กระบี่จงมา 354.2-356.2
บทที่ 354.2 ชุดเกราะห้าพันล้อมขุนเขา
ในหัวของเผยเฉียนมักจะมีความคิดประหลาดอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่นนางจะถามเฉินผิงอันอย่างจริงจังว่าเขารู้สึกหรือเปล่าว่าบ้านทุกหลัง ต้นไม้ทุกต้นเหมือนคนคนหนึ่งอย่างมาก?
เหตุผลของนางก็คือหน้าต่างคล้ายกับดวงตาของบ้าน ประตูใหญ่คล้ายกับปากของบ้าน ส่วนใบไม้ก็เหมือนเสื้อผ้าของต้นไม้ใหญ่
เฉินผิงอันถามกลับว่าแล้วทำไมหน้าหนาวอากาศหนาวขนาดนั้น ต้นไม้ถึงไม่ยอมใส่เสื้อผ้า หน้าร้อนอากาศร้อนขนาดนั้น ทำไมยังใส่เสื้อผ้าตั้งมากมาย?
จริงด้วย
เผยเฉียนเกาหัว รู้สึกว่าเฉินผิงอันอ่านหนังสือมามากก็เลยมีเหตุผลมากกว่าจริงๆ
ตลอดทางมานี้นอกจากบางครั้งที่เผยเฉียนจะชวนคุยเรื่องเหลวไหลแล้ว อันที่จริงเฉินผิงอันแทบไม่ได้พูดอะไรกับอีกสี่คนเลย
พูดไปแล้วก็น่าเหลือเชื่อ ห้าคนที่จับกลุ่มกันตอนนั้นล้วนเป็น ‘อันดับหนึ่งในใต้หล้า’ ห้าท่านในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัวทั้งสิ้น
ตอนที่เฉินผิงอันเดินจะต้องขบคิดถึงคาถาหล่อหลอมบนแผ่นหยกแผ่นนั้นซ้ำไปซ้ำมา
วันนี้เดินอยู่บนถนนปูพื้นหินในป่าเขา จูเหลี่ยนถามขึ้นเบาๆ ว่า “นายน้อย เอาอย่างไร?”
พวกหลูป๋ายเซี่ยงสามคนเดินด้วยฝีเท้าเป็นปกติ แต่ทุกคนล้วนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติในเวลาเดียวกัน
เฉินผิงอันตอบ “ไม่ต้องรีบร้อน”
การเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้จงใจเดินอ้อมผ่านพื้นที่เขตการปกครองส่วนหนึ่งของทหารชายแดนทางเหนือ ส่วนใหญ่จะเดินอยู่บนเส้นทางภูเขา
แต่ในที่สุดวันนี้ก็มีคนเผยพิรุธ เพียงแต่ว่าพวกเขาเป็นกองกำลังจากฝ่ายใด เป็นคนของชายแดนที่มาเจอคนทั้งห้าเข้าโดยบังเอิญ เกิดความกริ่งเกรงจึงจงใจมาตรวจสอบดู หรือว่าวางแผนไว้แต่แรกอยู่แล้ว เลยจงใจมุ่งมาหาเฉินผิงอันโดยเฉพาะ ล้วนยังไม่อาจบอกได้
ยามสนธยาของวันนี้ฝนเม็ดเล็กโปรยปรายลงมา เส้นทางบนภูเขาเดินยาก ในป่าเปลี่ยวร้างที่ไร้เงาผู้คน พวกเขาได้เจอกับซากวัดร้างที่ถูกทอดทิ้งมานานหลายปีแห่งหนึ่ง เผยเฉียนดีใจมาก ในที่สุดก็มีที่ให้หลบฝนแล้ว รองเท้าและขากางเกงของนางเปรอะไปด้วยดินโคลน ทุกครั้งเวลายกเท้าเหมือนต้องยกน้ำหนักเพิ่มอีกหลายจิน ต่อให้กางร่มน้ำมันคันนั้น แต่สายลมที่พัดพาเม็ดฝนมาในแนวเฉียงก็ยังทำให้เส้นผมของนางเปียกแนบติดหน้าผาก รู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก
เฉินผิงอันบอกให้เผยเฉียนหยุดเดิน เขาหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นหนึ่งออกมาคีบไว้ระหว่างร่องนิ้ว เดินนำทุกคนเข้าไปในวัดร้างที่ว่างเปล่าก่อน พอเห็นว่ายันต์ไม่ได้ติดไฟจึงบอกให้เผยเฉียนที่อยู่นอกประตูเดินเข้าไป
คนโบราณบอกไว้ว่า สุสานนอนหลับได้ แต่วัดร้างนั้นห้ามเข้า
เป็นเพราะมีเหตุผล นอกจากที่วัดร้างจะง่ายต่อการกลายเป็นสถานที่ที่โจรขโมยซึ่งปล้นฆ่าผู้คนมาปักหลักอยู่แล้ว หลังจากที่องค์เทพไปจากอารามเต๋าหรือวัดที่ถูกทิ้งร้างก็ยิ่งง่ายที่จะเรียกให้ภูตผีและวิญญาณร้ายมาป้วนเปี้ยนอยู่รอบด้าน ทำให้สถานที่แห่งนั้นกลายเป็นสถานที่แห่งความชั่วร้ายที่เก็บซ่อนสิ่งสกปรก ล่อลวงทำร้ายผู้คนที่เดินทางผ่านมาค้างแรม ตอนที่เดินทางร่วมกับจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียในแจกันสมบัติทวีปก็เคยเจอกับปีศาจจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่ง เพียงแต่ถึงอย่างไรปีศาจแห่งภูเขาและแม่น้ำที่มีจิตใจดีงามเหมือนปีศาจตัวนั้นก็มีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นผีร้ายที่ละโมบในเรือนกายที่มีเนื้อหนังมังสาของมนุษย์ หรือไม่ก็เคียดแค้นปราณหยางบนร่างของคนที่เดินทางผ่านมาเสียมากกว่า
แท่นบูชาเทวรูปในวัดร้างล้วนล้มระเนระนาด รูปปั้นองค์เทพก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน บนเสาคานมีหยากไย่ขึ้นเป็นหย่อมๆ
จูเหลี่ยนเก็บกิ่งไม้แห้งที่กระจัดกระจายมารวมกัน แต่ก็ยังไม่มากพอให้จุดกองไฟ จึงได้แต่ออกไปเก็บมาจากข้างนอกเพิ่ม หรือไม่ก็ตัดต้นไม้ที่เปียกชื้นมา ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะก่อไฟได้สำเร็จ
หลังจากเข้ามาในวัดร้างแล้ว เผยเฉียนก็มีข้ออ้างขอยันต์แผ่นหนึ่งจากเฉินผิงอันมาแปะบนหน้าผากทันที บอกว่านางขี้ขลาด ต้องอาศัยแผ่นยันต์ให้ช่วยขับไล่วิญญาณชั่วร้าย
ทุกวันนี้มีเพียงเขียนบทความของอริยะปราชญ์ได้ครบห้าร้อยตัวเท่านั้น นางถึงจะสามารถยืมยันต์มาแปะบนหน้าผากไว้โอ้อวดคนได้
เฉินผิงอันบอกให้นางใช้กิ่งไม้เล็กๆ กิ่งหนึ่งเขียนตัวอักษรห้าร้อยตัวลงบนพื้น เผยเฉียนหน้าบูดบอกว่าถ้าอย่างนั้นนางก็ไม่แปะยันต์แล้ว วันนี้เหนื่อยเกินไป เอาไว้ค่อยคัดหนังสือคราวหน้าได้หรือไม่
มองเด็กหญิงผิวดำเป็นถ่านที่ทั้งตัวเปรอะเลอะไปด้วยดินโคลนอย่างน่าอนาถ เฉินผิงอันก็พยักหน้ารับ เผยเฉียนเหมือนได้รับอภัยโทษ ขยับมาใกล้เฉินผิงอันถามว่าขอดูกล่องไม้ใส่สมบัติอันเล็กที่เหยาจิ้นจือมอบให้นางสักหน่อยได้หรือไม่
เดิมทีนี่ก็เป็นของของนางอยู่แล้ว เพียงแต่ฝากไว้ในหีบไม้ไผ่ของเฉินผิงอันเท่านั้น
เฉินผิงอันให้นางไปหยิบหีบไม้ไผ่มาเอง เผยเฉียนหยิบกล่องเก็บสมบัติที่ทำขึ้นอย่างประณีตงดงามออกมาอย่างระมัดระวัง นั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน แต่กลับหันหลังให้พวกเว่ยเซี่ยนสี่คน ไม่ยอมให้พวกเขาได้เห็นเหล่าสมบัติที่อยู่ในกล่องแม้แต่ครั้งเดียว
นิสัยขี้งกนี้ เกรงว่าคงยากที่จะแก้ไขได้
อีกอย่างดูเหมือนเฉินผิงอันจะไม่ได้จงใจทำให้เผยเฉียนลำบากใจในเรื่องนี้ด้วย
ก่อนหน้านี้จูเหลี่ยนแกล้งหยอกเผยเฉียนโดยการเอาไม้เท้าเดินป่าที่ใครก็ห้ามแตะต้องอันนั้นไปซ่อน เผยเฉียนเกือบสู้ตายกับเขา
ในกล่องเก็บสมบัติแบ่งเป็นเก้าช่องที่มีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน
นอกจากไม้แกะสลักหลิงจือที่อันเล็กกะทัดรัด ลวดลายไม้เรียบลื่น รวมไปถึงเหรียญเงินของอดีตราชวงศ์ต้าเฉวียนซึ่งหาได้ยากไม่กี่เหรียญแล้ว ยังมีป้ายคำสั่งของลัทธิเต๋าที่เรียบเป็นมันวาว สลักเป็นรูปเทวรูปหลิงกวานของลัทธิเต๋าที่มีใบหน้าแดง หนวดเครายาว สวมชุดคลุมสีแดงเสื้อเกราะสีทอง กลางหว่างคิ้วมีทิพย์จักษุ ลักษณะเปี่ยมไปด้วยบารมีคล้ายกับมีชีวิตจริงๆ ป้ายคำสั่งสีแดงพุทราชิ้นนี้มีขนาดเล็กมาก น่าจะเป็นสิ่งของที่ตระกูลใหญ่เช่ากลับมาจากอารามกวานเต๋า เอาไว้ให้เด็กรุ่นหลังในตระกูลพกติดตัว หวังให้ช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้าย คุ้มครองเด็กๆ ให้ปลอดภัย
ของที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกเครื่องประดับของหญิงสาวที่ประณีตงดงาม
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้นสอบถามเฉินผิงอันเบาๆ “ข้างในนี้ ชิ้นไหนมีค่ามากที่สุด?”
เฉินผิงอันเอนตัวมาด้านหลังเล็กน้อย ชำเลืองตามองของละลานตาที่อยู่ในกล่องเก็บสมบัติแล้วเอ่ยว่า “หลิงจือไม้และป้ายหลิงกวานคือของวิเศษที่มีระดับขั้นไม่เลว ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่าง หากได้ครอบครองชิ้นใดชิ้นหนึ่งนี้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว”
ดวงตาเผยเฉียนเป็นประกาย “แล้วสรุปว่ามีค่ากี่ตำลึงล่ะ?”
เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่ “ของที่คนอื่นมอบให้เจ้าด้วยความหวังดี เจ้าเอาแต่คิดว่ามันมีค่าเท่าไหร่งั้นหรือ?”
เผยเฉียนย่นคอ พูดอย่างระมัดระวัง “หากมีแค่ข้า พี่หญิงจิ้นจือก็ไม่มีทางมอบของมากมายขนาดนี้ให้ข้าหรอก”
เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้เจ้าก็รู้ด้วยหรือ? มองออกได้อย่างไร?”
เผยเฉียนยื่นนิ้วชี้ไปที่ตาของตัวเอง ยิ้มตาหยีพูด “ใช้ตามองน่ะสิ”
เฉินผิงอันยกมือขึ้นอีกครั้ง ทำเอาเผยเฉียนตกใจรีบยกมือกุมศีรษะจนกล่องเก็บสมบัติที่วางอยู่บนขาเกือบจะร่วงตกพื้น
เฉินผิงอันช่วยนางประคองกล่องเอาไว้ ไม่ได้เขกหัวนางจริงๆ
เผยเฉียนเก็บกล่องเก็บสมบัติให้เรียบร้อยเหมือนเดิม หมุนตัวกลับมา หลังจากยื่นกล่องส่งให้เฉินผิงอันแล้วก็กดเสียงพูดเบาๆ ว่า “พี่หญิงจิ้นจือสวยมากจริงๆ ข้ารู้สึกว่านางมี…ความเป็นผู้หญิงมากกว่าใครบางคนเสียอีก”
เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เขาชำเลืองมองไปนอกวัด ฝนเริ่มตกหนักขึ้นทุกทีแล้ว
จูเหลี่ยนง่วนอยู่กับการหุงหาอาหาร
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เอื้อมหยิบกิ่งไม้ที่เหลือจากส่วนที่เอาไปทำเป็นฟืนขนาดยาวเท่ากระบี่กิ่งหนึ่งมา แล้วเดินมาหยุดอยู่หน้าประตู พอยืนนิ่งแล้วก็แหงนหน้ามองม่านน้ำฝน
แทบจะเวลาเดียวกันนั้นพวกจูเหลี่ยนสี่คนต่างก็หันหน้ามามองเฉินผิงอัน
ต่อให้เป็นสุยโย่วเปียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ห่างไปไกลที่สุดก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น หลังจากลืมตาแล้วก็แยกมือสองข้างไปวางไว้บนหัวและท้ายของกระบี่ยาวชือซิน
เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันทำเพียงแค่กำกิ่งไม้เหมือนกำกระบี่ ไม่มีท่าทีว่าจะขยับเขยื้อน
นานเข้า สุยโย่วเปียนก็หลับตาลง จูเหลี่ยนทำอาหารต่ออีกครั้ง เว่ยเซี่ยนเดินเตร่ไปทั่วทั้งในและนอกวัดร้าง เวลานี้กำลังนั่งยองอยู่ตรงมุมกำแพง ในมือถือหินแตกหักที่ถูกทาสีชิ้นหนึ่ง นี่น่าจะเป็นเศษเสี้ยวของเทวรูปในศาลภูเขาที่เหลือทิ้งไว้ หลูป๋ายเซี่ยงกำลังอ่านตำราหมากล้อมเล่มหนึ่ง เหยาจิ้นจือเป็นคนมอบให้เขา ว่ากันว่าด้านในบันทึก ‘การประชันสิบตาท่ามกลางเมฆหลากสี’ ระหว่างชุยฉานราชครูต้าหลีและเจ้านครจักรพรรดิขาวเอาไว้ หลูป๋ายเซี่ยงชื่นชอบหนังสือหมากล้อมเล่มนี้มากจนแทบไม่ยอมวาง มีเวลาว่างเมื่อใดจะต้องหยิบมาเปิดอ่าน และได้ประโยชน์จากตำราเล่มนี้ไม่น้อย
ระหว่างที่รอให้ข้าวสุก จูเหลี่ยนหยิบเอานิยายรักในหมู่ชาวบ้านซึ่งทำการพิมพ์แบบหยาบๆ เล่มหนึ่งออกมา เผยเฉียนปลุกความกล้าขยับเข้าไปใกล้หมายจะแอบอ่าน แต่กลับถูกจูเหลี่ยนผลักศีรษะเล็กๆ ออกมา
เผยเฉียนอ่านตำราหมากล้อมในมือของหลูป๋ายเซี่ยงแวบหนึ่ง นางอ่านไม่เข้าใจ ยิ่งไม่มีความสนใจ การเล่นหมากล้อมเป็นเรื่องที่นางรังเกียจมากที่สุด เจ้าวางทีข้าวางที แถมยังต้องใช้เวลาขบคิดอีกนาน น่าเบื่อยิ่งนัก หากคนอื่นวางหมากหนึ่งตัว แล้วนางสามารถวางปุๆๆ รวดเดียวสามสี่ตัว แบบนั้นต่างหากที่น่าสนุก
ในขณะที่เริ่มได้กลิ่นหอมของข้าว เฉินผิงอันก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “มีคนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามาทางวัดเล็กแห่งนี้ พวกเจ้าทำธุระของตัวเองไป ไม่ต้องสนใจ หากหิวก็กินข้าวกันก่อนได้เลย”
ฝนตกหนัก คนกลุ่มหนึ่งเดินตากฝนมุ่งหน้ามาหลบฝนที่วัดร้างแห่งนี้
มีคนสิบกว่าคน ต่างสวมงอบและเสื้อกันฝน แต่ละคนร่างกายแข็งแรงปราดเปรียว ห้อยดาบไว้ตรงเอว ลมปราณหนักแน่นและทอดยาว
เฉินผิงอันอยู่กับขบวนทัพตระกูลเหยามานานขนาดนี้ แค่มองก็รู้แล้วว่าคนเหล่านี้ต้องเป็นเหล่าทหารที่มีฝีมือในกองทัพอย่างแน่นอน
คนที่เป็นหัวหน้าคือบุรุษร่างกำยำอายุประมาณสามสิบกว่าปีคนหนึ่ง เวลาที่เขาก้าวเดินประหนึ่งมังกรเลื้อย ประหนึ่งพยัคฆ์เยื้องย่าง สะดุดตามากกว่าทุกคนที่เดินตามมาด้านหลัง เรียกได้ว่าโดดเด่นดุจนกกระเรียนในฝูงไก่
คนผู้นั้นหยุดเดินห่างจากวัดร้างไปประมาณสิบก้าว เขาถามเฉินผิงอันที่ถือกิ่งไม้ไว้ในมือด้วยรอยยิ้ม “ใช่คุณชายเฉินที่ช่วยแม่ทัพผู้เฒ่าเหยามาจากเงื้อมมือของผู้ฝึกกระบี่ และสังหารกั๋วกงน้อยเกาซู่อี้หรือไม่?”
เห็นว่าเฉินผิงอันไม่พูด คนผู้นี้จึงเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มที่ยังไม่จางหาย “ข้าชื่อหลิวจง เป็นลูกหลานสกุลหลิวต้าเฉวียน หลายปีมานี้กินเม็ดทรายของชายแดนทิศเหนือมาจนอิ่ม พอได้รู้ข่าวสองข่าวนี้ก็คิดว่าจะต้องมาพบคุณชายเฉินสักครั้งให้จงได้ ก่อนหน้านี้ทหารสอดแนมในกองทัพข้าแอบติดตามพวกเจ้ามาถือเป็นการล่วงเกินแล้ว ข้าต้องขออภัยคุณชายเฉินมา ณ ที่นี้ด้วย!”
หลิวจง
องค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์ต้าเฉวียน
ในมือกุมอำนาจใหญ่ของกองทัพภาคเหนือ มีบารมีสูงส่งในกองทัพราชวงศ์ต้าเฉวียน นอกจากอาศัยแซ่ที่ได้มาตั้งแต่ตอนอยู่ในท้องมารดาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังอาศัยคุณความชอบทางการทหารระหว่างที่ประจำอยู่ชายแดน
เฉินผิงอันถาม “แค่เรื่องนี้น่ะหรือ?”
หลิวจงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “แน่นอนว่าไม่ใช่ คุณชายเฉินอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจเมืองเซิ่นจิ่งนัก ตอนเด็กเกาซู่อี้ผู้นั้นคอยตามก้นข้าต้อยๆ อยู่ทุกวัน ตลอดหลายปีมานี้ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเขาก็ไม่เลว คุณชายเฉินสังหารเขา หากจะบอกว่าข้าเสียใจ ก็คงไม่ถึงขั้นนั้น เพราะถึงอย่างไรหลังจากที่ข้าออกมาจากเมืองหลวง เขาก็เอนเอียงเข้าหาเหล่าซาน (หมายถึงองค์ชายสาม) แล้ว แต่ข้าแปลกใจอย่างมากว่าตบะต้องสูงส่งเพียงใดกันแน่ถึงสามารถมีฝีมือต่อสู้ทัดเทียมกับขุนนางผู้กุมตรากองทัพม้าอย่างขันทีหลี่หลี่ได้!”
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน
หลิวจงยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง “ไม่มาก แค่กองทัพม้าห้าพันนาย บนภูเขามีพลทหารราบฝีมือยอดเยี่ยมสองพันนาย ตรงตีนเขายังมีอีกสามพัน ไม่ทราบว่าคุณชายเฉินคิดว่าของขวัญพบหน้าครั้งนี้ พอหรือไม่?!”
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ในเมื่อเอาทหารม้ามากมายขนาดนี้มาล้อมไว้ เจ้าเป็นถึงองค์ชาย ยังจะต้องพาตัวมาเสี่ยงอันตรายทำไม? เจ้าและข้าอยู่ห่างกันแค่สิบก้าว ต่อให้เจ้าเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ฝีมือไม่ธรรมดาคนหนึ่ง แต่ก็ไม่น่าจะประมาทขนาดนี้กระมัง?”
หลิวจงถามกลั้วหัวเราะเสียงดัง “เฉินผิงอัน ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่? ยังไม่ถึงยี่สิบกระมัง รู้หรือไม่ว่าข้าอายุเท่าไหร่แล้ว? สามสิบปีเต็มแล้ว ไม่พูดถึงการขัดเกลาร่างกายและจิตใจตอนอยู่ในเมืองเซิ่นจิ่ง หลายปีมานี้ผ่านการเข่นฆ่าอยู่ที่ชายแดนมานับครั้งไม่ถ้วน ตอนนี้ก็เพิ่งจะได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหก! หากจะให้ข้าปะทะกับโส่วกงไหวของราชวงศ์ต้าเฉวียนเรา อย่าว่าแต่ต่อสู้ให้รู้เป็นรู้ตายเลย เกรงว่าแม้แต่จะออกหมัดชักดาบใส่ขันทีเฒ่า ข้าก็คงยังไม่กล้า เจ้าว่าคนเราเมื่อเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่นมันน่าโมโหมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเดินมาถึงที่นี่ก็เพราะ…มารนหาที่ตาย?”
มือข้างหนึ่งของหลิวจงจับด้ามดาบ มืออีกข้างหนึ่งใช้นิ้วโป้งชี้ไปที่ข้างหลังตัวเอง แสยะยิ้มพูดว่า “ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่โดดเด่นที่สุดในชายแดนเหนือของต้าเฉวียน เจ้าไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยรึ?”
เห็นว่าคนหนุ่มที่ถือกิ่งไม้ไม่เต็มใจพูดคุยด้วย สายตาของหลิวจงก็ฉายแววมีเลศนัย “มีคนอยากจะได้ศีรษะบนบ่าของเจ้า มีคนอยากจะให้เจ้ามอบวัตถุที่ได้จากจวนปี้โหยวออกมา และมีคนอยากจะได้น้ำเต้าบรรจุเหล้าตรงเอวของเจ้า เฉินผิงอัน เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าวิญญูชนสำนักศึกษาคนหนึ่งที่ตายไปแล้ว กับแผ่นหยกศาลบรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิงที่ไม่รู้ว่าจริงหรือปลอมแผ่นหนึ่ง จะสามารถทำให้เจ้าเดินทางไปถึงยอดเขาเทียนเชวียได้อย่างปลอดภัย? เดินอาดๆ ไปขึ้นเรือที่ท่าเรือตระกูลเซียนออกไปจากใบถงทวีปได้สำเร็จ?”
ในวัดร้าง จูเหลี่ยนถือถ้วยข้าวใบหนึ่งนั่งอยู่ริมกองไฟ หลังจากพุ้ยข้าวสองสามคำจนหมดเกลี้ยงก็ลุกขึ้นยืน
เว่ยเซี่ยนเคี้ยวข้าวอย่างละเอียด ก่อนจะพ่นประโยคหนึ่งออกมา “พูดมากขนาดนี้ มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานหรอก”
ฝ่ามือของหลูป๋ายเซี่ยงกดด้ามดาบ เดินไปทางประตูของวัด สุยโย่วเปียนที่สะพายกระบี่เล่มยาวเดินตามหลังไปติดๆ
เว่ยเซี่ยนยกข้าวที่เหลือครึ่งถ้วยให้เผยเฉียนที่นั่งอยู่ข้างกาย “ให้เจ้าเป็นรางวัล”
เผยเฉียนรับข้าวมาเทใส่ถ้วยของตัวเอง จากนั้นก็เอาถ้วยข้าวซ้อนกัน เงยหน้าถามอย่างจริงจังว่า “เหล่าเว่ย หากเจ้าตาย ข้าจะต้องช่วยหาที่ฝังศพให้เจ้าแน่…ถึงเวลานั้นเงินบนร่างของเจ้า ข้าเอาไปเป็นค่าตอบแทนได้ไหม?”
เว่ยเซี่ยนกำเม็ดเสื้อเกราะไว้ในมือ พูดหน้าตึง “พวกเราสี่คน คิดจะตายยังยาก”
เขาเดินตรงไปหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน แล้วรวมเสียงให้เป็นเส้นเพื่อพูดเรื่องที่เดิมทีเขาไม่เต็มใจจะพูดสักเท่าไหร่
เฉินผิงอันได้ยินอย่างชัดเจน จูเหลี่ยนที่มีมือเปล่า หลูป๋ายเซี่ยงที่ถือดาบแคบและสุยโย่วเปียนที่สะพายกระบี่ต่างก็พอจะได้ยินเนื้อหานั้นแว่วๆ
แต่ละคนมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป
ฝนตกกระหน่ำรุนแรง กลุ่มคนที่อยู่ด้านนอกจึงได้ยินไม่ชัดเจน
รอยยิ้มของจูเหลี่ยนเหี้ยมเกรียม “นายน้อย หลังผ่านศึกนี้ไปช่วยมอบของดีให้ข้าสักชิ้นได้ไหม? ตอนนี้ในบรรดาคนทั้งสี่เหลือแค่บ่าวเฒ่าเท่านั้นที่ยังไม่มีของติดกาย”
เฉินผิงอันตอบอย่างตรงไปตรงมา “ตอนนี้ยังไม่มีของจะมอบให้เจ้า”
จูเหลี่ยนรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เขาหันหน้าไปมองกลุ่มคนที่ไม่ได้รับเชิญแล้วจุ๊ปากพูด “นายน้อย อีกเดี๋ยวหากบ่าวเฒ่าลงมือสังหารคน จะไม่เหมือนคืนนั้นที่โรงเตี๊ยมที่ยังต้องคิดเล็กคิดน้อยว่ากระบวนท่าหมัดจะสง่างามหรือไม่แล้วนะ”
สุยโย่วเปียนสีหน้าเย็นชา นางยืนอยู่ฝั่งขวาสุด “คุณชาย หากทลายทหารชุดเกราะได้หนึ่งพันนาย ท่านยกกระบี่ชือซินให้ข้าเลยได้หรือไม่?”
หลูป๋ายเซี่ยงยืนอยู่ฝั่งซ้ายสุด พูดพร้อมยิ้มบางๆ “นายท่าน หากข้าทลายทหารชุดเกราะหนึ่งพันนาย ให้ข้ายืมใช้หยุดหิมะแค่สิบปีก็พอแล้ว”
สุดท้ายเว่ยเซี่ยนเอ่ยว่า “สังหารพวกทหารชุดเกราะมาจนเอียนแล้ว พวกผู้ฝึกลมปราณยกให้เป็นหน้าที่ข้าทั้งหมดแล้วกัน”
เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “แล้วข้าต้องทำอะไร?”
เผยเฉียนที่ก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าวคำโตอยู่ในวัดร้างพูดขึ้นเสียงอู้อี้ “ท่านพ่อ ท่านมากินข้าวเป็นเพื่อนข้า!”
บทที่ 355.1 ลมคาวฝนเลือดของบนภูเขา
ลมพัดแรงฝนตกกระหน่ำ ตรงตีนเขา เซินกั๋วกงเกาซื่อเจินปฏิเสธร่มจากผู้ติดตามของจวน เขายืนอยู่ท่ามกลางสายฝน ปล่อยให้ฝนเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองตกกระทบลงบนร่าง
อย่าพูดถึงความจงรักภักดีต่อแคว้น พูดถึงแผ่นดินอะไรกับเขาเกาซื่อเจิน จวนเซินกั๋วกงอันใหญ่โตโอ่อ่า กลับมีบุตรชายอย่างเกาซู่อี้ที่ช่วยต่อควันธูปเพียงคนเดียว อยู่ดีๆ กลับต้องมาตายไปทั้งอย่างนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่เขายังทุ่มเทแรงกาย ทุ่มเทชีวิตและจิตใจอบรมปลูกฝังบุตรชายคนนี้ในทุกด้านมานานยี่สิบกว่าปี ในฐานะบิดา เกาซื่อเจินมองไม่เห็นตำหนิของเกาซู่อี้เลยแม้แต่น้อย ก่อนหน้าที่เขาจะได้รับจดหมายลับฉบับนั้นจากองค์ชายสามก็เชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า ในอนาคตเกาซู่อี้จะกลายมาเป็นเสาคานค้ำจุนราชสำนักของต้าเฉวียน ไม่ว่าใครจะนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร จวนเซินกั๋วกงก็จะรุ่งโรจน์สืบไป มีอำนาจใหญ่ในราชสำนัก ได้เลื่อนขั้นเป็นจวนจวิ้นอ๋อง กลายเป็นคนรู้ใจของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ฮุบกลืนแคว้นใหญ่ที่แข็งแกร่งทั้งสองแคว้นอย่างเป่ยจิ้นและหนันฉี นำพาให้ต้าเฉวียนกลายมาเป็นราชวงศ์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคกลางของใบถงทวีป
ฮ่องเต้บอกว่าจะชดเชยให้กับจวนเซินกั๋วกง องค์ชายสามบอกว่าจะชดเชยให้แก่เขาเกาซื่อเจิน เหล่าข้ารับใช้ส่วนตัวของเชื้อพระวงศ์ เหล่ากุนซือผู้วางแผนทั้งหลายต่างก็เกลี้ยกล่อมให้เขาอดทน
สีหน้าของเกาซื่อเจินช่วงที่ผ่านมานี้มีเพียงความเย็นชานิ่งสงบ ใครก็มองไม่ออกว่าบุรุษที่สูญเสียบุตรชายเพียงคนเดียวไปผู้นี้ ก่อนหน้านั้นได้ออกมาจากวังหลวง แล้วค่อยออกมาจากจวนองค์ชาย สุดท้ายออกจากเมืองหลวงมาอย่างลับๆ ทำหน้าที่เป็นทูตลับของฮ่องเต้เดินทางไปพบเหยาเจิ้นที่จุดพักม้าเมืองฉีเฮ้อ ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่นไร้คลื่นลม จวนเซินกั๋วกงยังคงเป็นจวนกั๋วกงที่มีมนุษยธรรมสูงส่งแห่งแคว้นต้าเฉวียน เกาซื่อเจินไม่เคยผิดหวังในตัวของฮ่องเต้หลิวเจินที่แก่หง่อมใกล้ตายคนนั้น
หากไม่มีโอกาสนั้นหล่นลงมาจากฟ้า เกาซื่อเจินก็ไม่อาจสร้างคลื่นมรสุมได้จริงๆ ถึงอย่างไรเมืองหลวงก็เป็นของฮ่องเต้ เป็นของสกุลหลิวราชวงศ์ต้าเฉวียน
แต่ตอนนี้กลับไม่เหมือนกันแล้ว
มีคนมาหาเขาเกาซื่อเจิน แล้วเขาก็ไปหาองค์ชายใหญ่หลิวจง หลิวจงจึงพาทหารสวมเกราะห้าพันนายเดินทางมา ส่วนเรื่องที่ว่าหลิวจงได้รวบรวมกองกำลังบนภูเขาไว้อย่างลับๆ มากน้อยแค่ไหน เกาซื่อเจินไม่สนใจ
สิงโตจับกระต่ายยังใช้แรงเต็มที่ (เปรียบเปรยว่าแม้จะเป็นเรื่องเล็กก็ยังต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีมารับมืออย่างตั้งใจ) อย่าได้สร้างปัญหาให้คนอื่นเด็ดขาด นี่ก็คือข้อห้ามใหญ่ของสำนักการทหาร
แม้แต่คนในเมืองหลวงที่กินอยู่สุขสบายอย่างเขาเกาซื่อเจินยังเข้าใจหลักการตื้นเขินนี้ เชื่อว่าองค์ชายใหญ่หลิวจงก็ยิ่งต้องทะลุปรุโปร่งมากกว่า
เกาซื่อเจินกำลังรอ รอให้หลิวจงถือศีรษะนั้นมาส่งให้เขาตอนลงจากภูเขา เขาจะได้เอากลับไปไว้หน้าหลุมศพใหม่ของเกาซู่อี้ผู้เป็นบุตรชาย
หน้าวัดร้าง เฉินผิงอันมองคนสองคนหลังสุดที่อำพรางตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้ติดตามของหลิวจง
หลังจากสัมผัสได้ถึงสายตาของเฉินผิงอัน คนทั้งสองก็สบตากัน ก่อนเดินออกไปข้างหน้าหลายก้าว พวกเขาก็คือสวี่ชิงโจวแม่ทัพบู๊และเซียนซือสวีถง เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เพราะตอนอยู่ในโรงเตี๊ยมริมชายแดน พวกเขาก็คือคนที่ประมือกับหลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียน
สวี่ชิงโจวถอดเสื้อกันฝนแล้วโยนทิ้งไปด้านข้าง เผยให้เห็นชุดเกราะที่อยู่ด้านใน นอกจากจะแสร้งทำเป็นพกดาบซึ่งเป็นดาบในกองทัพชายแดนของต้าเฉวียนไว้ที่เอวแล้ว ยังพก ‘ต้าเฉี่ยว’ อาวุธสำคัญชิ้นหนึ่งของสำนักการทหารไว้ด้วย
สวี่ชิงโจวไม่เอ่ยคำใด แต่สวีถงเจ้าอารามฉ่าวมู่กลับเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายเฉิน ได้พบกันอีกครั้งแล้ว คราวก่อนอยู่ที่ชายแดนทิศใต้ ครั้งนี้อยู่ที่ชายแดนทางเหนือ ก็เหมือนกับชื่อ ‘ต้าเฉี่ยว’ (ความบังเอิญที่ยิ่งใหญ่) ดาบประจำกายที่แม่ทัพสวี่รักมากเล่มนี้ ช่างเป็นเรื่องที่บังเอิญมากจริงๆ”
ผู้ติดตามสิบคนที่อยู่ด้านหลังหลิวจง นอกจากสวี่ชิงโจวและสวีถงแล้ว คนที่เหลืออีกแปดคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่มีประสบการณ์บนสนามรบในชายแดนทางเหนือมาอย่างโชกโชน สงครามชายแดนของราชวงศ์ต้าเฉวียน อันที่จริงแล้วมีแค่สองสถานที่อย่างเหนือและใต้ซึ่งเป็นเขตชายแดนเชื่อมต่อกับเป่ยจิ้นและหนันฉีเท่านั้น ทางทิศใต้มีกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาช่วยปกป้องบ้านเมืองให้แก่สกุลหลิว ส่วนทางเหนือก็เป็นกองทัพชายแดนหนึ่งแสนสองหมื่นนายภายใต้การนำขององค์ชายใหญ่ พวกเขาทำศึกกับหนันฉีตลอดทั้งปี สงครามปะทุขึ้นบ่อยครั้ง มักจะกรีฑาทัพขึ้นเหนือไปบุกหน้าด่านศัตรู ยังไม่ต้องพูดถึงพลังการต่อสู้ว่าสูงหรือต่ำ ลำพังเพียงแค่จำนวนครั้งที่ชักดาบก็มากกว่ากองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยามากแล้ว
แม่ทัพบู๊สวี่ชิงโจวเดินทางขึ้นเขามาล้อมปราบกลุ่มของเฉินผิงอันในครั้งนี้ เป้าหมายของเขาชัดเจนยิ่ง เขาต้องการเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่ไม่ธรรมดาชิ้นนั้น ทางที่ดีที่สุดคือได้ดาบเล่มนั้นมาอยู่ในกระเป๋าไปพร้อมกันด้วย
ทว่าหลิวจงแค่รับปากว่าจะมอบเสื้อเกราะให้เขา ส่วนดาบแคบต้องซื้อเท่านั้น ถึงเวลานั้นก็ค่อยมาดูกันว่าสวี่ชิงโจวและตระกูลแม่ทัพของเขาจะสามารถเอาความจริงใจออกมา ‘ซื้อ’ ได้มากแค่ไหน
เซียนซือสวีถงผู้สวมกวานสูง เจ้าอารามฉ่าวมู่ตระกูลเซียนอันดับหนึ่งในขอบเขตของต้าเฉวียน เชี่ยวชาญวิชาอสนี ถนัดด้านการหลอมยาที่สามารถต่ออายุขัยให้ยืนยาว จึงใช้สิ่งนี้มาผูกสัมพันธ์กับขุนนางและชนชั้นสูงจำนวนนับไม่ถ้วน ชุดคลุมอาคมที่เขาสวมอยู่ใต้เสื้อกันฝนตัวนั้น ยามที่ปราณวิญญาณไหลรินจะฉายภาพเมฆหมอกห้าสีทอประกาย ราวกับม้วนภาพวาดภูเขาและแม่น้ำที่ลงสีสันงดงามภาพหนึ่ง และในความเป็นจริงแล้วชุดคลุมอาคมซึ่งเป็นของวิเศษตัวนี้ก็มีชื่อว่า ‘ยอดเขาห้าสี’ คือสมบัติสืบทอดมาจากบรรพบุรุษของอารามฉ่าวมู่ มีระดับขั้นใกล้เคียงกับสมบัติอาคมมากแล้ว
เซียนซือสวีถงต้องการชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่เมื่อกลับคืนสู่สภาพเดิมจะเป็นเหมือนมังกรสีทองตัวหนึ่งที่อยู่บนร่างของเฉินผิงอัน
น้ำลายไหลยืดสามฉื่อ ปรารถนาอยากจะครอบครองแม้ในยามหลับฝัน!
เฉินผิงอันมองหลิวจง ถามว่า “เพื่อเก้าอี้ตัวนั้นน่ะหรือ?”
หลิวจงพูดเสียงกร้าว “ถ้าไม่ใช่เพื่อสิ่งนั้นแล้วจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ? เจ้าคิดว่าชีวิตของเหล่าทหารชายแดนห้าพันนายของข้าไม่มีค่างั้นรึ?!”
กล่าวมาถึงตรงนี้ องค์ชายใหญ่ท่านนี้ก็พูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “หากวันนี้ข้าเดินมาไม่ถึงหน้าประตูวัดร้างแห่งนี้ ไม่ได้เห็นเจ้าเฉินผิงอันกับตาตัวเอง ในใจของข้า…”
เขาชี้ไปที่หัวใจของตัวเอง “รู้สึกไม่สาแก่ใจ!”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่สาแก่ใจ? เจ้ารนหาที่เองไม่ใช่หรือ? ทหารชายแดนห้าพันนายของต้าเฉวียนต้องมาตายอยู่บนภูเขาเล็กๆ ลูกนี้…ช่างเถอะ อันที่จริงเจ้าเข้าใจเหตุผลดี แต่เจ้าคงจะบอกกับตัวเองว่า ผู้ที่จะทำเรื่องใหญ่ให้ประสบความสำเร็จได้ต้องไม่สนเรื่องเล็กน้อย รอให้เจ้าได้เป็นฮ่องเต้แล้ว ทหารห้าพันนายนี้ก็คือคนที่พลีชีพเพื่อบ้านเมือง ตายอย่างคุ้มค่า”
เฉินผิงอันแกว่งกิ่งไม้ที่อยู่ในมือเบาๆ “คำถามสุดท้าย ทำไมเจ้าถึงได้คิดว่าแผ่นป้ายตรงเอวของข้าเป็นของปลอม?”
หลิวจงพูดคุยมากมายขนาดนี้อาจเพราะต้องการเพิ่มความกล้าให้ตัวเอง แล้วก็อาจเพราะต้องการข้ามผ่านหลุมในใจของตัวเองไปให้ได้
เฉินผิงอันยินดีพูดคุยเรื่องพวกนี้กับหลิวจงก็เพื่อถามคำถามข้อสุดท้าย
เป็นคำถามที่สำคัญมากที่สุด
คนที่ต้องการศีรษะของเขาย่อมต้องเป็นเซินกั๋วกงเกาซื่อเจิน คนที่ต้องการของชิ้นนั้นจากจวนปี้โหยว เฉินผิงอันคาดเดาไว้ในใจได้นานแล้ว แต่ใครกันแน่ที่ต้องการน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่?
ตั้งแต่ออกจากจุดพักม้าเมืองฉีเฮ้อ เฉินผิงอันก็แขวนป้ายหยกแล้ว
พอมาถึงท่าเรือเถาเย่ ขณะที่กำลังจะจากลากับขบวนเดินทางตระกูลเหยา วันนั้นเฉินผิงอันก็หันป้ายด้านคำว่า ‘ภูเขาไท่ผิงข้าคือผู้ฝึกตนที่แท้จริง’ ให้คนใต้หล้าได้เห็น นี่เท่ากับเป็นการบอกให้รู้ถึงสถานะ ‘ผู้สืบทอดสายตรงของศาลบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิง’ เพราะหวังว่าจะสามารถช่วยลดแรงกดดันให้กับเหยาเจิ้นที่อยู่ในเมืองหลวงต้าเฉวียน หากแม้แต่ป้ายหยกชิ้นนี้ ศัตรูในเมืองเซิ่นจิ่งที่หมายมั่นปั้นมืออยากจะเล่นงานเหยาเจิ้นก็ยังไม่รู้จัก ถ้าอย่างนั้นตระกูลเหยาก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวล
เพราะคนที่รู้จักป้ายหยกส่วนใหญ่ล้วนเป็นยอดฝีมือที่มิอาจดูแคลน และเมื่อเห็นป้ายหยกนี้แล้วพวกเขาจะรู้ถึงความยากลำบากแล้วถอยออกไปเอง ในความเป็นจริงแล้ว ตอนนั้นในเรืออูเผิงลำเล็กตรงท่าเรือเถาเย่ ตู้หันหลิงเจ้าอารามจินติ่งที่ใช้วิชาอภินิหารมองแม่น้ำภูเขาผ่านฝ่ามือก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนนี้ พอเขาเห็นป้ายหยกแผ่นนั้น ต่อให้จะทำให้หลายฝ่ายในเมืองเซิ่นจิ่งไม่สบอารมณ์ แต่เขากลับยังยืนกรานจะพาตัวออกไปจากสถานการณ์ในครั้งนี้
สายตาของหลิวจงฉายแววประหลาด เขาให้คำตอบเฉินผิงอันแค่ครึ่งเดียว
“แผ่นป้ายศาลบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิงชิ้นนี้เป็นของจริง จริงแท้แน่นอน เพียงแต่ว่าขณะเดียวกันก็เป็นของปลอม อันที่จริงหากเจ้าไม่ห้อยมันไว้อาจดีกว่า พอเอามาห้อยไว้บนเอว ข้าก็ขอคืนสองคำนั้นกลับไปให้เจ้า ‘รนหาที่ตาย’!”
เฉินผิงอันมององค์ชายใหญ่ที่ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองมีเหตุผล
พวกคนที่เกิดมาในตระกูลเชื้อพระวงศ์นี่คุยด้วยยากจริงๆ
คนแรกสุดที่เขาเจอมาก็คือเพื่อนบ้านซ่งจี๋ซิน
ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีเหตุผล แม้ว่าจะมีถูกผิด มีก่อนหลังและมีเล็กใหญ่ แต่หลิวจงกับทหารสวมเกราะห้าพันนาย รวมถึงผู้ฝึกลมปราณและปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่ซ่อนตัวอยู่ล้วนเป็นดั่งลูกธนูขึ้นสายที่ไม่ยิงออกไปไม่ได้แล้ว อีกอย่างคือยังมีสถานการณ์ใหญ่บางอย่างผลักดันหลิวจงอยู่เบื้องหลัง จะให้เฉินผิงอันพูดกับทุกคนด้วยความปรองดองว่าเชิญเข้าไปกินข้าวในวัดก่อนแล้วค่อยแยกย้ายกันไป การช่วงชิงบัลลังก์มังกรต้องใช้วิธีที่เปิดเผยตรงไปตรงมาอะไรทำนองนั้น ก็คงไม่ได้ เฉินผิงอันไม่อยากเปลืองน้ำลายพูดเรื่องพวกนี้ หากได้ผลเขาก็เต็มใจที่จะพูด แต่คนเขาไม่ยินดีจะฟังก็ทำอะไรไม่อยู่ดี
เฉินผิงอันใช้กิ่งไม้จิ้มไปที่หลิวจงสองที
ผู้เฒ่าหลังค่อมที่อยู่ข้างกายกระโจนออกไปก่อนใคร จะจับโจรต้องจับหัวหน้าโจรให้ได้ก่อน ต่อให้เป็นหลุมพรางแล้วจะอย่างไร เขาจูเหลี่ยนก็อยากจะขอความรู้ด้านแผนการร้ายบนภูเขาของฟ้าดินแถบนี้บ้างเหมือนกัน!
สุยโย่วเปียนที่ยืนอยู่ทางขวา หลูป๋ายเซี่ยงที่ยืนอยู่ทางซ้ายก็พากันพุ่งออกไป
เว่ยเซี่ยนสวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้าง ก้าวยาวๆ ตามคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ที่ชิงพุ่งตัวตัดหน้าคนอื่นไปก่อน ตอนนี้เขาจะยังไม่ทะลวงขบวนรบก่อนชั่วคราว หลักๆ คือต้องปกป้องวัดร้างแห่งนี้ไว้ให้ได้
ส่วนเฉินผิงอันทำใจเย็นรอให้อีกฝ่ายปล่อยท่าไม้ตายออกมา
……
บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่สูงกว่ายอดเขาซึ่งมีวัดร้างตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขา
บนนั้นมีคนยืนอยู่สองคน จะใช่ยอดฝีมือนอกโลกหรือไม่ ยังไม่อาจบอกได้ แต่อย่างน้อยตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่ตอนนี้ก็ถือว่าสูงมากพอแล้ว
ผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อคนหนึ่ง ตรงเอวไม่ได้ห้อยป้ายหยกที่สำนักศึกษามอบให้ เมื่ออยู่ในราชสำนักต้าเฉวียน เขายืนอยู่ตรงไหนก็ไม่มีใครกล้าสงสัยในตัวเขา ต่อให้ผู้เฒ่าจะยืนอยู่บนหลังคาของตำหนักจินหลวน (ท้องพระโรงที่ฮ่องเต้ใช้ออกว่าราชการ พบปะกับขุนนางในราชสำนัก) ในเมืองเซิ่นจิ่งก็ตาม
ข้างกายผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อมีชายฉกรรจ์ที่กล้ามเนื้อปูดนูนเป็นมัดๆ คนหนึ่งยืนอยู่ กลิ่นอายป่าเถื่อนทั่วร่างของเขาราวกับไม่ใช่กลิ่นอายของมนุษย์
เรื่องคราวนี้สำคัญมาก ผู้เฒ่าจึงยังต้องถามคำถามที่ฟังดูแล้วไม่ค่อยมีความเคารพสักเท่าไหร่ “นายท่านของเจ้าคงจะรักษาคำพูดกระมัง?”
คำตอบของชายฉกรรจ์ตรงไปตรงมาและไร้มารยาทยิ่งกว่า “นายท่านของข้าจะทำอย่างไร ข้าหรือจะกล้าเอามาพูดส่งเดช หากเจ้าแน่จริงก็ไปถามนายท่านเอาเอง แต่ก่อนจะทำเช่นนั้นได้เจ้าต้องมีความกล้านี้เสียก่อน”
ผู้เฒ่าพูดพึมพำกับตัวเอง “ข้าทำอะไรโดยยึดถือคุณธรรมเป็นหลัก ถือว่าชอบด้วยเหตุผล ต่อให้หลังจบเรื่องสำนักศึกษาจะถูกภูเขาไท่ผิงพาลโกรธ ลงโทษให้ปลดบรรดาศักดิ์ของข้า…ก็ไม่เป็นไร”
ชายฉกรรจ์พูดเสียดสี “แสร้งวางท่าให้ดูภูมิฐาน ประโยคนี้คงหมายถึงบัณฑิตอย่างเจ้ากระมัง?”
ผู้เฒ่ายิ้มขื่น “รู้จักแก้ไขเมื่อทำผิดนับว่าประเสริฐ ข้าอ่านตำรามาไม่ใช่แค่หมื่นเล่ม ความรู้ของร้อยสำนักก็ล้วนอ่านผ่านๆ ตามาหมด มีเพียงคำสอนของอริยะฝ่ายตัวเองประโยคนี้ที่ข้ามไป”
ชายฉกรรจ์ไม่คิดได้คืบจะเอาศอก ทำให้ตาแก่ที่อยู่ข้างกายผู้นี้ลำบากใจ หากอีกฝ่ายเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน ตาสว่างขึ้นมา จะไม่ทำลายแผนการที่คิดขึ้นได้ฉับพลันของนายท่านหรอกหรือ ดังนั้นจึงพูดปลอบใจด้วยถ้อยคำน่าฟัง “สมบัติชิ้นนั้นมีค่ามากแค่ไหน อย่าว่าแต่เจ้าที่หวั่นไหว ต้องทุ่มเทคิดแผนการยากลำบากนี้มาตั้งนานเลย อันที่จริงแม้แต่ข้าก็ยังอยากได้ รอให้เจ้าได้มาครองแล้ว ข้าจะทำการแลกเปลี่ยนกับเจ้า สมบัติอาคมที่นายท่านมอบให้ข้าชิ้นนั้น ข้าจะยกให้เจ้า เจ้าแค่ถ่ายทอดมาให้ข้าครึ่งบท ต่อชีวิตให้เจ้าอีกหกสิบปี หลังจากนั้นเจ้าค่อยถ่ายทอดอีกครึ่งบทที่เหลือให้ข้า เป็นไง?”
ผู้เฒ่าใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะก็พยักหน้าตอบรับ “ตกลงตามนี้!”
ชายฉกรรจ์เอ่ยเตือน “ก่อนที่นายท่านของข้าจะออกเดินทางได้กำชับข้าไว้ว่า เว้นเสียจากช่วยชีวิตของเจ้าแล้วก็ห้ามลงมือเด็ดขาด ทางที่ดีที่สุดเจ้าเองก็อย่าลงมือง่ายๆ เหมือนกัน ต่อให้ลงมือก็ต้องช้าหน่อย ไม่อย่างนั้นก็ง่ายที่จะดึงดูดความสนใจจากอริยะศาลบุ๋นท่านนั้น แม้จะบอกว่าตอนนี้อริยะท่านนั้นยุ่งอยู่กับการตามหาวานรเฒ่าของภูเขาไท่ผิง แต่หากเขาย้อนกลับมาเร็วแล้วเดินทางมาที่นี่ พวกมดตัวเล็กๆ อย่างหลิวจงยังพูดง่าย แต่พวกเราสองคนย่อมไม่อาจแบกรับผลที่ตามมาได้ไหวแน่”
พอชายฉกรรจ์พูดถึงอริยะท่านนั้น โดยเฉพาะอริยะที่มีคำว่า ‘ศาลบุ๋น’ ต่อท้าย ก็ทำให้อารมณ์ที่เดิมทีก็เคร่งเครียดอยู่แล้วของผู้เฒ่าดิ่งลงเหวเข้าไปใหญ่ อริยะเจ็ดสิบสองท่านที่ตั้งบูชาไว้ใน ‘สำนักดั้งเดิมอันสง่างาม’ ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง มีใครบ้างที่ควรไปมีเรื่องด้วย พวกเขาไม่ใช่พวกเจ้าขุนเขาแห่งสำนักศึกษาทั้งเจ็ดสิบสองแห่ง ไม่ใช่ ‘อริยะ’ แห่งสำนักศึกษาที่ราชวงศ์ในโลกมนุษย์เรียกอย่างประจบยกยอ แต่เป็นอริยะลัทธิขงจื๊อตัวจริงเสียงจริง! สีหน้าผู้เฒ่ามืดทะมึน พยักหน้ารับ “เรื่องนี้เกี่ยวพันกับชีวิต ข้าย่อมเข้าใจ”
ลมฝนบนภูเขายิ่งรุนแรงมากขึ้น เพียงแต่ว่าเม็ดฝนคล้ายตกลงบนร่มน้ำมันที่มองไม่เห็นคันหนึ่งจึงแตกกระเซ็นออกไปสี่ทิศเหนือศีรษะของคนทั้งสอง
ชายฉกรรจ์อ้าปากหาว อันที่จริงเขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก ด้วยสถานะและความสามารถของนายท่าน เหตุใดถึงต้องรู้สึกกระวนกระวายใจเพราะคนหนุ่มผู้หนึ่งด้วย
หากเปลี่ยนไปเป็นยอดฝีมือหลายคนก่อนหน้านี้ของสำนักใบถงและสำนักกุยหยกที่อยู่ทางใต้สุดและเหนือสุดของทวีปก็ยังพอจะเข้าใจได้ หรือไม่ก็น่าจะเหมือนจงขุยวิญญูชนใหญ่แห่งต้าฝู ว่าที่ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาบางแห่งในลัทธิขงจื๊อที่ถูกวานรเฒ่าสะพายกระบี่สังหารอย่างว่องไวที่ถึงจะมีคุณสมบัติมากพอ
น่าเสียดายก็แต่นายท่านวางแผนมาอย่างรัดกุมรอบคอบ แทบจะกวาดเอาตลอดทั้งใบถงทวีปเข้ามารวมในแผนการด้วย ทว่าอยู่ดีๆ ทางฝ่ายของสำนักฝูจีกลับมีเด็กหนุ่มนักการฝ่ายนอกคนหนึ่งโผล่ออกมา จับผลัดจับผลูไปค้นพบการดำรงอยู่ของผู้อาวุโสขอบเขตสิบสองท่านนั้น กระตุกผมเส้นเดียวก็สะเทือนไปทั้งร่าง ก่อกวนให้แผนการอันยิ่งใหญ่ตระการตาที่นายท่านวางแผนมานานครั้งนี้ยุ่งเหยิงไปอย่างสิ้นเชิง
หรือว่าโชคชะตาของใบถงทวีปจะหนาข้นถึงเพียงนั้น? แม้แต่นาตยทวีปที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุดก็ยังเทียบไม่ได้?
ต้องรู้ว่าผู้เฒ่าเฉินของทักษินาตยทวีปที่บนไหล่มีทั้งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ผู้นั้น หากว่ากันตามคำพูดของนายท่านแล้ว แม้แต่ที่บ้านเกิดของเขา อีกฝ่ายก็ยังมีชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่มาก ถูกมองเป็นคนที่ต่อกรด้วยยากอันดับต้นๆ ขนาดนายท่านเองก็ยังบอกว่า ขอแค่ตัวเขาอยู่ในใต้หล้าไพศาลย่อมไม่ทางเอาชนะเฉินชุนอันลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อผู้รอบรู้ได้แน่นอน
บทที่ 355.2 ลมคาวฝนเลือดของบนภูเขา
มีนักพรตหนุ่มสวมกวานดอกบัวคนหนึ่งเดินทางมาถึงเมืองเล็กชายแดนทางใต้ของต้าเฉวียน เขาไม่ได้เดินเข้าไปในเมืองหูเอ๋อร์ เพียงแค่เดินช้าๆ เลียบไปตามกำแพงดินนอกเมืองที่ไม่ถือว่าสูงเท่าใดนัก ขณะที่เดินก็ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาลูบไล้ผ่านผนังที่หยาบหนาเบาๆ ใบหน้าแต้มยิ้มบางๆ
สุดท้ายเขาเดินเลียบทางหลวงไปจนถึงโรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้กับเมืองเล็ก กิจการของโรงเตี๊ยมซบเซา เด็กหนุ่มขาเป๋นอนงีบหลับฟุบอยู่บนโต๊ะ ผู้เฒ่าหลังค่อมนั่งสูบยาอยู่ตรงผ้าม่าน สตรีแต่งงานแล้วนั่งคิดบัญชีอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน คิดไปคิดมานางก็นึกอยากจะยกลูกคิดขึ้นทุบนัก
นักพรตหนุ่มเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา สายตาของเขาอ่อนโยน เอ่ยเรียกเบาๆ ว่าจิ่วเหนียง จิ่วเหนียง
เด็กหนุ่มขาเป๋เงยหน้าขึ้นอย่างสะลึมสะลือ รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เหตุใดบัณฑิตตกอับคนหนึ่งจากไปแล้ว แต่กลับยังมีนักพรตหนุ่มที่ปรารถนาในความงามของเถ้าแก่เนี้ยะโผล่มาอีกคนหนึ่ง? ใต้หล้านี้ไม่มีสตรีหน้าตาดีหลงเหลือแล้วหรือไง?! ถึงต้องมาคอยตามตอแยเถ้าแก่เนี้ยะของพวกเขาอยู่ได้?
สตรีแต่งงานแล้วเงยหน้าขึ้น ถามอย่างสงสัย “นักพรตน้อย พวกเรารู้จักกันหรือ?”
นักพรตหนุ่มที่หน้าตาไม่โดดเด่น นอกจากจะสวมกวานเต๋าที่ค่อนข้างพบเห็นได้ยากแล้ว ด้านอื่นๆ ล้วนไม่สะดุดตา หน้าตาธรรมดา ตัวไม่สูงไม่เตี้ย ชุดนักพรตก็ค่อนไปทางเก่าซีดอย่างเห็นได้ชัด
สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกว่าสายตาของคนผู้นี้ประหลาดมาก ทั้งไม่มีความลามกหยาบโลนเหมือนชายฉกรรจ์ในเมืองหูเอ๋อร์ แล้วก็ไม่มีความลุ่มหลงที่ทำให้คนไม่เข้าใจอย่างจงขุย แต่เป็นสายตาของคนรู้จักที่จากกันไปนานแล้วได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง แม้ปากจะเอ่ยทักทาย และก็เห็นอยู่ว่าสายตาของเขามองมาที่นาง แต่กลับเหมือนมองผ่านไปไกลยิ่งกว่านั้น
จิ่วเหนียงรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย หลังจากนางถามไป นักพรตหนุ่มคนนั้นก็แค่ยิ้มมองตน สายตาของเขายิ่งแจ่มจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งทำให้คนหวั่นใจมากขึ้น
อยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหลอาบหน้านักพรตหนุ่ม แต่เขากลับถามด้วยรอยยิ้มว่า “จิ่วเหนียง พวกเรากลับบ้านกันไหม?”
ไม่รอให้จิ่วเหนียงเปิดปากด่า
นักพรตหนุ่มก็เช็ดคราบน้ำตา พูดเยาะหยันตัวเอง “เป็นข้าที่จำคนผิดเอง โปรดอภัยด้วยๆ”
เขานั่งลงข้างโต๊ะตัวหนึ่ง ควักเศษเงินไม่กี่เม็ดออกมาจากชายแขนเสื้อ ตบลงบนโต๊ะ พูดพลางยิ้มบางๆ “เงินทั้งหมดนี้ใช้ซื้อเหล้า ซื้อได้กี่กาก็ซื้อเท่านั้น”
โรงเตี๊ยมตั้งอยู่ริมชายแดน มีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกันสัญจรผ่านไปมา มักจะมีนักเดินทางที่รับมือไม่ง่ายมาเยือนเป็นประจำ เด็กหนุ่มขาเป๋ทำงานอยู่ในโรงเตี๊ยมมานานหลายปี เคยเห็นแขกที่น้ำเข้าสมอง (เปรียบเปรยว่าสมอง/ความคิดมีปัญหา) มาเยอะแล้ว แล้วก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องคิดอะไรให้มากความ จึงหยิบเงินมา พูดว่า “เหล้าบ๊วยของโรงเตี๊ยมเรา หากเป็นเหล้าบ๊วยที่ดีที่สุด ลูกค้าสามารถซื้อได้แค่ไหเดียว…”
นักพรตหนุ่มไม่รอให้เด็กหนุ่มขาเป๋กล่าวจบก็ชิงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “งั้นก็เอาเหล้าบ๊วยที่ดีที่สุดมาหนึ่งไห”
ออกจากบ้านเกิดเดินทางไกล ฟ้าดินกว้างใหญ่ ไม่ว่ากับใครก็มิอาจสนิทสนม เดินทางหาประสบการณ์อย่างเงียบเหงายิ่งกว่าเหล่าอริยะปราชญ์เช่นนี้ ไม่ดื่มเหล้าจะได้อย่างไร
เขาดื่มเหล้าชั้นดีและชั้นเลวมาเกือบทั่วทั้งใบถงทวีปแล้ว
เขาชอบดื่มเหล้า มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ระดับขั้นพอใช้ได้มาเป็นกาเหล้าก็พอดีเลย
ส่วนกระบี่บินสองเล่มที่มีความเป็นมาประหลาดในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้น หากถูกทำลายไปก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ายังเก็บไว้ได้ก็ยิ่งดี
หลังจากกลับคืนสู่บ้านเกิด เอาพวกมันไปมอบเป็นของขวัญให้แก่เด็กรุ่นหลังในตระกูล ก็ถือว่าเป็นการชดเชยเล็กๆ น้อยๆ ที่พลาดพิธีการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของพวกเขาไป ที่บ้านเกิดของเขา การมอบกระบี่ให้ดีกว่ามอบอะไรทั้งหมด
เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงในใบถงทวีปครั้งนี้ เจตนารมณ์สวรรค์ได้ถูกเปิดเผยออกมาตั้งนานแล้ว ลูกน้องสองคนไม่สามารถซุ่มจำศีลได้ถึงท้ายที่สุด ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เป็นเพราะคำว่าฟ้าอำนวยยังคงอยู่ในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ ตอนนี้ก็ต้องดูที่ว่าในนาตยทวีปและฝูเหยาทวีปจะราบรื่นกว่านี้หรือไม่
เดิมทีทั้งภูเขาไท่ผิงและสำนักฝูจีต่างก็ควรพินาศย่อยยับไปแล้ว เทียนจวินบรรพจารย์และเจ้าสำนักของภูเขาไท่ผิง สองสามีภรรยาจีไห่ต้องตายกันทั้งหมด ลูกรักแห่งสวรรค์ที่ยึดครองโชคชะตาจำนวนมากของหนึ่งทวีปไปเพียงลำพังอย่างนักพรตหญิงหวงถิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ส่วนจงขุยวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาต้าฝูผู้นั้น อันที่จริงในใบลำดับรายชื่อของนักพรตหนุ่มภูเขาไท่ผิงคนนี้ อีกฝ่ายก็อยู่ในอันดับต้นๆ เช่นกัน
จงขุยตายไปคนหนึ่ง มีความหมายยิ่งใหญ่ไม่เป็นรองภูเขาไท่ผิงถูกถล่มราบเลย
ดังนั้นตอนที่เขาออกคำสั่งแก่วานรขาวสะพายกระบี่ ต่อให้ใช้ชีวิตแลกด้วยชีวิตก็ยังไม่ขาดทุน หากหลังจบเรื่องสามารถหลบหนีเข้าไปในเส้นทางมังกรที่แตกพังแห่งนั้นได้สำเร็จ ไม่ว่าจะบาดเจ็บหนักแค่ไหนก็ล้วนถือว่าได้กำไรก้อนโตแล้ว หลังจากนั้นแค่หลบซ่อนตัวให้ดีก็พอ ไม่อย่างนั้นเขาเองก็ปกป้องวานรเฒ่าไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็สามารถพาคนจากใต้หล้าไพศาลไปได้แค่คนเดียว หากวานรเฒ่าไม่ถูกทำร้ายจนเสียหายไปถึงรากฐานแห่งมหามรรคาก็ยังเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตสิบสอง เขาอาจจะพามันไปด้วยกัน ไม่ใช่คิดถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อนจนต้องมาดื่มเหล้าดับทุกข์อยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้
เดิมทีจงขุยควรจะมีชีวิตอยู่ได้นานอีกนิด ได้เป็นคนลุ่มหลงในรักนานอีกหน่อย
ท่านปู่สามผู้เฒ่าหลังค่อมใช้สายตาบอกเป็นนัยแก่จิ่วเหนียงว่าให้ระวังคนผู้นี้ ทว่าสตรีแต่งงานแล้วยังยืนกรานจะถือกาเหล้าและถ้วยขาวสองใบมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนักพรตหนุ่มคนนั้นด้วยตัวเอง
จิ่วเหนียงรินเหล้าใส่ถ้วยทั้งสอง ถามด้วยรอยยิ้มว่า “นักพรตน้อยจำคนผิดหรือว่ารู้จักกับข้าจริงๆ?”
นักพรตหนุ่มยกเหล้าบ๊วยขึ้นดื่มหนึ่งอึกแล้วเอ่ยชมว่าเป็นเหล้าดี ก่อนจะยกหลังมือเช็ดปาก “เป็นข้าที่จำคนผิด”
จิ่วเหนียงยิ้มตาหยีถามว่า “นักพรตน้อยช่างกล้าหาญ ใจกล้าไม่เบา ระหว่างที่เอ่ยพูดไม่เคยเรียกตัวเองว่านักพรตผู้ต่ำต้อย หรือว่าเป็นนักพรตตัวปลอมที่สวมรอยเป็นเทพเซียนของภูเขาไท่ผิง?”
นักพรตหนุ่มส่ายหน้า “เป็นนักพรตจริงจนจริงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว แค่หาเนื้อหนังมังสามาสวมวิญญาณ ฝึกตนอยู่บนภูเขาไท่ผิงมาร้อยปีถึงได้รับป้ายหยกแผ่นนั้น ภายหลังระหว่างที่ลงจากเขามาหาประสบการณ์ได้ตายไป แม้แต่โครงกระดูกก็ไม่เหลือ ทางสำนักเองก็ไม่มีแม้แต่โอกาสได้เก็บแผ่นหยกนั้นกลับไป น่าอนาถมากเลยล่ะ หลังจากนั้นมาข้าก็เปลี่ยนโฉมใหม่ ออกเดินทางไปทั่วทิศ แล้วก็เริ่มหาเหล้าดื่ม สุดท้ายกลับมาที่ต้าเฉวียน ท่องไปตามสถานที่ดีๆ มากมาย ยกตัวอย่างเช่นลำคลองหมายเหอ แล้วยังได้เจอบัณฑิตคนหนึ่งที่ชื่อหวังฉีในเมืองเซิ่นจิ่ง ตอนนั้นคนผู้นั้นอายุไม่น้อยแล้ว ตั้งชื่อได้ไม่เลว ฉีคำนี้สามารถใช้คำว่าอริยะมาอธิบายได้ ฝึกบำเพ็ญร่างกาย จิตใจก็เด็ดเดี่ยวซื่อตรง”
“เขื่อนยาวพันลี้ยังพังลงได้ด้วยรังมด น่าเสียดายที่วิญญูชนผู้ยิ่งใหญ่กลับต้องมาถูกทำลายเพราะความโลภเพียงคำเดียว”
ตอนที่ยกถ้วยเหล้าขึ้น ข้อมือของจิ่วเหนียงสั่นเบาๆ
นางพลันกระดกเหล้าดื่มจนหมด พอวางถ้วยลงแล้วถึงถามว่า “เหตุใดต้องพูดเรื่องพวกนี้กับข้า คิดจะฆ่าข้ารึ?”
นักพรตหนุ่มคล้ายได้ยินเรื่องตลกที่สุดในใต้หล้า เขาพึมพำว่า “บอกแต่แรกแล้วว่าจำคนผิด ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า คนที่ข้ารู้จักผู้นั้นมีเก้าชีวิต จะฆ่าได้อย่างไร? ฆ่าเจ้าครั้งหนึ่ง นายท่านผู้เฒ่าป๋ายก็จะเกิดจิตเชื่อมโยงครั้งหนึ่ง เจ้าไม่รู้อะไร นายท่านผู้เฒ่าป๋ายเล่นงานพวกเราอย่างน่าอนาถแค่ไหน ต่อให้อริยะลัทธิขงจื๊อฆ่าข้า ข้าก็แค่ร่อแร่ใกล้ตาย ช่วยให้ข้าได้กลับบ้านเร็วหน่อยเท่านั้น แต่ขอแค่นายท่านผู้เฒ่าป๋ายเห็นข้า ต่อให้มีหนึ่งใต้หล้าขวางกั้น เขาก็ยังสามารถทำให้กระดูกของข้าป่นเป็นผุยผงได้อยู่ดี”
เขาพูดสะท้อนใจด้วยน้ำเสียงเศร้าอาลัย “ข้าเองก็ตัดใจฆ่าไม่ลงด้วย”
‘นักพรตหนุ่ม’ ที่สามารถบงการให้ปีศาจใหญ่สองตัวทุ่มสุดชีวิตเพื่อตัวเองคลี่ยิ้ม ยกถ้วยเหล้าขึ้นจิบหนึ่งคำ “ใบถงทวีปเผชิญกับหายนะใหญ่ครั้งนี้ วันหน้าหากย้อนกลับมาดูจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นความโชคดีในความโชคร้าย”
คลื่นยักษ์ถาโถมอยู่ในใจของจิ่วเหนียง
“ไม่ต้องกังวล ข้าได้ดื่มเหล้ารสเลิศ ได้บ่นเรื่องพวกนี้ไปแล้ว พวกเจ้าจะจำอะไรไม่ได้สักอย่าง” นักพรตหนุ่มวางถ้วยเหล้าลง ยื่นนิ้วออกมาวาดวงกลมบนขอบถ้วย จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน หมุนตัวเดินไปจากโรงเตี๊ยม
ภาพเหตุการณ์ในโรงเตี๊ยมแปลกประหลาดยิ่ง ราวกับว่ากาลเวลาหมุนย้อนกลับ จิ่วเหนียง ท่านปู่สามและเด็กหนุ่มขาเป๋เริ่มพูดจาและทำท่าทางต่างๆ ย้อนกลับหลัง
สุดท้ายเมื่อนักพรตหนุ่มข้ามธรณีประตูโรงเตี๊ยมออกไป ทุกอย่างจึงกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม เด็กหนุ่มขาเป๋นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ ผู้เฒ่าหลังค่อมสูบยาอยู่ตรงผ้าม่านหน้าประตู จิ่วเหนียงยังคงดีดลูกคิด
ทุกอย่างหยุดนิ่ง
มีเพียงถ้วยเหล้าใบนั้นของนักพรตหนุ่มที่เหลือค้างอยู่บนโต๊ะ
เขาเอี้ยวตัวมาด้านหลัง มองไปทางโต๊ะคิดเงิน
‘จิ่วเหนียง’ เงยหน้ามองประสานสายตากับนักพรตหนุ่มด้วยสายตาเย็นชา
นักพรตหนุ่มมองไปยังด้านหลังของ ‘จิ่วเหนียง’ หางสีขาวหิมะหลายหาง ใหญ่ประดุจต้นเสาเบียดเสียดกันอยู่ด้านหลังของสตรีแต่งงานแล้ว
นักพรตหนุ่มนับหางจิ้งจอกแล้วขมวดคิ้ว แต่ไม่นานหัวคิ้วก็คลายออก เขาคลี่ยิ้มแล้วจากไป
‘จิ่วเหนียง’ พูดเสียงเย็น “สักวันหนึ่งเจ้าจะต้องถูกลากตัวออกมา”
เขาออกไปจากโรงเตี๊ยมไกลมากแล้ว ทว่าเสียงของเขากลับยังดังก้องอยู่ในโรงเตี๊ยม “ปรารถนาแต่มิอาจได้มาครอง หาไม่แล้วเหตุใดข้าต้องทำเรื่องเกินความจำเป็นเพื่อเล่นงานคนหนุ่มผู้หนึ่งที่แม้แต่ภูเขาไท่ผิงก็ยังคิดจะปกป้องด้วยเล่า”
ครู่หนึ่งต่อมา
เด็กหนุ่มขาเป๋ส่งเสียงกรนเบาๆ ต่ออีกครั้ง หมอกควันลอยอบอวล เสียงดีดลูกคิดของสตรีแต่งงานแล้วดังขึ้นอย่างสะเปะสะปะ
ผ่านไปอีกนานมาก สตรีแต่งงานแล้วถึงชำเลืองมองไปยังถ้วยขาวบนโต๊ะแล้วใช้ฝ่ามือตบลงบนลูกคิด กล่าวเสียงขุ่น “เจ้าเป๋น้อย เจ้าตาบอดหรือไง ทำไมไม่เก็บถ้วยเหล้าบนโต๊ะ?!”
เด็กหนุ่มขาเป๋สะดุ้งตื่นทันที เห็นว่าอยู่ดีๆ บนโต๊ะก็มีถ้วยเหล้าใบหนึ่งโผล่มาเลยเกาหัว เขาจำได้ว่าเก็บกวาดจนสะอาดหมดแล้วนะ แต่เพราะไม่กล้าเถียงเถ้าแก่เนี้ยะที่กำลังอารมณ์ไม่ดีจึงลุกมาเก็บถ้วยเหล้าเอาไปไว้ในห้องครัว
ชายแดนที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มีคนหนุ่มคนหนึ่งที่สวมกวานเต๋าบิดเบี้ยวเดินไปพลางร้องเพลงเสียงดัง “เก็บน้ำเต้า เก็บน้ำเต้าบรรจุเหล้าเอย เก็บน้ำเต้าบรรจุเหล้าเอามาใส่เหล้า มือเล็กของสาวงามผู้เป็นที่รักยามรินสุราอ่อนนุ่มดุจหยกขาวดุจรากบัว…”
……
นอกวัดร้าง ลมฝนพัดกระโชกแรง
ทว่าถึงแม้จะมีฝนตกกระหน่ำขนาดนี้กลับยังมีกลิ่นคาวเลือดลอยมาให้ได้กลิ่น
สุยโย่วเปียนพุ่งตัวไปทางด้านหนึ่ง วันนี้นางไม่ได้ควบคุมกระบี่ยาวเหมือนอาจารย์กระบี่อย่างตอนศึกในโรงเตี๊ยม แต่ถือกระบี่ชือซินไว้ในมือ เรือนกายเคลื่อนไหวปราดเปรียวดุจลิงป่า พลิกตัวหมุนตีหลังกากลับไปกลับมาอยู่ท่ามกลางผืนป่า ทุกครั้งที่เสือกกระบี่ออกไป ปราณกระบี่ที่พุ่งนำจะต้องผ่าร่างของทหารชายแดนต้าเฉวียนที่สวมเสื้อเกราะเหล่านั้นออกเป็นสองท่อน
หลูป๋ายเซี่ยงไปยังทิศทางตรงข้ามกับสุยโย่วเปียน เขาเดินก้าวยาวๆ ขอแค่มีทหารสวมเสื้อเกราะถือดาบขยับเข้ามาใกล้ก็จะโบกดาบอย่างไม่ใส่ใจหนึ่งครั้ง ไม่เหมือนสุยโย่วเปียนที่ตวัดกระบี่ฉวัดเฉวียนอย่างเต็มที่ หลูป๋ายเซี่ยงนั้นไม่ว่าจะเป็นคมดาบหรือพายุลมกรดที่เล็กบางดุจเส้นขนก็ล้วนเลือกแค่ลำคอของพลทหารราบ หรือไม่ก็ใช้ปลายดาบ ‘ชี้’ ไปที่หน้าผากของเหล่าทหารชายแดนเท่านั้น
ระหว่างนี้ในผืนป่าสองข้างฝั่งก็จะมียอดฝีมือวิถีวรยุทธ์และผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่หลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มทหารธรรมดาคอยฉวยโอกาสลอบโจมตีหลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียน
และยิ่งมีธนูที่ถูกเหนี่ยวเต็มแรงสาดยิงออกมา
ปราณเฉียบคมทั่วร่างของสุยโย่วเปียนกลับเข้มข้นยิ่งกว่าปราณกระบี่ชือซินที่อยู่ในมือเสียอีก
ไม่เสียแรงที่เป็นเซียนกระบี่หญิงคนแรกที่พยายามจะใช้กระบี่แหวกม่านฟ้า พาเรือนกายที่มีเลือดเนื้อบินทะยาน
หลูป๋ายเซี่ยงก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างสบายอารมณ์
ทหารสวมเสื้อเกราะที่ถือเป็นยอดฝีมือในโลกมนุษย์เหล่านี้ ต่อให้มีศัตรูที่รับมือได้ยากหลายคนปะปนอยู่ด้วย แต่จะคู่ควรกับคำว่า ‘ล้อมสังหาร’ ได้อย่างไร? ไม่รู้หรือว่าศึกสุดท้ายในชีวิตก่อนของหลูป๋ายเซี่ยงต้องเจอกับปรมาจารย์ยอดฝีมือจากทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรมที่รวมตัวกันมามากแค่ไหน?
อีกอย่าง
วันนี้คนสามคนที่เดินออกมาจากม้วนภาพวาดในโรงเตี๊ยมนอกเมืองหูเอ๋อร์ และรวมถึงตัวจูเหลี่ยนเองด้วยต่างก็แตกต่างไปจากวันวาน
สุยโย่วเปียนตั้งใจฝึกวิชากระบี่ ปรับตัวเข้ากลับการไหลเวียนของลมปราณในใต้หล้าไพศาลอย่างรวดเร็ว จูเหลี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยงหรือจะเกียจคร้าน? พวกเขาเองต่างก็ต้องแบ่งสมาธิไปปรับตัวเข้ากับขอบเขตหกของผู้ฝึกยุทธ์ที่ถูกปราณวิญญาณของฟ้าดินแห่งนี้กรอกเทเข้าร่าง และผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกขั้นสูงสุดที่ต้องสร้างขอบเขตให้มั่นคง ทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างมาก
หน้าประตูของวัดร้าง
เฉินผิงอันแค่ให้กระบี่บินชูอีสืออู่ร่วมมือกับจูเหลี่ยนคนคลั่งวรยุทธ์ลอบโจมตีองค์ชายหลิวจงกะทันหันครั้งเดียว หลังจากนั้นก็ไม่ลงมืออีก ยังคงถือกิ่งไม้ยืนอยู่ใต้ชายคา
สวี่ชิงโจวที่สวมเสื้อเกราะจินอูจิงเหว่ยของสำนักการทหาร และสวีถงเซียนซือจากอารามฉ่าวมู่ บวกกับผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่คอยปกป้องอยู่เบื้องหน้าหลิวจง ต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นมัลละตนหนึ่งจากยันต์ของสวีถงและชีวิตของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนหนึ่งถึงจะสกัดกั้นการลอบโจมตีครั้งนี้ได้
ช่วยไม่ได้ ตอนนั้นเพื่อรับมือกับขันทีชุดหม่างหลี่หลี่ เฉินผิงอันได้ใช้ทุกวิธีการที่ตัวเองมี ทั้งสวี่ชิงโจวและสวีถงต่างก็รู้ชัดเจนดี ดังนั้นพวกเขาจึงคาดการณ์ถึงชูอีกับสืออู่กระบี่บินสองเล่มที่ผลุบโผล่อย่างลึกลับไว้ได้ก่อนแล้ว
หลิวจงทั้งรบทั้งถอย สวี่ชิงโจวและสวีถงคอยปกป้องอยู่ข้างกายองค์ชายใหญ่ท่านนี้ตลอดเวลา
ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนอื่นที่มีประสบการณ์ในสนามรบมานานก็พยายามต้านทานการกระโจนเข้าสังหารของผู้เฒ่าหลังค่อมตลอดเวลา แล้วยังต้องคอยระวังชายร่างเล็กเตี้ยแต่กำยำที่สวมเสื้อเกราะสีขาวหิมะที่อยู่ด้านหลังซึ่งยังไม่ลงมือคนนั้นด้วย
ทหารสวมเกราะสองพันนายบนภูเขา รวมไปถึงอีกสามพันนายที่อาจขึ้นเขามาให้ความช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ บวกกับผู้ฝึกตนติดตามกองทัพและยอดฝีมือในยุทธภพที่ถูกจ้างมาด้วยเงินก้อนใหญ่ หลิวจงไม่ได้เพ้อฝันว่าขบวนทัพเช่นนี้จะสามารถสังหารเฉินผิงอันและปรมาจารย์ผู้ติดตามเขาอีกสี่คนได้ แต่ขอแค่สังหารหรือทำร้ายคนสองสามคนให้ได้รับบาดเจ็บก็ถือว่ากุมชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคงแล้ว
จูเหลี่ยนในเวลานี้ไม่ผิดต่อฉายา ‘ผู้บ้าคลั่งวรยุทธ์’ ของตัวเองแม้แต่น้อย
พละกำลังแผ่ไปทั่วแปดทิศรอบกายเขา ร่างทั้งร่างประหนึ่งสปริงดีด ว่องไวดุจสายฟ้า
พอมีลมพัดใบไม้ไหว ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่มีความสามารถก้นกรุเป็นวิชาลอบโจมตีจะต้องขนตั้งชันดุจง้าวศึก ขยับหลบได้อย่างแม่นยำเหมือนรู้ล่วงหน้า
ตอนที่จูเหลี่ยนกระโจนเข้ามาเข่นฆ่า ผู้เฒ่าหลังค่อมจะต้องค้อมเอวต่ำกว่าปกติด้วยความเคยชิน มือทั้งสองข้างแตะพื้น ทุกครั้งที่เท้าเหยียบพื้นก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นดั่งลูกธนูที่ยิงไปยังทิศทางใด เรือนกายของเขาเคลื่อนไหวว่องไวเกินไปจริงๆ
ครั้งหนึ่งคว้าโอกาสได้ จูเหลี่ยนจึงมาโผล่อยู่ตรงหน้าผู้ฝึกตนติดตามกองทัพวัยกลางคนคนหนึ่งอย่างลึกลับ ปล่อยหมัดใส่หน้าท้องของคนผู้นี้ จากนั้นก็ใช้ศพที่ตายคาที่เป็นโล่บังสกัดกั้นมีดใหญ่จากมัลละเกราะเงินของสวีถงที่ฟันผ่าเข้ามา ครั้นจึงโยนศพทิ้งแล้วขยับไปข้างหน้าอีกหลายก้าวในเสี้ยววินาที เหวี่ยงมือปาดไปกระแทกเข้าที่ศีรษะของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนหนึ่งโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว ผู้ฝึกตนกลายเป็นศพไร้หัวที่ร่วงกระแทกบนพื้นห่างไปไกลหลายจั้ง
บนร่างของเว่ยเซี่ยนสวมซีเยว่หนึ่งในแปดบรรพบุรุษของเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน ใช้มือคว้าจับอาวุธวิเศษของผู้ฝึกตนที่พุ่งสวนไหล่กับจูเหลี่ยนไป ขอแค่ถูกเขาคว้าไว้ในมือ หากไม่ถูกบีบให้ระเบิดแตกก็ต้องถูกเขาใช้สองมือหักให้งอ
นอกจากนี้ยังมีทหารสวมเกราะถือดาบวิ่งกรูกันมาจากเส้นทางสองฝั่งอย่างต่อเนื่อง
เว่ยเซี่ยนจึงเริ่มก้าวถอยหลัง
จูเหลี่ยนมักจะใช้มือตบใช้เท้าเตะอาวุธวิเศษที่เหล่าผู้ฝึกตนเป็นผู้ควบคุมให้ลอยไปหาเว่ยเซี่ยน เว่ยเซี่ยนจึงต้องสังหารทหารที่กระโจนเข้าใส่วัดร้าง แล้วยังต้องคอยเก็บกวาดเรื่องเละเทะที่จูเหลี่ยนโยนมาด้วย
ห่างออกไปไกลบนภูเขา หลิวจงที่พยายามมองไปทางสนามรบตรงจุดนั้นถามด้วยสีหน้าเป็นปกติ “หรือว่าคนห้าพันคนของข้าต้องตายกันหมดจริงๆ? ต้องใช้ชีวิตทั้งห้าพันชีวิตมากองกันเพื่อสังเวยในการสังหารคนเหล่านี้?”
สวี่ชิงโจวเอ่ยเสียงหนัก “คงต้องเป็นเช่นนี้ ข้าและสวีถง รวมไปถึงคนสามคนที่องค์ชายจัดหามาก่อนหน้านี้จะพยายามคว้าโอกาสเหมาะโจมตีเอาชีวิตพวกเขาในช่วงเวลาที่คนทั้งสี่ผลัดเปลี่ยนลมปราณ ไม่ให้คนเหล่านี้ต้องตายไปอย่างเสียเปล่าก็แล้วกัน”
หลิวจงกำดาบประจำตัวที่ห้อยไว้ตรงเอวแน่นจนเส้นเลือดบนหลังมือปูดโปน “เหตุใดศักยภาพแท้จริงของปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์สี่คนที่อยู่ตรงหน้าถึงได้แตกต่างจากข้อมูลที่สายลับรายงานมามากขนาดนี้?!”
เซียนซือสวีถงยิ้มจืดเจื่อน “อันที่จริงข้ากับแม่ทัพสวี่สงสัยมากกว่าองค์ชายเสียอีก ตอนนั้นที่อยู่ในโรงเตี๊ยม พวกเรายังสามารถต่อสู้กันได้อย่างสูสี แต่คืนนี้หากจับคู่เข่นฆ่ากัน ข้ากับแม่ทัพสวี่ย่อมตายอย่างมิต้องสงสัย”
หลิวจงพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งที “ไม่โทษพวกเจ้า เป็นเพราะเฉินผิงอันผู้นั้นอำพรางตนได้ลึกล้ำเกินไป ไม่เป็นไร ต่อให้ฝ่ายเราจะบาดเจ็บล้มตายมากแค่ไหนก็ล้วนใช้ร่างของไอ้หมอนี่ชดเชยกลับคืนมาได้!”
ใต้ชายคาวัดร้าง เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองป้ายหยกศาลบรรพจารย์ที่นักพรตหนุ่มของภูเขาไท่ผิงนำมามอบให้ตนแล้วจมอยู่ในภวังค์ของการครุ่นคิด
บทที่ 356.1 ภูเขาไท่ผิงไม่สงบสุข
บนภูเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดร้าง ยิ่งนานฝนก็ยิ่งตกหนัก สาดกระทบลงบนเสื้อเกราะของเหล่าทหารชายแดนต้าเฉวียนเสียงดังเป๊าะแป๊ะอย่างถี่กระชั้น
เสื้อเกราะเหล็กที่เหล่าทหารชายแดนสวมใส่กันนี้ ส่วนใหญ่ล้วนมีความเสียหาย เต็มไปด้วยร่องรอยขูดขีดกรีดแทงของทั้งดาบ ทวนและลูกธนู
ฝนใหม่สาดตีลงบนเกราะตัวเก่า
คนจากตระกูลสูงศักดิ์มักไม่พาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย เพื่อให้สวี่ชิงโจวและสวีถงสองคนสามารถลงมือได้อย่างเต็มที่ คว้าโอกาสที่ผุดขึ้นแวบเดียวแล้วหายไปในการสังหารข้ารับใช้สี่คนของเฉินผิงอัน องค์ชายใหญ่หลิวจงจึงถอยไปอยู่กึ่งกลางภูเขาอย่างเงียบเชียบ ข้างกายนอกจากคนรู้ใจหลายสิบคนที่ติดตามเขามาตั้งแต่อยู่บนสนามรบซึ่งให้การคุ้มกันอย่างแน่นหนาแล้ว เสื้อเกราะที่นักรบเดนตายเหล่านี้สวมใส่ยังหนักกว่าของทหารชายแดนที่เปิดฉากสังหารอยู่ตรงวัดร้าง ถือเป็นเสื้อเกราะเหล็กซึ่งทำขึ้นพิเศษสำหรับพลทหารราบ และยังมีผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่ศักยภาพโดดเด่นเหนือคนอื่นอีกสามคน คนหนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรซึ่งสามารถใช้ความอบอุ่นหล่อเลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่คมกริบออกมาได้ คนหนึ่งคือนักพรตที่ถนัดด้านการเขียนยันต์สร้างค่ายกล ส่วนอีกคนคือผู้ฝึกตนสำนักการหทารที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน
หลิวจงหมายมั่นปั้นมือว่าต้องเด็ดหัวเฉินผิงอันมาให้จงได้ ทว่าเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ เขาจึงไม่คิดจะพาตัวมาเสียท่าอยู่ในภูเขาเล็กๆ ไร้ชื่อแห่งนี้
ในเมื่อหวังฉีวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาที่ไม่รู้ว่าซ่อนตัวอยู่ที่ไหนคนนั้นเต็มใจพาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับแผนการร้ายครั้งนี้ ถ้าอย่างนั้นหลิวจงก็ไม่ค่อยเชื่อใจในตัวของผู้นำเหล่าปัญญาชนในต้าเฉวียนที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งผู้นี้เท่าใดนัก หากไม่เป็นเพราะเงื่อนไขที่เกาซื่อเจินเสนอมาดึงดูดใจมากเกินไป อีกทั้งยังลากเอาแม่ทัพสกุลสวี่และอารามฉ่าวมู่มาด้วย หลิวจงก็คงไม่กล้าเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงครั้งนี้ เขาอยากรู้จริงๆ ว่าสมบัติของจวนปี้โหยวนั้นมีมูลค่าควรเมืองมากแค่ไหนกันแน่ ถึงได้ทำให้วิญญูชนแห่งสำนักศึกษายอมผิดต่อจิตสำนึกดีชั่วของตัวเองมาเป็นคนวางแผนการล้อมสังหารในครั้งนี้
แม้จะบอกว่าหลังจากจบเรื่องหวังฉีย่อมต้องมีเหตุผลไปอธิบายกับเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝู บอกว่าต้องการจับตัว ‘คนจากลัทธิมารนอกรีต’ ที่สวมรอยเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิง และยังสามารถสาดน้ำโคลนใส่หัวเฉินผิงอันได้อีก ยกตัวอย่างเช่นบอกว่าสงสัยว่าคนต่างถิ่นผู้นี้คือปีศาจใหญ่ที่หนีออกมาจากบ่ออเวจี แล้วเปลี่ยนแปลงรูปโฉมตัวตน ถึงได้จำเป็นต้องระดมทหารเกราะเหล็กห้าพันนายของทางทิศเหนือให้มาโอบล้อมภูเขาลูกนี้ แต่หลิวจงกลับไม่รู้สึกว่าการอธิบายเช่นนี้สมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่
แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแล้ว ตอนนี้หวังฉียังคงเป็นวิญญูชนตัวจริงของสำนักศึกษาต้าฝู คำพูดของวิญญูชน ขนาดฮ่องเต้ของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ยังต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขา แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาหลิวจงเป็นแค่องค์ชายคนหนึ่ง การพาทหารขึ้นเขาครั้งนี้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ที่สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อตั้งไว้ หลังจากที่สังหารเฉินผิงอันผู้นั้นไปแล้ว หวังฉีจะอธิบายกับทางสำนักศึกษาอย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่เขาหลิวจงจะเข้าไปยุ่งด้วยได้แล้ว
แต่ตอนที่หวังฉีออกจากเมืองเซิ่นจิ่งมาอย่างลับๆ แล้วมาหาเขาที่ชายแดน ได้บอกให้เขาหลิวจงรู้ถึงสายลับที่หลี่หลี่ขันทีผู้คุมตรากองทัพม้าซ่อนไว้อย่างหมดเปลือก บอกตามตรง ตอนนั้นหลังจากรู้คดีของนักรบเดนตายที่กระจายตัวไปตามจวนใหญ่แห่งต่างๆ ในเมืองหลวง ในยุทธภพของต้าเฉวียน และในสำนักบนภูเขาแล้ว หลิวจงตกตะลึงอย่างหนัก ขันทีหลี่หลี่ถูกขนานนามให้เป็นโซ่วกงไหวแห่งต้าเฉวียน ทว่าอำนาจของเขากระจายไปไกล เส้นสายเชื่อมโยงพัวพันอยู่ทั่วต้าเฉวียนตั้งแต่เมื่อไหร่?
ในฐานะวิญญูชนที่มีคุณวุฒิสูง มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งภาคกลางของใบถงทวีป หวังฉีไปผูกสัมพันธ์กับขันทีในวังหลวงคนหนึ่งได้อย่างไร?
ต่อให้ชื่อเสียงของหลี่หลี่ในราชสำนักจะดีแค่ไหน ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ตาแก่หนังเหนียวที่ไม่มีนกเขาอยู่ในกางเกงเท่านั้น เมื่อเทียบกับเจ้าวิญญูชนหวังฉีแล้วแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
แต่หลี่หลี่ตายไปก็ดีเหมือนกัน ขันทีเฒ่าผู้นี้ชื่นชอบองค์ชายสามที่เป็นดั่งสำลีซ่อนเข็มมานานมากแล้ว น่าสงสารก็แต่เหล่าซานที่วางแผนอย่างยากลำบากมาสิบกว่าปี ยอมพาตัวไปเสี่ยงอันตราย แทรกซึมเข้าไปใจกลางของเป่ยจิ้นอย่างไม่กลัวตาย กว่าจะทำลายศาลเทพวารีทะเลสาบซงเจินและจวนเทพภูเขาหวงจินติดต่อกันได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่กลับพาเกาซู่อี้ไปให้คนฆ่าตายในถิ่นของตระกูลเหยา แม้แต่หลี่หลี่ผู้ไร้ศัตรูเทียมทานในหนึ่งแคว้นก็ยังล้มเหลวในช่วงเวลาสุดท้าย ไม่ระวังเพียงก้าวเดียวก็แพ้ทั้งกระดาน คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต สวรรค์อยู่ข้างข้าหลิวจงจริงๆ!
ทว่าหลิวจงกรีฑาทัพอยู่ทางชายแดนเหนือมานานหลายปี บัญชาการณ์ทหารชายแดนฝีมือดีหลายแสนนาย ตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูบนสนามรบอยู่หลายครั้งยังไม่เคยหวาดกลัว แต่เขากลับค้นพบว่าวันนี้ตนตึงเครียดอย่างที่ไม่อาจควบคุมตัวเองได้
……
หน้าวัดร้าง เว่ยเซี่ยนยังคงทำเหมือนศึกในโรงเตี๊ยม หนึ่งคนเป็นหน้าด่าน แค่เฝ้าหน้าประตูใหญ่ไว้ให้ได้ก็พอ หากทหารเสื้อเกราะของต้าเฉวียนรุดหน้ามารนหาที่ตาย เว่ยเซี่ยนย่อมไม่เกรงใจ
สวมใส่เสื้อเกราะน้ำค้างหวานซีเยว่ เดิมทีก็ไม่ต้องหวาดกลัวดาบและธนูธรรมดาอยู่แล้ว แค่ปล่อยให้มันฟันผ่า สาดยิงมาโดนเสื้อเกราะก็เท่านั้น จากนั้นแค่ปล่อยหมัดหมัดเดียว ทหารชุดเกราะที่กล้าพาตัวเขามาใกล้ก็ล้วนปลิวหวือออกไปไกล ส่วนศพบางส่วนที่อยู่ใกล้กับประตูวัดก็จะถูกเว่ยเซี่ยนใช้ปลายเท้าเตะให้กระเด็นออกไป ความคิดของฮ่องเต้คือ ข้างเตียงตนจะปล่อยให้คนอื่นมานอนกรนได้อย่างไร แต่ความคิดของเว่ยเซี่ยนในเวลานี้คือ จุดที่ตนยืนอยู่จะปล่อยให้ศพนอนเกะกะสายตาได้อย่างไร
มีเพียงแค่บางครั้งที่ลูกธนูทำขึ้นพิเศษซึ่งซุกซ่อนความลี้ลับสาดยิงเข้ามา เว่ยเซี่ยนถึงจะเบี่ยงตัวหลบ ลูกธนูเหล่านั้นทุกดอกล้วนเป็นลูกธนูเทพที่มือธนูซึ่งมีพละกำลังแข็งแกร่งง้างสุดสายยิงออกมา
เมื่อเปรียบเทียบกับการเข่นฆ่าทางฝั่งของจูเหลี่ยนคนคลั่งวรยุทธ์แล้ว การลงมือของเว่ยเซี่ยนสามารถใช้คำว่า ‘นุ่มนวลดุจปุยฝ้าย’ มาบรรยายได้จริงๆ
เบี่ยงหลบและขยับประชิดตัว เป็นอย่างนี้ต่อเนื่องกันไป ขอแค่ปล่อยให้จูเหลี่ยนขยับเข้ามาประชิดหรืออยู่ห่างแค่หนึ่งช่วงแขน ทหารชุดเกราะที่อยู่ในบริเวณนั้นล้วนมีจุดจบที่น่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้ทั้งสิ้น เสื้อเกราะแตกยับ ฝังเข้าไปในร่าง เลือดเนื้อปนกันเละเทะ ไม่เพียงแต่ตายคาที่ ยังตายด้วยสภาพอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด
สนามรบที่สุยโย่วเปียนอยู่มีแสงกระบี่สาดประกายครั้งแล้วครั้งเล่า หนึ่งกระบี่ปาดขวางออกไป ทหารชุดเกราะหลายคนรวมถึงต้นไม้ต่างก็ถูกฟันขาดครึ่งท่อน การเข่นฆ่าสังหารดำเนินไปถึงท้ายที่สุด รอบกายของสุยโย่วเปียนห่างออกไปไม่กี่ก้าวกลับไม่มีต้นไม้สูงเหลืออยู่เลยแม้แต่ต้นเดียว
ทางฝ่ายของหลูป๋ายเซี่ยง ในมือมีเพียงหยุดหิมะสมบัติอาคมสืบทอดของสกุลหวนแห่งป้อมอินทรีบิน เดินๆ หยุดๆ บ้างก็เหยียบลงบนกิ่งไม้เหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำ เรือนกายพุ่งวูบหายอยู่เป็นระยะ มีเพียงคมดาบของหยุดหิมะที่มีพายุลมกรดไหลรินเท่านั้นที่ปลดปล่อยเส้นแสงสีขาวหิมะค้างไว้อย่างยาวนานท่ามกลางม่านฝนมืดดำนี้
เวลาสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งก้านธูป ทหารยอดฝีมือของชายแดนต้าเฉวียนก็ตายไปแล้วถึงหกร้อยศพ นี่ยังเป็นเพราะสาเหตุที่ว่าในผืนป่าบนภูเขาไม่สะดวกให้ทหารเหล่านั้นกรูกันเข้ามารวดเดียวด้วย
เฉินผิงอันที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูวัดมาโดยตลอดก้มหน้าลงแล้วคลี่ยิ้ม
คนจิ๋วดอกบัวกระโดดออกมาปรากฏตัวอยู่บนพื้นดิน มันโบกแขนเล็กๆ ที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวให้เขา ทำเสียงอือๆ อาๆ จากนั้นก็ชี้ไปยังทิศทางหนึ่งให้เฉินผิงอันดู
เฉินผิงอันมองตามทิศทางที่เจ้าตัวน้อยชี้ไป นั่นคือจุดที่สูงที่สุดของยอดเขาแห่งหนึ่ง ความหมายของคนจิ๋วดอกบัวก็คือมีคนสองคนยืนชมศึกอยู่ตรงนั้น ร้ายกาจอย่างมาก ขนาดมันยังไม่กล้าเข้าใกล้ภูเขาลูกนั้นมากนัก
เฉินผิงอันถามเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเห็นคนหนุ่มคนหนึ่งที่สวมกวานดอกบัว สวมชุดนักพรตเต๋าหรือไม่?”
คนจิ๋วดอกบัวส่ายหน้าโบกมืออย่างแรง
เฉินผิงอันยกนิ้วโป้งให้มันแล้วพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “เข้าไปหลบในวัดเถอะ”
คนจิ๋วดอกบัวพยักหน้ารับแรงๆ ฝีเท้าก้าวว่องไวราวกับบิน กระโดดหนึ่งครั้งก็ข้ามธรณีประตูสูงเข้าไป เห็นเผยเฉียนที่กำลังเรอเสียงดัง มันก็ไม่ค่อยเต็มใจขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายนัก ครั้งแรกที่เห็นนาง มันไม่ชอบนางสักเท่าไหร่ แต่ตอนหลังคงเป็นเพราะไม่ได้รู้สึกรังเกียจเท่าเดิม บางครั้งจึงมาโผล่อยู่ข้างกายเฉินผิงอันบ้าง มีครั้งหนึ่งมันเพิ่งจะโผล่ออกมาจากดินก็ถูกเผยเฉียนที่ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือเขกหัวกลับลงไป มันหลบได้ไวมาก แล้วไปโผล่หัวตรงตำแหน่งอื่น เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่าไล่กวดไปรอบด้าน ผลกลับถูกมันหยอกเล่นจนนางหมดเรี่ยวหมดแรง แต่ก็ไม่สามารถตีโดนมันเลยสักครั้ง สุดท้ายยังถูกเฉินผิงอันดึงหูเดินไปหนึ่งลี้ เจ็บจนนางร้องไห้จ้าเสียงดัง
เห็นเผยเฉียนทำท่าลับๆ ล่อๆ คล้ายคิดจะไปหยิบไม้เท้าเดินป่ามา คนจิ๋วดอกบัวก็เริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว ครั้งนี้มันกลับไม่กลัวนางแม้แต่น้อย จึงเดินตรงไปหยุดอยู่ข้างเท้าเผยเฉียนแล้วนอนเหยียดตัวตรงลงบนพื้น
เผยเฉียนหยิบไม้เท้าเดินป่าขึ้นมา ลังเลอยู่พักใหญ่ ชำเลืองตามองแผ่นหลังของเฉินผิงอันที่อยู่หน้าประตูวัด สุดท้ายก็โยนไม้เท้าเดินป่าทิ้ง ทรุดตัวลงนั่งยอง ยิ้มตาหยีพูดว่า “เจ้าต่างหากที่เป็นตัวขาดทุน ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย วันหน้าพ่อข้าต้องเอาเจ้าไปขายแลกเงินแน่ๆ ถึงเวลานั้นข้าก็จะได้ซื้อถังหูลู่หอบใหญ่ จุ๊ๆๆ อร่อยจริงๆ”
คนจิ๋วดอกบัวโมโหเลยพลิกตัวนอนตะแคง ไม่มองหน้าเด็กหญิงผอมดำอีก
เผยเฉียนยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาจิ้มรอยบุ๋มตรงแขนของเจ้าตัวน้อย “เจ้าตัวขาดทุนน้อย วันหน้าหากเจ้ามาเป็นลูกสมุนของข้า ข้าก็จะไม่บอกให้พ่อข้าขายเจ้าแลกเงิน ดีไหม?”
คนจิ๋วดอกบัวกลิ้งตัวออกไปนั่งขัดสมาธิอยู่ห่างไปไกล ท่าทางเหมือนตอนที่เฉินผิงอันนั่งอ่านหนังสืออย่างมาก
เผยเฉียนเหลือกตามองบน พูดสั่งสอนอย่างจริงใจ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้ามีเงินมากแค่ไหน? ข้ามีกล่องใบหนึ่งที่เรียกกันว่ากล่องเก็บสมบัติ ด้านในใส่สมบัติเอาไว้มากมาย วันหน้าเจ้าต้องหัดเคารพข้าให้มากกว่านี้หน่อย เข้าใจไหม? หากเจ้าเป็นเด็กดี ยอมเป็นลูกสมุนของข้า ไม่แน่ว่าวันไหนข้าอาจแสดงความเมตตา หยิบเหรียญทองแดงสวยๆ เหรียญหนึ่งออกมาจากด้านใน โบกมือแล้วพูดเลียนแบบเหล่าเว่ยว่า ตบรางวัล!”
สีหน้าของคนจิ๋วดอกบัวไม่เปลี่ยนแปลง
เผยเฉียนจึงกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าตัวขาดทุนน้อยผู้นี้ ทำไมถึงได้ไม่รู้ความเอาเสียเลย? เชื่อหรือไม่ว่าคืนนี้ข้าก็จะเรียนวิชากระบี่ล้ำโลกได้สำเร็จแล้ว และทุกครั้งที่เจ้าโผล่หัวออกมาก็จะต้องทิ่มหัวเจ้าให้ปูดบวม? เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าสามารถมองเห็นได้ว่าเจ้าหลบอยู่ตรงไหนในใต้ดิน?”
คนจิ๋วดอกบัวเริ่มหวาดกลัวเล็กน้อยจึงหันหน้าไปมองเฉินผิงอันด้วยท่าทางน่าสงสาร
เผยเฉียนรีบยิ้มประจบทันที “ล้อเจ้าเล่นหรอกน่า ทำไมเจ้าถึงทนการหยอกล้อไม่ได้เลยนะ?”
เฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าประตูวัดเริ่มสงบใจได้แล้ว
ในเมื่อรู้ว่าบนยอดเขาลูกนั้นมีคนสองคนชมไฟชายฝั่งอยู่ อย่างน้อยก็พอจะมั่นใจได้บ้าง ไม่กลัวว่าจะถูกฆ่าตายโดยไม่ทันตั้งตัว
เขาเดาได้ว่าคนหนึ่งในนั้นมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาที่เฝ้าพิทักษ์เมืองเซิ่นจิ่ง
วิญญูชนเจิ้งเหรินเขาเคยพบเจอมาก่อนแล้ว คนผู้นั้นก็คือจงขุย
ปากอมกฎสวรรค์ของอริยะสำนักศึกษาก็เคยได้ยินมาที่หมู่บ้านกระบี่แคว้นซูสุ่ย
คิดดูแล้วครั้งนี้เขาก็แค่มาเจอกับวิญญูจนจอมปลอมคนหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องประหลาดใจ
ความรู้เล็กหรือใหญ่ก็แน่เสมอไปว่าจะเกี่ยวข้องกับคุณธรรมมากหรือน้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาต่างก็กำลังฝึกตน บนเส้นทางของการบำเพ็ญตน ยิ่งเดินขึ้นจุดสูงของภูเขาไปเป็นเทพเซียน ลมฝนบนภูเขาก็จะยิ่งพัดรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่าสิ่งล่อลวงใจมากเท่าไหร่ อันตรายก็ยิ่งมากตามไปด้วย การที่จะรักษาจิตใจดั้งเดิมของตัวเองไว้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ตอนนั้นที่อยู่จวนปี้โหยว ได้เห็นปีศาจใหญ่ใต้ลำคลองที่เปิดฉากสังหารอยู่กับเจ้าแม่เทพวารี เฉินผิงอันก็รู้สึกประหลาดใจแล้วว่า เหตุใดทางราชสำนักถึงปล่อยปละละเลย ไม่สนใจปีศาจตัวนี้
ไม่แน่ว่าสิ่งที่วิญญูชนผู้นั้นต้องการอาจจะไม่ได้อยู่ที่หลักการของอริยะปราชญ์มานานแล้ว ไม่ได้มีความคิดที่จะอบรมสั่งสอนให้ปวงประชาทำความดี แต่แสวงหาความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลายของตัวเอง หรือไม่ก็ของนอกกายอย่างอื่น ยกตัวอย่างเช่น…คาถาเซียนที่ ‘สามารถหล่อหลอมหมื่นสรรพสิ่ง’ บนแผ่นหยกชิ้นนั้น
ทรัพย์สินของมีค่าทำให้ใจคนสั่นคลอนได้เสมอ
หากความปรารถนาในการเป็นอมตะจะทำให้จิตใจของวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาท่านหนึ่งที่อายุมากแล้วหวั่นไหวจนเลือกเดินทางผิด แล้วจะแปลกอะไรเล่า
ลูกศิษย์ใหญ่ของอริยะอย่างชุยฉาน ตอนที่อยู่ในจุดสูงสุดของชีวิต ได้เป็นเซียนเหรินขอบเขตสิบสองก็เลือกเดินเส้นทางหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
แต่คนที่เฉินผิงอันกริ่งเกรงมากที่สุดกลับเป็น ‘นักพรตหนุ่มแห่งภูเขาไท่ผิง’ ที่เพียงแค่ลงมือครั้งเดียวก็ทำให้ตนตกอยู่ในอันตรายได้แล้วคนนั้น
และก็เป็นคนผู้นี้ที่เดินทางมาเยือนจุดพักม้าเมืองฉีเห้อ เป็นคนมอบป้ายหยกลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ถึงมือเฉินผิงอันด้วยตัวเอง
จนกระทั่งหลิวจงที่คิดว่าตัวเองกุมชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคงจึงเผยความลับออกมาเสี้ยวหนึ่ง ถึงทำให้เฉินผิงอันตระหนักได้ถึงความผิดปกติ
การที่คราวนี้เฉินผิงอันที่ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังรอบคอบมาโดยตลอดถูกคนผลักจนล้มเค้เก้ไม่เป็นท่า ก็เพราะก่อนหน้านี้ความรู้สึกที่เขามีต่อภูเขาไท่ผิงดีเยี่ยมมากเกินไป
สะพายกระบี่ปราณยาวเล่มที่เป็นของเฉินชิงตูผู้ฝึกกระบี่ใหญ่ไว้ด้านหลังจับผลัดจับผลูเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว ถงชิงชิงและฝานกว่านเอ่อร์แห่งหอจิ้งซินอาศัยกระจกทองแดงบานนั้น ร่างกายและจิตวิญญาณจึงผสานรวมเป็นหนึ่ง กลายมาเป็นนักพรตหญิงหวงถิง
ความประทับใจที่เฉินผิงอันมีต่อนางดีมาก
หลังจากนั้นก็เป็นเทียนจวินผู้เฒ่าบรรพจารย์แห่งภูเขาไท่ผิงคนนั้น เพื่อสังหารวานรขาวสะพายกระบี่ เขาถึงกับปล่อยให้กระบี่เซียนสองเล่มซึ่งประกอบกันเป็นค่ายกลใหญ่พิทักษ์ขุนเขาถูกทำลายลงโดยไม่เสียดาย และเพื่อช่วยดวงวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของจงขุยเอาไว้ ก็ถึงกับยอมให้ขอบเขตตัวเองถดถอยอย่างไม่อาลัย
ความประทับใจที่มีต่อเขาจึงยิ่งดีเยี่ยม
ครั้งแรกสุดที่ได้รู้จักภูเขาไท่ผิงก็คือตอนที่ไปเยือนป้อมอินทรีบินร่วมกับลู่ไถ ทำลายแผนการร้อยปีของผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองที่ชั่วร้ายซึ่งเป็นตัวการร้ายของหายนะทุกอย่างในป้อมอินทรีบิน ผู้ฝึกตนนอกรีตขอบเขตโอสถทองผู้นั้นเกือบจะใช้ภูเขากดทับสังหารเฉินผิงอันได้สำเร็จ และพยายามจะเลี้ยงทารกผีให้ก่อกำเนิดขึ้นในหัวใจของฮูหยินแห่งป้อมอินทรีบิน ก่อนหน้านั้นนักพรตแห่งภูเขาไท่ผิงที่ไล่ฆ่าโอสถทองเฒ่าผู้นี้ก็น่าจะเป็นหวงถิงที่ยังไม่ใช้ตัวตนเจ๋อเซียนไปเยือนพื้นที่มงคล
ย้อนกลับไปนานยิ่งกว่านั้น ตามคำบอกของลู่ไถ เป็นเพราะนักพรตใหญ่ก่อกำเนิดของภูเขาไท่ผิงคนหนึ่งที่ไร้ความหวังว่าจะได้เป็นอมตะ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตวิญญาณล้วนเสื่อมโทรม เขารู้ดีว่าอายุขัยของตัวเองใกล้สิ้นสุดลงจึงเริ่มออกเดินทางท่องไปทั่วหล้า พยายามทำความดีให้แก่ล่างภูเขาให้ได้มากที่สุด
ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเกิดความขัดแย้งกับเซียนดินโอสถทองที่นิสัยดุร้ายคนหนึ่งของสำนักฝูจีเข้า ทั้งสองฝ่ายประหัตประหารกันอย่างรุนแรง ฝ่ายหลังคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายที่มีพลังชีวิตเบาบางจะเป็นถึงก่อกำเนิดท่านหนึ่ง
ถูกไล่ฆ่าไปจนถึงบริเวณใกล้เคียงกับภูเขาก่อนที่จะกลายมาเป็นป้อมอินทรีบินในปัจจุบัน เขายอมให้พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย จึงร่ายใช้วิชาอัญเชิญเทพของสำนักฝูจี แต่กลับไม่ได้เชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงมา กลับกลายเป็นว่าใช้แก่นเลือดแห่งชะตาชีวิตเป็นค่าตอบแทน ร่ายเวทลับเรียกร่างจำแลงของปีศาจยักษ์ใหญ่แห่งยุคบรรรพกาลตัวหนึ่งมาแทน ต่อสู้กันจนสุดท้ายตายดับตามกันไป
สู้กันจนพื้นที่ใต้ฝ่าเท้าของคนทั้งสองมีปราณหยินมารวมตัวกัน แทบไม่ต่างจากเศษซากสนามรบที่ฝังกระดูกของทหารหลายแสนนายเอาไว้
ถึงได้มีแผนการชั่วร้ายของผู้ฝึกตนนอกรีตโอสถทองซึ่งผลักเรือตามน้ำตามมาในภายหลัง
ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนักพรตของภูเขาไท่ผิง ไม่ว่าจะเป็นได้ยินมากับหู หรือได้เห็นมากับตาล้วนทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเลื่อมใส
ขนาดดาบแคบหยุดหิมะที่อยู่ในมือของหลูป๋ายเซี่ยงตอนนี้ก็ยังเป็นของตกทอดของเซียนดินก่อกำเนิดที่รบตายอย่างกล้าหาญคนนั้น
ดังนั้นพอได้ป้ายหยกศาลบรรพจารย์แผ่นนั้นมา เฉินผิงอันจึงไม่คิดอะไรมาก คิดเพียงว่าหลังจากบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิงไปจากจุดพักม้าแล้วเกิดใจอยากปกป้องเขา หรือไม่ก็เป็นจงขุยที่ช่วยพูดให้ ถึงได้ให้กระบี่บินนำของมาส่งอย่างรีบร้อน แล้วมอบหมายให้นักพรตที่อยู่บริเวณใกล้เคียงนำแผ่นหยกป้องกันตัวมามอบให้แก่เฉินผิงอัน
ตอนนี้ดูท่าแล้วน่าจะเป็นเขาเฉินผิงอันที่คิดเองเออเอง
บทที่ 356.2 ภูเขาไท่ผิงไม่สงบสุข
เฉินผิงอันปลดป้ายหยกที่หลิวจงบอกว่าเป็น ‘ของจริงแท้แน่นอน’ ชิ้นนั้นลงมา วัสดุที่ทำแผ่นหยกชิ้นนี้ดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด ในเวลาสั้นๆ นี้คงยากที่จะหล่อหลอมให้เป็นภาพมายาหรือทำลายไปโดยตรง จึงหมุนตัวกลับ โยนมันไปให้เผยเฉียน “เอาป้ายหยกอันนี้ใส่ไว้ในร่มกระดาษน้ำมัน จำไว้ว่าเมื่อหุบร่มแล้วอย่าเปิดออกอีก”
เผยเฉียนรับแผ่นหยกงดงามที่นางอยากครอบครองมานานเอาไว้ แล้วทำตามคำสั่งแต่โดยดี มือไม้ของนางคล่องแคล่วว่องไวไม่มีอืดอาดแม้แต่น้อย
เรื่องใหญ่จะเลอะเลือนไม่ได้
เผยเฉียนไม่กล้า กลัวว่าเฉินผิงอันจะโกรธนาง
มีแค่ครั้งเดียวที่เฉินผิงอันโกรธนาง หากไม่เป็นเพราะจงขุยช่วยขอร้องให้ เวลานี้ก็คงมีความเป็นไปได้แปดเก้าในสิบส่วนว่านางจะต้องถูกทิ้งให้อยู่ในโรงเตี๊ยมเก่าโทรมเมืองหูเอ๋อร์ ทุกวันต้องคอยกวาดพื้นยกน้ำเป็นวัวเป็นม้าให้สตรีที่หน้าอกแกว่งส่ายไปทั่วผู้นั้นใช้งาน
……
ลูกศิษย์เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่อยู่บนยอดเขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เฉินผิงอันพบร่องรอยของพวกเราแล้ว”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำไม่ยี่หระแม้แต่น้อย “เดิมทีไอ้หมอนี่ก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ที่จวนปี้โหยวเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนั้นก็ไม่ใช่เพราะฝีมือของเขาหรือไร ไม่อย่างนั้นนายท่านของข้าก็ไม่ต้องมารับมือกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ยังไม่ประสบความสำเร็จผู้นี้หรอก ก่อนจะจากไปนายท่านเอ่ยกับข้าด้วยรอยยิ้มว่า น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอันเป็นเพียงแค่ของรางวัลเล็กๆ สิ่งที่นายท่านให้ความสำคัญอย่างแท้จริงคือเป็นเทพจากฝ่ายใดกันแน่ที่ยอมตัดใจมอบสมบัติซึ่งสามารถอำพรางเจตนารมณ์สวรรค์ชิ้นนี้ให้เขาได้ หากไม่เป็นเพราะร้อนลวกมือเกินไป นายท่านก็เต็มใจลองไปยืมมาใช้ดูสักครั้ง แต่นายท่านกลัวว่าหากเขาลงมือ ตลอดทั้งใบถงทวีปจะสั่นสะเทือนตามไปด้วย ดังนั้นจึงอยากให้พวกเรามาลองหยั่งเชิงดูก่อน จะได้อนุมานถึงตัวตนของคนที่อยู่เบื้องหลัง หากเป็นฝีมือของอริยะลัทธิขงจื๊อท่านใดจริงๆ หรืออาจถึงขั้นเป็นฝีมือของเทพเซียนที่เอามาใช้รับมือกับความวุ่นวายในใบถงทวีปโดยเฉพาะ…”
เพียงไม่นานชายฉกรรจ์ก็หยุดพูด เขาไม่กล้าพูดมากอีกแม้แต่คำเดียว
หวังฉีวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาเอ่ยถาม “จะเป็นอย่างไรต่อ?”
ชายฉกรรจ์หัวเราะฮ่าๆ “ข้าลืมไปแล้ว”
แม้หวังฉีจะไม่ซักไซ้ถามต่อ แต่อารมณ์กลับเริ่มดีขึ้น
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้นี้มองว่าตัวเองเป็นแค่ปีศาจน้อยตัวหนึ่ง เป็นแค่มดตัวเล็กที่ยังไม่เลื่อนเป็นโอสถทองเท่านั้น
แต่หากปล่อยให้เขาลงน้ำ พลังการต่อสู้จะเทียบเคียงได้กับโอสถทองที่ตบะค่อนข้างอ่อนด้อยบนภูเขาเลยทีเดียว
ฝนที่เทกระหน่ำในค่ำคืนนี้คือฝนที่ตกได้ถูกเวลาอย่างยิ่ง
ก่อนหน้าจะเจอกับนายท่านก็รู้สึกว่าตัวเองคือผู้พิชิตของพื้นที่แห่งหนึ่งแล้ว ยึดทะเลสาบตั้งตนเป็นราชา บัญชาพวกทหารกุ้งหอยปูปลาที่มีนิสัยดุร้ายกระหายเลือด เป็นเจ้าพ่อในท้องที่ มากไปด้วยอำนาจบารมี ภายหลังนายท่านชี้แนะไม่กี่คำ เขาถึงได้รับโชควาสนา ใช้ลำคลองหมายเหอที่ในยุคบรรพกาลเคยเป็นช่วงตอนหนึ่งของแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลลงสู่มหาสมุทรเป็นเส้นทางเจียวหลงลงน้ำ แล้วตบะก็เพิ่มพรวดพราดขึ้นจริงๆ หากไม่เป็นเพราะถูกนังสตรีหน้าเหม็นของลำคลองหมายเหอสกัดขวางไว้ที่ตอนบนของจวนปี้โหยวและศาลเทพวารี สาเหตุเพียงแค่เพราะชีวิตต่ำต้อยของมนุษย์ธรรมดาไม่กี่คน ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมให้เขาผ่านทางไป ป่านนี้เขาคงเป็นขอบเขตโอสถทองไปนานแล้ว หากได้ลงสู่มหาสมุทรก็มีหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิด!
เดิมทีหากสตรีผู้นั้นยินดีให้เขาเดินผ่านลำคลองหมายเหอทั้งเส้นไปได้อย่างราบรื่น นี่จะเท่ากับว่าสองฝ่ายผูกบุญสัมพันธ์ครั้งใหญ่ต่อกัน ในอนาคตเมื่อเขาได้บรรลุมหามรรคา ไม่ว่าเขาจะมีนิสัยดุร้ายกระหายเลือดหรืออำมหิตมากแค่ไหน แต่ควันธูปครั้งนี้ย่อมต้องหาโอกาสตอบแทนคืนให้ ไม่อย่างนั้นเมื่อวิถีสวรรค์เคลื่อนโคจร บนเส้นทางการฝึกตนของเขาหลังจากนั้นก็จะปรากฎอุปสรรคอีกหลากหลายรูปแบบ เขาคิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ตกว่าทำไมสตรีผู้นั้นถึงตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะขวางมหามรรคาของเขา เป็นเพราะว่าตนคร่าชีวิตของมนุษย์ธรรมดาแค่ไม่กี่คนนั่นจริงๆ หรือ จะตลกไปหน่อยไหม? เขาเชื่อว่าเรื่องนี้ยังต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่เป็นความลับอยู่อย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าชายหญิงที่ตกลงท้องเป็นอาหารของเขาอาจเคยมีความสัมพันธ์กับศาลเทพวารีมาก่อน นางถึงได้เกรี้ยวกราดดุจสายฟ้าฟาด ยอมให้ตัวเองขาดทุนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่หากไม่มีใครตายไปข้างก็ไม่ยอมเลิกรา
หลายปีมานี้ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันเอาเป็นเอาตาย เขารู้ดีว่าตบะของเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอนั้นไม่สูง เพียงแต่ว่านางหลอมอาวุธไว้มาก ระดับขั้นของอาวุธก็ดีเยี่ยม จึงอาศัยอาวุธที่มีให้เลือกใช้ไม่ขาดมือมากดหัวเขาเอาไว้ ภายหลังอยู่ดีๆ นางก็ได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่ ตอนแรกร่างทองที่เสียหายไม่เพียงแต่ได้รับการซ่อมแซม อีกทั้งระดับขั้นของร่างทองยังเลื่อนไปอีกขั้นใหญ่ ภายหลังจวนปี้โหยวก็ยิ่งมีชะตาน้ำท่วมท้นสมบูรณ์ภายในค่ำคืนเดียว กลายเป็นถ้ำสถิตแห่งเทพเซียนที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นแห่งหนึ่ง!
สิ่งที่หวังฉีต้องการก็คือคาถาหลอมวัตถุที่ ‘ชี้ตรงไปยังมหามรรคา’ บทนั้น
ในอดีตนายท่านเคยพูดกับหนึ่งวิญญูชนหนึ่งปีศาจน้ำอย่างพวกเขาว่า นั่นคือรากฐานมหามรรคาของเซียนยุคบรรพกาลท่านหนึ่ง อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความเที่ยงตรงยิ่งใหญ่ เหมาะแก่การบำเพ็ญตนของชาวลัทธิขงจื๊อเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าหากหวังฉีที่อายุขัยบนโลกมนุษย์ใกล้จะหมดลงได้มันมาครอบครอง ฝึกตนได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่จะมีชีวิตอยู่ได้อีกยาวนาน ไม่แน่ว่าอาจมีหวังได้ช่วงชิงตำแหน่งเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งหนึ่งด้วยก็เป็นได้
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ หวังฉีใช้ทั้งไม้แข็งและไม้อ่อนกับจวนปี้โหยว การที่ปีศาจลำคลองอย่างเขาสร้างความวุ่นวายให้แก่ลำคลองหมายเหอ ถึงขั้นทำให้น้ำท่วมจวนปี้โหยว อีกทั้งยังทำลายร่างทองในศาลเทพวารี ก็เพราะหวังฉีหวังว่าเจ้าแม่เทพวารีจะรู้ดีชั่ว ไปขอความช่วยเหลือจากราชสำนักต้าเฉวียน เคยมีครั้งหนึ่งที่หวังฉีถึงขั้นออกจากเมืองหลวงมา ‘เที่ยวเยือน’ ศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอโดยเฉพาะ จงใจเปิดเผยวิชาอภินิหารบางอย่างของวิญญูชน ทว่าเจ้าแม่เทพวารีคนนั้นกลับทำเป็นมองไม่เห็น! ยิ่งไม่เคยร้องทุกข์ให้วิญญูชนอย่างเขาฟังแม้แต่ครึ่งคำ
หลังจากนั้นหวังฉีก็ประทานความเมตตาครั้งใหญ่ พยายามขอให้ฮ่องเต้สกุลหลิวต้าเฉวียนเลื่อนขั้นจวนปี้โหยวเป็นตำหนัก นั่นก็เพราะหวังว่าเจ้าแม่เทพวารีจะซาบซึ้งในบุญคุณครั้งนี้ เป็นฝ่ายมอบคาถาเซียนบนป้ายศิลาขอฝนซึ่งมีแต่นางเท่านั้นที่บรรลุสัจธรรมแท้จริงของมันมาให้เขา
ทว่าเทพวารีลำคลองหมายเหอกลับยังเฉยเมย ถึงขั้นป่าวประกาศว่าต้องเอาตำราของอริยะปราชญ์เหวินเซิ่งมาบูชาไว้ในศาล ร่วมกันรับควันธูปเท่านั้น ไม่อย่างนั้นนางก็ยอมเก็บป้ายผุๆ คำว่าจวนปี้โหยวไว้ต่อไป
เจ้าแม่เทพวารีผู้นี้เกลือกับน้ำมันดันไม่เข้า กลายเป็นน้ำที่เข้าสมองซะอย่างนั้น (คำว่าน้ำเข้าสมองเป็นคำด่าว่าสมองมีปัญหา แต่คำว่าเกลือและน้ำมันเข้าสมองเป็นคำชม เพราะเกลือกับน้ำมันเป็นสิ่งที่มีค่ามากในสมัยโบราณ)
……
ภูเขาที่ตั้งวัดร้างไม่สงบสุข
ภูเขาไท่ผิงก็ไม่สงบสุขเช่นกัน
ริมลำคลองใหญ่สายหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง วันนี้ก็ไม่ค่อยสงบสุขเท่าใดนัก
มีชายหญิงสองคนที่เดินทางไกลมาถึงที่นี่ สตรีสวมชุดผ้าแพรของชาววัง แม้จะมีหมวกคลุมปิดบังโฉมหน้า แต่แค่มองเรือนร่างและลักษณะท่าทางของนางก็รู้แล้วว่าต้องเป็นสาวงามที่เป็นภัยอย่างแน่นอน
บุรุษร่างสูงเพรียว ใบหน้าผอมตอบ บนร่างสวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสีขาวหิมะ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีแดงใบหนึ่ง
หากเฉินผิงอันและเด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูมาอยู่ที่นี่ก็จะพบว่า นี่คือคู่นายบ่าวที่พบเจอกับพวกเขาบนสะพานเลียบริมหน้าผาท่ามกลางค่ำคืนที่พายุหิมะพัดแรงบนชายแดนเชื่อมต่อระหว่างแคว้นหวงถิงกับต้าหลีในปีนั้น
สตรีสวมชุดชาววังมีชื่อว่าชิงอิง
ครั้งก่อนหลังจากที่จากลากับพวกเฉินผิงอันสามคน ในหุบเขาแห่งหนึ่ง หญิงสาวเผยร่างจริงที่เป็นจิ้งจอกขาว เรือนกายของนางใหญ่โตดุจขุนเขา บุรุษที่เมื่ออยู่ต่อหน้านางร่างก็เล็กจ้อยเท่าเมล็ดข้าวสารเพียงแค่เอ่ยชื่อนางเรียบๆ หางจิ้งจอกของหญิงสาวที่งอกมาแปดหางแล้วก็หายไปหางหนึ่ง
นางเรียกบุรุษว่า “นายท่านป๋าย”
เวลานี้บุรุษผู้นี้เงยหน้ามองไป ท่ามกลางก้อนเมฆหลากสีมีนครจักรพรรดิขาวอยู่แห่งหนึ่ง ผู้นำแห่งลัทธิมาร เจ้านครจักรพรรดิขาวผู้นั้นได้รับการยอมรับจากผู้คนว่าเป็นนักเล่นหมากล้อมอันดับหนึ่งในใต้หล้า ธงผืนหนึ่งที่ปักตระหง่านเขียนคำว่า ‘ถ่อมตนแด่บรรพชนหมากล้อมทั่วหล้า’ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถทำให้เจ้านครท่านนั้นลดธงลงได้ ช่างมากบารมีเสียเหลือเกิน
บุรุษเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “น่าเสียดายที่ไม่มีหอแก้วแห่งนั้นแล้ว”
หญิงสาวสวมชุดชาววังเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นายท่าน ได้ยินว่าคนที่ชอบสวมชุดคลุมเต๋าสีชมพูผู้นั้นเลื่อมใสนายท่านมานานมากแล้ว”
บุรุษแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ก่อนจะดึงสายตากลับมาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ดุจเดิมว่า “เจ้านครไม่ต้องออกมา ข้าแค่ผ่านทางมาเท่านั้น”
จิตใจของสตรีสวมชุดชาววังเริ่มฮึกเหิม รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!
คนที่สามารถทำให้เจ้านครจักรพรรดิขาวออกจากนครได้ ตลอดพันปีที่ผ่านมานี้มีเพียงคนเดียว!
มีเพียงลูกศิษย์คนนั้นของเหวินเซิ่งเท่านั้น
แต่นายท่านป๋ายของนางกลับปฏิเสธไปอย่างเรียบง่ายเช่นนี้!
บุรุษเดินเลียบริมลำคลองสายใหญ่ที่เป็นดั่งแม่น้ำหวงเหอไหลบ่าลงมาจากสวรรค์อย่างเนิบช้า เขาถอนหายใจเบาๆ พูดกับนางว่า “เจ้าไปที่อื่นสักครู่”
สตรีสวมชุดชาววังใจเต้นรัว แต่ไม่กล้าถามมาก รีบทะยานจากไปทันที
บุรุษยืนอยู่ที่เดิม
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อใบหน้าเคร่งขรึมมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายบุรุษ ประสานมือคารวะ เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ลวี่สี่แห่งสถานศึกษาหลี่จี้คารวะนายท่านป๋าย”
บุรุษสีหน้าไร้อารมณ์
ลวี่สี่
ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาหลี่จี้หนึ่งในสามสถานศึกษาใหญ่ของลัทธิขงจื๊อแห่งใต้หล้าไพศาล
อริยะลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าเทวรูปต้องถูกตั้งอยู่ในศาลบุ๋นเคียงข้างปรมาจารย์มหาปราชญ์
ทว่าอริยะลัทธิขงจื๊อที่เกือบเข้าใกล้สามอมตะเต็มทีผู้นี้กลับยังปฏิบัติต่อบุรุษคนหนึ่งที่เดินทางไกล ช่วงนี้เพิ่งเดินทางจากแจกันสมบัติทวีปมาถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างนอบน้อมขนาดนี้
ลวี่สี่กลับไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากเอ่ยเช่นไร
เพราะลำบากใจเกินไป เรื่องที่เขาจะนำมาปรึกษาอีกฝ่ายนั้นใหญ่เกินไปมากจริงๆ
บุรุษร่างสูงเพรียวที่ดูเหมือนว่าทุกคนที่รู้ตัวตนของเขาล้วนชอบเรียกเขาว่า ‘นายท่านป๋าย’ พึมพำขึ้นกับตัวเอง “ปีนั้นข้าบอกชื่อจริงของปีศาจใหญ่ทั้งหมดในโลกแด่อาจารย์น้อยผู้นั้น ช่วยให้เขาสร้างเก้ากระถางใหญ่ไว้บนยอดเขาใหญ่เก้าแห่ง เพราะหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข”
“หลังจากนั้นมา หมื่นปีศาจใต้หล้าก็เริ่มจำศีล ถอยกลับเข้าไปอยู่ในป่าบนภูเขา เก็บตัวเงียบไม่เผยกาย เผ่ามนุษย์ของพวกเจ้าถึงได้เดินขึ้นเขาฝึกตน ถึงได้มีเทพเซียนบนภูเขา ถึงได้มีทัศนียภาพงดงามเต็มไปด้วยสีสันของฟ้าดินแถบนี้”
“ปีนั้นอาจารย์น้อยที่เพิ่งจะได้รับคุณความดีด้านการมีมนุษยธรรมผู้นั้นสัญญากับข้าเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า ท่านอาจารย์ปฏิบัติต่อปวงประชาด้วยความสุภาพ ลัทธิขงจื๊อของข้าต้องปฏิบัติต่อท่านอาจารย์อย่างสุภาพแทนใต้หล้าแน่นอน”
กล่าวมาถึงตรงนี้ บุรุษก็หันหน้ามามองผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาแล้วกระตุกมุมปาก “คำว่าท่านอาจารย์นี้ ตอนนี้ถูกลัทธิขงจื๊อของพวกเจ้ายึดครองไปแทบหมดแล้ว เฮอๆ”
ลวี่สี่ขยับปากจะพูดแต่ก็หยุดไป สีหน้าเคร่งเครียด
บุรุษมองไปทางน้ำในลำคลองที่ไหลซัดบ่าเข้าหามหาสมุทรแล้วไม่ย้อนกลับมาอีกสายนั้นต่ออีกครั้ง พลางเอ่ยว่า “ภายหลังมีภาพค้นภูเขาปรากฏขึ้นมาอีก หอพิทักษ์เมืองเก้าแห่งของใต้หล้าไพศาล หนึ่งในนั้นก็คือหอสยบป๋ายเจ๋อ ตอนนี้เจ้าเดินมาตรงหน้าข้า ต้องการให้ข้าไปที่นาตยทวีป ใบถงทวีปและฝูเหยาทวีปเพื่อช่วยพวกเจ้า ‘ค้นภูเขา’ ตามหาปีศาจใหญ่อย่างนั้นหรือ? อาศัยอะไร อาศัยที่ปีนั้นหลี่เซิ่งเรียกข้าว่าท่านอาจารย์อย่างนั้นหรือ? หรือว่าอาศัยที่พวกเจ้าช่วยข้าสร้างหอสูงแห่งนั้นขึ้นมา? ทำให้ข้าได้มีที่หยัดยืนอยู่ในใต้หล้าไพศาล?”
บุรุษหันหน้ากลับไปอีกครั้ง คราวนี้เพิ่มน้ำหนักเสียงจากเดิมเล็กน้อย “หืม?”
ลวี่สี่พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ยังดีที่นายท่านป๋ายคลี่ยิ้ม เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “แต่ข้าเชื่อมั่นในตัวเขา และยิ่งรู้ถึงความลำบากใจของเขา ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้จึงรักษากฎที่พวกเจ้าตั้งไว้มาโดยตลอด ส่วนพวกเจ้านั้น ช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก บัณฑิตไม่ควรเผด็จการเช่นนี้ ควรจะใช้หลักการของอริยะปราชญ์อบรมสั่งสอนปวงประชา ควรแปรเปลี่ยนลมฤดูใบไม้ผลิให้เป็นสายฝนที่พร่างพรมให้สรรพสิ่งชุ่มชื้น”
ลวี่ซี่ที่เหมือนถูกขุนเขาทั้งห้าของแผ่นดินกลางกดทับพอจะหายใจหายคอได้เล็กน้อย
บุรุษเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “เผ่าปีศาจมีข้าป๋ายเจ๋ออยู่ นับเป็นความโชคร้ายสูงสุด”
ลวี่สี่เริ่มรู้สึกชาที่หนังศีรษะอีกครั้ง
บุรุษไม่อยากจะคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กรุ่นหลังผู้นี้ จึงเอ่ยเนิบช้าว่า “ครั้งนี้ข้าแหกกฎออกมาจากหอแห่งนั้นโดยพลการ เดินทางท่องไปทั่วหล้าเพราะอยากจะเห็นกับตาตัวเองว่า ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ วิถีทางโลกที่ปีนั้นอาจารย์น้อยผู้นั้นอธิบายให้ข้าฟังได้มาถึงแล้วหรือยัง”
“ขอถามท่านอาจารย์ ผลลัพธ์เป็นอย่างไร? ดีหรือว่าไม่ดี?”
ลวี่สี่ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ต้องรู้ว่าความคิดของนายท่านป๋ายเกี่ยวพันกับแนวโน้มของสถานการณ์ในใต้หล้าหนึ่งแห่ง ไม่สิ ต้องเป็นใต้หล้าสองแห่ง!
บุรุษยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้ายังอยากไปดูต่ออีกหน่อย”
สุดท้ายเขาเอ่ยว่า “ได้หรือไม่?”
มองดูเหมือนเป็นการสอบถาม แต่กลับไม่แม้แต่จะหันมามองผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาท่านนี้ ทว่าพลังอำนาจที่แฝงอยู่ในคำพูดของนายท่านป๋ายผู้นี้กลับทำให้วิชาอภินิหารของลวี่สี่ไม่สามารถสกัดขวางเอาไว้ได้ น้ำสีเหลืองของลำคลองใหญ่โถมตัวขึ้นลง คลื่นยักษ์ตีกระทบชายฝั่ง เมฆหลากสีเหนือศีรษะก็ยิ่งเดี๋ยวรวมตัว เดี๋ยวแตกสลายไม่หยุดนิ่ง เผยให้เห็นโฉมหน้าอันยิ่งใหญ่โอฬารของนครจักรพรรดิขาว
ในที่สุดลวี่สี่ก็เอ่ยเสียงหนักว่า “ได้!”
……
เว่ยเซียนยังคงเฝ้าที่ว่างหน้าประตูวัดร้างไว้อย่างแน่นหนา ยืนตระหง่านไม่ล้มลง
จูเหลี่ยนก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความดุร้ายที่น่าพรั่นพรึง ยิ่งบาดแผลสาหัสเท่าไหร่ พลังสังหารก็ยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น
ประหนึ่งมารร้ายผู้บ้าคลั่ง
บุกไปที่ใด ที่แห่งนั้นก็พังราบเป็นหน้ากลอง
สุยโย่วเปียนที่ฟาดฟันปล่อยกระบวนท่ากระบี่ออกไปอย่างเต็มที่ หลังจากสังหารทหารชายแดนสวมเสื้อเกราะไปเก้าร้อยคนเพียงลำพัง มากกว่าที่หลูป๋ายเซี่ยงฆ่าได้สองร้อยคน ในช่วงเวลาที่ผลัดเปลี่ยนลมปราณกลับถูกสวี่ชิงโจวและสวีถงแห่งอารามฉ่าวมู่ร่วมมือกันลอบโจมตี ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ สุยโย่วเปียนก็ยังคงใช้ลมปราณเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่สังหารทหารชายแดนสวมเสื้อเกราะไปอีกหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าคนภายใต้เปลือกตาของคนทั้งสอง นี่ถึงทำให้หนึ่งดาบของสวี่ชิงโจวผ่าลงมาแสกหน้า อีกทั้งยังถูกเซียนซือสวีถงที่ไม่กล้าประมาทใช้วิชาก้นกรุทำลายเรือนกายและจิตวิญญาณจนแหลกเละ นอกจากกระบี่ชือซินที่หล่นร่วงลงพื้นอย่างน่าสังเวชแล้ว บนโลกนี้น่าจะไม่มีสุยโย่วเปียนสาวงามที่สะพายกระบี่อยู่อีกแล้ว
ทว่าในขณะที่สวี่ชิงโจวค้อมตัวลงเตรียมจะเก็บของเชลยศึกชิ้นนั้นมา
ตรงหน้าประตูวัดร้างกลับมีโฉมสะคราญหน้าตาเย็นชาคนหนึ่งเดินออกมา นางก็คือสุยโย่วเปียน!
ตอนที่เดินสวนไหล่กับเฉินผิงอันไป นางเอ่ยเสียงเย็นว่า “ทลายขบวนชุดเกราะไปได้หนึ่งพันหนึ่งร้อยคนแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญหนึ่งมากพอให้ข้าซื้อภูเขาเจินจูที่บ้านเกิดได้อีกลูกเลยนะ”
สุยโย่วเปียนแค่นเสียงดังหึ อารมณ์เลวร้ายอย่างถึงที่สุด เรือนกายอรชนอ้อนแอ้นของนางพุ่งวูบออกไป ยื่นมือไปยังจุดที่ห่างไปไกลหนึ่งที กระบี่บินชือซินก็แหวกอากาศกลับคืนมา ถูกนางถือกำไว้ในมืออย่างแน่นหนา แล้วปราณกระบี่ที่เปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาลเส้นหนึ่งก็พุ่งตรงออกไป ทำเอาสวี่ชิงโจวกับสวีถงตกใจจนต้องรีบเบี่ยงหลบไปซ้ายคนขวาคน ถอยกรูดห่างไปไกลหลายสิบจั้ง
ที่แท้ก่อนที่ศึกใหญ่จะเปิดฉากขึ้น ความลับที่เว่ยเซี่ยนพูดถึงก็คือ หากเฉินผิงอันตาย คนทั้งสี่ก็ล้วนตายตามไปด้วย เฉินผิงอันไม่ตาย แต่หลังจากคนทั้งสี่ตายแล้ว เหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งเหรียญก็ทำให้พวกเขาเดินออกมาจากม้วนภาพวาดได้อีกครั้งโดยที่ขอบเขตไม่ถดถอยลงแม้แต่น้อย
ศัตรูตัวฉกาจสองคนที่อยู่บนยอดเขายังคงนิ่งดูดาย ยังไม่ยอมเผยโฉม
เฉินผิงอันอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงแกว่งกิ่งไม้ที่อยู่ในมือกิ่งนั้น ทั้งเสียดายเหรียญทองแดงแก่นทอง แล้วก็รู้สึกอยากขำ เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านผู้อาวุโสมีมรรคกถาค้ำฟ้าจริงๆ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น