กระบี่จงมา 357.1-358.2
บทที่ 357.1 ช่วงชิงมรรคาห่างกันเพียงเ...
ฝนตกถี่กระชั้นเหมือนเสียงรัวกลองในสนามรบ การเข่นฆ่าบนภูเขาดำเนินไปอย่างดุเดือด
โดยเฉพาะเมื่อหลังจากตายไป สตรีบังคับกระบี่ผู้นั้นยังปรากฏตัวอย่างฉับพลันแล้วเดินออกมาจากวัดร้างอย่างปลอดภัยไม่เป็นอะไรสักอย่าง
นี่ทำให้วิญญูชนหวังฉีและปีศาจน้ำแห่งลำคลองหมายเหอที่อยู่บนยอดเขาหันมามองหน้ากันเอง นี่คือวิชาอภินิหารแห่งตระกูลเซียนวิชาใด? หรือว่าโฉมสะคราญที่มีวิชากระบี่เลิศล้ำคือยันต์หุ่นเชิดของสำนักนอกรีตลัทธิเต๋า? หรือว่าเป็นวิชากลไกของสำนักโม่ที่ไม่มีใครรู้จัก? ทว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ยันต์และวิชากลไกสูงส่งได้ถึงขั้นนี้แล้ว?
ตรงพื้นที่ว่างในป่าที่ถูกปราณกระบี่พังให้ราบเป็นหน้ากลองครั้งแล้วครั้งเล่า แม่ทัพบู๊สวี่ชิงโจวชำเลืองมองไปยังเซียนซือสวีถงแห่งอารามฉ่าวมู่ เมื่อครู่นี้หากไม่เป็นเพราะสวีถงเตือนให้เขาระวังตัว เขาก็เกือบจะยื่นมือไปคว้ากระบี่ชือซินสมบัติอาคมชิ้นนั้นมาแล้ว แต่สวีถงกลับบอกให้เขารีบหลบ หัวใจของสวี่ชิงโจวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ละทิ้งสมบัติอาคมที่แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาอย่างเด็ดเดี่ยว นั่นถึงทำให้เขาหลบเวทกระบี่จากสตรีที่ตายแล้วฟื้นคนนั้นมาได้ ไม่อย่างนั้นอย่างน้อยเขาก็ต้องทิ้งแขนข้างหนึ่งไว้ที่นี่
อารมณ์ของสวีถงหนักอึ้ง “สตรีผู้นี้ต้องไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวธรรมดาอย่างแน่นอน”
สวี่ชิงโจวเพ่งตามองไป นอกจากกระบี่ยาวบนพื้นที่ถูกบังคับกลับไปและปราณกระบี่ที่พุ่งแสกหน้ามาถึงในเสี้ยววินาทีแล้ว ร่างของหญิงสาวที่หัวและร่างขาดออกจากกันบนพื้นก็หายไปด้วย
บนต้นไม้ต้นหนึ่งที่ห่างไปไกล สุยโย่วเปียนที่ไร้ซึ่งความเสียหายใดๆ ยืนอยู่บนกิ่งไม้ ในมือถือชือซินเอาไว้
สุยโย่วเปียนมองไกลๆ มายังสวี่ชิงโจวที่สวมเสื้อเกราะจินอูของสำนักการหทาร และเซียนซือสวีถงที่คีบยันต์สีทองไว้แผ่นหนึ่ง ปณิธานการต่อสู้ของนางพลันท่วมทะยาน นางมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า ขอแค่ได้เข้าร่วมศึกแห่งความเป็นความตายที่เผาผลาญปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์จนหมดสิ้น การฝ่าทะลุขอบเขตก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม!
จิตใจของสวี่ชิงโจวส่ายไหวไปครู่หนึ่ง หลังจากที่สตรีผู้นี้ ‘ตายไปหนึ่งครั้ง’ ตบะและพลังอำนาจของนางกลับเพิ่มขึ้นพรวดพราดอย่างชัดเจนถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าคว้าจับโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขตท่ามกลางศึกใหญ่เอาไว้ได้ จึงตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะใช้เขากับสวีถงเป็นหินลับมีดบนวิถีวรยุทธ์ หากปล่อยให้นางเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดร่างทอง เกรงว่าดาบที่ชื่อว่า ‘ต้าเฉี่ยว’ ในมือของตนคงสูญเสียความหมายไปอย่างสิ้นเชิง
ขนาดสวี่ชิงโจวที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวซึ่งมีปณิธานแน่วแน่ ผ่านการเข่นฆ่าสังหารมายาวนานก็ยังเป็นเช่นนี้ สวีถงคือผู้ฝึกลมปราณ อารามฉ่าวมู่คือตระกูลเซียนใหญ่อันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียน อีกทั้งยังเป็นกิจการที่บุตรสืบทอดมาจากบิดาหลายรุ่นหลายสมัย บนเส้นทางของการฝึกตน สวีถงเดินผ่านมาอย่างราบรื่น เผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตหกขั้นสูงสุดคนหนึ่ง สวีถงไม่กลัวแม้แต่น้อย แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะฝ่าทะลุขอบเขตบนสนามรบ อีกทั้งศัตรูคนนี้ยังเหมือนคนที่ฆ่าไม่ตาย ถ้าอย่างนั้นขอแค่นางปล่อยกระบี่หนึ่งออกมาได้สำเร็จก็สามารถตัดหัวของตนได้ แล้วจะไม่ให้สวีถงอกสั่นขวัญผวาได้อย่างไร?
หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ อาวุธวิเศษและสมบัติอาคมมีนับพันนับหมื่นชิ้น ทว่าชีวิตของผู้ฝึกลมปราณมีเพียงแค่ชีวิตเดียว
สวี่ชิงโจวสัมผัสได้ถึงความขลาดกลัวของสวีถงแล้ว เขาทั้งไม่รู้สึกอับอายจนพานเป็นความโกรธ ทั้งไม่ได้ด่าเทพเซียนที่เสพสุขอยู่ในเมืองเซิ่นจิงมาร้อยปีผู้นี้ แล้วก็ไม่ได้ตระหนกลนตามอีกฝ่ายไปด้วย บุรุษที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลแม่ทัพอันดับต้นๆ ของต้าเฉวียนผู้นี้สงบสติอารมณ์แล้วกล่าวว่า “ลองฆ่านางดูอีกครั้ง หากนางยังมีชีวิตกลับมาอีกรอบ เจ้าและข้าสองคนค่อยหลบเลี่ยงประกายแหลมคมของนาง”
สวีถงจึงกัดฟัน ยันต์สีทองแผ่นนั้นที่อยู่ระหว่างนิ้วส่องประกายแสงแวววาว “ถ้าอย่างนั้นก็ลองฆ่านางอีกครั้งโดยไม่ต้องสนค่าตอบแทน!”
สุยโย่วเปียนกระตุกมุมปาก
นางมองสวี่ชิงโจวและสวีถงผู้นั้นเป็นเพียงแค่โครงกระดูกขาวสองร่างบนทางเดินขึ้นสวรรค์ใต้ฝ่าเท้าของตัวเองเท่านั้น
สนามรบอีกแห่งหนึ่ง หลูป๋ายเซี่ยงเองก็จำเป็นต้องผลัดเปลี่ยนลมปราณ แต่เป็นเพราะสุยโย่วเปียนช่วยดึงดูดสวี่ชิงโจวและสวีถงเอาไว้ ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์และผู้ฝึกลมปราณที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดอดกลั้นไม่ยอมลงมือมาตลอดเวลา จนกระทั่งเวลานี้ถึงได้ลงมือลอบโจมตีเขาหนึ่งครั้ง พลังการพิฆาตสังหารอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบการลงมืออย่างเต็มกำลังของสวี่ สวีสองคนได้ติด ดังนั้นจึงได้แค่กรีดชายโครงของหลูป๋ายเซี่ยงให้เป็นรอยเลือดเท่านั้น หลูป๋ายเซี่ยงใช้มือข้างหนึ่งอุดปากแผลเอาไว้ ตรงไหล่ยังปักคาด้วยธนูสีหมึกที่เต็มไปด้วยลวดลายของยันต์สีเขียวเข้มซึ่งทางราชสำนักจัดทำขึ้นเป็นพิเศษ หลูป๋ายเซี่ยงสะบัดหยดเลือดที่ติดปลายดาบทิ้ง ทว่ากลับไม่แม้แต่จะชายตามองลูกธนูดอกนั้น ยิ่งไม่ได้เสียเวลาใช้มือดึงมันออกมา
อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าในแต่ละยุคสมัยทั้งสี่ท่านของพื้นที่มงคลดอกบัว ก่อนจะเดินออกมาจากภาพวาด ต่างคนต่างได้รับคำพูดประโยคหนึ่ง เพียงแต่ว่าต่างคนต่างไม่รู้เรื่องก็เท่านั้น เฉินผิงอันที่เป็นนายของคนทั้งสี่ก็ยิ่งถูกปิดหูปิดตา
เว่ยเซี่ยนเป็นคนแรกสุดที่เดินออกมาจากม้วนภาพวาด ทว่าคำพูดประโยคนั้นที่เขาพูดตอนอยู่หน้าวัดร้างกับเอ่ยได้สายยิ่ง
ตอนนั้นหลูป๋ายเซี่ยงเชื่อว่าเว่ยเซี่ยนไม่มีทางหลอกคนอื่นในเรื่องแบบนี้ ยิ่งเชื่อว่าไม่ใช่เฉินผิงอันที่เป็นคนบงการเว่ยเซี่ยนอย่างลับๆ เพราะคิดอยากจะให้พวกเขาทั้งสี่คนทุ่มเทชีวิตสู้รบจนถึงที่สุด
เพียงแต่ว่าตอนนี้หลูป๋ายเซี่ยงยังไม่อยากตาย
จูเหลี่ยนยังไม่ตายเลย ลมปราณแห่งพลังชีวิตของผู้เฒ่าหลังค่อมที่อยู่หน้าวัดร้างดุจมังกรดุจพยัคฆ์ถึงเพียงนั้น สมกับเป็นคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ที่ยิ่งบาดเจ็บพลังการสังหารก็ยิ่งแข็งแกร่งจริงๆ
แม้หลูป๋ายเซี่ยงจะไม่เคยได้ยินชื่อเหรียญทองแดงแก่นทองอะไรมาก่อน รู้เพียงว่าเงินเทพเซียนของใต้หล้าแห่งนี้มีเงินเกล็ดหิมะ เงินร้อนน้อยและเงินฝนธัญพืชสามชนิดเท่านั้น แต่หลูป๋ายเซี่ยงรู้สึกว่าชีวิตนี้ของตน ถึงอย่างไรก็สามารถทัดเทียมกับ ‘เหรียญทองแดงแก่นทอง’ เหรียญหนึ่งได้
ถึงอย่างไรอีกไม่นานก็จะทลายทหารชุดเกราะหนึ่งพันนายได้แล้ว ในเมื่อใกล้จะทำตามสัญญาได้สำเร็จก็ไม่ต้องร้อนใจอีก แล้วนับประสาอะไรกับที่แผนการล้อมฆ่าของฝ่ายตรงข้ามในครั้งนี้ คิดจะรวบแหดึงปลาใหญ่อย่างเขาขึ้นมาก็ยังเร็วเกินไปนัก
เกี่ยวกับเรื่องฝ่าขอบเขต หลูป๋ายเซี่ยงอาจเป็นคนที่มีความคิดเฉยชาที่สุดในบรรดาคนทั้งสี่
ส่วนสุยโย่วเปียนก็ต้องไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือคนที่มีจิตใจรุ่มร้อนที่สุด เพราะนางทะเยอทะยานมากที่สุด ต้องการทำตามปณิธานที่ในปีนั้นไม่อาจทำสำเร็จได้ในพื้นที่มงคลดอกบัว นั่นคือการขี่กระบี่บินทะยาน
ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์และสดใหม่เฮือกที่สองประหนึ่งแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลบ่าอยู่ในร่างกายของหลูป๋ายเซี่ยง แม้ว่าจะเป็นเทียบกับสภาพพรั่งพร้อมสูงสุดก่อนหน้านี้ไม่ได้ แต่ก็มากพอจะรับมือกับการเข่นฆ่าอีกหนึ่งก้านธูป
ตรงตีนเขาของภูเขาอันเป็นที่ตั้งวัดร้างมีทหารชายแดนของต้าเฉวียนขึ้นเขาไปสังหารเหล่ายักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารในตำนานอีกครั้ง
เกาซื่อเจินถูกสายฝนชะร่างจนใบหน้าซีดขาว ในที่สุดก็ทนฟังคำเกลี้ยกล่อมจากพ่อบ้านวัยชราคนหนึ่งของจวนกั๋วกงไม่ไหว ปล่อยให้ฝ่ายหลังกางร่มไว้เหนือศีรษะของเขา
เมื่อครู่นี้เกาซื่อเจินเพิ่งผ่านความรู้สึกที่ทั้งตะลึงทั้งดีใจไป ตอนแรกมีสายลับบนภูเขาส่งข่าวมายังตีนเขาบอกว่า สตรีที่สะพายกระบี่ถูกแม่ทัพสวี่และสวีเซียนซือร่วมมือกันสังหาร ศีรษะถูกสวี่ชิงโจวตัดขาดร่วงลงพื้น แล้วก็ถูกเจ้าอารามฉ่าวมู่ทำลายจิตวิญญาณให้แหลกสลาย ตายจนตายกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าผ่านไปครู่เดียวก็มีทหารหน่วยสอดแนมลงจากเขามารายงานอีกว่า สตรีสะพายกระบี่ผู้นั้นมีชีวิตกลับคืนมาอีกครั้ง เปิดฉากสังหารกับสวี่ชิงโจวและสวีถงครั้งใหญ่ คราวนี้สตรีสะพายกระบี่จ้องแต่จะไล่ฆ่าคนทั้งสอง ไม่สนใจเล่นงานทหารชุดเกราะอีก
เซินกั๋วกงแห่งต้าเฉวียนที่ลงเดิมพันก้อนใหญ่พลันหันหน้าไปมองจุดที่ห่างจากข้างกายไปไม่ไกล ยังพอจะมองเห็นเหล่าทหารเสื้อเกราะที่เดินขึ้นเขาท่ามกลางม่านฝนไปเงียบๆ ได้อย่างเลือนราง บางคนก็มีใบหน้าของเด็กหนุ่ม อายุพอๆ กับเกาซู่อี้บุตรชายของเขา บางคนก็เป็นทหารแก่ที่ผ่านศึกมานับร้อยครั้งจนไม่ใช่หนุ่มอีกแล้ว เหมือนกับเขาเกาซื่อเจิน
ผ่านไปประมาณสองเค่อ เกาซื่อเจินที่อารมณ์หนักอึ้งก็ได้รับข่าวร้ายอีกหนึ่งข่าว
สตรีสะพายกระบี่ผู้นั้นทนรับดาบหนึ่งที่สวี่ชิงโจวผ่ามากลางหลัง รวมไปถึงถูกยันต์หุ่นเชิดเกราะทองตนหนึ่งต่อยเข้าที่ศีรษะ ส่งกระบี่แทงทะลุหัวใจของสวีถงได้สำเร็จ สวีเซียนซือที่เดิมทีไม่ควรต้องตายคาที่ใช้ทุกวิธีการทั้งหมดที่มี ไม่ว่าจะกินยาวิเศษลงไปมากน้อยเท่าไหร่ ร่ายใช้วิชาเซียนที่สามารถต่อชีวิตไปมากแค่ไหนก็ยังคงตายอยู่ดี หัวใจทั้งดวงแห้งเหี่ยวกลายเป็นผุยผง หลังจากที่สตรีสะพายกระบี่ตายไป ศพของนางก็หายไปอีกครั้ง ตอนที่เดินออกมาจากวัดร้างแห่งนั้นเป็นครั้งที่สองก็ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเจ็ดร่างทองบนวิถีวรยุทธ์แล้ว แม่ทัพสวี่ได้ถอยร่นหนีออกจากภูเขาไปโดยพลการแล้ว องค์ชายใหญ่ต้าเฉวียนพิโรธหนัก ป่าวประกาศว่าจะต้องลงทัณฑ์ตระกูลสวี่ที่อยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งให้จงได้
เกาซื่อเจินไม่เอ่ยอะไรสักคำเดียว
มีเพียงฝนเม็ดใหญ่หนาวเย็นเสียดขั้วกระดูกที่เทลงมาจากม่านราตรีเท่านั้นที่เป็นดั่งเสียงพึมพำของเทวดาในยามนอนหลับฝัน
พ่อบ้านวัยชราที่อุทิศตนรับใช้จวนกั๋วกงมาหลายชั่วอายุคนเอ่ยปลอบใจเสียงเบา “ท่านกั๋วกง ขอแค่ท่านหวังไม่ลงมือด้วยตัวเองก็หมายความว่ายังไม่ถึงช่วงเวลาที่จะตัดสินศึกได้ ไม่จำเป็นต้องมองโลกในแง่ร้ายเกินไปนัก”
เกาซื่อเจินสีหน้าไร้อารมณ์
บนภูเขา แม้ว่าบาดแผลจะมีทั่วกายหลูป๋ายเซี่ยง แต่นอกจากบาดแผลตรงช่วงเอวและตรงช่วงไหล่ที่ถูกธนูซึ่งทางราชสำนักทำขึ้นเป็นพิเศษแทงทะลุแล้ว กลับไม่ส่งผลกระทบต่อพลังการต่อสู้ของเขาเท่าใดนัก ยังคงสามารถต้านทานการโจมตีที่เป็นดั่งน้ำขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่าได้
พวกปลาที่หลุดรอดออกจากแห เว่ยเซี่ยนที่หนึ่งคนเป็นหน้าด่านอยู่หน้าประตูวัดเก็บกวาดได้ไม่ลำบากแม้แต่น้อย
เสื้อเกราะน้ำค้างหวานซีเยว่ตัวนั้นไม่เสียแรงที่เป็นเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารที่สวี่ชิงโจวตาแดงด้วยความอยากได้มานาน ต้องรู้ว่าเสื้อเกราะที่สวี่ชิงโจวสวมใส่อยู่นั้นคือเสื้อเกราะจินอูที่เป็นอันดับสองในบรรดาสามอันดับของเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหาร ระดับขั้นเหนือกว่าเสื้อเกราะน้ำค้างหวานไปหนึ่งขั้นใหญ่
บวกกับที่ตัวเว่ยเซี่ยนเองมีชาติกำเนิดมาจากกองทัพ ฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนที่มีจุดเริ่มต้นมาจากชนชั้นล่างในหมู่ชาวบ้านผู้นี้ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้ามาเกินครึ่งชีวิต ได้รับคำสรรเสริญว่าหมื่นศัตรูมิอาจต่อกรอยู่ในประวัติศาสตร์ของสี่แคว้นในพื้นที่มงคลดอกบัว คำเรียกขานว่า ‘แม่ทัพผู้กล้าแห่งการทะลวงขบวนทัพในสนามรบ’ ที่ถูกกล่าวขานกันในภายหลัง แม้จะมีหน้ามีตาแค่ไหน แต่มากสุดก็เป็นได้แค่ ‘เว่ยเซี่ยนคนที่สอง’ เท่านั้น ดังนั้นเว่ยเซี่ยนจึงปรับตัวเข้ากับการเข่นฆ่าท่ามกลางขบวนทัพที่วุ่นวายได้ดีกว่าหลูป๋ายเซี่ยง เมื่ออยู่ในสนามรบที่กองทัพใหญ่ตั้งขบวนรบ เว่ยเซี่ยนจึงมีข้อได้เปรียบที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่งประหนึ่งอริยะที่เฝ้าพิทักษ์สำนักศึกษา
นี่เป็นพรสวรรค์ที่ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกขั้นสูงสุดทุกคนจะได้ครอบครอง ต่อให้เป็นปรมาจารย์ขอบเขตแปดเดินทางไกลหรือขอบเขตเก้ายอดเขาก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะมีพรสวรรค์นี้ได้
จูเหลี่ยนลงมืออย่างไม่ออมแรง จึงเป็นเหตุให้อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสมาก
ในขณะที่เว่ยเซี่ยนคิดจะแลกเปลี่ยนตำแหน่งกับจูเหลี่ยนนั้น จูเหลี่ยนกลับปฏิเสธความหวังดีจากเว่ยเซี่ยน หากคนบ้าวรยุทธ์ตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อับจนหนทาง นิสัยดุร้ายกระหายเลือดของเขาก็มากพอจะทำให้คนตกใจกลัวได้เลย
เว่ยเซี่ยนยังคงยืนกรานว่าจะเปลี่ยนตำแหน่งกับจูเหลี่ยน เป็นเพราะเขาอยากจะแสดงละครฉาก ‘เด็ดหัวแม่ทัพท่ามกลางทหารนับหมื่น’ นี่เป็นเรื่องที่เขาถนัดมากที่สุด แม้จะบอกว่าอาจต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นชีวิตครึ่งหนึ่งของเขาถึงจะโชคดีสังหารหลิวจงองค์ชายใหญ่อะไรนั่นได้ แต่ขนาดสุยโย่วเปียนยังตายไปตั้งสองครั้ง เว่ยเซี่ยนรู้สึกว่าหากตนตายไปและฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้งแล้วสามารถแลกมาได้ด้วยการต่อสู้อย่างสาแก่ใจที่ปล่อยพลังได้อย่างเต็มที่ นั่นถือว่าไม่ขาดทุนแล้ว อีกอย่างตอนอยู่โรงเตี๊ยมเขาป้องกันหน้าประตู ตอนนี้ที่อยู่หน้าประตูวัดบนภูเขาแห่งนี้ก็ทำเหมือนกัน แบบนี้จะไม่เท่ากับว่าตนกลายเป็นหมาเฝ้าบ้านไปแล้วหรอกหรือ?
จูเหลี่ยนปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้อาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งของผู้ฝึกลมปราณกระเด็นออกไป แล้วถือโอกาสนี้ถอยร่น เรือนกายที่แก่ชราถอยกรูดไปข้างหลังตลอดทาง สองหมัดของจูเหลี่ยนเห็นกระดูกขาวโผล่ออกมาแล้ว
ก่อนที่จูเหลี่ยนจะบุกขึ้นหน้าไปเปิดฉากสังหารซ้ำอีกครั้ง เขาแสยะปากพูดกับเว่ยเซี่ยนที่อยู่ด้านหลังเบาๆ ว่า “ขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดีสักประโยค ตายไปแล้วสามารถฟื้นคืนชีพกลับมาได้ เงินที่จ่ายไปเป็นเงินของเฉินผิงอัน จะเสียดายหรือไม่ก็อยู่ที่อารมณ์ของพวกเราสี่คนเอง แต่ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าตายง่ายๆ ดีกว่า ตอนนี้ข้าก็ยังบอกเหตุผลไม่ได้ นี่เป็นเพียงแค่ลางสังหรณ์ เชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า หากเจ้ารู้สึกว่าไม่เป็นไร เจ้าก็อ้อมผ่านพวกแมลงวันน่ารำคาญที่พอจะเป็นคาถาอาคมบ้างนิดหน่อยเหล่านี้ไปสังหารองค์ชายหลิวจงผู้นั้นซะ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า”
ดูเหมือนเว่ยเซี่ยนจะไม่อยากรับน้ำใจ เขาเอ่ยถามว่า “ช่วยข้าสกัดกั้นไม่ให้พวกทหารเข้าไปในวัดสักครู่ได้หรือไม่?”
ทว่าจูเหลี่ยนกลับกระทืบเท้าแรงๆ หนึ่งครั้ง ร่างเหมือนสายฟ้าพุ่งทะยานที่พลิกเปลี่ยนเส้นทางอยู่หลายครั้ง เขากลับไปโรมรันอยู่กับพวกผู้ฝึกตนติดตามกองทัพและนักรบเสื้อเกราะที่คอยวางแผนรับมืออยู่ด้านข้างอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าเขาจูเหลี่ยนไม่ยอมรับปากว่าจะช่วย
หมัดหนึ่งของเว่ยเซี่ยนต่อยเข้าที่ทหารชายแดนต้าเฉวียนคนหนึ่งที่ถือดาบฟันเข้ามายังหน้ากากของเขา ต่อยจนเสื้อเกราะตรงหน้าอกของคนผู้นั้นยุบยวบลงไป ร่างกระเด็นไปโดนสหายคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง ศพของเขากระแทกให้ทหารที่อยู่ด้านหลังเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด ล้มแล้วลุกไม่ขึ้นอีก
เว่ยเซี่ยนหาเวลาว่างหันไปมองเฉินผิงอัน “จับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน ให้ข้าไปลองดูไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้าตอบรับ
เว่ยเซี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนจะพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เพียงแค่อ้อมผ่านสนามรบที่จูเหลี่ยนอยู่ไปเล็กน้อยเท่านั้น
จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “ไม่ฟังคำพูดของคนแก่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน หาได้ยากนักที่ข้าจะมีจิตใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์เช่นนี้ แต่กลับถูกคนอื่นมองเป็นลมที่พัดผ่านหูไป โลกใบนี้นี่นะ”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น จ้องตรงไปยังยอดเขาแห่งนั้น
ในวัดร้าง เผยเฉียนหยิบกล่องเก็บสมบัติใบนั้นออกมาอีกครั้งเพื่อโอ้อวดทรัพย์สมบัติของตัวเองให้คนจิ๋วดอกบัวดู
สำหรับคนจิ๋วดอกบัวที่ซื่อบื้อตนนี้ นางไม่มีใจระแวดระวังอย่างที่ไม่ค่อยเป็นบ่อยนัก นอกจากเฉินผิงอันแล้ว มันก็คือคนที่เผยเฉียนไว้วางใจที่สุดบนโลกใบนี้
เพียงแต่ว่าคนจิ๋วดอกบัวจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มักจะเขย่งเท้ามองเฉินผิงอันที่อยู่นอกประตูอยู่เป็นระยะ
เผยเฉียนสั่งสอนด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “ทำไม ไม่เชื่อใจพ่อข้างั้นรึ? เจ้าแขนขาดไปข้างหนึ่งแล้วยังจะตาบอดอีกหรือไง? พ่อข้าคือใคร? จะแพ้รึ? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ต่อให้วันใดข้าเผยเฉียนกลายเป็นคนโง่ที่ไม่ชอบเงินแล้ว พ่อข้าก็ไม่มีทางพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใด!”
สีหน้าของคนจิ๋วดอกบัวมึนงง สองอย่างนี้เกี่ยวอะไรกันด้วย? มันไม่เคยเข้าใจเลยว่าเด็กหญิงผิวดำเกรียมนิสัยชั่วร้ายผู้นี้คิดอะไรอยู่กันแน่
เสียงของเฉินผิงอันดังเข้ามาในวัดร้าง “ใช้กิ่งไม้คัดตัวอักษร”
เผยเฉียนที่นั่งยองอยู่บนพื้นเหมือนโดนฟ้าผ่า แอบตบศีรษะของคนจิ๋วดอกบัวไปทีหนึ่ง แต่ไม่กล้าลงแรงมากนัก กลัวว่าจากห้าร้อยตัวจะเปลี่ยนเป็นหนึ่งพันตัว หลังจากลุกขึ้นยืนแล้วก็หยิบไม้เท้าเดินป่าขึ้นมาเขียนตัวอักษรในบทความอริยะปราชญ์ลงไป ทุกครั้งที่นางเขียนตัวอักษรเสร็จหนึ่งตัว เจ้าตัวน้อยจะผลุบหายเข้าไปในดิน จากนั้นก็จะโผล่หัวออกมาข้างตัวอักษรตัวนั้นแล้วหัวเราะคิกคัก เผยเฉียนตวัดค้อนใส่หลายรอบ ในใจคิดว่าเหตุใดใต้หล้าถึงมีเจ้าตัวน้อยที่น่าเบื่อขนาดนี้ คงไม่ใช่ภูตปัญญาอ่อนหรอกกระมัง? เฮ้อ คราวหน้าเห็นทีต้องพูดกับเฉินผิงอันสักหน่อยแล้วว่าให้ขายมันแลกเป็นเงิน จะได้เอามาซื้อตำราเล่มใหม่ให้นาง
บนยอดเขา ปีศาจวารีลำคลองหมายเหอถูฝ่ามือเข้าหากัน คันไม้คันมือเต็มที “ให้ข้าลงไปฝึกปรือฝีมือดีไหม?”
หวังฉีใคร่ครวญเพราะยังตัดสินใจไม่ได้
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำมองม่านฝนแวบหนึ่ง “ผ่านไปอีกหนึ่งเค่อ ฝนก็จะซาลงแล้ว ถึงเวลานั้นต่อให้เจ้าขอร้องข้า ข้ายังคร้านจะลงมือ เจ้าอย่าลืมว่าครั้งนี้ข้าปรากฏตัวที่นี่ ไม่ได้มีความจำเป็นต้องช่วยเจ้าฆ่าคนเลยสักนิด แค่มาช่วยนายท่านของข้าจับตามองสถานการณ์ทางฝั่งนี้ก็พอแล้ว ถึงเวลานั้นก็แค่ต้องปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกไปจากศพของเฉินผิงอัน แค่นี้ก็สามารถปัดก้นเดินจากไปได้แล้ว”
แน่นอนว่าอันที่จริงเขายังจำเป็นต้องช่วยนายท่านตามหาสมบัติชิ้นที่สามารถอำพรางเจตนารมณ์สวรรค์ได้ด้วย
ส่วนจะหาอย่างไร
ย่อมต้องมีความลี้ลับใหญ่ซ่อนอยู่
บทที่ 357.2 ช่วงชิงมรรคาห่างกันเพียงเ...
ความลับเรื่องนี้ วิญญูชนสำนักศึกษาตัวเล็กๆ ที่ทำผิดต่อลัทธิขงจื๊อย่อมไม่มีคุณสมบัติที่จะรู้ได้
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำย้ายสายตาไปมองหลูป๋ายเซี่ยงที่ถือดาบแคบอยู่ไกลๆ
หลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง หวังฉีก็พยักหน้ารับ “ลงมือนั้นได้ แต่ห้ามเผยร่างจริง ไม่อย่างนั้นหลังจบเรื่องข้าก็ไม่อาจมีคำอธิบายให้กับสำนักศึกษาต้าฝู เจ้าขุนเขาท่านนั้นหลอกไม่ง่ายหรอกนะ”
ชายฉกรรจ์พูดเย้ยหยัน “เรื่องนี้ยังไม่ง่ายอีกหรือ ก็แค่บอกว่าปีศาจวารีลำคลองหมายเหออย่างข้าได้รับการชี้ทางสว่างจากเจ้า จึงละทิ้งความช่วยร้ายหันเข้าหาความดีงาม คิดจะขอศาลเทพวารีแห่งหนึ่งมาจากเจ้าและราชสำนักต้าเฉวียน ดังนั้นจึงยินดีลงมือช่วยเหลือ อาศัยการสร้างคุณความชอบมาแลกเปลี่ยนสถานะตัวตนที่ถูกต้องเหมาะสม จะยังไม่มีคำอธิบายได้อย่างไร?”
หวังฉียิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ข้ออ้างที่มองดูเหมือนสมเหตุสมผลนี้ บางทีฮ่องเต้หลิวเจินอาจจะเชื่อ แต่เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาย่อมไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน เอาล่ะ ทำตามที่ข้าพูดเถอะ อย่าใช้ร่างจริงของเผ่าปีศาจไปต่อสู้กับเฉินผิงอันเด็ดขาด ขอแค่เจ้าบีบให้เฉินผิงอันเผยพิรุธเสี้ยวหนึ่งได้…”
คำพูดของหวังฉีพลันหยุดชะงัก ทว่าปณิธานการเข่นฆ่าสังหารกลับเปี่ยมล้น “ข้าก็จะทำให้ทั้งร่างและจิตของเขาต้องดับสลายอยู่ที่นี่!”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเบ้ปาก “เอาเถอะ หวังว่าเจ้าจะทำได้อย่างที่พูด สังหารเฉินผิงอันที่กำลังรอให้พวกเราสองคนเอาตัวไปส่งถึงที่ได้ในการโจมตีเดียว อย่าเก่งแต่ปากก็แล้วกัน…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ชายฉกรรจ์ก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เกือบลืมไป ความสามารถในการลับฝีปากของบัณฑิตอย่างพวกเจ้าร้ายกาจที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้ของพวกเรา เสียมารยาทแล้วๆ”
หวังฉีไม่ถือสาปีศาจป่าเถื่อนตนนี้
ปีศาจวารีลำคลองหมายเหอไม่สนใจสักนิดว่าจะทำให้คนตรงวัดร้างสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวหรือไม่ เขาเดินก้าวยาวๆ ออกไป ทุกก้าวที่เหยียบลงพื้นล้วนทำให้ภูเขาสั่นสะเทือน พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปจากหน้าผาบนยอดเขา วาดเส้นโค้งอยู่กลางอากาศ สุดท้ายกระแทกตูมลงบนพื้น เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
หวังฉีถอนหายใจเบาๆ ใบหน้ามีความกลัดกลุ้ม
ผู้ที่สร้างโอสถทองสำเร็จคือคนรุ่นเดียวกับข้า
เพียงแต่ว่าคนแก่ไข่มุกเหลือง พืชหญ้ามีเขียวชอุ่มมีแห้งเหี่ยว โอสถทองหนึ่งเม็ดที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากก็ถึงเวลาที่ต้องหม่นหมองแล้ว
เขาหวังฉีมีความรู้อยู่เต็มกาย ยังไม่ทันได้ทำความมุ่งมาดปรารถนาให้เป็นจริง จะตายได้อย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกลมปราณโอสถทองยังรู้ถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตได้ดีกว่ามนุษย์ธรรมดาที่มึนๆ งงๆ มากนัก
การที่ต้องนับวันรอความตายเป็นเรื่องที่ทรมานสิ้นดี
มาแล้ว
ด้านล่างยอดเขาสูงตระหง่านลูกนั้น ปีศาจลำคลองร่างกำยำสร้างความเคลื่อนไหวดังขนาดนั้น เขาเฉินผิงอันไม่ใช่คนหูหนวก ย่อมได้ยินชัดเจนอยู่แล้ว
มือซ้ายถือกิ่งไม้ที่หยิบจากพื้นขึ้นมาส่งๆ มือขวาตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ชูอีและสืออู่พุ่งออกไป จากนั้นก็หายวับไปไม่เหลือเงา
มือขวาที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อคีบยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจกระดาษสีทองที่จงขุยใช้เหล็กหมาดหิมะเขียนด้วยมือของตัวเองเอาไว้
กระดาษแผ่นนี้ล้ำค่ามาก ตอนนั้นที่จวนปี้โหยวถูกสร้างขึ้น เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอก็เพิ่งจะได้พระราชทานมาจากราชสำนักต้าเฉวียนแผ่นเดียว คือกระดาษลมฟ้าลายพื้นภาพกรงเล็บมังกร หนึ่งในกระดาษยันต์สีทองสามแผ่นที่จงขุยมอบให้กับเฉินผิงอัน
แม้ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันยังไม่รู้ตัวตนของผู้ที่จะมาหาเรื่องเขาก็ตาม
ทว่าเรื่องราวบนโลกก็บังเอิญเช่นนี้ ยันต์สยบปีศาจแผ่นหนึ่งที่เขียนขึ้นในจวนปี้โหยวได้เอามาใช้สยบสังหารปีศาจวารีลำคลองหมายเหอพอดี วิถีสวรรค์ช่างยุติธรรม ทำชั่วกรรมย่อมตามสนอง!
ส่วนชูอีกับสืออู่ หลังจากเฉินผิงอันเรียกยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจออกมาแล้ว เขาก็ส่งกระบี่ออกไปยังผู้มาเยือน เพื่อสกัดกั้นการช่วยเหลือจากหวังฉีวิญญูชนที่อยู่บนยอดเขา
หวังฉีวิญญูชนที่ยืนอยู่บนภูเขาปลงอนิจจังอยู่ในใจ หนึ่งความคิดบังเกิด แยกมารและเทพออกจากกันอย่างแท้จริง
หวังว่าการล้อมฆ่าครั้งนี้จะราบรื่น หลังจากนี้เมื่อได้คาถาเซียนที่ชี้ตรงไปยังมหามรรคาบทนั้นมาแล้ว เขาจะไม่สนใจบุญคุณความแค้นในโลกมนุษย์อีก จะตั้งใจฝึกตน สักวันหนึ่งจะต้องได้เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา ถึงเวลานั้นค่อยชดเชยให้กับโชคชะตาภูเขาและแม่น้ำของราชวงศ์ต้าเฉวียนก็แล้วกัน
……
นักพรตหนุ่มที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวไม่ได้ทะยานลมเดินทางไกล แต่กลับย่อพื้นที่ให้หดสั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่นานก็ออกจากชายแดนราชวงศ์ต้าเฉวียนมายังทิศใต้ของแคว้นเป่ยฉี จากนั้นก็ลงใต้ไปตลอดทาง เลือกเข้าไปในทะเลสาบกลางป่าเขาที่ค่อนข้างสงบและห่างไกลจากผู้คนแห่งหนึ่ง สุดท้ายมาหยุดอยู่ตรงยอดเขาแห่งหนึ่งอย่างเงียบเชียบแล้วหายตัวไป
ใต้พื้นดินมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นเส้นทางโบราณที่ถูกกลบฝังไว้ นักพรตหนุ่มเดินอยู่ในเส้นทางที่ยาวไกลนับพันลี้ เส้นทางโบราณที่เลื้อยลดคดเคี้ยวใต้ดินแห่งนี้มีทางแยกออกไปอีกเยอะมาก แต่เขาไม่ได้เลือกทิศทางใด ไร้ซึ่งความลังเล
ตลอดทางพบเจอภาพเหตุการณ์ประหลาดที่บ้างก็น่าสะพรึงกลัว บ้างก็งดงาม แต่กลับไม่อาจทำให้นักพรตหนุ่มหยุดเดินได้
สุดท้ายเขามาถึงหน้า ‘ประตูภูเขา’ แห่งหนึ่งที่เหลือเพียงซากปรักหักพัง กรอบป้ายด้านบนเอียงกะเท่เร่ แตกบิ่นไปเกือบครึ่ง เหลือเพียงแค่สามอักษรว่า ‘ตำหนักตู๋เปี๋ย’
เมื่อเขาเดินเข้าไปในประตูบานนั้น ปราณกระบี่เล็กบางขุมหนึ่งก็พลันมารวมตัวกันแล้วพลันสลายหายไป
ทุกพื้นที่มีแต่ผนังแตกหักผุพัง นักพรตหนุ่มก้าวเดินไปอย่างเนิบช้า
ป้อมอินทรีบิน จวนปี้โหยว เมืองหูเอ๋อร์
นอกจากโรงเตี๊ยมที่จิ่วเหนียงอยู่แล้ว อีกสองสถานที่ล้วนไม่ใช่สถานที่สำคัญอะไร หากจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ป้อมอินทรีบินเคยเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุด ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงหมอกควันที่สลายไปสิ้น ทำให้เขาไม่อยากจะคิดถึงสักเท่าไหร่
การเดินทางไปทั่วใบถงทวีปหลังจากนั้น แต่ละที่ที่ผ่านเขาไม่เคยตั้งใจปักกิ่งหลิ่ว แต่สุดท้ายต้นหลิ่วจะเติบโตหรือไม่ (มาจากสำนวนไม่ได้ตั้งใจปักกิ่งหลิ่ว แต่ต้นหลิ่วกลับเติบโตเป็นพุ่มดกครึ้ม เปรียบเปรยว่าเรื่องที่ไม่ได้คาดหวัง ไม่ได้ตั้งใจดันเกิดขึ้น แต่สิ่งที่คาดหวังกลับไม่เกิด) นักพรตหนุ่มไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
แผนการที่เขาวางไว้ในใบถงทวีปครั้งนี้ ปีศาจใหญ่สองตัวที่อยู่ในสำนักฝูจีและภูเขาไท่ผิงถึงจะเป็นกุญแจสำคัญ
แต่เมื่อเขาค้นพบว่าดันมีคนผู้หนึ่งที่เขาไม่รู้ประวัติความเป็นมา มาโผล่อยู่บน ‘มหามรรคา’ ที่เขาเคยเดินผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า
ครั้งหนึ่งคือความบังเอิญ สองครั้งก็ยังเป็นความบังเอิญ แล้วถ้าสามครั้งล่ะ?
ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง หากไม่ทันระวัง สุดท้ายร่างจริงที่ทิ้งไว้ในบ้านเกิดซึ่งใช้เทือกเขาเป็นหมอนหนุนจะได้รับความเสียหายทางจิตวิญญาณมากเกินไป เป็นเหตุให้ไม่อาจฟื้นตื่นขึ้นมาได้ในระยะเวลาหลายร้อยปี ถึงเวลานั้นก็ไม่เท่ากับว่าพลาดโอกาสบุกเบิกที่ดินผลักดันให้กิจการใหญ่เจริญรุ่งเรืองซึ่งหมื่นปีก็ไม่เคยเกิดขึ้นสักครั้งหรอกหรือ? แล้วจะยังช่วงชิงพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์จนเหนือจินตนาการแห่งแล้วแห่งเล่ามาให้ลูกหลานในตระกูลได้อย่างไร?
เขาบอกเตือนตัวเองอยู่ในใจเช่นนี้ไม่หยุด
ปลายทางของเส้นทางตำหนักที่ถูกทิ้งร้างแห่งนี้คือซากแท่นพันธนาการมังกรที่มองดูเหมือนจะเก่าแก่มากแห่งหนึ่ง ด้านบนมีวานรขาวที่เสื้อผ้าขาดวิ่น ทั่วร่างเต็มไปด้วยคราบเลือดนั่งขัดสมาธิอยู่ ปราณดุร้ายอำมหิตทั่วร่างที่มิอาจอำพรางได้ไหลทะลักไปเป็นจำนวนมหาศาล เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ปราณกระบี่ดุดันเป็นเส้นๆ เหมือนจับต้องได้จริงเหล่านั้นลอยออกไปจากแท่นหินใหญ่ยักษ์ จะต้องถูกสายฟ้าสีขาวหิมะที่ผุดลอยขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจโจมตีจนไม่เหลือร่องรอย
ก็คือวานรขาวสะพายกระบี่ของภูเขาไท่ผิงที่หนีตายมาถึงที่นี่ เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม่อาจใช้คำว่า ‘สะพายกระบี่’ ได้อีกแล้ว
วานรเฒ่าถามเสียงแหบแห้ง “เหตุใดถึงมาหาข้าที่นี่? ไม่กลัวว่าพวกเราสองคนจะต้องมาตายอยู่ที่นี่งั้นหรือ?”
นักพรตหนุ่มเดินมาถึงแถบริมขอบของแท่นพันธนาการมังกร ไม่ได้เดินขึ้นบันไดไป เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วางใจเถอะ ที่บ้านเกิดมีตาแก่คนหนึ่งที่เคยทำนายเรื่องนี้มานานแล้ว เจ้าเป็นคนโชคดี ไม่มีทางตายหรอก”
วานรเฒ่าชำเลืองตามองเจ้าคนที่สวมชุดนักพรตเต๋า สวมกวานดอกบัวผู้นี้ ยิ่งมองเขาก็ยิ่งกดดันจริงๆ
ปีนั้นตอนอยู่บนภูเขาไท่ผิง ไม่รู้ว่าคนผู้นี้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าอย่างไร เขาใช้ร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่สูญเสียความทรงจำ จากนั้นถูกนักพรตโอสถทองคนหนึ่งของภูเขาไท่ผิงพาขึ้นไปบนภูเขา แล้วเขาก็สามารถปิดแผ่นฟ้าข้ามมหาสมุทรได้จริง จนกระทั่งเข้าไปในศาลบรรพจารย์ ได้รับป้ายหยกผู้สืบทอดมาชิ้นหนึ่ง เขาก็คือผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่มีความหวังว่าจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ สามารถทำลายสถานการณ์กระอักกระอ่วนที่ทรัพยากรขาดแคลนกลางคันของภูเขาไท่ผิงได้มากที่สุดก่อนหน้านักพรตหญิงหวงถิง จึงถูกฝากความหวังไว้มาก
ความเร็วในการเลื่อนขั้นเป็นโอสถทองและฝ่าคอขวดก่อกำเนิดอย่างราบรื่นของคนผู้นี้ แม้แต่ศาลบรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิงก็ยังตกตะลึง ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อหาอาวุธสำคัญชิ้นหนึ่งที่สามารถอำพรางเจตนารมณ์สวรรค์มาให้เขาโดยไม่รู้สึกเสียดาย นั่นก็เพื่อป้องกันไม่ให้สำนักฝูจีและสำนักกุยหยกเกิดจิตคิดร้าย
หลังจากเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดตั้งแต่อายุยังน้อย เขาที่ตลอดเส้นทางของการฝึกตนทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดที่มีในการกำจัดปีศาจปราบมารจนมีชื่อเสียงที่ดีงาม มีวันหนึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะรู้สึกว่าโอกาสเหมาะสม หรือจู่ๆ สติปัญญาถูกเปิดกว้างขึ้นมา จึงไปหาวานรขาวในบ่ออเวจี แสดงตัวตนแท้จริงที่น่าตะลึงพรึงเพริดออกมา ออกคำสั่งให้วานรขาวสะพายกระบี่ที่มีหน้าที่พิทักษ์ขุนเขาปล่อยปีศาจใหญ่ชั้นล่างสุดตัวหนึ่งออกไป หลังผ่านศึกหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็บาดเจ็บ จิตวิญญาณต้นกำเนิดได้รับความเสียหาย เซียนดินหนุ่มที่อายุไม่ถึงร้อยปีกลับตกอยู่ในสภาพที่เป็นดั่งเปลวเทียนในสายลม พลังชีวิตแห้งขอด ร่างกายเสื่อมโทรม สภาพน่าเวทนายิ่งกว่าก่อกำเนิดเฒ่าที่อายุสูงเป็นพันปีเสียอีก หลังจากนั้นมาก่อกำเนิดหนุ่มก็อาศัยเหตุผลที่ว่า ‘สวรรค์ไม่ไร้ทางให้คนเดิน’ ลงจากเขาไปหาประสบการณ์ สุดท้ายเปิดฉากเข่นฆ่ากับผู้ฝึกตนโอสถทองของสำนักฝูจีอย่างดุเดือด ฝ่ายหลังสูญเสียโอกาสที่จะได้เกิดใหม่ เรียกให้ร่างจำแลงของปีศาจบรรพกาลตนหนึ่งเยื้องกรายลงมาเยือนโลกมนุษย์ ส่วนก่อกำเนิดหนุ่ม สุดท้ายก็ไม่เหลือแม้แต่ซากกระดูก
ป้ายหยกศาลบรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิงแผ่นนั้นก็หายไป อาวุธสำคัญที่ช่วยอำพรางเจตนารมณ์สวรรค์ก็ถูกทำลายลงไปด้วย
นักพรตหนุ่มที่ในอดีตคือผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดของภูเขาไท่ผิงนั่งอยู่บนขั้นบันได หันหลังให้วานรขาว พูดพลางยิ้มบางๆ “จงขุย หวงถิงล้วนต้องตายทั้งหมด โดยเฉพาะจงขุย หากเขาไม่ตาย ทุกอย่างก็จะไม่เรียบง่ายเพียงแค่ว่าในอนาคตลัทธิขงจื๊อจะมีผู้อำนวยการใหญ่เพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งเท่านั้น หลังจากศึกใหญ่ผ่านไป สิ่งมีชีวิตจะมอดม้วย แน่นอนว่าถึงช่วงเวลาที่ภูตผีจะออกมาเดินในใต้หล้า ที่บ้านเกิดของพวกเรามีตาแก่คนหนึ่งที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้พอดี หากลัทธิขงจื๊อมีจงขุย ถึงเวลานั้นฝ่ายของพวกเรา คนที่ต้องตายอาจมีเจ้าเพิ่มมาหนึ่งคน”
เขาชูแขนขึ้นสูง ยื่นนิ้วออกมาสามนิ้ว เพิ่มน้ำหนักเสียง “อย่างน้อยที่สุด!”
จากนั้นนักพรตหนุ่มก็ชูนิ้วที่เหลือสองนิ้วซึ่งแต่เดิมงออยู่ขึ้นมา “อันที่จริงมากขนาดนี้ เมื่อครู่นี้แค่กลัวว่าจะทำให้เจ้าตกใจ”
วานรขาวพ่นลมหายใจออกทางจมูก มันย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว
ตนห้าคน นั่นก็เท่ากับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสองห้าคนแล้ว!
จงขุยที่ตายเพราะถูกมันโจมตีด้วยสามกระบวนท่ามีความสามารถนี้หรือ?
นักพรตหนุ่มใช้สองมือตบหัวเข่าเบาๆ “ตอนนี้เจ้าหลบซ่อนตัวเหมือนหนู จะดีจะชั่วก็ยังพอมีความหวัง ทว่าเจ้าคนที่อยู่สำนักฝูจีทำให้แผนการของข้าล้มเหลว สมควรแล้วที่ต้องถูกไล่ฆ่าไปถึงมหาสมุทร มันโชคไม่ดีเหมือนเจ้า ต่อให้ลงมหาสมุทรไปได้ก็ยังยากจะหนีพ้นความตาย ตอนนี้ก็ต้องดูที่ว่าเจ้าสองคนที่ตามไปอย่างเนิบนาบนั้น ใครกันจะเป็นคนอุดรูโหว่รูใหญ่นี้ได้ แต่ว่าตบะขอบเขตสิบสอง หากเป็นการโจมตีก่อนตายก็ไม่แน่ว่าอาจจะลากใครตายไปพร้อมกันด้วยได้ หลังจากข้ากลับไปถึงบ้านเกิดแล้วก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับลูกหลานของเขาให้มากความอีก”
วานรขาวขมวดคิ้วกล่าว “อริยะลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าบัญชาการณ์ม่านฟ้าของใบถงทวีป แม้แต่ข้าก็ยังหาไม่เจอ คิดจะหาตัวเจ้าจะไม่ยากยิ่งกว่าหรอกหรือ เหตุใดเจ้าต้องรีบร้อนจากมาด้วย?”
หนึ่งในอริยะของเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาที่มีรูปปั้นตั้งวางในศาลบุ๋นผู้นั้น ต่อให้มีหน้าที่คอยจับตามองความเคลื่อนไหวของใบถงทวีป แต่ในสายตาของเขาก็เห็นเป็นแค่แสงดาวดารดาษในโลกมนุษย์เท่านั้น ซึ่งนั่นล้วนเป็นภาพสะท้อนของผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลาง ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์และฮ่องเต้ อัครเสนาบดี แม่ทัพ ทว่าศึกที่ภูเขาไท่ผิง ถึงอย่างไรอริยะก็เห็นเป็นแค่ดวงไฟสองดวงที่ค่อนข้างใหญ่ระเบิดแตก จากนั้นถึงได้ใช้วิชาอภินิหารหลุบมองมาทางภูเขาไท่ผิง
เทพมองภูเขาและแม่น้ำผ่านฝ่ามือ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวพันถึงแคว้นกับแคว้น ทวีปกับทวีปซึ่งต้องมีปราการธรรมชาติที่มองไม่เห็นมากมายกางกั้น
บนยอดเขาสุ้ยซาน ซิ่วไฉเฒ่าชื่นชอบลูกศิษย์คนสุดท้ายของตัวเองมากขนาดนั้น แต่ก็ยังได้แค่ทำมุทราอนุมานเท่านั้น
เว้นเสียจากว่ามีวัตถุที่ถูกหล่อหลอมอยู่ติดกายคนที่ต้องการจับตามองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะจะง่ายกว่าเดิมเยอะมาก
ทว่าคนผู้นั้นกลับมีวัตถุที่ช่วยอำพรางความลับ นั่นก็ยิ่งทำให้ยากเหมือนเดินขึ้นสวรรค์ไปอีก
นักพรตหนุ่มใช้สองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอยแล้วเอนตัวนอนไปด้านหลัง หลังพิงขั้นบันได “เพื่อไม่ให้ภูเขาไท่ผิงค้นมาเจอกวานดอกบัวศาลบรรพจารย์ที่อยู่บนศีรษะข้านี้ ข้าจึงเป็นฝ่ายทำลายรูปลักษณ์ของมันด้วยตัวเอง เดิมทีประคองตัวไปอีกห้าหกสิบปีก็ยังได้ ทว่าตอนนี้อริยะลัทธิขงจื๊อที่อยู่แค่บนท้องฟ้ามาปีแล้วปีเล่าลงมาเยือนโลกมนุษย์ล่วงหน้า จึงบอกได้ยากแล้ว อริยะที่มีรูปปั้นที่ในศาลบุ๋นท่านนั้น หากคิดจะหาต้องหาตัวข้าเจอแน่นอน ปีศาจใหญ่สามตนในใบถงทวีป เมืองหูเอ๋อร์ สำนักฝูจี วานรขาวสะพายกระบี่แห่งภูเขาไท่ผิงอย่างเจ้า เบื้องหลังยังต้องมีผู้บงการอีกคนหนึ่งแน่ๆ ก่อนที่เขาจะเจอข้า ข้ายังจำเป็นต้องทำอะไรบางอย่างอีกสักเล็กน้อย ในเมื่อแผนการล้มเหลวแล้ว ต่างไปจากตอนแรกที่คาดการณ์ไว้ไม่น้อย แต่จะดีจะชั่วก็ต้องทำให้พวกเขาสะอิดสะเอียนสักหน่อย ยกตัวอย่างเช่นสังหารเฉินผิงอัน แล้วค่อยสังหารพวกหวงถิง ไม่ต้องรีบร้อน คอยดูสถานการณ์ไปก่อนเถอะ”
วานรขาวเงียบงัน
แผนการชั่วร้ายเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่มันถนัดเลยจริงๆ
นักพรตหนุ่มยิ้มบาง “ถูกหาตัวเจอ ข้าถึงจะรักษาโอกาสชนะไว้ได้เสี้ยวหนึ่ง แน่นอนว่าจะให้พวกเขาหาพบง่ายเกินไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นลัทธิขงจื๊อต้องสงสัยเป็นแน่ ต้องให้อริยะลัทธิขงจื๊อท่านนั้นหาอย่างยากลำบากสักหน่อยถึงจะเป็นแผนการที่ไร้ช่องโหว่ ให้พวกเขาค่อยๆ สาวเส้นไหม การตายของคนหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันหรือการตายของหวงถิงในภายหลังก็คือจุดเริ่มต้นของเส้นใยในการสืบเบาะแส ไม่อย่างนั้นหากเผ่นกลับไปบ้านเกิดก็เท่ากับข้าแพ้หมดกระดาน พอกลับไปถึงที่นั่นต้องลำบากแน่ ไม่แน่ว่าอาจถูกขับไล่ให้ไปอยู่ในเทือกเขาแถบนั้น ใช้ชีวิตไปตามยถากรรม จากนั้นก็ต้องทำงานรับใช้เจ้าคนตาบอดผู้นั้น พอคิดถึงเรื่องนี้ข้าก็เริ่มกลุ้มแล้ว”
วานรขาวนึกถึงเรื่องเล่าลือโบร่ำโบราณนั้นของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็รู้สึกขนลุกพรั่นพรึงอยู่เหมือนกัน
นักพรตหนุ่มจุ๊ปากพูด “เริ่มคิดถึงกลิ่นอายของบ้านเกิดขึ้นมาบ้างแล้ว อยู่ที่นี่ทำอะไรได้ไม่เต็มที่เลย ทั้งต้องป้องกันอริยะลัทธิขงจื๊อที่คอยตรวจตราอยู่เหนือหัว ยังต้องคอยกริ่งเกรงเจ้าอารามกวานเต๋าที่ลึกลับคนนั้นอีก ยากลำบากซะจริง หากไม่มีฝ่ายหลัง แผนการของข้าในใบถงทวีปคงสบายกว่าเดิมเยอะมาก ไม่จำเป็นต้องจงใจอ้อมผ่านเขา ต่อให้หวงถิงโชคดีแค่ไหน แต่เมื่อมีข้าเป็นบทเรียนให้เห็นก่อนหน้าแล้ว นางจึงถูกบุรพาจารย์ที่นิสัยฉุนเฉียวขี้หงุดหงิดท่านนั้นจับโยนเข้าไปพิศมรรคา หากเป็นไปได้ก็อยากพบเจ้าจมูกโคหน้าเหม็นผู้นั้นจริงๆ …”
คำพูดของเขาพลันหยุดลงกลางคัน
ทางฝ่ายของวัดร้าง เผยเฉียนพลันยกสองมือขึ้นอุดตา กลิ้งตัวไถลเถลือกไปบนพื้น ระหว่างร่องนิ้วของนางคล้ายมีแสงอาทิตย์แสงจันทร์สาดยิงออกมา
ครู่หนึ่งต่อมาบริเวณใกล้เคียงกับแท่นพันธนาการมังกรของตำหนักใต้ดินก็มีนักพรตเฒ่าร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเผยกาย เขาแค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “อ้อ?”
……
เหนือมหาสมุทรตะวันตกของใบถงทวีป
ปีศาจใหญ่ที่ร่างจริงสูงพันจั้งตนหนึ่งเผ่นหนีไปอย่างบ้าคลั่งทำให้เกิดคลื่นลูกยักษ์โถมตัว
ด้านหลังมีเงาร่างของคนมากมายทะยานลมไล่ตามมาติดๆ
บนทะเลมีผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่กำลังหงุดหงิดสุดขีด
เขาไม่ยินดีจะเป็นผู้ปกป้องมรรคาผายลมสุนัขอะไรนั่น ทว่าส่วนลึกในใจกลับเป็นกังวลว่าสถานการณ์วุ่นวายในใบถงทวีปจะเดือนร้อนไปถึงคนหนุ่มที่เสี่ยวฉีฝากความหวังทั้งหมดไว้ให้
เขาไม่อยากเผยตัวบนโลกจริงๆ จึงมาขี่กระบี่ผ่อนคลายอารมณ์อยู่บนทะเล
เตร่ไปซ้ายทีไปขวาทีอย่างตัดสินใจไม่ได้
แล้วก็พอดีกับที่ว่า ผู้ฝึกกระบี่ชื่อว่าจั่วโย่ว (จั่วโย่วแปลว่าซ้ายขวา ตรงกับความหมายซ้ายขวาของประโยคด้านบนพอดี)
เห็นปีศาจใหญ่ที่ได้รับบาดเจ็บซึ่งคอยเปลี่ยนทิศทางหลบหนีตนนั้น
เขาที่กำลังอารมณ์เสียสุดๆ จึงส่งกระบี่ออกไปหนึ่งที
หนึ่งกระบี่สังหารปีศาจตายคาที่
บทที่ 358.1 ฝนหยุด
หลังจากที่ได้รับการพยักหน้ายืนยันจากเฉินผิงอัน เว่ยเซี่ยนที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานซีเยว่ก็สกัดกั้นยับยั้งผู้ฝึกตนติดตามกองทัพจำนวนเกินครึ่งเอาไว้ พยายามจะหาโอกาสสังหารหลิวจงองค์ชายใหญ่เพื่อช่วงชิงชัยชนะ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเองก็ไม่เป็นไร
ทางฝั่งของสุยโย่วเปียน หลังจากที่สังหารเซียนซือสวีถงแห่งอารามฉ่าวมู่ไปแล้ว ต่อให้สวี่ชิงโจวจะรู้ดีว่าหลิวจงต้องพาลโกรธไปถึงตระกูลของตน แต่เขาก็ยังออกไปจากภูเขาลูกนี้โดยพลการอย่างเด็ดเดี่ยว เขาย้อนกลับไปที่เมืองเซิ่นจิ่ง ปรึกษาแผนการกับท่านปู่ที่ปัจจุบันรับหน้าที่เป็นแม่ทัพใหญ่พิทักษ์ชายแดนตะวันตก ในฐานะตระกูลขุนพลที่อยู่อันดับต้นๆ ของราชวงศ์ต้าเฉวียน อีกทั้งยังตั้งรกรากอยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งมานานหลายชั่วคน สกุลสวี่หวาดกลัวองค์ชายใหญ่หลิวจงก็จริง แต่กลับไม่คิดจะนั่งงอมืองอเท้ารอความตาย
ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในเวลานี้ยังคงเป็นฮ่องเต้หลิวเจิน มิใช่หลิวจง หากฉีกหน้าแตกหักกับหลิวจงขึ้นมาจริงๆ อย่างมากสกุลสวี่ก็แค่ตัดสินใจไปเข้าฝ่ายองค์ชายรอง เปลี่ยนมาสนับสนุนมังกรตัวใหม่แทน
สนามรบที่หลูป๋ายเสี่ยงอยู่ สถานการณ์การสู้รบยังคงคุมเชิงกัน ทหารเดนตายห้าพันนายของกองทัพชายแดนต้าเฉวียนกลุ่มนี้ไม่เสียแรงที่เป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของหลิวจงโดยตรง พวกเขาต่างก็รู้ถึงความร้ายแรงของกฎกองทัพดี ต่อให้อกสั่นขวัญแขวนกับการเข่นฆ่าที่เกิดขึ้น ต้องเห็นสหายร่วมรบคนแล้วคนเล่าตายไปใต้ดาบของคนผู้นั้นกับตาตัวเอง แต่พวกเขาก็ยังคงกระโจนเข้าประหัตประหารอย่างบ้าคลั่งเหมือนไม่รู้จักเสียดายชีวิต ปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกตนติดตามกองทัพถึงกับทนดูไม่ได้ เพราะภาพนี้น่าสังเวชชวนให้หดหู่ใจยิ่งนัก แม่ทัพนายกองบางคนที่ใจเด็ดเดี่ยวปานหินผาก็ยิ่งหลั่งน้ำตาอาบหน้าไปพร้อมกับสายฝน ถึงกระนั้นก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าใครก็ตามที่ขี้ขลาดกล้าถอยร่นย่อมต้องถูกประหาร!
บทกวีของเซียนที่ออกท่องเที่ยวมีกลิ่นอายของเซียนล้อมเวียนวน บางทีกลอนที่เขียนออกมาอาจมีท่วงทำนองของเทพเซียนที่อยู่บนภูเขา
แต่กลับไม่มีบทกลอนแห่งชายแดนบทใดที่สามารถเขียนบรรยายภาพความนองเลือดและโหดเหี้ยมของสนามรบออกมาได้อย่างแท้จริง
หลังจากปีศาจลำคลองหมายเหอพลิ้วกายจากภูเขาลูกอื่นลงบนพื้นแล้วก็ก้าวยาวๆ ห้อดิ่งเข้ามาเป็นเส้นตรง หากมีต้นไม้กีดขวางทางไปก็จะใช้มือข้างหนึ่งตบทิ้ง
เฉินผิงอันเห็นพลังอำนาจของผู้ที่มาเยือนแล้ว ในใจก็ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด
เขาเอายันต์แผ่นหนึ่งที่คีบไว้ระหว่างสองนิ้วของมือขวาซึ่งซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อเปลี่ยนไปเป็นยันต์สามแผ่นที่ทบซ้อนไว้ด้วยกัน
ตอนนั้นที่อยู่ในจวนปี้โหยว เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการยืมเหล็กหมาดหิมะด้ามนั้น จงขุยเขียนยันต์ให้เฉินผิงอันทั้งหมดสามแผ่น กระดาษสามแผ่นในนั้นเป็นของเขาเอง เขียนเป็นยันต์ทหารตรีปฏิภาณที่สามารถรวมกันเป็นค่ายกล ยันต์นี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ยันต์ม้าเหล็กล้อมนคร’ ก่อนจะวาดยันต์จงขุยใช้ปราณแห่งความเที่ยงธรรมหนึ่งเฮือกในการเขียน ใต้พู่กันมีทหารบู๊ร้อยกว่านายที่สวมเสื้อเกราะสีเงิน ขี่ม้าสีขาว ทหารทัพม้ากลุ่มใหญ่ที่มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารเหล่านั้นพุ่งออกมาจากบนกระดาษยันต์ สุดท้ายจัดเรียงเป็นขบวนรบ เมื่อดึงบังเหียนม้าให้หยุดก็กลายมาเป็นภาพของยันต์ที่ถูกตวัดลงไปขีดแล้วขีดเล่า
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ควักถุงตรงเอวขึ้นมา หยิบกระดาษสีทองสองแผ่นและกระดาษยันต์สีเขียวที่เป็นกระดาษฉบับร่างลายมือของอริยะออกมาหนึ่งแผ่น จงขุยทำตามข้อเรียกร้องของเฉินผิงอันอย่างยากลำบากโดยการวาดยันต์วิชาหลักห้าอสนีของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ ยันต์ทำลายอาคมที่ไม่ว่าจะขึ้นเขาลงน้ำก็สามารถป้องกันไม่ให้ถูกผีพรางตาได้ รวมไปถึงยันต์สยบกระบี่แผ่นสุดท้ายที่พลานุภาพเหนือกว่ายันต์อักษรบ่อไปมาก ซึ่งจงขุยขนานนามมันว่า ‘สะบัดชายแขนเสื้อกระบี่ผงาด มหาสมุทรเก้าทวีปเดือดพล่าน’
ปีศาจลำคลองหมายเหอที่ไม่กล้าเปิดเผยร่างจริงกระโจนเข้ามาใกล้ ห่างไปไม่ถึงร้อยก้าวแล้ว
เฉินผิงอันเดินออกไปจากใต้ชายคาช้าๆ เดินไปทางฝั่งขวามือ เพียงไม่นานทั้งสองฝ่ายก็อยู่ห่างกันแค่ห้าสิบก้าวเท่านั้น
เฉินผิงอันสะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง ยันต์ทั้งสามแผ่นถูกลมปราณที่แท้จริงจุดไฟเผา พุ่งพรวดออกไปจากชายแขนเสื้อ ในใจเขาพูดตามไปด้วยว่า “ตั้งขบวนรบเบื้องหน้า!”
ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แต่ไม่หยุดฝีเท้า ดีดตัวกระโดดผลุงขึ้นโฉบเข้าสังหารคนหนุ่มที่ถือกิ่งไม้แห้ง “ผู้ฝึกยุทธ์คิดใช้ยันต์ ไม่กลัวจะทำให้นายท่านใหญ่อย่างข้าหัวเราะจนฟันร่วงหรือไร?”
เพียงแต่ว่าไม่นานปีศาจลำคลองหมายเหอตนนี้ก็หัวเราะไม่ออก
หลังจากที่ยันต์สีทองทั้งสามแผ่นที่ตัวของกระดาษยันต์เผาไหม้หมดแล้ว ชายฉกรรจ์ที่ร่างยังค้างอยู่กลางอากาศค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า ยันต์สามแผ่นที่เหลือเพียงภาพมายาเริ่มหมุนคว้างวนรอบกายเขาอย่างรวดเร็ว ลมปราณของชายฉกรรจ์ร่วงดิ่งลงไปที่จุดตันเถียน เป็นเหตุให้ร่างที่อยู่กลางอากาศดิ่งลงเหมือนมีน้ำหนักพันชั่ง ในขณะที่กำลังจะกระแทกลงพื้นอย่างเร่งร้อน ยันต์ทั้งสามแผ่นต่างก็มีทหารขี่ม้าขาวสวมเสื้อเกราะแวววาวถือทวนบุกออกมาสังหาร
ชายฉกรรจ์ตวาดกร้าว “ไปตายซะ!”
บิดร่างหมุนตัวหนึ่งรอบ ปล่อยสามหมัดต่อยทหารม้าทั้งสามคนให้แหลกเละอย่างว่องไว
เพียงแต่ว่ากลับมีทหารขี่ม้าพุ่งออกมาจากยันต์อย่างต่อเนื่อง ไม่มากไม่น้อย หนึ่งครั้งสามคน เงียบเชียบไม่อึกทึก
ชายฉกรรจ์เหมือนถูกกักอยู่กลางวงล้อมของข้าศึกบนสนามรบ แต่เขาก็ยังไม่หวั่นเกรง ออกหมัดรวดเร็วราวกับสายรุ้ง สังหารทหารที่ควบม้าบุกตะลุยออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ทุกครั้งที่ชายฉกรรจ์เปลี่ยนสนามรบ ยันต์ทหารตรีปฏิภาณสามแผ่นก็จะล่องลอยติดตามไปด้วย ยังคงรักษาระยะห่างเท่าเดิมไว้ตลอดเวลา
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเข่นฆ่าอย่างสนุกสนาน แสดงความอำมหิตออกมาอย่างเต็มที่ รู้สึกเพียงว่าสาแก่ใจ ได้แสดงฝีไม้ลายมืออย่างเต็มคราบ
ยันต์ทหารม้าเหล็กล้อมนครสามแผ่นคิดจะกักตัวและเผาผลาญพลังของปีศาจลำคลองตนหนึ่งที่เกือบจะสร้างโอสถทองได้สำเร็จไม่ใช่เรื่องยาก ถึงขั้นที่ว่าคิดจะบีบให้มันเผยร่างจริงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่หากคิดจะเผาผลาญพลังให้ปีศาจลำคลองหมายเหอตนนี้ตายทั้งเป็นกลับไม่มีทางเป็นไปได้
เฉินผิงอันย่อมรู้ข้อนี้ดี ไม่คาดหวังว่ายันต์สามแผ่นจะสังหารชายฉกรรจ์ผู้นี้ได้
หวังฉีวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาที่อยู่บนยอดเขากำลังรอให้เฉินผิงอันเผยช่องโหว่อย่างอดทน แล้วเฉินผิงอันหรือจะไม่มองหาโอกาสใช้ยันต์สยบสังหาร หรือไม่ก็ฆ่าชายฉกรรจ์ที่ติดอยู่ในวงล้อมด้วยกระบี่เดียว
ฝนเม็ดใหญ่ยังคงเทกระหน่ำ ไม่มีที่ท่าว่าจะกลายเป็นฝนเม็ดเล็ก
ทว่าปีศาจลำคลองหมายเหอที่ถูกยันต์ประหลาดสามแผ่นพัวพันโรมรันกลับเริ่มรำคาญใจขึ้นมาบ้างแล้ว เหตุใดทหารม้าที่มีปราณวิญญาณซุกซ่อนอยู่เพราะเป็นแก่นของยันต์ถึงได้ไม่หมดไม่สิ้นเสียที? นี่เป็นทหารม้าปราณวิญญาณตัวที่เท่าไหร่แล้วที่เขาต่อยให้แหลกสลายไป? หนึ่งร้อยห้าสิบ สองร้อย?
ยิ่งนานมันก็ยิ่งรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี คนหนุ่มที่ถือกิ่งไม้ยืนห่างออกไปสามสิบก้าวผู้นั้นต้องไม่ใช่แค่หวังดีรอให้ตนแหวกฝ่าค่ายกลของยันต์ไปได้เองแล้วค่อยมาต่อสู้กันอย่างปัญญาชนผายลมสุนัขอะไรแน่นอน!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิ่งไม้อันนั้นที่แค่หางตามันเหลือบไปเห็นก็ทำให้จิตใจมันไม่สงบ รู้สึกผิดปกติ ต้องมีอะไรแปลกๆ แน่นอน!
ไม่สนแล้ว
เจ้าหวังฉีทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง ให้ตายก็ไม่ยอมยื่นมือช่วยเหลือ ข้าผู้อาวุโสคร้านจะสนใจแล้วว่าเจ้าจะอธิบายให้สำนักต้าฝูฟังเช่นไร
ปีศาจลำคลองหมายเหอที่บนร่างมีบาดแผลเล็กๆ เต็มไปหมดเห็นว่าฝนห่าใหญ่กำลังลดระดับความแรงลง ถึงตอนนั้นเขาจะไม่เหลือข้อได้เปรียบจากสภาวะแวดล้อมนี้อีก พลานุภาพของร่างจริงที่เผยตอนนั้นย่อมลดลงตามไปด้วย
ดวงตาทั้งคู่ของปีศาจใหญ่พลันเปลี่ยนเป็นสีขาวหิมะ กล้ามเนื้อเป็นมัดเริ่มบิดเบี้ยวอย่างรวดเร็ว
หวังฉีที่อยู่บนยอดเขามองความคิดของปีศาจลำคลองหมายเหอออกจึงตวาดกร้าวอย่างขุ่นขึ้ง “ไม่ได้นะ!”
ปีศาจลำคลองหรือจะสนเรื่องพวกนี้ พื้นดินพลันสั่นสะเทือน ร่างจริงขนาดมหึมาเผยกายขึ้น ดวงตาทั้งคู่ใหญ่โตดุจโคมไฟ เรือนกายยาวร้อยจั้ง ศีรษะวางพาดไว้บนตำแหน่งเดิมที่ ‘ชายฉกรรจ์’ เคยยืนอยู่
ยันต์ม้าเหล็กล้อมนครที่ปราณวิญญาณยังไม่ถูกเผาผลาญหมดสิ้นจึงดึงระยะห่างตามไปด้วย
ยังคงมีม้าเหล็กบุกกระโจนเข้าใส่ปีศาจลำคลองหมายเหอตนนี้
ทหารชายแดนต้าเฉวียนบางส่วนที่หลบอยู่สองข้างฝั่งหวังฉวยโอกาสเหมาะโจมตีพวกเฉินผิงอันกลับถูกร่างปีศาจปลาไหลดีดให้กระเด็นออกไป ระหว่างที่ร่างปลิวลิ่วไปนั้น หลายคนมีเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด บ้างเจ็บ บ้างตาย
เม็ดฝนสาดพรมลงบนร่างของปีศาจลำคลอง หลังจากกลิ้งไหลลงมาบนภูเขาก็ไม่ได้ซึมหายเข้าไปใต้ดิน แต่รวมตัวกันเป็นธารน้ำเส้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว
เฉินผิงอันจำปีศาจตัวนี้ได้ มันก็คือปีศาจใหญ่ปลาไหลที่เคยเข่นฆ่าอยู่กับเจ้าแม่เทพวารีใต้ลำคลองหมายเหอ
ดูท่ายอดฝีมือบนยอดเขาที่อำพรางตนอยู่นั้นก็คือวิญญูชนหวังฉีอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
นิ้วทั้งสองข้างคีบยันต์ดั้งเดิมของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่จงขุยบอกว่าคือ ‘ห้ามังกรคาบไข่มุก’ หลังกรอกเทปราณวิญญาณที่แท้จริงเข้าไปแล้วก็โยนมันใส่ศีรษะของปีศาจลำคลองหมายเหอ
ทันใดนั้นเจียวหลง ‘ตัวบาง’ ยาวสิบจั้งกว่าห้าตัวก็มาขดตัวอยู่กลางอากาศ ปากพวกมันคาบไข่มุกสีขาวที่มีสายฟ้าล้อมวน
ตอนที่ปีศาจลำคลองหมายเหอนึกว่าถึงเวลาที่ตนจะร่ายวิชาอภินิหารบ้างแล้วนั้น คาดไม่ถึงว่าจะมีเจียวหลงที่ทั่วร่างซุกซ่อนพลานุภาพสวรรค์ห้าตัวปรากฎขึ้นเหนือศีรษะ ความคิดของมันชะงักค้างเล็กน้อย แต่แล้วก็แผดเสียงร้องคำรามสะเทือนฟ้าดิน เริ่มดิ้นรนอย่างรุนแรง คิดจะดิ้นให้หลุดพ้นจากวงล้อมของยันต์ม้าเหล็กล้อมนคร พยายามให้ตัวเองสัมผัสโดน ‘ไข่มุกสายฟ้า’ ให้ได้น้อยที่สุด
ทหารม้าเหล็กถือทวนทิ่มแทงร่างของปีศาจปลาไหลครั้งแล้วครั้งเล่า ปล่อยให้ปีศาจลำคลองหมายเหอทำลายร่างของตัวเองให้แหลกสลาย ทั้งเรือนกายและปราณวิญญาณหายกลับคืนสู่ฟ้าดินไปพร้อมกัน
เจียวหลงตัวหนึ่งอ้าปากกว้าง ไข่มุกสีขาวหิมะถูกสาดยิงไปฝังเข้าที่หัวของปีศาจลำคลองหมายเหอ
ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือน
แล้วก็มีไข่มุกอีกสองเม็ดที่แยกกันกระแทกลงบนตำแหน่งชีชุ่น (คือตำแหน่งที่ห่างจากหัวงูไปประมาณเจ็ดนิ้ว มาจากสำนวนว่าตีงูต้องตีจุดชีชุ่น หรือเปรียบเปรยถึงจุดอ่อน จุดตาย) และหางของปีศาจลำคลอง
ไม่เพียงแต่ร่างของมันที่ส่ายสะบัดอย่างรุนแรงด้วยความเจ็บปวด จิตวิญญาณและโอสถของของปีศาจลำคลองก็สั่นสะท้านไปพร้อมกันด้วย
ข้อดีอย่างเดียวที่มีก็คือแรงโจมตีมหาศาลที่มันปล่อยออกมา ในที่สุดก็ช่วยให้กวาดทำลายยันต์ทหารสามแผ่นระยำนั้นจนแหลกสลายได้สำเร็จ
รุ้งยาวสีเขียวเส้นหนึ่งพุ่งจากยอดเขาแห่งอื่นมาหยุดบนกิ่งไม้ของภูเขาลูกนี้ ใช้เสียงในใจขอร้องเฉินผิงอัน “เจ้าและข้าสองฝ่ายหยุดมือนับแต่บัดนี้ ข้าจะบอกให้หลิวจงพาทหารจากไปทันที ตกลงไหม?”
ตอนที่หวังฉีพูดประโยคนี้ออกมา เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ปีศาจลำคลองหมายเหอตนนั้นช่างเป็นสวะไร้ค่าที่ความสามารถจะทำงานให้สำเร็จนั้นมีไม่พอ แต่ความสามารถที่จะทำลายงานนั้นมีอยู่เหลือเฟือจริงๆ!
หลังจากที่เจียวหลงคาบไข่มุกตัวหนึ่งพ่นไข่มุกสายฟ้าออกมา ร่างของพวกมันก็จะสลายหายไปเอง
เฉินผิงอันไม่ได้มีความคิดจะหยุดมือเลยสักนิด
สุดท้ายเจียวหลงสองตัวก็พ่นไข่มุกวิเศษที่มีอาคมสายฟ้าดั้งเดิมที่สุดซึ่งเป็นผู้นำแห่งหมื่นคาถาในใต้หล้าออกมาอย่างไม่ลังเล
เจียวหลงห้าตัวหายไปแล้ว ทว่าไข่มุกห้าเม็ดนั้นกลับฝังเลื่อมอยู่ในร่างของปีศาจลำคลองหมายเหออย่างแน่นหนา ตั้งแต่หัวจรดเท้า พอเชื่อมโยงเป็นเส้นเดียวกัน ประกายแสงเจิดจ้าก็สาดส่อง สายฟ้าไหลเวียนวนไปตามร่างของปีศาจลำคลองอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกลายมาเป็นสายฟ้าใหญ่มหึมาแลบแปลบปลาบที่แทบจะหนาเท่าเรือนกายของปีศาจลำคลอง
ชูอีกับสืออู่ที่จิตเชื่อมโยงกับเฉินผิงอันเปลี่ยนแปลงแผนเดิมที่เคยมี ทะยานตัวออกไปเป็นลำแสงสองเส้นที่แยกกันพุ่งเข้าแทงดวงตาที่ใหญ่พอๆ กับโคมไฟของปีศาจลำคลองหมายเหอ
สุยโย่วเปียนบังคับกระบี่ชือซินที่ไม่รู้ว่าแทงทะลุหัวใจมาแล้วกี่ดวงเล่มนั้นให้แทงทะลุศีรษะของปีศาจลำคลองหมายเหออย่างแม่นยำ กระบี่ยาวตลอดทั้งเล่มปักจมหายเข้าไปในพื้นดินเบื้องล่างศีรษะ มากพอจะแสดงให้เห็นถึงระดับความคมของมัน
ส่วนหวังฉีและเฉินผิงอันต่างก็ลงมือแทบจะพร้อมกัน ต่างคนต่างมีจิตคิดสังหารอีกฝ่าย
เฉินผิงอันถือกิ่งไม้แทนกระบี่พุ่งทะยานออกไป
ส่วนฝนห่าใหญ่ที่ตกลงมาท่ามกลางฟ้าดินก็คล้ายจะถูกวิญญูชนหวังฉีควบคุมไว้ทั้งหมดในชั่วพริบตา แต่ละหยดเปลี่ยนแปลงทิศทางการโคจร เม็ดฝนนับพันนับหมื่นเม็ดสาดกระทบลงบนร่างของเฉินผิงอันทั้งหมด
หนึ่งกระบี่ผ่านไป
บนกิ่งไม้ไม่เหลือร่างของหวังฉีอยู่อีก เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดิมของวิญญูชนแห่งสำนักศึกษา สะบัดไหล่ ชุดคลุมอาคมจินหลี่กระเพื่อมเป็นริ้วคลื่น สะบัดให้เม็ดฝนที่ฝังลงไปในชุดอาคลุมอาคมดีดกระเด็น
วิญญูชนแห่งสำนักศึกษาผู้ยิ่งใหญ่อย่างหวังฉีกลับถอยร่นไม่ยอมต่อสู้
ปีศาจลำคลองหมายเหอที่ลมหายใจรวยรินไม่สามารถควบคุมเม็ดฝนที่รวมกันเป็นลำธารใต้ร่างไว้ได้อีกต่อไป น้ำเลือดและน้ำฝนแทรกซึมลงไปในพื้นดินพร้อมกัน
กิ่งไม้ในมือของเฉินผิงอันกลายเป็นผุยผง
เขาพุ่งวูบไปหาปีศาจลำคลองหมายเหอตนนั้น ยื่นมือคว้าออกไปจับกลางอากาศ กุมกระบี่ชือซินไว้ในมือแล้วฟันลงบนศีรษะของปีศาจลำคลองหมายเหอโดยตรง
ฝนใหญ่ค่อยๆ หยุดลง
เพียงไม่นานทหารบนภูเขาก็เริ่มถอยร่นลงไปด้านล่าง
เว่ยเซี่ยนยังคงไม่สามารถจับตัวองค์ชายใหญ่หลิวจงได้ ได้แค่สังหารผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่ต่อให้ตายก็สาบานว่าต้องปกป้องเขาให้ได้ ได้แต่ปล่อยให้หลิวจงลงไปที่ตีนเขา ส่วนตัวเขาเก็บเสื้อเกราะสำนักการทหารตัวนั้นไว้ในชายแขนเสื้อ
จูเหลี่ยนบาดเจ็บหนักที่สุด แต่กลับไม่ตายเลยสักครั้ง หลูป๋ายเซี่ยงเดินมาทางศพของปีศาจลำคลอง เพิ่งจะมีโอกาสดึงธนูที่ทำขึ้นเป็นพิเศษลูกนั้นออกจากไหล่ เขาไม่ได้โยนมันทิ้งไป แต่ถือไว้ในมือ ส่วนดาบแคบหิมะนั้นสอดกลับเข้าไปในฝักเรียบร้อยแล้ว
……
บนมหาสมุทรตะวันตกของใบถงทวีป ปีศาจใหญ่ที่ใช้ร่างจริงเผ่นหนีเอาชีวิตรอด อยู่ดีๆ กลับตายคาที่ด้วยกระบี่เดียวของคนผู้หนึ่ง หลังจากที่เส้นบางๆ เส้นหนึ่งตวัดผ่านไป ศีรษะที่ใหญ่โตดุจขุนเขาก็ร่วงหล่นลงในทะเล เรือนกายที่ยาวดุจเทือกเขากลับยังลอยเท้งเต้งอยู่บนมหาสมุทร
ผู้ฝึกตนใหญ่ของใบถงทวีปสามท่านที่ไล่ฆ่ามันมาจนถึงที่นี่มีความคิดต่างกันออกไป
ซ่งเหมาเจ้าสำนักภูเขาไท่ผิงคนปัจจุบันถือกระบี่ยาวอยู่ในมือ ปลายกระบี่หันไปด้านหลังเพื่อแสดงให้รู้ถึงความจริงใจและความซาบซึ้งใจ เขากล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ซ่งเหมาแห่งภูเขาไท่ผิงขอบพระคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือพวกเราสังหารปีศาจใหญ่!”
เพียงแต่ว่าผู้ฝึกกระบี่ที่ปราณกระบี่ไหลทะลักออกมานอกกายอย่างบ้าคลั่งผู้นั้นกลับไม่แม้แต่จะสนใจตอบรับไมตรีจิตของเจ้าสำนักภูเขาไท่ผิงผู้ยิ่งใหญ่
บุรพาจารย์ท่านหนึ่งที่ควบคุมดูแลกฎระเบียบและผังวงศ์ตระกูลของสำนักใบถงสีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง
ตลอดทางที่ไล่กวดปีศาจใหญ่ตนนี้มา มีเพียงซ่งเหมาที่ลงมืออย่างเต็มกำลังโดยไม่ห่วงชีวิตของตัวเอง แทบจะยอมให้ตัวเองพินาศวอดวายไปกับปีศาจใหญ่ตนนั้น เพียงแต่ว่าถึงแม้ซ่งเหมาจะเป็นอันดับหนึ่งในนามของภูเขาไท่ผิง แต่ตบะกลับไม่สูงนัก ครั้งนี้ที่เขาลงจากภูเขามาก็เพราะอุบัติเหตุในบ่ออเวจีของสำนัก อีกทั้งยังไม่กล้าพกกระบี่เซียนปกป้องภูเขาเล่มหนึ่งมาด้วย จึงเรียกได้ว่ามีใจแต่ไร้กำลัง ส่วนบุรพาจารย์สำนักใบถงที่เป็นผู้นำของตระกูลเซียนในใบถงทวีปผู้นี้กลับไม่เต็มใจจะทุ่มความสามารถสังหารปีศาจใหญ่ตนนี้เท่าใดนัก ปีศาจใหญ่ตนหนึ่งที่แม้ขอบเขตจะถดถอยก็ยังคงเป็นขอบเขตสิบเอ็ด อีกทั้งเรือนกายใหญ่ยักษ์ของมันยังแข็งแกร่งทนทานเป็นพิเศษ ไหนเลยจะรับมือได้ง่ายๆ สถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้ว สัตว์เดรัจฉานตัวนี้ไม่มีทางหนีพ้นสายตาของพวกเขาสามคนแน่ จะแร่เนื้อหรือเถือหนังก็ค่อยๆ ว่ากันไป จะรีบร้อนไปไย
ดังนั้นครั้งนี้ที่ได้รับคำสั่งให้ออกมาจากภูเขา บุรพาจารย์ขอบเขตหยกดิบของสำนักใบถงท่านนี้จึงมองว่ามันเป็นงานที่ง่ายและดีงานหนึ่ง สังหารปีศาจใหญ่ที่สร้างความวุ่นวายในสำนักฝูจี ไม่เพียงแต่มีคุณความชอบติดตัว ยังสามารถทำให้จีไห่เจ้าสำนักฝูจีที่คู่บำเพ็ญตนตายไปซาบซึ้งในบุญคุณได้ด้วย ดังนั้นถึงแม้ครั้งนี้จะไล่ฆ่ามาตลอดทาง แต่เขากลับอำพรางความสามารถ ไม่ยอมเรียกสมบัติพิทักษ์สำนักออกมาใช้ ทว่าส่วนลึกในใจกลับคิดว่าต้องได้ครอบครองร่างปีศาจใหญ่ตนนี้
บทที่ 358.2 ฝนหยุด
เจ้าประมุขสกุลเจียงของสำนักกุยหยกที่ได้ครอบครองพื้นที่สวรรค์ถ้ำเมฆามีใบหน้างดงามดุจหยกสลัก หากว่ากันแค่รูปโฉมก็ยังนับว่าหล่อเหลาและอ่อนเยาว์กว่าเจียงเป่ยไห่บุตรชายโทนของเขาเสียอีก เวลานี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าการที่ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นสังหารปีศาจใหญ่จนแผนการของบุรพาจารย์สำนักใบถงเหลวไม่เป็นท่า ทำให้เขาอารมณ์ดีอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้พกพาอาวุธเซียนของสำนักที่มีพลังพิฆาตมหาศาลมาด้วย เพื่อวิถีกระบี่ของลู่ฝ่างสหายรัก เขาจึงแอบไปเยือนพื้นที่มงคลดอกบัวมารอบหนึ่ง นั่นเท่ากับว่าได้หายตัวไปจากใบถงทวีปเป็นเวลาหกสิบปี ฝ่ายในของสำนักกุยหยกมีคนตำหนิเขาไม่น้อย ดังนั้นถึงได้ผลักเขาออกมา อีกทั้งยังคิดจะให้ม้าวิ่งโดยไม่ให้ม้ากินหญ้า ก็สมควรแล้วที่เจ้าประมุขสกุลเจียงผู้นี้จะทำงานอย่างเอื่อยเฉื่อยไม่ใช่หรือ?
แม้ว่าในใจของซ่งเหมาเจินจวินแห่งภูเขาไท่ผิงที่สวมชุดเต๋า สวมกวานดอกบัวจะไม่ชอบใจเล็กน้อย แต่เขาแยกแยะถูกผิดได้อย่างชัดเจน อีกฝ่ายตาสูงมองไม่เห็นหัวใคร ไม่เห็นตนและภูเขาไท่ผิงอยู่ในสายตา แสดงว่าย่อมมีความมั่นใจของตัวเอง เพียงแต่คิดไม่ออกจริงๆ ว่าใบถงทวีปมีผู้ฝึกกระบี่ที่เวทกระบี่เทียมฟ้าขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ซ่งเหมาคาดเดาจิตใจและเบื้องหลังของอีกฝ่ายไม่ออก ไม่รู้ว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงออกกระบี่ คิดจะอาศัยโอกาสที่สังหารปีศาจมาแบ่งคุณความชอบ หรือแค่ทนเห็นความอยุติธรรมไม่ได้? จะเป็นเพราะอยากได้ศพของปีศาจใหญ่ที่ทุกอณูล้วนถือเป็นสมบัติล้ำค่าหรือเปล่า? หรือถึงขั้นคิดจะเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเองทั้งหมด ไม่ยอมให้คนทั้งสามแตะต้อง? ซ่งเหมาย่อมไม่สนใจศพของปีศาจใหญ่อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายในใบถงทวีปครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าปีศาจใหญ่คือตัวการชั่วร้าย สมคบคิดกับเดรัจฉานเฒ่าอย่างวานรขาวสะพายกระบี่ตนนั้น ถึงได้ทำให้ภาคกลางของใบถงทวีปมีภูตผีปีศาจออกอาละวาด จึงจำเป็นต้องเอาศพมันกลับไปให้สำนักศึกษาขงจื๊อตรวจสอบดู แล้วค่อยให้สำนักศึกษาออกหน้าเชิญสำนักหยินหยางมาอนุมานคำนวณเจตนารมสวรรค์
ดังนั้นซ่งเหมาจึงยังไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไรออกไป
มือกระบี่นิสัยประหลาดคนนั้นมองมาทางบุรพาจารย์ของสำนักใบถง เอ่ยสองคำว่า “ไม่ยอม?”
บุรพาจารย์เฒ่าที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั่วทั้งสำนักใบถงพูดด้วยประโยคที่แฝงไว้ด้วยปราณสังหาร “ทางที่ดีที่สุดควรไว้ชีวิตปีศาจใหญ่ตนนี้แล้วนำกลับไปที่สำนักใบถง ไม่แน่ว่าอาจสามารถสอบถามจนได้รู้แผนการชั่วร้ายที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้น เจ้าเห็นว่าปีศาจใหญ่บาดเจ็บสาหัสเลยใช้หนึ่งกระบี่สังหารมัน ทีนี้เบาะแสก็ขาดแล้ว แล้วพวกเราจะสืบสาวเบาะแสจนไปพบผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังได้อย่างไร? ไม่อย่างนั้นเหตุใดพวกเราสามคนต้องไล่ฆ่ามันมาไกลขนาดนี้? ช่างบังเอิญยิ่งนัก ทะเลตะวันตกของใบถงทวีปกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่เจ้ากลับมาปรากฏตัวบนเส้นทางหลบหนีของปีศาจใหญ่พอดีอย่างนั้นรึ?”
ใบหน้าแต้มยิ้มของเจ้าประมุขสกุลเจียงสำนักใบหยกยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เคยมีครั้งใดที่เขาจะไม่อยากร่วมวงดูเรื่องสนุก
ซ่งเหมากำลังจะเปิดปากพูด
ผู้ฝึกกระบี่แปลกหน้าที่เป็นแค่ชายวัยกลางคนผู้นั้นเอ่ยอย่างเฉยเมย “งั้นก็ลงมือเลยสิ”
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ผู้ฝึกกระบี่พูดแค่สองประโยคนี้
ไม่ยอม
ก็ลงมือสิ
นี่ใช่ท่าทีของเทพเซียนบนภูเขาซะที่ไหน ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางที่อยู่กึ่งกลางภูเขายังไม่แน่ว่าจะหยาบคายขนาดนี้ หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ของยุทธภพชั้นล่างก็ว่าไปอย่าง
ซ่งเหมาไม่ทันได้เป็นผู้ไกล่เกลี่ยสถานการณ์
หนึ่งกระบี่ก็ถูกส่งออกมาอีกครั้ง
เพียงแต่ว่าคราวนี้พุ่งใส่บุรพาจารย์สำนักใบถงที่ ‘ไม่ยอม’
เทพเซียนผู้เฒ่าคนนั้นหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ได้แต่รีบเรียกสมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตที่ผ่านการหล่อหลอมมาพันปีชิ้นหนึ่งออกมา นี่คือระฆังใหญ่ที่ใช้ในงานพิธีใบหนึ่งซึ่งได้มาจากถ้ำสวรรค์ที่ปริแตก ระฆังคือผู้นำของแปดเสียง ระฆังทองสัมฤทธิ์โบราณที่พอผ่านการหล่อหลอมแล้วสูงแค่หนึ่งช่วงแขนใบนี้ลอยอยู่เหนือศีรษะของบุรพาจารย์สำนักใบถง แต่กายธรรมของระฆังโบราณกลับสูงหลายสิบจั้ง ปกคลุมผู้เฒ่าไว้ภายใน ด้านนอกของระฆังโบราณสลักลายจารึกซึ่งเป็นบทความของอริยะลัทธิขงจื๊อผู้มีคุณธรรมท่านหนึ่งในยุคบรรพกาล เวลานี้ตัวอักษรใหญ่เท่ากำปั้นกำลังเคลื่อนขยับอย่างรวดเร็ว ผู้เฒ่ายืนตระหง่านอยู่ด้านใน เรียกได้ว่าโอ่อ่าน่าเกรงขามยิ่ง
เพียงแต่ว่าหลังจากปราณกระบี่เส้นนั้นพุ่งแสกหน้าเข้ามา ผู้เฒ่าที่นึกว่าอย่างน้อยก็น่าจะต้านทานได้ชั่วครู่ชั่วยามกลับค้นพบว่ากายธรรมของระฆังโบราณที่อยู่เบื้องหน้าถูกผ่าออกโดยตรง เขาจึงไม่กล้าประมาทอีก รีบถอยกรูดไปพร้อมกับระฆังทองสัมฤทธิ์อันเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต หวังว่าหลังจากที่ตนถอยห่างไปออกไปหนึ่งร้อยจั้งแล้ว พลังอำนาจของปราณกระบี่จะถดถอยลง
ถอยแล้วถอยอีก
เหนือผิวมหาสมุทรเป็นระยะทางไกลสิบกว่าลี้ปรากฏร่องลึกเส้นหนึ่งที่เนิ่นนานน้ำทะเลก็ยังไม่ท่วมทับกลับเข้ามา
เมื่อในที่สุดปราณกระบี่ก็หายไป บุรพาจารย์สำนักใบถงหน้าไร้สีเลือด นอกจากความตกตะลึงพรึงเพริดแล้วยังเปี่ยมไปด้วยความเสียดายอย่างสุดซึ้ง ในมือถือประคองระฆังโบราณแห่งชะตาชีวิตใบนั้นเอาไว้ เห็นว่าด้านบนปรากฏเป็นรอยกรีดจางๆ รอยหนึ่ง
นี่เขาต้องทุ่มเทวัตถุดิบวิเศษอีกมากมายเท่าไหร่ถึงจะซ่อมมันให้กลับมาเหมือนใหม่ได้อีกครั้ง?!
อย่าว่าแต่ใบถงทวีปเลย แล้วก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานที่เล็กๆ ทางเหนืออย่างแจกันสมบัติทวีป ต่อให้เป็นนาตยทวีปก็ไม่ควรมีเซียนกระบี่เช่นนี้! เฉาซีที่หล่อหลอมแม่น้ำใหญ่สายหนึ่งมาเป็นกระบี่บินที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเชือกรัดข้อมือ คนที่รับผิดชอบดูแลหอสยบมหาสมุทรผู้นั้นก็ยังไม่มีปราณกระบี่เช่นนี้!
ผู้ฝึกกระบี่ที่เห็นว่าหนึ่งกระบี่ของตนทำให้ผู้ฝึกตนเฒ่าไสหัวไปได้ไกลขนาดนั้น ในที่สุดก็ไม่รู้สึกขวางหูขวางตาอีก จึงหันไปถามกับอีกคนแทนว่า “งิ้วฉากนี้สนุกไหม?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าประมุขสกุลเจียงแข็งค้างทันที รีบกุมหมัดเอ่ยขออภัย “เสียมารยาทแล้ว หวังว่าผู้อาวุโสเซียนกระบี่จะให้อภัย”
ผู้ฝึกกระบี่แค่นเสียงหยัน “ผู้อาวุโส? เจ้าอายุมากกว่าข้าเยอะเลยล่ะ”
เมื่ออยู่บนภูเขาของใบถงทวีป เจ้าประมุขตระกูลเจียงผู้นี้มีนิสัยหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนเป็นที่เลื่องลือ เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “บนเส้นทางของการฝึกตน ผู้ที่เรียนรู้ได้อย่างชำนาญย่อมได้อยู่หน้าสุด ข้าเจียงซ่างเจินหรือจะกล้าเอาตัวไปเปรียบเทียบกับผู้อาวุโส”
ผู้ฝึกกระบี่ไม่สนใจเจียงซ่างเจินที่ไม่แม้แต่จะเคยได้ยินชื่อผู้นี้อีก เขามองไปทางตาแก่ที่ยังหวาดผวาไม่คลายซึ่งอยู่ห่างไปไกลคนนั้น “ดูเหมือนว่าบนร่างของเจ้ามีสมบัติหนักที่เชี่ยวชาญในการโจมตี ท่าจะไม่เลว ขอให้ข้าดูหน่อยได้ไหม?”
บุรพาจารย์เฒ่าที่เพิ่งจะถูกเล่นงานไปหยกๆ พอจะรู้นิสัยของผู้ฝึกกระบี่คนนี้แล้วว่าเจ้าอารมณ์ยิ่งกว่าเทียนจวินผู้เฒ่าของภูเขาไท่ผิงเสียอีก ไหนเลยจะกล้าเอาอาวุธสำคัญของสำนักออกมาแสดงอย่างโง่งม ใช้ก้นคิดยังรู้เลยว่าผู้ฝึกกระบี่คนนี้ย่อมไม่ยอมเลิกราง่ายๆ หากอยู่ๆ เขาเอ่ยว่า ‘ในเมื่อเอาออกมาแล้วก็อย่าให้สิ้นเปลืองเปล่าเลย มาลองแลกเปลี่ยนกันดูสักกระบวนท่า ลองดูว่าใครมีฝีมือมากกว่ากัน’ ถ้าอย่างนั้นตนควรจะรับคำท้าของอีกฝ่ายหรือไม่? ไม่รับ คนจากสำนักกุยหยกและภูเขาไท่ผิงต่างก็มองดูอยู่ด้านข้าง หากรับ รับหนึ่งกระบี่ของอีกฝ่ายไว้ได้ก็ถือว่ายังดี แต่หากรับไม่ได้ก็จะต้องตายตกไปเป็นเพื่อนปีศาจใหญ่ตนนั้นน่ะหรือ?
ผู้ฝึกตนเฒ่าไม่กล้าวางโตอีกต่อไป รีบพูดว่า “พกอาวุธหนักของสำนักมาก็เพื่อให้สะดวกในการสังหารปีศาจ ไม่อาจเอาออกมาแสดงได้ส่งเดช”
กล่าวจบในใจก็นินทาอีกฝ่ายไม่หยุด
บนโลกมีผู้ฝึกกระบี่ที่กำเริบเสิบสานไร้เหตุผลขนาดนี้ได้อย่างไร อริยะลัทธิขงจื๊อมัวทำอะไรกันอยู่ ทำไมไม่จัดการดูแลซะบ้าง?!
ไม่รอให้ผู้ฝึกตนเฒ่ารู้สึกว่าในเมื่อตนยอมถอยให้ขนาดนี้แล้ว หากผู้ฝึกกระบี่คนนั้นพอจะมีสมองอยู่บ้างก็น่าจะหยุดเมื่อพอสมควร
ผู้ฝึกกระบี่กลับถามขึ้นเสียก่อนว่า “หากเจ้าไม่เอาออกมาจะรับกระบี่ที่สองของข้าได้อย่างไร?”
บุรพาจารย์สำนักใบถงโมโหจนไฟโทสะพุ่งสูงสามจั้ง คิดว่าข้าเป็นพระโพธิสัตว์ที่หงุดหงิดไม่เป็นจริงๆ หรือไร?
เจียงซ่างเจินตีหน้าเคร่ง ทว่าในใจแอบหัวเราะสนุกสนาน
ขวางหูขวางตากับท่าทางกวนโอ๊ยของผู้ฝึกตนสำนักใบถงผู้นี้มานานแล้ว ไม่เพียงแค่เขา คนทั้งสำนักกุยหยกต่างก็รู้สึกเช่นนี้ โดยเฉพาะอดีตเจ้าประมุขของตนที่ชั่วชีวิตนี้เคยโมโหรุนแรงแค่ไม่กี่ครั้ง ทว่าแทบทุกครั้งล้วนมีต้นเหตุมาจากผู้ฝึกตนสำนักใบถงผู้นี้ทั้งสิ้น
ซ่งเหมาเจินจวินแห่งภูเขาไท่ผิงเอ่ยเสียงหนัก “ตอนนี้ภูตผีปีศาจปรากฏตัวสร้างความวุ่นวายในใบถงทวีป ขอผู้อาวุโสเซียนกระบี่โปรดอย่าออกกระบี่วันนี้เลย”
ผู้ฝึกกระบี่ดึงสายตากลับมา “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเป็นคนรับกระบี่นี้แทน?”
ซ่งเหมากล่าวอย่างไม่ลังเล “ได้สิ! ไม่ว่าจะรับไว้ได้หรือไม่ คนของสำนักใบถงและสำนักกุยหยกต่างก็อยู่ด้วย พวกเขาย่อมส่งข่าวไปให้ภูเขาไท่ผิงของข้า เป็นข้าซ่งเหมาที่สู้ผู้อื่นไม่ได้ ต่อให้ตายอยู่ที่นี่ ภูเขาไท่ผิงก็จะไม่เกลียดแค้นผู้อาวุโสเลย!”
ผู้ฝึกกระบี่พึมพำคำว่าภูเขาไท่ผิงอยู่สองครั้งก็คล้ายจะนึกอะไรออกจึงพูดด้วยรอยยิ้มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ผู้ฝึกตนของภูเขาไท่ผิงไม่เลวเลยจริงๆ ใบถงทวีปก็มีแต่พวกเจ้าเท่านั้นที่พอจะเป็นหน้าเป็นตาได้ สำนักอื่นๆ ล้วนไม่มีค่าพอให้พูดถึง”
ซ่งเหมาตะลึงงันไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไร
ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นสยบปราณกระบี่ทั่วร่างลงเล็กน้อย เป็นท่าทีที่บอกว่าตนจะไม่ออกกระบี่อีกแล้ว
ช่างเถิด เสี่ยวฉีเคยพูดถึงภูเขาไท่ผิงแห่งนี้ เคยพูดว่าอะไรแล้วนะ มีความกล้าหาญองอาจดุจคนในยุคโบราณ?
ผู้ฝึกกระบี่กล่าว “ศพของปีศาจใหญ่ พวกเจ้าเอาไปได้เลย”
ซ่งเหมารู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก หลังเก็บกระบี่เข้าฝักแล้วก็กุมหมัดคารวะ “ขอบคุณผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่ช่วยสังหารปีศาจ”
ผู้ฝึกกระบี่ลังเลเล็กน้อย เขามองไปที่คนทั้งสาม ถามว่า “มีใครรู้จักคนหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันหรือไม่? รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”
ซ่งเหมาและบุรพาจารย์สำนักใบถงต่างก็งงงันไม่รู้เรื่องรู้ราว
เจียงซ่างเจินชั่งน้ำหนักในใจอย่างรวดเร็วหนึ่งรอบ ก่อนตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ารู้พอดี”
ผู้ฝึกกระบี่ถาม “หมายความว่าไง?”
เจียงซ่างเจินใช้เสียงในใจเล่าเรื่องที่เขาพบเห็นในพื้นที่มงคลดอกบัวให้ผู้ฝึกกระบี่นิสัยประหลาดที่มีวิชากระบี่เลิศล้ำผู้นี้ฟังคร่าวๆ
ผู้ฝึกกระบี่พยักหน้ารับอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญ “พื้นที่มงคลเล็กๆ อันดับหนึ่งในใต้หล้า…พอจะถูไถได้อยู่กระมัง”
เจียงซ่างเจินถามหยั่งเชิง “ผู้อาวุโสต้องการให้ข้าช่วยดูแลให้หรือไม่?”
ผู้ฝึกกระบี่เหล่มองอีกฝ่ายด้วยหางตา “เจ้าคู่ควรหรือ?”
เจียงซ่างเจินยิ้มเจื่อนอย่างจนใจ ไม่พูดอะไรอีก
แล้วผู้ฝึกกระบี่ก็ทะยานจากไปไกล
ห่างไกลจากใบถงทวีปมากขึ้นทุกที
เขาจั่วโย่วคร้านจะทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องมรรคาอะไรนั่นให้ใคร
รอจนผู้ฝึกกระบี่คนนั้นออกห่างไปจากที่แห่งนี้แล้ว เจียงซ่างเจินถึงหัวเราะตาหยี “เป็นใต้หล้าไพศาลของพวกเราที่น่าสนใจกว่าจริงๆ ด้วย”
ซ่งเหมาถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้ารู้จักเซียนกระบี่ใหญ่ผู้นี้หรือ?”
เจียงซ่างเจินเพียงคลี่ยิ้ม ไม่เอ่ยคำใด
ผู้ฝึกตนเฒ่าของสำนักใบถงที่กลับมาอยู่ข้างกายคนทั้งสองอย่างระมัดระวังแค่นเสียงเย็น “วิชากระบี่ของคนผู้นี้สูงส่ง แต่ว่า…”
เจียงซ่างเจินพูดอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “แต่ว่าอะไร?”
ผู้ฝึกตนเฒ่าจำต้องกลืนคำพูดที่มารออยู่ตรงริมฝีปากกลับลงท้องไป
เขากลัวการออกกระบี่ของเจ้าหมอนั่นจริงๆ ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว
นาทีถัดมา ผู้ฝึกตนเฒ่าก็รู้สึกว่าสุสานบรรพบุรุษของตนมีควันเขียวผุด (เปรียบเปรยว่าจะมีเรื่องโชคดี หรือจะได้เป็นขุนนาง อีกนัยหนึ่งหมายถึงบรรพบุรุษช่วยคุ้มครองลูกหลาน และยังเป็นคำด่า คำเสียดสีได้ด้วย) ขึ้นมาแล้วจริงๆ
ที่แท้ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นย้อนกลับมาในเสี้ยววินาที เขาชำเลืองตามองผู้ฝึกตนเฒ่า แต่กลับทิ้งประโยคหนึ่งไว้ให้คนแซ่เจียง “โอสถปีศาจของปีศาจใหญ่ตนนี้เป็นของเจ้าแล้ว”
เจียงซ่างเจินกุมหมัดกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้น้อยรู้ว่าควรทำเช่นไร”
ผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่วไปจากโลกมนุษย์แห่งนี้อีกครั้ง
……
ในตำหนักกลางเส้นทางมังกรที่ผุพังของใบถงทวีปเส้นนั้น วานรเฒ่ามองผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดลัทธิเต๋า
นักพรตหนุ่มยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน
นักพรตเฒ่าถามด้วยรอยยิ้ม “เรื่องที่หวังไว้สำเร็จสมใจปรารถนา ดีใจหรือไม่?”
นักพรตหนุ่มยิ้มเจื่อน “แปลกใจมากเลยล่ะ”
แม้วานรขาวที่นั่งอยู่บนแท่นพันธนาการมังกรจะไม่สามารถวางแผนชั่วร้ายที่สร้างหายนะให้แก่ครึ่งหนึ่งของใบถงทวีปได้อย่างนักพรตหนุ่ม แต่ฝึกบำเพ็ญตนมาหนึ่งพันปี สายตาของมันย่อมยังพอจะมีแววอยู่บ้าง
เจ้าอารามกวานเต๋า นักพรตเฒ่าตงไห่ที่ว่ากันว่าไม่ว่าใครก็ไม่อาจหาตัวได้พบ
หากคิดจะเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว คนบนโลกก็ได้แต่ตามหานักพรตน้อยที่สะพายน้ำเต้าสีทองลูกใหญ่ ขนาดเทพเซียนพสุธาตัวจริงเสียงจริงกลุ่มใหญ่ยังต้องใช้ความอดทนในการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเจ้าตัวน้อยนั่น
นักพรตหนุ่มลุกขึ้นยืน เอ่ยถามว่า “ท่านนักพรตผู้เฒ่ามาที่นี่เพื่อจะผดุงความเป็นธรรมแทนสวรรค์ สังหารข้าให้จบเรื่องกันไป?”
นักพรตเฒ่าเอ่ยเย้ยหยัน “ฟ้ายังถล่มลงมาแล้ว ไหนเลยจะยังผดุงความเป็นธรรมแทนสวรรค์ได้อีก ข้ามาที่นี่ก็เพราะอยากจะเห็นว่า ใครกันที่มีความกล้าและความสามารถ กล้าละโมบอยากได้ร่มใบถงคันนั้นที่ข้ามอบให้คนอื่นไปแล้ว”
นักพรตหนุ่มกระจ่างแจ้งโดยพลัน “คือร่มกระดาษน้ำมันที่นังหนูน้อยคนนั้นถือไว้ในมือเองหรือ?”
เขาถอนหายใจ “หากรู้แต่แรกว่าเฉินผิงอันมีความเกี่ยวข้องกับท่านนักพรตผู้เฒ่า ข้าคงไม่กล้าล่วงเกิน แบบนี้ไม่เท่ากับว่าหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ?”
นักพรตผู้เฒ่าเดินสวนไหล่กับนักพรตหนุ่มไป เดินขึ้นบันไดไปบนแท่นพันธนาการมังกรทีละก้าว “ข้าไม่มีความสนใจในโลกมนุษย์ ไม่คิดจะฆ่าเจ้า แต่ก็ควรกระตุ้นความจำของคนบางคนที่นอนหลับอย่างเป็นสุขอยู่ในผ้าห่มบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นคงลืมไปนานแล้วว่าในอดีตตาแก่พวกนั้นทำอะไรเอาไว้บ้าง”
นักพรตหนุ่มหันตัวกลับไป ยิ้มพลางเดินตามไปด้านหลังนักพรตเฒ่าตงไห่กวานเต๋า เดินขึ้นที่สูงไปทีละก้าว “ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสที่เมตตา”
มีประโยคนี้ของนักพรตเฒ่า
ต่อให้แผนการของเขาในใบถงทวีปจะถูกเปิดโปงก่อนกำหนดก็ยังถือว่าสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับโชคดีหลังโชคร้ายก็เป็นได้
หลังกลับไปถึงใต้หล้าเปลี่ยวร้าง อย่างน้อยก็ไม่ต้องถูกขับไล่ให้ไปอยู่ในเทือกเขาแห่งนั้น คอยทำงานหนักรับใช้เจ้าคนตาบอด ต้องคอยย้ายภูเขาลูกแล้วลูกเล่าอยู่ทุกปี เอามาวางตรงนั้น เอาไปวางตรงนี้ คนอื่นรู้สึกว่าน่าสนุก ทว่าปีศาจใหญ่ที่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นมีใครบ้างที่ไม่รู้สึกว่าอยู่ไม่สู้ตาย? ประเด็นสำคัญคือไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เหล่าผู้พิชิตแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างถึงคล้ายจะไม่เคยคิดร่วมมือกันถอนตะปูตัวใหญ่ตัวนี้แล้วโยนทิ้งไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน
นักพรตผู้เฒ่าเดินขึ้นไปบนแท่นพันธนาการมังกร ชำเลืองตามองวานรขาวที่ทำท่าเหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจแล้วพยักหน้าเบาๆ “สัตว์เดรัจฉานน้อยน่าสนใจไม่เบา ข้าจะถือโอกาสคล้อยไปตามสถานการณ์ จำไว้ว่าเมื่ออยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวจงเอาวิชาสะพายกระบี่บทนั้นออกมา”
พริบตานั้นวานรขาวแห่งภูเขาไท่ผิงที่ไม่มีกระบี่เซียนให้สะพายก็หายตัวไปจากแท่นพันธนาการมังกร
ความคิดของนักพรตหนุ่มแล่นว่องไว เขาลองอนุมานไปเงียบๆ ปากก็ถามว่า “วานรขาวไม่อยู่แล้ว ไม่สู้ผู้อาวุโสพูดเข้าประเด็นมาเลยว่าต้องการให้ข้าทำอะไร?”
นักพรตเฒ่าถามกลับ “ความตั้งใจเดิมของเจ้าคือคิดจะทำอะไร?”
นักพรตหนุ่มตอบตามความจริง “บอกไปแล้วคงต้องตายอยู่ที่แท่นพันธนาการมังกรแห่งนี้ ข้าไม่พูดดีกว่า”
นักพรตเฒ่ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “ข้าให้โอกาสเจ้าไปแล้ว เจ้าที่เป็นปีศาจใหญ่ ขอบเขตสูงสุดของร่างจริงห่างจากขอบเขตสิบสามอีกแค่นิดเดียว ทว่าแม้แต่เฉินผิงอันคนเดียวก็ยังไม่กล้าฆ่า ดังนั้นจึงพลาดโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าไป ตอนนั้นที่เฉินชิงตูแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ยอมให้เฉินผิงอันยืมกระบี่เล่มหนึ่งก็เพื่อจะถ่ายโอนผลกรรมบางอย่างไปให้แก่เฉินผิงอัน หากเจ้าสังหารเขา เจ้าและใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็จะสร้างคุณความชอบครั้งใหญ่ ส่วนข้าก็สามารถฉวยโอกาสนี้เก็บเฉินผิงอันไว้ในอารามกวานเต๋า ทั้งสามารถทำให้เจ้าซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้นโมโหตาย แล้วก็สามารถทำให้ตำแหน่งเบาะรองนั่งของตัวข้าเองขยับขึ้นสูงอีกขั้นใหญ่”
หัวใจของนักพรตหนุ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
นักพรตเฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้สายไปแล้ว”
นักพรตหนุ่มกระทืบเท้าด้วยความเจ็บใจอย่างสุดแสน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น