเย็นชาใส่พระองค์อยู่เสมอ ……จึงทำให้ปฐมฮ่องเต้ค่อยๆ หมดความอดทนไปในที่สุด”


 


 


พอฟังแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา


 


 


ตอนที่จีจ้านต้องการครอบครองเจียงเย่วให้ได้นั้น เขาแทบจะอยากครองคู่อยู่กับนางไปตลอดชั่วนิจนิรันดร์นี่น่า


 


 


“คืนวันนั้น หิมะตกรุนแรง ฝนก็ตกหนักมาก พอฮูหยินได้รู้ว่าคนทั่วทั้งแคว้นกู่เย่วถูกฆ่าจนหมดสิ้น ก็คิดฆ่าตัวตาย”


 


 


“นางเสียเลือดไปมาก หมอหลวงก็พากันหมดหนทาง ปฐมฮ่องเต้เองก็สำนึกเสียพระทัยอย่างที่สุด มีดนั้นตัดเส้นชีพจรหัวใจ ลงมืออย่างเฉียบขาด”


 


 


“ก่อนตายนางมีความปรารถนาเพียงข้อเดียว ….ก็คือไปจากวังหลวง ตายแล้วนางอยากจะกลับไปที่แคว้นเดิม ให้ฝังนางใต้ต้นไห่ถางที่นางรักที่สุด”


 


 


ท่านผู้เฒ่านั่งอยู่ตรงนั้นค่อยๆ เล่าออกมาอย่างช้าๆ ราวกับว่ากำลังรำพันถึงเรื่องที่โศกเศร้าอย่างที่สุด ในแววตาของเขามีแต่ความทุกข์ระทม


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็พลอยสะเทือนใจไปกับเรื่องนี้ด้วย นางถามเสียงแหบพร่าออกไป “เป็นท่านปู่ที่ช่วยท่านย่าเอาไว้?”


 


 


ท่านผู้เฒ่าเงียบขรึมไปพักใหญ่ ค่อบตอบว่า “ถือว่าใช่ก็แล้วกัน”


 


 


“ข้าหลงรักนาง ตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็นก็หลงรักนางเข้าแล้ว ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นกับนาง ข้าก็ยินดีจะทุ่มเทชีวิตทั้งหมดไปดูแลนาง”


 


 


“เรื่องที่ปฐมฮ่องเต้ทรงทำไม่ได้ ข้าจะทำเอง”


 


 


พูดแล้ว ท่านผู้เฒ่าก็ยกแขนเสื้อขึ้นมา เห็นที่ข้อมือของท่านปู่มีรอยแผลเป็นรอยหนึ่ง เป็นเส้นลึกรอบทั้งข้อมือ แม้ถึงตอนนี้ก็ยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน


 


 


แสดงว่าการลงมีดในตอนนั้นจะต้องลึกมากจริงๆ


 


 


“ตอนนั้นในวังหลวงมีหมอผีที่เก่งกาจมากอยู่ผู้หนึ่ง เขาบอกว่าหากใช้ชีวิตแลกชีวิตก็อาจจะช่วยนางเอาไว้ได้”


 


 


“วิธีการชีวิตแลกชีวิตนี้ จะต้องหาคนที่มีใจรักนางอย่างแท้จริง สละเลือดครึ่งหนึ่งในร่างของตนเองเป็นกระษัยยา บางทีอาจสามารถช่วยนางได้ โอกาสที่จะช่วยนางได้สำเร็จนั้นมีเพียงครึ่งเดียว ส่วนคนที่สูญเสียเลือดนั้นมีสิทธิ์จะตายได้อย่างมาก”


 


 


“ในตอนนั้น ปฐมฮ่องเต้ทรงเกิดความลังเลเสียแล้ว เขาไม่กล้า เขาเป็นฮ่องเต้ ไหนเลยจะสามารถเอาชีวิตของตนเองไปเสี่ยงเพื่อสตรีผู้หนึ่งได้กัน?”


 


 


 


 


……………………………..


 


 


ไรท์ : โอ้ย! ใจจะขาด ท่านปู่รักย่ามาก ท่านปู่คือที่สุด ทำให้คิดถึงเพลง “แลรักนิรันดร์กาล” ของปู่จ๋าน


 


 


“ไม่ได้ต้องการที่จะเป็นตำนานรัก แต่ใจต้องการนักแค่เพียงได้รักเธอเนิ่นนาน”


 


 


ตอนต่อไป “ใต้หล้านี้นอกจากเขา ก็ไม่มีบุรุษใดที่ดีอีกแล้ว”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)