หมอดูยอดอัจฉริยะ 361-362

 ตอนที่ 361 ศิษย์พี่ใหญ่ (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

เยี่ยเทียนค่อยๆ ฟื้นตื่นขึ้นจากการหลับไหล เขาไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไหร่ และตอนนี้กำลังอยู่ที่ไหน เพียงแต่การหลับไหลครั้งนี้ช่างหอมหวาน จนความขุ่นเคืองในใจราวกับจะสลายไปจนสิ้น


ว่ากันว่าในยุทธภพไม่อาจตัดสินตามใจตน เยี่ยเทียนไม่ได้ตั้งใจเข้าสู่สำนักวรยุทธ์ในยุทธภพ แต่นับตั้งแต่เขาลงมือสังหารโจรปล้นสุสานนั่นแล้ว ตามความเป็นจริงก็นับว่าเข้าสู่วงการแล้ว ยิ่งเมื่อประลองวิชากับชาญ ทองทวน จึงยิ่งไม่อาจสลัดตัวเองออกมา


ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้อารมณ์ของเยี่ยเทียนขุ่นเครียดมาตลอด แต่ราวกับว่าผ่านการหลับใหลครั้งนี้แล้ว ทำให้อารมณ์ด้านลบเหล่านั้นเบาบางลงไปไม่น้อย  ทำให้จิตใจเยี่ยเทียนโล่งเปล่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้


“ที่…ที่นี่คือที่ไหน?”


ยังไม่ทันจะได้ลืมตาตื่น จมูกของเยี่ยเทียนก็ได้กลิ่นของไม้จันทน์ กลิ่นนั้นบริสุทธิ์สงบ เมื่อแตะที่จมูกทำให้ไร้ซึ่งความสับสนภายในใจอีกต่อไป


“ไม้จันทน์เมืองมัยซอร์ของอินเดียเหรอ?” เยี่ยเทียนหลุดปากออกมา หลังเบิกตาโตแล้ว ก็เห็นประกายไฟกลิ่นหอมสดชื่นล่องลอยเป็นสาย ตลบขึ้นเชื่องช้าอยู่ริมหัวเตียง


หลี่ซั่นหยวนอาจารย์ของเยี่ยเทียนแต่ไหนแต่ไรไม่เคยพิถีพิถันกับของนอกกายสักเท่าไหร่ แต่สนอกสนใจศึกษาเรื่องใบชากับไม้จันทน์เท่านั้น จึงเป็นสาเหตุที่เลือกใช้ชีวิตที่เหมาซาน เพราะที่นั่นมีชาลิ้นนกกระจอกที่หลี่ซั่นหยวนชื่นชอบที่สุดเติบโตอยู่


อีกทั้งเวลาที่เยี่ยเทียนฝึกวิชาทำสมาธิ หลี่ซั่นหยวนมักจะพกชุดไม้จันทน์แท่งหนึ่งเสมอ กลิ่นหอมนั้นและกลิ่นที่โชยมาแตะจมูกเหมือนกันไม่มีผิด ในเวลาที่เยี่ยเทียนอายุสิบขวบ ไม้จันทน์เหล่านั้นของนักพรตชราก็ใช้หมดไปแล้ว


แม้ว่าเวลาจะผ่านไปถึงสิบปี แต่ว่าเยี่ยเทียนก็ยังสามารถจดจำกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของไม้จันทน์ชนิดนี้ได้ในทันที จนหลุดปากพูดออกมา


“เจ้าหนูช่างรอบรู้ ไม่ผิด เป็นไม้จันทน์ที่ผลิตจากเมืองมัยซอร์ ประเทศอินเดียแท้ ๆ!”


เสียงแหบชราเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูเยี่ยเทียน เมื่อหันหน้าไปมอง เยี่ยเทียนก็เห็นว่าข้างหน้าเตียงที่ตนเองนอนอยู่ มีนักพรตเต๋าร่างผอมแห้งนั่งอยู่


นักพรตเต๋าผู้นี้สวมเสื้อคลุมนักพรตสีน้ำเงินสีดอกชิงหลัน บนหัวสวมหมวกหุนหยวนด้านบนเรียบแบน มวยผมใช้ปิ่นหยกกลัดไว้ สางอย่างเรียบร้อยสวยงาม


นักพรตเต๋าแม้ร่างกายจะผอมแห้ง แต่ว่าสีหน้าเปล่งปลั่งสดใส ใบหน้าไม่มีรอยเหี่ยวย่นแม้แต่น้อย เพียงแค่รอยย่นตรงตาของเขาที่เยี่ยเทียนสามารถมองออกได้ว่า อายุของนักพรตผู้นี้อย่างน้อยน่าจะเจ็ดสิบขึ้นไป


เยี่ยเทียนใช้แรงจากช่วงท้องยันกายขึ้นนั่งบนเตียง ประสานมือคำนับนักพรตที่อยู่ข้างหน้า เอ่ยปากถาม “ขอบังอาจถามท่านนักพรต เป็นท่านช่วยผู้น้อยไว้หรือ?”


ถึงแม้จะไม่รู้ว่าตนเองหมดสติไปนานเท่าไหร่ แต่เรื่องราวก่อนหมดสติ ยังคงกระจ่างชัดอยู่ในความทรงจำเยี่ยเทียน เขาจำได้ชัดเจนว่าตนเองหมดสติลงหน้าประตูทางเข้าอารามเต๋าแห่งหนึ่ง ตอนนี้เขาน่าจะนอนอยู่ภายในอารามเต๋านั่นเอง


ก้มหน้ามองลงยังแขนขวาของตัวเอง ปากแผลนั้นถูกพอกไว้ด้วยยาสมุนไพรหนึ่งชั้น เพียงรู้สึกเย็นสดชื่น และบาดแผลรูปดอกผักกาดที่ถูกเขากรีดออกอย่างไร้ร่องรอย ก็สมานเข้าหากันแล้วโดยทิ้งแผลเป็นเอาไว้


“วาสนาประจวบเหมาะเท่านั้น ผู้ละทางโลกพบเห็นคนเจ็บ จะไม่ช่วยได้อย่างไร?”


นักพรตเต๋าผู้นั้นยิ้มพลางลุกขึ้นยืน ยื่นแก้วน้ำให้เยี่ยเทียน กล่าวว่า “ร่างของเจ้าถูกพิษงู พิษนั้นรุนแรงร้ายกาจ แต่ว่าโชคดีที่ก่อนหน้านี้เจ้ากำจัดพิษออกไปแล้ว อีกทั้งภายในร่างกายเจ้าพลังชี่แท้สัตย์ซื่อจริงใจ ปกป้องหัวใจไว้ ไม่อย่างนั้นต่อให้อาตมามียาแก้พิษงู ก็ไม่อาจช่วยชีวิตเจ้าได้”


ได้ยินคำพูดของนักพรตเต๋าแล้ว เยี่ยเทียนจึงเพ่งพลังชี่แท้ภายในตัว พลันพบว่าชี่แท้เดินทางไปทั่วอย่างอิสระ ไร้สิ่งขวางกั้นโดยสมบูรณ์ จริงแท้อย่างคำพูดของนักพรตเต๋า พิษงูถูกกำจัดออกไปแล้ว


เมื่อสัมผัสได้ว่าร่างกายไม่มีปัญหาอะไร เยี่ยเทียนจึงลงจากเตียงมาบนพื้นทันที โค้งคำนับนักพรตเต๋าอย่างนอบน้อม เอ่ยปากว่า “ขอบคุณท่านนักพรต ขอบังอาจถามฉายาท่านนักพรต ผู้น้อยเยี่ยเทียนวันหลังจะนำธูปเทียนมาถวาย เพื่อขอบพระคุณที่ท่านนักพรตช่วยชีวิต!”


ชีวิตของเยี่ยเทียนสำหรับคนอื่นอาจจะไม่คุ้มค่าเงินเท่าไหร่นัก แต่ว่าเยี่ยเทียนหวงแหนอย่างยิ่ง เขารู้ว่าตนเองติดหนี้น้ำใจครั้งนี้ใหญ่หลวง บุญคุณที่ช่วยชีวิตเปรียบดังให้ชีวิต ชดใช้อย่างไรก็ไม่หมด


“ฉายารึ? หึ ๆ พระสงฆ์ทั้งหลายที่นี่ล้วนเรียกข้าว่าหยวนหยางจื่อ เจ้าหนูอย่างเจ้าเรียกข้าว่าหยวนหยางก็แล้วกัน!” นักพรตชรายิ้มพลางยื่นถ้วยชาในมือส่งให้เยี่ยเทียน


“หยวนหยางจื่อ?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วใจกระตุก ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ


สมัยโบราณ ผู้ไม่ใช่นักปราชญ์ไม่อาจลงท้ายชื่อด้วยอักษร “จื่อ” ได้


อย่างเช่นขงจื่อ เมิ่งจื่อ จ้วงจื่อและเป้าผู่จื่อเก๋อหงแห่งสำนักเต๋า ซานเฟิงจื่อ จางเฟิงจื่อเป็นต้น ล้วนเป็นผู้เบิกภูเขาก่อตั้งสำนัก นักพรตเต๋าเบื้องหน้าสามารถถูกคนขนานนามว่าหยวนหยางจื่อ จึงต้องเป็นผู้สูงส่งซึ่งล่วงรู้หนทางแห่งเต๋าอย่างลึกซึ้งแน่นอน


“เอ่อ ท่านนักพรตหยวนหยาง…แขนนี้ของท่าน?”


เมื่อรับถ้วยชาที่หยวนหยางจื่อส่งให้เยี่ยเทียนจึงได้พบว่า สาเหตุที่นักพรตเต๋าผู้นี้ผอมแห้งอย่างเห็นได้ชัด นั่นเพราะขาดแขนซ้ายไปข้างหนึ่ง


“หึๆ ไม่มีอะไรหรอก”


เห็นเยี่ยเทียนทำสีหน้าตกอกตกใจ นักพรตชราก็หัวเราะแล้วกล่าวขึ้นอย่างเปิดเผย “ในอดีตต่อสู้กับคน ทักษะไม่อาจเทียมเขา จึงกลายเป็นเช่นนี้”


การปลดปล่อยพลังวิญญาณเพื่อตรวจสอบชี่แท้ของฝ่ายตรงข้ามเป็นการกระทำที่ไร้มารยาทอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อครู่เยี่ยเทียนจึงไม่ได้สัมผัสพลังชี่ภายในร่างกายของฝ่ายตรงข้าม แต่เมื่อได้ยินคำพูดของนักพรตชราแล้วเยี่ยเทียนกลับเกิดความสงสัยขึ้นมา อดที่จะปลดปล่อยพลังชี่ของตนออกไปไม่ได้้


การทดสอบนี้กลับทำให้เยี่ยเทียนตกตะลึงใหญ่หลวง เพราะเขาพบว่าชี่แท้ในกายของฝ่ายตรงข้ามล้ำลึกจนไม่อาจประมาณได้ ราวกับหลุมดำที่ตนเองไม่อาจหยั่งลงไปถึงก้นบึ้ง!


ที่แท้คนผู้นี้ก็มีวิทยายุทธ์เทียบเท่ากับเขา ที่เยี่ยเทียนตกใจอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ตั้งแต่เขาเข้าวงการมา นอกจาก หลี่ซั่นหยวนที่กลายเป็นเซียนบนสวรรค์แล้ว เยี่ยเทียนยังไม่เคยเห็นใครอื่นที่สามารถฝึกฝนถึงขั้นเปลี่ยนลมปราณเป็นจิตวิญญาณได้อีกเลย


แต่ว่าภายในอารามเต๋ากลางขุนเขาแห่งนี้ กลับมีคนเช่นนี้ปรากฏตัวอยู่ ทำให้เยี่ยเทียนตื่นเต้นขึ้นมาในทันใด จนลืมดึงพลังชี่ของตนเองกลับไป


“เอ๋ เจ้าหนู เจ้า……อายุยังเยาว์วัย เหตุใดถึงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้?” ขณะที่นักพรตชรารักษาบาดแผลให้เยี่ยเทียน ถึงแม้จะรู้ว่าพลังชี่ดั้งเดิมของเขากล้าแข็ง แต่ก็นึกไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะมีความสามารถสูงถึงขั้นนี้


“ผมแค่วาสนาเหมาะสมเท่านั้นเองครับ” เยี่ยเทียนส่ายหน้า มองยังหยวนหยางจื่อแล้วเอ่ยถาม “แต่ท่านนักพรตถึงขั้นสามารถเปลี่ยนลมปราณเป็นจิตวิญญาณ บนโลกนี้ยังจะมีใครสามารถต่อกรกับท่านได้?”


เมื่อวิทยายุทธ์ถึงขั้นเปลี่ยนลมปราณเป็นจิตวิญญาณแล้ว จิตจะมีความสามารถพยากรณ์และคาดเดาเหตุการณ์ได้ล่วงหน้า ขอเพียงไม่ต้องการ ก็จะสามารถหลบหลีกภยันอันตรายที่มาเผชิญหน้าได้


เช่นเดียวกับที่เยี่ยเทียนเผชิญอันตรายในครั้งนี้ ก็เป็นความตั้งใจของเขาที่จะกำจัดคนที่ไล่ตามสังหารเขา ไม่อย่างนั้นตอนที่เยี่ยเทียนอยู่ที่หมู่บ้านชาวประมงก็จะหนีรอดได้ไปนานแล้ว เจ้าหนุ่มเทียนหลงจะไม่สามารถล้อมสกัดเขาเอาไว้ได้


ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงกล้ามั่นใจว่า มือข้างนี้ของนักพรตชรา จะต้องสูญเสียขณะต่อสู้โดยลำพังอย่างแน่นอน


คิดมาถึงตรงนี้ หัวใจเยี่ยเทียนก็ออกจะหดหู่เล็กน้อย เดิมเขาคิดว่าบนโลกนี้มีเพียงตนเองที่เข้าถึงสภาวะปรับเปลี่ยนลมปราณเป็นจิตวิญญาณ แต่นึกไม่ถึงว่าตนเองจะเป็นกบในกะลา


“เจ้าหนู เวลานั้นข้าเพียงใช้พลังความมืดในตัว ยังไม่ได้มีความสามารถอย่างตอนนี้”


นักพรตชราได้ยินแล้วหัวเราะขื่นขึ้นมาเสียงหนึ่ง ใบหน้าพลันสงบนิ่ง เอ่ยปากว่า “เจ้าหนู พุทธะกล่าวถึงเหตุและผล ทางแห่งเต๋าถกดวงชะตา เจ้ากับข้าวันนี้มีวาสนา อาตมามีเรื่องหนึ่งอยากไต่ถาม หวังว่าเจ้าจะสามารถตอบตามความจริง!”


เห็นหยวนหยางจื่อเคร่งขรึมจริงจังอย่างนั้น เยี่ยเทียนก็คลายรอยยิ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านนักพรตหยวนหยางเชิญถาม หากเป็นเรื่องที่เยี่ยเทียนล่วงรู้ จะไม่กล้าปิดบังเป็นอันขาด!”


“ดี งั้นอาตมาจะถามล่ะ!”


ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว มือข้างนั้นของหยวนหยางจื่อก็พลิกขึ้น เบื้องหน้าบนโต๊ะที่นอกจากถ้วยชาแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่น พลันปรากฏของสองสิ่งขึ้น


“ขอถาม ของสองชิ้นนี้ของเจ้าได้จากที่ใดมา?!” หยวนหย่างจื่อนำของสองสิ่งนั้นออกมาแล้ว ก็จ้องมองเขม็งยังดวงตาของเยี่ยเทียน ราวกับจะแยกแยะว่าเขากำลังหลอกลวงหรือไม่


“ท่าน…ทำไมท่านถึงหยิบของจากบนตัวผม?”


เห็นของสองสิ่งนั้นแล้ว สีหน้าของเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนไป ยื่นมือออกไปจากอก หากปราศจากเข็มทิศนั่นกับ ”ต้าฉีทงเป่า”(เหรียญทองแดงที่หลอมขึ้นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ถังใต้)แล้ว ก็จะเหลือเพียงกระดุมเปล่าติดอยู่ที่เอวตนเองเท่านั้น


“เจ้าหนู ข้าไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่เห็นเข้าตอนที่รักษาบาดแผลให้เจ้าเท่านั้น”


หยวนหยางจื่อส่ายหน้า กล่าวอย่างจริงจัง “ของสองสิ่งนี้เกี่ยวพันยิ่งใหญ่กับตัวข้า หวังว่าหากเจ้าหนูบอกกล่าวความจริง หยวนหยางจะขอบคุณเป็นล้นพ้น!”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วตกตะลึงไปชั่วขณะ แทบจะกล่าวออกมาโดยอัตโนมัติ “สิ่งของเหล่านี้เป็นของเจ้าสำนักผม จะเกี่ยวพันกับท่านได้อย่างไรกัน?”


“เจ้าสำนัก?!” ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว นักพรตชราก็เบิ่งตาโตทั้งสองข้าง


“เกี่ยวข้อง?!” หลังจากกล่าวย้ำคำพูดของนักพรตชรา ในใจเยี่ยเทียนเองก็สัมผัสถึงบางสิ่ง”


“นาม…นามสกุลเดิมของท่านคือโก่วซินเจียหรือครับ?!”


“อา…อาจารย์ของเจ้านามสกุลหลี่ ชื่อซั่นหยวนหรือ?!”


เยี่ยเทียนกับหยวนหยางจื่อเอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกันทั้งสองคน ใบหน้าล้วนเผยให้เห็นถึงความรู้สึกอันไม่ได้คาดคิด


หยวนหยางจื่อยังพอว่า ตอนที่เห็นเข็มทิศของเจ้าสำนักและ “ต้าฉีทงเป่า” ที่ท่านอาจารย์ถือเล่นอยู่บ่อย ๆ แล้ว ในใจก็พอคาดเดาได้บางส่วน


แต่เยี่ยเทียนนั้นแตกต่าง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจคาดเดาได้ ว่าจะมาเจอกับศิษย์พี่ใหญ่ของตนที่หายสาบสูญไปเป็นเวลาสิบปีที่อารามพุทธบนเขานี้ เหตุการณ์นี้ทำให้เขารู้สึกราวกับฝันไป


เยี่ยเทียนพึมพำออกมา “ศิษย์…ศิษย์พี่ใหญ่?”


“เจ้าคือลูกศิษย์ที่อาจารย์ข้ารับไว้หรือ?”


เวลานี้หยวนหยางจื่อมั่นใจในสถานะของเยี่ยเทียนแล้ว มือขวาควานที่ช่วงเอว หยิบเอาจี้หยกชิ้นหนึ่งออกมา กล่าวว่า “นี่คือเครื่องรางของขลังที่อาจารย์ข้ามอบไว้เป็นของขวัญตอนจากมาเมื่อปี 49 สามารถยืนยันตัวตนของข้าได้!”


“ศิษย์พี่!”


เยี่ยเทียนถอยหลังไปสองก้าว โค้งคำนับลงอย่างนอบน้อมครั้งหนึ่ง เขารู้ว่าในอดีตท่านอาจารย์มีของขลังเป็นหยกแกะสลักอยู่หลายชิ้น แบ่งให้กับศิษย์พี่ใหญ่โก่วซินเจียและศิษย์พี่รองจั่วเจียจวิ้น


“เยี่ย…เจ้าคือเยี่ยเทียนสินะ?” โก่วซินเจียถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “ท่าน…ท่านอาจารย์ผู้ชราคนนั้น ยังอยู่หรือเปล่า?”


โก่วซินเจียติดตามหลี่ซั่นหยวนร่ำเรียนวิชามาตั้งแต่เล็ก สายสัมพันธ์ระหว่างศิษย์และอาจารย์ไม่น้อยไปกว่าพ่อกับลูก แม้ว่าจะจากแผ่นดินใหญ่มาจนเกือบห้าสิบปีแล้ว แต่ไม่มีเวลาไหนเลยที่โก่วซินเจียไม่คิดถึงน้ำเสียงและรอยยิ้มของนักพรตชรา


โก่วซินเจียเองก็เข้าใจ ว่าหากนักพรตชรายังมีชีวิตอยู่ถึงปัจจุบันจริง เกรงว่าอายุคงจะเกินร้อยสามสิบปีแล้ว แต่ภายในใจของเขายังคงมีความหวังเหลืออยู่น้อยนิดเสมอมา หวังว่าจะได้ยินข่าวคราวจากปากเยี่ยเทียนว่าท่านอาจารย์จะยังมีชีวิตอยู่!


เยี่ยเทียนส่ายหน้าอย่างเศร้าสร้อย กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงโศกสลด “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านอาจารย์เขากลายเป็นเซียนบนสวรรค์เมื่อสามปีที่แล้ว!”


แม้ว่าจะเตรียมใจเอาไว้แต่แรก แต่โก่วซินเจียก็ยังคงหน้าเปลี่ยนสี เซถลาไปด้านหลังสองก้าว แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหลังตน


“ศิษย์พี่ ท่านผู้เฒ่าจากไปอย่างสงบนิ่ง!”


เยี่ยเทียนก้าวนำไปพยุงโก่วซินเจียไว้ ขณะคว้าแขนเสื้อซ้ายว่างเปล่าข้างนั้น แววตาไม่อาจกลั้นประกายความโกรธเคืองเอาไว้อยู่ เอ่ยถามขึ้น “ศิษย์พี่ แขนข้างซ้ายของพี่ใครเป็นคนทำกันแน่?”


………


ตอนที่ 362 ศิษย์พี่ใหญ่ (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย เยี่ยเทียน เจ้ารีบบอกข้ามาก่อน ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ท่านอาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง ตอนที่ท่านผู้เฒ่าจากไปทรมานมากไหม?”


โก่วซินเจียส่ายหน้า แขนข้างซ้ายนี้ขาดไปเป็นเวลาเกือบครึ่งศตวรรษ เวลาเป็นยารักษาบาดแผลที่ดีที่สุด เวลานี้    โก่วซินเจียจึงเป็นห่วงเรื่องการเป็นอยู่ของอาจารย์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามากกว่า


เยี่ยเทียนมองยังสีหน้าของศิษย์พี่ใหญ่ รู้ว่าภายในต้องมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น เวลานั้นจึงไม่ไต่ถามต่อ เอ่ยปากว่า “ผมถูกอาจารย์รับเข้าเป็นศิษย์เมื่อต้นปี 80 ครับ ท่านอาจารย์สุขภาพแข็งแรงไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาตลอด หลายปีก่อนพอถึงวาระสุดท้ายก็จากไปเป็นเซียนบนสวรรค์……”


นอกจากเรื่องที่ตนเองได้รับสืบทอดเสื้อป่านมาอย่างน่าอัศจรรย์ใจแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ปิดบังเรื่องใดกับศิษย์พี่ใหญ่อีก นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตนเองและนักพรตเฒ่าในความทรงจำเล่าออกไปทั้งหมด


ได้ยินว่าเยี่ยเทียนเคยแก้ลิขิตพลิกชะตาให้หลี่ซั่นหยวน ในดวงตาของโก่วซินเจียก็ฉายแววประหลาดใจ จนกระทั่งเยี่ยเทียนเล่าถึงตอนที่ท่านอาจารย์กลายเป็นเซียนบนสวรรค์ โก่วซินเจียก็โศกเศร้าเป็นที่สุด


ถึงแม้จะใกล้อายุแปดสิบเต็มที แต่ด้วยความกรุณาจากอาจารย์นั้นหนักหนา ขณะที่เยี่ยเทียนสาธยายเรื่องเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อสิบปีก่อนจบ โก่วซินเจียที่เดิมทีจิตใจดั่งสายน้ำสงบนิ่ง ไม่ยินดีในโลกโลกีย์ เวลานี้กลับน้ำตานองหน้า


เห็นโก่วซินเจียโศกเศร้าจนสั่นเทาไปทั่วเนื้อตัว เยี่ยเทียนก็เอ่ยปลอบประโลม “ศิษย์พี่ อย่าเศร้าเสียใจไปเลย หากท่านอาจารย์รู้ว่าพวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องพบหน้ากัน จะต้องโล่งใจอย่างมากแน่!”


โก่วซินเจียเช็ดน้ำตาที่หางตาออก ถอนหายใจยาว “ตอนนั้นขอร้องให้ท่านอาจารย์มาไต้หวันพร้อมกันกับข้า ท่านอาจารย์ไม่ยอมรับปาก ไม่อย่างนั้นคงไม่อาจพบหน้ากันจนถึงห้าสิบปี!”


“ศิษย์พี่ สรรพสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามลิขิตสวรรค์ ท่านอาจารย์รู้เห็นเรื่องราวบนโลก ที่เขาอยู่ต่อในแผ่นดินใหญ่ ย่อมมีเหตุผลของตนเอง” เยี่ยเทียนไม่กล้าเห็นตรงกับคำพูดนี้ของศิษย์พี่ หากนักพรตชรามายังไต้หวัน ไหนเลยจะเกิด        ศิษย์พี่รองและเขาขึ้นได้?


ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ลูบคลำแขนเสื้อว่างเปล่าข้างนั้นของตนเอง พยักหน้ากล่าว “เจ้าพูดถูก หากท่านอาจารย์มาจริง ๆ ไม่แน่ว่าอาจต้องลำบากเพราะข้า”


“ศิษย์พี่ใหญ่ บาด……บาดแผลนี้ของท่านเกิดขึ้นได้อย่างไรแน่?” เยี่ยเทียนไต่ถามอีกครั้ง ก่อนหน้านี้สังหารคนไปกว่ายี่สิบคน จิตอาฆาตในใจเยี่ยเทียนยังไม่จางหาย ขณะพูดยังคงเผยจิตสังหารออกมา


“อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย ……” โก่วซินเจียโบกมือ กล่าวว่า “จากที่เจ้าพูด จั่วเจียจวิ้นเองก็เป็นศิษย์น้องของข้าใช่ไหม?”


ถึงแม้จะหลบเร้นซ่อนตัวอยู่บนเขา แต่ใช่ว่าโก่วซินเจียจะไม่รู้เรื่องราวอะไรบนโลกมนุษย์ ชื่อเสียงของปรมาจารย์จั่วแห่งทวีปเอเชียตะวันออกเขาเองก็เคยได้ยิน แต่กลับไม่รู้ว่าที่แท้แล้วเป็นศิษย์น้องร่วมสำนักของตน


เยี่ยเทียนพยักหน้ากล่าว “ใช่แล้วครับ ตอนนี้ศิษย์พี่รองอยู่ที่ฮ่องกง ผมจะโทรศัพท์หาเขา ให้เขารีบมาดีกว่า พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามจะได้รวมกลุ่มกัน!”


เยี่ยเทียนในเวลานั้น ไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าจั่วเจียจวิ้นรีบร้อนมายังไต้หวันแล้ว ซึ่งครั้งนี้มาเพื่อตามหาตัวเขาทั่วทุกทิศทางด้วยความลนลานราวกับมดแมลงบนกระทะร้อน


ด้วยการทำสมาธิฝึกจิตเก้าถึงสิบปี ทำให้โก่วซินเจียสามารถสงบใจจากความโศกเศร้าในการรับรู้เรื่องวาระสุดท้ายของท่านอาจารย์ได้อย่างรวดเร็ว คิดอยู่ชั่วครู่แล้วจึงกล่าว “ข้าไม่ได้ติดต่อกับโลกภายนอกมานานมากแล้ว ข้าไม่มีโทรศัพท์หรอก เจ้าอย่าเร่งรีบไปเลย รักษาตัวอย่างสงบก่อนสักสองวัน แล้วข้าจะพาเจ้าไปหาหัวหน้าพระสงฆ์ซิงอวิ๋นเพื่อโทรศัพท์”


ด้วยเยี่ยเทียนเคยถูกพิษงูร้ายกาจมา ถึงแม้จะกำจัดพิษให้เขาแล้ว แต่ก็ยังบาดเจ็บถึงพลังชีวิต ต้องค่อย ๆ ปรับสภาพฟื้นฟูให้ดี


อีกทั้งโก่วซินเจียเองก็รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นข้างนอกเมื่อสองวันก่อน นอกจากจะแอบตกใจกับการลงมืออันอำมหิตของศิษย์น้องเล็กแล้ว ยังไม่อยากให้เยี่ยเทียนเปิดเผยร่องรอย เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะนำมาสู่เยี่ยเทียนโดยไม่จำเป็น


ทันใดนั้นเยี่ยเทียนได้ยินเสียง “โครกคราก” ดังมาจากท้อง ใบหน้าก็แดงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เอ่ยปากถาม “จริงสิ ศิษย์พี่ ผมหมดสติไปนานแค่ไหนหรือครับ?”


“สามวันแล้ว ภายในร่างกายของเจ้ายังมีพิษหลงเหลืออยู่ ข้ากลัวว่าหากเจ้าฟื้นเร็วเกินไปจะทำให้การไหลเวียนของเลือดวิ่งเร็วขึ้น จึงใช้สมุนไพรสงบจิตให้เจ้าหลับนานขึ้นอีกวัน หิวแล้วใช่ไหม? โจ๊กลูกเดือยที่ข้าต้มไว้คงจะเสร็จแล้ว จะยกมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้……”


ขณะที่ตรวจดูร่างกายของเยี่ยเทียนแล้วพบเข็มทิศกับเหรียญทองแดงที่ท่านอาจารย์มักถือเล่นอยู่เสมอ โก่วซินเจียก็รู้แล้วว่าเยี่ยเทียนกับตนต้องมีความเกี่ยวดองกัน จึงได้ลงแรงเสียสละช่วยขับพิษรักษาอาการบาดเจ็บให้เยี่ยเทียน


“สามวันแล้ว?!”


เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็ตกตะลึง ร้อนรนคว้าตัวโก่วซินเจียเอาไว้ กล่าวว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ถ้า……ถ้าหากผมยังไม่ออกไปล่ะก็ เกรงว่าข้างนอกจะวุ่นวายกันใหญ่โตแน่!”


ไม่ต้องพูดถึงศิษย์พี่รองจั่วเจียจวิ้น ก็ยังมีถังเหวินหย่วนที่มีชีวิตอยู่ต่อมาหลายปีเพราะตนเอง น่ากลัวว่าครั้งนี้คงจะตามหาตัวเขาอย่างสุดความสามารถ บวกกับกงเสี่ยวเสี่ยวอีกคน มหาเศรษฐีสองคนนี้อาจถึงขั้นพลิกแผ่นดินฮ่องกงและใต้หวันอย่างแน่นอน


เยี่ยเทียนเดาไว้ไม่ผิด ถังเหวินหย่วนร้อนรนอย่างหนัก เดิมทีได้ยินจากจั่วเจียจวิ้นแล้วก็เงียบหายไปสองวัน แต่สุดท้ายเมื่อไม่พบร่องรอยของเยี่ยเทียน ผู้เฒ่าถังครั้งนี้ถึงกับร้อนรนมายังไต้หวัน


เวลานี้ที่เมืองเกาสง ไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือแก๊งเล็กแก๊งน้อย เกือบทุกคนมีรูปถ่ายของเยี่ยเทียนอยู่ในมือ สามารถพูดได้ว่าทุกคนต่างเคลื่อนไหวสืบเสาะตามหาเยี่ยเทียน แต่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจคาดคิดได้ว่า ที่แท้แล้วเยี่ยเทียนไม่ได้ออกไปจากเขาฝ่อกงซานเลย


ขณะนั้นก็มีตำรวจพบเจออารามเต๋านี้ แต่ว่าโก่วซินเจียกลัวว่าตำรวจพวกนั้นจะนำตัวเยี่ยเทียนไปดำเนินคดี จึงโกหกว่าไม่รู้เรื่องนี้ ทำให้ตำรวจสับสนแล้วจากไป


อีกทั้งคนทั้งหลายต่างนึกว่าเยี่ยเทียนออกจากเขาฝ่อกงซานไปแล้ว หลายวันมานี้จึงไม่มีใครมาตามหาอีก แต่ว่าขอบเขตการตามหาเยี่ยเทียนนั้น กลับขยายวงกว้างไปจนถ้วนทั่วไต้หวัน


“ไม่ได้การ ผมต้องโทรศัพท์ก่อนล่ะ!”


ระหว่างที่เยี่ยเทียนคิดกลับไปกลับมา นั้นเพื่อทำความเข้าใจจุดสำคัญของเหตุการณ์ แล้วอดเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้ ที่พวกถังเหวินหย่วนร้อนใจนั้น เยี่ยเทียนไม่ได้นำเอามาใส่ใจ แต่หากที่บ้านได้ยินข่าว จะไม่ทำให้คุณพ่อกับพวกคุณป้าเสียใจแย่หรือ?


“เยี่ยเทียน เจ้าสังหารคนไปมากมายขนาดนั้น ตอนนี้ยังไม่เหมาะจะออกไป เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้ารอข้าสักครึ่งชั่วโมง ข้าจะไปหาโทรศัพท์มาให้!”


โก่วซินเจียยื่นแขนมากั้นเยี่ยเทียนเอาไว้ คนทั่วไปไม่รู้ว่าคดีฆาตกรรมนั้นเยี่ยเทียนเป็นคนทำ แต่โก่วซินเจียกลับรู้แจ้ง กระสุนที่รักแร้ของเยี่ยเทียนนั้นเป็นเขานำออกมาด้วยมือตัวเอง


“งั้น ก็ได้ครับ ศิษย์พี่ รบกวนท่านด้วย!”


เยี่ยเทียนคิดอยู่ชั่วครู่ พยักหน้ารับคำ ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าด้านนอกสถานการณ์เป็นอย่างไร สังหารคนไปคราวเดียวยี่สิบกว่าคน เยี่ยเทียนยังรู้สึกสำนึกผิดขึ้นมาจริง ๆ


“เจ้ากินโจ๊กนี่เสียก่อน ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็มา” นักพรตเต๋าถือหม้อโจ๊กลูกเดือยออกมาจากห้อง วางชามตะเกียบลงข้างหน้าเยี่ยเทียน แล้วหันร่างออกไปจากอารามเต๋า


เวลานี้เยี่ยเทียนเองก็หิวจริง ๆ ไม่ห่วงว่าโจ๊กลูกเดือยจะลวกปาก กินโจ๊กทั้งหม้อนั้นหมดเกลี้ยงภายในรวดเดียว เมื่อครู่เอาแต่พูดคุยกับศิษย์พี่ ตอนนี้จึงได้มีเวลาสำรวจดูอารามเต๋าหลังนี้


ตำแหน่งที่เยี่ยเทียนอยู่คือห้องปีกส่วนหลังของอารามเต๋า ตรงนี้เป็นลานเดี่ยว ตรงกลางลานมีบ่อน้ำหนึ่งบ่อ โดยห้องปีกทั้งสี่โอบล้อมลานเอาไว้ นอกจากห้องนี้ที่คนพักอาศัยอยู่ได้ สามห้องที่เหลือก็เป็นห้องครัวหนึ่งห้องและห้องเก็บของจิปาถะอีกสองห้อง


ด้วยเยี่ยเทียนอยู่ในห้องปีกแล้ว โก่วซินเจียจึงดัดแปลงห้องเก็บของจิปาถะชั่วคราว แต่ก็เพียงใช้ก้อนอิฐไม่กี่ก้อนรองบานประตู ก็กลายเป็นเตียงได้แล้ว


ทะลุเฉลียงทางเดินไปจะเป็นห้องทำพิธีหลัก เทวรูปบูชาด้านในไม่ใช่เหล่าเทพเจ้าซันชิง ทว่าเป็นปรมาจารย์นักพรตเสื้อป่านแห่งสำนักเสื้อป่าน ถ้าหากก่อนที่เยี่ยเทียนจะล้มหมดสติไปได้เห็นเทวรูปดินเหนียวองค์นี้ ก็คงจะสามารถเดาสถานะของโก่วซินเจียออกได้นานแล้ว


“ศิษย์พี่ใช้ชีวิตอย่างมัธยัสถ์จริง ๆ ให้ตายสิ พระสงฆ์พวกนั้นไม่ใช่คนดีสักนิด!”


วนรอบภายในอารามเต๋าที่ไม่ใหญ่นักหลังนี้รอบหนึ่งแล้ว เยี่ยเทียนก็เลี้ยวกลับมายังห้องปีก ภายในนอกจากโต๊ะเก้าอี้และเตียงอย่างละชิ้นแล้วก็ไม่มีอะไรอื่นอีก กระทั่งไฟฟ้ายังส่งมาไม่ถึง


ประเด็นคือ กระทั่งภายในอารามเต๋าหลังนั้นที่เหมาซานซึ่งเยี่ยเทียนเคยอยู่ หลายปีก่อนยังมีไฟฟ้าส่งมาถึง เขาฝ่อกงซานแห่งนี้แสงไฟส่องสว่างยามค่ำคืน มีเพียงอารามเต๋าแห่งนี้เท่านั้นที่ไม่มีแสง เห็นได้ว่าศิษย์พี่ถูกพระสงฆ์เหล่านั้นกีดกันออกมา


“เยี่ยเทียน โทรศัพท์มาแล้ว อ้าว กินข้าวต้มหมดเลยหรือนี่ พอดีเลย ข้าขอข้าวจากหัวหน้าพระสงฆ์พวกนั้นมานิดหนึ่ง ตอนเย็นเรามาหุงกินกันเถอะ!”


โก่วซินเจียไม่ปล่อยให้เยี่ยเทียนรอนาน เพียงแค่ยี่สิบกว่านาทีเท่านั้นก็รีบร้อนกลับมา หยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งส่งให้เยี่ยเทียน ยิ้มกล่าว “ของชิ้นนี้ข้าใช้ไม่เป็น หัวหน้าพระสงฆ์นั่นสอนข้าอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยังไม่เข้าใจ เจ้าใช้เป็นหรือเปล่า?”


“ใช้ได้ ผมใช้ได้ครับ!”


เยี่ยเทียนไม่ได้ไปรับโทรศัพท์ แต่กลับไปคว้าข้าวสารที่สะพายอยู่ตรงหัวไหล่โก่วซินเจียและอีกหนึ่งถุงลงมา เมื่อเปิดถุงออกดูพบว่าภายในถุงพลาสติกมีหัวไชเท้าแผ่นตากแห้งอยู่จำนวนหนึ่ง จนดวงตาของเยี่ยเทียนกลั้นน้ำตาที่รื้นขึ้นมาไว้ไม่อยู่


“ศิษย์……ศิษย์พี่ ท่าน……ท่านกินของพวกนี้ประจำเหรอครับ?”


ศิษย์พี่อายุมากแล้ว ทั้งยังขาดแขนหนึ่งข้าง ไม่ต้องพูดถึงว่าปกติข้างกายไม่มีคนคอยช่วยรับใช้ ในทุก ๆ วันกลับกินเพียงของพวกนี้ ดูท่าร่างกายที่ผอมแห้งนั้นจะไม่ได้มาจากการออกกำลังแล้ว


เห็นท่าทางของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจยก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เอ่ยปากว่า “ศิษย์น้อง ฝึกวิชามาถึงขั้นเจ้ากับข้าแล้ว กินอะไรก็เหมือนกันทั้งนั้น จริงอยู่ที่อาหารชั้นเลิศทำให้ปากท้องเป็นสุข แต่ชาหยาบข้าวจืดก็สามารถเติมเต็มความต้องการร่างกายได้เช่นกัน”


ครึ่งชีวิตแรกของโก่วซินเจียรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด ทว่าเมื่อสิบปีก่อนได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว ก็สามารถคุมจิตใจได้ถึงขั้นไม่ยินดีในสรรพสิ่ง ไม่โศกเศร้าในสิ่งใดอีกต่อไป


ถ้าหากวันนี้ไม่ได้ยินเรื่องของท่านอาจารย์ จิตใจของนักพรตชราจะไม่สั่นคลอนไปแม้แต่น้อย เมื่อพูดถึงจุดนี้ วิทยายุทธ์ด้านการฝึกจิตของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าหลี่ซั่นหยวนแล้ว


“ศิษย์พี่ ทุกวันนี้ท่านช่างใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นเหลือเกิน!”


เยี่ยเทียนส่ายหน้าไม่หยุด ทันใดในใจก็มีความสงสัยผุดขึ้น เอ่ยปากว่า “ศิษย์พี่ เขาฝ่อกงซานนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธในไต้หวัน ทำไม……ทำไมถึงสามารถมีอารามเต๋าหลังนี้ของท่านเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งได้?”


ก่อนที่จะหมดสติไปในใจของเยี่ยเทียนก็พร่ำถามขึ้นมาแล้ว แต่จนกระทั่งเวลานี้จึงจะมีโอกาสถาม


“หึ ๆ นั่นเป็นเพราะหัวหน้าพระสงค์ซิงอวิ๋นแพ้เดินหมากกับข้าน่ะสิ!” ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียก็หัวเราะออกมาอย่างพอใจ สีหน้านั้นเบิกบานราวกับเด็กน้อยที่ได้ชัยชนะเหนือผู้อื่น


ที่แท้โก่วซินเจียอาศัยอยู่ในวัดฝ่อกงซานซานมาตลอด แต่เพราะอยากสืบทอดสำนักต่อ เขาจึงได้ท้าพนันกับหัวหน้าพระสงฆ์ซิงอวิ๋น เมื่อชนะก็ได้อารามเล็กมาหลังหนึ่ง จึงได้ดัดแปลงเป็นอารามเต๋าเสื้อป่านหลังนี้


เพียงแต่ตัวอยู่ที่เขาฝ่อกงซาน ผู้ที่มาล้วนเป็นสาวกในศาสนาพุทธ ไม่มีใครศรัทธาในลัทธิเต๋า บวกกับโก่วซินเจียเองก็มีใจเก็บงำ ไม่อยากเผยแพร่ออกไป ดังนั้นอารามเต๋าจึงคงอยู่มาเก้าถึงสิบปีโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้


……….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)