ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 357-358
ตอนที่ 357 ลมกรรโชกก่อนพายุใหญ่จะมา
ในตอนนั้นเอง ฝ่าบาททรงคิดถึงถ้อยคำของอู๋เหนียงจื่อ พระองค์ต้องรักษารอยยิ้มไว้ ถึงจะทำให้คนในครอบครัวของนางเกิดความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม
พระองค์ทบทวนอยู่ในพระทัยครู่หนึ่ง จากนั้นในขณะที่คนในตระกูลตู๋กูกำลังมีสีหน้าคร่ำเครียด ก็ทรงแย้มสรวลออกมา
เป็นรอยยิ้มที่แสนจะยินดี
พระหัตถ์ที่ใหญ่โตของพระองค์กุมเก้าอี้ของตู๋กูซิงหลันเอาไว้แน่น ตอนนี้แม้แต่เขี้ยวทั้งสองก็ยังเผยออกมา “เราพาไทเฮามาร่วมงานเลี้ยงในบ้านของท่านผู้เฒ่า ล่าช้าไปสักหน่อย ท่านคงไม่ตำหนิกระมัง?”
เฮอะ เขี้ยวขาวๆ นั่นช่างทิ่มแทงดวงตา ทำเอาตู๋กูถิงมีโทสะขึ้นมาแล้ว!
ข้าผู้เฒ่าต้องการแค่ให้หลานสาวสุดที่รักกลับมาก็พอ ไอ้หมูที่คิดจะกินผักกาดขาวจะมาด้วยทำไม?
ยังจะมายิ้มอีก?
รอยยิ้มนั่นยิ่งเท่ากับว่าเป็นการท้าทายตู๋กูถิงและสองพี่ชายตระกูลตู๋กู
นี่มันเหมือนกับจีเฉวียนกำลังจงใจโอ้อวดว่า ‘เราจะใช้นางมาบีบบังคับพวกเจ้า โกรธหรือ? พวกเจ้าจะโกรธก็โกรธไป เราสุขใจก็พอแล้ว’
ที่คนตระกูลตู๋กูมิได้ตีพระองค์ให้ตายในทันทีก็ต้องถือว่าเห็นแก่พระพักตร์มากแล้ว
ตู๋กูเจวี๋ยยิ่งคอยจับตามองดูท่านปู่เอาไว้ แอบภาวนาในใจอย่างดุดันให้เขาคว้าไม้กวาดขึ้นมา
ท่านปู่ ฝีมือไล่ตีผู้อื่นของท่านล่ะ? เมื่อครู่ยังไล่ตีเขาแทบตายมิใช่หรือ? คนที่สมควรจะถูกฟาดโบยมากที่สุดก็มาแล้ว ท่านผู้เฒ่าก็ลงมือเสียเลยสิ!
เพ้ย! นี่มันเท่ากับว่ารังแกคนอ่อนแอ หวาดเกรงผู้เข้มแข็งชัดๆ
ตู๋กูเจวี๋ยได้แต่บ่นอุบอิบอยู่ในใจ ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
ผ่านไปอีกพักใหญ่ ตู๋กูถิงถึงได้ยิ้มแต่เพียงมุมปากแต่ไปไม่ถึงดวงตา กราบทูลจีเฉวียนว่า “หลานสาวสามารถออกมาได้ กระหม่อมย่อมดีใจมากแล้ว ไหนเลยจะยังโทษว่าฝ่าบาทได้อีก?”
น้ำเสียงที่กล่าวออกมาฝืดเฝื่อนพิกล กระทั่งตู๋กูซิงหลันก็ยังฟังจนรู้สึกได้
“ฝ่าบาททรงเป็นประมุข พวกเราเป็นขุนนาง ขุนนางย่อมต้องรู้จักขอบเขตฐานะของตน ไม่กล้าล่วงเกินแม้แต่น้อย” ตู๋กูเจวี๋ยรีบเออออตามไป
นี่ย่อมมิใช่การประจบประแจงฝ่าบาท แม้ว่าคำพูดจะไม่มีอะไรผิดแม้แต่น้อย แต่น้ำเสียงของเขาออกจะแปลกประหลาด แทบจะกัดฟันกรอดๆ ขณะที่กราบทูล แล้วจะไม่ให้ผู้อื่นคิดมากได้อย่างไร
นี่ไม่มากเกินไปหน่อยหรือ หากมิใช่เพราะว่าก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ทรงกักตัวน้องเล็กเอาไว้ไม่ยอมให้พวกเขารับตัวกลับมา มีหรือที่เขาจะต้องมาถูกท่านปู่ฟาดตีต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้?
ถูกตีรอบนี้ เขาต้องเสียหน้าจนหมดสิ้น ไหนเลยจะยอมกลืนความแค้นลงไปได้ง่ายๆ
ตู๋กูจุนไม่พูดไม่จา แต่ว่าสีหน้าก็ไม่น่าดู
ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนรถเข็น โดยไม่เข้าใจเลยว่าทำไมบรรยากาศภายในบ้านถึงได้อึมครึมนัก
ก็นางไม่ได้เห็นรอยยิ้มแสนจะยินดีของฝ่าบาทนี่
นางกล่าวว่า “ยากนักที่จะได้ออกมาจากวังสักครั้ง วันนี้จะต้องรับประทานอาหารกับท่านปู่และพี่ๆ ให้อร่อยเลย”
พอพูดประโยคนี้ออกไป สีหน้าของตู๋กูถิงก็ยิ่งเขียวคล้ำกว่าเดิม ยอดดวงใจของปู่เอ๋ย สองปีมานี้คงจะลำบากมากสินะ
จากคำพูดของนาง แสดงว่าคงจะถูกจีเฉวียนกักขังเอาไว้ในวังไม่เคยได้ออกไปไหน
ถึงแม้ว่าหลานสาวของเขาจะอ่อนแอไปบ้าง แต่ว่าก็ชอบออกจากบ้านไปเที่ยวเล่นอยู่เสมอ
เขาเองก็มักจะพานางออกไปดูโลกกว้างอยู่บ่อยๆ ครั้งนี้พาเข้าวังไปเหมือนไปนั่งอยู่ในคุก ทำให้เขาต้องเจ็บปวดจนใจแทบสลาย
“ดี ดี ดี เจ้าว่าอย่างไรก็เอาตามนั้น” เห็นแก่หลานสาวสุดที่รัก ตู๋กูถิงก็ไม่คิดจะเอาความอะไรกับจีเฉวียนต่อไปอีก
คนกลับมาแล้ว เขาก็ได้เจอแล้ว แค่นี้ก็พอใจมากแล้ว
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะได้รับข่าวจากในจดหมายมาแล้วว่านางขาพิการ ในใจก็เตรียมใจเอาไว้แต่แรก แต่พอมาได้เห็นแล้วก็ยังต้องปวดใจจนถึงกระดูก
องค์หญิงน้อยของบ้านที่ถูกถนอมเอาไว้ในมือมาตั้งแต่เล็ก ต้องรับความยากลำบากมานานถึงสองปี
“ฝ่าบาท หลานสาวของกระหม่อม ให้กระหม่อมเข็นนางเองเถอะ” ตอนนี้ ตู๋กูถิงคิดแต่เพียงว่า อยากจะใกล้ชิดกับตู๋กูซิงหลันให้มากๆ เท่านั้น มือของเขาก็สัมผัสลงบนเก้าอี้รถเข็น ออกแรงดึงจนรถส่งเสียงกึกกัก
จีเฉวียน “เรื่องเช่นนี้ให้เราทำจะดีกว่า ไม่ขอรบกวนท่านผู้เฒ่า”
ตู๋กูถิงอยากจะยกไม้กวาดขึ้นมาอีกรอบจริงๆ
เขาพยายามเก็บอารมณ์ในใจที่คุกรุ่นขึ้นมา “ฝ่าบาท พวกเราเพียงแต่กินเลี้ยงกันในครอบครัวเท่านั้น”
จีเฉวียน “เรารู้แล้ว จึงได้พาไทเฮาออกจากวังมาร่วมงานเลี้ยงในครอบครัวเป็นพิเศษ ท่านผู้เฒ่า มีปัญหาอันใดหรือ?”
ฮ่องเต้ยังทรงรักษารอยแย้มสรวลอย่างยินดีเช่นนั้นเอาไว้ ตรัสอย่างทำเป็นไม่ทรงรู้เรื่องใดๆ ทั้งนั้น
ทำเอาตู๋กูถิงโกรธเสียจนอยากจะสับลงไปบนพระเศียรสักหนึ่งฝ่ามือ
พระองค์ไม่เข้าพระทัยจริงๆ หรือว่าแกล้งไม่เข้าพระทัยกันแน่ เขาแสดงออกจนเห็นได้ชัดถึงเพียงนี้ แม้แต่คนโง่ก็ยังคงเข้าใจแล้วกระมัง?
จีเฉวียนเห็นเขาไม่กล่าวตอบ ก็ตรัสเสริมขึ้นมาอีกว่า “ไทเฮาทรงเป็นพระมารดาในนามของเรา จะว่าไปแล้วเรากับท่านผู้เฒ่าก็ต้องถือเป็นครอบครัวด้วยเหมือนกันนะ เป็นคนครอบครัวเดียวกัน เรามาร่วมย่อมไม่ถือว่าผิดอะไรจริงไหม”
ในขณะที่ตู๋กูซิงหลันยังไม่ยอมรับความรักจากจีเฉวียนนั้น ความสัมพันธ์ภายนอกของพวกเขาทั้งสองย่อมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ยังคงเป็นฮ่องเต้กับไทเฮาดังเดิม
พระองค์กำลังรอให้นางยอมรับพระองค์ ทันทีที่ยอมรับ พระองค์ก็จะประกาศไปทั่วทั้งแผ่นดิน…..ว่านางก็คือฮองเฮาของพระองค์
ขณะที่เรื่องราวยังไม่ได้ตกลงกันย่อมไม่สมควรเปิดเผยออกไป นี่เป็นการให้ความเคารพในตัวตนของตู๋กูซิงหลัน
ดังนั้นตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าตู๋กูถิง พระองค์ก็ได้แต่ใช้ฐานะเช่นนี้
แน่นอนว่านี่ถึงกับทำให้ท่านผู้เฒ่ากล่าวอะไรไม่ออกทั้งสิ้น ได้แต่ต้องพูดว่า ฮ่องเต้หนุ่มพระองค์นี้ ช่างไร้ยางอายเสียจริงๆ
ชั่วขณะที่เงียบงันกันไปนั้น บรรยากาศคุกรุ่นอย่างที่สุด
“ดูเอาสิ นี่คือสายลมกรรโชกก่อนที่พายุฝนจะมา เห็นไหมเล่าชักจะเป็นเรื่องเข้าแล้ว”
คนพวกนี้อยากเห็นเรื่องสนุกโดยไม่สนใจว่าจะเป็นเรื่องหนักหนาเพียงไร เมล็ดแตงก็ยิ่งแทะกันอย่างเมามันกว่าเดิม
ที่จริงแล้ว พวกเขาอยู่ห่างออกไปมาก พวกเขาไม่ได้ยินเลยว่าจีเฉวียนกับตู๋กูถิงกำลังพูดอะไรกัน เพียงแค่สังเกตจากสีหน้า ก็พอจะรู้แล้วว่าบรรยากาศคงไม่น่ารื่นรมย์เท่าไรนัก
ยังดีที่ตู๋กูซิงหลันคอยสลายบรรยากาศที่อึดอัดเช่นนี้ทิ้งไป
ครั้งนี้นางตัดสินใจผลักล้อเก้าอี้พุ่งเข้าไปข้างในก่อนแล้ว….
ทำเอาทั้งฝ่าบาท ตู๋กูผู้เฒ่า และสองพี่ชายที่อยู่ด้านหลังต่างไล่ตามมาอย่างรีบร้อน
…………..
เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างก็พากันกวาดหิมะทิ้งไปอย่างบ้าคลั่ง ด้วยเกรงว่าหิมะเพียงบางๆ ก็อาจจะทำให้นางลื่นล้มไปได้
เก้าอี้รถเข็นของตู๋กูซิงหลันก็แสนจะยอดเยี่ยมทั้งยังรวดเร็วอย่างยิ่ง ผลักเบาๆ เพียงสองครั้งก็มาถึงห้องโถงแล้ว
นางเข้าไปข้างในได้ครู่หนึ่งแล้ว คนเหล่านั้นจึงได้ตามมาถึง
เจียงเหม่ยหยู่นั่งอยู่ภายในห้องโถง พอได้เห็นตู๋กูซิงหลันก็ทั้งชิงชัง ทั้งโกรธเกลียดและทั้งริษยา
เพียงแต่ว่าในยามนี้ไม่อาจพูดจาอะไรออกไป ทั้งยังต้องคลี่ยิ้มออกมาต้อนรับนาง
“วันนี้ไทเฮาทรงกลับมา หม่อมฉันยินดีเหลือเกิน” นางทางหนึ่งพูดไป ทางหนึ่งก็ช่วยขยับผ้าห่มให้กับตู๋กูซิงหลัน
อะไรคือต้องห่มผ้าให้หนาซะขนาดนี้
อยากจะกลายเป็นเครื่องกันหนาวที่สวยงามงั้นรึ? นางก็แค่ขาพิการ จำเป็นจะต้องเรียกร้องความสนใจถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอยากจะมาเพื่อร้องขอความเห็นใจจากนายท่านมากกว่า!
ทำตัวเช่นนี้ช่างเหมือนกับนังย่าชั่วของนางอย่างไรอย่างนั้น!
ตู๋กูซิงหลันขยับเก้าอี้รถเข็นถอยหลังออกไปห่างๆ กลิ่นเครื่องหอมที่อยู่บนร่างของเจียงเหม่ยหยู่ฉุนเกินไปแล้ว นางทนไม่ไหวจนต้องจามออกมายกใหญ่ ถูจมูกอยู่หลายครั้ง พอเงยหน้ามองดูเจียงเหม่ยหยู่ ก็ตกกระใจจนแทบจะจำไม่ได้
นี่ใครแต่งหน้าให้กับนางกัน? ก้าวออกมาซะ นางสัญญาว่าจะตีให้ถึงตาย!
บุรุษทั้งสี่ที่พึ่งจะเข้ามาในห้อง เห็นนางจามยกใหญ่ก็พากันตื่นตัวขึ้นมา
ครั้งนี้ท่านปู่ฉลาดขึ้นมาแล้ว เขาชิงเข้ามาอยู่ด้านหน้าสุด คุกเข่าลงไปตรงเบื้องหน้าตู๋กูซิงหลันจับมือของนางเอาไว้ ถูเบาๆ พร้อมกับเป่าลมหายใจลงไป สีหน้าก็เปี่ยมไปด้วยความรักและความห่วงใย
“ดวงใจเอ๋ย เจ้าเป็นหวัดแล้วหรือ?”
——
ตอนต่อไป “ฝ่าบาท ทรงเข้าพระทัยหรือไม่?”
ตอนที่ 358 ฝ่าบาท ทรงเข้าพระทัยหรือไม่?
ตู๋กูจุน “ทำไมวันนี้ห้องโถงถึงไม่ได้จุดกระถางไฟ?”
ตู๋กูเจวี๋ย “จวนของพวกเรายากจนถึงขนาดนี้เชียวหรือ? แม้แต่กระถางไฟก็ยังไม่มีจะจุด เคราะห์กรรมจริงๆ!”
พูดแล้วเขาก็เหลือบมองไปทางจีเฉวียน….
ในเมื่อวันนี้ฮ่องเต้สุดตระหนี่ผู้นี้กล้าก้าวเข้าถ้ำเสือมา ก็อย่าหวังเลยว่าจะกลับออกไปได้อย่างสบายๆ
จีเฉวียน “หลี่กงกง ไปนำถ่านไหมเงินในพระตำหนักตี้หัวกงส่งมาที่จวนตระกูลตู๋กูให้หมด”
ถ่านในตำหนักเฟิ่งหมิงกงเขาจะต้องเก็บเอาไว้ เดี๋ยวซิงซิงกลับเข้าวังไปยังจะต้องใช้
จีเฉวียนกลัวหนาวที่สุด ทุกปีในฤดูหนาวจะต้องใช้ถ่านไหมเงินจำนวนมากมาเพิ่มความอบอุ่น
เพียงแต่ตอนนี้พระองค์รู้สึกว่าตู๋กูซิงหลันจำเป็นจะต้องใช้มากกว่าพระองค์ ดังนั้นจึงไม่แม้แต่จะคิด ก็สั่งให้ส่งมาแล้ว
ที่จริงช่วงหลายวันมานี้ หลี่กงกงก็เห็นจีเฉวียนคอยเอาอกเอาใจตู๋กูซิงหลันอย่างบ้าคลั่งมากแล้ว แต่พอได้ยินรับสั่งเช่นนี้ออกมา เขาก็ต้องตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ ราวกับว่าท่ามกลางฤดูหนาวที่เย็นยะเยือกจนแทบจะทำให้พระองค์ตัวแข็งตาย กลับจะทรงส่งฉลองพระองค์คลุมที่มีอยู่เพียงตัวเดียวให้กับไทเฮาน้อย
ที่จริงแล้วถ่านเหล่านี้…สำหรับไทเฮาน้อยนั้นจะมีหรือไม่มีก็ได้ทั้งนั้น แต่สำหรับฝ่าบาทแล้วกลับเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
“รีบไปเบิกเอามา” ฮ่องเต้ทรงกำชับ หลี่กงกงไหนเลยจะยังกล้าลังเลอยู่อีก ได้แต่รีบทูลลานำคนออกไป
ตู๋กูเจวี๋ยเองก็คิดไม่ถึง ว่าตนเองแค่กล้าวาจาเหลวไหลไปประโยคหนึ่งก็สามารถจะแลกเอาถ่านไหมเงินในพระตำหนักตี้หัวมาได้?
ถ่านไหมเงินเป็นถ่านที่แพงที่สุด ก้อนหนึ่งสามารถจุดได้ถึงสามวัน ให้ความอบอุ่นทั่วทั้งห้อง เพียงก้อนเดียวก็มีราคาถึงหนึ่งตำลึงเงิน คนทั่วไปไม่มีทางได้ใช้
เขาอดไม่ได้ที่จะแอบคิดมูลค่าอยู่ในใจ แค่ประโยคเดียวของเขา น่าจะแลกได้เงินมาพันตำลึงทองกระมั้ง?
ฮิฮิ……
ตู๋กูเจวี๋ยอดจะแอบดีใจไม่ได้
พอคิดถึงว่าเมื่อวันนั้นพระองค์รีบออกมายอมรับ ‘ลูก’ ในท้องของน้องเล็กว่าเป็นของพระองค์….
ตู๋กูเจวี๋ยก็ยิ่งเกิดความคิดคาดเดาอย่างอุกอาจ
พวกเขาเข้าใจจีเฉวียนผิดไปแล้ว
ที่พระองค์เสด็จมาในวันนี้ไม่ใช่เพื่อใช้น้องเล็กมาบีบบังคับตระกูลตู๋กู วันนี้มาเพราะจะใช้น้องเล็กโน้มน้าวพวกเขา
ก็พระองค์กำลังอยากจะให้ท่านปู่ช่วยพระองค์โจมตีแคว้นเหยียนมิใช่หรือ?
ทันใดนั้น ในใจของเขาก็บังเกิดความคิดชั่วร้ายกว่าเดิม
ตู๋กูซิงหลันเองก็ตกตะลึงไป เดิมทีนางคิดจะปฏิเสธ แต่พอคิดว่าลูกชายเป็นฝ่ายส่งมอบทองคำพันตำลึงออกมาเอง แต่ทันใดนั้นความงกที่มีในหัวใจก็เข้ามาหักห้ามเอาไว้
ตู๋กูถิงยังคงคุกเข่าอยู่ตรงหน้านาง เขาเองก็ตกใจจนแทบจะถูเอาหนังมือของตู๋กูซิงหลันหลุดออกมาชั้นหนึ่ง
เจียงเหม่ยหยู่ก็ได้แต่ยิ้มอยู่ด้านข้างอย่างเก้อเขิน นังคนชั้นต่ำนั้นจงใจใช่หรือไม่ มันคิดจะแสดงให้เห็นว่าตนเองได้รับความโปรดปรานมากถึงเพียงไหนใช่ไหม?
ดูเอาเถอะ บุรุษเต็มห้อง มีคนใดบ้างที่ไม่รักนางปานแก้วตาดวงใจ?
ยิ่งได้เห็นท่าทางเช่นนี้ของตู๋กูซิงหลัน เจียงเหม่ยหยู่ก็ยิ่งคิดไปถึงเจียงเย่ว
ตอนนั้นเจียงเย่วเองก็เป็นเช่นนี้ ทุกคนต่างก็พากันชื่นชอบนาง หันไปแอบรักนาง ทำเหมือนคนอื่นที่เหลืออยู่ล้วนมิใช่ตัวดีมีคุณค่าอะไร
เจียงเหม่ยหยู่กัดฟันกรอดอยู่ในใจนับพันครั้ง แต่บนใบหน้าก็ได้แค่แย้มยิ้มหัวเราะฮิฮะออกมาเพื่อดึงดูดความสนใจผู้อื่น “นายท่าน ในเมื่อตอนนี้พวกเด็กๆ ล้วนกลับมากันพร้อมหน้า สมควรเริ่มรับประทานกันได้แล้วกระมัง อาหารที่ห้องครัวตระเตรียมไว้ก็ใกล้เย็นหมดแล้ว”
ตู๋กูถิง “ใช่แล้ว ทำเอาดวงใจน้อยๆ ของข้าหิวจะแย่แล้ว”
เจียงเหม่ยหยู่ “……”
ฮ่องเต้ที่ทรงพระพักตร์หนาพอก็เข้าร่วมงานเลี้ยงไปด้วย ทั้งยังนั่งอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ตู๋กูถิงจึงนั่งอยู่ข้างซ้ายของตู๋กูซิงหลัน ฮ่องเต้ประทับทางขวาของนาง ส่วนสองพี่ชายก็ได้แต่เขยิบออกไปข้างๆ
เจียงเหม่ยหยู่ยิ่งไม่มีสิทธิแม้แต่จะนั่งลง ได้แต่ยืนปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง
ถึงแม้ว่าช่วงที่ตู๋กูถิงไม่อยู่บ้านนางจะถือโอกาสตั้งตัวเป็นประมุขฝ่ายหญิงของบ้าน แต่ที่สุดแล้วก็เป็นเพียงแค่อนุเท่านั้น
ว่ากันตามฐานะแล้ว อนุคนหนึ่งย่อมไม่มีสิทธิรับประทานอาหารร่วมกับประมุขของบ้านและบุตรธิดาสายหลักอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังเพิ่มฮ่องเต้มาอีกพระองค์หนึ่ง นางยิ่งไม่มีคุณสมบัติใดๆ ทั้งสิ้น
เจียงเหม่ยหยู่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยหัวใจที่อึมครึมกว่าเดิม
ตู๋กูถิงเพียงสั่งให้นางกลับไปล้างเครื่องประทินโฉมออกให้หมดสิ้น กระทั่งกลิ่นเครื่องหอมที่รมผู้คนจนแทบสำลักตายนั้นก็ให้ล้างทิ้งไปด้วย
เจียงเหม่ยหยู่ถึงกับกระอักเลือดแล้วจริงๆ
จากนั้นท่านผู้เฒ่าก็หันกลับไปคีบอาหารให้กับตู๋กูซิงหลัน “ดวงใจน้อยๆ ปลาพวกนี้เจ้ากินให้มากๆ หน่อย”
ตะเกียบยังไม่ทันวางลงไป ก็ถูกฮ่องเต้ทรงยื่นตะเกียบมากันเอาไว้
ตู๋กูถิง “?” ฮ่องเต้น้อยผู้นี้จงใจหาเหตุหรือยังไง?
เขาตัดสินใจหันหน้าออกไปมองหาไม้กวาด มันไม่ใช่แค่พวกหลานชายเท่านั้นที่สมควรจะต้องโดนฟาด
ฮ่องเต้ “ปลานี่มีก้าง”
ตรัสแล้ว ก็เห็นพระองค์คีบเอาปลาชิ้นนั้นลงมาในชามของพระองค์เอง จากนั้นก็ไม่รู้ว่าทรงหยิบเอามีดขนาดเล็กออกมาจากที่ใด ค่อยๆ เลาะเอาก้างปลาทั้งหมดออกจนหมด ค่อยคีบคืนให้ตู๋กูซิงหลัน
ผู้คนทั้งหมด “???”
อยู่ๆ ตู๋กูถิงก็รู้สึกว่าไม้กวาดนั่นวางเอาไว้ก่อนก็ได้
สักพักหนึ่ง ตู๋กูเจวี๋ยก็เขี่ยๆ ไปที่จานปลา “ฝ่าบาท ปลานี่เป็นปลาปาเป่าหยู [1] ผลผลิตชื่อดังของทะเลตะวันตก ก้างของมันอ่อนมาก สามารถรับประทานได้เลย….”
เขายังไม่กล้าขนาดจะพูดออกไปว่าฝ่าบาทคงจะไม่รู้จักกระมัง
ฮ่องเต้ทรงฟังแล้วก็ตรัสโดยพระพักตร์ไม่เปลี่ยนสีว่า “ก้างถึงจะอ่อนแต่ก็ตำคนได้อยู่ดี เอาออกหมดแล้วก็เป็นการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง”
ผู้คนทั้งหลาย “…….” พระองค์ตรัสเสียมีเหตุมีผล ทำเอาเถียงไม่ได้เลย
ตู๋กูซิงหลันมองดูปลาที่อยู่ในชามชิ้นนั้น อยู่ๆ ก็รู้สึกว่ามันสูญเสียจิตวิญญาณแห่งปลาไปแล้ว
ปลาที่ไม่มีก้าง ก็เหมือกับเมล็ดแตงที่ไม่มีเปลือก กินแบบนี้มันจะไปได้รสชาติอะไร?
วิญญาณทมิฬเป็นสัตว์อสูรในพันธะสัญญาของนาง ย่อมรู้สึกได้ถึงความคิดในจิตใจของนาง
มันถึงกับกรอกตาขาวขึ้นมา ส่งเสียงคุยกับนาง ‘ในใจ’ ว่า “เจ้ากล้าพูดออกไปไหมเล่า?”
ครั้งนี้ไม่ใช่ว่ามันพูดจาช่วยเหลือฮ่องเต้สุนัข แต่ว่าสตรีผู้นี้ได้คืบจะเอาศอกจริงๆ
ตู๋กูซิงหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ทันรอให้นางได้กล่าวความในใจออกมา ก็เห็นท่านปู่คีบผักชิ้นหนึ่งมาให้อีก “ดวงใจน้อยๆ นี่เป็นผักสดกรอบที่เจ้าชอบกินมากที่สุด กินให้เยอะๆ หน่อย”
ครั้งนี้ฝ่าบาทมิได้ทรงสกัดเอาไว้ แต่ว่าคีบเอาขาหมูชิ้นหนึ่งมาให้ พลางตรัสกับนางอย่างอบอุ่นเป็นพิเศษว่า “กินคู่กับเนื้อนุ่มๆ ยิ่งได้รสชาติดี”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้มือกุด หม่อมฉันจัดการเองได้เพคะ”
ตู๋กูซิงหลันถูกคำว่าเนื้อนุ่มๆ ของพระองค์ทำเอาตกใจขึ้นมา วันนี้ลูกชายลืมเสวยยาก่อนออกจากวังใช่หรือไม่ สมองถึงได้ดูไม่ปกติเท่าไร
หากมิใช่เพราะว่าท่านปู่และพวกพี่ชายต่างก็อยู่ด้วย ดูท่าจีเฉวียนคงจะต้องการป้อนนางด้วยตนเองอย่างแน่นอน
พอเห็นว่าหลานสาวของตนเองตั้งท่าปฏิเสธอย่างจริงจัง ท่านผู้เฒ่าก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขาวางตะเกียบในมือลง สีหน้าดำคล้ำ “ฝ่าบาท หลานสาวของกระหม่อมคิดจะกินอะไรพระองค์ก็ยังต้องยุ่งเกี่ยว เกรงว่าจะเป็นการเกินไปแล้วกระมั้ง?”
ในสายตาของท่านผู้เฒ่า ตู๋กูซิงหลันเป็นดั่งนักโทษที่ปราศจากอิสรภาพใดๆ ทั้งสิ้น ช่างน่าสงสารอย่างที่สุด
จีเฉวียน “เราเป็นห่วง”
“มีอะไรให้ฝ่าบาทต้องทรงเป็นห่วงกัน? ใช่หรือไม่ว่านางจะพูดอะไร ทำอะไร ล้วนต้องกราบทูลกับฝ่าบาทก่อน?”
ท่านผู้เฒ่าก็เป็นคนที่อารมณ์ร้ายเช่นนี้เอง คนอื่นอาจเกรงกลัวจีเฉวียน แต่เขาไม่
“นางคือไทเฮา และยิ่งเป็นหลานสาวของกระหม่อมตู๋กูถิง! คือสตรีที่ทรงศักดิ์ที่สุดในแผ่นดิน นางคิดจะทำสิ่งใด คิดจะพูดอะไร คิดจะกินอะไร ล้วนต้องแล้วแต่ตัวนางจะตัดสินใจเท่านั้น ฝ่าบาท ทรงเข้าพระทัยหรือไม่พะยะค่ะ?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น