หมอดูยอดอัจฉริยะ 359-360
ตอนที่ 359 ลมพัดเมฆเคลื่อน (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“หัวหน้าหน่วยสวี นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่น่ะ?”
คนที่ผู้กำกับการโจวเรียกว่าหัวหน้าหน่วยสวีนี้ เป็นหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ในกองทหารรักษาการณ์เกาสง มียศพันเอก อายุสี่สิบต้นๆ เมื่อก่อนก็เคยติดต่อกับผู้กำกับการโจวอยู่หลายครั้ง
เห็นได้ชัดว่า กองอาเจียนบนพื้นนั้นจะต้องมาจากทหารหมู่นี้แน่นอน เพราะผู้กำกับการโจวมองเห็นอย่างชัดเจนว่า ที่มุมปากของนายทหารคนหนึ่งมียังคราบที่ไม่ได้เช็ดออกให้หมดติดอยู่
“เหล่าโจว มาแล้วหรือ เรื่องนี้น่ะ…มีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่!” เมื่อเห็นว่าผู้กำกับการโจวมาถึงแล้ว ผู้พันสวีก็ยิ้มออกมาอย่างฝืนๆ ใบหน้าอันขาวซีดนั้นก็ดูมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง
“ทำไมล่ะ? หรือ…หรือว่าคนที่ชื่อเยี่ยเทียนนั่นตายไปแล้ว?” ผู้กำกับการโจวได้ยินแล้วก็ตื่นตระหนก เพราะเบื้องบนกำชับแล้วกำชับอีกว่า จะต้องรับรองความปลอดภัยของเยี่ยเทียนไว้ให้ได้
พอได้ยินคำถามของผู้กำกับการโจว ผู้พันก็มีสีหน้าประหลาดพิลึก แบมือตอบไปว่า “ตอนนี้ยังไม่รู้หรอก แต่ว่า…บนภูเขานั่นมีคนตายไปไม่ใช่น้อยๆ เลยละ”
“มีคนตายรึ?” ผู้กำกับการโจวขมวดคิ้วแล้วพูดต่อ “อย่างนั้น…อย่างนั้นก็ต้องรีบสืบค้นหาตัวเยี่ยเทียนให้เจอสิ ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ต้องได้ข้อสรุปมาสักอย่างสิ!”
ผู้พันส่ายหน้า “ทางผมขาดคนชันสูตรศพ ก็เลยกำลังรอพวกคุณมาอยู่นี่ไงล่ะ”
“อย่างนั้นยังต้องรออะไรอีกล่ะ? คนตายอยู่บนภูเขาใช่ไหม? งั้นเราก็รีบขึ้นไปดูกันเถอะ!”
ผู้ที่ติดตามผู้กำกับการโจวมาด้วยไม่ได้มีเพียงนักสืบนิติวิทยาศาสตร์จากสถานีตำรวจเท่านั้น ขณะเดียวกันยังมีแพทย์มาด้วยอีกหลายคน เพราะกลัวว่าเยี่ยเทียนจะประสบอุบัติเหตุอะไรเข้า จึงได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า
ผู้พันดึงตัวผู้กำกับการโจวไว้ แล้วพูดอย่างอมพะนำ “เอ่อคือ…เหล่าโจว เราก็เป็นเพื่อนกันมานานแล้ว ผม…ผมขอเตือนว่าคุณอย่าขึ้นไปเลยจะดีกว่านะ”
“จะทำอย่างนั้นได้ยังไงล่ะ?”
ผู้กำกับการโจวหัวเราะเฝื่อนๆ แล้วลดเสียงพูดให้เบาลงเช่นกัน “เหล่าสวี บอกคุณตรงๆ นะ เบื้องบนน่ะกดดันน่าดูเลย ถ้าคนที่ชื่อเยี่ยเทียนนั่นเป็นอะไรไปจริงๆ ละก็ ผมเองก็คงเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน”
ผู้พันพาพวกผู้กำกับการโจวเดินขึ้นเขาไปพลาง พูดคุยไปพลางว่า “ผมก็ยังไม่ได้ขึ้นไปบนเขานั่น แต่เคยเห็นพวกที่ตายไปก่อนหน้านี้มาแล้ว คุณต้องเตรียมใจไว้ดีๆ ล่ะ!”
ก่อนหน้านี้ผู้พันเดินทางไปถึงแค่ตรงปากทางขึ้นเขา ก็ไม่กล้าเดินขึ้นไปต่อแล้ว เพราะภาพที่เห็นนั้นช่างน่าสยดสยองเหลือเกิน ทำเอาพวกนายทหาร ยามสันติที่ไม่เคยสู้รบเหล่านี้ต่างก็ตื่นกลัวกันไม่ใช่น้อยๆ เลย
“แค่คนตายจะไปมีอะไรน่ากลัว? ผมเคยเห็นมาเยอะแล้วน่ะ หลายวันก่อนยังเห็นพวกแก๊งนักเลงตีกันจนแขนด้วนขาขาดไปตั้งหลายคนแน่ะ”
ผู้กำกับการโจวไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของผู้พันเลย ขณะที่พูดสายตาก็ยังเหลือบแลไปที่อาเหลียงอีก ที่เขาพูดมานี้เพราะตั้งใจจะกระทบกระเทียบอาเหลียงด้วย จะได้คุมลูกน้องของตัวเองช่วงนี้ให้ทำตัวเรียบร้อยหน่อย
เมื่อเดินไปถึงหน้าทางขึ้นเขา แพทย์คนหนึ่งที่ตามมาข้างหลังก็พลันเอ่ยขึ้นว่า “เอ๊ะ? ทำไมพื้นถึงได้เหนียวแบบนี้ล่ะ?”
“ฝนเพิ่งจะตกไป อาจจะเป็นโคลนก็ได้มั้ง?” อีกคนหนึ่งตอบไปโดยไม่ได้คิดอะไร
“มะ…มะ…ไม่ใช่โคลนหรอก นี่…นี่มันเลือด!”
แพทย์คนที่พูดขึ้นมาเมื่อครู่ส่องไฟฉายลงไปบนพื้น แล้วก็หน้าซีดเผือดไปทันที เพราะบนพื้นที่ปูด้วยแผ่นหินนั้น ถึงกับเต็มไปด้วยเลือด!
ควรทราบว่า ตอนนั้นฝนเพิ่งจะหยุดตกไปได้ไม่ถึงสิบนาที ทั้งที่ฝนตกหนักขนาดนี้ แต่ก็ยังชะล้างคราบเลือดไปไม่หมด อย่างนั้นมิแปลว่าเลือดต้องหลั่งไหลออกมาจนหมดร่างเลยรึ?
แต่ละคนยังไม่ทันได้ตื่นกลัว ผู้พันก็หยุดฝีเท้าลงแล้วพูดขึ้นว่า “ดูสิ อยู่ตรงนี้นี่แหละ!”
เมื่อได้ยินผู้พันบอก แต่ละคนก็ส่องไฟฉายไปข้างหน้าพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย และพบผ้าปูที่นอนสีขาวหลายผืนปูคลุมอยู่บนพื้น แต่ตอนนี้ผ้าเหล่านั้นถูกย้อมเป็นสีแดงไปหมดแล้ว
ไฟฉายเจ็ดแปดกระบอกรวมถึงไฟสปอตไลท์ที่ใช้กันในกองทหารอีกสองดวง สาดส่องบริเวณนั้นจนสว่างโร่ไปหมด ทุกคนจึงสังเกตเห็นว่า พื้นดินบริเวณที่พวกเขายืนอยู่นี้ในรัศมีสิบกว่าเมตร ล้วนเต็มไปด้วยโลหิตที่สีเริ่มดำคล้ำขึ้นมาแล้ว
นอกจากนั้น ตอนนี้กลิ่นเหม็นคาวฉุนจมูกก็โชยมาเข้าจมูกของทุกคนแล้วเช่นกัน ความรุนแรงของกลิ่นนั้น ทำให้ผู้กำกับการโจวซึ่งยังไม่ทันได้เห็นศพรีบยกมือขึ้นมาปิดจมูกทันที และเกือบจะสำรอกกับข้าวที่กินไปตอนมื้อเย็นออกมาหมดแล้ว
ผู้กำกับการโจวล้วงกระดาษโทรสารแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ข้อมูลที่ส่งมาเป็นรูปถ่ายของเยี่ยเทียน หลังจากฝืนทนกลิ่นเหม็นคาวเดินเข้าไปถึงหน้าผ้าขาวนั้นแล้ว เขาก็สั่งผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งว่า “เสี่ยวหลี่ เลิก…เลิกผ้านั่นขึ้นมาที!”
ในฐานะที่เป็นนักสืบนิติวิทยาศาสตร์ซึ่งต้องข้องเกี่ยวกับคนตายมานานปี เสี่ยวหลี่จึงคุ้นชินกับกลิ่นในสถานที่เกิดเหตุแล้ว เมื่อได้ยินผู้กำกับการสั่ง ก็เข้าไปเลิกผ้าขาวออกมาทันที
ใบหน้าอันซีดเผือดไร้โลหิตหน้าหนึ่งปรากฏแก่สายตาของผู้กำกับการโจว ที่หว่างคิ้วมีรอยถูกของมีคมกรีดหนึ่งรอย และยาวไปจนถึงท้องน้อย เสื้อผ้าบนร่างก็ถูกกรีดขาดไปด้วย
เพียงเท่านี้ก็ยังถือว่าไม่เท่าไร แต่ที่ข้างๆ ร่างนั้น เต็มไปด้วยอวัยวะภายในที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมา สีสันบาดตาเป็นกองโต ได้กลิ่นแล้วชวนให้อยากอาเจียนยิ่งนัก
“อุแหวะ…อุแหวะ!”
เมื่อเห็นสภาพภายใต้ผ้าขาวนั้น ผู้กำกับการโจวก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป หันหน้าไปแล้วอาเจียนออกมาคำโต ปกติเขามีหน้าที่ออกคำสั่งอยู่แต่ในสำนักงาน เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อนที่ไหนกัน?
พวกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ติดตามมากับผู้กำกับการโจวก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาเช่นกัน บางคนรีบหนีออกไปด้านข้างหลายก้าว แล้วอาเจียนลงไปบนถนนเป็นการใหญ่ สองคนในนั้นที่เป็นหญิงสาวถึงกับตกใจจนอาเจียนไปร้องไห้ไป น้ำตาเปรอะเปื้อนทั่วใบหน้า
“คนนี้ไม่ใช่เยี่ยเทียนครับผู้กำกับ”
นักสืบนิติวิทยาศาสตร์ที่อยู่ข้างๆ เขากลับท่าทางสุขุมอย่างยิ่ง และรับกระดาษโทรสารจากมือผู้กำกับการไปเทียบดูกับร่างของผู้ตาย
ผู้กำกับการโจวอาเจียนพลางชี้ไปทางศพอีกร่างที่อยู่ไม่ห่างไปนัก “แล้ว…แล้วคนนั้นล่ะ?”
“เดี๋ยวผมไปดูครับ” นักสืบนิติวิทยาศาสตร์คนนั้นตอบ แล้วเดินตรงไปยังอีกจุดหนึ่งที่มีผ้าขาวคลุมไว้ แต่ผ่านไปนานแล้วก็ยังไม่มีเสียงตอบอะไรกลับมา
“เสี่ยวหลี่ ทำไมหรือ?” ผู้กำกับการโจวอดกลั้นความรู้สึกคลื่นไส้ในท้อง แล้วหันหน้าไปมองทางนั้นแวบหนึ่ง แค่มองนี่ยังไม่เท่าไร แต่อาหารที่เหลืออยู่ในกระเพาะอีกน้อยนิดนั้นกลับพุ่งอาเจียนลงไปบนพื้นอีกครั้ง
ศพร่างนี้ก็ไม่ได้น่าขยะแขยงอะไรขนาดนั้น บนร่างปราศจากรอยแผลใดๆ แต่ตั้งแต่ตำแหน่งลำคอขึ้นไปเรื่อยๆ นั้น ส่วนที่ควรจะมีศีรษะอยู่กลับว่างเปล่า
จนกระทั่งเมื่อผู้กำกับการโจวมองไปเห็นศีรษะที่ดวงตากำลังเบิกโพลงนั้น ในกระเพาะก็ไม่เหลืออาหารอะไรอยู่แล้ว เพราะแม้แต่น้ำย่อยเขาก็อาเจียนออกไปจนหมดเกลี้ยง อีกนิดเดียวก็แทบจะอาเจียนน้ำดีออกมาด้วยแล้ว
ตอนนี้ผู้กำกับการโจวถึงเพิ่งจะเข้าใจว่า ทำไมเมื่อครู่นี้หัวหน้าหน่วยสวีและพวกนายทหารถึงได้มีสีหน้าย่ำแย่กันขนาดนั้น บรรดาทหารที่ยังไม่เคยได้สู้รบเหล่านี้ หากกล่าวในบางมุมแล้วก็อาจจะทนรับได้น้อยยิ่งกว่าเขาเสียอีก
ส่วนอาเหลียงที่อยู่ข้างๆ นั้นก็กำลังแอบนึกดีใจอยู่ว่า โชคดีที่ทหารพวกนี้ยืนกรานไม่ให้คนของเขามาขึ้นภูเขาด้วย เพราะถ้าน้องๆ พวกนั้นมาเห็นภาพฉากนี้เข้าละก็ สงสัยเก้าในสิบคนคงได้ขอลาออกไปก่อนแน่นอน
“ผู้กำกับครับ อาวุธที่ฆาตกรใช้นั้นมีความคมมาก ศีรษะนี่ก็ถูกฟันขาดในมีดเดียวครับ!” นักสืบนิติวิทยาศาสตร์ตรวจดูศพโดยคร่าวๆ ตามหน้าที่ แล้วรายงานต่อผู้กำกับการโจว
“พอแล้ว เสี่ยวหลี่ คุณพาทีมนักสืบนิติวิทย์ขึ้นไปบนเขานะ ดูซิว่าบนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
ผู้กำกับการโจวโบกมือให้เสี่ยวหลี่หยุดพูด แล้วหันหน้าไปพูดกับผู้พัน “หัวหน้าหน่วยสวี รบกวนคุณส่งทหารสักกลุ่มไปกับพวกเขาทีนะ เรายังไม่รู้ว่าตอนนี้ฆาตกรยังอยู่บนภูเขารึเปล่า”
จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีใครคาดคิดว่าผู้ตายสองคนนี้จะตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเทียน เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจเชื่อมโยงชายหน้าตาอ่อนเยาว์บนกระดาษโทรสารนั้นเข้ากับฆาตกรได้เลย
“ครับ!”
สำหรับนักสืบนิติวิทยาศาสตร์แล้ว สภาพศพที่สยดสยองยิ่งกว่านี้ก็เคยเห็นมาแล้วทั้งนั้น เสี่ยวหลี่จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรกับสภาพในสถานที่เกิดเหตุมากนัก เมื่อได้ยินผู้กำกับการโจวสั่งการแล้ว ก็พาทีมนักสืบนิติวิทยาศาสตร์เดินขึ้นเขาไปพร้อมกับนายทหารกลุ่มนั้นทันที
เมื่อนักสืบนิติวิทยาศาสตร์ขึ้นเขาไปแล้ว ผู้กำกับการโจวก็หันไปสั่งอีกคนหนึ่งว่า “เสียวเลี่ยว คุณพาคนไปเยี่ยมตามวัดที่อยู่ในบริเวณนี้ทีนะ ดูว่าพอจะถามข่าวคราวได้บ้างไหมว่า ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว ผู้กำกับการโจวก็ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป กลับไปที่ปากทางขึ้นเขาพร้อมกับหัวหน้าหน่วยสวีทันที สีหน้าก็ย่ำแย่พอๆ กับพวกกลุ่มทหารเมื่อก่อนหน้านี้เลย
ภูเขาฝอก่วงซานแม้จะไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่ก็สูงถึงร้อยสองร้อยเมตร ยิ่งภูเขาลูกนี้ยังได้รับการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมดั้งเดิมไว้ ป่าบนเขาก็รกทึบไปหมด การเสาะหาจึงดำเนินไปอย่างยากลำบากยิ่ง
หลังจากส่งทีมค้นหาออกไปอีกสามทีมติดต่อกัน ใช้เวลาไปถึงสิบกว่าชั่วโมง จนกระทั่งถึงช่วงเที่ยงของวันถัดมา ก็นับว่าสืบค้นไปจนทั่วภูเขาทั้งลูกแล้ว และสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของทุกคนนั้น ก็ทำให้แต่ละคนต่างอดรู้สึกพรั่นพรึงขึ้นมาไม่ได้
ศพทั้งหมดยี่สิบสองร่าง ขณะนี้ถูกวางไว้บนทางลาดแห่งหนึ่งที่เชิงเขา นักสืบนิติวิทยาศาสตร์ทำงานยุ่งกันตลอดทั้งคืน และก็พอจะสรุปสาเหตุการตายของคนเหล่านี้ได้โดยคร่าวๆ แล้ว ซึ่งผลนั้นก็เป็นที่น่าสยดสยองสุดจะจินตนาการได้
ไม่ว่าจะเป็นคนที่เสียชีวิตจากการถูกปาดคอหรือตัดศีรษะ แต่ละคนต่างก็เสียชีวิตในพริบตาเดียวทั้งนั้น แต่พวกที่ลำตัวแหลกเละนั้นอนาจยิ่งกว่า ดูจากแผลที่บริเวณอกของพวกเขาแล้ว ราวกับถูกหัวรถไฟชนก็ไม่ปาน
แม้ว่าในใจทุกคนจะรู้กันดีว่านี่เป็นฝีมือของคน แต่พวกเขาก็อยากจะเชื่อว่านี่เป็นฝีมือของผีสางนางไม้บนภูเขาเสียมากกว่า ไม่อย่างนั้นฆาตกรคนนี้ก็คงจะต้องวิตถารยิ่งกว่าสตอลโลนในหนัง ‘แรมโบ้’ เสียอีก
ศพสภาพอเนถอนาจยี่สิบกว่าร่างวางเรียงรายอยู่บนพื้น ทำให้อุณภูมิที่นั่นลดลงไปทันที
ผู้กำกับการโจวมีสีหน้าย่ำแย่สุดขีด แม้ว่าในบรรดาศพเหล่านี้จะไม่มีเยี่ยเทียนอยู่ด้วย แต่เมื่อเกิดคดีอุกฉกรรจ์ถึงเพียงนี้ขึ้นภายในเขตที่เขาดูแลอยู่ ไม่ว่าอย่างไรผู้กำกับการโจวก็คงไม่อาจปัดความรับผิดชอบไปได้
“สมาชิกสภาเฉินมาแล้ว…” ขณะที่ผู้กำกับการโจวกำลังรู้สึกว่าสถานการณ์นี้ใหญ่เกินกว่าที่เขาจะควบคุมได้นั้นเอง พนักงานตำรวจหลายคนก็พาคนอีกสองคนเดินเข้ามา
เหล่าสมาชิกสภาในสภานิติบัญญัติของไต้หวันนั้นมี ‘อำนาจทางการเงิน อำนาจทางกฎหมาย และอำนาจในการไต่สวน’ อยู่ กระทั่งยังมีอำนาจในการถอดถอนหรือฟ้องร้องประธานาธิบดีได้อีกด้วย นับว่าเป็นกลุ่มคนชนชั้นสูงที่สุดในสังคมไต้หวันเลยทีเดียว
เมื่อต้องพบกับสมาชิกสภาเฉินผู้มักจะโต้ฝีปากในการประชุมสภาอยู่บ่อยๆ และก็เป็นฝ่ายชนะมาตลอดท่านนี้ ผู้กำกับการโจวก็ไม่กล้าชักช้า รีบเข้าไปต้อนรับทันที
“หาเยี่ยเทียนเจอรึยัง?”
ที่ทำให้ผู้กำกับการโจวอึ้งไปเลยก็คือ สมาชิกสภาเฉินยังไม่ทันได้พูดอะไร ชายวัยกลางคนที่ดูอายุเพียงสี่สิบกว่าปีที่มากับท่านนั้นกลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
“ท่านนี้คือ…” ผู้กำกับการโจวมองไปทางสมาชิกสภาเฉินอย่างลังเลสงสัย
เมื่อเห็นผู้กำกับการโจวท่าทางลังเล สมาชิกสภาเฉินก็ตอบว่า “ท่านนี้คือคุณจั่วที่มาจากฮ่องกงน่ะ ผู้กำกับการโจว ไหนเล่าสิ่งที่คุณรู้มาให้ฟังหน่อยซิ!”
ผู้ที่มากับสมาชิกสภาเฉินก็คือจั่วเจียจวิ้นนั่นเอง แม้ว่าเมื่อวานจะนั่งเครื่องบินมาข้ามคืน แต่เพราะที่เกาสงมีพายุฝนฟ้าคะนอง เครื่องบินจึงไม่สามารถลงจอดได้ สุดท้ายจึงได้แต่ไปจอดที่สนามบินอีกแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงเร่งรุดมาที่นี่
……….
ตอนที่ 360 ลมพัดเมฆเคลื่อน (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ใช่ครับ ท่านส.ส.เฉิน คุณจั่ว หลังจากผ่านการตรวจค้นและซักถามตลอดหนึ่งคืน พบศพทั้งหมดยี่สิบสองศพ และหนึ่งในนั้นไม่มีศพของคุณเยี่ยเทียนครับ!”
หลังจากทำงานตลอดหนึ่งคืนเต็ม อธิบดีโจวก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่เวลานี้เขายังต้องตั้งสติให้ดี เพื่อรายงานสถานการณ์ในที่เกิดเหตุให้ท่าน ส.ส. เฉินได้ทราบ
“รู้สถานะที่ชัดเจนของอีกฝ่ายหรือยัง?”
จั่วเจียจวิ้นถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ ตอนที่เขาอยู่ในระหว่างการเดินทางก็ได้รับโทรศัพท์แล้ว จึงรู้ว่าไม่พบศพของเยี่ยเทียน ทำให้เขาโล่งใจมาก และรู้สึกโกรธคนที่ต้องการฆ่าเยี่ยเทียนจนเข้ากระดูกดำ
“คุณจั่วครับ ตรวจสอบสถานะของพวกเขาแล้ว คือ…คือทีมทหารรับจ้างเทียนหลงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครับ ทั้งหมดยี่สิบสองคนได้เสียชีวิตที่นี่หมดแล้วครับ”
คดีที่ถูกพี่ใหญ่หลายคนให้ความสนใจจึงทำให้มีประสิทธิภาพในการทำงานค่อนข้างดี หลังจากเทียบใบหน้าของศพผ่านทางรูปภาพแล้ว ไม่ช้าจึงยืนยันได้ว่าเป็นทีมทหารรับจ้างเทียนหลงที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จริงๆ
แต่สิ่งที่ทำให้อธิบดีโจวกับผู้พันคนนั้นตกใจคือ ทีมทหารรับจ้างที่เคยผ่านการร่วมรบในสงครามอิรักมาก่อน กลับพ่ายแพ้ย่อยยับทั้งกองทัพอยู่ในภูเขาฝ่อกงซานแห่งนี้
นอกจากความตื่นตระหนกตกใจแล้ว คนที่รู้จักชื่อเสียงของทีมทหารรับจ้างเทียนหลงต่างก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจเช่นกัน พลางคิดว่าพวกเขาได้เจอกับคู่แข่งแบบไหนกันแน่ ขนาดคนยี่สิบสองคนนั้นยังไม่สามารถหนีรอดมาได้แม้แต่คนเดียว?
“ทีมทหารรับจ้างเทียนหลง?!”
ในปากของจั่วเจียจวิ้นทำเสียงฮึดฮัดเย็นชา แล้วจึงหันหน้าไปที่อาติง พลางพูด “ไปสืบเบื้องหลังของทีมทหารรับจ้างพวกนี้ให้หมด ดูสิว่ายังมีคนที่หลงเหลืออีกไหม?”
ถึงแม้กฎของยุทธภพที่เรียนวิชาฉีเหมินจะไม่สร้างความหายนะให้แก่คนของครอบครัว แต่คนพวกนี้ไม่ใช่คนจีน ถ้าหากเยี่ยเทียนเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ จั่วเจียจวิ้นก็จะไม่ถือสาที่จะให้ครอบครัวของคนพวกนี้ต้องลงหลุมไปพร้อมกับเยี่ยเทียน
“บนภูเขานี้มีวัดวาอารามมากมาย แต่ไม่มีพระสงฆ์รูปไหนรู้เรื่องของเมื่อวานเลย?” หลังจากสั่งงานอาติงแล้ว จั่วเจียจวิ้นจึงมองไปอธิบดีโจว
อธิบดีโจวฝืนหัวเราะขมขื่นแล้วพูด “คุณจั่วครับ เมื่อวานเกิดฝนเทกระหน่ำทั้งคืน บวกกับฟ้าแลบฟ้าร้องครั่นครืน จึงทำให้พระสงฆ์ได้ยินเสียงปืนบ้าง แต่เนื่องจากสายตาไม่ค่อยดี พวกเขาจึงมองอะไรไม่เห็นครับ”
เมื่อเกิดคดีใหญ่เช่นนี้ อธิบดีโจวจึงไม่สนใจแล้วว่าที่นี่คือสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นเขาจึงเข้าไปกราบเรียนผู้อำนวยการของภูเขาฝ่อกงซานและเรียนเชิญพระสงฆ์เปิดการประชุมใหญ่ตลอดทั้งคืน กระทั่งอาจารย์ใหญ่เหลียนซิงยวิ๋นก็ยังตื่นตระหนก แต่กลับไม่มีใครสามารถอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนกลางคืนได้อย่างชัดเจน
หลังจากฟังคำอธิบายของอธิบดีโจวแล้ว จั่วเจียจวิ้นจึงเกิดความลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเงยหน้าพูด “ โอเค ส.ส.เฉินครับ ครั้งนี้รบกวนคุณจริงๆ คุณกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ ผมอยากจะดูบาดแผลของคนพวกนี้ก่อน!”
เมื่อสิบปีก่อนจั่วเจียจวิ้นเคยทำนายดวงชะตาให้ ส.ส.เฉิน คนนี้มาก่อน และบอกว่าสุดท้ายเขาจะยอมทิ้งอาชีพทนายความและเข้าสู่การเป็นนักการเมือง แถมยังจะได้นั่งในตำแหน่งที่สูงมากอีกด้วย
เดิมที ส.ส.เฉิน ก็ไม่เชื่อ แต่มีครั้งหนึ่งที่เขาต้องก้าวเข้าไปอยู่ในเวทีการเมืองโดยบังเอิญ และภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองสามปีเขาก็สามารถเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและผู้แทนไต้หวันได้สำเร็จ ดังนั้นจึงทำให้เขารู้สึกเลื่อมใสในตัวจั่วเจียจวิ้นเป็นอย่างมาก
แต่ ส.ส.เฉิน กลับไม่รู้ว่า ระยะหลังของอาชีพนักการเมืองของเขา ที่แม้แต่จั่วเจียจวิ้นก็ไม่อาจทำนายออกมาได้นั้น กลับตามมาด้วยเรื่องอื้อฉาวกับภัยที่ต้องเสี่ยงคุกเสี่ยงตาราง แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พูดหลังจากนี้
“ทุกคนถูกฆ่าถึงจุดตายในทีเดียว น่าจะเป็นวิธีการของศิษย์น้อง!”
หลังจากส่ง ส.ส.เฉิน ออกไปแล้ว จั่วเจียจวิ้นจึงเปิดผ้าสีขาวที่คลุมศพออกแล้วตรวจสอบดู หลังจากผ่านไปชั่วพักหนึ่งก็ปรากฏรอยยิ้มบนสีหน้าของเขา
เพราะดูจากสาเหตุการตายของคนพวกนี้ ก่อนที่พวกเขาจะตายได้สูญเสียความสามารถในการโจมตีเยี่ยเทียนให้ถึงจุดตายไปแล้ว หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เยี่ยเทียนน่าจะปลอดภัยดี
และการที่ไม่สามารถค้นหาร่องรอยของเยี่ยเทียนได้ จั่วเจียจวิ้นจึงเดาว่าหลังจากที่เขาฆ่าคนไปแล้วจึงไม่อยากเป็นจุดสนใจจากพวกทางราชการ ดังนั้นจึงแอบหนีไปอย่างเงียบๆ
เมื่อคิดว่าเรื่องน่าจะเป็นเช่นนี้จึงทำให้จั่วเจียจวิ้นอารมณ์ดีมาก ถึงแม้วิธีการของศิษย์น้องจะโหดเหี้ยมไปหน่อย แต่เมื่ออยู่ในช่วงแห่งความเป็นความตายจึงมีแต่ต้องให้ไม่ใครก็ใครต้องตายไปข้างหนึ่ง จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่พูดได้
“อธิบดีโจวครับ สั่งให้คนแยกย้ายเถอะ เยี่ยเทียนน่าจะถูกใครช่วยชีวิตไปแล้ว ทุกคนจึงไม่จำเป็นต้องล้อมภูเขา ฝ่อกงซานอีกแล้วครับ!”
หลังจากกลับไปที่หน่วยบัญชาการชั่วคราว จั่วเจียจวิ้นจึงไปหาอธิบดีโจว เพราะในความคิดของเขา ถ้าหากคนล้อมภูเขาไม่ยอมถอนตัวออกไป เยี่ยเทียนคงไม่กล้าออกมาแน่นอน
“คุณจั่วครับ คงจะยุ่งยากมาก ต่อให้ไม่อยากถอยก็ต้องถอยครับ!”
หลังจากได้ยินคำพูดของจั่วเจียจวิ้นแล้ว อธิบดีโจวจึงเผยรอยยิ้มขมขื่นบนใบหน้าของเขา และเดิมทีทหารที่ล้อมรอบปากทางแต่ละที่ ก็เริ่มทอยขึ้นรถและถอนตัวกลับแล้ว
นอกจากนี้ ส.ส.เฉิน ก็มีสีหน้าขรึมเช่นกัน เมื่อเห็นจั่วเจียจวิ้นกลับมาจึงได้ดึงเขาไว้แล้วพูดว่า “คุณจั่วครับ ต้องขอโทษจริงๆ ผมต้องรีบกลับไปเพราะอีกฝ่ายเริ่มมีการเคลื่อนไหวบ้างแล้วครับ!”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ?”
จั่วเจียจวิ้นถามอย่างน่าประหลาด เพราะ ส.ส.เฉิน มีรูปการณ์พัฒนาในไต้หวันที่ยอดเยี่ยม และถูกเรียกให้เป็นผู้นำคนต่อไปสูงมาก จึงไม่น่าจะมีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาต้องตื่นเต้นขนาดนี้?
ส.ส.เฉิน ฝืนยิ้มขณะที่ชี้ไปทางนั้น แล้วจึงยิ้มพูดอย่างขมขื่น “อีกฝ่ายบอกมาว่า เยี่ยเทียนหายตัวไปในเขตของพวกเรา จึงต้องการให้พวกเราให้ความกระจ่างแจ้ง!”
“อีกฝ่าย?” จั่วเจียจวิ้นตกใจก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงเข้าใจทันที ที่แท้ ส.ส.เฉิน พูดถึงก็คือประเทศจีน
“อ้อ คุณจั่วครับ เยี่ยเทียนเป็นใครกันแน่ครับ? ทำไมถึงทำให้ฝั่งโน้นต้องตื่นตระหนกด้วย? คุณก็ตามหาเขาเหมือนกัน สามารถอธิบายให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหมครับ?”
ส.ส.เฉิน เพิ่งจะรับโทรศัพท์ เพราะอีกฝ่ายที่ทักทายมาเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งสูงมาก เขาเป็นนายพลอาวุโสคนหนึ่ง มีรุ่นน้องอยู่ในกองทัพนับไม่ถ้วน สามารถพูดได้ว่าเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่ง
และอย่ามองแต่ไต้หวันมัวแต่ร้องขอความเป็นอิสระตลอดทั้งวัน ความจริงอีกฝ่ายแค่ไม่อยากถือสาเอาความเท่านั้นเอง หากมีครั้งไหนที่ไต้หวันทำเกินไป เพียงแค่อีกฝ่ายส่งเรือซ้อมรบออกมาหนึ่งลำ ก็สามารถทำให้ฝั่งไต้หวันตื่นเต้นไปได้อีกพักใหญ่
จั่วเจียจวิ้นส่ายหน้าแล้วพูด “คุณอย่าถามเรื่องสถานะดีกว่า ผมจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เองครับ!”
จั่วเจียจวิ้นรู้ว่าเมื่อวานตอนที่เขามาถึงไต้หวัน ถังเหวินหย่วนกำลังติดต่อกับบุคคลสำคัญคนหนึ่งของประเทศจีน และเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าถังเหวินหย่วนจะมีอิทธิพลมากขนาดนี้ ภายในระยะเวลาอันสั้นสิบชั่วโมงกว่าก็สามารถทำให้ฝ่ายนั้นเริ่มการเคลื่อนไหวได้แล้ว
หลังจากโทรไปที่ฮ่องกง และแล้วก็เป็นเหมือนที่จั่วเจียจวิ้นคิดเอาไว้ แท้จริงแล้วถังเหวินหย่วนได้ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวของตัวเองเพิ่มแรงกดดันให้กับทางไต้หวัน หลังจากแจ้งสถานการณ์ที่ตัวเองลองคำนวณออกไปแล้ว จั่วเจียจวิ้นจึงตัดสาย
“ฝั่งนั้นไม่น่าจะมีปัญหาแล้วครับ ส.ส.เฉิน ผมว่าอย่าแพร่เรื่องนี้ออกไปแล้วก็เผาศพพวกนี้ไปเลยดีกว่าครับ” หลังจากวางสายแล้ว จั่วเจียจวิ้นจึงมองไปที่ ส.ส.เฉิน พลางคิดว่าเยี่ยเทียนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ตัวเองในฐานะศิษย์พี่จึงต้องจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นภายหลังให้เรียบร้อย
“คุณจั่วครับ แบบ…แบบนี้ก็ได้แล้ว?” ตอนที่จั่วเจียจวิ้นโทรศัพท์ ส.ส.เฉิน ก็อยู่ข้างๆ ตลอด จึงมองเห็นเขาพูดอย่างสบายเพียงสองสามประโยค ก็สามารถทำให้เรื่องนี้สงบลงแล้ว?
จั่วเจียจวิ้นมองเห็น ส.ส.เฉิน ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อจึงยิ้มพูด “ครับ ถ้าไม่เชื่อคุณก็ลองโทรศัพท์ไปถามดูสิครับ?”
“ได้ครับ คุณจั่วรอผมสักครู่นะครับ ผมขอโทรศัพท์ก่อน” ส.ส.เฉิน พยักหน้า เพราะไม่เชื่อคำพูดของจั่วเจียจวิ้นง่ายๆ จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์เดินออกไปจากเต้นท์บัญชาการชั่วคราว
“เอ๊ะ พวกคุณสองสามคนมาทำอะไร? โอ๊ย…”
ส.ส.เฉิน เพิ่งจะเดินออกมา ก็เกิดเสียงคำรามดังมาจากข้างนอกเต้นท์ จากนั้นก็มีเสียงร้องเจ็บดังตามมา จั่วเจียจวิ้นจึงรีบมุดออกมาจากเต้นท์เช่นกัน
“พวกคุณเป็นใคร?”
มีผู้ชายชาวตะวันตกสี่คนยืนอยู่ข้างนอกเต้นท์ หัวใจของจั่วเจียจวิ้นสั่นไหวโดยเฉพาะตอนที่มีผู้ชายหนึ่งคนในนั้นมองมาที่ตัวเอง ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกสัตว์ที่ดุร้ายจ้องมองอยู่
เนื่องจากเวลานี้นายทหารได้กลับไปหมดแล้ว จึงเหลือแต่ตำรวจของสถานีบางส่วน และพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด หลังจากเห็นว่าตัวเองเสียเปรียบจึงรีบชักปืนออกมาแล้วเล็งไปที่คนเหล่านี้
“พวกเราได้รับการไหว้วานให้ตามหาคนจีนที่ชื่อเยี่ยเทียนและคุ้มครองความปลอดภัยของเขาครับ นี่คือรูปภาพของเขา พวกคุณอย่าเข้าใจผิดครับ!”
เมื่อเห็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ชักปืนออกมา และถึงแม้ใบหน้าของชาวตะวันตกสองสามคนนั้นจะยังเหมือนเดิม แต่พวกเขาก็ยังอธิบายออกมา และหนึ่งคนในนั้นก็เอาภาพถ่ายทางแฟกซ์ออกมาใบหนึ่ง
“ใครเป็นคนไหว้วานพวกคุณ?” จั่วเจียจวิ้นถาม
ผู้ชายผิวขาวพูดอย่างเย็นชาว่า “ขอโทษครับ พวกเราไม่สามารถเปิดเผยความลับของนายจ้างได้!”
“คุณหญิงซ่ง?”
ในใจของจั่วเจียจวิ้นปรากฏเงาของคนหนึ่งออกมา และตอนนี้อธิบดีโจวที่ได้ยินการเคลื่อนไหวก็รีบออกมาพอดี จากนั้นจึงดึงเขาเอาไว้พลางพูด “อย่าเพิ่งให้คนสองสามคนนี้ออกไป ผมขอโทรศัพท์ก่อน!”
หลังจากรู้ข่าวที่เยี่ยเทียนถูกคนไล่ฆ่าเมื่อวาน ปฏิกิริยาแรกของจั่วเจียจวิ้นจึงรู้ว่าเป็นฝืมือของลูกหลานสกุลซ่ง ดังนั้นเขาจึงโทรหาซ่งเวยหลัน แล้วตำหนิติโทษเธอด้วยความโกรธ
แล้วผู้ชายผิวขาวสองสามคนนี้ก็ปรากฏอย่างกะทันหัน หนำซ้ำทุกคนไม่ใช่รุ่นน้องที่ว่าง่าย จึงสร้างแรงกดดันให้จั่วเจียจวิ้นเป็นอย่างมาก ที่สามารถว่าจ้างคนสองสามคนภายในระยะเวลาอันสั้นได้ นอกจากซ่งเวยหลันแล้ว คิดว่าคงไม่มีใครที่มีความสามารถสูงขนาดนี้
และจั่วเจียจวิ้นก็เดาถูก หลังจากเขาได้รับโทรศัพท์ ซ่งเวยหลันก็เกือบจะนั่งเครื่องบินส่วนตัวและรีบมาที่ไต้หวัน
แต่การควบคุมอาณาจักรธุรกิจใหญ่ จึงทำให้ซ่งเวยหลันยังพอมีสติ เธอรู้ดีว่าถึงแม้ตัวเองมาถึงก็ไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้นสิ่งแรกที่เธอทำก็คือใช้เงินจำนวนหนึ่งว่าจ้างทีมทหารรับจ้างระดับสูงที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่สามเหลี่ยมทองคำ
พร้อมกับให้ค่าคอมมิชชั่นที่พวกเขาถูกปลดออกจากตำแหน่งอีกด้วย ซ่งเวยหลันจ่ายเงินไปครั้งนี้เกือบสามสิบล้านดอลลาร์ แน่นอนว่าสำหรับชีวิตของลูกชายแล้ว เงินพวกนี้จึงไม่สำคัญ
ตอนที่จั่วเจียจวิ้นกำลังโทรศัพท์หาซ่งเวยหลัน เธอก็กำลังสั่งให้คนไปสืบการเคลื่อนไหวในช่วงนี้ของหลานชายของเธอ หลังจากที่รับสายของจั่วเจียจวิ้นและรู้ว่าลูกชายไม่น่าจะเป็นอะไร จึงทำให้เธอโล่งอก
ทว่าก็ได้ว่าจ้างทหารรับจ้างชาวตะวันตกพวกนี้ไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถเรียกเงินคืนได้
จากนั้นจั่วเจียจวิ้นจึงพาสองสามคนนี้ไปเดินบนภูเขาหนึ่งรอบ หลังจากเห็นร่องรอยประจัญบานกัน เดิมทีทหารรับจ้างที่มีความยโสโอหังในตอนแรกอย่างผิดปกติ ต่อมาก็กลายเป็นความถ่อมตนและนอบน้อมมากขึ้น
พวกเขาเป็นบุคคลชั้นยอดในวงการทหารรับจ้าง ดังนั้นจึงรู้ว่าหากเปลี่ยนเป็นตัวพวกเขาเอง คาดว่าจุดจบก็คงไม่น่าจะต่างจากศพทั้งยี่สิบสองศพพวกนั้น
และภายใต้การควบคุมของฝ่ายที่เกี่ยวข้องของไต้หวัน จึงทำให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นของฮ่องกง ไต้หวัน ประเทศจีนและวงการทหารรับจ้างสากลได้ถูกควบคุมให้อยู่ในขอบเขตที่เล็กที่สุด
แต่หลังจากสองวันผ่านไป เดิมทีจั่วเจียจวิ้นคิดว่าเยี่ยเทียนจะปรากฏออกมาเองก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาอีกแล้ว เพราะเยี่ยเทียนเหมือนกับคนที่หายตัวไปจากโลกนี้ และไม่มีข่าวใดๆ แพร่ออกมา
……….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น