ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 359-374

 ตอนที่ 359 โรคประสาทต้องได้รับการถ่ายทอดมาจากคุณยายแน่ๆ


ไม่ต้องพูดถึงว่าเหอปี้อวิ๋นจะเจ็บปวดแค่ไหน จ้องอู่เหมยที่เอาแต่มองและไม่พูดอะไรออกมา ทำให้เธอโกรธจนต้องตะโกนออกไป “ยังไม่รีบบอกให้พี่แกลุกขึ้นมาอีก!”


อู่เหมยพูดขึ้นอย่างเฉยเมย “หนูไม่ได้เป็นคนบอกให้พี่คุกเข่าสักหน่อย ผู้ชายไม่ยอมคุกเข่าง่ายๆ ผู้หญิงอย่างเราเองก็ควรจะทระนงตนไว้บ้าง ทำไมกระดูกพี่ถึงได้อ่อนแอแบบนั้นล่ะ พอบอกว่าจะคุกเข่าก็คุกเข่าจริงๆ ซะงั้น!”


ในใจของอู่เยวี่ยโกรธมาก แต่ก็ทำได้แค่ร้องไห้สะอื้นเสียงเบา ตอนนี้เธอไม่สามารถพูดอะไรได้ หวังพึ่งเหอปี้อวิ๋นให้ช่วยว่าอาจจะทำให้เธอหายโมโหได้บ้าง เธอจึงจำต้องคุกเข่าต่อไป!


“ก็เป็นเพราะเด็กบ้าอย่างแกที่วันๆ เอาแต่พูดจาไร้สาระไง พี่แกเป็นปกติดีจะเป็นโรคประสาทได้ยังไง? แค่ดูก็รู้ว่าแกอิจฉาพี่สาว ทนเห็นพี่สาวตัวเองได้ดีไม่ได้” เหอปี้อวิ๋นพยามดึงเธออยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะพูดอะไรอู่เยวี่ยก็ไม่ยอมลุกขึ้น เหอปี้อวิ๋นรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก และรู้สึกเกลียดชังอู่เหมยมากขึ้น


อู่เยวี่ยคิ้วขมวดทันที เหอปี้อวิ๋นแสดงท่าทีออกมาได้แย่มาก แค่คำเดียวว่ายัยเด็กบ้า คงแปลกถ้าคุณปู่และคุณพ่อได้ยินแล้วจะดีใจ อู่เยวี่ยผิดหวังในตัวเหอปี้อวิ๋นมาก ดูเหมือนเธอจะต้องพึ่งตัวเองแล้วล่ะ


เธอพูดอย่างสะอึกสะอื้น “เหมยเหมย พี่ขอโทษน้องด้วยนะ ขอร้องล่ะให้อภัยพี่เถอะ น้องจะด่าจะตบตีพี่ยังไงก็ได้ ขอแค่อย่าบอกว่าพี่เป็นโรคประสาทเลย เราสองคนเป็นพี่น้องแท้ๆ กันนะ หากว่าพี่เป็นโรคประสาท มันก็มีผลกระทบกับตัวเธอด้วย กระทั่งยังกระทบไปถึงเหวินฮุ่ยและเสี่ยวเชาด้วย”


อู่เจิ้งหงที่นั่งดูด้วยความสนุกก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เพราะลูกเป็นดั่งชีวิตของเธอ คำพูดของอู่เยวี่ยได้จี้จุดอ่อนของเธอเข้าพอดี หากมีผลเสียต่อลูกของเธอแม้แต่เล็กน้อยก็ตาม เธอจะไม่ยอมให้มันได้มีชีวิตต่อ


อู่เหมยพูดอย่างเย็นชา “พี่คะ ทำไมพี่จะต้องลากไปถึงจี้เหวินฮุ่ยกับอู่เชาด้วยล่ะคะ? พันธุกรรมของตระกูลอู่ ทุกคนต่างรู้ว่าดีมากแค่ไหน แต่หนูรู้สึกว่าที่สภาพจิตใจพี่ไม่แข็งแรง แปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์คงเป็นเพราะได้พันธุกรรมมาจากฝั่งตระกูลคุณยาย”


พอโยนเรื่องไปให้ตระกูลเหอ อู่เหมยก็ไม่ได้เกิดความรู้สึกผิดเลย ตระกูลเหอน่ารังเกียจมากกว่าตระกูลอู่ เลี้ยงดูลูกหลานอย่างเหอปี้อวิ๋นมา ยังถือว่าเป็นตระกูลที่ดีอีกหรือ?


ทุกคนในตระกูลอู่ต่างรู้สึกโล่งใจ และพึงพอใจต่อคำพูดของอู่เหมยมาก ไม่ผิดเลย ที่ว่าพันธุกรรมของตระกูลอู่ทุกคนต่างรู้ว่าดีแค่ไหน ถ้าสิ่งไม่ดีต้องเป็นเพราะตระกูลอื่นแน่


เหอปี้อวิ๋นโกรธจนดวงตาแดงก่ำ เธอตะโกนด่าด้วยความโมโห “แกพูดบ้าอะไรอีก? ขนาดตอนนี้แม่ของฉันก็จะเอาไปใช้หลอกคนอื่นหมด แกยังให้ความเคารพต่อผู้หลักผู้ใหญ่บ้างไหม? ฉันจะสั่งสอนแกเอง!”


เหอปี้อวิ๋นอารมณ์โกรธปะทุขึ้นอย่างจริงจัง จึงหันไปคว้าเอาตะเกียบที่วางอยู่บนโต๊ะ ปาไปทางอู่เหมย แน่นอนว่าอู่เหมยไม่มีทางเป็นเด็กดีนั่งรอให้ถูกตีหรอก เธอกระโดดหลบไปอยู่ด้านหลังของอู่เจิ้งซือ จึงทำให้ตะเกียบหล่นกลางอากาศ และตกใส่จานผักจนกระเด็นเรี่ยราด


“หนูไม่ได้พูดอะไรผิด ถ้าสภาพจิตใจของแม่ปกติจริง ทำไมถึงได้ตีหัวพ่อจนแตกได้ล่ะคะ? วันนั้นท่าทีของแม่น่ากลัวมาก ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อคนได้ จนถึงตอนนี้ยังคงเป็นฝันร้ายของหนูอยู่เลย!”


อู่เหมยเอาแต่หลบอยู่ด้านหลังอู่เจิ้งซือ และคอยทำให้เหอปี้อวิ๋นโมโหไม่หยุด อู่เจิ้งหงนั่งมองอย่างสนุกสนานและยิ้มจนตาหยี ตี๋ชิวเยวี่ยเองก็เบื่อที่จะสนใจต่อเรื่องไม่เป็นเรื่อง สีหน้าท่าทางของคุณปู่และคุณย่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก เรื่องที่เหอปี้อวิ๋นทำร้ายอู่เจิ้งซือยังคงติดอยู่ในใจของเขาตลอด ราวกับเป็นเข็มที่ทิ่มแทง อู่เหมยเป็นดั่งคนที่พูดเรื่องนี้ขึ้น เพื่อย้ำเตือนว่าไม่ให้พวกเขาลืมเรื่องนี้


ส่วนเธอเอง หากจะต้องลำบากไปด้วย เพราะถูกคนกล่าวหาว่าเป็นโรคประสาท อู่เหมยก็ไม่สนใจเลยสักนิด แต่ถ้าเป็นโรคประสาทก็ดีไปอีกแบบ เอกสิทธิ์เยอะจะตาย!


คำพูดของอู่เหมยได้จุดประกายกองไฟในใจที่เหอปี้อวิ๋นพยามยามฝืนซ่อนมันเอาไว้ขึ้นมา เธอลืมคำพูดของแม่ตัวเองและอู่เยวี่ยไปหมดสิ้น ในตอนนี้สิ่งที่เธออยากทำที่สุด คือ การตีอู่เหมยอย่างโหดเหี้ยม!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 360 เหอปี้อวิ๋นคลั่งอีกแล้ว


อู่เยวี่ยที่เห็นลักษณะวิกลจริตของเหอปี้อวิ๋นก็รับรู้ได้ถึงลางร้าย และเธอเองก็รู้สึกไม่พอใจต่อเหอปี้อวิ๋นที่ทำลายความหวังของเธอ ทำไมไม่หัดจำบ้างนะ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ถูกอู่เหมยยั่วโมโห และในตอนนี้ก็ยังอยู่ที่บ้านของคุณปู่และคุณย่าด้วย อีกทั้งอู่เหมยก็เพิ่งจะได้รับรางวัลมา แล้วเหอปี้อวิ๋นอาละวาดแบบนี้ กำลังหาที่ตายให้ตัวเองอยู่หรือ?


“แม่คะ ใจเย็นๆ ก่อน อู่เหมยแค่พูดจาไร้สาระ แม่จะไปโต้เถียงด้วยทำไมล่ะคะ?”


อู่เยวี่ยจึงทำได้แค่ลุกขึ้นด้วยตัวเอง ตอนนี้เรื่องของเหอปี้อวิ๋นสำคัญกว่า เธอจะไม่ยอมให้คุณปู่คุณย่ารังเกียจเหอปี้อวิ๋นไปมากกว่านี้เด็ดขาด เรื่องของเธอไว้ค่อยคุยทีหลัง


แต่การกระทำของเธอช้าไปหนึ่งก้าว อารมณ์โมโหเดือนดาลของเหอปี้อวิ๋นกำเริบขึ้นอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะสภาพจิตใจของเธอในช่วงนี้ไม่ค่อยดีนัก ทนอึดอัดเก็บไว้มานาน คงต้องหาที่ระบายออกบ้าง!


“ฉันจะตีแกให้ตายยัยของชั้นต่ำ ฉันรู้ถึงสิ่งที่แกทำไปจนหมดแล้ว ถ้าฉันกับพี่สาวแกเป็นบ้า แล้วแกล่ะเป็นตัวอะไร?”


เหอปี้อวิ๋นพุ่งตัวเข้ามา เพราะจะจับตัวอู่เหมยมาสั่งสอนให้หลาบจำ โดยลืมไปจนหมดสิ้นแล้วว่าตอนนี้เธออยู่ในสถานะอะไรและสถานการณ์แบบไหน กระทั่งลืมไปแล้วว่าอู่เจิ้งซือยังไม่ได้ให้อภัยเธอ เพียงแค่ต้องการจะระบายความแค้นของเธอกับลูกสาวอันเป็นที่รัก จึงได้ทำหน้าตาโหดเหี้ยมน่ากลัว และไม่น่ามองเท่าไหร่


“นี่ไง คืนวันนั้นแม่มีท่าทีแบบนี้เลย แต่ก็น่ากลัวกว่าตอนนี้อีก!” อู่เหมยตะโกนเสียงดังและชี้ไปยังเหอปี้อวิ๋น และแสร้งทำท่าทางเหมือนกลัว เจ้าเด็กอ้วนอู่เชาพลางนึกถึงร่องรอยอันน่ากลัวบนคอของอู่เหมยในตอนนั้นขึ้นมาได้ เขาจึงสะดุ้งตกใจและสั่นสะท้านไปทั้งตัว


อู่เยวี่ยเป็นโรคประสาท อาสะใภ้รองก็เป็นโรคประสาท พระเจ้า! ต่อไปเขาคงไม่กล้าไปเหยียบที่บ้านของอาสองแล้ว!


คำพูดของอู่เหมยได้จุดประกายกองไฟในใจของทุกคนในตระกูลอู่ขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขามองไปทางเหอปี้อวิ๋นด้วยสายตาที่รังเกียจหนักกว่าเดิม จากความโหดเหี้ยมที่กระทำต่อสามีของตัวเองแล้ว ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะเป็นโรคประสาทจริงๆ แล้วดูลักษณะท่าทางของเธอในตอนนี้สิ เหมือนกับคนปกติตรงไหน?


“พอได้แล้ว เหอปี้อวิ๋น สร้างความวุ่นวายที่บ้านยังไม่พอ ยังมาอาละวาดที่นี่อีก ยังรู้สึกขายหน้าไม่พอเหรอ?” อู่เจิ้งซือไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นยืนและตักเตือน ทั้งตัวของเขามีแต่ไอของความเยือกเย็นลอยออกมา


อู่เจิ้งหงเองก็พูดขึ้นตาม “สะใภ้รองนี่จริงๆ เลย ทำไมถึงได้เอาวัฒนธรรมของคนบ้านนอกเข้ามาสู่บ้านเราด้วย? บ้านเราถือได้ว่าเป็นตระกูลผู้มีความรู้ เธออย่าเอาแต่ทำตัววุ่นวายอาละวาดตามอารมณ์ตัวเองสิ น่าขายหน้าชะมัด!”


อู่เหมยยู่ปาก คนทั้งบ้านที่ไม่มีสิทธิ์จะต่อว่าเหอปี้อวิ๋นที่สุด ก็คือผู้หญิงคนนี้ หากบอกว่าทำตัววุ่นวายอาละวาดตามอารมณ์ตัวเอง ใครจะเทียบได้กับอู่เจิ้งหง?


เพียงแต่คำพูดนี้อู่เจิ้งหงกลับรู้สึกสบายใจ จะสนใจทำไมว่าเธอเป็นใคร ขอแค่สามารถโจมตีเหอปี้อวิ๋นได้ก็พอ!


มีแต่ไอเย็นที่ลอยออกมาจากตัวของอู่เจิ้งซือที่ได้ทำให้เหอปี้อวิ๋นตัวแข็งทื่อจนได้สติขึ้นมา เธอเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ในทันที และนึกถึงเมื่อครู่ที่เธออาละวาดออกไป ความรู้สึกของเหอปี้อวิ๋นในตอนนี้ราวกับจมลึกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง


ทั้งตัวถูกแช่จนเย็นยะเยือก รู้สึกผิดจนไม่รู้จะทำอย่างไร


ทำไมเธอถึงได้ตกหลุมพรางของยัยเด็กบ้านี่อีกแล้ว?


ครั้งนี้เธอจะทำอย่างไรดี?


คุณอู่ต้องไม่พอใจแน่ๆ เรื่องเมื่อครั้งก่อนยังไม่จบเลย!


อู่เยวี่ยพุ่งตัวเข้าไปหา ออกแรงบีบมือเหอปี้อวิ๋นอย่างแรง และพูดขอร้อง “แม่โมโหเพราะอู่เหมยเอาแต่หาเรื่อง ปกติแล้วแม่ไม่ได้เป็นแบบนี้ แม่จะอ่อนโยนเสมอ”


อู่เจิ้งหงพูดขึ้นอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “เยวี่ยเยวี่ยอย่าพูดไร้สาระ ปกติป้าก็ไม่เห็นว่าแม่เธอจะอ่อนโยนได้เท่าไหร่เลย ดูที่ตีหัวพ่อเธอสิ หากคนอ่อนโยนจริงๆ คงไม่ทำอะไรที่โหดร้ายแบบนี้หรอก!”


เหอปี้อวิ๋นอยากจะตอบโต้กลับไปมาก และเธอเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไป เธอเองก็อยากจะตีหัวอู่เจิ้งหงสักครั้งด้วยแจกัน ทั้งบ้านก็มีแค่หญิงสาวคนนี้แหละที่เธอเกลียดที่สุด เพราะเอาแต่คัดค้านเธอทุกอย่าง


ภายใต้ความกดดันของคุณปู่อู่และอู่เจิ้งซือ ละครฉากนี้จึงได้หยุดลงอย่างกะทันหัน ทุกคนกลับไปนั่งประจำที่เดิมเพื่อทานข้าว แต่บรรยากาศกลับไม่เป็นเหมือนก่อนหน้านี้


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 361 คาดหวังต่อความสำเร็จของอู่เหมย


สำหรับโรคประสาทของอู่เยวี่ย ทุกคนต่างเลือกที่จะเมินเฉยไป เพราะถึงอย่างไรก็เป็นลูกหลานของตระกูลอู่ หากเป็นโรคประสาท ก็อาจถึงกับทำลายเกียรติของตระกูลได้ คุณปู่อู่จ้องเหอปี้อวิ๋นอย่างเคร่งขรึม กดเสียงต่ำพูด “สะใภ้รอง ต่อไปนี้เธออย่าเข้ามายุ่งเรื่องการเรียนของอู่เยวี่ย เธอรับผิดชอบดูแลเรื่องการใช้ชีวิตของพี่รองและเด็กๆ ก็พอแล้ว”


คุณปู่หันกลับไปมองอู่เจิ้งซืออีกครั้งและพูด “เจ้ารอง ต่อไปนี้ต้องใส่ใจให้มากขึ้นและรับผิดชอบดูแลเรื่องการเรียนของพวกเด็กๆ วันๆ อย่าเอาแต่ยึดที่หนึ่งไว้จนติดปาก พยายามทำให้เต็มที่ก็พอ ผู้หญิงของตระกูลสามารถทำคะแนนให้อยู่ในระดับปานกลางขึ้นไปได้ก็พอแล้ว ช่วงก่อนนั้นพ่อกับแม่ก็ไม่ได้หวังสูงมากกับอู่เจิ้งหง แต่กับแกและพี่ชายแกก็ต้องต่างออกไป เกียรติยศและหน้าตาของวงตระกูลต้องพึ่งลูกผู้ชายอย่างเรา!”


อย่าว่าแต่เหอปี้อวิ๋นเลย ขนาดอู่เจิ้งซือเองที่ได้ฟังยังรู้สึกไม่สบายใจ การไม่มีลูกชายเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเสียใจที่สุด แต่เขาเองก็หวังอยากจะให้ลูกสาวสามารถเป็นที่เชิดหน้าชูตาให้แก่วงศ์ตระกูลได้บ้าง ทางฝั่งลูกสาวคนโตดูท่าจะไม่มีหวังแล้ว แต่หากเป็นลูกคนเล็กละก็…


“พ่อคะ หนูไม่ชอบใจคำพูดของพ่อเอาซะเลย ใครบอกล่ะคะว่ามีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่จะสร้างเกียรติยศและหน้าตาให้วงศ์ตระกูลได้? หนูว่าเหมยเหมยก็ไม่เลวนะ รูปร่างหน้าตาดี แถมยังวาดรูปได้เก่งอีกต่างหาก ต่อไปเธอต้องทำให้พวกคุณเชิดหน้าชูตาได้แน่!”


ตี๋ชิวเยวี่ยยิ้มและพูดค้านต่อสถานการณ์ คำพูดครึ่งใหญ่ๆ ถือว่ามาจากใจเธอจริงๆ เธอคิดว่าต่อไปอู่เหมยจะต้องมีอนาคตที่ดี แต่ไหนแต่ไรมาเธอก็ไม่คุ้นชินกับความคิดที่ผู้ชายเป็นใหญ่กว่าผู้หญิง แม้ว่าตัวเธอเองจะมีลูกชายถึงสองคน


คุณปู่อู่ได้ฟังคำพูดของเธอกลับไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองใดๆ แต่ทอดสายมองอู่เหมยอย่างชื่นชม ความสามารถของหลานสาวคนเล็กช่างทำให้เขาคาดไม่ถึงจริงๆ เรื่องในอนาคตก็ยังไม่มีอะไรแน่นอน!


อู่เจิ้งซือเองก็พึงพอใจเป็นอย่างมาก คำพูดของสะใภ้ใหญ่เหมาะสมเสียยิ่งกว่าให้ตัวเขาเป็นคนพูด เพราะเขาเองก็คิดเช่นเดียวกัน!


อู่เจิ้งหงพูดอย่างสบายๆ “พี่สะใภ้ก็อย่าเพิ่งพูดไป คนเรียนวาดรูปในประเทศเรามีอยู่มาก แต่จะมีชื่อเสียงจริงๆ มีแค่กี่คนเอง? ฉันว่าแค่อู่เหมยได้รับรางวัลระดับเมืองก็ถือว่าดีมากแล้ว ยังไงก็ควรจะใส่ใจเรื่องการเรียนมากกว่านะ เช่นเดียวกับเหวินฮุ่ย”


หากพูดถึงอู่เจิ้งหง เธอเองก็ถือว่าเป็นของมีราคา ช่วงที่อู่เยวี่ยสอบได้คะแนนดี เธอมองอู่เยวี่ยอย่างไม่ชอบใจ ยิ่งตอนนี้อู่เหหมยได้รับรางวัล เธอยิ่งไม่ชอบใจอู่เหมยมากกว่าเดิม ประเด็นหลักคือใครหน้าไหนก็ไม่ควรข้ามหน้าข้ามตาลูกสาวของเธอ หากใครข้ามหน้าคนนั้นก็เป็นแค่ของไร้ค่า


จี้เจี้ยนโปจ้องภรรยาของตน เขาหัวเราะและพูด “เจิ้งหงแค่เป็นห่วงเหมยเหมย ถึงได้พูดจาคัดค้านอู่เหมยออกไป เหอะๆ ผมว่ายังไงอู่เหมยก็ต้องทำได้ ลุงขออวยพรให้อู่เหมยชนะการแข่งขันวาดรูปในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ปักกิ่ง และเอาเกียรติบัตรกลับมาเพิ่มนะ!”


โชคดีที่มีคำพูดของจี้เจี้ยนโปคอยพูดแก้สถานการณ์ ทำให้สีหน้าของอู่เจิ้งซือดีขึ้น อู่เจิ้งหงอยากพูดออกไปอีกแต่กลับถูกคุณย่าคีบเนื้อตูดไก่ยัดใส่ปากให้แทน คุณย่าจ้องมองเธออย่างโหดเหี้ยม และกดเสียงต่ำเพื่อพูด “หุบปาก!”


อู่เจิ้งหงทำได้แค่เบะปากและกัดกินตูดไก่ ทำได้แค่หวังให้ฤดูใบไม้ผลิของปีหน้ามาถึงเร็วๆ และขอให้อู่เหมยไม่ได้รับแม้แต่รางวัลเดียว แบบนั้นเธอถึงจะสบายใจ!


พอทานข้าวไปได้แค่ครึ่งหนึ่ง จี้เจี้ยนโปแอบออกไปตามหาอู่เหมยและเจอเธอกำลังนั่งตากลมอยู่ในสวนหลังบ้าน จึงเข้าไปทักถามเกี่ยวกับเฮ่อเหวินจิ้ง อู่เหมยไม่ชอบการกระทำของจี้เจี้ยนโปที่เอาแต่ตามติดไม่ปล่อย โลภมากและไม่รู้จักพอ นอกจากจะทำผิดต่ออู่เจิ้งหงแล้ว ยังทำลายเฮ่อเหวินจิ้งด้วย


โชคดีที่เฮ่อเหวินจิ้งยังมีจ้าวอิงหนานคอยชักจูงไว้ ทำให้กลับเนื้อกลับตัวได้ทัน และไม่ได้ทำผิดซ้ำๆ ต่อไป


“ครูเฮ่อสบายดีค่ะ ปีหน้าครูก็จะกลับบ้านแล้ว ครูเฮ่ออยากให้คุณอาและอาหญิงใช้ชีวิตคู่อย่างสงบสุข เพราะฉะนั้นอย่าไปพบเจอเธออีกเลยค่ะ”


ประโยคสุดท้ายอู่เหมยพูดเพิ่มเอง ความเป็นจริงเฮ่อเหวินจิ้งยังคงมีความรู้สึกดีๆ ต่อจี้เจี้ยนโปอยู่ แต่ภายใต้แรงกดดันของจ้าวอิงหนาน ความรู้สึกดีๆ นี้ไม่ได้ทำให้เฮ่อเหวินจิ้งมีความกล้ามากพอที่จะกลับไปหาจี้เจี้ยนโปเพื่อรื้อฟื้นความหลัง อย่างมากก็แค่ระบายคำพูดกับอู่เหมยก็เท่านั้น


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 362 ทำร้ายร่างกายมักติดเป็นนิสัย


จี้เจี้ยนโปเดินกลับเข้าห้องรับแขกไปด้วยท่าทีซึมเศร้าเหงาหงอย อู่เหมยยังคงนั่งตากลมเย็นๆ อยู่ในสวน เธอไม่ได้อยากจะเข้าไปนั่งในห้องรับแขกเพื่อทนฟังคำพูดและเห็นสีหน้าของบรรดาญาติพี่น้องเลยสักนิด เพราะเธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนนอก ไม่สามารถทำตัวให้เข้ากับพวกนี้ได้เลย


แม้ว่าจะเกิดเรื่องไม่ค่อยดีขึ้น แต่สุดท้ายมื้อเย็นก็ยังสามารถดำเนินต่อได้ สักพักทุกคนต่างก็ทยอยแยกย้ายกันกลับ อู่เจิ้งซือเองก็ได้ขอตัวและพาภรรยากลับไปด้วย พอออกมาถึงประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัยจิน รอยยิ้มบนใบหน้าของอู่เจิ้งซือได้จางหายไป เขาเอาแต่ทำหน้าบึ้งตึง เดินต่อไปอย่างไม่พูดไม่จา


ดูจากลักษณะแล้ว อู่เจิ้งซือจะกลับไปจัดการเหอปี้อวิ๋นเมื่อถึงบ้านเป็นแน่


อู่เยวี่ยถอนหายใจครั้งหนึ่ง พลางนึกว่าเหอปี้อวิ๋นโง่เกินไป ทั้งที่เรื่องต่างๆ สามารถทำให้เปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ แต่กลับทำให้เธอต้องวุนวายไปหมด ตอนนี้ในใจของเธอหวังแต่เรื่องการสอบในวันพรุ่งนี้ ไม่มีอารมณ์ที่จะไปสนใจต่อเรื่องไร้สาระของเหอปี้อวิ๋น


อีกอย่างในใจของอู่เยวี่ยใช่ว่าจะไม่มีความคิด เหอปี้อวิ๋นทำผิดในเรื่องโง่ๆ หลายครั้ง ไม่เพียงแต่ช่วยอะไรเธอไม่ได้ แต่ในทางกลับกันเอาแต่สร้างเรื่องวุ่นวายให้เธอ แม้ว่าเหอปี้อวิ๋นจะดีกับเธอมากก็ตาม แต่แล้วอย่างไรล่ะ?


สิ่งที่เธออยากได้คือความช่วยเหลือ ไม่ใช่แค่คำพูดดีๆ ไม่กี่ประโยคหรือแม้แต่พวกซุปเป็ดไก่ ซึ่งนั่นมีประโยชน์อะไร?


 แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังหวังให้เหอปี้อวิ๋นเป็นปกติ อย่างไรแล้วลูกที่มีแม่คอยดูแลถึงจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งล้ำค่า และหากมีแรงจูงใจที่ดีมากพอ ไม่แน่ว่าเหอปี้อวิ๋นและอู่เจิ้งซือก็จะไม่ทะเลาะกันหนักกว่านี้ อีกทั้งตอนนี้เธอก็เข้าใจดีแล้วว่า อู่เจิ้งซือถือเป็นศูนย์กลางของเรื่องทั้งหมดในบ้าน เหอปี้อวิ๋นไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย เมื่อก่อนเธอยังไม่เข้าใจเท่าอู่เหมย แม้ว่าเพิ่งเข้าใจก็ถือว่ายังไม่สาย ต่อไปนี้เธอจะเอาความสำคัญทั้งหมดมาลงที่อู่เจิ้งซือ


สิ่งที่อู่เหมยทำได้ เธอเองก็ทำได้ เพราะอย่างไรพ่อก็รักใคร่เอ็นดูแต่เธอ เพียงแค่เธอต้องพยายามใส่ใจให้มาก จะต้องทำให้พ่อกลับมารักเธออีกครั้ง


เมื่อกลับมาถึงบ้าน อู่เจิ้งซือได้เอาเกียรติบัตรจัดวางไว้บนตู้ในห้องรับแขกและชื่นชมอยู่สักพัก ท่าทางดูผ่อนคลายไปบ้าง ทำให้เหอปี้อวิ๋นรู้สึกโล่งใจ และเตรียมตัวจะเดินออกไปทำความสะอาดเตา ก่อนออกไปเธอยุ่งๆ จนไม่ได้ทำความสะอาด ทันใดนั้น…


“เพี้ยะ!”


ทุกคนต่างคาดไม่ถึงว่าอู่เจิ้งซือจะกล้าตบหน้าเหอปี้อวิ๋น และตบได้แรงมาก ครึ่งหน้าของเหอปี้อวิ๋นขึ้นสีแดงก่ำ และมองอู่เจิ้งซืออย่างไม่เชื่อสายตา


เมื่อก่อนเธอกับอู่เจิ้งซือทะเลาะกันน้อยมาก อย่าพูดถึงว่าจะมีเรื่องตบตีเลย แต่ในตอนนี้ ในเวลาไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำ อู่เจิ้งซือกลับตบตีเธอถึงสองครั้ง และยังตบที่หน้าของเธอด้วย


“คุณอู่ ทำไมคุณถึงได้ตบฉันอีกแล้ว?” เหอปี้อวิ๋นถามขึ้นอย่างเจ็บปวด


เมื่อได้ตบไปครั้งหนึ่ง ถึงได้ทำให้อู่เจิ้งซือรู้สึกสบายใจขึ้น


ในเวลานี้ทั้งเขาและเหอปี้อวิ๋นต่างไม่มีใครรู้ว่า การที่ผู้ชายตบตีผู้หญิงจะทำให้ติดเป็นนิสัย มีครั้งแรกมักจะมีครั้งที่สอง พอมีครั้งที่สองก็มักจะมีครั้งที่สาม และครั้งต่อๆ ไปก็จะไม่สามารถควบคุมได้ และนั่นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการศึกษาหรือการเลี้ยงดู


อู่เจิ้งซือเคยตบเหอปี้อวิ๋นไปแล้วครั้งหนึ่ง เพราะอย่างนั้นครั้งที่สองที่เขาตบตีเธอถือว่าเป็นเรื่องปกติมาก ต่อไปก็คงจะมีครั้งที่สามที่สี่เกิดขึ้น และอาจจะเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน เพียงแต่ในตอนนี้พวกเขายังไม่ได้ตระหนักถึงปัญหาตรงจุดนี้


แต่อู่เหมยกลับพึงพอใจมาก และยังคิดว่าอู่เจิ้งซือยังตีได้ไม่โหดพอ ถ้าจะให้ดีต้องใช้ไม้ขนไก่ฟาดแรงๆ ถึงจะพอ!


ทำให้เหอปี้อวิ๋นได้รับรู้รสชาติของการถูกตบตีบ้าง


อู่เจิ้งซือมองเหอปี้อวิ๋นอย่างเย็นชา “ทำไมฉันต้องตบเธอ? ในใจเธอเองยังไม่รู้อีกเหรอ? วันนี้เป็นเพราะเธอฉันถึงได้ขายขี้หน้าไปหมดแล้ว ยัยโง่!”


เหอปี้อวิ๋นพยายามระงับอารมณ์โกรธจนหน้าร้อนผ่าว ในใจเจ็บปวดยิ่งกว่าใบหน้า เธอรู้ดีว่าระหว่างเธอกับอู่เจิ้งซือมีบางอย่างที่แตกหักไปแล้ว และต่อไปก็ไม่อาจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก


“คุณอู่เปลี่ยนไป หรือว่าคุณแอบซ่อนใครไว้เหรอ? เพราะงั้นตอนนี้ถึงได้รังเกียจเมียอย่างฉันที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาถึงขนาดนี้?” เหอปี้อวิ๋นคิดไปถึงเหตุผลอื่น เธอกลับไม่เคยคิดว่าสาเหตุเป็นเพราะตัวเธอเอง ต้องเป็นเพราะว่าอู่เจิ้งซือนอกใจเธอ ถึงได้เอาแต่รังเกียจเธอแบบนี้


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 363 เป็นแค่ของไร้ค่า


อู่เจิ้งซือรู้สึกโกรธกับความคิดของเหอปี้อวิ๋นจึงได้แต่ยิ้มเยาะ ยังกล้าคิดว่าเขาแอบไปมีใครข้างนอกอีก ไม่รู้จะพูดอะไรเลยจริงๆ


“คุณดูตัวเองในตอนนี้สิ โง่เขลาจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ราวกับพวกขี้แพ้แล้วทำตัวล้มเหลว รู้ไหมว่าทุกคนต่างพูดถึงเธอว่ายังไงบ้าง? ขนาดตัวผมเองยังไม่อาจทนฟังได้ ต่อไปนี้เรื่องการเรียนของลูกๆ คุณไม่ต้องจัดการอีก ถ้าว่างๆ ก็อ่านหนังสือเยอะๆ ล่ะ จะได้พัฒนาความรู้ด้านวัฒนธรรมและมารยาท อย่าทำอะไรให้ผมต้องเห็นว่ามันเป็นสิ่งอับอายขายขี้หน้าอีกเลย”


อู่เจิ้งซือพูดด้วยความเย็นชา และไม่ไว้หน้าใดๆ ทุกประโยค ทุกคำพูดเป็นดั่งปลายแหลมคมของใบมีด ที่กรีดลึกลงกลางใจของเหอปี้อวิ๋น ให้เลือดสดๆ ไหลทะลัก


ใบหน้าของเหอปี้อวิ๋นซีดเซียว ราวกับมะเขือที่โดนน้ำค้างแข็งแช่ไว้จนเหี่ยวเฉาไปทั้งตัว


ถูกสามีดุด่าต่อหน้าลูกๆ ทำให้เกิดความอับอาย เธออายจนแทบจะอยากหาที่มุดหนีไป ไม่กล้าแม้แต่จะแหงนหน้ามอง ความโกรธแค้นที่มีต่ออู่เจิ้งซือก็มีมากขึ้น


“คุณอู่ ตอนแรกเป็นคุณเองที่ขอพ่อแม่ให้ยกฉันให้กับคุณ ตอนนี้ฉันอายุมากขึ้นแล้ว คุณกลับจะทอดทิ้งฉัน คุณยังมีความเป็นคนอยู่ไหม?”


เหอปี้อวิ๋นเจ็บปวดจนน้ำตาไหลอาบแก้ม เธอและอู่เจิ้งซือเคยมีช่วงเวลาที่หวานชื่นด้วยกัน แต่มันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน จากที่เคยให้เกียรติซึ่งกันและกัน จนตอนนี้กลายเป็นหยาบคายไร้เหตุผล ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปได้?


ใบหน้าของอู่เจิ้งซือไร้ซึ่งความรู้สึก และพูดขึ้นด้วยความเย็นชา “เธอควรจะถามตัวเธอเองดูบ้างดีไหม? หลายปีที่ผ่านมาเธอทำอะไรไปบ้าง? เธอปฏิบัติกับอู่เหมยยังไง แล้วปฏิบัติกับอู่เยวี่ยยังไง คิดว่าคนภายนอกจะมองไม่เห็นเหรอ? พวกเขาแค่ไม่ได้พูดต่อหน้าเธอเท่านั้นเอง เธอยังมีหน้ามาถามว่าผมยังมีความเป็นคนอยู่ไหม ผมว่าความเป็นคนของคุณต่างหากล่ะที่มีไว้ให้หมากิน!”


เหอปี้อวิ๋นถูกต้อนจนพูดไม่ออก เรื่องที่เธอปฏิบัติกับอู่เหมย เธอเป็นคนผิดจริง


แต่นั่นจะโทษเธอก็ไม่ได้ เพราะอู่เหมยดันไปมีหน้าตาเหมือนกับยัยชั่วนั่นเอง!


“อู่เจิ้งซือปากคุณบอกว่าฉันปฏิบัติกับอู่เหมยได้ไม่ดี แล้วคุณล่ะ? เมื่อก่อนคุณเองพูดจาดีกับเธอนักเหรอ?” เหอปี้อวิ๋นเถียงกลับ


สีหน้าของอู่เจิ้งซือเปปลี่ยนไปเล็กน้อย คำพูดของเหอปี้อวิ๋นได้กรีดลงไปในใจเขา หากเรื่องที่เขาทำกับอู่เหมย เขาเองก็ไม่อาจยืนได้เต็มฝ่าเท้า แต่แค่ในใจเขารู้ดีก็เพียงพอ เหอปี้อวิ๋นเองก็ไม่ถูกที่พูดออกมาต่อหน้าพวกเด็กๆ นั่นทำให้อู่เจิ้งซือได้เปลี่ยนไปกลายเป็นโกรธ สายตาที่ใช้มองเหอปี้อวิ๋นนั้นเย็นชายิ่งกว่าเดิม


อู่เหมยกลับเข้าห้องของตัวเองไปตั้งแต่แรก เธอหมอบอยู่หลังประตูห้องเพื่อแอบฟังเสียงหมาที่กัดกันด้านนอก ช่างน่าสนุกจริงๆ คำพูดของเหอปี้อวิ๋นก็ไม่ผิดเลย อู่เจิ้งซือเองก็ไม่ได้ดีอะไร หากไม่เป็นเพราะตอนนี้เธอเลือกจะเอาใจได้แค่คนเดียว เธอคงไม่ยอมลดตัวไปพัวพันด้วยหรอก!


อู่เยวี่ยยังไม่ได้กลับเข้าห้องไป เธอกำลังดูสถานการณ์ของพ่อกับแม่ราวกับประชาชนทั่วไปที่ทะเลาะกัน คุณด่าฉัน ฉันด่าคุณ ต่างคนต่างพากันต่อต้านอีกฝ่ายจนในใจไม่รู้สึกถึงอะไรดีๆ ต่อให้เธออยากอ่านหนังสือก็คงอ่านไม่เข้าหัว


“พ่อแม่คะ ขอร้องอย่าทะเลาะกันเลย พรุ่งนี้หนูยังมีสอบนะ ให้หนูได้อยู่เงียบๆ สักคืนได้ไหม?” อู่เยวี่ยขอร้องอย่างน่าสงสาร น้ำตาอาบเต็มสองแก้ม


อู่เจิ้งซือและเหอปี้อวิ๋นหยุดการทะเลาะและเงียบเสียงลงในทันที แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่มีความรู้สึกต่อกันแล้ว แต่ถึงอย่างไรความรักที่มีให้ลูกยังเหมือนเดิม และแน่นอนว่าพวกเขาต้องหวังให้อู่เยวี่ยสอบได้คะแนนดีๆ ในวันพรุ่งนี้


“เหอปี้อวิ๋นคุณจำคำพูดผมเอาไว้ ต่อไปนี้อย่ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเรียนของเด็กๆ อีก หาเวลาให้ตัวเองได้อ่านหนังสือบ้าง หากทำไม่ได้คุณหาตำราอาหารมาอ่านก็ยังดี ดูกับข้าวแต่ละอย่างที่คุณทำสิ อย่างกับอาหารที่ทำให้หมูกิน กับข้าวที่อู่เหมยทำยังรสชาติดีกว่าของคุณเป็นไหนๆ”


เมื่ออู่เจิ้งซือมอบหมายหน้าที่ให้เหอปี้อวิ๋นเสร็จ จึงหันมาพูดกับอู่เยวี่ย “เยวี่ยเยวี่ยอย่าไปฟังแม่เขามาก สอบได้ที่หนึ่งมันเป็นเรื่องดีก็จริง แต่ก็อย่าไปคาดหวังกับมันมาก สุขภาพสำคัญที่สุด ต่อไปนี้ทุกคืนต้องเข้านอนก่อนสามทุ่มครึ่ง ทำได้ไหม?”


อู่เยวี่ยพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง แต่ในใจกลับไม่ได้เห็นด้วยกับคำพูดของอู่เจิ้งซือเลยสักนิด เธอจะต้องสอบให้ได้ที่หนึ่ง เพื่อช่วงชิงเกียรติยศของเธอกลับคืนมา!


…………………………………………………………………………………………..ฃ


ตอนที่ 364 พยายามทำให้พวกเธอกลายเป็นโรคประสาท


อู่เหมยยืดตัวขึ้นอย่างนึกเสียดาย ยัยอู่เยวี่ยน่ารำคาญนี่ ทำลายละครฉากสนุกๆ ไปซะได้ หากว่าเธอไม่ขัดเสียก่อน ไม่แน่ว่าอู่เจิ้งซือและเหอปี้อวิ๋นได้ทะเลาะตบตีกันขึ้นมาจริงๆ แน่!


บนโต๊ะที่มีฉิวฉิวกำลังนั่งกินลูกกวาดรสถั่วอย่างเอร็ดอร่อย ก็ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าตัวเล็กถึงได้ชอบกินแต่ลูกกวาด ลูกกวาดรสถั่วที่เหมยซูหานซื้อมาให้ครึ่งจิน ได้ถูกฉิวฉิวกินไปเสียส่วนใหญ่ ฟันของมันถือว่าแข็งแรงมาก กินลูกกวาดเข้าไปตั้งเยอะแต่ก็ไม่เจอฟันผุเลย


ฉิวฉิวกินลูกกวาดอย่างสบายใจ หางใหญ่ๆ ของมันส่ายสะบัดไปมา บ่งบอกได้ว่ามันสบายใจแค่ไหน


อู่เหมยอุ้มฉิวฉิวขึ้นมา เพราะเจ้าตัวเล็กกินลูกกวาดมากเกินไปแล้ว บนตัวของมันมีแต่กลิ่นหอมๆ ของถั่วลิสงลอยออกมาหอมมากๆ อู่เหมยออกแรงขยี้ตัวฉิวฉิว ขนของฉิวฉิวนุ่มลื่นเอามาก ต่อให้เธอจะขยี้แรงแค่ไหนก็ไม่เคยพันเป็นเกลียว และยังให้ความรู้สึกสัมผัสที่มือดีมากๆ หากเธอรู้สึกไม่สบายใจ เพียงแค่อุ้มฉิวฉิวไว้แล้วลูบพลางขยี้ขนมัน ขยี้ได้สักพักก็ทำให้สบายใจขึ้น


ฉิวฉิวเองก็มีนิสัยดี ยอมให้อู่เหมยทรมานร่างกายได้ตามใจชอบ ขอแค่เธอให้ลูกกวาดมันเพียงพอก็พอแล้ว คุณชายฉิวอย่างมันสามารถพูดคุยกันได้ง่าย


เรื่องที่เกิดขึ้นกับอู่เหมยในช่วงนี้ เธอพยายามใช้สมองรวบรวมความคิดขึ้นมา แต่เรื่องสำคัญในตอนนี้คือพรุ่งนี้จะเป็นวันสอบประจำเดือนนี้ของอู่เยวี่ย การสอบครั้งนี้ก็ไม่มีทางที่เธอจะยอมให้ยัยชั่วนั่นสอบได้คะแนนดีๆ


“ฉิวฉิว คืนนี้อย่าลืมไปฉีดน้ำหอมให้เธอด้วยล่ะ!”


อู่เหมยพูดเสียงเบาที่ข้างหูของฉิวฉิวเพื่อกำชับ คุณชายฉิวส่ายหางไปมาเพื่อบ่งบอกว่ามันรับรู้ อู่เหมยจึงแกะลูกกวาดนมรสถั่วแล้วยื่นใส่ปากของฉิวฉิว และเตรียมตัวสำหรับพรุ่งนี้เช้าที่ต้องใส่วัตถุดิบบางอย่างให้เธอ ยาน้ำที่แช่ไว้ในครั้งก่อนยังเหลืออยู่อีกเยอะ เพียงพอที่จะใช้ไปถึงปีหน้า


แต่สำหรับเรื่องที่จะทำให้คนอื่นสงสัยนั้น เธอไม่สนใจเลยสักนิด เธอทำไปทั้งหมดเพื่อเป็นการตอกย้ำว่าสภาพจิตใจของอู่เยวี่ยไม่ปกติ นอกจากจะแก้แค้นเธอในชาติก่อนแล้ว เป้าหมายอีกอย่างก็คือการทำให้อู่เยวี่ยมีกลิ่นเหม็นและท้องเสีย


เธอไปค้นหาข้อมูลมาโดยเฉพาะ โดยข้อมูลกล่าวว่าการที่ได้รับความเครียดมากเกินไป จะทำให้ปวดท้องและกลิ่นตัวจะแรงกว่าปกติ หลายๆ คนจะมีอาการประเภทนี้อยู่ ขึ้นอยู่กับว่าหนักเบาแตกต่างกันออกไป


เธอต้องการจะให้อู่เยวี่ยเป็นเกี่ยวกับโรคประสาท เพราะแรงกดดันในการสอบมีมากเกินไป จึงทำให้สภาพจิตใจของอู่เยวี่ยได้รับความกดดันที่มากเกินไป จนส่งผลมาถึงสภาพร่างกาย คือ ทำให้ท้องเสียและมีกลิ่นตัวได้ โดยทั่วไปแล้วจะไม่เกิดขึ้น แต่พอใกล้ถึงช่วงสอบ อาการเหล่านี้ก็จะปรากฏขึ้น


ครั้งแรกและครั้งที่สองสามารถพูดได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ถ้าหากทุกครั้งเป็นแบบนี้ คงจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญไม่ได้


เกรงว่าพอถึงเวลานั้นจริงๆ ตัวของอู่เยวี่ยเองก็จะเชื่อไปด้วยว่าร่างกายของเธอเป็นประเภทที่ได้รับความเครียดหรือแรงกดดันมากเกินไปก็จะทำให้ท้องเสียและมีกลิ่นตัว และนั่นก็ถือว่าเป็นลางเหตุบอกทางสภาพจิตใจ แค่รอให้เวลาผ่านไปสักพัก บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องให้เธอช่วย แต่ต่อไปร่างกายของเธอก็อาจจะปรากฏอาการแบบนี้ขึ้นมาเองได้


สำหรับเหอปี้อวิ๋น อู่เหมยเองก็อยากจะดึงเธอไปยังทิศทางของโรคประสาท ในตอนนี้อู่เจิ้งซือก็เริ่มจะตีตัวออกห่างจากเหอปี้อวิ๋นแล้วด้วย ดูจากลักษณะแล้ว ยากมากที่จะกลับมาคืนดีกันได้ ถึงตอนนั้นเธอค่อยสุมไฟเพิ่มอีกสักนิดและราดน้ำมันเพิ่มอีกสักหน่อย เหอปี้อวิ๋นอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใช้ความรุนแรงแบบนี้นานๆ สภาพจิตใจไม่แตกหักคงจะแปลก!


ในชาติก่อนตอนที่อยู่สถานีตำรวจ ใครใช้ให้เธอบอกออกไปว่าอู่เหมยเป็นโรคประสาทตั้งแต่เล็กล่ะ!


อีกอย่าง แม่ที่สภาพจิตใจไม่ปกติแล้วให้กำเนิดลูกที่มีสภาพจิตใจไม่แข็งแรง นั่นถึงจะเป็นเรื่องที่ปกติที่สุด!


และยังมีสิ่งสำคัญอีกอย่าง หากว่าเหอปี้อวิ๋นมีสภาพจิตใจไม่ปกติแล้ว อู่เจิ้งซือก็สามารถให้เหตุผลในการหย่าร้างกับเธอได้ คนในตระกูลอู่ก็จะคัดค้านเขาอีกไม่ได้


ภรรยาเป็นโรคประสาท และยังเป็นโรคประสาทที่มีแนวโน้มจะใช้ความรุนแรง หากอู่เจิ้งซือจะยื่นเรื่องหย่าขึ้นมา ใครก็ไม่สามารถพูดอะไรได้!


อู่เหมยนึกไปถึงหนทางที่ดี จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงเบา เธอคาดหวังว่าจะได้เห็นภาพอนาคตเหล่านี้ในเร็ววัน!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 365 ในความเป็นจริงนั้นยากกว่าจะได้มีชื่อเสียง


วันนี้มื้อเย็นของตระกูลเหยียนช้าไปกว่าเดิมนิดหน่อย เพราะคุณปู่เหยียนออกไปพบปะกับเพื่อน พอกลับมาถึงฟ้าก็มืดสนิทแล้ว ทุกคนต่างรอเขาเพื่อทานข้าว กฎของตระกูลเหยียนเป็นแบบนี้ หากคนไม่ครบก็ไม่สามารถเริ่มทานข้าวได้


ดูท่าทีคุณปู่จะอารมณ์ดี อีกทั้งยังฮัมเพลงอยู่ตลอด จนทำให้ตอนทานข้าวคุณย่าหยางอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “ตาแก่มีเรื่องอะไรดีๆ ก็เล่าให้พวกเราฟังบ้างสิ อย่าหัวเราะยิ้มแย้มอยู่คนเดียว”


คุณปู่เหยียนที่รอจะได้ฟังประโยคคำถามนี้จากภรรยาของเขา จึงได้กระแอมเสียงและพูดประเด็นสำคัญออกมา “วันนี้ฉันออกไปนั่งดื่มชากับพวกคุณสวีมา”


คุณย่าหยางเกิดความรำคาญ “ฉันรู้แล้ว ตอนคุณออกไปได้บอกกับฉันแล้ว แต่รีบพูดประเด็นสำคัญสักที อย่าเอาแต่พูดไร้สาระมันเสียเวลา”


คุณปู่เหยียนมองคุณย่าหยางอย่างไม่พึงพอใจ และจึงได้พูดต่อ “ก็คุณสวีเป็นคนในสมาคมวาดรูปไม่ใช่เหรอ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขาได้ไปเป็นกรรมการให้กับการแข่งขันวาดภาพรุ่นเยาวชน แล้ววันนี้คุณสวีก็บอกกับฉันว่าตอนนี้เขาได้เจอต้นกล้าพันธุ์ดีแล้ว เรียนวาดรูปได้แค่สองเดือนก็คว้ารางวัลชนะเลิศอันดับสองมาได้ และเธอยังมีลักษณะการวาดที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองด้วย หากว่าตั้งใจฝึกฝนดีๆ อีกหน่อยต้องมีความสามารถเหลือล้นเป็นแน่”


ท่าทีของคุณย่าหยางบ่งบอกว่าเธอดูตื่นเต้นและแปลกใจ “ว้าว เด็กคนนี้เก่งจริงๆ แล้วเป็นเด็กบ้านไหนกันล่ะ?”


เหยียนหมิงซุ่นใจเต้นรัว ต้นกล้าที่ดีที่คุณปู่พูดถึง ทำไมช่างเหมือนกับยายตัวแสบเลยล่ะ!


คุณปู่เหยียนมุ่ยหน้า เขายิ้มจนตาหยีและแสร้งแสดงสถานการณ์ต่อ “เด็กคนนี้พวกเราต่างก็รู้จัก เป็นลูกของครูคนหนึ่งในอี้จง และยังเคยมาที่บ้านเราด้วย!”


เหยียนหมิงซุ่นแค่ฟังก็รู้ได้ว่าคนที่คุณตาพูดถึงอยู่คืออู่เหมย ในใจรู้สึกดีมาก ยายตัวแสบได้รับรางวัลซะด้วย อีกทั้งยังเป็นรางวัลชนะเลิศอันดับสองด้วย สุดยอดจริงๆ!


คุณย่าหยางกลับไม่ได้รู้สึกดีที่จะมาทายคำกับคุณปู่เหยียน เธอเอาแต่โมโหและรบเร้าคุณปู่ เหยียนหมิงซุ่นจึงแอบกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูเธอเพื่อบอกชื่อของคนคนหนึ่ง คุณย่าหยางถามขึ้นอย่างตื่นเต้น “เป็นตัวแสบอู่เหมยจริงๆเหรอ? เธอไปเรียนวาดรูปตั้งแต่ตอนไหนกัน?”


คุณปู่เหยียนจ้องหลานชายคนโตอย่างไม่พอใจที่แย่งคำพูดของเขาไป น่าโมโหเสียจริง!


“เป็นถึงหลานสาวคนเล็กของตระกูลอู่ ยายแสบนี่เก่งจริงๆ ไม่ทันไรก็ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับสองแล้ว วันนี้ที่ได้ฟังคุณสวีพูดก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่พอดูภาพวาดภาพนั้นก็รู้ได้เลยว่าต้องเป็นยายแสบวาด เอกลักษณ์การวาดแบบนั้นคนอื่นทำไม่ได้หรอก”


คุณปู่เหยียนเอาแต่ชื่นชมต่ออู่เหมย ท่าทีเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก คุณย่าหยางจึงจงใจพูด “เมื่อก่อนบอกว่าอู่เหมยไม่ค่อยฉลาดนัก ไม่ได้เป็นเด็กดีไม่ใช่เหรอ?”


“เมื่อก่อนผมไม่เคยบอกว่าเด็กคนนี้ไม่ดี แค่บอกว่าเธอฉลาดไปหน่อยเท่านั้นเอง แต่ดูจากตอนนี้แล้ว เหมยเหมยถือว่าไม่เลวนะ ฝีมือในการทำอาหารก็ดี แถมยังวาดรูปเก่งอีกด้วย รูปร่างหน้าตาก็ดี ฉลาดไปบ้างก็ไม่ใช่ปัญหา แค่เธอจิตใจดีก็พอแล้ว!”


คุณปู่เหยียนสู้หน้าไม่ค่อยได้ เมื่อก่อนเขามีอคติต่ออู่เหมย แต่ตอนนี้เขาก็เปลี่ยนแล้วไง ยายแก่นี่ชอบทำให้คนอื่นลำบากใจเสียจริง ยิ่งแก่ก็ยิ่งไม่น่ารักเลย


คุณย่าหยางเบะปากมองเขาแต่ก็ไม่ได้ล้ออะไรตาแก่อีก เธอรู้สึกดีใจแทนอู่เหมยจากใจจริงๆ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความสามารถแบบนี้ ในอนาคตไม่ลำบากแน่นอน


คุณปู่เหยียนพูดขึ้นด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ “ในความเป็นจริงนั้นยากนัก กว่าจะได้มีชื่อเสียง แต่ก่อนทุกคนต่างเอาแต่พูดว่าอู่เยวี่ยดี ชื่นชมเด็กคนนี้จนเสียคน แต่ตอนนี้กลับกันกลายเป็นหลานสาวคนเล็กทำเรื่องน่าทึ่งให้คนคาดไม่ถึง ดูท่าภรรยาของครูอู่จะไม่ค่อยฉลาดนัก คะแนนของอู่เยวี่ยตกหล่น เพราะงั้นภาระหน้าที่ต้องตกไปอยู่ที่เสี่ยวเหอ”


แต่คุณย่าหยางกลับไม่เห็นด้วย “ไม่ใช่เหตุผลนี้หรอก เมื่อก่อนเสี่ยวเหอปฏิบัติกับอู่เหมยแย่มาก มีลูกสาวสองคน ทำกับคนหนึ่งราวกับสิ่งล้ำค่า แต่ทำกับอีกคนราวกับต้นหญ้า ฉันมีอายุมากขนาดนี้แล้วยังไม่เคยพบเห็นใครที่เป็นแม่แบบเธอเลย จิตใจลำเอียงไปถึงไหนแล้ว ตอนนี้ยายแสบอู่เหมยพัฒนาแล้ว จะคอยดูว่าเสี่ยวเหอจะยังเอาลูกสาวคนโตไปพูดโอ้อวดในแง่ดีอีกไหม”


เหยียนหมิงต๋าฟังแล้วรู้สึกขัดหู ทำไมคุณปู่กับคุณย่าต้องบอกว่าอู่เยวี่ยไม่ดีด้วย ทั้งที่เยวี่ยเยวี่ยใจดีและเก่งขนาดนั้น ทำไมคุณปู่กับคุณย่าถึงมองไม่เห็นล่ะ?


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 366 เหยียนหมิงต๋าหลงใหลในไหวพริบเข้าแล้ว


เหยียนหมิงต๋าทนไม่ได้จึงเงยหน้าขึ้นและพูด “คุณปู่คุณย่า ทำไมถึงได้พูดถึงเยวี่ยเยวี่ยแบบนั้น? เยวี่ยเยวี่ยเธอทั้งอ่อนโยนทั้งใจดี การเรียนก็ดีเด่นอีก ไม่เห็นจะมีข้อเสียอะไรเลย ผมคิดว่าเยวี่ยเยวี่ยเก่งกว่าเหมยเหมยอีก”


เหยียนหมิงต๋าพยายามเน้นน้ำเสียงในประโยคสุดท้ายมาก นี่เป็นคำพูดที่มาจากใจของเขา ในใจของเขาอู่เหมยเทียบกับอู่เยวี่ยไม่ได้เลยสักนิด แม่แต่ปลายเส้นผมและนิ้วมือก็เทียบไม่ได้


เหยียนหมิงซุ่นหัวคิ้วผูกกันแน่น น้องชายบ้านนี้โง่พอสมควรแฮะ ใจทั้งใจยกให้อู่เยวี่ยเป็นนางฟ้า แต่กลับไม่รู้ว่านางฟ้าคนนี้ไม่ใช่คนดี และไม่ได้มีความอ่อนโยนเลยสักนิด และจิตใจยังไร้คุณธรรม


“นายโดนบังตาไปแล้วหรือไง ฉันมองไม่เห็นข้อดีของอู่เยวี่ยเลย แต่ข้อบกพร่องมีอยู่เต็มไปหมด ต่อไปนายพยามติดต่อกับอู่เยวี่ยให้น้อยลงหน่อยนะ จิตใจโง่ๆ อย่างนาย อู่เยวี่ยถึงได้ชักจูงนายไปง่ายๆ แถมนายยังเอาแต่เพ้อถึงข้อดีของเธออีก!” เหยียนหมิงซุ่นพูดเสียงต่ำเพื่อตำหนิเขา เขาทนเห็นความหลงใหลของเหยียนหมิงต๋าไม่ได้


ชอบใครไม่ชอบ แต่กลับไปชอบอู่เยวี่ยที่มีจิตใจลึกลับซับซ้อน แม้แต่เขาเองยังไม่อาจจะจ้องมองผู้หญิงคนนี้ อู่เยวี่ยหลอกล่อหมิงต๋า ราวกับหลอกล่อลิงให้เล่นกับเธอจนหัวหมุน!


เหยียนหมิงต๋าไม่พึงพอใจ จึงเถียงกลับ “พี่ใหญ่มีอคติต่ออู่เยวี่ยเกินไป พี่ไม่เคยสัมผัสกับอู่เยวี่ยมาก่อน เพราะงั้นพี่ไม่มีสิทธิ์มาพูดแบบนี้”


เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะเยาะ และประชดขึ้น ”ยังต้องให้สัมผัสอีกเหรอ? เรื่องฉาบฉวยของอู่เยวี่ยรู้กันไปทั่วทั้งโรงเรียนแล้ว สภาพจิตใจไม่ปกติ ไหนจะอิจฉาริษยาที่น้องสาวสวยกว่า ตอนดึกดื่นก็ตื่นมาบีบคออู่เหมย เรื่องนี้คุณตากับคุณยายเองก็รู้ หมิงต๋าเองก็คงจะรู้ไม่ใช่เหรอ?”


แน่นอนว่าเหยียนหมิงต๋ารู้ แต่อู่เยวี่ยเคยอธิบายให้เขาฟังตั้งแต่แรกแล้ว และเขาก็เชื่ออู่เยวี่ยด้วย จึงได้พูดแก้ตัวให้ “เป็นเพราะเยวี่ยเยวี่ยฝันร้ายจริงๆ เธอไม่ได้ตั้งใจนี่ อู่เหมยเองก็ใจเสาะเกิน โวยวายเสียงดังจนคนทั้งตึกรู้!”


เหยียนหมิงซุ่นมองเขาอย่างเย็นชา ไอเย็นแผ่ไปทั่วทั้งแผ่นหลังและเหงื่อผุดจนไหลอาบเต็มหลัง คนที่เขากลัวที่สุดในบ้านก็คือเหยียนหมิงซุ่น และกลัวเสียยิ่งกว่าเหยียนโฮ่วเต๋อ


“ถ้างั้นวันนี้พี่ลองบีบคอแก แล้วมาดูกันว่าแกจะยังไม่ร้องอยู่รึเปล่า?”


เหยียนหมิงต๋าค่อยๆ หดคอหลบและไม่กล้าส่งเสียง เขารู้ดีว่าพี่ใหญ่กำลังโกรธ ต่อให้เขาอยากช่วยพูดดีๆ แทนอู่เยวี่ย แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร เขาไม่กล้ามีปัญหากับพี่ใหญ่


คุณย่าหยางพยักหน้าเห็นด้วย “ข้อบกพร่องของอู่เยวี่ยน่ากลัวจริงๆ หากว่าเป็นย่าคงไม่กล้านอนห้องเดียวกับเธอ ยายแสบอู่เหมยช่างน่าสงสารจริงๆ”


เหยียนหมิงซุ่นพูดขึ้นอีก “ส่วนเรื่องกลิ่นเต่าก็คงไม่ต้องพูดถึงแล้วล่ะ เพราะจมูกเหยียนหมิงต๋าไม่รับรู้กลิ่น สูดดมยังไงก็ไม่รู้กลิ่น ฉันจะพูดข้อบกพร่องที่สุดของเธอแล้วกันนะ อู่เยวี่ยเธอชอบพูดโกหก และมีกลอุบายที่ไม่ได้ใสสะอาด คุณสมบัติของความเป็นคนก็แย่เกินไป”


คุณปู่เหยียนและคุณย่าหยางต่างแสดงออกถึงความตกใจ เรื่องนี้พวกเขาไม่เคยรู้ ถ้าหากเป็นเรื่องจริง เด็กอู่เยวี่ยนี่ก็ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว


เหยียนหมิงซุ่นได้เล่าเรื่องครั้งก่อนที่อู่เยวี่ยขโมยเครื่องเงินของอู่เหมยไป และยังทำลายภาพเหมือนของเธอให้ฟัง ครั้งนั้นเขาและสยงมู่มู่ต่างสงสัยว่าเหอปี้อวิ๋นเป็นคนทำ แต่ความเป็นจริงกลับกลายเป็นโทษเหอปี้อวิ๋นแทน คนที่ขโมยไปก็คืออู่เยวี่ย


คุณปู่เหยียนหัวคิ้วผูกกันแน่น เรื่องนี้เขาเองก็รู้ ตอนนั้นเขาเองก็คิดว่าเหอปี้อวิ๋นเป็นคนเอาไป กระทั่งได้ไปตักเตือนว่ากล่าวอู่เจิ้งซือ บอกว่าเขาจัดการเรื่องในบ้านได้ไม่เข้มงวดพอ ตอนนี้ดูเหมือนว่าคำพูดนี้จะถูกต้อง ไม่ใช่จัดการภรรยาไม่เข้มงวดพอ แต่กลับเป็นอบรมสั่งสอนลูกสาวได้ไม่ดีพอ


“พี่ใหญ่พูดเหลวไหล เยวี่ยเยวี่ยจะขโมยของได้ยังไง? พี่ต้องใส่ความเยวี่ยเยวี่ยแน่ๆ!”


เหยียนหมิงต๋าไม่เชื่อเลยสักนิด และยังโกรธมากด้วย เพราะเหยียนหมิงซุ่นสบประมาทหญิงสาวในดวงใจของเขา พี่ใหญ่น่ากลัวเกินไป ทำเพื่ออู่เหมยโดยการใส่ร้ายเยวี่ยเยวี่ย!


คุณย่าหยางใช้ฝ่ามือตบเขาไปทีหนึ่ง พร้อมกับตำหนิ “พี่ใหญ่ของแกจะพูดโกหกได้ยังไง? วันๆ เอาแต่พร่ำหาเยวี่ยเยวี่ย เยวี่ยเยวี่ย ย่าว่าหลานหลงใหลในไหวพริบของเธอเข้าแล้ว”


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 367 หลงใหลไม่เปลี่ยน


คุณปู่เหยียนมองเหยียนหมิงต๋าอย่างเข้มงวด ในใจของเขาและยายแก่ เหยียนหมิงซุ่นถือว่าอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญมาก ไกลเกินกว่าที่เหยียนหมิงต๋าจะเทียบได้ อีกทั้งในความเป็นจริง หลานชายคนโตก็เก่งกว่าหลานชายคนเล็กมาก


เหยียนหมิงต๋าทำหน้าบูดบึ้งอย่างน้อยใจ แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรออกไป มองเหยียนหมิงซุ่นด้วยหน้าตาน่าสงสารราวกับสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง


เหยียนหมิงซุ่นเริ่มใจอ่อน และพูดขึ้นเสียงเบา “แต่ไหนแต่ไรมาพี่ไม่เคยมีเรื่องคับข้องใจอะไรกับอู่เยวี่ย แล้วทำไมพี่จะต้องใส่ร้ายเธอด้วย เรื่องนี้ครูอู่เองก็ทราบ หมิงต๋า หากว่านายไม่เชื่อ นายไปถามครูอู่เองได้เลย แต่นายอย่าไปถามอู่เยวี่ยล่ะ เพราะเธอไม่มีทางยอมรับแน่”


คุณย่าหยางพูดขึ้นอย่างเหยียดหยาม “คุณสมบัติในตัวของยายเด็กอู่เยวี่ยนี่แย่เกินไปแล้ว คะแนนแย่และมีข้อบกพร่องบนร่างกายยังพอเป็นสิ่งที่พอจะรับได้ แต่คุณสมบัติของความเป็นคนควรจะดีด้วยสิ เหอปี้อวิ๋นนี่สมองโดนประตูหนีบเข้าจนเลอะเลือนหรือไง ทำไมถึงได้มองลูกสาวคนนี้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจไปได้ล่ะ?”


คุณย่านึกยังไงก็ไม่เข้าใจ เธอจึงได้ทำได้เพียงกำชับต่อเหยียนหมิงต๋าอีกครั้ง “ต่อไปนี้หลานก็ไปไหนมาไหนกับอู่เยวี่ยให้มันน้อยๆ หน่อย คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล คุณสมบัติในตัวของอู่เยวี่ยแย่ขนาดนี้ ระวังสักวันเธอจะทำให้แกเสียคนได้”


คุณปู่เหยียนเองก็เห็นด้วยมาก “ย่าของแกพูดได้ถูกต้อง รีบตัดขาดความสัมพันธ์กับอู่เยวี่ยซะ หลานของปู่จะคบเพื่อนที่มีปัญหาด้านคุณสมบัติความเป็นคนไม่ได้ ได้ยินไหมหมิงต๋า?”


เหยียนหมิงต๋าพยักหน้าตอบอย่างไม่ค่อยแน่ใจ และเขาเองก็รู้สึกเวียนหัว เพราะเขาไม่เข้าใจว่าอู่เยวี่ยเป็นในแบบที่พี่ใหญ่พูดจริงหรือ?


ไม่ เยวี่ยเยวี่ยไม่ได้เป็นคนแบบนั้นแน่นอน แต่หากว่าเธอขโมยเครื่องเงินของอู่เหมยไปจริงๆ ก็อาจเป็นเพราะเธอมีเรื่องทุกข์ใจ พรุ่งนี้เขาจะต้องไปถามให้ชัดเจน ว่าทำไมอู่เยวี่ยจะต้องแกล้งปั่นหัวเขาด้วย


เหยียนหมิงต๋าเรียกสติตัวเองกลับมา สำหรับสิ่งที่คุณปู่เหยียนและคุณย่าหยางพูด เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาออกไปแล้ว เพราะตัวเขาจะตัดความสัมพันธ์กับอู่เยวี่ยได้อย่างไรกัน?


หากว่าเขาไม่ได้อยู่กับอู่เยวี่ยแล้ว เขาคงกินข้าวไม่อร่อย การนอนก็คงย่ำแย่ แล้วแบบนั้นชีวิตเขาจะมีประโยชน์อะไร?


เช้าวันรุ่งขึ้น อากาศไม่ค่อยดีนัก เพราะเมื่อคืนอุณหภูมิลดต่ำลงและยังมีหิมะโปรยปราย อู่เหมยหยิบเอาเสื้อกันหนาวออกมา แน่นอนว่ามันคือเสื้อที่อู่เยวี่ยเคยใส่ ช่วงนี้ร่างกายของเธอเริ่มโตขึ้น เสื้อกันหนาวตัวนี้ใส่แล้วไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนเมื่อก่อน ที่หลวมๆ แม้มันอาจจะใหญ่ไปบ้าง แต่ก็ดูสวย


อู่เหมยวางแผนว่าจะไปซื้อเสื้อกันหนาวสักตัวหนึ่งที่ห้างสรรพสินค้า แค่บอกกับอู่เจิ้งซือว่าจ้าวอิงหนานให้มาก็จบ เพราะอย่างไรอู่เจิ้งซือก็หลอกง่ายมาก


อู่เยวี่ยสวมใส่เสื้อกันหนาวสีชมพู ที่ดูใหม่เอี่ยม แน่นอนว่าต้องเป็นเหอปี้อวิ๋นที่ซื้อให้เธอใหม่ อู่เหมยเหลือบมองอู่เยวี่ยที่มัดผมอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแค่แวบเดียว และมุมปากกระตุกยกยิ้มขึ้น


ใส่เสื้อผ้าสวยๆ แล้วอย่างไร คนอื่นก็จดจำได้แต่เพียงกลิ่นเหม็นกระชากวิญญาณ!


อู่เหมยได้ทำเหมือนอย่างครั้งก่อนๆ หยดยาน้ำลงไปในถ้วยโจ๊กของอู่เยวี่ย จับจ้องอู่เยวี่ยที่กินโจ๊กไปทีละนิดทีละนิดจนไม่เหลือแม่แต่หยดเดียว อู่เหมยเห็นว่าเป็นเรื่องดี หลังจากที่เธอทานข้าวเช้าเสร็จก็ไปโรงเรียนด้วยความสบายใจ แค่รอฟังข่าวดีในอีกไม่กี่วันนี้


ช่วงนี้ห้องเรียนของอู่เหมยเองก็มีทดสอบประจำบทเรียน ถือว่าเธอสอบได้คะแนนดีขึ้น คณิตศาสตร์ ได้ 81 คะแนน ภาษาและวรรณคดี ได้ 79 คะแนน และภาษาอังกฤษได้ 90 คะแนน ครูประจำวิชาภาษาอังกฤษก็ได้ชื่นชมเธอด้วย ตั้งแต่ที่เธอได้รับรางวัลการแข่งขันวาดรูประดับเยาวชนครั้งนั้น จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครเป็นที่รักของครูได้เท่าตัวอู่เหมยแล้ว


ทุกวันที่เข้าเรียน อู่เหมยมักจะได้รับสายตาเอ็นดูรักใคร่และห่วงใยจากครูเสมอ บางครั้งในเวลาเรียนครูก็จะเรียกให้เธอตอบคำถาม เมื่อเทียบกับแต่ก่อนแล้ว แตกต่างกันราวกับฟ้ากับเหว


ช่วงนี้ถือว่าการเรียนของอู่เหมยผ่อนคลายขึ้นมาก อาจเป็นเพราะสมองเริ่มเปิดรับมากขึ้น เธอรู้สึกว่าตัวเธอเองมีช่องว่างที่พัฒนาขึ้น ต่อไปนี้เธอจะพยายามทำคะแนนทุกวิชาให้ถึง 90 คะแนนให้ได้ แบบนั้นถึงจะทำให้เธอรู้สึกเหนือกว่าอู่เยวี่ยได้


หลังจากที่เลิกเรียนอู่เหมยได้เข้าไปที่ห้องเรียนเยาวชน ช่วงนี้เธอมักจะไปที่ห้องเรียนเยาวชนเพื่อซ้อมเต้นอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง อู่เชาและสยงมู่มู่เองก็อยู่ด้วย พวกเขาเองก็ไปซ้อมการแสดงที่ห้องเรียนเยาวชน ซึ่งมีเฮ่อเหวินจิ้งเป็นคนดูแลทั้งหมด


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 368 สอบเป็นยังไงบ้าง


สยงมู่มู่ดีดพิณกู่เจิงได้ไม่เลว เพลงที่เขาเลือกเล่นเป็นทำนองเบาและไว ง่ายต่อการเต้น และตัวของอู่เหมยอ่อนมาก ถือว่าเธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านการเต้นเป็นอย่างมาก ท่าเต้นหลายๆ ท่าเธอดูแค่ครั้งเดียวก็สามารถทำได้


เฮ่อเหวินจิ้งมักจะพูดเสมอว่าในบรรดานักเรียนที่เธอเคยสอนมา อู่เหมยเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุด ทุกครั้งที่ได้ฟังคำพูดนี้ อู่เหมยมักดีใจจนแทบเสียสติ เธอชอบที่สุดคือการที่คนอื่นบอกว่าเธอฉลาด!


เป็นเพราะความฉลาดของอู่เหมย เฮ่อเหวินจิ้งจึงปรับท่าเต้นอยู่หลายครั้ง ยิ่งปรับก็ยิ่งยาก ต่อให้เรียนเต้นรำโดยเฉพาะก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเต้นได้ อู่เหมยไม่ได้ออกแรงเต้นอะไรมาก แต่กลับออกมาสมบูรณ์แบบ


“เหมยเหมย หากว่าเธอไม่ลงเรียนวาดรูปเสียก่อน ฉันจะต้องให้เธอลงเรียนเต้น เพราะเธอน่ะเกิดมาเพื่อเวทีการแสดง หากว่าไม่เต้นจะเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมาก!” เฮ่อเหวินจิ้งอิจฉาเป็นอย่างมาก


เมื่อเทียบกับการวาดรูปแล้ว เธอชอบการเต้นมากกว่า แต่ด้วยส่วนสูงของเธอที่สูงเกินกว่าคนอื่นไปมาก หากยืนอยู่บนเวทีคงจะโดดเด่นไปกว่านักเต้นคนอื่นๆ และเป็นเพราะสูงเกิน เลยทำให้ท่าเต้นหลายๆ ท่าทำออกมาได้ไม่ดีนัก เธอจึงทำได้แค่ทิ้งสิ่งที่เธอรักอย่างการเต้นไป


แต่อู่เหมยกลับไม่ได้ชอบในการเต้น เธอไม่ชอบแสดงความสามารถของตัวเองต่อหน้าฝูงชนจำนวนมาก อีกทั้งการเต้นก็เป็นอะไรที่เหนื่อย เธอไม่อยากลำบากมาก และอีกอย่างการวาดรูปก็เป็นสิ่งผ่อนคลายกว่า


“ครูเฮ่อคะ ถ้าครูยอมสอนพิณกู่เจิงให้หนู หนูจะเต็มใจเรียนมากค่ะ” อู่เหมยพูดด้วยรอยยิ้ม และสะบัดแขนเสื้อยาวๆของชุด ที่ดูสวยงามเป็นอย่างมาก และอู่เหมยกำลังอยู่ในช่วงเจริญอาหาร การสะบัดแขนเสื้อถือเป็นการใช้แรงอย่างมาก


เฮ่อเหวินจิ้งเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่แวบเดียวก็สลดใจ “ได้สิ รอให้พวกเธอแสดงงานวันปีใหม่เสร็จสิ้น ครูจะสอนเธอเล่นพิณกู่เจิงเอง แต่น่าเสียดายที่หลังจากงานวันปีใหม่ครูก็จะต้องกลับเมืองหลวงแล้ว มากสุดคงได้สอนเธอแค่หนึ่งเดือน”


สยงมู่มู่พูดขึ้นเสียงดัง “ยังมีพี่นะ พี่ก็เล่นพิณกู่เจิงได้ดีเหมือนกัน แค่สอนน้องพี่มีเวลาเหลือเฟือ!”


เฮ่อเหวินจิ้งหัวเราะ “ถูกต้องจ้ะ มู่มู่เล่นพิณกู่เจิงได้ไม่เลวเลย เหมยเหมยต่อไปก็ขอให้มู่มู่สอนล่ะ”


อู่เหมยหันไปทำหน้ายักษ์ใส่สยงมู่มู่ ซึ่งสยงมู่มู่เองก็มองเธออย่างเอือมระอา ส่วนอู่เชาพอเห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจ อู่เหมยทำตัวสนิทกับพี่น้องนอกไส้อย่างสยงมู่มู่มากกว่าเขาเสียอีก ยายเด็กบ้านี่ไม่แยกแยะความสัมพันธ์ใกล้ไกลเลย


“ผมคิดว่าการแสดงของพวกเราต้องได้รับรางวัลดีๆ สักตำแหน่ง ครั้งนี้เราดูโดดเด่นกว่าการแสดงอื่นเป็นสิบเท่า” อู่เชามั่นใจเป็นอย่างมาก


สยงมู่มู่ถอนหายใจ “ไร้สาระ การแสดงที่ฉันซ้อมอยู่จะแย่ได้ไง? พวกเธอเตรียมรอที่จะได้ขึ้นแสดงเวทีงานปีใหม่ของเมืองได้เลย!”


อู่เหมยไม่ได้คาดหวังเลยสักนิด เอาแต่สะบัดแขนที่เริ่มปวดไปมาพร้อมพูด “งานปีใหม่ของเมืองมีอะไรดีเหรอ? เต้นจนเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว แถมยังไม่ให้เงินพวกเราด้วย”


สยงมู่มู่และอู่เชาต่างพากันมองอู่เหมยอย่างเอือมๆ และพูดขึ้นพร้อมกันอย่างตำหนิ “ได้เข้าร่วมแสดงงานปีใหม่ของเมือง ถือเป็นเกียรติอย่างมาก ทำไมเธอถึงได้คิดถึงแต่เรื่องเงิน? เธอนี่มันเห็นแก่เงินจริงๆ ยายสามัญชน!”


อู่เหมยถูกเพื่อนและพี่ทั้งสองคนบ่นเสียงดังอยู่ข้างหู และยังมีน้ำลายที่กระเด็นทั่วใบหน้าของเธอ เธอจึงทำได้แต่เช็ดใบหน้าเข้ากับแขนเสื้อ และตะโกนด้วยความโมโห “ต่อไปนี้ก็อย่ากินซาลาเปาไข่ปูของฉันอีก เพราะความสามัญชนของฉันมันจะทำให้คุณธรรมของพวกนายหม่นหมองได้”


อู่เชาและสยงมู่มู่หน้าถอดสีในทันที พลางใช้มือตบหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด ลืมเรื่องที่ยายแสบนี่มีเงินไปเสียสนิทเลย!


เฮ่อเหวินจิ้งมองพวกเด็กๆ ที่ดูมีพละกำลังอย่างหัวเราะชอบใจ เธอเองก็พลอยอารมณ์ดีตามไปด้วย และทำให้ลืมเรื่องเครียดไปได้


เมื่ออู่เหมยกลับมาถึงบ้าน เหอปปี้อวิ๋นได้ทำมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย อู่เยวี่ยเองก็กลับมาถึงแล้ว สีหน้าเธอดูไม่ค่อยดีนัก อู่เหมยแอบพอใจอยู่ภายในใจ และถามออกไปอย่างอดไม่ได้ “พี่คะ วันนี้สอบเป็นยังไงบ้าง?”


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 369 สอบได้แย่อีกแล้ว


อู่เยวี่ยได้แต่นิ่งเงียบ เธอรู้ดีว่าครั้งนี้สอบได้แย่อีกแล้ว ทั้งที่บนตัวเธอไม่ได้มีกลิ่นเหม็นมานานแล้ว แต่ทำไมวันนี้กลิ่นประหลาดนั้นถึงได้กลับมาอีก เหมือนกับครั้งก่อนมาก และเธอก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมา ในหนึ่งวันต้องวิ่งเข้าออกห้องน้ำอยู่หลายหน ขับถ่ายจนทำให้เธอรู้สึกอ่อนเพลีย ร่างทั้งร่างแทบทรงตัวไม่อยู่


เธอไม่รู้เลยว่าตัวเองทำข้อสอบเสร็จได้ด้วยวิธีไหน ข้อสอบหลายๆ ข้ออยู่ในเนื้อหาที่เธอเคยทบทวนมาแล้วทั้งหมด แต่พอถึงเวลาสอบ ในหัวเธอกลับขาวโพลน อีกทั้งยังนึกไม่ออกว่าคำถามพวกนี้ควรจะตอบอย่างไร!


กระทั่งแค่เรียงความเธอเองก็ไม่รู้ว่าเขียนเสร็จไปได้อย่างไร ตรงเนื้อหาส่วนหลังที่เธอเขียนออกมา ยังไม่รู้เลยว่าคืออะไร รู้สึกเพียงว่าไม่ตรงกับหัวข้อ!


และยังมีวิชาคณิตศาสตร์ ที่คำถามข้อสุดท้ายก็ยังทำไม่เสร็จ เพราะเวลาไม่พอ เวลาสอบไม่เพียงพอต่อการสอบครั้งหนึ่งของเธอ อู่เยวี่ยอยากจะหาซื้อเต้าหู้มาเพื่อเอาหัวไปโขกให้ตายไปเสีย


เธอพยายามเรียกสติตัวเองกลับมา เธอจะยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ได้ พรุ่งนี้ยังเหลืออีกสี่วิชา เธอเองยังมีโอกาสที่จะพลิกผันได้ จะต้องตั้งสติและใจเย็น ต่อให้ไม่สามารถรักษาที่หนึ่งถึงสามไว้ได้ แต่อย่างน้อยต้องรักษาที่หนึ่งถึงสิบไว้ให้ได้


ในใจของอู่เยวี่ยได้เปลี่ยนไปมาก เธอไม่ได้สนใจต่อที่หนึ่งอีกแล้ว ตอนนี้เธอหวังเพียงไม่แพ้จนน่าอับอาย อย่างน้อยแค่ให้อยู่ในลำดับหนึ่งในสิบก็พอแล้ว


“ก็พอได้จ้ะ ขอบใจเหมยเหมยนะที่เป็นห่วง” อู่เยวี่ยยิ้มบางส่งให้ พูดในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับจิตใจ


อู่เหมยมองเธอราวกับการยิ้มแต่กลับเป็นการเยาะเย้ย ยังทำเป็นใจดีสู้เสืออีกเหรอ อีกไม่กี่วันได้รู้กัน


“ยินดีกับพี่ด้วยนะคะ ครั้งนี้ต้องได้ที่หนึ่งแน่ๆ” อู่เหมยยิ้มจนตาหยีและพูดขึ้นอย่างจริงใจ


เหอปี้อวิ๋นยกหมูน้ำแดงเดินเข้ามา มองอู่เหมยแค่หางตา แล้วหันไปส่งยิ้มให้ “ลำบากเยวี่ยเยวี่ยแล้ว รีบกินข้าวเถอะ กินเสร็จจะได้รีบเข้าไปพักผ่อน พรุ่งนี้ยังมีสอบอีก!”


อู่เยวี่ยลุกขึ้นยืนและมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป มือเธอกุมอยู่ที่ช่วงท้องและวิ่งเข้าห้องน้ำไป ทำให้เหอปี้อวิ๋นยืนนิ่งเงียบไป พลันได้สติ “เยวี่ยเยวี่ยเป็นอะไรไปลูก? ปวดท้องอีกแล้วเหรอ?”


เหอปี้อวิ๋นเองก็รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่าง ช่วงที่อู่เยวี่ยกลับบ้านมา บนตัวมีกลิ่นเหม็น แต่เธอทำเหมือนว่าไม่ได้กลิ่นใดๆ เพราะเกรงว่าจะทำร้ายความรู้สึกของอู่เยวี่ย แต่ตอนนี้อู่เยวี่ยกลับไม่สบายท้องอีกแล้ว นั่นจึงทำให้เธอนึกถึงการสอบรายเดือนเมื่อเดือนก่อน


การสอบรายเดือนในครั้งก่อน อู่เยวี่ยมีลักษณะเดียวกันกับตอนนี้ทุกอย่าง บนตัวมีกลิ่นเหม็น และยังท้องเสียอีก จนสุดท้ายเยวี่ยเยวี่ยก็สอบได้แย่มาก หรือว่า…


เหอปี้อวิ๋นเริ่มมั่นใจในการคาดการณ์ของตัวเอง และยังถอนหายใจออกมา เยวี่ยเยวี่ยต้องสอบได้ที่หนึ่งอยู่แล้ว จะสอบออกมาแย่แบบนี้ได้อย่างไร?


ผ่านไปสี่ถึงห้านาที อู่เยวี่ยก็เดินออกมาจากห้องน้ำ อู่เยวี่ยเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยท่าทีโซซัดโซเซ ใบหน้าซีดขาวกว่าเดิม และนัยน์ตาเริ่มเลือนราง ดูรวมๆ แล้วไม่ดีเอาเสียเลย


เหอปี้อวิ๋นรีบเข้าไปถาม “เยวี่ยเยวี่ย ไม่สบายท้องใช่ไหม? รีบไปกินยาล้างพิษก่อน ยานั่นช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย”


“ไม่มีผลหรอก ยาล้างพิษไม่มีผลเลยสักนิด ต้องเป็นเพราะซาลาเปาไส้หมูตอนเช้าที่แม่ทำแน่ๆ แม่ต้องใช้เนื้อที่หมดอายุมาทำอีกแน่เลย!” อู่เยวี่ยระเบิดอารมณ์ออกมากะทันหัน เธอจะต้องหาแพะมารับบาป และเหอปี้อวิ๋นก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด


เป็นเพราะตอนเช้ามีซาลาเปาไส้หมู ครั้งก่อนที่เธอท้องเสีย สาเหตุก็เกิดจากการที่เธอกินเนื้อหมูที่หมดอายุ และในครั้งนี้ก็จะต้องเป็นเหตุผลเดียวกัน มิเช่นนั้นเธอจะท้องเสียขึ้นมาโดยไม่สามารถจับต้นชนปลายได้หรือ?


เหอปี้อวิ๋นที่ถูกอู่เยวี่ยด่าทอ จึงเริ่มรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และพูดเสียงเบาเพื่อแก้ตัว “เยวี่ยเยวี่ย ตอนนี้แม่ไม่ได้ทำเนื้อเค็มเองแล้ว ซาลาเปาไส้หมูตอนเช้า ก็ทำมาจากเนื้อสดที่ซื้อมาจากเมื่อวาน ตอนนี้อากาศหนาวขนาดนี้ เนื้อคงไม่เสียได้ในหนึ่งคืนหรอกนะ”


“มันต้องเสียแน่ๆ ไม่อย่างงั้นหนูจะท้องเสียได้ยังไง? มันต้องเสีย!”


อู่เยวี่ยร้องไห้จนไม่มีเสียง เธอเองก็รู้ดีว่าเนื้อหมูในซาลาเปาที่เธอกินตอนเช้าไม่ได้มีปัญหา แต่เธอก็จำเป็นต้องหาเหตุผลให้ตัวเอง ไม่อย่างนั้นเธอจะยิ่งรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 370 จุดธูปไหว้ผู้อาวุโสทุกวัน


แม้ว่าเหอปี้อวิ๋นจะรู้สึกน้อยใจ แต่พอเธอได้เห็นลูกสาวอันเป็นที่รักร้องไห้จนแทบขาดใจ เธอกลับเจ็บปวดใจยิ่งกว่า จึงทำได้เพียงประนีประนอมไป “เป็นความผิดของแม่เอง ต่อไปนี้แม่จะไปซื้อเนื้อในช่วงเช้ามาทำ จะต้องไม่มีเนื้อที่เสียอีกแน่!”


อู่เหมยแอบลอบยิ้มกับตัวเอง แสร้งทำเป็นพูดขึ้นด้วยความตกใจ “พี่คิดไปเองหรือเปล่าคะ ซาลาเปาไส้เนื้อที่กินตอนเช้ารสชาติดีมาก หนูกินไปแล้วห้าลูกยังไม่เห็นจะท้องเสียเลย ต้องเป็นเพราะพี่ไปกินอะไรมั่วๆ ข้างนอกอีกหรือเปล่า?”


อู่เยวี่ยออกแรงส่ายหน้าไปมา “นอกจากข้าวเช้าที่กินในบ้าน ในตอนเที่ยงฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย จะกินของเสียที่อื่นได้ยังไง?”


เหอปี้อวิ๋นเปิดฝากระบอกน้ำร้อนของอู่เยวี่ยออก ตอนเช้าที่เธอยกข้าวมาวางไว้ก็ไม่ได้กินเลย พลางรีบถามขึ้น “เยวี่ยเยวี่ยทำไมลูกไม่ทานมื้อเที่ยง? แบบนี้ไงเลยทำให้ไม่สบายท้อง”


“หนูจะกินลงได้ยังไง? วันนี้หนูวิ่งเข้าห้องน้ำเป็นสิบรอบ แม้แต่น้ำหนูยังไม่อยากดื่ม ข้าวก็ยิ่งไม่อยากกิน” เยวี่ยเยวี่ยพูดขึ้นเสียงดัง เธอกลั้นใจอดทนมาได้ทั้งวัน แต่คำพูดของเหอปี้อวิ๋นทำให้เธอหมดความอดทน


อู่เจิ้งซือที่หัวคิ้วผูกกันเป็นปม แค่มองสถานการณ์ตรงหน้า เขาก็รับรู้ได้ว่าลูกสาวคนโตต้องสอบได้คะแนนแย่อีกแล้ว!


การสอบในครั้งนี้ของเธอ เขาได้เตรียมใจมามากพอสมควร เขาไม่ได้มีหวังอะไรมากสำหรับการสอบรายเดือนของอู่เยวี่ย หากหวังไว้มาก ความผิดหวังก็ยิ่งมาก ในทางกลับกัน หากไม่หวังอะไรมาก แน่นอนว่าความผิดหวังก็จะไม่มากตาม


“เยวี่ยเยวี่ย ระวังคำพูดหน่อย มารยาทของลูกไปไหนแล้วล่ะ?”


อู่เจิ้งซือมองอู่เยวี่ยด้วยความดุดัน แม้ในตอนนี้เขาจะไม่ชอบเหอปี้อวิ๋น แต่อย่างไรเหอปี้อวิ๋นก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ อู่เยวี่ยพูดจาด้วยน้ำเสียงแบบนี้ไม่สมควรอย่างยิ่ง ฟังแล้วขัดหูมาก


อู่เหมยเองก็ตามน้ำไปด้วย “พี่คะ พี่สอบได้ไม่ดีทำไมต้องโทษแม่ด้วยล่ะคะ? แม่ดีกับพี่ขนาดนี้ คาบไว้ในปากก็กลัวว่าจะละลาย พอประคองด้วยมือก็กลัวจะตกหล่น ประคบประหงมพี่ดีขนาดนี้ พี่นี่ใจร้ายชะมัดเลย”


เธอยังพูดต่ออีกว่า “หากแม่ดีกับหนูได้สักครึ่งหนึ่งของพี่ หนูคงได้บูชาแม่เหมือนกับพระโพธิสัตว์ จุดธูปไหว้ผู้อาวุโสอยู่ทุกวันเลย”


ครึ่งประโยคฟังแล้วรู้สึกดีมาก และทำให้เหอปี้อวิ๋นพึงพอใจ อีกทั้งยังรู้สึกได้ว่าช่วงนี้ลูกสาวคนเล็กมีพัฒนาการด้านคำพูดคำจา ฟังแล้วลื่นหูขึ้น แต่ประโยคหลังที่พูดกลับทำให้ไม่อยากฟังต่อ จุดธูปไหว้บ้าอะไร?


สาปแช่งว่าเธอเป็นคนตายเหรอ?


เหอปี้อวิ๋นจ้องหน้าอู่เหมยอย่างโกรธแค้น “วันๆ แกจะเปรียบเทียบอะไรกับพี่แกเหรอ? อย่างแกนี่สู้พี่แกคง…”


อู่เหมยตอกกลับคำพูดของเธอ โดยไม่มีความโกรธเคืองอะไร หัวเราะและพูดออกไป “แม่เองก็อย่าเอาแต่บอกว่าหนูเทียบกับพี่ไม่ได้สิคะ พี่ก็แค่คะแนนสูงกว่าหนูนิดหน่อย แต่อย่างอื่นไม่เห็นว่าจะเทียบอะไรหนูได้?”


เหอปี้อวิ๋นกำลังจะด่าขึ้น แต่กลับถูกอู่เหมยตอกกลับอย่างรวดเร็ว “เรามาพูดถึงความจริงกันเถอะค่ะ คนอื่นๆ ต่างบอกว่าหนูสวยกว่าพี่ แค่รูปร่างหน้าตาพี่ก็แพ้หนูแล้วและหนูก็ไม่มีกลิ่นเต่า แต่พี่มีกลิ่นเต่า หนูทำอาหารและงานบ้านได้ แม้แต่ถุงเท้าพี่ยังซักไม่เป็นเลย และหนูยังวาดรูป เต้นรำได้ อีกทั้งยังได้รับรางวัลวาดรูปด้วย!”


ทุกคำพูดของอู่เหมย ทำให้สีหน้าของอู่เยวี่ยซีดเผือดไปกว่าเดิมมาก ความรู้สึกของอู่เจิ้งซือก็เริ่มหนักแน่นขึ้นมา สิ่งที่ลูกสาวคนเล็กพูดเป็นความจริงทุกอย่าง แบบนี้แล้ว ดูเหมือนว่าอู่เหมยจะแข็งแกร่งกว่าอู่เยวี่ยมาก


แปลกมาก ทำไมเมื่อก่อนเขาไม่เคยคิดถึงจุดนี้เลย?


ในใจคิดเพียงแค่ว่าลูกสาวคนเล็กไม่มีการพัฒนาใดๆ!


สีหน้าของเหอปี้อวิ๋นได้เปลี่ยนไปจากเดิม เธอไม่อยากยอมรับสิ่งเหล่านี้ แต่ความเป็นจริงมันเป็นเช่นนี้ หากเธอจะไม่ยอมรับก็คงเป็นไปไม่ได้


ลูกสาวสุดที่รักที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของเธอ นึกไม่ถึงว่าจะถูกยายเด้กบ้านี่บีบจนจมไปได้ ด้านหน้าเธอที่มีอู่เหมยและอู่เยวี่ยอยู่ ราวกับได้ฉายภาพเธอกับยายชั่วนั่นขึ้นอีกครั้ง


ยายชั่วนั่นแกร่งกว่าเธอทุกอย่าง มีเพียงแค่เรื่องการเรียนที่ไม่เอาไหน แม้ว่าคะแนนของเธอจะไม่ได้ดีมากนัก แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่เธอสามารถเอาชนะยายชั่วนั้นได้ และอีกสิ่งหนึ่งคือลำดับในตระกูล


แต่ยายชั่วนั่นกลับบอกว่า ‘เธอมีแต่คะแนนที่ดี แต่อย่างอื่นมีอะไรที่เหนือกว่าเธอเหรอ?’


ในตอนนี้อู่เหมยเองก็พูดออกมาแบบนี้ สองคนนี้พูดออกมาได้เหมือนกันทุกอย่าง เหอปี้อวิ๋นกลับใจลอยขึ้นมา เธอเริ่มไม่สามารถแยกแยะได้ระหว่างเหตุการณ์ในตอนนี้และเหตุการณ์ในครั้งนั้น ราวกับกาลเวลาได้หวนย้อนกลับมาอีกครั้ง!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 371 แปลกประหลาด


เหอปี้อวิ๋นส่ายหน้าไปมา และพยายามเรียกสติตัวเอง มองไปยังอู่เหมยด้วยความโกรธแค้น และโกรธแค้นเด็กหญิงคนนีมากเสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เธอพูดขึ้นอย่างเย็นชา “พี่สาวแกคะแนนสูงกว่าแก นั่นก็แสดงว่าพี่เขาเก่งกว่าแกเป็นร้อยเท่า สิ่งที่แกถนัดเป็นแค่ของนอกกายที่ผิดทำนองคลองธรรม ในอนาคตจะมีประโยชน์อะไร!”


อู่เจิ้งซือตำหนิอย่างไม่พอใจ “เหอปี้อวิ๋น เธอพูดจาไร้สาระต่อหน้าลูกได้ยังไง? วาดรูปเต้นรำจะเรียกว่าผิดทำนองคลองธรรมได้ยังไง? ทั้งหมดนี่ถือเป็นมรดกอันล้ำค่าของชนชาติหวาเซี่ยที่สืบเนื่องกันมาหลายพันปี มีความลึกซึ้งและกว้างไกลมาก ตอนกลางคืนเธอก็หาหนังสือมาอ่านบ้างนะ ต่อไปนี้อย่าทำเรื่องอับอายขายขี้หน้าอีก!”


อารมณ์โมโหของเหอปี้อวิ๋นกลับยิ่งทวีคูณ เพียงแค่เธอนึกถึงยายชั่วคนนั้น ความอดทนของเธอก็เริ่มหมดไปอย่างรวดเร็ว มองอะไรก็ดูขวางหูขวางตาไปหมด จึงได้ตอบกลับไปอย่างเดือนดาล “เมื่อก่อนฉันก็พูดแบบนี้ ทำไมคุณไม่ว่าอะไรล่ะ? แต่ตอนนี้กลับมาบอกว่าฉันดีแต่ทำเรื่องอับอายขายขี้หน้า แล้วทำไมการวาดรูปเต้นรำจะเรียกว่าผิดทำนองคลองธรรมไม่ได้? หน้าที่หลักของนักเรียนคือการตั้งใจเรียนไม่ใช่เหรอ? ฉันพูดผิดตรงไหน!”


อู่เหมยไม่ได้เต็มใจที่จะให้ทั้งสองคนทะเลาะกัน แม้มันจะน่าดูก็ตาม และจุดประสงค์ในวันนี้คือจัดการกับอู่เยวี่ย ไว้วันหลังค่อยจัดการกับเหอปี้อวิ๋น


“แม่ไม่ได้พูดผิดค่ะ แต่พ่อเคยบอกแล้วว่าจะต้องเรียนรู้และผ่อนคลายควบคู่กัน จะเอาแต่อ่านหนังสือจนตายก็ไม่ดี พ่อคะ พ่อว่าหนูพูดถูกไหม?”


อู่เจิ้งซือพยักหน้าตอบอย่างพึงพอใจ อารมณ์โกรธที่มีเริ่มดีขึ้น คำพูดพวกนี้ถือเป็นคำพูดที่เขาเคยพูดไว้ แม้แต่ลูกสาวคนเล็กก็ยังจำมันได้ทั้งหมด


อู่เหมยมองไปยังอู่เยวี่ย และพูดต่อ “หนูเรียนวาดรูปและเต้นรำก็เพื่อเรียนรู้และผ่อนคลายควบคู่กัน แบบนั้นจะทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนสูงขึ้น เมื่อก่อนหนูไม่รู้ถึงจุดนี้ รู้แค่ว่าอ่านหนังสือไปจนตาย จนสุดท้ายผลลัพธ์กลับไม่ดีขึ้นเลย ในเทอมนี้หนูเชื่อฟังคำพูดของพ่อ ทำให้การเรียนพัฒนาได้อย่างชัดเจน ทุกวันนี้ครูถึงได้ชื่นชมหนู!”


เหอปี้อวิ๋นสบถเสียงเบาครั้งหนึ่ง และตั้งใจหันหน้าหลบไป ไม่อยากมองหน้าอู่เหมยที่เธอโกรธแค้น


ริมฝีปากของอู่เจิ้งซือค่อยๆ ยกยิ้ม สีหน้าดูดีขึ้นมามาก ช่วงนี้ถือว่าลูกสาวคนเล็กแสดงออกได้ไม่เลว ตัวเขาเองก็ได้รับสายจากผู้อำนวยการหยวนอยู่หลายครั้ง และทุกครั้งก็มักจะโทรมาชื่นชมอู่เหมย กลับกันที่อู่เยวี่ยไม่เคยได้รับคำชมเลย เปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ!


อู่เจิ้งซือมองไปยังอู่เยวี่ยและพูดเสียงต่ำ “เยวี่ยเยวี่ย น้องเองก็พูดได้มีเหตุผล ต่อไปลูกอย่าเอาแต่อ่านหนังสืออย่างเดียว ต้องคอยฝึกฝนและพัฒนาความชอบของตัวเองบ้าง ลูกดูอู่เหมยในตอนนี้สิ ถือว่าดีขึ้นมากเลยนะ!”


อู่เหมยพึงพอใจเป็นอย่างมากและมองไปยังอู่เยวี่ยแค่แวบเดียว จะให้นักเรียนหัวกะทิที่เคยภาคภูมิใจ มาหัดเรียนรู้จากเด็กบ๊วยอย่างเธอ ไม่รู้เลยว่าในใจของอู่เยวี่ยตอนนี้เป็นอย่างไร?


เหอปี้อวิ๋นพูดอย่างโกรธเคือง “คุณอู่ คุณถูกยัยเด็กนี่ต้มไปทั้งวิญญาณจนหลงใหลมันแล้วเหรอ? ถึงขนาดว่าต้องให้อู่เยวี่ยเรียนรู้จากยัยเด็กนี่ คุณนี่ช่างไร้สาระ!”


อู่เยวี่ยกัดปากตัวเองแน่น กลิ่นคาวเลือดค่อยๆ เจือจางในปาก ทั้งหวานทั้งคาว


จะให้เธอเรียนรู้จากอู่เหมย?


แม่พูดได้ไม่ผิดเลย พ่อไร้สาระมาก ต่อให้เธอจะสอบได้ไม่ดี แต่ถ้าต้องอยู่ในจุดตกต่ำนั้น แล้วทำไมจะเทียบกับอู่เหมยไม่ได้?


แต่คำพูดนี้เธอจะพูดออกไปไม่ได้ สอบรายเดือนยังไม่เสร็จสิ้น พรุ่งนี้เธอจะต้องพยายามทำให้ดี จะไม่ยอมให้ปัจจัยภายนอกต่างๆ มามีผลกระทบใดๆ


เธอจะต้องใช้คะแนนมาเป็นตัวหักล้างคำพูดของพ่อให้ได้!


คนอย่างอู่เยวี่ยจะต้องชนะอู่เหมยตลอดไป ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคนิคการเรียนของอู่เหมย!


อู่เจิ้งซือตำหนิเหอปี้อวิ๋น “เรื่องการเรียนของพวกเด็กๆ ฉันไม่ต้องการให้เธอเข้ามายุ่ง เธอไปทำกับข้าวได้แล้ว”


เหอปี้อวิ๋นเดินออกไปยังระเบียงด้วยความโกรธแค้น และบ่นด่ากับตัวเอง เรื่องการเรียนของยายเด็กนั่นถ้าต้องให้เธอยุ่งเธอก็ไม่อยากยุ่ง แต่กับอู่เยวี่ยเธอจำเป็นต้องยุ่ง สำหรับเธอแล้วอู่เจิ้งซือไม่เข้าใจเกี่ยวกับการเรียนเลยสักนิด คิดไม่ถึงว่าจะให้อู่เยวี่ยเรียนรู้จากยายเด็กนั่น ช่างเป็นเรื่องตลกเสียจริง


อู่เหมยได้หันไปมองใบหน้าบูดบึ้งของอู่เยวี่ยอีกครั้ง และตั้งใจพูดขึ้น “พ่อคะ พ่อไม่สงสัยเรื่องที่พี่มีกลิ่นตัวและคิดว่าอาการท้องเสียมันจะดูแปลกๆ เหรอคะ?”


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 372 มีหนังสือเป็นหลักฐาน


“แปลกตรงไหน!”


เหอปี้อวิ๋นที่อยู่ตรงระเบียง ได้เดินกลับเข้ามาอีกครั้ง และจ้องเขม็งไปที่อู่เหมย เธอเป็นห่วงสุขภาพของอู่เยวี่ยยิ่งกว่าใคร และที่สำคัญเธอเองก็รู้สึกว่ากลิ่นตัวเหม็นๆ และอาการท้องเสียของอู่เยวี่ยเป็นสิ่งที่แปลก


อู่เจิ้งซือเองก็ได้มองไปยังอู่เหมย ส่งสัญญาณว่าให้เธอรีบพูดออกมา อู่เยวี่ยเองก็ตั้งหน้าตั้งตาฟัง แม้ว่าเธอจะรู้ว่าอู่เหมยไม่มีทางจะพูดจาน่าฟัง แต่เธอเองก็อดไม่ได้ที่จะฟัง


อู่เหมยมีสีหน้ายิ้มแย้ม และพูดขึ้นอย่างจริงจัง “อันที่จริงหนูก็เป็นห่วงพี่มากเหมือนกัน เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีของพี่ หนูจึงได้ไปค้นหาข้อมูลจากห้องสมุด ผลลัพธ์คือหนูเจอหนังสือเล่มหนึ่งที่เขียนถึงโรคบางอย่างซึ่งตรงกับลักษณะอาการของพี่ในตอนนี้มาก”


“โรคอะไร?”


เหอปี้อวิ๋นถามขึ้นอย่างร้อนใจ จนราวกับใจได้ลอยขึ้นมาติดอยู่ที่ลำคอ เพราะเกรงว่าลูกสาวอันเป็นที่รักของเธอจะเป็นโรคที่ร้ายแรงและยากต่อการรักษา


อู่เจิ้งซือเองก็มีสีหน้าท่าทางไม่ต่างกัน แม้ว่าเขาจะผิดหวังต่ออู่เยวี่ย แต่พอได้รู้ว่าลูกสาวคนโตจะมีโรคอะไร ใจของเขาก็เกิดความเป็นห่วง


อู่เหมยมองใบหน้าซีดขาวของอู่เยวี่ยแค่แวบเดียวและพูดขึ้น “ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร พ่ออย่ากังวลไปค่ะ อันที่จริงพี่ไม่ได้เป็นโรคอะไร ถ้าพูดอย่างถูกต้องก็คือพี่ไม่ได้มีโรค”


เหอปี้อวิ๋นใจร้อนเป็นอย่างมาก ถึงพูดขึ้น “แกพูดให้มันชัดเจนนะ เดี๋ยวบอกว่าป่วยเป็นโรค แต่จู่ๆ กลับบอกว่าไม่เป็นโรค แล้วสรุปว่าพี่สาวแกมีโรคอะไรไหม?”


อู่เหมยทำให้พวกเขาอยากรู้พอสมควร จึงได้พูดขึ้น “หนูอ่านเจอในหนังสือมีผู้ป่วยคนหนึ่งมีข้อบกพร่องเหมือนพี่มาก โดยปกติคนคนนี้เก่งมาก คะแนนสอบก็ดีมาก แต่พอถึงช่วงเวลาสอบ เขาก็รู้สึกไม่สบายตัว ปวดหัว ท้องเสีย หรืออาจจะเป็นข้อบกพร่องอย่างอื่น และทำให้คะแนนสอบออกมาไม่เป็นอย่างที่คิด”


อู่เจิ้งซืออดไม่ได้ที่จะย่นคิ้วเข้าหากัน สภาพการณ์ของคนคนนี้เหมือนกับลูกสาวคนโตของเขามาก จึงอดไม่ได้ที่จะถามต่อ “แล้วในหนังสือได้บอกไหมว่าคนคนนี้เป็นโรคอะไร?”


เหอปี้อวิ๋นและอู่เยวี่ยจ้องมองอู่เหมยด้วยความกังวล และลุ้นอยากให้อู่เหมยรีบพูดออกมา


อู่เหมยก้มหน้าลง และในดวงตาเปล่งประกายอย่างพึงพอใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับมีลักษณะทางสีหน้าและท่าทางที่เป็นปกติ


“ในหนังสือบอกว่า คนคนนี้เป็นโรคเกี่ยวกับอาการทางจิตอย่างหนึ่ง สาเหตุเกิดจากความกดดันของเขา เขา…”


อู่เหมยยังไม่ทันได้พูดจบ เหอปี้อวิ๋นก็พูดแทรกขึ้นมาอย่างโกรธเคือง “เหลวไหล! แกมัวอ่านแต่หนังสือไร้สาระน่ะสิ สภาพจิตใจของพี่แกปกติดี ครั้งต่อไปถ้าฉันได้ยินแกพูดว่าพี่แกมีปัญหาทางจิตอีก คอยดูว่าฉันจะจัดกการแกยังไง!”


เหอปี้อวิ๋นด่าทอไม่หยุดและเดินออกไปยังระเบียง ผิดหวังจริงๆ ที่เข้ามาฟังอู่เหมยพูดจาทำร้ายอู่เยวี่ยแบบนี้ เธอน่าจะรู้ตั้งแต่แรกว่าปากของยายเด็กนี่ไม่มีทางพูดคำพูดดีๆ ออกมา!


เยวี่ยเยวี่ยจะมีปัญหาทางจิตได้อย่างไร?


ยายเด็กบ้านี่ใจดำขนาดไหนใครๆ เขาก็มองออกแล้ว ทั้งวันทั้งคืนคิดแต่จะทำลายอู่เยวี่ย ต้องมีสักวันที่เธอต้องจัดการกับยายเด็กบ้านี่!


อู่เหมยยักคิ้วขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ เธอเบื่อที่จะสนใจเหอปี้อวิ๋นแล้ว เพราะเธอเองก็ไม่ได้คิดว่าเหอปี้อวิ๋นจะเชื่อคำพูดเธออยู่แล้ว จุดประสงค์ของเธอคือทำให้อู่เจิ้งซือเชื่อ รวมถึงอู่เยวี่ยด้วย


เธอวิ่งกลับเข้าห้องไปเพื่อหยิบเอาหนังสือเล่มหนาๆ เล่มหนึ่งออกมา และยื่นไปให้กับอู่เจิ้งซือ “พ่อคะ หนูอ่านเจอจากหนังสือเล่มนี้ หนูไม่ได้พูดไร้สาระอะไร หากไม่เชื่อพ่อก็ลองอ่านหน้าพวกนี้ดูเองนะคะ หนูพับเอาไว้แล้ว”


อู่เจิ้งซืออ่านหน้าปกมีชื่อเรื่อง ‘ทฤษฎีทางจิตของเยาวชน’ และด้านบนก็มีสัญลักษณ์ของห้องสมุดประจำเมือง


เขาจึงได้เปิดอ่านหน้าหนังสือที่พับไว้ไม่กี่หน้า และอ่านอย่างรวดเร็ว  ไม่นานก็อ่านหน้าหนังสือไม่กี่หน้าที่พับไว้จนหมด สีหน้าจริงจังมากขึ้นและใจเริ่มนิ่งสงบ


สถาพการณ์ในหนังสือมีความเหมือนกับอาการของอู่เยวี่ยอยู่มาก โดยทั่วไปก็แสดงออกปกติดี แต่พอถึงช่วงเวลาสำคัญก็มักจะพลาดเสมอ ข้อบกพร่องบนตัวก็มีอยู่ไม่น้อย


นอกจากบางอาการที่ไม่ค่อยคล้ายคลึงแล้ว อย่างอื่นถือว่าตรงตามกันทุกอย่าง


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 373 ความสับสนของอู่เจิ้งซือ


อู่เหมยจ้องมองปฏิกิริยาของอู่เจิ้งซืออยู่ตลอด แค่ดูจากสีหน้าก็เดาได้ว่าอู่เจิ้งซือเชื่อในคำพูดของเธอ


“พ่อคะ ลักษณะอาการของพี่กับคนในหนังสือตรงกันเลยใช่ไหมคะ?” อู่เหมยจงใจถามขึ้น


อู่เจิ้งซือไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาต้องการเวลาในการคิดทบทวน ป่วยทางจิตและโรคประสาทแม้ว่าจะมีแนวคิดที่แตกต่างกัน แต่คนทั่วไปมักจะถือว่าเป็นโรคชนิดเดียวกัน หากให้คนนอกรู้ว่าอู่เยวี่ยมีอาการป่วยทางจิต คนพวกนั้นจะต้องพูดไร้สาระไปทั่วเป็นแน่ และยังพูดในสิ่งที่ไม่น่าฟังด้วย


หากเป็นแบบนี้ แล้วอนาคตของอู่เยวี่ยจะเป็นเช่นไร?


แล้วไหนจะหน้าตาและชื่อเสียงของเธออีกล่ะ เรื่องราวเหล่านี้ต่างทำให้อู่เจิ้งซือคิดสงสัย เขาไม่ได้อยากให้คนอื่นเข้าใจผิดและมองว่าเขามีลูกสาวที่เป็นโรคประสาท


“เหมยเหมยลูกคิดมากเกินไป พี่สาวของลูกแค่กังวลเกินไปเท่านั้นเอง จะเป็นโรคทางจิตได้ยังไง คำพูดพวกนี้ต่อไปอย่าพูดอีกล่ะ” อู่เจิ้งซือพูดเสียงขรึม


ในขณะเดียวกันเขาก็ได้เตรียมใจเผื่อไว้แล้ว ว่าเขาจะลองพาอู่เยวี่ยไปตรวจที่โรงพยาบาลดูสักครั้ง เขามีเพื่อนสมัยเรียนคนหนึ่งทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลรัฐบาลแห่งแรกของเมือง ต้องให้เพื่อนคนนี้แนะนำจิตแพทย์ดีๆ สักคนให้แก่เขา เพื่อทำการทดสอบสภาพจิตใจของอู่เยวี่ย จะได้รู้ว่าเธอมีปัญหาทางด้านจิตใจจริงหรือไม่?


ไม่มีทางออกที่ดีไปมากกว่านี้ หากมีก็คงจะเป็นการรักษาให้เร็วที่สุด แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้จะบอกกับลูกสาวคนเล็กไม่ได้ อู่เหมยมักจะชอบเอาเรื่องภายในบ้านออกไปบอกกับคนนอก อีกทั้งไม่ใช่เรื่องดีอะไรด้วย เพราะงั้นต้องปิดบังลูกสาวคนเล็กไว้ก่อน


อู่เหมยนิ่งเงียบไป ดูเหมือนว่าในใจของอู่เจิ้งซือยังคงมีเยื่อใยต่ออู่เยวี่ยมาก อย่างน้อยเธอเคยเป็นมุกล้ำค่าในอุ้งมือที่เป็นความหวังของเขามาก่อน ในช่วงเวลาอันสั้นขนาดนี้อาจมีบ้างที่จะผิดหวังกับตัวอู่เยวี่ย แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เคยคิดถึงจุดที่จะต้องทอดทิ้งเธอมาก่อน


และเช่นเดียวกันที่ทำให้อู่เจิ้งซือไม่ยอมรับว่าอู่เยวี่ยมีสภาวะป่วยทางจิต ทั้งที่เมื่อครู่สีหน้าท่าทางของเขาได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขาเชื่อประโยคบทความในหนังสือ


และแน่นอน อู่เยวี่ยเองก็รู้ว่าอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เขาไม่ยอมรับความจริง คงกลัวว่าจะขายหน้า หากคนนอกรู้เรื่องนี้เข้าจะเอาแต่หัวเราะเยาะใส่เขาได้


อู่เหมยวิเคราะห์และแยกแยะความรู้สึกนึกคิดของอู่เจิ้งซือได้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะมีความหงุดหงิดขนาดไหน แต่เป็นเธอเองที่ประมาทเกินไป เพิ่งจะผ่านไปได้แค่สองเดือนกว่า อู่เจิ้งซือผิดหวังมากขนาดไหน ก็ยังคงไม่ถึงขั้นที่เขาจะต้องละเลยต่ออู่เยวี่ยได้


หากต้องการให้อู่เจิ้งซือละเลยอู่เยวี่ยจริง เขาก็จะต้องรู้สึกผิดหวังกับลูกสาวคนนี้จนไม่เหลือความหวังใดๆ แต่ไม่เป็นไร เธอมีความอดทนมากพอ หากว่าเธอสามารถทำลายความน่าสงสัยในใจของอู่เจิ้งซือได้ จะต้องมีสักวันที่ผลผลิตจะงอกเงยออกดอกและผลิบานได้


เพียงแค่ทุกครั้งที่อู่เยวี่ยสอบแล้วเกิดเหตุการณ์เดิมๆ ขึ้นกับอู่เยวี่ย อู่เจิ้งซือเองก็คงไม่อยากจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องยึดหลักความเป็นจริง


อู่เหมยยิ้มและจงใจพูดขึ้น “หนูก็หวังว่าเป็นเพราะพี่แค่กังวลเกินไปนะคะ ต้องโทษแม่เลย ที่เอาแต่หวังให้พี่สอบได้ที่หนึ่ง นั่นเลยทำให้พี่มีความกดดันมากเกินไป”


อู่เจิ้งซือรู้สึกพึงพอใจมากที่อู่เหมยไม่ได้กัดประเด็นนี้ไว้แล้วไม่ปล่อย เขาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย และพูดกับอู่เยวี่ย “เยวี่ยเยวี่ย น้องพูดถูก ต่อไปอย่าฟังคำแม่เยอะ พ่อไม่ได้หวังให้ลูกสอบได้ที่หนึ่ง แค่ลูกพยายามอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะได้ที่เท่าไหร่ พ่อก็ดีใจทั้งนั้นแหละ”


เหอปี้อวิ๋นที่ยืนอยู่ตรงระเบียงได้แต่เบะปากให้กับคำพูดของอู่เจิ้งซือ เธอมองว่าคำพูดของเขาไร้สาระ แค่พยายามให้เต็มที่อะไรกัน?


สอบไม่ได้ที่หนึ่งแล้วจะดีใจอะไร?


ทุกคนต่างจดจำแค่ที่หนึ่ง ใครเขาจะไปจำที่สองกับที่สามกันล่ะ?


เมื่อก่อนอู่เยวี่ยของเธอมักสอบได้ที่หนึ่งเสมอ ใครๆ ต่างก็พากันอิจฉาริษยาที่เธอมีลูกสาวแบบนี้ หากว่าต่อไปสอบไม่ได้ที่หนึ่ง แล้วจะมีใครมาอิจฉาริษยาเธออีกล่ะ?


ไม่ได้การแล้ว ต่อไปต้องหาวิธีคุยกับเยวี่ยเยวี่ยสองคนว่า อย่าไปฟังคำพูดของพ่อเขา อย่างไรก็จะต้องสอบให้ได้ที่หนึ่ง!


พื้นฐานของเยวี่ยเยวี่ยดี สอบให้ได้ที่หนึ่งไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เรื่องครั้งก่อนกับครั้งนี้ก็เป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้นเอง


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 374 ปลากินเบ็ดแล้ว


บรรยากาศมื้อเย็นของตระกูลอู่ในตอนนี้หดหู่ลงไปมาก และต่างก็ไม่มีใครพูดอะไร มีแค่เหอปี้อวิ๋นที่คอยแต่คีบผักให้อู่เยวี่ย “เยวี่ยเยวี่ยกินเยอะๆ หน่อย กินอิ่มถึงจะได้มีแรงอ่านหนังสือ”


มื้อเย็นวันนี้อุดมสมบูรณ์มาก ซุปไก่ กระดูกหมู ปลา ก็มีหมด อู่เหมยตาลุกวาวและสาวมือด้วยความว่องไวไปคีบน่องไก่อีกชิ้นหนึ่ง น่องแรกนั้นเป็นใครไปไม่ได้ที่แย่งไปนอกจากเหอปี้อวิ๋น และตอนนี้ก็วางพาดอยู่ในจานของอู่เยวี่ย และแน่นอนว่าอู่เยวี่ยไม่ได้มีความอยากอาหาร ข้าวที่กินเข้าไปแทบสามารถนับเม็ดข้าวได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกับข้าวที่กินเลย


“แม่คะ พี่ท้องเสียอยู่ กินของทอดมันๆ แบบนี้ระวังว่ากลางดึกจะท้องเสียหนักนะคะ” อู่เหมยพูดขึ้นอย่างไม่จริงใจ


เหอปี้อวิ๋นถึงกับเลิ่กลั่กไป และเกิดความหงุดหงิดเล็กน้อย ทำไมเธอถึงได้ลืมเรื่องแบบนี้ไปได้ล่ะ โชคดีที่ยายเด็กบ้านี่เตือนไว้ อู่เจิ้งซือจึงมองเธอด้วยสายตาไม่พอใจและตำหนิ “ผมว่าคุณนี่นับวันยิ่งเลอะเลือนนะ ขนาดอู่เหมยยังเข้าใจยิ่งกว่าตัวคุณเองเสียอีก”


ครั้งนี้เหอปี้อวิ๋นยอมโดนด่าด้วยความพ่ายแพ้แต่โดยดี เธอหันไปพูดกับอู่เยวี่ยด้วยเจตนา “เยวี่ยเยวี่ย เดี๋ยวแม่ไปต้มโจ๊กเปล่าๆ ให้ลูกนะ ครู่เดียวก็ได้กินแล้ว”


เหอปี้อวิ๋นที่พูดจบก็วางตะเกียบลง และรีบวิ่งออกไปยังระเบียงเพื่อทำอาหาร ข้าวของตัวเธอเองทานไปได้แค่ไม่กี่คำ อู่เหมยก้มหน้าลง แต่แววตากลับฉายแววเยาะเย้ย ช่างเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนจริงๆ หากวันใดวันหนึ่งอู่เยวี่ยอยากกินเลือดของผู้เป็นแม่ขึ้น เกรงว่าเธอคงจะยินยอมด้วยความเต็มใจ!


เหอะ! ต่อให้อู่เยวี่ยจะดื่มแค่น้ำเปล่า เพียงแค่เธอมองข้ามจุดเล็กๆ ไป อู่เยวี่ยก็สามารถท้องเสียข้ามวันข้ามคืนจนตายได้ เพราะงั้นแค่โจ๊กถ้วยเดียวจะมีประโยชน์อะไร!


แม้ว่าในใจจะรู้สึกไม่ดีนัก แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อความอยากอาหารของอู่เหมย ทั้งบ้านมีเพียงแค่เธอคนเดียวที่กินอย่างสบายใจ และกินข้าวหมดติดกันจนถึงสามจาน กับข้าวก็ถูกเธอกินไปมากพอควร จนทำให้เรอออกมา


ช่วงนี้ต้องซ้อมเต้นทุกวัน ใช้พลังงานไปเยอะมาก จะต้องบำรุงกำลังถึงจะถูก อู่เจิ้งซือก็ได้แรงกระตุ้นจากอู่เหมย จึงทำให้รับรสอาหารดีขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด และกินข้าวหมดไปหนึ่งจาน แต่ดูท่าทางแล้วเขาเหมือนจะหนักใจ ราวกับกำลังกังวลกับบางสิ่งบางอย่าง


เมื่อทานข้าวเสร็จ เดิมทีควรเป็นอู่เยวี่ยที่ต้องล้างจาน เหอปี้อวิ๋นจึงเดินเข้าไปยังห้องของอู่จิ้งซือด้วยความโกรธ ความหมายคือหากว่าอู่เจิ้งซือไม่อยู่ด้านนอก เธอจะเป็นคนช่วยล้าง และไม่ให้อู่เยวี่ยได้ล้าง


อันที่จริงหลายวันมานี้อู่เยวี่ยไม่ได้ล้างจานหรือซักผ้าเลย ทั้งหมดคือเหอปี้อวิ๋นที่เป็นคนทำ แม้ว่าอู่เจิ้งซือจะพูดหรือออกคำสั่งอย่างเข้มงวด แต่ความเป็นจริงเขาแทบจะไม่ได้ใส่ใจต่อเรื่องในบ้านนัก แต่กลับกันที่เน้นใส่ใจกับเรื่องของโรงเรียนเสียมากกว่า น้อยครั้งมากที่เขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในบ้าน มิเช่นนั้นเมื่อก่อนเหอปี้อวิ๋นคงจะไม่มีทางกำเริบได้ขนาดนั้น


แม้ว่าช่วงนี้อู่เจิ้งซือจะเริ่มสนใจขึ้นมาบ้าง แต่สุดท้ายก็เกินความสามารถที่จะทำได้ เขาจะเอาเวลาจากไหนมาสนใจว่าอู่เยวี่ยไม่ล้างจานไม่ซักผ้า และสำหรับเหอปี้อวิ๋นแล้วมันเป็นสิ่งที่ง่ายยิ่งกว่าอะไร


อู่เหมยรู้ดีและชัดเจน แต่เธอยังไม่ได้จะบอกออกไปในตอนนี้ เพราะตอนนี้อู่เจิ้งซือสงสารเอ็นดูอู่เยวี่ยมาก หากพูดออกไปก็เกรงว่าจะไม่มีผลอะไร เธอยังไม่รีบ รอให้ต่อไปมีโอกาสดีๆ แล้วค่อยพูดจะไม่ดีกว่าเหรอ


อู่เยวี่ยเองก็ไม่ได้เต็มใจที่จะทำงานบ้าน ยิ่งถูกเหอปี้อวิ๋นยุยงส่งเสริม เธอก็เลยตอบตกลงไปตามนั้น และเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง ในจังหวะที่เดินผ่านตู้ลิ้นชัก มีหนังสือเล่มหนาๆ เล่มหนึ่งได้พาดผ่านม่านตาเธอไป ใจของอู่เยวี่ยรู้สึกเจ็บปวดที่ได้นึกถึงคำพูดของอู่เหมยก่อนหน้านี้


เธอเอาแต่มองซ้ายมองขวา อู่เหมยไม่ได้อยู่ในห้องรับแขก เธอจึงหยิบเอาหนังสือเล่มนั้นมาไว้ในมืออย่างไม่คิดไตร่ตรอง และรีบวิ่งกลับไปยังห้องของตัวเอง ทำตัวลับๆ ล่อๆ ราวกับพวกหัวขโมย


อู่เหมยยืนอยู่ตรงช่องประตูและเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างเป็นอย่างดี เธอหัวเราะร่าจนตาหยี ในที่สุดปลาก็กินเบ็ดเสียที เธอกำลังรออยู่พอดีเลย!


หนังสือเล่มนี้เธอตั้งใจหามาด้วยตัวเองเลย เหตุการณ์ในหนังสือเล่มนั้นตรงกับอู่เยวี่ยแทบทุกอย่าง และเธอก็ไม่เชื่อด้วยว่า ถ้าอู่เยวี่ยดูเสร็จจะไม่คิดมาก!


เพียงแค่ทำให้อู่เยวี่ยเชื่อบทความในหนังสือเล่มนี้ และเชื่อว่าตัวเธอเองมีอาการผิดปกติทางจิต แบบนั้นเธอก็ทำได้ตามจุดประสงค์หลักแล้ว ต่อให้ไปหรือไม่ไปโรงพยาบาลก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ


…………………………………………………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)