กระบี่จงมา 358.3-360.1
บทที่ 358.3 ฝนหยุด
แท่นพันธนาการมังกรเก่าแก่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าส่งเสียงดังครืนครั่น ความว่างเปล่าที่เป็นสีดำมืดมิดนอกแท่นพันธนาการมังกรมีสายฟ้าเปล่งแสงแปลบปลาบพร้อมเสียงฟ้าร้องคำรณ
นักพรตเฒ่าเอ่ยขึ้น “หากเจ้าเป็นคน แล้วอยู่ในสำนักจ้งเหิงของใต้หล้าไพศาล อนาคตย่อมไม่เลว แต่หากเป็นคนของสำนักหยินหยาง คุณสมบัติของเจ้ากลับยังไม่ดีพอ”
นักพรตหนุ่มพยักหน้ารับอย่างจนใจ “เป็นเช่นนี้จริง”
นักพรตเฒ่าพลันเอ่ยประโยคหนึ่งที่มีความหมายลึกล้ำยิ่ง “อันที่จริงเด็กรุ่นหลังในสองใต้หล้าอย่างพวกเจ้า หากเกิดเร็วกว่านี้สักหน่อย และโชคดีมีชีวิตรอดอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ในหลายๆ ด้านล้วนถือว่าไม่เลว”
นักพรตหนุ่มจมสู่ภวังค์ความคิด
นักพรตเฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปคว้าจับหนึ่งครั้ง สายฟ้าที่แลบวูบวาบอยู่นอกแท่นพันธนาการมังกรก็ผ่าแหวกทะลวงตราผนึกและกฎเกณฑ์ กรูกันเข้ามาในแท่นพันธนาการมังกร แล้วมารวมตัวเป็นกลุ่มอยู่ใจกลางฝ่ามือของนักพรตเฒ่า สุดท้ายกลายเป็นลูกสายฟ้าขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่ง
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้นักพรตหนุ่มหยุดความคิดทั้งหมดลง ยิ้มจืดเจื่อน
นี่ก็คือความห่างชั้น
ถึงขั้นที่ว่าไม่เกี่ยวข้องกับตบะว่าสูงหรือต่ำ
นักพรตเฒ่าเก็บลูกสายฟ้านั้นไว้ในชายแขนเสื้อ พูดเบาๆ ว่า “หนึ่งในเมธีร้อยสำนักที่ซิ่วไฉเฒ่าดูแคลนอย่างมาก อันที่จริงมีคนคนหนึ่งในนั้นที่เปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกใบนี้ออกมาด้วยหนึ่งประโยค”
ดวงตาของนักพรตหนุ่มฉายประกายร้อนแรง “ขอท่านผู้อาวุโสโปรดไขข้อข้องใจให้ผู้น้อยด้วย!”
นักพรตเฒ่าหันหน้ากลับมา สายตาเย็นชา “เจ้าเป็นเผ่าปีศาจตนหนึ่ง ปากพร่ำเรียกข้าว่าผู้อาวุโส เรียกตัวเองว่าผู้น้อยอย่างนั้นรึ? เจ้าเห็นข้าเป็นสัตว์เดรัจฉานเฒ่าหรืออย่างไร?”
ไม่มอบโอกาสใดๆ ให้แก่นักพรตหนุ่ม
ดวงวิญญาณที่เดิมทีก็ไม่สมประกอบลอยออกมาจากเนื้อหนังมังสาที่ถูกเลือกสรรอย่างบรรจง ถูกนักพรตเฒ่าบีบคอเอาไว้ ส่วนเรือนกายของ ‘นักพรตหนุ่มภูเขาไท่ผิง’ กลับอ่อนยวบพังพาบลงบนพื้น จากนั้นจึงหายไปเหลือเพียงความว่างเปล่าไม่ต่างจากร่างของวานรขาวก่อนหน้านี้
เหลือทิ้งไว้เพียงกวานดอกบัวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหนึ่งในสามลัทธิเต๋าที่อยู่บนแท่นพันธนาการมังกร
นักพรตเฒ่าสะบัดมือทีหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ วิญญาณของปีศาจใหญ่ที่จำแลงเป็นร่างคนซึ่งยังคงอยู่ในรูปลักษณ์ของนักพรตหนุ่มกระแทกลงบนพื้นแรงๆ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้เขากลับยังรีบบังคับกวานเต๋ารูปดอกบัวให้เข้ามาอยู่ในมือแล้วรีบสวมไว้บนศีรษะอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าตอนนั้นเพื่อให้ข้ามผ่านกำแพงเมืองปราณกระบี่มาได้สำเร็จ จึงได้แต่ฝากให้คนอื่นช่วยซ่อนหนึ่งจิตสี่วิญญาณเอาไว้ ถึงสามารถออกมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เดินเข้ามาทางภูเขาห้อยหัว สุดท้ายมาถึงใบถงทวีปแห่งนี้
ทว่าฝึกตนอยู่ในใต้หล้าไพศาลมานานขนาดนี้ อีกทั้งหนังหุ้มวิญญาณที่เลือกมาก็ดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด ดังนั้นสุดท้ายจึงยังได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสองเซียนเหริน
แต่เมื่อมาอยู่ใต้น้ำมือของนักพรตเฒ่ากลับไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ตอบโต้
นักพรตเฒ่าเอ่ยเนิบช้า “มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ‘ท่อนไม้ยาวหนึ่งฉื่อ หักมันครึ่งหนึ่งทุกวัน ไม่มีทางหักได้หมด’” (เปรียบเปรยถึงว่าเรื่องราวสามารถแบ่งแยกไปได้อีกมากมายอย่างไร้ขีดจำกัด)
ปีศาจใหญ่ที่อาศัยกวานดอกบัวมาทำให้ดวงวิญญาณมั่นคงเอ่ยขึ้นอย่างยากลำบาก “คือหนึ่งในความรู้ของบรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาท่านนั้นที่ไม่ถือว่ามีชื่อเสียงมากที่สุด ข้าเคยเห็นมาหลายครั้งจากในตำราของแต่ละสำนัก เพียงแต่ไม่เคยใคร่ครวญอย่างจริงจังมาก่อน”
นักพรตเฒ่าเอ่ยเย้ยหยัน “ถึงได้บอกว่าพวกเจ้าโง่อย่างไรล่ะ”
ปีศาจใหญ่ที่หลงเหลือเพียงดวงวิญญาณ ไร้เรือนกาย สวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะรู้สึกวูบโหวงในใจ ไม่เคยรู้สึกคิดถึงบ้านเกิดเท่านี้มาก่อน
นักพรตเฒ่าหันหน้ากลับไป คลี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ตราผนึกบนดาบแคบหยุดหิมะที่เป็น ‘ของตกทอดในปีนั้น’ ข้าทำลายทิ้งไปแล้ว เจ้าถือสาหรือไม่?”
ปีศาจใหญ่ส่ายหน้าไม่พูดไม่จา
นักพรตเฒ่าคลี่ยิ้ม “แม้แต่คำประจบยกยอยังไม่รู้จักพูด สมควรแล้วที่ต้องเจอกับหายนะใหญ่เช่นนี้”
ปีศาจใหญ่มึนงงไม่เข้าใจ
นักพรตเฒ่าเดินก้าวหนึ่งเข้าไปในความว่างเปล่า จากไปทั้งอย่างนี้
……
ตอนที่เฉินผิงอันคลี่ม้วนภาพแห่งชะตาชีวิตของสุยโย่วเปียนแล้วโยนเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญหนึ่งเข้าไป
เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนของพื้นที่มงคลดอกบัวมีฝนเม็ดเล็กโปรยปรายลงมา
ช่วงต้นฤดูหนาว แม้ว่าเม็ดฝนจะไม่ใหญ่ แต่ก็ยังทำให้คนรู้สึกรำคาญใจได้
คนสี่คนเดินอยู่บนถนน คนที่เป็นผู้นำยากจะบอกได้ว่าเป็นชายหรือหญิง เพราะรูปโฉมงดงามอย่างยิ่ง ฤดูหนาวที่อากาศหนาวเหน็บกลับถือพัดพับอยู่ในมือ ไม่ได้คลี่มันออก แต่เอามันเคาะลงบนฝ่ามือเบาๆ เมื่อภาพนี้ปรากฎแก่สายตาของชาวบ้านแคว้นหนันเยวี่ยน หากไม่เป็นเพราะหน้าตาดีจริงๆ คงถูกมองว่าเป็นคนหยาบกระด้างไร้รสนิยมไปแล้ว
คนทั้งสี่เดินอยู่บนถนนใหญ่เส้นหนึ่ง คนหนุ่มเหลียวซ้ายแลขวา จุ๊ปากชื่นชมไม่หยุด
มีเด็กนักเรียนประถมวัยคนหนึ่งชื่อว่าเฉาฉิงหล่าง เดิมทีเดินออกจากตรอกที่ตั้งของบ้านมาถึงถนนแล้ว เพียงแต่ว่าจู่ๆ ฝนก็ตกลงมา จึงต้องวิ่งกลับบ้านไปหยิบร่มกระดาษน้ำมันคันนั้น เวลานี้กำลังเดินมาถึงหัวเลี้ยว มองเห็นคนกลุ่มนั้นไกลๆ ก็เบิกตากว้างมองไปอย่างเต็มไปด้วยความคาดหวัง ทว่าพอมองเห็นใบหน้าของคุณชายหนุ่มผู้นั้น รู้ว่าไม่ใช่คนที่ตัวเองหวังให้เป็น เฉาฉิงหล่างก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย รีบเดินเร็วๆ ไปทางโรงเรียนเพียงลำพัง อาจารย์จ้งที่สอนหนังสือไม่ชอบคนมาสายที่สุด
เฉาฉิงหล่างเห็นหน้าคุณชายผู้นั้นไม่ชัดเจนนัก
ทว่าฝ่ายหลังกลับมองเห็นเขาอย่างชัดแจ้ง ในฐานะเจ๋อเซียนที่กักเก็บตบะของทั้งร่าง ใช้ร่างจริงและดวงวิญญาณที่สมบูรณ์แบบมาเยือนพื้นที่มงคลดอกบัว เมื่อเท้าของลู่ไถแตะพื้นก็เท่ากับเลื่อนขั้นอยู่ในลำดับสิบคนใหม่ในใต้หล้าแล้ว
ส่วนผู้ติดตามสามคนที่ตามมาด้านหลังก็ได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกัน แต่เพราะพื้นฐานที่ปูมาในใต้หล้าไพศาลไม่แน่นหนาพอ อีกทั้งอายุยังน้อย ดังนั้นอย่างมากสุดก็เป็นได้แค่ยอดฝีมือลำดับสองของยุทธภพแห่งนี้ ห่างจากปรมาจารย์ลำดับหนึ่งอยู่อีกไกล
หวนอินที่จิตใจแทบจะแหลกสลายในหายนะครั้งนั้น นักพรตหนุ่มหวงซ่างที่เปลี่ยนสำนักมาอยู่กับลู่ไถ
บุรุษหนุ่มต่างแซ่ผู้มากความสามารถที่ได้รับความสำคัญจากป้อมอินทรีบิน เถาเสียหยาง ซึ่งก็คือหมากที่ผู้ฝึกตนนอกรีตโอสถทองสวมกวานห้าขุนเขาตอกฝังไว้ในป้อมอินทรีบิน
ตอนนี้คนทั้งสามต่างก็เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของลู่ไถ
ลู่ไถเดินมาหยุดอยู่ใกล้กับตรอกจ้วงหยวนและถนนเส้นหนึ่ง บริเวณใกล้เคียงมีศูนย์ฝึกวรยุทธ์อยู่แห่งหนึ่ง ลู่ไถมองเรือนหลังเล็กที่เคยเป็นที่พักของติงอิงและยาเอ๋อร์ตอนที่เข้ามาอยู่ในเมืองแห่งนี้ ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นฐานแห่งหนึ่งของลัทธิมารในแคว้นหนันเยวี่ยน เพียงแต่ว่าหลังศึกใหญ่ปิดฉากลง ราชครูจ้งชิวเก็บบ้านหลังนี้เอาไว้ตลอดเวลา ลู่ไถเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นับแต่วันนี้ไป ที่นี่ก็คือเรือนพักส่วนตัวของข้า”
เขาหันหน้าไปสั่งความคนทั้งสาม “หวงซ่างเจ้าไปที่พรรคหูซานสักรอบหนึ่ง จะเรียนรู้วิชาจากอวี๋เจินอี้มาได้มากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับโชควาสนาของเจ้าเองแล้ว”
“ส่วนเถาเสียหยางและหวนอิน พื้นที่มงคลแห่งนี้ พวกเจ้าสองคนเดินเที่ยวได้ตามใจชอบ เถาเสียหยางสามารถสังเกตการณ์ถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่แห่งหลงอู่ให้มากหน่อย หวนอินก็สามารถขยับเข้าไปใกล้เฉิงหยวนซานปี้เซิ่งที่อยู่นอกด่านคนนั้น”
“หกสิบปีให้หลัง หากพวกเจ้าไม่สามารถเลื่อนเป็นสิบอันดับแรกของใต้หล้าแห่งนี้ได้ ก็จงกลายเป็นสารอาหารที่บำรุงหล่อเลี้ยงพื้นที่มงคลแห่งนี้ไปเถอะ จงภาวนาขอให้ตัวเองโชคดี ข้าได้มอบวัตถุคุ้มกันกายให้พวกเจ้าแต่ละคนไปแล้ว หากยังต้องถูกน้ำในยุทธภพเล็กๆ แห่งนี้ท่วมตาย ข้าก็รู้สึกว่าการพาพวกเจ้าลงมาที่นี่ช่างสิ้นเปลืองเงินนัก”
ลู่ไถโบกมือ คนทั้งสามจึงบอกลาอย่างนอบน้อมแล้วพากันจากไป
ห่างออกไปไม่ไกลคือคนของลัทธิขงจื๊อสวมชุดเขียวที่จอนผมสองข้างล้วนเป็นสีออกเงิน ก็คืออาจารย์จ้งในสายตาของเฉาฉิงหล่าง วันนี้ไม่ใช่พวกนักเรียนเกเรซุกซน ชอบเอาแต่นอนที่มาสาย กลับเป็นอาจารย์ผู้เฒ่าที่ไม่ชอบยิ้มแย้มพูดคุยผู้นี้ที่มาสายเสียเอง
ลู่ไถยิ้มมองไปยังราชครูจ้งชิว “ข้ากับเฉินผิงอันเป็นเพื่อนกัน บุคลิกอันสง่างามของราชครูจ้ง ข้าเคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อนแล้ว ดังนั้นข้าจึงเลือกมาปักหลักอยู่ที่แคว้นหนันเยวี่ยน”
จ้งชิวพยักหน้ารับ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะคอยดู หวังว่าเจ้าจะไม่กังวลถึงสิ่งใด ต่อให้เจ้าจะเป็นเพื่อนของเฉินผิงอันก็ตาม”
เสียงพรึ่บดังหนึ่งครั้ง ลู่ไถคลี่พัดไม้ไผ่ที่เรียบง่ายแต่สง่างามด้ามนั้นออก พัดเอาลมเย็นและสายฝนเม็ดบางเข้าหาตัวเบาๆ ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “เคยคิดหรือไม่ว่าอีกหกสิบปีให้หลังจะออกไปชมทัศนียภาพข้างนอก?”
จ้งชิวส่ายหน้า หมุนกายเดินจากไป
ลู่ไถไม่ถือสา เขาหันหน้าไปมองประตูบ้านที่ผ่านลมพัดแดดส่องมาหนึ่งปี ภาพเทพทวารบาลที่แปะไว้หน้าประตูสีซีดออกเก่าแล้ว เขาพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ต้องเปลี่ยนภาพเทพทวารบาล ต้องติดกลอนคู่วันปีใหม่ แล้วยังต้องจ้างเด็กสาวหน้าตางดงามชวนมองมาเป็นสาวใช้หลายๆ คน หรือจะไปเยือนตำหนักคลื่นวสันต์ ขอสาวใช้มาจากหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อดี?”
หลังจากที่เฉินผิงอันโยนเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญที่สองลงไปในม้วนภาพวาด
พรรคหูซานแคว้นซงไล่ก็มีฝนโปรยปรายที่ตกลงมาทั้งที่แสงแดดเจิดจ้า ไม่มีใครรู้สึกประหลาดใจ นอกจากอวี๋เจินอี้เจินเหรินเจ้าประมุขพรรคที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กเล็กซึ่งกำลังขี่กระบี่บินทะยานอยู่กลางอากาศ
อวี๋เจินอี้ขี่กระบี่ไปหยุดอยู่ตรงตำแหน่งที่สูงอย่างถึงที่สุด ลมแรงบนท้องฟ้าพัดให้ชุดเต๋าของเขาส่งเสียงดังพึ่บพั่บ เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “ลมมรสุมกำลังจะมาแล้ว”
จวนขุนนางแห่งหนึ่งของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเพิ่งหอบตำราเดินออกมา ผลกลับกลายเป็นว่ามีวัตถุหนึ่งร่วงลงมาจากฟ้า กระแทกลงบนพื้นเบื้องหน้าเขา เกือบจะกระแทกโดนเขา ทำเอาเด็กหนุ่มตกใจสะดุ้งโหยง
เพ่งมองอย่างละเอียดจึงเห็นว่าเป็นวานรขาวตัวน้อยผอมแห้งที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือดสด
เจ้าตัวน้อยนอนอยู่บนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง สีหน้าเลื่อนลอยมึนงงเสียยิ่งกว่าเด็กหนุ่มที่หอบตำราไว้เสียอีก
ส่วนในชายแดนทางทิศเหนือของแคว้นเป่ยจิ้นพื้นที่มงคลดอกบัว นักพรตหนุ่มคนหนึ่งยืนพึมพำอยู่ริมทะเลสาบ มองไปยังทะเลสาบที่ใสราวกับกระจก พูดซ้ำไปซ้ำมาว่า “ข้าเป็นใคร? ข้าเป็นใคร?”
เขาที่ปวดหัวราวหัวจะแตกกุมศีรษะทรุดตัวลงนั่งยอง
……
ในวัดร้าง บรรยากาศแปลกประหลาด
ทุกคนล้วนนั่งล้อมรอบกองไฟ
เฉินผิงอันพูดเพียงประโยคเดียวว่า “ลำบากแล้ว”
จูเหลี่ยนปฏิเสธขวดยาที่เฉินผิงอันส่งมาให้ บอกว่าอาการบาดเจ็บเล็กน้อยแค่นี้เหมาะสำหรับการยืดเส้นยืดสายมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองยาวิเศษของนายน้อย
จากนั้นเขาก็ชำเลืองตามองสุยโย่วเปียนที่เป็นขอบเขตร่างทอง คนคลั่งวรยุทธ์ถามด้วยรอยยิ้มว่า “นายน้อย ข้ามีประโยคหนึ่งที่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ลองว่ามาสิ”
จูเหลี่ยนที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยคราบเลือด หลายจุดมีกระดูกขาวโผล่ออกมายังคงมีรอยยิ้มเป็นปกติ “ ‘กินเงินหนึ่งเหรียญ สิบเอ็ดสู่สิบ หลังจากนี้หยุดเดิน’ จะอธิบายว่าอย่างไร?”
สุยโย่วเปียนลุกพรวดขึ้นยืน ปราณสังหารทะยานพรวดพราด แต่กลับพบว่าหลังจากเฉินผิงอันเอากระบี่ชือซินเล่มนั้นกลับคืนไปก็ยังไม่ได้คืนให้นาง
สุยโย่วเปียนจ้องเขม็งไปที่ผู้เฒ่าหลังค่อม “จูเหลี่ยน เหตุใดเจ้าไม่พูดให้เร็วกว่านี้?!”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “น่าจะบอกว่าทุกครั้งที่ตายไป หลังจากที่ข้าใช้เหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งเหรียญเชิญพวกเจ้าออกมาจากภาพวาดอีกรอบ ผลสำเร็จบนวิถีวรยุทธ์ที่สูงที่สุดของพวกเจ้าในอนาคตก็จะถดถอยจาก ‘ขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้’ ซึ่งเป็นขอบเขตสิบเอ็ดบนวิถีวรยุทธ์มาเป็นขอบเขตสิบ กินไปสองเหรียญก็เป็นได้แค่ปรมาจารย์ขอบเขตเก้าที่มีชื่อเรียกว่าขอบเขตยอดเขา หรือก็คือขอบเขตปลายทางในสายตาของผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปบนโลก”
สีหน้าของสุยโย่วเปียนเศร้ารันทด ทว่าปราณสังหารกลับยิ่งเข้มข้น
ทั้งเกลียดจูเหลี่ยน ทั้งแค้นเฉินผิงอันจนมิอาจระงับอารมณ์ได้
จูเหลี่ยนหัวเราะเฮอๆ “เข้าใจแล้ว ขอบคุณคุณชายที่ช่วยไขข้อข้องใจให้บ่าวเฒ่า”
เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน เดินตรงออกไปนอกวัด “สุยโย่วเปียน ตามข้าออกไปข้างนอกหน่อย ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
สุยโย่วเปียนที่อยู่ในวัดสายตาเย็นชา
เฉินผิงอันยังคงไม่หันหน้ากลับมา เดินข้ามธรณีประตูออกไป “ภายในหนึ่งก้านธูป หากเจ้ายังไม่ออกไปพบข้า ข้าจะเผาม้วนภาพวาดทิ้งซะ เงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่เจ้าติดค้างข้า ไม่ต้องคืนก็ได้”
สุยโย่วเปียนถึงได้เดินออกไปจากวัดร้างด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ สาวเท้าก้าวเร็วๆ ตามแผ่นหลังที่เดินอยู่บนทางภูเขานั้นไป
หลังจากสุยโย่วเปียนตามมาแล้ว ดูเหมือนเฉินผิงอันจะไม่กลัวว่านางจะเดือดดาลจนลงมือสังหารคนแม้แต่น้อย เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “สภาพจิตใจพังแล้ว วันหน้าจะยังฝึกกระบี่อะไรได้อีก? เจ้าสุยโย่วเปียนมีสติปัญญาเพียงเท่านี้เองหรือ ข้าว่าอันที่จริงเจ้าไม่จำเป็นต้องฝึกกระบี่แล้ว ถึงอย่างไรจะมีพันธนาการจากนักพรตเฒ่าตงไห่หรือไม่ เจ้าก็เดินไปได้ไม่ถึงจุดสูงสุดอยู่ดี”
นิ้วมือของสุยโย่วเปียนสั่นน้อยๆ
เฉินผิงอันที่อยู่ข้างหน้ายังคงเดินทอดน่องเชื่องช้า ปากก็พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “เจ้าต้องตาย หากเจ้าอยากตายจริงๆ ก่อนหน้าเจ้าจะตาย ข้ามีคำพูดอยากเอ่ยให้เจ้าฟัง”
สุยโย่วเปียนเงียบงัน
……
หนึ่งเค่อต่อมา เฉินผิงอันกับสุยโย่วเปียนก็เดินตามกันกลับเข้ามาในวัดร้าง
แม้ว่าสีหน้าของสุยโย่วเปียนจะย่ำแย่มาก แต่ดูเหมือนสภาพจิตใจจะดีขึ้น ไม่หลงเหลือปราณสังหารอีกแม้แต่นิดเดียว แล้วก็ไม่มีความคิดบ้าคลั่งที่อยากให้ทุกคนในวัดร้างตายไปพร้อมกับวิถีวรยุทธ์ที่พังภินท์ลงของนางด้วย
คนทั้งสองนั่งลงข้างกองไฟอีกครั้ง
เฉินผิงอันรับถ้วยข้าวที่เผยเฉียนยื่นส่งมาให้ เริ่มกินข้าวถ้วยที่สองของคืนนี้ เผยเฉียนที่ขี้ประจบและเฉลียวฉลาดยังคงนั่งอยู่ข้างกายเขา สองมือถือประคองผักดองถ้วยเล็ก เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้ามาถึงใต้หล้าที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้แล้ว มีความคิดอะไรหรือไม่?”
คนทั้งสี่เงียบงันกันไปครู่หนึ่ง เป็นหลูป๋ายเซี่ยงที่เปิดปากด้วยรอยยิ้มก่อน “บนภูเขามีเรื่องอะไรให้ทำ? ใช้ดอกซงมาหมักสุรา ใช้น้ำฤดูใบไม้ผลิมาต้มชา ปรารถนาอยากจะมีอิสระเสรี”
จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “บนโลกนี้ที่ทำให้คนหวั่นไหวล้วนหนีไม่พ้นสิ่งของธรรมดา ดั่งน้ำบ๊วยในถ้วยกระเบื้องขาว ดั่งเกล็ดน้ำแข็งบนผิวน้ำ หวังได้ครองใจสาวงาม”
เว่ยเซี่ยนคิดแล้วก็พูดประโยคที่สอดคล้องกับสถานะฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นของเขา “สังหารทหารนับล้านจนสิ้น บนกระบี่ยังทิ้งกลิ่นคาวเลือด”
เผยเฉียนเบิกตากว้าง “เหล่าเว่ย ผายลมรึไง เจ้าพูดประโยคที่เพราะๆ บ้างไม่ได้รึ?”
เว่ยเซียนพยักหน้ารับ “ประโยคนี้คือกลอนที่ปัญญาชนในแคว้นหนันเยวี่ยนมอบให้ข้า แต่หากให้ข้าแต่งกลอนเองล่ะก็ ก็น่าจะเป็น…ฝนกระหน่ำตกซ่าๆ ฟืนและข้าวต่างขึ้นราคา ม้านั่งเอามาเผาทำฟืน แม้แต่เตียงยังหวาดผวา”
เผยเฉียนถึงได้พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เหล่าเว่ย กลอนบทนี้ดีกว่ากลอนบทก่อนหน้าเยอะเลย ขนาดข้ายังฟังเข้าใจ”
เว่ยเซี่ยนอืมรับหนึ่งคำ “ปีนั้นมีปัญญาชนหลายคนที่พูดอย่างจริงใจ บอกว่าข้ามีพรสวรรค์ด้านบทประพันธ์อย่างแท้จริง”
เผยเฉียนเหลือกตามองบน
สุยโย่วเปียนพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “ยินดีติดตามอาจารย์ขึ้นแท่นสวรรค์ ยามว่างกวาดบุปผาร่วงโรยอยู่กับเซียน”
สุดท้ายเฉินผิงอันหันมาถามเผยเฉียนที่อยู่ด้านข้างด้วยรอยยิ้ม “เหลือแค่เจ้าแล้ว”
เผยเฉียนร้องอ๋าอย่างตกตะลึง กล่าวอย่างขัดเขินว่า “ข้ายังอ่านหนังสือได้ไม่เยอะ ตอนนี้ยังแต่งกลอนไม่เป็นหรอก”
เฉินผิงอันพุ้ยข้าวคำใหญ่ คีบผักดองมาหนึ่งชิ้น ยิ้มพูดว่า “ข้าก็ไม่ได้บอกให้เจ้าแต่งกลอนสักหน่อย”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที สีหน้าเบิกบานมีชีวิตชีวา “ถ้าอย่างนั้นข้าจะพูดความจริงแล้วนะ ห้ามโกรธ ห้ามด่าข้าด้วย!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
เผยเฉียนพูดเสียงดัง “ข้าอยากอ่านหนังสือเล่มที่บางที่สุด กินอาหารที่แพงที่สุด ด่าคนที่เลวที่สุด ตีสุนัขที่ต่ำช้าที่สุด!”
เฉินผิงอันเกือบจะสำลักข้าวเพราะคำพูดของนาง
เผยเฉียนเห็นท่าไม่ดี รู้สึกว่าบางทีอาจเป็นเพราะปณิธานของตัวเองไม่ยิ่งใหญ่พอ จึงชำเลืองตามองไปยังไม้เท้าเดินป่าที่อยู่ข้างเท้า รีบพูดเสริมไปอีกว่า “ไม่อย่างนั้นก็เพิ่มอีกอย่างว่า…แหย่รังแตนที่ใหญ่ที่สุดด้วย ดีไหม?!”
เว่ยเซี่ยนพูดหน้าเคร่ง “อายุน้อยๆ กลับมีปณิธานที่เผด็จการถึงเพียงนี้”
เผยเฉียนหันไปยิ้มกว้างให้เว่ยเซี่ยน ยกนิ้วโป้งให้ “ยังคงเป็นเจ้าเหล่าเว่ยที่รู้ความ! สายตามีแววอย่างยิ่ง มิน่าเล่าถึงได้เป็นฮ่องเต้ เฮ้อ แค่ตอนนี้ยากจนไปสักหน่อย”
เฉินผิงอันส่ายหน้า จากนั้นก็หัวเราะตามไปด้วย
นอกวัดร้าง ฝนหยุดแล้ว
—–
บทที่ 359.1 ข้ามสะพานขึ้นภูเขา
ด้านในวัดร้างหลังจากที่ฝนตก กองไฟนำพาความอบอุ่นมาให้ได้เล็กน้อย
บนเข่าของเฉินผิงอันคือคนจิ๋วดอกบัวที่นั่งขัดสมาธิ เจ้าตัวน้อยชี้ไปที่ดวงตาของเผยเฉียน
เฉินผิงอันเข้าใจได้ทันทีจึงบอกให้เผยเฉียนออกไปข้างนอกกับเขา ส่วนเจ้าตัวน้อยก็ไม่ได้มุดลงดิน แต่ช่วยเฉินผิงอันสำรวจตรวจตรารอบทิศของวัดเล็ก
ก่อนหน้านี้ภาพเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกับเผยเฉียนในวัดร้าง แม้เฉินผิงอันจะไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง แต่หลังจากที่ศึกใหญ่ปิดฉากลง ชายแขนเสื้อของเผยเฉียนมีแต่เลือด ดินโคลนเปรอะเปื้อนเต็มร่าง นางบอกว่าก่อนหน้านี้ปวดตาเลยกลิ้งตัวอยู่บนพื้นนานมาก ตอนนั้นเจ้าตัวน้อยดอกบัวแห่งทะเลสาบก็ยกไม้ยกมือประกอบเป็นพัลวัน ช่วยอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคร่าวๆ ให้เฉินผิงอันฟัง
หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กเดินออกจากวัดร้าง หลังจากเฉินผิงอันเดินออกมาได้ระยะทางหนึ่งก็หมุนตัวกลับ หยุดเดิน ย่อตัวลงจ้องนิ่งไปที่ดวงตาคู่นั้นของเผยเฉียน “เหตุใดจู่ๆ ดวงตาของเจ้าจึงมีเลือดไหลออกมา?”
เผยเฉียนหน้าซีดขาวด้วยยังหวาดผวาไม่คลาย น้ำตาคลอเบ้าด้วยความน้อยใจ ส่ายหน้าพูดสะอึกสะอื้น “ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ดีๆ ก็เจ็บปวดจนอยากตายให้รู้แล้วรู้รอด เหมือนจะมีบางสิ่งระเบิด คล้ายประทัดที่คนมีเงินจุดวันปีใหม่ ใช่แล้ว เมื่อพวกเราไปถึงบ้านเกิด ตอนปีใหม่จุดประทัดด้วยได้ไหม? เป็นมงคลนักล่ะ ข้าอยากลองจุดเองกับมือมาโดยตลอด”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี พูดเรื่องนี้ดันไปออกเรื่องโน้นได้อย่างไร เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “ตอนนั้นที่ออกมาจากบ้านเกิด มีคนบอกกับข้าว่าภายในเวลาห้าปีห้ามกลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียน แต่หากคิดจะจุดประทัดตอนปีใหม่ จะยากอะไรเล่า พวกเรามาพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน เป็นเพราะนักพรตเฒ่าที่โยนพวกเราสองคนออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวทำอะไรบางอย่างกับดวงตาเจ้าใช่หรือไม่? เขาเคยพูดอะไรกับเจ้าไหม?”
เผยเฉียนคิดแล้วก็ตอบว่า “ในบ้านของเหล่าเว่ย ก็คือเมืองหลวงหนันเยวี่ยนน่ะ มันมีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่งใช่ไหมล่ะ ข้ามองไปยังก้นบ่อครู่หนึ่ง แล้วก็เงยหน้ามองดวงอาทิตย์เหนือศีรษะครู่หนึ่ง ก็กำลังหงุดหงิดนี่นา จากนั้นข้าก็เห็นตาเฒ่าคนหนึ่งที่ตัวสูงมาก เขาสวมชุดนักพรตเต๋า เขาบอกว่าจะเอาของบางอย่างใส่ในดวงตาของข้า แน่นอนว่าข้าย่อมไม่ยอม แต่นักพรตเฒ่าบอกว่ามันมีค่ามากเลย ข้าคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เลยยอมรับปาก…”
เผยเฉียนร้องโอ้ยหนึ่งที รีบเอียงศีรษะตาม
ที่แท้เฉินผิงอันดึงหูของนาง เอ่ยสั่งสอน “ในสายตามีแต่เงิน แม้แต่ชีวิตก็ไม่ต้องการงั้นรึ?”
เผยเฉียนโวยวายว่าเจ็บๆๆ เจ็บตา เฉินผิงอันถึงได้ยอมปล่อยมือ
เฉินผิงอันใคร่ครวญ จงขุยพูดตลอดเวลาว่าดวงตาของเผยเฉียนงดงาม น่าจะเป็นเพราะเขามองเบาะแสบางอย่างออก เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน
อันที่จริงจงขุยเคยพูดคำทำนายกับตัวเองว่า ‘ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือทะเลบูรพา แสงทองอร่ามตาส่องหมื่นลี้ ยามจันทราตกลงสู่ภูเขาทักษิณ เสียงวานรร้องครวญ’
เฉินผิงอันพึมพำ “คงจะไม่ได้เอาดวงตะวันและดวงจันทร์ของพื้นที่มงคลดอกบัวใส่เข้ามาในดวงตาของเผยเฉียนจริงๆ หรอกกระมัง?”
อย่างน้อยเผยเฉียนก็สามารถมองเห็นคนจิ๋วดอกบัวที่อยู่ใต้ดิน และยังสามารถมองผ่านวิชาอภินิหารสกัดกั้นแผ่นฟ้าด้วยหนึ่งฝ่ามือของบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิง
เมื่อมีประสบการณ์เรื่อง ‘นักพรตหนุ่มภูเขาไท่ผิง’ มอบป้ายหยกศาลบรรพาจารย์ให้มาก่อนแล้ว เฉินผิงอันจึงมีความรู้สึกเหมือนคนถูกงูกัดแล้วกลัวเชือกไปสิบปี แต่สำหรับนักพรตเฒ่าตงไห่กวานเต๋าที่บอกว่าตัวเองรู้จักเหวินเซิ่ง อีกทั้งยังเป็นคนที่เคยได้ยินความรู้เรื่อง ‘การเรียงลำดับ’ เป็นคนแรกสุดในใต้หล้า คิดดูแล้วต่อให้อีกฝ่ายอยากวางแผนเล่นงานเขาเฉินผิงอันจริงๆ ตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังไม่มีความสามารถจะทำลายแผนการของอีกฝ่ายได้ ได้แต่ทหารมาเอาขุนพลต้าน น้ำมาเอาดินกลบ ค่อยๆ คิดค่อยๆ วางแผนไปทีละก้าวเท่านั้น การที่บอกว่าเป็นการวางแผนเล่นงาน ไม่ใช่แผนการชั่วช้าที่เกิดจากเจตนาร้ายอย่างแผ่นหยกศาลบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิงนี้ หาใช่เพราะเฉินผิงอันเลื่อมใสเจ้าอารามกวานเต๋าอะไรมากมาย แต่เป็นเพราะคนที่ฝึกตนได้ถึงขั้นของนักพรตเฒ่า หรือถึงขั้นของเจ้าลัทธิลู่เฉิน ย่อมไม่สนใจแผนการชั่วร้ายที่ทำอย่างลับๆ แล้ว แต่จะใช้แผนการอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย พยายามให้สอดคล้องกับมหามรรคาแห่งฟ้าดินที่ลี้ลับมหัศจรรย์ในทุกๆ เรื่อง
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “วันหน้าจะมอบร่มกระดาษน้ำมันคันใหม่ให้เจ้า”
เผยเฉียนกล่าวอย่างแปลกใจ “จะต้องจ่ายเงินให้ฟุ่มเฟือยทำไม?”
เฉินผิงอันไม่ได้ตอบ แต่บอกให้นางกลับวัดร้างไปก่อน
รอจนเผยเฉียนวิ่งกลับไปถึงวัดแล้ว เฉินผิงอันถึงหันตัวกลับมามองบุรุษคนหนึ่งที่แค่มองครั้งเดียว เขาก็รู้ตัวตนของอีกฝ่ายทันที เซินกั๋วกงเกาซื่อเจิน เพราะเกาซู่อี้หน้าตาเหมือนท่านกั๋วกงผู้นี้ถึงเจ็ดแปดส่วน ด้านหลังเกาซื่อเจินคือผู้เฒ่าถือร่มที่ลักษณะท่าทางคล้ายพ่อบ้าน น่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำ และยังมีผู้เฒ่าชุดขาวที่ในมือถือไม้เท้าหวาย รอยยิ้มที่เขาส่งมาให้เฉินผิงอันเต็มไปด้วยความประจบประแจง
เกาซื่อเจินจ้องเฉินผิงอันเขม็ง แต่แล้วอยู่ๆ ก็พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “เด็กกว่าที่ข้าคิดไว้เยอะเลย”
เกาซื่อเจินเอ่ยถาม “หากไม่ได้อยู่ในเมืองเล็กริมชายแดนแห่งนั้น องค์ชายสามคิดจะจูงแพะของคนอื่นกลับไป หวังจะใช้สถานการณ์ใหญ่มาบีบบังคับให้ตระกูลเหยาต้องตายเพื่อปักลายบุปผาลงไปบนผ้าแพรบันทึกคุณความดีของตัวเอง ถึงได้มีหายนะครั้งนั้นเกิดขึ้น หากเปลี่ยนมาเป็นเมืองเซิ่นจิ่ง เจ้าเจอกับเกาซู่อี้บุตรชายข้า ก็เหมือนกับฝนที่ตกหนักในคืนนี้ เป็นแค่คนแปลกหน้าสองคนที่นั่งดื่มสุราเลิศรสในหอสุราเก่าแก่บางแห่ง พวกเจ้าจะกลายเป็นสหายกันได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
ใบหน้าของเกาซื่อเจินบิดเบี้ยวทันใด
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดกับองค์ชายใหญ่หลิวจงผู้นั้นไปแล้วว่า อันที่จริงพวกเราต่างก็เข้าใจเหตุผลกันดี เพียงแต่ว่าบางครั้งต่อให้เป็นเหตุผลที่ดีที่ถูกต้องแค่ไหน เมื่อเทียบกับสิ่งที่ตนอยากได้มาครองแล้วกลับล่องลอยบางเบาเกินไป คนอย่างเกาซู่อี้ ข้าหวังว่าชาติหน้าที่เขาไปเกิดใหม่จะไม่ต้องมาเจอกับข้า ไม่อย่างนั้นข้าก็จะฆ่าเขาอีกครั้ง”
สีหน้าของเกาซื่อเจินมืดทะมึน “เจ้าคิดจะทำให้ข้าโมโห ล่อให้ข้าลงมือกับเจ้า เพื่อที่เจ้าจะได้ฉวยโอกาสตัดรากถอนโคน ทำให้สายของเซินกั๋วกงถูกตัดชื่อออกไปจากต้าเฉวียนนับแต่นี้รึ?”
เฉินผิงอันยื่นนิ้วออกมาสองนิ้วแล้วปาดไปด้านหน้าตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ “นี่ก็คือนิสัยของเจ้าและเกาซู่อี้ ไม่ว่าทำอะไรหรือพูดอะไรก็ล้วนมีเหตุผลมารองรับให้ตัวเองเสมอ”
การกระทำที่ไร้เจตนาร้ายนี้ของเฉินผิงอันกลับทำให้ผู้เฒ่าถือร่มหัวใจหดเกร็ง เกือบจะเอาตัวมาปกป้องอยู่เบื้องหน้าเกาซื่อเจิน ผู้เฒ่าที่ถือไม้เท้าหวายก็ยิ่งเกือบจะเผ่นหนีไป คนที่ใช้วิชาสายฟ้าสยบและสังหารปีศาจลำคลองหมายเหอ จากนั้นก็ใช้หนึ่งกระบี่บีบให้วิญญูชนสำนักศึกษาหนีไป เทพเจ้าที่เล็กๆ อย่างเขาจะไปงัดข้อด้วยได้เสียที่ไหน แค่จามทีหนึ่งก็ทำให้ดวงวิญญาณเขาแหลกสลายได้แล้วกระมัง ยันต์สีทองสองแผ่นที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนนั้นสมกับเป็นวิชาของเทพเซียนจริงๆ
เกาซื่อเจินกลับเป็นคนที่สุขุมเยือกเย็นที่สุด “ข้าขึ้นเขามาครั้งนี้ก็เพื่อย้ายศพของทหารชายแดนที่ตายในการต่อสู้ลงจากภูเขา เจ้าคงไม่ขัดขวางหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันกล่าว “นี่ก็คือสาเหตุที่ข้ายังเต็มใจยืนพูดกับเจ้าอยู่ตรงนี้”
ใบหน้าของเกาซื่อเจินเต็มไปด้วยความเดือดดาล
จวนเซินกั๋วกงตั้งตระหง่านอยู่ในราชวงศ์ต้าเฉวียนมานานถึงสองร้อยปี อายุเท่าเทียมกับแคว้น เคยหรือที่จะได้รับความอัปยศ ถูกคนหมิ่นเกียรติเช่นนี้?!
พ่อบ้านผู้เฒ่าเอ่ยเบาๆ “นายท่าน”
เกาซื่อเจินสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนหันหน้าไปพูดกับเทพเจ้าที่ที่เป็นขุนนางชั้นผู้น้อยในบรรดาเทพภูเขาและแม่น้ำ “มีลมก็รีบผาย!”
ผู้เฒ่าชุดขาวปลุกความกล้าเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว ค้อมเอวต่ำพูดกับเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้มว่า “เฉินเซียนซือ ข้าน้อยจะช่วยท่านกั๋วกงเก็บศพ อาจจะต้องส่งภูตผีบนภูเขาบางตนออกมา กังวลว่าเจ้าพวกไม่รู้ความเหล่านั้นจะทำเสียงดังโดยไม่ทันระวัง เป็นการรบกวนการพักผ่อนของเซียนซือที่อยู่ในวัด ดังนั้นจึงมาบอกเฉินเซียนซือไว้ก่อน หวังว่าเฉินเซียนซือเป็นผู้ใหญ่ย่อมใจกว้าง ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เคลื่อนย้ายกันตามสบาย”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างขลาดๆ “ข้าน้อยขอบังอาจถามมากสักคำ ไม่ทราบว่าเฉินเซียนซือตั้งใจจะจัดการกับศพของปีศาจใหญ่ตนนั้นอย่างไร? ต้องการให้ข้าน้อยเรียกพวกภูตผีบนภูเขามาช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะทุ่นแรงเซียนซือได้ อย่างเช่นพวกงานเลาะหนังดึงเส้นเอ็น ดึงดูดแก่นเลือดในห้องโอสถของปีศาจใหญ่ใส่ไว้ในขวดในโถ ฯลฯ หรือไม่?”
เฉินผิงอันที่เก็บไปแค่โอสถปีศาจเม็ดหนึ่งของปีศาจลำคลองหมายเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนท่านเทพเจ้าที่แล้ว หลังจบเรื่องข้าย่อมมีค่าตอบแทนให้ ถือเป็นการขอบคุณพวกเจ้า”
ผู้เฒ่าตกตะลึงที่ได้รับความเมตตาโดยไม่ขาดฝัน พูดติดๆ กันว่ามิกล้าให้เซียนซือสิ้นเปลือง น้ำตาร้อนๆ ที่คลอหน่วยเกือบจะร่วงลงมา
ใต้หล้านี้มีเทพเซียนที่อ่อนโยนถ่อมตนขนาดนี้ได้อย่างไร?
เกาซื่อเจินแค่นเสียงหึในลำคอแล้วหมุนตัวเดินลงภูเขาไป
เฉินผิงอันเดินกลับไปที่วัดร้างเพียงลำพัง
ปีศาจปลาไหลแห่งลำคลองหมายเหอตนนี้อยู่ห่างจากการสร้างโอสถทองได้สำเร็จแค่ก้าวเดียว สุดท้ายจึงเป็นเม็ดโอสถสีเขียวเข้มที่โปร่งใสแวววาวมีขนาดเท่าเมล็ดเหอเถา (วอลนัท) ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับที่โดนยันต์วิชาห้าอัสนีของภูเขามังกรพยัคฆ์เล่นงานหรือไม่ ในโอสถปีศาจถึงมีสายฟ้าเป็นเส้นๆ เปล่งวูบวาบให้เห็นอย่างเลือนราง แต่การต่อสู้กับปีศาจลำคลองหมายเหอในคืนนี้ รายรับไม่พอกับรายจ่ายแน่อยู่แล้ว ได้โอสถเม็ดหนึ่งที่ยังไม่กลายเป็นสีทองมา แต่เฉินผิงอันกลับต้องจ่ายไปด้วยกระดาษยันต์ลายกรงเล็บมังกรถึงสามแผ่นเต็ม ทำลายยันต์ม้าเหล็กล้อมนครของสำนักการทหารที่จงขุยเขียนด้วยตัวเอง บวกกับยันต์ห้ามังกรคาบไข่มุกกระดาษสีทองที่เฉินผิงอันหยิบออกมาจากถุงผ้าตรงเอว จนถึงตอนนี้เฉินผิงอันยังเสียดายอยู่เลย
ตอนที่เดินไปยังวัดร้าง เฉินเซียนซือที่สวมชุดขาวพลิ้วล่องลอย ปักปิ่นหยกบนมวยผม ห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดไว้ตรงเอวพึมพำตลอดเวลาว่าจ่ายเงินฟาดเคราะห์ๆ
ส่วนเหรียญทองแดงแก่นทองสองเหรียญที่สุยโย่วเปียนใช้ไปเพราะรบตายสองครั้ง
เฉินผิงอันไม่เต็มใจจะคิดถึง เพราะแค่คิดหัวใจก็สั่นสะท้านไปทั้งดวง
เข้าไปในวัดร้าง เว่ยเซียนเป็นฝ่ายเปิดปากชวนคุยอย่างที่หาได้ยาก “จะกลับไปที่เมืองเซินจิ่งเล่นงานสุนัขตกน้ำพวกนั้นให้หนักๆ ไปเลยหรือไม่? ตอนนี้สกุลหลิวต้าเฉวียนไม่เหลือความกล้าหาญอยู่แล้ว ไม่อาจสร้างคลื่นมรสุมอะไรได้อีก มิน่าเล่าวิญญูชนสำนักศึกษาผู้นั้นถึงต้องทุบหม้อขายเหล็ก (เปรียบเปรยว่าทุ่มหมดตัว เอาทุกสิ่งที่ตัวเองมีออกมา) เป็นฝ่ายขอประนีประนอม ขอร้องไม่ให้พวกเราเอาเรื่องนี้ไปแพร่งพราย”
เฉินผิงอันคิดแล้วสุดท้ายก็ยังส่ายหน้า “รีบไปที่ท่าเรือตระกูลเซียนของยอดเขาเทียนแจว๋ดีกว่า ถึงเวลานั้นข้าค่อยใช้กระบี่บินส่งข่าวไปบอกเรื่องในคืนนี้ให้สำนักศึกษาต้าฝูและภูเขาไท่ผิงรับรู้ เรื่องอื่นๆ พวกเราไม่ต้องสนใจ การกระทำของหวังฉี โดยเฉพาะเรื่องที่เขาสมคบคิดกับเผ่าปีศาจต้องบอกให้จงขุยและสำนักศึกษารู้ ตอนนี้ขนาดภูเขาไท่ผิงยังไม่สงบสุข ใบถงทวีปวุ่นวายเกินไปจริงๆ พวกเราควรรีบนั่งเรือกลับไปที่นครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีปโดยเร็ว”
เรื่องเฝ้ายามของคืนนี้มอบให้เป็นหน้าที่ของหลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียน
จูเหลี่ยนที่ได้รับบาดเจ็บหนักที่สุดไปอาบน้ำสระผมที่ธารน้ำซึ่งอยู่ห่างไปไกลเรียบร้อยแล้วก็เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสะอาดชุดใหม่ นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกองไฟ หลับสนิทอย่างผ่อนคลาย ทำให้เผยเฉียนนับถือยิ่งนัก
เว่ยเซียนที่ถอดเสื้อเกราะน้ำค้างหวานแล้ว แม้จะไม่ต้องเฝ้ายาม แต่เขากลับออกไปนอกวัดร้าง ย่อตัวลงนั่งยองอยู่ตรงสนามรบที่จูเหลี่ยนคนคลั่งวรยุทธ์ประหัตประหารกับผู้ฝึกตนติดตามกองทัพ มองรอยเท้าสะเปะสะปะเหล่านั้นอย่างเหม่อลอย
เฉินผิงอันนั่งหลับลืมตนอยู่ตรงมุมกำแพง สีหน้าเป็นปกติ
เผยเฉียนที่ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับกลับรู้ว่าเฉินผิงอันอารมณ์ไม่ค่อยดี หรือเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องขาดทุน? เพราะกระดาษยันต์สามแผ่นที่จงขุยบัณฑิตผู้ตกอับมอบให้ไม่เหลืออยู่แล้ว? นางอยากจะหยิบไม้เท้าเดินป่าไปตีเจ้าคนจิ๋วดอกบัวนัก ต้องโทษตัวขาดทุนอย่างมันนั่นแหละ คิดไปคิดมาจนเริ่มเคลิ้ม เด็กหญิงผอมแห้งซึ่งเป็นคนเดียวที่มีกระโจมหนังวัวหลังน้อยจึงหลับไปทั้งอย่างนี้
ตอนที่ฟ้าสาง เว่ยเซี่ยนนั่งอยู่บนธรณีประตู นอกวัดร้างมีผู้เฒ่าชุดขาวถือไม้เท้าหวายยืนยิ้มมาเต็มหนึ่งชั่วยามแล้ว ห่างออกไปไกลอีกนิดคือภูตผีบนภูเขาที่ตบะตื้นเขิน ลักษณะของพวกมันน่าตลกอย่างมาก แบกห่อสัมภาระใบใหญ่สองใบไว้บนหลัง แล้วยังถือประคองไหและขวดกระเบื้องไว้ในมือ ฟ้ายังไม่ทันสว่างผู้เฒ่าก็มายืนรออยู่ตรงพื้นที่ว่างนอกประตูแล้ว แล้วก็ไม่คิดจะตะโกนเรียก แค่ยืนเป็นเทพทวารบาลอยู่ตรงนั้นพร้อมกับพวกลูกสมุน เว่ยเซี่ยนรู้สึกเลื่อมใสผู้เฒ่าคนนี้ไม่น้อยที่สามารถยืนยิ้มให้วัดร้างได้นานขนาดนี้
พอเฉินผิงอันลืมตาตื่นก็ลุกขึ้นเดินไปทางประตู เห็นเทพเจ้าที่ที่ยืนรออย่างนอบน้อมอยู่นานแล้วก็รีบสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปหา มอบเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งให้เป็นค่าตอบแทนแก่ผู้เฒ่า
ทำเอาผู้เฒ่าที่ดูแลภูเขาและแม่น้ำในรัศมีหลายร้อยลี้ตกใจ เหมือนเห็นอาหารมื้อสุดท้ายที่นักโทษต้องกินก่อนขึ้นลานประหาร ให้ตายก็ไม่กล้ารับเอาไว้
เฉินผิงอันจึงไม่ฝืนใจ กุมหมัดขอบคุณเทพเจ้าที่ผู้นี้อีกครั้ง ผู้เฒ่าชุดขาวคลี่ยิ้มดุจบุปผาผลิบาน หลังจากบอกลา เดินออกไปได้สองสามลี้แล้วถึงได้ปาดเหงื่อบนหน้าผาก
ภูตภูเขาที่มีร่างเป็นคน แต่หัวกลับเป็นหนูตนหนึ่งรีบพูดประจบ “ท่านเทพเจ้าที่ คิดไม่ถึงเลยว่าท่านผู้อาวุโสจะมีหน้าตาใหญ่โตเพียงนี้ ถึงขั้นทำให้เซียนซือท่านนั้นเกรงใจได้ หากเรื่องที่น่าเลื่อมใสนี้แพร่ออกไปจะไม่ยอดเยี่ยมเลยหรือ วันหน้าในรัศมีพันลี้นี้ใครจะยังกล้าพูดจาเสียงดังใส่ท่านเทพเจ้าที่อีก?”
ผู้เฒ่าชุดขาวกระแอมหนึ่งที เดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า พลันรู้สึกว่าไม้เท้าหวายในมือเบาขึ้นหลายส่วน แสร้งทำเป็นพูดว่า “สยบคนด้วยคุณธรรม สยบคนด้วยคุณธรรม”
เฉินผิงอันมองห่อของขวัญน้อยใหญ่ที่วางกองอยู่ตรงหน้าประตูแล้วถอนหายใจ ถึงคราวที่วัตถุจื่อชื่อที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้ในนครมังกรเฒ่าได้ขึ้นเวทีแสดงแล้ว
แม้ว่าเขาจะใช้กระบี่บินสืออู่ที่เป็นวัตถุฟางชุ่นได้ถนัดมือมาโดยตลอด แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใหญ่มากพอ ในฐานะวัตถุจื่อชื่อที่ต่อให้เป็นเซียนดินก็ยังกระหายอยากครอบครอง อันที่จริงแผ่นหยกไร้ตัวอักษรแผ่นนั้นถือว่าหาได้ยากมากแล้ว ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเฉินผิงอันเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนถึงได้เก็บเอาไว้ปล่อยให้สิ้นเปลืองวัตถุสวรรค์มาโดยตลอด วัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อถูกผู้ฝึกตนบนภูเขาขนานนามว่าเป็น ‘ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่สุด’ ได้แต่ปรารถนามิอาจครอบครอง ชุยตงซานที่เป็นถึงผู้ฝึกตนใหญ่ซึ่งเคยเดินไปถึงยอดบนสุดของขอบเขตสิบสองมาก่อน วัตถุที่เขาพกติดกายก็ยังมีแค่วัตถุจื่อชื่อชิ้นเดียวเท่านั้น
กระบี่บินสืออู่จึงเป็นการดำรงอยู่ที่พิเศษอย่างถึงที่สุด
วัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อทั่วไป ต่างก็มีกุญแจดอกหนึ่งในการเปิด ‘ถ้ำสวรรค์’ ซึ่งก็คือเส้นสายที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวของวัตถุเหล่านี้ หลังจากถูกคนหล่อหลอมแล้วจะทำลายได้ยากยิ่ง เว้นเสียจากว่าจะใช้วิชาอภินิหารที่ยิ่งใหญ่ฝืนทำลายลง หากใช้วิธีการนี้ อย่างน้อยของที่อยู่ด้านในจะต้องถูกทำลายไปเกินครึ่ง ไม่แน่ว่าแม้แต่ ‘ถ้ำสวรรค์’ ก็อาจจะพังทลายไปด้วย เจิ้งต้าเฟิงย่อมไม่มีทางให้วัตถุจื่อชื่อโดยไม่มอบกุญแจให้ เขาได้บอกให้เฉินผิงอันรู้ถึงวิธีการควบคุมและหล่อหลอมใหม่อย่างชัดเจนแล้ว
การเดินทางไปยอดเขาเทียนแจว๋หลังจากนั้นไม่มีคลื่นมรสุมใดๆ อีก
อันที่จริงรากฐานที่แท้จริงของราชวงศ์ต้าเฉวียนถูกทำลายลงไปไม่น้อยเพราะเฉินผิงอัน
หลี่หลี่ขันทีโส่วกงไหว จวนเซินกั๋วกง องค์ชายใหญ่หลิวจง สวีถงแห่งอารามฉ่าวมู่ แม่ทัพสกุลสวี่ หวังฉีวิญญูชนที่เฝ้าพิทักษ์เมืองเซิ่นจิ่งมานานหลายปี
—–
บทที่ 359.2 ข้ามสะพานขึ้นภูเขา
ตลอดระยะทางที่เดินทางขึ้นเหนือ เฉินผิงอันสะพายหีบไม้ไผ่ เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่า สะพายห่อสัมภาระ บนหน้าผากแปะยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่นางมองร้อยรอบก็ไม่เบื่อ
หลูป๋ายเซี่ยงห้อยหยุดหิมะไว้ตรงเอว ในมือกำเม็ดหมากไว้หลายเม็ด เวลาถูกันจะส่งเสียงดังกริกๆ
สุยโย่วเปียนสะพายชือซินที่ขอบเขตทะยานพรวดพราดไว้บนแผ่นหลัง สายตาเลื่อนลอยอยู่หลายครั้ง เมื่อเทียบกับเซียนกระบี่สาวที่จิตแห่งกระบี่บริสุทธิ์และกระจ่างแจ้งตอนเดินออกมาจากภาพวาดในครั้งแรกแล้วทำให้ดูมีความเป็นมนุษย์เพิ่มขึ้นหลายส่วน
จูเหลี่ยนชอบเดินพลางอ่านหนังสือไปด้วย เผยเฉียนไม่เข้าใจเลยจริงๆ ตาแก่นี่เดินไม่มองพื้น เหตุใดถึงไม่หกล้มหัวกระแทกพื้นตายนะ?
เว่ยเซี่ยนอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ขณะที่ก้าวเดินจึงใช้ท่าเดินนิ่งหกก้าวของเฉินผิงอัน สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่ได้ว่าอะไร
ยอดเขาเทียนแจว๋คือยอดเขาที่สูงที่สุดของภูเขาชิงจิ้งซึ่งตั้งอยู่ทางชายแดนเหนือของต้าเฉวียน ภูเขาชิงจิ้งมีกลุ่มยอดเขาทอดยาวไปเป็นสาย ผืนป่าเขียวครึ้มชอุ่มขจี โดดเด่นเหนือแม่น้ำและภูเขาแห่งอื่นในต้าเฉวียน
ยอดเขาเทียนแจว๋มีบันไดสีชาดสามพันขั้น จากตีนเขาพุ่งตรงสู่ยอดเขา บนยอดเขามีตำหนักพยัคฆ์เขียวอยู่แห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าคนที่ฝึกตนอยู่ที่นี่ล้วนตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่ย่างกรายไปยังชุมชนหรือตลาด สำหรับแขกผู้สูงศักดิ์ที่ขึ้นเขามาเยี่ยมเยือนก็ล้วนถูกปฏิเสธหมด บวกกับที่บนภูเขาชิงจิ้งมีสัตว์ป่าอยู่อาศัย อีกทั้งยังไม่มีถนนหนทางทอดตรงมายังยอดเขาเทียนแจว๋ เป็นเหตุให้การดำรงอยู่ของตำหนักพยัคฆ์เขียวประหนึ่งถูกเมฆหมอกบดบังไว้ตลอดเวลา นายพรานที่ขึ้นเขามาก็ยังไม่กล้าบุกเข้ามาใกล้ยอดเขาเทียนแจว๋โดยพลการ ขนาดคนเฒ่าคนแก่ยังบอกว่าง่ายที่จะถูกผีบังตา เพราะเหล่าเทพเซียนบนภูเขาไม่ยินดีจะสัมผัสแตะต้องกลิ่นอายของความสามัญ
คนทั้งกลุ่มเดินไปบนทางเส้นเล็กบนภูเขาชิงจิ้ง
แม้ว่าอารามฉ่าวมู่จะเป็นพรรคของผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งในนามของต้าเฉวียน แต่ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ของการฝึกตนใดก็ตามที่ได้ครอบครองท่าเรือข้ามทวีปก็ล้วนไม่อาจดูแคลนได้
ต่อให้ยอดเขาเทียนแจว๋จะไม่มีทางเทียบกับภูเขาห้อยหัวและนครมังกรเฒ่าได้ แต่อารามฉ่าวมู่ก็ไม่มีทางทัดเทียมได้แน่นอน
เฉินผิงอันจึงเอ่ยเตือนพวกเว่ยเซียนสองสามประโยค
คนทั้งสี่ในม้วนภาพวาดล้วนเป็นบุคคลที่มีความสามารถและฉลาดล้ำ แน่นอนว่าต้องรู้หนักเบา ผลดีและผลร้ายเป็นอย่างดี
ในตำราเซียนเก้าทวีปที่ซื้อมาจากภูเขาห้อยหัวเล่มนั้นมีเนื้อหาส่วนหนึ่งที่พูดถึงโต๊ะเครื่องแป้งของเซียนหญิงบนยอดเขาเทียนแจว๋โดยเฉพาะ แม้ว่าจะเอ่ยถึงแค่ไม่กี่คำ แต่กลับมหัศจรรย์อย่างยิ่งยวด ทำให้คนรู้สึกประหลาดใจอย่างถึงที่สุด
เผยเฉียนที่เดินจนเหนื่อยเกือบตายพลันเงยหน้าขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “รีบดูเร็วๆ บนฟ้ามีเรือ!”
เฉินผิงอันยื่นมือมากดนิ้วของเผยเฉียนลง พูดเบาๆ ว่า “เรื่องขบวนรับเจ้าสาวของเทพภูเขา เจ้าลืมไปแล้วหรือ?”
เผยเฉียนรีบพยักหน้ารับ ตบอกรับประกัน “คราวหน้าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว!”
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ต่อให้มีคราวหน้าก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังเด็ก แต่แม้ว่าข้าจะพูดเช่นนี้ เจ้าเองก็ไม่ควรหละหลวมด้วยสาเหตุนี้”
เผยเฉียนยิ้มกว้างสดใส “ปีหน้าก็อายุสิบเอ็ดแล้ว ข้าไม่เด็กแล้ว”
เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามาสะพายหีบไม้ไผ่ให้ข้าดีไหม?”
เผยเฉียนหน้าม่อย “แต่ปีนี้ข้าเพิ่งอายุสิบขวบเองนะ”
เฉินผิงอันเขกมะเหงกลงไป
เผยเฉียนเบี่ยงหลบอย่างว่องไว ขยับถอยไปสองสามก้าว หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีมองคนทั้งสอง
ยอดเขาเทียนแจว๋ ยอดเขาเพียงหนึ่งเดียวที่สูงเด่นจนราวกับว่ากลุ่มยอดเขาโดยรอบทำได้เพียงก้มหน้าหลุบตามองต่ำ
ดังนั้นจึงสะดุดตาอย่างมาก เพียงแต่ว่าเมื่อขยับเข้าไปใกล้ยอดเขาก็เริ่มมีเมฆหมอกล้อมเวียนวน ทำให้มองเห็นทัศนียภาพอย่างเป็นรูปธรรมได้ไม่ชัดเจน
หลังจากถือว่าข้ามเข้ามาในอาณาเขตของยอดเขาเทียนแจว๋แล้วก็ผ่านสะพานหินโค้งแห่งหนึ่ง ด้านใต้สะพานก็คือธารน้ำใสกระจ่างไหลริกๆ มีปลาแหวกว่ายอย่างสบายอุรา
เฉินผิงอันเพิ่งจะเดินขึ้นไปบนสะพานก็หยุดเท้า มองไปทางทิศใต้
หลังจากขึ้นเขาไปแล้ว ครั้งหน้าก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่สองเท้าจะได้เหยียบลงบนพื้นดินของใบถงทวีปอีก
หลังจากที่ปีศาจใหญ่ก่อความวุ่นวาย ถนนเรียกสวรรค์ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ของสำนักฝูจีเส้นนั้นจะหายไปนับแต่นี้หรือไม่?
เด็กหนุ่มนักการฝ่ายนอกที่ทำลายแผนการชั่วร้ายใหญ่เทียมฟ้าจะเป็นเหมือนตนที่เปลี่ยนจากเด็กบ้านนอกคนหนึ่งมาเป็นคนใหม่หรือเปล่า?
ทางฝ่ายของป้อมอินทรีบิน ลู่ไถที่พิศมรรคาอยู่บนหอขึ้นดาดฟ้าจะประสบความสำเร็จแล้วหรือไม่? ตอนนั้นเหตุใดถึงแอบเอาดาบแคบหยุดหิมะที่มีมูลค่าถึงยี่สิบเหรียญเงินฝนธัญพืชมาใส่ไว้ในห่อสัมภาระของตน? ตอนนั้นเฉินผิงอันเห็นลู่ไถรับพวกเถาเสียหยางสามคนไว้เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อก็ยังไม่ค่อยเข้าใจประโยค ‘ไม่เข้าใกล้ความชั่วร้าย ไม่รู้จักความดีงาม’ ของลู่ไถเท่าไหร่นัก ตอนนี้ถึงเพิ่งจะเข้าใจความหมายที่ซุกซ่อนอยู่ภายในได้บ้าง
วันหน้าจงขุยจะยังเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาต้าฝูอีกหรือไม่?
นักพรตหญิงหวงถิงที่ไล่ฆ่าวานรขาวสะพายกระบี่ตัวนั้นจะได้รับโชควาสนาอีกครั้งหรือเปล่า?
โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ในพื้นที่มงคลดอกบัว เมื่อได้ย้อนกลับไปยังสำนักกุยหยก สะบัดร่างกลับไปเป็นเจ้าของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาอีกครั้ง ใช้ชื่อว่าเจียงซ่างเจินอะไรนั่นใช่ไหม?
ควันธูปของจวนปี้โหยวและศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอจะโชติช่วงยิ่งกว่าเดิมหรือไม่?
เมืองเซิ่นจิ่งของต้าเฉวียนได้ต้อนรับหิมะแรกของปีนี้แล้วหรือยัง?
เฉาฉิงหล่างอยู่ในบ้านหลังเล็กคนเดียวจะยังสบายดีไหม? ความรู้ที่อาจารย์ในโรงเรียนสอนใหญ่พอหรือไม่? จะสอนหลักการนอกตำราให้เขาด้วยหรือเปล่า?
บนสะพาน หลูป๋ายเซี่ยงสี่คนเห็นเฉินผิงอันหยุดเดินก็ยืนนิ่งอยู่บนสะพานตามไปด้วย
เฉินผิงอันมองไปยังทิศไกล เด็กหญิงผิวดำเกรียมดุจถ่านเงยหน้ามองเฉินผิงอันที่แตกต่างไปจากเวลาปกติ
จูเหลี่ยนเห็นว่ามีเวลาว่างจึงเปิดหนังสือออกอ่าน เผยเฉียนมองเฉินผิงอันแล้วก็เขย่งปลายเท้าคิดจะดูให้ชัดๆ ว่าตาแก่บ้าคลั่งผู้นี้วันๆ อ่านอะไรอยู่กันแน่ถึงได้ทำท่าลับๆ ล่อๆ ไม่ยอมให้ใครอ่านด้วย
จูเหลี่ยนเอาฝ่ามือดันหัวเผยเฉียนแล้วผลักออกเบาๆ
เผยเฉียนถาม “ในตำราเขียนไว้ว่าอะไร?”
จูเหลี่ยนตอบไม่ตรงคำถาม “ไม่ได้เขียนอะไร ก็แค่เรื่องเล่าเก่าๆ แบบเดิม”
เผยเฉียนซักไซ้ไม่เลิก “อะไรที่เรียกว่าเรื่องเล่าเก่าๆ?”
จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “สำหรับเด็กน้อยอายุเท่าเจ้าไม่ถือว่าเป็นเรื่องเก่า เพราะไม่ว่าเห็นอะไรก็ล้วนสดใหม่ เพียงแต่ว่าเรื่องราวในตำรา การพบพราก ความสุขความทุกข์ทั้งหลาย ถึงอย่างไรอ่านผ่านกระดาษก็บางเกินไป พูดคุยกันก็เบาเกินไป อ่านผ่านแล้วก็ผ่านเลยไป เพียงไม่นานก็ลืมเลือนหมด ทว่าคนเรามีชีวิตอยู่ ยามหิวท้องร้อง ใต้ฝ่าเท้าถูกเสียดสีก็เกิดตุ่มน้ำพอง ถูกคนต่อยหน้าก็เขียวปูดบวม เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน”
เผยเฉียนขมวดคิ้ว “เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่? พูดให้ดีๆ หน่อยได้ไหม หัดเรียนรู้จากเหล่าเว่ยบ้างสิ เข้าใจไหม?”
จูเหลี่ยนชำเลืองตามองประเมินเด็กหญิงที่ในมือถือไม้เท้าเดินป่า จุ๊ปากชื่นชม “ดีอวบอ้วน (ดีเป็นความหมายของความกล้าในภาษาจีน ดีอวบอ้วนจึงแปลว่าใจกล้ามาก) ขึ้นไม่น้อยนี่นา”
เผยเฉียนยิ้มพลางถอยหลังสองก้าว โบกมือพูดว่า “ไม่อ้วนๆ ข้าตัวเล็กแค่นี้ ผอมแห้งจะตายไป”
จูเหลี่ยนปิดตำรา พูดบ่น “ถูกเจ้าก่อกวนเช่นนี้ การต่อสู้แนบประชิดกายอย่างดุเดือดในหนังสือก็หมดรสชาติ ไม่อ่านแล้วๆ”
เผยเฉียนไม่เข้าใจ “คนในหนังสือฆ่ากันรุนแรงมากเลยหรือ? ร้ายกาจเท่าที่พ่อข้ากับพี่หญิงเทพเซียนต่อสู้กันนอกวัดร้างหรือเปล่า?”
สุยโย่วเปียนหน้าดำทะมึน ข่มกลั้นความวู่วามไม่ให้ชักกระบี่ปาดคอตาเฒ่าทุเรศ แล้วตบปากนังเด็กปากเปราะนี่ให้ตาย
จูเหลี่ยนเก็บนิยายรักหวานหอมชวนเลี่ยนเล่มนั้นลงไป เอาสองมือไพล่หลัง ส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า “เทียบไม่ได้ๆ”
เผยเฉียนที่รู้สึกว่าตัวเองเอ่ยคำประจบได้อย่างยอดเยี่ยมหันไปยิ้มมองพี่หญิงเทพเซียนอย่างสุยโย่วเปียนหวังเอาหน้า
สุยโย่วเปียนกลับหมุนตัวเดินดิ่งลงไปจากสะพานหินโค้ง ตาไม่เห็นใจก็ไม่หงุดหงิด
เผยเฉียนไม่เข้าใจ ในใจคิดว่าผู้หญิงหน้าเหม็นคนนี้กินยาผิดอีกแล้วหรือไง?
หลูป๋ายเซี่ยงยังคงยิ้มบางๆ อย่างผ่อนคลาย สถานที่แห่งนี้สวยงามชวนให้คนสบายตาสบายใจ หากวันหน้าตนสามารถสร้างกระท่อมฝึกตนได้ด้วยตัวเองก็ควรจะหาสถานที่ที่ฮวงจุ้ยยอดเยี่ยม ทัศนียภาพงดงามดุจภาพวาดเช่นนี้
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจพวกเผยเฉียน
หากไปถึงนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปก็จะได้พบฟ่านเอ้อร์และกุ้ยฮูหยินผู้มีนิสัยนุ่มนวลอ่อนโยน แน่นอนว่ายังรวมไปถึงเจิ้งต้าเฟิงแห่งร้านยาฮุยเฉินด้วย
เดินทางขึ้นเหนืออีกนิดก็จะไปถึงบ้านเกิดของพี่สวี สวีหย่วนเสียจอมยุทธ์เคราดก ไปหาเขาและจางซานเฟิง บอกพวกเขาว่าหลังจากจากลากันครานั้น ตนได้ดื่มสุราดีๆ ไปกี่มากน้อย หากนับหมดด้วยสองมือก็ถือว่าเขาเฉินผิงอันแพ้!
แล้วยังต้องไปทะเลสาบเจี่ยนซู ไปดูว่ากู้ช่านเจ้าเด็กขี้มูกยืดมีชีวิตเป็นเช่นไร ตอนพบหน้ากันกู้ช่านที่กลายเป็นลูกศิษย์ตระกูลเซียนแล้วจะไม่ใช่ขวดน้ำมันน้อย (เปรียบเปรยถึงตัวภาระ) ที่ตามก้นเขาต้อยๆ อีกหรือไม่?
จากนั้นค่อยไปสำนักศึกษาซานหยาที่ต้าสุย ที่นั่นมีหลี่เป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย
แน่นอนว่ายังมีลูกศิษย์ของเขาอย่างชุยตงซาน
คาดว่าการเดินทางครั้งนี้ก็น่าจะครบกำหนดระยะเวลาห้าปีพอดี ถึงเวลานั้นก็สามารถกลับไปบ้านเกิด เดินเข้าไปในตรอกหนีผิง เดินขึ้นไปบนภูเขาลั่วพั่ว
รังเงินรังทองไม่สู้รังหญ้าของบ้านตัวเอง แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้บ้านของตนไม่ใช่รังหญ้าอีกแล้ว
มีเพียงได้เดินออกไปเห็นโลกภายนอกอย่างแท้จริงถึงจะรู้ว่าเขตการปกครองหลงเฉวียนในทุกวันนี้เป็นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่เหมาะสำหรับการฝึกตนมากแค่ไหน ภูเขาใหญ่แห่งต่างๆ ที่ถูกราชสำนักต้าหลีกักเก็บโชคชะตาแม่น้ำและภูเขาไว้ที่เดิม สามารถพูดได้ว่าล้วนเป็นดั่งจวนปี้โหยวที่ประทับตราอักษรน้ำลงไป
……
ตำหนักพยัคฆ์เขียวของยอดเขาเทียนแจว๋เป็นตำหนักใหญ่ที่ซ้อนกันมากถึงหกชั้น แบ่งออกเป็นสถานที่บูชาเทพเซียนลัทธิเต๋าจากสายต่างๆ กลอนคู่บนเสาคานของตำหนักเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดบทกลอน เพราะมีมากเกือบสี่ร้อยตัวอักษร ได้รับการขนานนามอย่างน่าฟังว่า ‘อักษรจ้วนซูเซียนเหรินสู่ประตูทอง’ ฝั่งซ้ายขวาของตำหนักพยัคฆ์เขียวคือผนังหินขนาดใหญ่มหึมาที่มีเมฆหมอกล้อมวน เป็นภาพเจียวหลงโปรยพิรุณที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ ปีกฝั่งซ้ายติดกับหน้าผา ซึ่งก็คือโต๊ะเครื่องแป้งของเซียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุด มีต้นกำเนิดมาจากเถาวัลย์เขียวเก่าแก่ต้นหนึ่งที่หยั่งรากอยู่ริมหน้าผา พุ่มใบดกหนา ทอดตัวยาวขยายแล้วห้อยย้อยลงไปเบื้องล่าง ยาวร้อยจั้ง ประหนึ่งเทพธิดาบนสวรรค์ท่านหนึ่งที่ใช้ทะเลเมฆเป็นธารน้ำสระผมสีนิลที่ยาวหนึ่งร้อยจั้ง
ลู่ยงเจ้าตำหนักพยัคฆ์เขียวคือก่อกำเนิดเฒ่าที่ตั้งใจฝึกตน ไม่สนเรื่องทางโลก ชื่อเสียงไม่โด่งดังนัก อีกทั้งชีวิตนี้ยังให้ความสำคัญกับแค่เรื่องหล่อหลอมโอสถ ในสายตาของผู้ฝึกตนบนภูเขา เขาถือเป็น ‘ผู้ฝึกตนสายบุ๋น’ ที่สุดโต่งอย่างถึงที่สุด พลังการต่อสู้ของเขาไม่สอดคล้องกับสถานะก่อกำเนิดเลยแม้แต่น้อย ในภาคกลางของใบถงทวีป พวกเซียนดินโอสถทองที่ถนัดการรบราฆ่าฟันต่างก็ไม่เห็นตำหนักพยัคฆ์เขียวอยู่ในสายตา เพราะท่าเรือตระกูลเซียนของยอดเขาเทียนแจว๋มีขนาดไม่เล็ก จึงมักจะมีเซียนดินสัญจรไปมาเป็นประจำ ดังนั้นผู้ฝึกตนของตำหนักพยัคฆ์เขียวแห่งนี้จึงถูกรังแกกันไม่น้อย
เมื่อวานมีแขกสูงศักดิ์ที่สถานะยิ่งใหญ่เทียมฟ้าคนหนึ่งมาเยือน หลังจากบอกชื่อแซ่เรียบร้อยแล้ว ลูกศิษย์ของสำนักก็รีบไปแจ้งข่าว ลู่ยงถึงกับยอมเสี่ยงให้ยาในเตาที่กำลังหลอมหลอมสูญเปล่า เดินออกมาจากเตาหลอม พาผู้ฝึกตนใหญ่ท่านนั้นเดินเที่ยวรอบภูเขาเทียนแจว๋ด้วยตัวเอง ใจของเขาตระหนกหวาดกลัว เหงื่อแตกชุ่มราวตากฝน ก็ไม่แปลกที่ลู่ยงจะมีท่าทางนอบน้อมเอาใจอีกฝ่ายเช่นนี้ เพราะในอดีตตำหนักพยัคฆ์เขียวเคยไปหาเรื่องสำนักของอีกฝ่าย ถึงอย่างไรตำหนักพยัคฆ์เขียวก็อยู่ใกล้กับสำนักใบถงมากกว่า อีกทั้งสำนักใบถงยังเป็นผู้นำของตระกูลเซียนในใบถงทวีป เวลาที่ลูกศิษย์ลงจากเขามาฝึกตนจะต้องผ่านท่าเรือแห่งนี้ มีครั้งหนึ่งเกิดเรื่องทะเลาะวิวาท ผู้อาวุโสขอบเขตประตูมังกรที่ตาไม่มีแววคนหนึ่งของตำหนักพยัคฆ์เขียวให้การปกป้องเซียนซือน้อยผู้สืบทอดสายตรงคนหนึ่งของสำนักใบถง เดิมทีนี่ไม่ถือว่าเป็นอะไร เพราะก็เป็นนิสัยปกติของคนที่จะเข้าข้างฝ่ายที่ตนสนิทสนม แต่ไหนเลยจะรู้ว่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างที่ถูกตำหนักพยัคฆ์เขียวหลู่เกียรติผู้นั้นกลับเป็นถึงลูกศิษย์สำนักกุยหยก ประเด็นสำคัญคือคนผู้นั้นยังแซ่เจียงอีกด้วย!
คนที่แซ่เจียงของสำนักกุยหยกล้วนมีเงิน ทำไมถึงมีเงิน? พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาล้วนเป็นของตระกูลเจียง จะไม่มีเงินได้หรือ?
ปีนั้นลูกหลานสกุลเจียงผู้นั้นก็ไม่ได้ใช้ความรุนแรงลงไม้ลงมือ แต่ทุ่มเงินก้อนใหญ่จองรายชื่อของเรือข้ามฟากทั้งหมดในยอดเขาเทียนแจว๋หนึ่งเดือนเต็ม เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนใบถงทวีปหลายร้อยคนต้องถูกกักตัวไว้บนภูเขาชิงจิ้ง คอยแวะเวียนมาถลึงตาใส่ตำหนักพยัคฆ์เขียว หลังจากผ่านหนึ่งเดือนไปแล้วถึงสามารถออกเดินทางได้ แต่ละคนแทบอยากจะทุบตำหนักพยัคฆ์เขียวให้เละเลยด้วยซ้ำ
ส่วนคำตำหนิคนหนุ่มแซ่เจียงผู้นั้น กลับไม่มีใครกล้าเอ่ยสักครึ่งคำ ในฐานะเซียนดินก่อกำเนิดผู้ยิ่งใหญ่ ลู่ยงไปหลบอยู่ในห้องหลอมยา หลังจากหลอมยาเตาใหญ่ออกมาได้แล้วก็ให้พวกลูกศิษย์ของตำหนักพยัคฆ์เขียวเอาไปมอบให้เป็นของขวัญไถ่โทษ นั่นถึงทำให้ป้ายอักษรทองที่บรรพบุรุษสร้างขึ้นด้วยความยากลำบากไม่ถูกคนทุบทำลายทิ้ง
ลูกหลานสกุลเจียงคนหนึ่งก็ร้ายกาจขนาดนี้แล้ว
ถ้าอย่างนั้นเจ้าประมุขสกุลเจียงมาเยือนตำหนักพยัคฆ์เขียวด้วยตัวเอง ลู่ยงจะยังทำอะไรได้อีก?
ยอดบนสุดของบันไดที่ถูกเรียกขานว่า ‘บันไดสีขาด’ ของยอดเขาเทียนแจว๋ มีเจียงซ่างเจินและลู่ยงยืนอยู่แค่สองคน
ลู่ยงลองถามหยั่งเชิง “ไม่ต้องให้ข้าผู้เฒ่าบอกให้ลูกศิษย์ตำหนักพยัคฆ์เขียวลงภูเขาไปช่วยตอนรับแขกสูงศักดิ์เหล่านั้นของท่านผู้อาวุโสจริงๆ หรือ?”
เจียงซ่างเจินที่เดินทางมาไกลเป็นหมื่นลี้จากมหาสมุทรตะวันตกของใบถงทวีปมาถึงชายแดนเหนือของต้าเฉวียนเงียบกริบ ท่าทางลึกล้ำยากจะคาดเดาความคิด
ลู่ยงรู้สึกเพียงความลำบากอึดอัดใจ
หรือว่าจะมีเทพเซียนสู้รบกันจนภูเขาถล่มแผ่นดินแตกแยก? ตำหนักพยัคฆ์เขียวเล็กๆ จะทนรับการกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง การโบกชายแขนเสื้อหนึ่งทีของเทพเซียนห้าขอบเขตบนอย่างเจียงซ่างเจินไหวได้อย่างไร?
ลู่ยงได้แต่ภาวนาขอให้เหล่าบรรพบุรุษปกป้องคุ้มครอง
ลู่ยงถามอย่างระมัดระวัง “หรือจะให้ข้าผู้เฒ่าลงไปต้อนรับด้วยตัวเอง?”
ลู่ยงรู้สึกว่าตนเป็นก่อกำเนิดคนหนึ่ง ยอมก้มหัวงอเข่าถึงระดับนี้ จะดีจะชั่วเจ้าประมุขสกุลเจียงก็น่าจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ควันธูปบ้างกระมัง
เจียงซ่างเจินกล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้าคู่ควรหรือ?”
ลู่ยงเข่าอ่อนยวบ
ตำหนักพยัคฆ์เขียวของข้าตกอยู่ในอันตราย!
เจียงซ่างเจินพลันหัวเราะเสียงดัง ตบไหล่ของผู้เฒ่าก่อกำเนิด “ฮ่าๆ ล้อเล่นเท่านั้น ไม่ต้องกลัวๆ ขอแค่วันนี้ผ่านไปอย่างราบรื่น เรื่องเละเทะที่ตำหนักพยัคฆ์เขียวของพวกเจ้าก่อไว้ก่อนหน้านี้ก็ให้หายกันไป จากนั้นสกุลเจียงของข้าจะซื้อยาที่แพงที่สุดมาให้เจ้าหนึ่งร้อยเตา”
ลู่ยงกลืนน้ำลาย ได้แต่หัวเราะเออออตามไปด้วย
เจียงซ่างเจินจุ๊ปากพูด “เอ่ยสามคำนี้แล้วทำให้คนรู้สึกสบายอารมณ์จริงๆ ด้วย”
……
บนสะพาน
จูเหลี่ยนสามคนก็เดินข้ามสะพานหินโค้งมายืนข้างกายสุยโย่วเปียนแล้ว
ดังนั้นบนสะพานจึงเหลือแค่เฉินผิงอันกับเผยเฉียน
หลังจากเฉินผิงอันคืนสติกลับมา เขาก็ฟุบตัวบนราวสะพาน ยื่นศีรษะออกไปคล้ายกำลังมองหาอะไรบางอย่าง
เผยเฉียนกระโดดดึ๋งๆ ถามอย่างใคร่รู้ “หาอะไรน่ะ?”
เฉินผิงอันกล่าว “อยากเห็นว่าใต้สะพานมีกระบี่ห้อยอยู่หรือเปล่า”
เผยเฉียนยืดเอวตรง จากนั้นก็เริ่มร่ายใช้วิชาการประจบประแจงของนางอีกครั้ง “อยู่บนสะพานจะมองเห็นได้อย่างไร ข้าจะลงไปใต้สะพานช่วยดูให้เจ้าเอง!”
เฉินผิงอันยิ้มพลางยืดตัวขึ้นตรง ขยี้ศีรษะเล็กๆ ของนาง “ไม่ต้องหรอก”
เผยเฉียนเงยหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองดวงตาคู่นั้นของนาง
เผยเฉียนจึงให้ความร่วมมือด้วยการเบิกตากว้าง พยายามทำตาให้กลมโต “ดูให้หน่อย ในตาข้ามีเงินจริงๆ ไหม?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง จากนั้นก็ตบศีรษะนางเบาๆ ชี้ไปที่อีกฝั่งหนึ่งของสะพาน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไป พวกเราข้ามสะพานแล้วเริ่มเดินขึ้นภูเขากัน”
เผยเฉียนร้องว่าได้เลยแล้วกระดกดันห่อสัมภาระให้เข้าที่ โบกไม้เท้าเดินป่า ก้าวอาดๆ เดินลงสะพานหินโค้งไป
เฉินผิงอันหลับตาลง นึกถึงตอนเป็นเด็กหนุ่มที่ตนนั่งอยู่บนสะพานของบ้านเกิด หลังจากจมสู่ภวังค์ความฝันก็มองเห็นสะพานอีกแห่งหนึ่ง
สีทอง ยาวมาก
ทะเลเมฆกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มองไปทางซ้าย ดวงตะวันโผล่พ้นมหาสมุทรใหญ่ หันกลับมามองทางขวา ดวงจันทราลับหายไปจากขอบฟ้าทิศตะวันตก
เฉินผิงอันหลับตาอยู่เช่นนี้ แล้วเดินก้าวยาวๆ จากด้านหนึ่งของสะพานหินโค้งที่ไม่สะดุดตาใต้ฝ่าเท้าไปยังอีกฝั่งหนึ่งของสะพาน
ชุดคลุมสีขาว ลมภูเขาพัดโชยมา ชายแขนเสื้อสองข้างโบกไสว
เผยเฉียนเพิ่งจะกระโดดลงจากบันไดทางฝั่งนั้น หันกลับมามอง ดวงตาก็เป็นประกาย พูดเหมือนคนแก่ว่า “พ่อข้าสมกับเป็นเทพเซียนจริงๆ”
—–
บทที่ 360.1 คิดถึงเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันหลับตาเดินบนสะพานหินโค้ง เรือนกายโยกไหวเล็กน้อย ใต้สะพานมีสายน้ำไหลริน ชายแขนเสื้อมีเมฆหมอกล้อมเวียนวน เปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายแห่งเซียน
เว่ยเซียนเห็นด้วยกับคำวิจารณ์ของเผยเฉียนอย่างยิ่งจึงเปิดปากเอ่ยชมว่า “มังกรผงาด พยัคฆ์เยื้องย่าง ประหนึ่งขุนเขาตั้งตระหง่าน…”
เพิ่งจะวิจารณ์ได้แค่ครึ่งเดียว เว่ยเซียนก็หุบปากลง
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ใต้ฟ้ายอมมีลมเมฆที่มิอาจคาดการณ์ได้ถึง มีเรื่องไม่คาดฝันเล็กน้อยเกิดขึ้นก็ไม่ถือว่าทำลายความสุภาพสง่างาม”
ที่แท้สะพานหินโค้งก็มีขั้นบันได ไม่รู้ว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงลืมเรื่องนี้ไป เท้าที่ก้าวออกมาจึงเหยียบลงบนความว่างเปล่า ทั้งคนทั้งหีบไม้ไผ่กลิ้งตลบอยู่บนพื้น
เผยเฉียนยกฝ่ามือตบหน้าผากตัวเอง บิดาข้า ท่านรับคำชมไม่ได้ขนาดนี้เชียวหรือ
สุยโย่วเปียนเบี่ยงหน้าไปทางอื่น มุมปากยกยิ้ม
เฉินผิงอันกระโดดผลุงขึ้นยืน พอลืมตาแล้วก็ปัดชายแขนเสื้อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง
บนชุดคลุมอาคมจินหลี่มีแสงสีทองส่องประกายวาบผ่านไป ปราณวิญญาณในไข่มุกที่มังกรทองคาบเอาไว้ยิ่งรวมตัวกันได้แน่นหนากว่าเดิม
หากไม่เป็นเพราะมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เซียนนอกมหาสมุทรท่านหนึ่งทิ้งไว้ชิ้นนี้ การล้มครั้งนี้ของเฉินผิงอันจะไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เห็น หนึ่งคือร่างกายจะเป็นเหมือนการ ‘เปิดด่านรับศัตรู’ ปล่อยให้ปราณวิญญาณฟ้าดินที่เหมือนน้ำในมหาสมุทรกรอกเทเข้ามาในช่องโพรงลมปราณ ต้องเจ็บปวดทรมาน สองคือมีความเป็นไปได้มากกว่าจะสูบเอาปราณวิญญาณในฟ้าดินของภูเขาชิงจิ้งมาเหมือนปลาวาฬสูบน้ำ ถึงเวลานั้นต้องก่อให้เกิดภาพเหตุการณ์ประหลาด ชักนำปัญหาแทรกซ้อน ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นมรสุมลูกใหม่เลยก็ได้
ชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็เป็นเหมือนทะเลสาบแห่งหนึ่ง มีประโยชน์ในการกักเก็บน้ำ
แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นแค่การรักษาที่ปลายเหตุมิใช่ต้นเหตุ การหล่อหลอมวัตถุห้าธาตุ สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาอย่างแท้จริง บุกเบิกช่องโพรงในร่างกายห้าแห่งให้เป็นเหมือนทะเลสาบ นี่คือภารกิจเร่งด่วนในเวลานี้
สะพานแห่งความเป็นอมตะแห่งนี้จะสร้างได้สำเร็จหรือไม่ เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์เกินกว่าจะใช้คำพูดใดมาบรรยายได้
ตัวเฉินผิงอันเองก็รู้สึกประหลาดใจ มาจนกระทั่งบัดนี้ตนถึงเพิ่งถูกฟ้าดินแห่งนี้ยอมรับอย่างแท้จริงหรือ? ประหลาดนัก
สายตาของคนทั้งสี่ในภาพวาดล้วนเฉียบคม แรกเริ่มยังรู้สึกว่าน่าขัน ถึงอย่างไรเฉินผิงอันในความทรงจำของพวกเขาก็เป็นคนที่สำรวมตน อยู่ในกฎระเบียบทุกเรื่อง ยากนักที่จะได้เห็นสภาพอเนจอนาถแบบนี้ของเขาสักครั้ง เพียงแต่ว่าหลังจากลองมองประเมินอย่างตั้งใจเพียงเล็กน้อย ทุกคนต่างก็มองเห็นสายสนกลใน เพียงแต่ไม่มีใครเอ่ยออกมาก็เท่านั้น
ยอดบนสุดของบันไดสีชาดสามพันขั้นของตำหนักพยัคฆ์เขียว แม้ว่าจะมีเมฆหมอกล้อมวน ทว่าเจียงซ่างเจินและลู่ยงที่ยืนเคียงบ่ากัน ทั้งสองคนต่างก็เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ เมื่อเทียบกับคนสี่คนในภาพวาดที่ต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวแล้วย่อมมองออกได้เยอะกว่า
ลู่ยงเอ่ยอย่างตกตะลึงระคนชื่นชม “ช่างเป็นชุดคลุมอาคมมังกรที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ลึกล้ำเกินจะหยั่งจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจมีระดับขั้นเท่ากับ ‘พื้นที่มงคลขนาดเล็ก’ ในตำนานแล้ว เซียนซือน้อยสวมชุดคลุมนี้ไว้บนร่าง เกรงว่าเมื่อเทียบกับเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารที่ระดับขั้นสูงสุดแล้ว สมบัติอาคมก็ไม่อาจรุกราน กระบี่บินก็ไม่อาจแทงเข้าเสียยิ่งกว่า”
ลู่ยงเข้าใจผิดคิดว่าเฉินผิงอันคือผู้ฝึกตนสำนักการทหาร
เจียงซ่างเจินพูดพร้อมคลี่ยิ้มอ่อนจาง “เจ้าตำหนักลู่สายตาดีมีแววยิ่งนัก”
ลู่ยงกล่าวอย่างหวาดผวาว่า “ท่านผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว”
เจียงซ่างเจินหันหน้ากลับมา “หากข้าจำไม่ผิด เจ้าอายุมากกว่าข้า จะเรียกข้าว่าผู้อาวุโสทำไม?”
ลู่ยงอึ้งพูดไม่ออก
ในฐานะที่สกุลเจียงคือไท่ซ่างหวงของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา พวกเขาจึงมีจิตใจยากจะคาดเดาสมกับเป็นราชันย์อย่างแท้จริง ตอนนี้ตนอยู่กับกษัตริย์ก็เหมือนอยู่กับพยัคฆ์
เจียงซ่างเจินหัวเราะขึ้นอีก “คราวนี้หากเจ้าพูดประโยคหนึ่งว่า ‘บนเส้นทางของการฝึกตน ผู้ที่เรียนรู้ได้อย่างชำนาญย่อมได้อยู่หน้าสุด’ ก็จะถือว่าเป็นคนที่ฉลาดเฉียบแหลมกว่าคนอื่นเยอะเลย”
ลู่ยงไม่รู้ว่าเจียงซ่างเจินต้องการอะไรกันแน่ ได้แต่ยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ผู้อาวุโสมีวิสัยทัศน์สูงส่ง ลู่ยงโง่เขลา หาไม่แล้วชีวิตนี้ก็คงไม่มีแค่โอสถและสมุนไพรอยู่เคียงข้างเท่านั้น”
เจียงซ่างเจินถาม “สองร้อยปีมานี้ข้าจำเป็นต้องจัดการกิจธุระในพื้นที่มงคล ยุ่งจนหัวแทบไหม้ ออกจากบ้านไม่บ่อยนัก สู้คนตาบอดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เจ้าตำหนักลู่เฝ้าพิทักษ์ท่าเรือตระกูลเซียนบนยอดเขาเทียนแจว๋แห่งนี้ ต้องคอยต้อนรับขับสู้ผู้คน เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าช่วงสองร้อยปีล่าสุดนี้ หากไม่นับใบถงทวีป ในใต้หล้าไพศาลมีเซียนกระบี่หนุ่มที่โด่งดังที่สุดคนใดบ้าง?”
ลู่ยงคิดแล้วก็ถามหยั่งเชิงว่า “ท่านผู้นั้นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่หรือ?”
เจียงซ่างเจินโมโหจนกลายเป็นขำ “เจ้าลู่ยงเห็นว่าข้าโง่จริงๆ หรือไง? ข้าจะไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนรึ?!”
ลู่ยงกระวนกระวายใจ รีบแก้ตัวใหม่ เริ่มนับนิ้วคำนวณว่าในทวีปแห่งอื่นมีเซียนกระบี่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือคนใดบ้าง จากนั้นก็ร่ายรายชื่อผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่ชื่อเสียงโด่งดังดุจสายฟ้ากัมปนาทให้เจียงซ่างเจินฟัง ทุกคนล้วนเป็นเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงซึ่งรุ่งโรจน์ที่สุดในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา ประเด็นสำคัญคือทุกคนต่างก็อายุไม่มาก คนที่เขาร่ายออกมามีมากถึงแปดคน ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีสี่คน อุตรกุรุทวีปมีสามคน แจกันสมบัติทวีปเล็กๆ ก็มีกับเขาคนหนึ่งเช่นกัน ซึ่งก็คือเซียนกระบี่เว่ยจิ้นที่เพิ่งเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับเจ็ดคนแรกแล้ว เว่ยเซียนแห่งหอเทพเซียนศาลลมหิมะ ตอนนี้ขอบเขตยังไม่สูง แต่ผลสำเร็จในอนาคตย่อมเป็นที่น่าจับตามองอย่างแน่นอน ดังนั้นขนาดใบถงทวีปก็ยังได้ยินชื่อของคนผู้นี้ แม้แต่ผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดอย่างเขาลู่ยงซึ่งเป็นเจ้าตำหนักพยัคฆ์เขียวก็ยังได้ยินชื่อของศาลลมหิมะอันเป็นหนึ่งในปฐมสำนักของสำนักการทหารในแจกันสมบัติทวีปเป็นครั้งแรกก็เพราะเว่ยจิ้น
ชื่อและเรื่องราวคร่าวๆ ของแต่ละคนผ่านหูไป จุดท้ายเจียงซ่างเจินก็ส่ายหน้า พูดแค่ว่าไม่ถูก ยังห่างชั้นไกลนัก
ลู่ยงจนปัญญาแล้วจริงๆ
เดิมทีผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นหนึ่งในผู้ฝึกลมปราณก็มีน้อยอยู่แล้ว เซียนกระบี่ก็ยิ่งน้อยในน้อยเข้าไปอีก สามารถมองข้ามความห่างของธรณีประตูใหญ่ขอบเขตก่อกำเนิด สังหารขอบเขตหยกดิบได้ บนโลกนี้ก็มีแค่ผู้ฝึกกระบี่เท่านั้น
เกี่ยวกับเซียนกระบี่ ‘อายุน้อย’ ที่ฉายประกายแหลมคมที่สุดในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา ลู่ยงที่มุ่งมั่นอยู่กับการหลอมโอสถเคยได้ยินมาแค่นี้เท่านั้น
เจียงซ่างเจินไม่คิดจะสร้างความลำบากใจให้ลู่ยงต่อ ในใจเขาเองก็จนใจอยู่บ้าง เวลาหกสิบปีใช้หมดไปในพื้นที่มงคลดอกบัว ร้อยยี่สิบปีก่อนหน้านั้น หกสิบปีแรกไปสยบความวุ่นวายครั้งใหญ่ซึ่งพันปียากจะพานพบสักครั้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ได้รับบาดเจ็บมาไม่เบา หกสิบปีหลังจึงปิดด่านฝึกตน ไม่มีเวลาให้ความสนใจสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าจริงๆ เวลาผ่านไปเกือบสองร้อยปี มนุษย์ธรรมดาด้านล่างภูเขาตายกันไปกี่รอบแล้ว ทว่าสำหรับผู้ฝึกตนที่อยู่บนยอดเขาอย่างเจียงซ่างเจินนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขายังเป็นคนที่มีความหวังว่าจะพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น อันที่จริงจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับกาลเวลาที่ผ่านเลยไปเท่าไหร่นัก ก้าวออกไปหนึ่งก้าว ยืนได้มั่นคงก็สามารถมีอายุขัยเพิ่มขึ้นมาอีกหลายร้อยปีหรืออาจถึงขั้นเป็นพันปี
ถูกผิด บุญคุณความแค้นในโลกมนุษย์ล่างภูเขาไม่มีค่าพอให้พูดถึงจริงๆ เมื่ออยู่ภายใต้ชีวิตอมตะ บนโลกก็ล้วนไม่มีอะไรที่แน่นอน
สายตาของเจียงซ่างเจินหลุบลงต่ำเล็กน้อย ตำหนักพยัคฆ์เขียวที่อยู่ด้านหลังนี้ถูกกล่าวขานว่าเป็นที่ตั้งบูชาเทพเซียนทั้งหมดของลัทธิเต๋า และบันไดสวรรค์ใต้ฝ่าเท้าเบื้องหน้านี้ก็มีสามพันขั้น ความหมายก็คือ ‘มหามรรคาสามพัน’ (หมายถึงว่าวิชาคาถานั้นมีมากมาย ยากจะคำนวณได้หมด ในลัทธิเต๋า สามหมายถึงจำนวนที่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นตัวแทนของจำนวนที่ไม่แน่นอน มรรคามิอาจคำนวณ และทุกคนล้วนมีมรรคาเป็นของตัวเอง ขอแค่ได้มาก็ล้วนถือว่าเป็นหนึ่งในมรรคกถา)
ฟังดูเหมือนว่าเส้นทางมีมากมาย ทว่าจะมีสักกี่คนที่สามารถเดินไปถึงจุดที่สูงที่สุดได้อย่างแท้จริง
มหามรรคาเส้นทางสายใหญ่ ไม่ได้บอกว่าทางเส้นนี้กว้างแค่ไหน เพราะยิ่งเดินขึ้นไปข้างบน เส้นทางใต้ฝ่าเท้าก็จะยิ่งแคบลง ถึงขั้นอาจกลายเป็นสะพานไม้ท่อนเดียว
เพียงแต่ว่าเจียงซ่างเจินกระจ่างแจ้งแก่ใจดีว่า เส้นทางการฝึกตนของตน เส้นทางที่ตนเดินไป ต่อให้สูงแค่ไหนก็ไม่มีทางสูงถึงสะพานไม้ท่อนเดียว ไม่จำเป็นต้องให้เขาไปเข่นฆ่าช่วงชิงมรรคาอยู่เบื้องหน้าขอบเขตบินทะยาน แล้วก็ไม่มีสถานการณ์ที่ต้องให้คนด้านหลังมาเบียดมาดันเขาถึงจะยอมเดินหน้าต่อ
ส่วนผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่เหนือมหาสมุทรผู้นั้น เกรงว่าคงต้องรอให้กลับไปถึงสำนักกุยหยกก่อนแล้วค่อยขอความรู้จากเจ้าสำนักผู้เฒ่า ไม่พูดถึงความสามารถอื่นของท่านผู้อาวุโส เอาแค่เรื่องข่าวและข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เขาว่องไวยิ่งกว่าใคร นิสัยของเจ้าสำนักผู้เฒ่าที่แม้แต่เรื่องที่ว่าลูกศิษย์หญิงสวมเอี๊ยมตัวในสีอะไรก็ล้วนอยากรู้คำตอบ เหล่าเทวรูปที่ตั้งบูชาไว้บนภูเขาทะเลาะกันราวกับหญิงปากตลาดก็ยังอยากจะเอาหูแนบกำแพงแอบฟังนั้นช่าง…ยอดเยี่ยมซะจริง บนโลกจะมีผู้ฝึกตนบนยอดเขาขอบเขตเซียนเหรินสักกี่คนที่แอบอยู่ในจวนของตัวเอง ทุกวันคอยใช้วิชาอภินิหารบุปผาในกระจกจันทราในน้ำคอยมองเหล่าเทพธิดาของสำนักเล็กๆ แต่งตัวฉูดฉาดงดงาม แสดง ‘พรสวรรค์’ ออกมาอย่างมีจริตจก้าน จากนั้นก็จะมีตาแก่คนหนึ่งส่งเงินร้อนน้อยกำใหญ่ไปให้สำนักเหล่านั้นโดยไม่เปิดเผยตัว บางครั้งถึงขั้นแอบออกไปจากสำนัก มอบโชควาสนาหรือไม่ก็สมบัติอาคมให้พวกนางด้วยตัวเอง?
ทุกปีสำนักกุยหยกจะอาศัยเงินปันผลจากพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา รวยเหมือนหมูที่อ้วนจนมันเยิ้ม ในฐานะเจ้าสำนักแห่งหนึ่ง ตาเฒ่าเจ้ายังมีหน้ามาโกหกข้าเจียงซ่างเจินว่าในกระเป๋าไม่มีเงินอีกรึ?
แล้วยังมีหน้ามาพูดอย่างห้าวหาญกับข้าว่าเจอคนบนเส้นทางเดียวกันคนหนึ่ง ซึ่งก็คือเจ้าประมุขผู้เฒ่าของพรรคหนึ่งในแจกันสมบัติทวีปที่มีชื่อว่าพรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน? แถมยังบอกว่าหากมีโอกาสจะไปเยี่ยมเยียนสักครั้ง? แล้วยังพูดด้วยความเสียดายอย่างสุดแสนว่าเทพธิดาซูเจี้ยอะไรของภูเขาเจินอู่ต้องดับแสงไปกลางคันแล้ว?
บางครั้งเจียงซ่างเจินก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้าสำนักผู้เฒ่าฝึกตนจนกลายมาเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้อย่างไร
เจ้าสำนักผู้เฒ่าที่แทบไม่เคยพูดเรื่องมหามรรคากับเขาเจียงซ่างเจิน หลังจากที่เขาถอดตัวตนของเจ๋อเซียนโจวเฝยกลับคืนสู่สำนัก ตาเฒ่ากลับยกเอาเรื่องที่ไม่สลักสำคัญใดๆ มาพูดกับเขาเป็นครึ่งๆ วันด้วยน้ำเสียงปรารถนาดี บอกว่าไม่ควรปฏิบัติกับสตรีบนโลกเช่นนี้ พวกหญิงสาวในตำหนักคลื่นวสันต์ของพื้นที่มงคลดอกบัวน่าสงสารยิ่งนัก เจียงซ่างเจินถูกอบรมสั่งสอนอยู่ครึ่งวัน ตาเฒ่าก็บอกให้เขาไปสังหารปีศาจใหญ่ที่ทะเลตะวันตก ไม่ยอมมอบอาวุธสำคัญของสำนักที่พอจะเป็นหน้าเป็นตาให้สักชิ้น คาดว่าน่าจะโมโหจริงๆ แล้ว
กลับเป็นยาเอ๋อร์ที่ถูกเจียงซ่างเจินพาออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว พอไปถึงสำนัก ตาแก่ก็มอบสมบัติอาคมส่วนตัวของตัวเองให้เป็นรางวัลทันที แน่นอนว่าต้องยืมใช้ชื่อของเจียงซ่างเจิน
กลุ่มคนหกคนเดินไปบนบันไดสามพันขั้นของตำหนักพยัคฆ์เขียว เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ไม่เจอใครเลยตลอดทาง
เงยหน้ามองไป เมฆหมอกบดบังสายตา มองไม่เห็นตำหนักพยัคฆ์เขียว
เผยเฉียนกระตุกชายแขนเสื้อของเฉินผิงอัน เอ่ยเบาๆ ว่า “ด้านบนมีคนยืนอยู่สองคน ดูเหมือนว่าจะรอพวกเราอยู่”
หัวใจของเฉินผิงอันดิ่งลงโดยพลัน
หรือว่าทางฝ่ายของราชวงศ์ต้าเฉวียนมีใครยังไม่ยอมวางมือ?
และเวลานี้เอง ดูเหมือนจะสัมผัสได้ว่าถูกคนสังเกตเห็น คนทั้งสองจึงเดินลงบันได เดินออกมาจากทะเลเมฆช้าๆ
คนหนึ่งคือคนหนุ่มที่เรือนกายสะโอดสะอง อีกคนหนึ่งคือเทพเซียนผู้เฒ่าที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเซียน เพียงแต่ว่าผู้เฒ่าเดินตามหลังคนหนุ่มมาก้าวหนึ่ง ไม่ได้เดินเคียงไหล่มา คล้ายเป็นผู้ติดตามเสียมากกว่า
ฝีเท้าของเฉินผิงอันยังคงไม่ช้าไม่เร็ว ทว่ามือในชายแขนเสื้อกลับคีบยันต์สยบกระบี่ที่เขียนด้วยกระดาษสีเขียวไว้ระหว่างสองนิ้วแล้ว
มองไปไกลๆ ฝีเท้าของคนทั้งสองที่อยู่ด้านบนดูเหมือนช้า ทว่าในความเป็นจริงกลับรวดเร็วมาก พริบตาเดียวก็มายืนอยู่บนบันไดห่างจากกลุ่มของเฉินผิงอันไปแค่เจ็ดแปดขั้น
เผยเฉียนรู้สึกว่าคนหนุ่มผู้นั้นหน้าคุ้นๆ จึงไปหลบอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน
พบหน้ากันเจียงซ่างเจินก็พูดเข้าประเด็นทันที “เฉินผิงอัน จากลากันที่พื้นที่มงคลดอกบัว ได้มาพบเจอกันอีกครั้ง ดูท่าพวกเราจะมีวาสนาต่อกันไม่น้อย”
เฉินผิงอันถาม “โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์? เจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยก?”
เจียงซ่างเจินยิ้มตาหยี “ใช่แล้ว”
ผู้ฝึกตนใหญ่ที่ยืนอยู่บนยอดเขาของใบถงทวีปผู้นี้หันหน้าไปยิ้มให้ลู่ยง “นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าสายตาดีมีแววที่แท้จริง”
ลู่ยงไร้คำพูดตอบโต้
เฉินผิงอันพูดด้วยรอยยิ้ม “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะพาตัวมาส่งถึงที่เร็วขนาดนี้”
เจียงซ่างเจินหุบยิ้ม พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เฉินผิงอัน บุญคุณความแค้นระหว่างเจ้ากับโจวซื่อและยาเอ๋อร์ ข้าไม่สนใจ ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ตอนที่ยืนอยู่บนหัวกำแพงเมืองของพื้นที่มงคลดอกบัว ข้าก็เคยคิดว่าหลังออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวแล้วจะไปหาเจ้า เชิญให้เจ้าไปเป็นผู้ถวายงานให้แก่สกุลเจียงข้า โชควาสนามากมายในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ขอแค่เจ้ามีความสามารถก็ช่วงชิงเอาไปได้เลย ข้าเจียงซ่างเจินเต็มใจจะให้เป็นเช่นนั้น เพียงว่าภายหลังเจ้าดึงดันจะสังหารลู่ฝ่างและโจวซื่อให้ได้ ข้าจึงเกิดจิตสังหารขึ้นมาจริงๆ คิดว่าหากกลับไปถึงใบถงทวีปแล้วจะทำอะไรบางอย่าง เพียงแต่ว่าพอขอให้ผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางช่วยเหลือ ไม่ว่าอย่างไรก็ยังหาตัวเจ้าไม่เจอ ภายหลังก็มีเรื่องให้ต้องทำอีก เรื่องนี้จึงถูกถ่วงเอาไว้”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “นี่เจ้าก็หาข้าเจอแล้วไม่ใช่หรือ?”
ในใจเจียงซ่างเจินตกตะลึงไปเล็กน้อย
เพิ่งจะออกจากพื้นที่มงคลดอกบัวมาได้ไม่นานเท่าไหร่ เหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่าได้เจอกับเฉินผิงอันสองคนที่ต่างกัน
ไม่ได้อยู่ที่ด้านการฝึกตน แต่อยู่ที่สภาพจิตใจ
อย่าดูแคลนผู้ฝึกยุทธ์อันดับหนึ่งที่เดินขึ้นยอดเขาของพื้นที่มงคลดอกบัว
ขอบเขตวิถีวรยุทธ์ไม่สูงก็จริง แต่นั่นเป็นเพราะถูก ‘มหามรรคา’ ของนักพรตบางคนกดทับไว้บนไหล่
ทุกอย่างที่ติงอิงทำลงไปก็เป็นแค่การ ‘ปัดภาระ’ ในอีกความหมายหนึ่งเท่านั้น
‘โจวเฝย’ และลู่ฝ่างก็เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ปณิธานไม่ได้อยู่ที่การขัดเกลาวิถีวรยุทธ์ แต่อยู่ที่การฝ่าด่านจิตมาร คือเหตุผลของคนคนหนึ่ง แต่อันที่จริงแล้วเหตุใดจะไม่ใช่ ‘ความทุกข์เพราะไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา’
ส่วนคนทั้งสี่ที่อยู่ด้านหลังเฉินผิงอันก็น่าจะเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่เล่าลือกันของพื้นที่มงคล สตรีสะพายกระบี่น่าจะเป็นสุยโย่วเปียนเซียนกระบี่หญิงที่ลู่ฝ่างมักจะพูดถึงเป็นประจำ อีกสามคนที่เหลือ เขาก็พอจะคาดเดาตัวตนได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าใครเป็นใคร บุรุษร่างสูงใหญ่ที่พกดาบก็คือจูเหลี่ยนคนคลั่งวรยุทธ์ที่ตอนหนุ่มหล่อเหลาเกินผู้ใดจะเปรียบเทียบในตำนาน? บุรุษร่างเล็กเตี้ยแต่กำยำคือหลูป๋ายเซี่ยงบรรพบุรุษผู้บุกเบิกลัทธิมาร? ผู้เฒ่าหลังค่อมที่ยิ้มตาหยีนั่นคือเว่ยเซี่ยนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยน?
เฉินผิงอันได้เป็นเจ้านายของคนทั้งสี่นี้ เจียงซ่างเจินตกตะลึงและอิจฉาเล็กน้อย แต่ไม่ถึงขั้นริษยาอาฆาต
ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวต้องการเวลาในการสร้างขอบเขตให้มั่นคงมากที่สุด เท้าเหยียบลงบนพื้นดิน น้ำหยดทะลุหิน ไม่พิถีพิถันในเรื่องพรสวรรค์และโชควาสนาอย่างผู้ฝึกลมปราณ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น