ท่านเทพมาแล้ว 356-359
บทที่ 356 ชอบข้าหรือไม่
โดย
Ink Stone_Romance
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยได้ยินนางทำเสียงทุ้มต่ำแบบนี้มาก่อน และบางทีอาจไม่ได้แค่ทุ้มต่ำ แต่ยังทั้งเหนื่อยอ่อนและเจ็บปวด
ยามค่ำคืนนางกลับไปที่คุนหลุนตะวันออก
ไปบอกลาหลินเจี้ยนหรู
นางเข้าใจเรื่องราวความสัมพันธ์ของมนุษย์แล้ว รู้ว่าคนที่มีสัมพันธ์อันดีต่อกันต้องรู้จักบอกลากัน
คนที่นางเคยพบเจอต่างก็มีตำแหน่งในใจนางต่างกันไป
แต่ตอนนางกลับไปที่เรือนกลับพบหลินเจี้ยนหรูที่กำลังเตรียมกำลังพลไปชำระล้างหนี้เลือดที่เขาเซียน
นางฆ่าเขา
“ข้า ที่จริงข้า ข้าอยาก…”
หลินเจี้ยนหรูทิ้งคำพูดไว้เพียงครึ่งหนึ่ง
ที่แท้แล้วเขาอยากจะทำอะไร ไม่มีใครรู้
นางไม่ลังเลแม้แต่น้อย ฝ่ามือเดียวโจมตีเขาจนวิญญาณแตกซ่าน
แต่กลับไม่รู้สึกผิด
ขอเพียงนางอยากรู้ ไม่ว่าเรื่องใดที่เขาเคยกระทำมาก็ไม่สามารถปิดบังนางได้เลยสักเรื่องเดียว
เจ้าสำนักเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ เดิมทีก็ไม่ได้เกิดมาพร้อมรากฐานมาร ความปราถนาของเขาคือตามหาจิตเดิมของมารดาที่ถูกบิดาทำลายไปกลับคืนมา จากนั้นละทิ้งสำนักมุ่งมั่นบำเพ็ญเพียร แต่ขณะที่เขากำลังเสี่ยงภัยเข้าไปขโมยของวิเศษของสำนักกลับถูกบิดาพบเข้า เขาฆ่าบิดาและน้องสาวตัวเอง เดินทางผิดตั้งแต่นั้นมา เขาตัดรากฐานเซียน กระทำเรื่องชั่วช้า เคยกระทั่งสังหารชายหนุ่มสามพันคนในเมืองแห่งหนึ่งภายในคืนเดียว
หลังจากหลินเจี้ยนหรูตายนางก็อยู่ที่คุนหลุนตะวันออกอีกสามวัน
รดน้ำดอกไม้ให้อาหารนกเหมือนเดิม เวลาที่เหลือก็ปลูกดอกไม้ไว้บริเวณหลุมศพของหลินเจี้ยนหรู
เมื่อครบสามวันนางก็กลับไปยังคลื่นจิตพสุธา
ลู่ยามองนางยืนอยู่ที่ประตู สะกดกลั้นความขมขื่นในอกเดินกลับเข้าห้องไป
เขาเพียงจุดกำยาน นางก็เดินเข้ามาแล้ว
“กลับมาแล้วหรือ?” เขาหันหลังให้นาง พยายามพูดอย่างเป็นปกติที่สุด
นานนักกว่านางจะเอ่ย “ใช่แล้ว กลับมาแล้ว”
ออกไปข้างนอกสักระยะ นางรู้จักควบคุมอารมณ์แล้ว แต่นางที่เป็นเช่นนี้กลับทำให้เขาเจ็บปวดอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
เขาหันกลับมาจับจ้องลู่จี นางยังคงไม่เป็นส่วนหนึ่งของโลก แต่อารมณ์ในแววตากลับมากมายขึ้น
นางได้กลายเป็นเซียนหญิงที่เติบโตแล้ว
“ข้าเก็บส้มที่หลิงหนานมาให้เจ้า”
นางฝืนยิ้มออกมา คล้ายกับกลายร่างเป็นหิน นิ่งไม่ขยับแม้แต่น้อย
ลู่ยาเดินเข้าไปดึงลู่จี พาเดินเข้าไปในห้องนาง
ในห้องมีส้มสดขนาดใหญ่สีแดงอยู่หนึ่งถาดใหญ่
เขาหยิบขึ้นมาปอก แกะเป็นกลีบๆ ให้นาง
เขาเห็นเองกับตา ดวงตานางมักจะส่องประกายเสมอยามที่กินส้มลูกใหญ่ตอนอยู่บนโลกมนุษย์
น้ำตาของนางไหลลงมาเป็นหยด ร้องราวกับเป็นเด็กน้อยที่ไม่เคยเผชิญหน้ากับโลกกว้าง
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าชอบกินส้ม”
“ข้าชอบเจ้า แน่นอนว่าย่อมต้องรู้”
นางพุ่งเข้ามาในอกเขา น้ำมูกน้ำตาเปรอะเปื้อนเต็มคอเขาไปหมด
แต่ก็ไม่รังเกียจ บางทีคนมีความรัก คงไม่มีคำว่ารังเกียจอยู่กระมัง?
“เจ้าชอบข้าหรือไม่?”
“แน่นอน”
ลู่จีกลับไปร่าเริงแจ่มใสอีกครั้ง ติดตามเขาตลอดเวลา
นางกลับไปยืนกรานอย่างไม่ผิดบังเช่นเดิมว่าเมื่อมีเขาก็สามารถแทนทุกอย่างที่นางมีได้
นางเกาะติดเขา เล่าเรื่องด้านนอกให้ฟัง พูดถึงเรื่องคนและสัตว์ที่เจอ เล่าเรื่องทุกข์สุขจากความรู้สึกของนาง ลู่ยามักจะฟังอย่างเงียบๆ เสมอ และก็แอบตกใจเงียบๆ ออกไปกลับมาเพียงรอบเดียว ความรู้และท่าทางการพูดของนางต่างไปมาก บางครั้งสิ่งที่นางคิดกับสิ่งที่นางแสดงออกมาดูไปแล้วก็ไม่เข้ากัน นางครุ่นคิดลึกซึ้ง ละเอียด และตรงประเด็น
แต่นางกลับไม่เคยเอ่ยเรื่องแต่งงานอีกเลย และทุกครั้งที่เงียบไป แววตาของนางมักจะลุ่มลึก
ผ่านไปราวครึ่งเดือน เขาเริ่มทนไม่ได้
เขาออกไปเก็บดอกไม้มากมายที่นอกวังมาให้นาง
ทั้งยังออกไปเก็บหินมาหลอมเป็นเพชรให้อีกมากมาย
ลู่จีเอามาโยนไปยังต้นไม้ที่อยู่ไกลๆ ทำเหมือนมันเป็นหิน
ลู่ยารู้สึกถอดใจ ทุกวันรู้สึกว่างเปล่า
วันหนึ่งเขาเห็นนางอ่านคัมภีร์เรื่องประหลาดของมนุษย์ จึงเข้าไปอ่านเป็นเพื่อน
ลู่จีไม่ได้มองเขา สองตามองเพียงหญ้าเจ็ดกลีบที่ด้านล่าง
บนใบหน้าของเทพสาวหกภพที่บริสุทธิ์ไร้คาวโลกีย์ เขากลับเห็นความเหงา…ใช่ ความเหงา เดิมทีนางไม่ควรมีความรู้สึก จะมีก็เพียงแต่สัญชาตญาณ แต่ความเหงาบนสีหน้านางกลับไม่ใช่ มันไม่ได้เกิดตามธรรมชาติ มันเหมือนกับความเย็นชาและนิ่งเฉยหลังผ่านการเห็นความรุ่งเรืองสวยงามมาแล้ว
ลู่ยารู้สึกไม่ดีนัก
เขาย่อตัวลงตรงหน้านาง จับจ้องด้วยดวงตาทั้งสอง “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
นางหลุบตาลงมือลูบหน้าหนังสือซึ่งเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับโลกมนุษย์ที่เปิดอยู่ พลางเอ่ยว่า “ข้ากำลังคิดว่า กระทั่งเพื่อนที่ไปหาสู่ได้ข้ายังไม่มีเลย”
ลู่ยาชะงัก ดึงมือนางขึ้นมา “เจ้าคือวิญญาณสาวของหกภพ มีเพียงหนึ่งเดียวบนฟ้าดินนี้ คนธรรมดาที่ไหนจะคู่ควรเป็นเพื่อนเจ้ากัน?”
“เช่นนั้นข้าก็ถูกลิขิตให้โดดเดี่ยวหรือ?” นางถาม “หากมีวันหนึ่งเจ้าจากไป ข้างกายข้าก็จะไม่เหลือใครอีกแล้ว”
ลู่ยาไม่อยากให้นางคิดมาก เขารู้ว่าตนเองจะไม่จากนางไป
แต่เขาก็ไม่คิดจะให้สัญญาเลื่อนลอย ดังนั้นทุกครั้งที่นางเป็นเช่นนี้ เขามักจะจุมพิตบนริมฝีปากนาง เพื่อยืนยันว่านางเพียงแค่กังวลมากไปเท่านั้น เพราะนางมักจะทนไม่ได้กับการแสดงความรักของเขา ทุกครั้งที่ริมฝีปากของเขาสัมผัสก็มักจะหลบ และหัวเราะแห้งๆ อยู่ในอกเขา
แต่เขากลับลุ่มหลงริมฝีปากของนาง ผิวของนาง ยามที่ลู่จีไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไร เขาก็มักจะทนไม่ได้ อยากดึงนางเข้ามาในอ้อมอกแล้วมอบจูบอันลึกซึ้งและดุดันให้
ลู่ยาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเมื่อความรักมันเอ่อล้น จะรุนแรงถึงเพียงนี้
นางสามารถควบคุมฤทธิ์ได้แล้ว เขาสามารถจากนางไปได้นานแล้ว แต่เขากลับไม่อยากจากไป อาลัยอาวรณ์ห่างจากนางไม่ได้แม้เพียงครึ่งเค่อ
โดยส่วนใหญ่นางมักจะอ่อนโยน ว่านอนสอนง่าย แต่บางครั้งก็ซุกซน เพราะบนร่างนางก็ประกอบไปด้วยวิญญาณปีศาจด้วย
อย่างเช่นในวังคลื่นพสุธามีสระน้ำหยกอยู่ น้ำในสระบริสุทธิ์และอุ่น เขาไม่ได้อาบน้ำมานานแล้ว บางครั้งก็อาศัยยามที่นางหลับแอบไปอาบ ทำสำเร็จอยู่สองครั้ง ตอนหลังพอถูกนางจับได้ นางก็รบเร้าอยากไปกับเขาด้วย เมื่อเขาไม่ยอม นางจึงแกล้งทำเป็นหลับ รอเขาลงไปในสระจึงค่อยลงมาแช่ด้วย
นางเลียนแบบเขาถอดเสื้อคลุมออก เปลือยกายอยู่ในน้ำด้วยกัน
นางกัดริมฝีปากล่างอยู่ท่ามกลางไอน้ำ ดวงตายกโค้งขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย ทุกอณูเต็มไปด้วยความยั่วเย้า
เขารู้สึกว่าตนเองเป็นหมาป่าถือศีลที่ตอนนี้ถูกนางปลดปล่อย
ตอนที่นางมาจุตินั้นบริสุทธิ์ยิ่งนัก แต่ตอนนี้ทุกอิริยาบถกลับเย้ายวน ท้าทายเขา
ลู่ยาดึงนางเข้าไปกอดในน้ำ
“อาลู่ อาลู่…”
หูของเขาได้ยินเพียงเสียงครวญครางของนาง แต่ละเสียงประทับลงไปในจิตวิญญาณของเขา
แววตาของนางมีเพียงโลก และโลกของนางก็คือเขา
ราวกับนางต้องการจะสลายร่างทั้งร่างเป็นขี้เถ้า และมอบบรรณาการให้แก่เขา
ยามนี้เป็นยามที่มีความสุขและสวยงามที่สุดในคลื่นจิตพสุธา
พวกเขากลายเป็นเงาของกันและกันไม่แยกจาก ยามเช้ามาดูน้ำค้างยามเช้า ยามพลบค่ำก็มาดูพระอาทิตย์ตก ยามกลางวันพวกเขาดูแลดอกไม้ใบหญ้า อ่านหนังสือคัดอักษร ยามค่ำคืนก็ปล่อยใจไปตามความต้องการ
นางได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณเขาแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่อาจแยกได้
…………………………………….
บทที่ 357 ฝีมือดีพอ
โดย
Ink Stone_Romance
เขากับนางต่างก็มีชีวิตยืนยาวเช่นเดียวกัน กลางคืนในคลื่นจิตพสุธาค่อนข้างยาวนาน นางล้างมือทำน้ำแกงให้เขาตามตำรา
ลู่ยาชอบกินปลา นางจึงสวมหมวกสานใบน้อย ถือเก้าอี้ตัวเล็ก หาบชะลอมไปในแม่น้ำใกล้ๆ แล้วตกปลาให้เขา ไม่เคยมีใครสอนนางตกปลา สร้างเครื่องมืออย่างไร ก็เป็นตัวนางเองที่คิดออกมา รวมถึงเหยื่อสำหรับตกปลาด้วย และชะลอมที่เอาไปนางก็สานขึ้นมาจากไม้ไผ่ด้วยตัวเอง
ลู่จีทำสิ่งเหล่านี้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เขาเฝ้าชะลอมให้นาง โยนรำข้าวลงไป เด็ดดอกไม้ค่อยๆ ปักลงบนหมวกสานของนาง ลู่จีหยิบชะลอมมาด้วย นางเรียนรู้ที่จะนั่งอยู่ริมน้ำเลียนแบบเจียงจื่อยา[1] หรี่ตาราวกับแมว บอกว่าชอบวันคืนที่เรียบง่ายเช่นนี้
แน่นอนว่าเขาก็พานางออกไปเดินเล่นบ้าง ระหว่างทางเจอคนที่รู้จักเขา คนเหล่านั้นมักจะคุกเข่าทำความเคารพ นางก็มักจะมองเขาอย่างเทิดทูนในทุกการกระทำ ราวกับเป็นผู้ติดตามผู้ซื่อสัตย์ อีกทั้งตนเองก็ไม่ใช่เทพหญิงที่ได้รับการเคารพจากหกภพด้วย
หลังจากกลับมานางก็วาดภาพเขาแขวนไว้บนผนัง
ลู่ยาในภาพนั้นรูปร่างอ้อนแอ้น สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ นี่คือเขาในสายตานาง
ในสายตานาง ทุกส่วนของเขาล้วนไร้ข้อตำหนิ สิ่งเดียวที่ทำให้นางบ่นได้คงเป็นเรื่องที่เขาไม่ให้นางเดินถนนด้วยเท้าเปล่า ไม่ยอมให้นอนมองดาวกลางแจ้ง ทั้งยังไม่ยอมให้อ่านหนังสือภาพของผู้ใหญ่
เรื่องอื่นก็แล้วไปเถอะ แต่เขาคิดว่านางไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือภาพเหล่านี้
“ข้าคิดว่าฝีมือของข้าดีพอแล้ว อย่างน้อยทุกครั้งเจ้าก็ทนไม่ไหวจนต้องกัดข้าทุกที”
ทุกครั้งยามที่เปลี่ยนใจนางไม่ได้ เขาก็มักจะกุมหน้าผากพูดเช่นนี้ บนแขนและไหล่ของเขามีรอยฟันของนางเต็มไปหมด เขาไม่เคยคิดจะลบมันออกไป เพราะลบออกก็มีใหม่อยู่ดี จึงไม่คิดสนใจเรื่องเสียเวลาเหล่านี้ ที่แท้เขาก็ฉลาดเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องพรรค์นี้ยิ่งไม่จำเป็นต้องมีอาจารย์สอน และนางก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีก
“แต่ข้าเห็นเจ้าแอบอ่าน” นางชี้ไปที่ใต้เตียงฝั่งเขาพลางเอ่ย
ใต้เตียงนั้นคือใบไม้ทองบันทึกวิชายั่วยวนที่จิ้งจอกเงินให้เขามา
ลู่ยาหน้าแดง ไม่พูดกับนางทั้งวัน
ยามค่ำคืนยังคงร้อนแรงเหมือนเดิม
หลังเสร็จกิจนางก็เขยิบเข้าไปใกล้ อ่อนโยนอบอุ่น ริมฝีปากทั้งคู่แนบอยู่กับริมหูเขา จุมพิตไล่จากปลายหูไปยังจอนผม จากจอนผมไปยังเส้นผม พึมพำอยู่ตรงเรือนผมเขา “อาลู่ อาลู่ ข้าจะไม่เป็นภรรยาเจ้า ข้าจะอยู่กับเจ้าเช่นนี้ ไม่ต้องการฐานะใด ดีหรือไม่?” นางยื่นแขนไปโอบ ร่างกายอันอ่อนนุ่มกอดรัดเขาไว้ด้วยสัญชาตญาณดั้งเดิม
เสียงของลู่จีเบาจนมีเพียงเขาที่ได้ยิน น้ำเสียงอันเจียมเนื้อเจียมตัวนั้นทำให้ใจเขาสั่น
ที่แท้นางยังฝังใจกับเรื่องนี้ แต่เขาเคยบอกให้นางละทิ้งเรื่องฐานะตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
นางมองตนเองเป็นอะไรไปแล้ว?
ลู่ยานึกโมโห พลิกตัวไปทันที เปลี่ยนวิธีมัวเมานางด้วยรสพิศวาสครั้งแล้วครั้งเล่า
เช้าวันถัดมาเขาตื่นก่อนนาง ปล่อยนางที่หลับลึกไว้ แล้วกลับไปยังสวรรค์อันสูงส่ง
“ข้าอยากแต่งงาน” เขาบอกหนี่ว์วากับหุนคุน “ไม่ได้มาเพื่อขออนุญาตกับพวกท่าน แต่เพื่อมาบอกกล่าวสักหน่อยเท่านั้น”
ทั้งหุนคุนและหนี่ว์วาต่างก็มองเขาโดยไม่เอ่ยอะไร
“ข้าหมายถึงตอนนี้ ทันที กับลู่จี” น้ำเสียงเขากระตือรือร้นนัก ประหนึ่งทหารที่ชนะศึกกลับมา
นานนักกว่าหนี่ว์วาจะถอนหายใจยาว แล้วเอ่ยว่า “หากต้องการเช่นนั้นจริง ก็มิใช่ว่าไม่ได้ แต่เจ้าไม่อาจอยู่กับนางฉันท์สามีภรรยาได้นานหรอก”
“หมายความว่าอย่างไร?” ลู่ยาไม่พอใจ
“หมายความว่า พวกเราก็ไม่รู้ว่าหลังจากที่ลู่จีแต่งกับเจ้าแล้วจะมีชีวิตยืนยาวได้เท่าไหร่”
หุนคุนถลกแขนเสื้อขึ้นพูด “การมาจุติของนางไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”
“ก่อนที่อาจารย์จะคืนสู่ธรรมชาติข้า กับศิษย์พี่ใหญ่ได้ไปที่คลื่นจิตพสุธากับท่านเป็นครั้งสุดท้าย ตอนนั้นพบว่าพลังร้ายในคลื่นจิตพสุธาถูกขมวดรวมไว้จำนวนมาก ทั้งยังแข็งแกร่งยิ่งนัก อาจารย์คาดการณ์ว่าต่อไปพลังที่ไม่บริสุทธิ์นี้จะกลายเป็นรูปร่าง พลังร้ายในคลื่นจิตพสุธานี้คือพลังปราณอัปมงคลทั้งหมดในจักรวาล หากมันเล็ดลอดออกไป หกวิญญาณที่อยู่ในวังวิญญาณเทพก็ไม่แน่ว่าจะรับมือไหว”
“แต่เพียงแค่ทำลายพลังชั่วร้ายนั้นไป คลื่นจิตพสุธาก็จะสงบไปอีกยาวนาน”
“ดังนั้นอาจารย์จึงใช้ผังแปดทิศเป็นแกนกลางขับเคลื่อนพลังของหกวิญญาณ ทำให้กำเนิดวิญญาณที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าหกวิญญาณออกมา นางมีพลังของหกวิญญาณรวมกัน ทั้งยังมีฤทธิ์อาคมของอาจารย์เพิ่มเข้าไปอีก จึงมีความสามารถในการควบคุมหกวิญญาณและผนึกฟ้าดิน เป็นเทพหญิงจากฟ้าที่แท้จริง แต่นางเกิดมาก็เพราะพลังชั่วร้ายของคลื่นจิตพสุธา การสะกดพลังนั้นเป็นลิขิตชะตาของนาง ไม่มีวาสนาต่อเจ้ามาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
ราวกับมีเสียงสายฟ้าฟาดลงมาที่ริมหู ใจของลู่ยาสั่นสะท้าน
“พวกท่านพูดความจริงหรือ?”
“ไม่ผิด” หนี่ว์วาถอนหายใจ
ลู่ยาลุกขึ้นมาทันที ทั้งใบหน้าบิดเบี้ยว “หมายความว่านางเป็นเพียงเครื่องสังเวยที่พวกท่านกับอาจารย์สร้างขึ้นมาเท่านั้น?!”
หุนคุนและหนี่ว์วาสบตากัน ไม่เอ่ยคำใด
หุนคุนพูด “พวกเราก็ไม่คิดว่าเจ้ากับนางจะ…”
“หุบปาก!” ลู่ยาระเบิดอารมณ์ “นางคือเทพหญิงของวิญญาณทั้งหกแห่งวังเทพ! เป็นจิตวิญญาณของฟ้าดินที่ได้รับการเคารพเทิดทูนจากหกภพ! ฐานะของนางไม่ได้ต้อยต่ำกว่าข้าเลย นางจะกลายเป็นเครื่องมือที่พวกท่านใช้ต่อกรกับพลังร้ายในคลื่นจิตพสุธาได้อย่างไร! หรือการปกป้องวิถีฟ้าของพวกเรา คือการให้เด็กสาวที่อ่อนแอไปสละชีพแทน?!”
หนี่ว์วาถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นหลังจากผ่านไปนาน “ข้าก็รู้สึกว่าทำเช่นนี้ไม่ถูกนัก ไม่ว่านางจะเกิดมาเพราะอะไร ชีวิตของนางย่อมมีค่ามากกว่าการเสียสละตนเองเพื่อต้านพลังร้ายในคลื่นจิตพสุธา ดังนั้นข้าจึงได้ไปหาศิษย์พี่ใหญ่เพื่อครุ่นคิดวิธีการอื่น ศิษย์พี่ใหญ่บอกข้าว่า หากต้องการจะปกป้องนางให้ไร้ภัย เจ้าไม่อาจแต่งงานกับนางได้ และเมื่อครู่ข้าเพิ่งได้ข่าวมา…”
“เกี่ยวอะไรกับการแต่งงานของพวกเราด้วยเล่า!” เขากระทืบเท้าครั้งเดียว เก้าอี้หยกขาวในวังจิตกระจ่างก็ถึงกลับพลิกคว่ำ
“นางเกิดมาเพราะพลังร้ายในคลื่นจิตพสุธา ชะตาชีวิตของนางไม่มีเจ้า หากเจ้ากับนางแต่งงานกัน ชะตาชีวิตของนางจะวุ่นวายแน่ พลังชั่วร้ายในคลื่นจิตพสุธาจะยิ่งทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากออกมามากขึ้น ถึงตอนนั้นลู่จีต้องสละชีวิตควบคุมมัน หากเจ้าเลือกวางมือ อย่างน้อยนางก็จะปลอดภัย”
“ท่านหมายความว่าการที่ข้าอยู่กับนางเป็นการทำร้ายนาง?” เสียงของลู่ยาสั่นเครือ “นอกจากให้นางสละชีพเพื่อต่อกรกับพลังร้ายร้ายในคลื่นจิตพสุธา พวกเราไม่มีวิธีอื่นเลยหรือ?”
เสียงของหนี่ว์วาจริงจังขึ้น “มีวิธีอยู่ แต่การที่ท่านอาจารย์ทำให้หกวิญญาณสร้างนางขึ้นมา แต่เดิมก็เพื่อต่อกรกับพลังร้ายในคลื่นจิตพสุธา หน้าที่ของนางคือการปกป้องคลื่นจิตพสุธาเอาไว้ ถึงแม้พวกเราจะจัดการได้ แต่หากนางเลือกเจ้าก็อาจได้รับโทษจากฟ้า ดับสูญไปพร้อมกับพลังร้ายในคลื่นจิตพสุธา นอกจากว่านางจะกำจัดพลังอัปมงคลนั่นได้ในที่สุด ถึงค่อยสามารถอยู่กับเจ้าได้”
ลู่ยายืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับแม้แต่น้อย เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงมา ราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเผชิญหน้ากับทางเลือกเช่นนี้
ทำลายพลังร้ายในคลื่นจิตพสุธา? พูดอย่างกับง่าย
พลังชั่วร้ายในคลื่นจิตพสุธาเป็นถึงพลังปราณอัปมงคลทั้งหมดบนฟ้าดินนี้ ถึงแม้นางจะเกิดมาจากหกวิญญาณ แต่พื้นฐานยังอ่อนนัก เพิ่งมาเกิดได้ไม่กี่ร้อยปี นางจะเอาตัวรอดหลังจากที่ทำลายพลังชั่วร้ายในคลื่นจิตพสุธาได้อย่างไร? กระทั่งพวกหนี่ว์วาเองก็ไม่แน่ว่าจะทำได้!
ลู่ยาก็ไม่เคยคิดเลย การที่เขาเพียงแค่อยากอยู่กับคนรักไปจนแก่เฒ่า ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจเป็นจริงได้
“เช่นนั้นพวกเราจะไม่แต่งงาน แล้วอยู่ด้วยกันไปเช่นนี้?” ลำคอของเขาแห้งผาก ดวงตาที่มองพวกเขาทั้งสองก็แห้งเล็กน้อย
“จะแตกต่างอะไร?” หุนคุนโบกมือ “อย่างไรตอนนี้เจ้าก็มีเพียงสองทางเลือก ทางแรกคือเผชิญหน้ากับความจริงแล้วตัดสัมพันธ์รักครั้งนี้เสีย เช่นนี้นางก็จะอยู่อย่างปลอดภัย อีกทางคือหากแยกจากไม่ได้ก็อยู่ด้วยกันต่อไป แต่ถ้าเลือกทางนี้ก็เท่ากับรอให้นางดับสูญไปพร้อมกับพลังร้ายในคลื่นจิตพสุธา”
………………
[1] เจียงจื่อหยา คือนักยุทธศาสตร์การสงครามผู้ช่วยโจวอู่หวังโค่นล้มราชวงศ์ซาง และก่อตั้งราชวงศ์โจว
บทที่ 358 ไม่มีโอกาสได้พบกันอีก
โดย
Ink Stone_Romance
ลู่ยาไม่รู้ว่าตนออกมาจากสวรรค์อันสูงส่งได้อย่างไร
เขานั่งนิ่งอยู่บนเนินเขาที่ถิ่นทุรกันดารทางเหนือถึงสามวัน
เพียงแหงนหน้ามองก็เห็นคลื่นจิตพสุธา แต่เขากลับก้าวเท้าไม่ออก
เขาไม่รู้จะเผชิญหน้ากับลู่จีที่นั่งรอเขาอย่างโง่งมอย่างไร?
โลกทั้งใบของนางคือเขา และเขากลับทำได้เพียงมองนางไปตาย ไม่ก็ทอดทิ้งนาง แยกจากกันไปตลอดกาล
ไม่ว่าทางไหนเขาก็ทำไม่ได้
เขาคลุ้มคลั่งร้องตะโกนอยู่บนยอดเขาจะมีประโยชน์อะไร? นอกจากทำให้เขาดูเหมือนคนบ้าเท่านั้น
ช่วงดึกหลังจากผ่านไปสามวัน เขากลับไปยังคลื่นจิตพสุธา เมื่อมาถึงประตูก็เห็นลู่จีนั่งกอดเข่าอยู่ท่ามกลางดอกไม้นานาพรรณ สวมรองเท้าเรียบร้อย ไม่ได้นั่งอยู่บนพื้นที่เปียก
“อาลู่” นางยืนขึ้นมาตอนที่มองเห็นเขา ก่อนพุ่งเข้าไปตรงหน้าอย่างรวดเร็ว แววตาเต็มไปด้วยความกังวล
เขาไม่ได้พูดอะไร กำหมัดแน่นตามใจที่บีบรัด
“เจ้าไปไหนมา?” นางถามอีก
เขาก้มหน้าขึ้นระเบียงทางเดิน เดินช้าๆ มุ่งไปยังห้องของตนเอง
ลู่จีเดินตามเขาอยู่ด้านหลัง ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
เมื่อมาถึงห้องเขาก็หยุดลง นานนักกว่าจะหันกลับมามองนางแล้วบอกว่า “ข้าต้องไปแล้ว”
นางเงยหน้าขึ้นทันที “ไปไหน?”
“ยังไม่รู้” เขายกมุมปาก “แต่บนโลกนี้ไม่มีงานเลี้ยงที่ไม่เลิกรา ข้ารู้สึกว่าเวลาที่ข้าใช้อยู่ที่นี่นานพอแล้ว”
ลู่ยาเห็นร่องรอยความเจ็บปวดพาดผ่านแววตานางอย่างชัดเจนราวกับมีมีดบาด จากนั้นเลือดของนางก็หลั่งรินออกมาจากรอยมีดนั้น ผิวของนางขาวอยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลับยิ่งขาวจนคนเวทนานัก
“ทำไมถึงจากไปกะทันหัน?”
“ข้ามักจะทำอะไรตามอำเภอใจเสมอ ไปไหนมาไหนอิสระเสรี ไม่ได้กะทันหันอะไร”
ใจของลู่ยาเหมือนมีมีดนับหมื่นทิ่มแทง แต่เบื้องหน้ากลับดูสบายๆ และเขายังใช้มีดแทงเข้าไปในใจตนเพิ่มอีก “อีกอย่างตอนที่เจ้าออกจากวังไป ที่จริงข้าก็ไม่ได้อยู่ที่นี่เหมือนกัน แต่ไปที่หนานหมิง ที่นั่นข้าได้รู้จักเด็กสาวคนหนึ่ง ตกลงกันไว้ว่าจะไปตกปลาที่หนานหมิงด้วยกัน อา ข้าเคยบอกเจ้าหรือไม่ว่าปลาที่หนานหมิงสดยิ่งนัก ต้มออกมากลิ่นหอมไปถึงสิบลี้?”
เขายิ้มน้อยๆ มองนาง ไม่ได้หลบสายตาไปไหน
ลู่จีแหงนหน้ามองเขา ดูนิ่งสงบจนน่ากลัว “เจ้ากับเด็กสาวคนอื่น?”
เขาชะงักไปเล็กน้อย พูดช้าๆ ว่า “ใช่”
ลู่ยาไม่อาจบอกความจริงกับนาง เขารู้จักนางดีเกินไป หากบอกความจริงนางก็คงไม่สนใจอะไรและเลือกที่จะอยู่กับเขา
บางทีแบบนี้ก็คงดีแล้ว เขายินดีพูดจาทำร้ายจิตใจนาง ให้นางก่นด่าเขาอยู่ในบ้าน แต่ไม่ยินยอมให้นางตายไปเยี่ยงดอกโบตั๋น
นางเม้มริมฝีปาก มุมปากยกขึ้นน้อยๆ จากนั้นก็หัวเราะ เหมือนกับดอกหลี่บนยอดต้นถูกลมหนาวพัดร่วงโรย
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” นางพยักหน้า
ลู่ยาก็พยักหน้า หมุนตัวไป
เขาหันกลับมาตอนไปถึงประตู สองสายตาสบประสาน นางพลันพุ่งเข้ามาหาเขา กอดเอาไว้ แขนทั้งสองกอดคอเขาไว้แน่น “ข้าจะไม่เอ่ยเรื่องแต่งงานอีกแล้ว ข้าจะไม่เอ่ยถึงมันอีกตลอดชีวิตตลอดชาติดีหรือไม่? เจ้าอย่าไปเลย อย่าไปกับผู้หญิงคนอื่น ข้าจะไม่เกาะติดเจ้า เจ้าอยากไปที่ไหนก็ไป ขอเพียงเจ้ากลับมา เจ้าอย่าทิ้งข้าได้หรือไม่?”
ร่างของนางแนบติดกับกายเขา เสียงของนางสั่นเครือ เหมือนกับเด็กถูกทิ้งกำลังอ้อนวอนที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว
เขาหลับตาลงสูดกลิ่นกายของนางตรงซอกคอ ก่อนผลักนางออก “เจ้ายังไม่โตจริงๆ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย จากนั้นก้มหน้าจัดเสื้อให้เข้าที่ จัดการแขนเสื้อ ไม่มีความกล้าพอที่จะมองนาง
แต่นางกลับพลันนิ่งเหมือนกับต้นไม้ กระทั่งลมหายใจยังไม่มี
เขาอยู่มาจนอายุขนาดนี้แล้ว ก็รักเพียงแค่คนเดียว แต่ตอนนี้กลับหยิบมีดแทงนางด้วยตนเอง สำหรับเขาแล้วมันไม่ต่างอะไรกับการลงทัณฑ์ที่โหดเหี้ยม
ลู่ยาเบือนหน้าหนี เดินผ่านนางออกไปด้านนอก
ทว่าบนเท้าก็หนักแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ราวกับมีเหล็กถ่วงไว้
“เช่นนั้นหลังจากเจ้าจากไปครั้งนี้ เจ้ากับข้าคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก”
เสียงของลู่จีดังขึ้นจากด้านหลัง เบาหวิวดุจลม เยียบเย็นดุจน้ำแข็ง
เขาสั่นโอนเอนไปตามลม หันหน้ากลับไปทันที แสงขาวพลันสว่างวาบตรงหน้า เงาร่างของนางหายไปแล้ว!
“ลู่จี!”
เขาสังหรณ์ใจไม่ดี รีบวิ่งตามไป
เทพชั้นสูงที่ฤทธิ์เดชอาคมแก่กล้าเช่นเขา ทั้งยังเป็นศิษย์ของปฐมวิญญาณ กลับต้องสิ้นเรี่ยวแรงในการไล่ตามนาง!
สุดท้ายเขาเจอนางหยุดอยู่ที่ยอดเขาแห่งหนึ่ง เหมือนกับขนนกสีขาวที่ไหวไปตามแรงลม ลู่ยายังไม่ทันเรียก เข่าของนางก็ทรุดลงกับพื้น พลังวิญญาณไหลบ่าออกมาเหมือนคลื่นที่น่าหวาดกลัว!
ลู่จีเหมือนจะลอยไปตามลม ใครก็ไม่อาจเข้าใกล้นางได้แม้ครึ่งก้าว!
“ข้ายินยอมตายจาก แต่ไม่อาจแยกจากได้”
“ข้ารู้เรื่องพลังร้ายในคลื่นจิตพสุธานานแล้ว แต่ข้าก็ร้องขอเพียงให้เจ้าอยู่เคียงข้างข้าจนถึงวันสุดท้ายเท่านั้น”
“ในเมื่อเกิดมาไม่ได้รับความรัก มิสู้ข้าช่วยให้เจ้าสมประสงค์”
“ลู่ยา ข้าขอสังเวยร่างข้า ขอให้เจ้ามีชีวิตที่เหลืออย่างโดดเดี่ยวไปตลอดกาล!”
นางยืนขึ้นมา สะบัดมือสร้างกำแพงแสงขาว คลื่นถาโถมราวกับพลิกฟ้าคว่ำปฐพีกลบเสียงตะโกนของเขาไปในนั้น
นางเหมือนขนนกสีขาวอย่างแท้จริง ขาวโพลนจนสว่างไปทั้งสี่ทิศ ลอยสูงขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นแสงขาวก็สว่างเจิดจ้า ทะลุผ่านผังแปดทิศบนกำแพงไป ก่อนจะกระทบลงไปยังพื้นของคลื่นจิตพสุธาทันที…
“ลู่จี!”
ลู่ยาพุ่งเข้าไปหวังจะทลายกำแพงแสงนั้น เสียงร้องของเขาแหวกอากาศ!
เขาวิ่งเข้าไปในวังวิญญาณเทพอย่างไม่สนอะไรทั้งสิ้น แต่พลังวิญญาณที่ถล่มทลายลงคอยผลักเขาออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า!
นี่เป็นความแข็งแกร่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนตลอดชีวิตนี้ เขาใช้พลังบำเพ็ญทั้งหมดเข้าปะทะกับมัน เสียงระเบิดและเสียงปะทะดังขึ้นต่อเนื่อง แสงขาวและเงาดำพันเกี่ยวกัน เขามองเห็นได้ไม่ชัดแล้ว และไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว เขาเพียงต้องการเจอลู่จี ดึงนางกลับมา บอกนางว่าเขาผิดไปแล้ว จะแยกจากหรือตายจากเขาล้วนไม่ต้องการ สิ่งที่เขาต้องการคือใช้ชีวิตอยู่กับนาง…
“ลู่จี…”
…เสียงรอบด้านล้วนเงียบสงัด
ในห้องสงบจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของคนไม่กี่คน
มุมปากของลู่ยามีเลือดไหลออกมา เดินโงนเงนเข้าไปหาผังแปดทิศที่สงบนิ่ง มือสัมผัสกับหกวิญญาณบนกำแพง
เขาเข้าใจแล้ว เขาติดค้างนาง เขาเข้าใจว่าตนเองฉลาด สุดท้ายก็ไม่ได้ฉลาดไปกว่านางเลย ทำไมนางถึงได้กลับมาที่คลื่นจิตพสุธาหลังจากออกไปเผชิญโลกกว้าง ทำไมถึงได้พูดคำพูดแปลกๆ เหล่านั้นกับเขา ทำไมถึงได้บอกว่าถ้าเขาจากไป นางก็จะเหลือเพียงตัวคนเดียว
ทำไมสีหน้าของนางถึงได้โดดเดี่ยวและเศร้าสร้อย? เพราะการเป็นเทพหญิงที่เฝ้าคลื่นจิตพสุธา นางยิ่งต้องรู้สถานการณ์ในคลื่นจิตพสุธามากกว่าพวกเขา นางฉลาดขนาดนั้น ย่อมเข้าใจกระจ่างในสรรพสิ่ง ทำไมนางจะไม่รู้ว่าการเกิดมาของนางหมายถึงอะไร แต่เขากลับไม่เคยรู้เลยว่าในใจนางต้องเผชิญกับความเจ็บปวดอะไรบ้าง
ลู่จีไม่พูด นางไม่พูดอะไรเลย หวังเพียงให้เขาอยู่ข้างนางจนวินาทีสุดท้ายเท่านั้น
นางรู้ชัดเจนกว่าผู้ใดว่าสิ่งที่นางต้องการคืออะไร แต่เขาทำตัวอวดรู้ ผลักนางลงไปยังบ่อน้ำลึก!
นางใช้ร่างตนแทนคำสาป สาปเขาให้เดียวดายไปตลอดชีวิต แต่กลับไม่คิดอยากรู้ว่าเขาอยากให้นางอยู่เคียงข้างหรือไม่?
“ลู่จี…”
เขาคุกเข่าอยู่ใต้กำแพงวิญญาณ แสงสว่างของหกวิญญาณส่องกระทบตัวเขาอย่างเงียบงัน
เขายื่นมือออกไปจับ แต่กลับมีเพียงความว่างเปล่า
จุ่นถีมองหงจวินที่ทำหน้าตึงมาตลอดคราหนึ่ง ก่อนหลุบตาลงต่ำ
“หากไม่ใช่เพราะเจ้าอวดฉลาดก่อเรื่องโดยพลการ เทพหญิงก็คงไม่ตาย หกวิญญาณก็จะไม่เสียหาย เพราะเจ้า คนหลายคนต้องร่วมแสดงละครฉากใหญ่นี้ไปกับเจ้าด้วย!” หงจวินมองเขาที่คุกเข่าอยู่หน้ากำแพงวิญญาณอย่างเย็นชา เอ่ยอย่างดุดัน
…………………………………………
บทที่ 359 หลังจากนั้น
โดย
Ink Stone_Romance
ลู่ยาไม่ตอบ เขานั่งตัวงออยู่บนพื้น มองไปยังโถงอันว่างเปล่าที่เคยจัดวางโต๊ะมงคล
“จากนั้นล่ะ?” เขาถาม “ลู่จีกลายเป็นอาจิ่วได้อย่างไร? พวกนางไม่เหมือนกันเลย…”
แม้เขาจะแน่ใจว่ามู่จิ่วคือลู่จี แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าบุคลิกนิสัยของพวกนางต่างกันมากนัก
หงจวินทำหน้าเคร่งมองประตู “ลู่จีตัดสินใจหนักแน่น เข้าไปในใจกลางคลื่นจิตพสุธาหวังจะดับสูญไปพร้อมพลังลมปราณร้าย แต่พื้นฐานของนางยังไม่ถึงขั้นจะทำลายพลังนั้นได้หมดจด หากคิดจะทลายพลังร้าย ทำได้เพียงรั้งอยู่ในคลื่นจิตพสุธาเพื่อรอโอกาสเหมาะ แต่เพราะเจ้าแข็งขืนบุกเข้าไปจึงทำความเสียหายแก่หกวิญญาณบนกำแพง ทำให้พลังร้ายรั่วไหลออกมา นางจึงทำได้เพียงสละชีวิตเข้าปกป้อง สุดท้ายนางเข้าทลายพลังร้ายและทำให้หกวิญญาณกลับมามีสภาพดังเดิม จนจิตวิญญาณแตกซ่านไปทั้งหมด”
ลู่ยาไม่ขยับ ทำได้เพียงยกมือขึ้นปาดเลือด
“ข้าไม่เชื่อ” หากจิตวิญญาณแตกซ่านไป จะกลายเป็นอาจิ่วได้อย่างไร?
“สิ่งที่อาจารย์ลุงกล่าวนั้นไม่ผิด จิตวิญญาณได้แตกซ่านไปแล้ว”
จุ่นถีพูดช้าๆ “แต่เพราะนางคือบุตรสาวของวิญญาณทั้งหก หกวิญญาณฟื้นฟูสู่สภาพเดิมด้วยพลังวิญญาณที่มีมาแต่เกิดของนาง จึงยังคงเหลือจิตรับรู้ของนางอยู่ อาจารย์ลุงไปถึงทันเวลาพอดี อาศัยพลังบริสุทธิ์ของสวรรค์อันสูงสุดตามหาพลังวิญญาณของนาง แล้วส่งกลับไปราวๆ หกพันปีก่อน…หรือก็คือหนึ่งหมื่นหกหรือเจ็ดพันปีก่อน พอดีกับที่พลังฟ้าเริ่มเคลื่อนไหว สามารถบิดเบือนมิติเวลาได้”
“หรือหมายความว่านางกลับไปยังยุคที่ไม่มีนางอยู่ เริ่มชีวิตใหม่ในโลกมนุษย์”
“แต่เพราะจิตรับรู้ของนางอ่อนแอเกินไป ยังไม่สามารถไปเกิดเป็นคนได้ และก็มีเพียงพลังเซียนสายหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นพวกข้าจึงพานางเวียนว่ายตายเกิดไปอีกหลายช่วงเวลาก่อน ล่าสุดก็คือที่โลกมนุษย์ นางใช้ชีวิตอยู่ราวยี่สิบกว่าปี พลังเริ่มสมบูรณ์ขึ้นหน่อยถึงได้พากลับโลกเซียน ให้ข้าช่วยนางออกจากปากเสือ”
“อาจิ่วในตอนนี้จึงไม่ใช่ลู่จีที่แท้จริง นางเป็นเพียงจิตต้นกำเนิดส่วนหนึ่งเท่านั้น บุคลิกนิสัยของนางเป็นเพียงส่วนหนึ่งของลู่จีเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด ที่ท่านเห็นว่าบุคลิกนิสัยของพวกนางต่างกันมากก็เป็นเพราะเหตุผลนี้ แต่หลังจากที่พลังระเบิดออกที่คุนหลุนตะวันออกครั้งนั้น ตอนนี้วิญญาณที่เหลือซึ่งหลบซ่อนอยู่ในร่างกายนางก็ค่อยๆ ตื่นขึ้น”
“หมื่นกว่าปีก่อน?”
“ไม่ผิด” จุ่นถีพูดต่อ “ถึงแม้ตอนนั้นจะหล่อเลี้ยงจิตต้นกำเนิดของลู่จีขึ้นมา แต่กลับไม่ใช่ของดั้งเดิมของนาง นี่เป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงสำหรับหกภพ ข้ายังจำได้ ตอนที่เทพหญิงจากไป ฟ้าดินเปลี่ยนสี แม่น้ำทะเลโหมซัด สายฟ้าฟาดไปทั่วทั้งสวรรค์เก้าชั้น ดาวผืนใหญ่ตกลงมาที่สวรรค์อันสูงส่ง”
“ฝนตกห่าใหญ่ติดต่อกันเก้าวันเก้าคืน อาจารย์ลุงโกรธจัดจึงจับท่านเข้าไปใต้ดอกบัวทอง หลังจากนั้นอาจารย์กับอาจารย์อาสามขอร้องไว้ อาจารย์ลุงถึงได้ปล่อยท่านออกมา ตัวท่านอ้อนวอนขอให้ยอมให้อยู่ด้วยกันกับเทพหญิง อาจารย์ลุงคิดแล้วว่าเทพหญิงต้องกลายเป็นเซียน จึงใช้พลังเจ็ดดาวเหนือดึงจิตรับรู้ของท่านออกมาส่วนหนึ่ง ทำให้กลายเป็นชายชุดเขียวอย่างที่เห็นในปัจจุบัน”
ลู่ยาเงียบไปครู่หนึ่ง มองเขาก่อนเอ่ยว่า “เจ้าหมายความว่าพวกเจ้าทั้งหมดต่างก็รู้เรื่องราวทั้งหมด มีเพียงข้าเท่านั้นที่ไม่รู้?”
ในฟ้าดินนี้เต็มไปด้วยมิติเวลามากมาย พวกเขาสามารถเดินทางเข้าออกได้ตามใจชอบ เรื่องนี้เขาไม่สงสัย แต่ทำไมเขาต้องแยกเขาออกเป็นสองคน?
“ไม่ใช่” จุ่นถีส่ายหน้า “คนที่รู้เรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบมีเพียงอาจารย์ลุงคนเดียว ข้าเพิ่งรู้ตอนที่ท่านมาขุดคุ้ยเรื่องของข้าที่หงชาง อาจารย์ลุงคาดว่าท่านจะมา จึงกลายร่างเป็นจื่อเย่ามาหาข้าเสียก่อน กระทั่งอาจารย์กับอาจารย์อาสามก็เพิ่งรู้เรื่องเมื่อเร็วๆ นี้ น่าจะเป็นตอนที่ท่านถูกขวางที่คลื่นจิตพสุธาแล้วกลับมาไม่นาน”
“เดิมทีอาจารย์ลุงตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังหลังจากที่อาจิ่วกลายเป็นเซียนแล้ว แต่เรื่องนี้กลับผิดแผน พวกเราประเมินความดื้อด้านของอาจารย์อาน้อยผิดไป หลายครั้งที่ความจริงเกือบถูกท่านเปิดเผย อาจารย์ลุงจึงจำต้องปรากฏตัวออกมา”
“ส่วนเรื่องที่อาจารย์อาน้อยไม่รู้ว่าชายชุดเขียวเป็นตนเอง และทำไมถึงต้องปิดบัง นี่เป็นเพราะตัวท่านเองบอกไว้แต่แรกก่อนที่จิตรับรู้จะถูกดึงออกมา ท่านหวังว่าในชีวิตนี้จะสามารถอยู่กับนางได้อย่างสงบ อาจารย์ลุงจึงส่งเสริมท่าน ทำให้จิตรับรู้นั้นกลายเป็นท่านอีกคน หมื่นปีให้หลังอาจารย์ลุงต้องจัดการเรื่องทั้งหมด ส่วนท่านช่วยให้อาจิ่วกลายเป็นเซียน”
“เช่นนั้นทำไมตอนนางเห็นชายชุดเขียวถึงได้ดูไม่ออกว่าเป็นข้า?” ใจของเขาสั่นไหวราวกับคลื่นซัดสาด
จุ่นถีถอนหายใจก่อนเอ่ย “นั่นเป็นเพราะจิตต้นกำเนิดของเทพหญิงยังไม่กลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์ ตอนนี้นางมีเพียงวิญญาณเซียน อีกห้าวิญญาณที่เหลือยังคงหลับลึกอยู่ อีกอย่างอาจารย์ลุงตั้งใจไม่ให้นางกับท่านรู้เรื่องทั้งหมดในตอนนี้ ใบหน้าของชายชุดเขียวจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อยในสายตาของนาง”
“ดังนั้นนางเลยไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับท่านเมื่อก่อนเลย มีเพียงให้วิญญาณทั้งหกของนางตื่นขึ้นจนครบ ตอนที่ความทรงจำของลู่จีกลับคืนมา ความทรงจำของนางที่มีต่อชายชุดเขียวถึงจะซ้อนทับกับท่าน”
“เช่นนั้นทำเช่นไรถึงจะปลุกวิญญาณที่เหลือขึ้นมาได้!”
“ทำให้นางกลายเป็นเซียน” จุ่นถีกอดอก
“กลายเป็นเซียน?”
“ใช่” จุ่นถีพยักหน้า “ถึงแม้เทพหญิงไม่อาจมีคนที่สองได้ แต่ตอนนี้พลังร้ายในคลื่นจิตพสุธากลับยังคงก่อรูปอยู่อย่างช้าๆ และพลังของหกวิญญาณก็รวมอยู่ในตัวของนางไปแล้ว ทั้งยังไม่สามารถให้กำเนิดนางอีกคนได้ คนที่จะทลายพลังร้ายในคลื่นจิตพสุธาได้มีเพียงบุตรีของหกวิญญาณเท่านั้น วิญญาณเซียนในร่างของอาจิ่วเป็นหนทางเดียวที่จะปลุกวิญญาณที่เหลือทั้งห้าขึ้นมา”
“หากนางไม่กลายเป็นเซียน ก็จะไม่อาจควบคุมพลังของวิญญาณเซียนได้ มีเพียงกลายเป็นเซียนเท่านั้นถึงจะสามารถควบคุมวิญญาณเซียน กระตุ้นวิญญาณทั้งห้าให้ตื่นขึ้น หลังจากหกวิญญาณรวมตัวกันแล้ว นางจะกลับไปสู่ฐานะเทพหญิง ไม่เพียงจะจำท่านได้ทั้งหมด แต่ยังมีความสามารถยับยั้งพลังร้ายในคลื่นจิตพสุธา กำราบมันได้อย่างราบคาบ นางเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด และเป็นตัวเลือกเดียวเท่านั้น”
ลู่ยามองพวกเขาอย่างตกตะลึง ก่อนหันหลับมาสัมผัสหกวิญญาณบนกำแพงและหลับตาลง
นานนักกว่าเขาจะลืมตาขึ้นมองพื้นแล้วเอ่ย “เช่นนั้นการที่ข้าปรากฏตัวข้างกายนาง ก็เพื่อช่วยให้นางรีบสะสมบุญกุศล กลายเป็นเซียนโดยเร็ว เพื่อไปกำราบพลังร้ายในคลื่นจิตพสุธา?”
“จะว่าเช่นนั้นก็ได้” หงจวินเดินเข้ามาพูด “เรื่องคลื่นจิตพสุธาเป็นเจ้าที่ก่อขึ้นมา เรื่องนี้เจ้าไม่ทำใครจะไปทำ? อีกอย่างจุดจบความรักของเจ้ากับเทพหญิง อย่างไรก็ต้องให้พวกเจ้าตัดสินใจกันเอง เจ้าอ้อนวอนข้าหลังจากเกิดเรื่องนี้ และข้าก็จำต้องทำเช่นนี้ ตอนนี้เจ้าสืบจนรู้ที่มาของชายชุดเขียวหมดแล้ว ต่อไปก็รอดูว่าเจ้าจะรับมือสถานการณ์ของนางทางนั้นอย่างไร”
“สถานการณ์ของนาง?” เขาขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”
“เมื่อครู่จุ่นถีบอกว่าตั้งแต่พลังระเบิดที่คุนหลุนตะวันออก วิญญาณทั้งห้าที่เหลือในร่างนางคลับคล้ายจะค่อยๆ เผยตัว หากไม่เพิ่มการควบคุม หกวิญญาณในร่างกายนางอาจระเบิดออกมาอีก นางที่ยังไม่กลายเป็นเซียนไม่อาจควบคุมมันได้ เจ้าก็รู้ดี หากเป็นเช่นนั้น ผลลัพธ์ของเรื่องนี้คือนางดับสูญไปอีกครั้ง และครั้งนี้คงไม่โชคดีเหมือนหมื่นปีก่อนอีกแล้ว นางต้องได้วิญญาณเซียนปกปักเท่านั้น บนโลกนี้ไม่มีคนสามารถช่วยนางได้อีก ตอนนี้เจ้าต้องระวังให้มากเป็นพิเศษ”
สีหน้าลู่ยาซีดขาว
ยืนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“พูดง่ายๆ หากต้องการเปลี่ยนชะตาชีวิตหลังจากนี้หมื่นปีของพวกเจ้า มีแต่ต้องให้นางสะสมบุญกุศลกลายเป็นเซียนอย่างราบรื่น จากนั้นปลุกหกวิญญาณในร่างให้ตื่นขึ้น รอจนพวกเจ้าทั้งสองกำจัดพลังร้ายในคลื่นจิตพสุธาได้สำเร็จ ก็สามารถละทิ้งโซ่ตรวนทั้งหมดและอยู่ด้วยกันได้แล้ว”
หงจวินกอดพู่หางม้าเหลือบมองเขา
“ข้าจะไปหานาง!”
ลู่ยารอไม่ได้อีกแล้ว รับชักเท้าตรงไปข้างนอก
หงจวินยกพู่หางม้าขึ้นขวางเขาไว้ “ไปหานางตอนนี้ คิดจะบอกเรื่องทั้งหมดแก่นางใช่หรือไม่?”
…………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น