ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 359-360
ตอนที่ 359 พาฮ่องเต้สุนัขมาเข้าพบผู้ใ...
การระเบิดโทสะของท่านผู้เฒ่าในครั้งนี้ต้องถือว่าผ่านการอดทนมามากแล้ว
หากมิใช่เพราะว่าในอดีตเขาเคยกล่าวคำสาบานอย่างหนักแน่นไว้กับปฐมฮ่องเต้ ว่าเขาจะสนับสนุนราชวงศ์จีไปชั่วชีวิต ไม่ปันใจออกห่างโดยเด็ดขาด เกรงว่าต่อให้เป็นพระบิดาของจีเฉวียนก็ถูกตัดพระเศียรไปก่อน ส่วนเขาก็ขึ้นเป็นฮ่องเต้ไปนานแล้ว
ไหนเลยจะถึงรอบให้ไอ้เด็กนี่มายุ่มย่ามกับดวงใจของเขา
ที่ก่อนหน้านี้เขายอมส่งมอบกองทัพตระกูลตู๋กูกว่าครึ่งออกไป นอกจากเพื่อหลานสาวแล้ว ก็ยังเป็นเพราะว่าเขาได้ให้คำสาบานอย่างหนักแน่นเอาไว้กับปฐมฮ่องเต้
มิเช่นนั้นจีเฉวียนที่พึ่งจะขึ้นครองราชย์จะนั่งบัลลังก์ได้อย่างสงบสุขหรือ?
ตอนนั้นที่ต้องทิ้งหลานสาวสุดที่รักเอาไว้ในตำหนักเย็นเพียงลำพัง เขาก็ละอายใจจนแทบจะตายอยู่แล้ว ตอนนี้พอต้องมาทนเห็นฮ่องเต้น้อยรังแกนาง ตู๋กูถิงย่อมต้องระเบิดลงแล้ว
ตู๋กูเจวี๋ยค่อยๆลุกขึ้นมาอย่างเงียบๆ หยิบเอาไม้กวาดมาวางเอาไว้ในจุดที่มือของตู๋กูถิงสามารถคว้าถึง หลังจากนั้นก็ค่อยๆย่องกลับไปนั่งที่เดิม แล้วคว้าชามข้าวใบโตขึ้นมา
ต้องรีบกินให้อิ่มก่อน เขาถึงจะมีแรงพูด!
ตอนท่านปู่ลงมือให้ใช้แค่ไม้กวาดด้ามนี้ก็พอแล้ว…..
จีเฉวียนเองก็วางตะเกียบลง และก่อนที่ไม้กวาดของท่านผู้เฒ่าจะถูกโบกขึ้นมา พระองค์ก็ประทับขึ้นยืน
สูดลมหายพระทัยเข้าไป กลั้นไว้ชั่วขณะ
ตู๋กูซิงหลันเกือบจะยื่นมือไปดึงฉลองพระองค์เพื่อขอให้ทรงพระทัยเย็นลงหน่อยอยู่แล้ว
นางคิดไม่ถึงว่าท่านปู่จะเป็นคนที่รั้นถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่าพี่ใหญ่ออกจะเป็นทหารมากไป แต่คิดไม่ถึงว่าท่านปู่จะเป็นคนที่ดุดันเสมือนหมาป่า แถมยังดุเสียยิ่งกว่าหมาป่าอีกต่างหาก
หากมองดูไปทั่วทั้งแคว้นต้าโจว เกรงว่าคงจะมีแต่เขาเท่านั้นที่กล้าปฏิบัติต่อจีเฉวียนเช่นนี้
ในใจของนางทั้งอบอุ่นทั้งหวาดกลัว ถึงแม้ว่าช่วงนี้จีเฉวียนจะทำตัวอบอุ่นเหมือนคนทั่วไป แต่ก็ยากที่จะรับรองได้ เพราะว่าหากเขาอยากจะพิโรธก็จะพิโรธ
พระองค์ก็เป็นเหมือนกับระเบิดลูกหนึ่ง ยามปกติก็สงบนิ่งดีแต่หากว่าระเบิดขึ้นมาก็เป็นอันจบกัน
เจียงเหม่ยหยู่ยืนมองดูงิ้วอยู่ห่างๆ เฮอะ เฮอะ เอาละสิ ตอนนี้ตาเฒ่าผู้นั้นชักจะพองขนขึ้นมาแล้วละมั้ง?
นางเคยต้องเสียทีถูกรังแกยามอยู่ต่อหน้าจีเฉวียนมาแล้วหลายครั้ง นางรู้ดีว่าพระองค์ทรงชิงชังตระกูลตู๋กูเพียงไร
ตอนนี้สุนัขจะกัดกันแล้ว มันช่างสะใจดีแท้!
เหล่าองครักษ์ที่รออยู่ภายในสวนของตระกูลตู๋กู ตอนนี้ต่างก็หัวใจตุ๊มๆต่อมๆขึ้นมา….หากว่าฝ่าบาททรงพิโรธขึ้นมา ไม่แน่ว่าวันนี้แม้แต่เมืองหลวงก็อาจจะไม่สงบสุขอีกต่อไปแล้ว
ท่านผู้เฒ่าตระกูลตู๋กูผู้นั้นก็เช่นกัน….ฝ่าบาทก็แค่คีบอาหารประทานให้ไทเฮาเพียงสองครั้งเท่านั้นเองมิใช่หรือ? เขาจะต้องมีน้ำโหไปทำไม?
ในขณะที่คนทั้งหมดกำลังกังวลอยู่นั้น จีเฉวียนก็ทรงโน้มพระองค์โค้งลงไปทางตู๋กูถิงดุจคันธนูคันหนึ่ง
“เราขออภัยในทุกสิ่งที่ได้ทำลงไปก่อนหน้านี้”
ผู้คนทั้งหลาย “! ! !”
นี่ นี่ นี่ นี่ นี่ ….พวกเขาเกิดตาฝาดหรือว่าหูฝาดขึ้นมากัน?
ตู๋กูถิงเองก็ตะลึงไปเช่นกัน ไม่เขาใจว่าจีเฉวียนทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร แล้วตอนนี้เขาควรจะหยิบไม้กวาดขึ้นมาดีหรือไม่?
สองพี่ชายตระกูลตู๋กูต่างก็มีสีหน้างวยงง
จีเฉวียนที่สูงส่งอยู่เสมอ อยู่ๆก็มาขออภัยต่อท่านปู่?
นี่ดวงอาทิตย์ย้ายไปขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วหรือไร? หรือว่าเขามีแผนการอื่นใดอีก?
ไม่มีใครอยากจะเชื่อว่าจีเฉวียนจะทรงทำเรื่องนี้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
แม้แต่ตู๋กูซิงหลันเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ….วันนี้ตอนที่จีเฉวียนทรงขวางนางเอาไว้ไม่ให้นางออกจากวัง นางก็ยังนึกว่าพระองค์ทรงคิดจะทำเรื่องอะไรใหญ่โตเสียอีก
คิดไม่ถึงว่า คนที่หยิ่งยโสเช่นพระองค์ จะยอมก้มศีรษะขออภัยท่านปู่?
“ก่อนหน้านี้เราไม่เข้าใจในตัวซิงซิง เข้าใจผิดนางไปมาก เราได้สำนึกตนเองอย่างจริงใจ ต่อไปจะต้องชดเชยสิ่งที่ติดค้างคืนให้นางทั้งหมด”
ตู๋กูถิง ตู๋กูจุน ตู๋กูเจวี๋ย “ซิงซิง?”
นี่มันเรื่องผีสางอะไรกัน? เจ้าทำไมไม่ไปร้องขอกับดวงจันทร์เล่า?
จีเฉวียนสีพระพักตร์จริงจัง ตรัสด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ท่านผู้เฒ่าจากเมืองหลวงไปสองปี สองปีนี้เกิดเรื่องที่ท่านไม่รู้ขึ้นมากมาย พวกเราต่างก็ไม่เคยทำความเข้าใจกันอย่างดีๆ ที่วันนี้เราพาซิงซิงมาด้วยตนเองก็เพราะอยากจะให้โอกาส”
ท่านผู้เฒ่ารู้สึกว่าเขาไม่ได้ต้องการโอกาสใดๆจากพระองค์ทั้งสิ้น
หากจะให้โอกาสก็สมควรที่เขาจะต้องเป็นฝ่ายให้มากกว่ากระมัง?
ขณะที่พร้อมจะคว้าไม้กวาดอยู่ทุกเมื่อ ตู๋กูถิงก็อ้าปากขึ้นมา เขามองไปที่จีเฉวียนด้วยความงุนงง และเคร่งเครียด “ฝ่าบาท รับสั่งเช่นนี้ทรงหมายความว่าอย่างไรกันแน่ กระหม่อมงุนงงแล้ว”
อืม……ดูท่าคงคิดจะเข้ามาสร้างความใกล้ชิด เพื่อให้เขาไปตีแคว้นเหยียนล่ะสิ
แม้ต้องเผชิญหน้ากับท่านผู้เฒ่าที่เปี่ยมไปด้วยไอสังหารทั่วร่าง ฮ่องเต้กลับมิได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย ทรงยืดพระองค์ตรงดุจพู่กัน สีพระพักตร์เคร่งขรึม
ครู่ใหญ่ถึงได้ทรงตรัสออกมาว่า “เรากำลังไล่ติดตามเพื่อขอความรักจากหลานสาวสุดที่รักของท่าน ตู๋กูซิงหลัน”
ตู๋กูถิง “? ? ?” ยายเอ๋ย ผักกาดขาวหัวงามของบ้านเรา ถูกไอ้หมูหมายตาเขาเสียแล้ว!
นี่เขาอายุมากเกินไป จนโบกไม้กวาดไม่ไหวแล้วหรือ?
สองพี่ชายต่างก็มีสีหน้าตกตะลึงไปเช่นกัน
ตู๋กูซิงหลันอยากจะตะครุบปากของจีเฉวียนเอาไว้ …..ถ้านางสามารถลุกขึ้นยืนได้นะ
ยามปกติเขาบอกเรื่องนี้กับนางต่อหน้าก็แล้วไปเถอะ แต่ทำไมพอมาถึงนี่ก็ต้องมาสารภาพกับท่านปู่ด้วยเล่า?
นางกลัวว่าเกิดท่านปู่ทนรับไม่ได้ จะขาดใจตายตรงนี้เลย
ก่อนหน้านี้หลานสาวสุดที่รักก็แต่งให้กับบุรุษที่แก่กว่าบิดาของนาง ตอนนี้ก็ยังจะมาพัวพันกับคนที่เป็นบุตรอีก?
จะมีผู้อาวุโสบ้านใดบ้างที่ไม่ขุ่นเคือง?
เจียงเหม่ยหยู่ตาค้างไปแล้ว
นางไม่นึกไม่ฝันเลยว่าฝ่าบาทจะทรงถูกพระทัยในตัวนังตัวร้ายตู๋กูซิงหลันนั่น ทั้งยังไล่ตามจีบไม่สำเร็จอีกด้วย?
แล้วนี่ถึงกับต้องมาแจ้งแก่ผู้อาวุโสในบ้าน?
เป็นถึงฮ่องเต้มีหรือว่าต้องการสตรีแบบใดแล้วจะไม่ได้ จำเป็นจะต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมาโน้มน้าวผู้อื่นให้เป็นพวกจนเป็นเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้?
พอคิดไปถึงตู๋กูเหลียนหลานสาวของตนเองที่ยังคงตัวสั่นสะท้านแอบอยู่ในมุมมืด เจียงเหม่ยหยู่ก็แทบจะอยากระเบิดตัวเองแล้ว
ต่างก็เป็นหลานสาวของตระกูลตู๋กูเหมือนกัน คนหนึ่งถูกอดีตฮ่องเต้หมายตา ทั้งยังถูกพระทัยฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน อีกคนหนึ่งกลับเป็นเหมือนน้ำครำในท่อน้ำทิ้ง
ทำไมฟ้าดินช่างไร้ความยุติธรรมถึงเพียงนี้?
อีกด้านหนึ่ง ทรวงอกของตู๋กูถิงก็กระเพื่อมขึ้นมา ว่ากันตามจริงแล้ว เขาอยากจะใช้ดาบเดียวตัดพระเศียรของจีเฉวียนให้จบสิ้นไป
สีหน้าของเขามืดครึ้มราวกับจะมีพายุฝน
“ฝ่าบาท เมื่อครู่ลมพัดแรงเกินไป กระหม่อมฟังไม่ค่อยชัดว่าพระองค์รับสั่งว่าอะไร”
ท่านผู้เฒ่าย่อมไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้ มิสู้แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องจะดีกว่า
เขาไหนเลยจะรู้ว่าฝ่าบาทจะเอาจริงเอาจังถึงเพียงนั้น หน้าต่างภายในห้องไม่ได้เปิด ประตูก็ปิดอยู่จะเอาลมมาจากไหนกัน?
เห็นอยู่ว่าตู๋กูถิงกำลังหนีปัญหานี้อยู่ชัดๆ
พระองค์ยิ่งตรัสด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกว่าเดิมว่า “เราชอบซิงซิง รักแต่ซิงซิง ค่ำคืนพลิกตื่นตลอดเวลา คะนึงหามิเว้นวาย”
วิญญาณทมิฬแทบจะถูกเขาเชื่อมจนหวานเยิ้มไปแล้ว มันคอยกระซิบกระซาบทางจิตกับตู๋กูซิงหลันอยู่ตลอดเวลา “เจ้าว่าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้มีตำราคารมคำหวานหรือไม่ ไยอ้าปากขึ้นมาแต่ละทีก็มาเป็นชุดเลย”
ตู๋กูซิงหลันขี้เกียจจะไปสนใจมัน รู้จักกันมาก็นานแล้ว ประกอบกับการแสดงออกในวันนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ชักจะรู้สึกเชื่อว่าจีเฉวียนจริงใจขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
ในโลกก่อนนางก็เคยได้เล่นละครอยู่หลายเรื่อง บุรุษที่มีความจริงใจ คิดจะเคียงคู่กับอีกฝ่ายไปจนชั่วชีวิต ล้วนทำเช่นเดียวกันกับจีเฉวียน ให้ความเคารพกับผู้อาวุโส ด้วยท่าทีที่จริงใจอย่างแท้จริง
วันนี้ตั้งแต่ตอนเช้า นางเห็นจีเฉวียนเสด็จกลับไปกลับมา ตรัสพึมพำคนเดียวอยู่พักใหญ่ นางก็นึกว่าเขากำลังทำอะไรอยู่เสียอีก ที่แท้ก็กำลังเตรียมตัวมาพบผู้อาวุโสในบ้าน
นางก็นึกอย่างใสซื่อว่าเป็นแค่การกลับมาทานข้าวมื้อหนึ่งที่บ้านเท่านั้น
ตู๋กูซิงหลันไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้ให้กับความซื่อของตนเองดี หรือว่าจะร้องไห้เพราะตกใจกับการกระทำที่คาดไม่ถึงของจีเฉวียนดีกว่ากัน
“ท่านผู้เฒ่า ความจริงใจของเราที่มีต่อนาง ฟ้าดินสามารถเป็นพยานได้”
——
ตอนต่อไป “เจ้าไม่ได้เสเพล เจ้าก็แค่รักไปเรื่อยๆ”
ตอนที่ 360 เจ้าไม่ได้เสเพล เจ้าก็แค่ร...
เห็นท่านผู้เฒ่าไม่พูดไม่จาไปพักใหญ่ จีเฉวียนก็เกรงว่าเขาจะปฏิเสธ จึงอดไม่ได้ที่จะพรั่งพรูความรู้สึกที่มีต่อตู๋กูซิงหลันออกมาจนหมด
“ฝ่าบาท กระหม่อมเองก็เป็นบุรุษ ย่อมรู้ดีว่าฝีปากของบุรุษนั้นไม่มีสัจจะอยู่จริง” ตู๋กูถิงมองพระองค์นิ่งอยู่นาน ก็หัวเราะออกมา
ตอนนั้นก่อนที่เจียงเย่วจะถูกพากลับมาที่วัง เสด็จปู่ของพระองค์จีจ้านก็ออกพระโอษฐ์ว่าจริงใจอย่างแท้จริง แต่แล้วสุดท้ายเล่า?
ก็ยังหนีไม่พ้นวังหลังมีสนมสามพันอยู่ดี
พระองค์ทรงเป็นหลายชายของจีจ้าน โลหิตที่ปราศจากความจริงใจนั้นไหลเวียนอยู่ในกระดูก….แล้วเขาจะไปเชื่อถือได้อย่างไร
หากถอยออกมาพูดกัน ต่อให้หัวใจของจีเฉวียนดวงนี้มีความจริงใจ เขาก็ไม่อาจอยู่ร่วมกับหลานสาวยอดดวงใจของตนได้
เขาไม่เหมาะสม
“เราจริงใจ” ตลอดชีวิตที่ผ่านมาจีเฉวียนไม่ทรงเคยต้องมาอธิบายพระองค์เองต่อหน้าผู้อื่น
“ที่เรามาในวันนี้ เพราะต้องการมาพูดคุยให้ชัดเจน” จีเฉวียนตรัสต่อไป ขณะเดียวกันก็หันมาทอดพระเนตรสตรีข้างกาย สายพระเนตรมีแต่ความอ่อนโยน
“เราหลงรักซิงซิง เป็นความรักที่ปราศจากการวางอุบายใดๆ เราไม่เคยต้องทุกข์ทรมานใจเพราะผู้ใดมาก่อนเลย ขอเพียงแค่นางยอมพูดคุยกับเรามากขึ้นสักคำ ยอมมองเราให้นานขึ้นอีกหน่อยเราก็พอใจมากแล้ว”
ตรัสแล้วจีเฉวียนก็เก็บสายพระเนตรกลับมา มองดูตู๋กูถิง “ท่านผู้เฒ่าเองก็เคยมีความรักลึกซึ้งต่อคนผู้หนึ่ง ย่อมต้องเข้าใจความรู้สึกของเรา”
“ตอนที่นางหายสาบสูญไปนั้น เป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิตของเรา ยังมืดมนยิ่งกว่าช่วงเวลาที่เราไปเป็นตัวประกันอยู่ในแคว้นเหยียนอีกหลายเท่านัก”
“ในตอนนั้น เราเหมือนกับคนที่สูญเสียแสงแห่งชีวิตไปแล้ว คิดแต่จะดำดิ่งลงไปในความมืดมิดเท่านั้น ตอนนั้นเราแสนเคียดแค้น เคียดแค้นฟ้าดินช่างไร้ความเที่ยงธรรม ทำไมคนสำคัญของเราเป็นต้องจากเราไปจนหมดสิ้น เราอยากจะให้คนทั่วทั้งแผ่นดินต้องทนทุกข์ทรมานเช่นเดียวกันกับเรา”
“แต่พอได้พบนางอีกครั้ง เราก็วาดหวังให้ทั่วทั้งแผ่นดินมีความสุขเช่นเดียวกันกับเรา”
“ถึงแม้ว่านางจะไม่เคยยอมรับเรา แต่ขอเพียงแค่เราได้เห็นนางทุกๆวัน รู้ว่านางอยู่ใกล้ๆเรา มิได้ไปไหน หัวใจดวงนี้…. ก็พอใจมากแล้ว”
จีเฉวียนจับที่พระทัยของพระองค์เอง “เราคิดว่า เราจะต้องรักนางมากมายอย่างแน่นอน รักขนาดไม่อาจห่างกัน ไม่อาจจากไปไหน”
คำพูดเหล่านี้อู๋เหนียงจื่อไม่เคยสอนพระองค์มาก่อน
จีเฉวียนทรงรับสั่งจากพระทัยของพระองค์
วิญญาณทมิฬแทบจะอยากหาสมุดมาเล่มหนึ่งเพื่อบันทึกถ้อยคำทั้งหมดลงไป รอจนเมื่อกลับไปยังโลกโน้นแล้ว จะได้ให้ซื่อมั่วศึกษาเพื่อปรับปรุงตัว หรือว่าอ่านตามก็ยังดี
ตู๋กูเจวี๋ยเคยคิดว่าตนเองคือคนที่พูดมากที่สุดแล้ว แต่ว่าพอตอนนี้ได้เห็นฝ่าบาทอธิบายความในพระทัยไม่ยอมหยุด เขาถึงได้พบว่าตนเองไม่อาจกล่าววาจาแทรกได้เลยแม้แต่คำเดียว
ดูเหมือนว่า…..พระองค์จะทรงชอบน้องเล็กจริงๆ
ฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะกระทำการเกินเลยไปบ้าง แต่ว่าก็ยังมิได้ถึงขั้นทำให้พวกเขาต้องอับจน
เรื่องที่น้องเล็กขาพิการก็ไม่อาจโทษว่าเขา ….หากพูดเฉพาะแค่ช่วงที่น้องเล็กกลับมานี้ฮ่องเต้สุนัขก็ทุ่มเทจิตใจดูแลเอาใจใส่นางจริงๆ
เดิมทีเขานึกว่านี่เป็นแผนตบตาของพระองค์เสียอีก…..
แต่ว่าเมื่อได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด การที่คนผู้หนึ่งจะจริงใจหรือเสแสร้ง ย่อมสามารถสังเกตเห็นได้อยู้แล้ว
หากว่าที่พระองค์ทำไปเพื่อน้องเล็กทั้งหมดนั้นเป็นแค่การเสแสร้งละก็……..ก็คงได้แต่บอกว่าฮ่องเต้พระองค์นี้แสดงได้เหนือชั้นเกินไปแล้ว
เกินขนาดที่ก่อนหน้านี้ตู๋กูเจวี๋ยที่คิดจะทำตัวเป็นไม้ตักปุ๋ย ตอนนี้ได้แต่ต้องยอมปิดปากอย่างเชื่อฟัง
พอมองเห็นว่าพี่ใหญ่ที่อยู่ด้านข้างก็คิดจะเอ่ยปากขึ้นมา เขาก็เข้าไปกระตุกชายเสื้อของพี่ใหญ่ ลากคนออกไปที่ด้านข้าง
“พี่ใหญ่ พวกเราลองมองดูกันก่อนว่าที่จริงแล้วฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์จะทำเช่นใดกันแน่ พวกเราล้วนอยู่ที่นี่กันหมด พระองค์จะจับน้องเล็กกินได้อย่างไร?” ตู๋กูเจวี๋ยกล่าวเสียงเบา คอยดึงตู๋กูจุนเอาไว้ไม่ให้เขาเข้าไปแทรกเป็นไม้ตักปุ๋ยอย่างเอาเป็นเอาตาย
พี่ใหญ่ที่ดีแต่ล่ำบึกบึนย่อมไม่เข้าอกเข้าใจเรื่องของความรักความใคร่อะไรอยู่แล้ว หากปล่อยให้เข้าไปมีหวังยิ่งยุ่ง
ท่านปู่ของพวกเขาผ่านโลกมามาก อย่าได้เห็นว่าตอนนี้ออกจะหยาบกร้านไปสักหน่อย ตอนที่ท่านย่ายังอยู่นั้น เขาก็เคยใช้ชีวิตอย่างชื่นมื่นมาก่อน
เป็นบุรุษที่ให้ความสำคัญกับความรักเช่นกัน……..
เรื่องการทุ่มเทให้กับสตรีที่รัก ท่านปู่มีประสบการณ์มากกว่าพวกเขาสองพี่น้องมากมายนัก
จะจริงใจหรือว่าเสแสร้ง ท่านปู่ย่อมต้องมองออกอย่างแน่นอน
อ๋อ แต่ก็เคยมองพลาดมาแล้วครั้งหนึ่งเหมือนกัน
ก็คือไอ้ตัวไม่ได้เรื่องอี้อ๋องจีเย่ผู้นั้น…..
คิดๆดูแล้วตอนนั้นจีเย่เองก็คงจะเอ่ยปากออกมาอย่างชัดเจนว่ารักน้องเล็ก ชั่วชีวิตนี้จะแต่งกับนางเท่านั้นเหมือนกัน
แล้วดูเอาสิ ต่อมาเขากลับทำอะไรลงไป?
เพื่อตำแหน่งฮ่องเต้ ถึงกับผลักไสน้องเล็กไปให้บิดาของตนเอง?
ตอนนั้นจีเย่เองก็แสดงออกมาจริงใจอย่างลึกซึ้ง ไม่ได้น้อยไปกว่าจีเฉวียนในตอนนี้เลย
ดังนั้นสองพี่ชายจึงยังคงรักษาความระแวงสงสัยเอาไว้
เมื่อต้องเผชิญกับความเงียบงันของท่านผู้เฒ่า ฮ่องเต้ก็ได้แต่ต้องตรัสให้แจ่มกระจ่างกว่าเดิม
“ท่านผู้เฒ่าอย่าได้ลำบากใจ เรารักซิงซิง เป็นความเต็มใจของเราเอง นางไม่จำเป็นต้องตอบสนอง”
“เราเพียงแต่หวังให้ คนในครองครัวของซิงซิงไม่เป็นเช่นดังก่อนนี้ เปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อเราบ้าง”
แต่ไหนแต่ไรฮ่องเต้ทรงตรัสแต่น้อย วางพระองค์สูงส่งอยู่เสมอ
วันนี้ต้องถือว่าพระองค์ทรงทำตนต่ำต้อยที่สุดในชีวิตของพระองค์แล้ว
ตู๋กูซิงหลันคิดจะพูดอะไรออกไปบ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าสมควรจะพูดอะไรดี
คำปฏิเสธก็เคยพูดออกไปหลายรอบแล้ว ทั้งยังพูดออกไปอย่างเด็ดขาดชัดเจน…..
หากว่าจะให้พูดออกไปอีก ก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร
วิญญาณทมิฬยังคงตื้อถามนางต่อไป “หลันหลัน เจ้าไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อยจริงๆหรือ?”
คำถามนี้ตู๋กูซิงหลันก็ฟังมาหลายรอบแล้ว
“วิญญาณทมิฬ เจ้าก็คิดว่าข้าใจแข็งเป็นหินเกินไปใช่หรือไม่” ตู๋กูซิงหลันแอบเลือกขาหมูมากินเองอย่างเงียบๆ “มันแปลกมากเลย ….ทุกครั้งที่ข้ารู้สึกว่าจีเฉวียนพอจะมีข้อดีอยู่บ้าง ในใจจะเกิดความเจ็บปวดขึ้นมา”
ดังนั้นนางจึงไม่กล้าคิดถึงเรื่องดีๆของจีเฉวียนเลย
แต่ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าทำไม ถึงได้ค่อยๆรู้สึกคุ้นเคยกับจีเฉวียนขึ้นมาเรื่อยๆ คุ้นเคยกับอ้อมกอดของเขา คุ้นเคยกับการถูกเขาจูบ คุ้นเคยกับการที่ทุกเช้าลืมตาขึ้นมาต้องได้เห็นเขาอยู่ตรงหน้า
ทั้งหมดนี้….เป็นเพียงแค่ความคุ้นเคยเท่านั้นหรือ?
ตู๋กูซิงหลันคิดไปเรื่อยๆ “วิญญาณทมิฬ เจ้าคิดว่าข้าเสเพลมากหรือไม่?”
วิญญาณทมิฬ “เจ้าอยากจะฟังความจริงหรือว่าคำลวงกันละ?”
ตู๋กูซิงหลัน “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อย่าพูดอะไรเลยจะดีกว่า”
วิญญาณทมิฬ “ไม่ เค้าจะพูด เค้าจะพูด เจ้าไม่ใช่คนเสเพล เจ้าก็แค่รักไปเรื่อยๆ เจอคนหนึ่งก็รักคนหนึ่ง ให้ความหวังกับเหล่าเทพธิดาเซียนบุรษไปทั้วทั้งใต้หล้า”
หลังจากนั้นก็ฉีกทึ้งความหวังทิ้งเป็นชิ้นๆ
อืม พอคิดเช่นนี้ หลันหลันก็ไม่ใช่คนเสเพลเลยสักนิดเดียว
ตู๋กูซิงหลัน “อย่าได้คิดว่า เจ้าแอบนินทาข้าอยู่ในใจแล้วข้าจะไม่รู้นะ”
ขอเพียงแค่พวกนางไม่ได้ปิดกั้นความคิดของตนเอง ก็สามารถรู้สึกได้ถึงความคิดของอีกฝ่าย
วิญญาณทมิฬ “เค้าเปล่าจริงๆนะ รักไปเรื่อยๆก็ไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย ที่ผิดคือพวกคนหน้าตาดีพวกนี้ ต่างพากันเข้ามาล่อลวงเจ้าต่างหาก”
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่ามันพูดดีมีเหตุผล
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็สามารถกินขาหมูต่อไปได้อย่างสบายใจ อืม…..ช่างหอมจริงๆ
อีกด้านหนึ่ง จีเฉวียนยังคงมุ่งมั่นสาบานต่อฟ้าดินต่อไป หากว่าท่านผู้เฒ่าเป็นสตรีเกรงว่าคงถูกคำพูดของเขาโยกคลอนจนหวั่นไหวไปแล้ว
หลังจากที่จีเฉวียนพร่ำเพ้อออกมาชุดใหญ่แล้ว สีหน้าของท่านผู้เฒ่าเองก็แปรเปลี่ยนไปอีกหลายรอบ ในที่สุดก็ได้ยินเขากราบทูลออกมาว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมกินเกลือมายังมากกว่าที่พระองค์เคยเสวยข้าว[1]เสียอีก ความโปรดปรานของพระองค์ กระหม่อมไม่อาจเชื่อได้”
“กระหม่อมเป็นขุนนางของแคว้นต้าโจว ย่อมต้องทุ่มเทสติปัญญาและความสามารถ[2]เพื่อแคว้นต้าโจวอยู่แล้ว ฝ่าบาทไม่จำเป็นจะต้องใช้วิธีนี้มาซื้อใจกระหม่อมและตระกูลตู๋กู”
——
ตอนต่อไป “ ท่านปู่ ข้าชอบกินแต่เนื้อ”
——
[1] 吃过的盐比你吃过的米多:เปรียบเทียบว่ามีประสบการณ์สูงกว่า
[2] มาจากวรรคทองในสามก๊กที่ว่า 鞠躬尽瘁, 死而后已 (jū gōng jìn cuì,sǐ ér hòu yǐ):ทุ่มเทปัญญาและความสามารถ แม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น