หมอดูยอดอัจฉริยะ 353-358

 ตอนที่ 353 ลอบฆ่าในคืนฝนตก (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อาอี้”


เมื่อได้เห็นกระดูกสีขาวนั้น กงเสียวเสี่ยวก็ยิ่งเก็บความรู้สึกของตัวเองไม่อยู่แล้ว ร้องไห้เตรียมที่จะเข้าไปหาเยี่ยเทียน แต่กลับถูกอาติงที่อยู่ข้างๆ ดึงไว้


“คุณนายกง รอให้นายน้อย นำกระดูกของคุณฝูเก็บขึ้นมาให้เรียบร้อยก่อน”


คำพูดของอาติงเหมือนกับใช้วิธีแก้ไขโดยทั่วไป โดยให้กงเสียวเสี่ยวยื่นอยู่นิ่งๆ มือทั้งสองสั่นระริก ตอนที่เข้าไปรับกระดูกนั้น และยังมีดินเปื้อนอยู่ติดอยู่บนหน้าของตัวเอง


มองเห็นกงเสี่ยวเสี่ยวที่ท่าทางเสียใจ เยี่ยเทียนพูดปลอบใจว่า “คุณนายกง เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ รอให้กลับถึงฮ่องกงแล้ว คุณค่อยอาจารย์มาทำพิธีให้กับคุณอี้เถอะ”


“ขอบคุณ ขอบคุณปรมาจารย์เยี่ย” กงเสี่ยวเสี่ยวสะอื้นไห้ตอบกลับไป วางกระดูกที่อยู่ในมือลงในโลงศพเบาๆ


“ใต้พื้นนี้ก็ยังมีกระดูกฝังอยู่เหรอ”


“สวรรค์ ไม่มีสุสานไม่มีเครื่องหมายเขาหามันเจอได้อย่างไร”


“พูดให้น้อยหน่อย เมื่อกี้ก็ทำให้ปรมาจารย์เยี่ยไม่พอใจแล้ว เร็วๆ ไปช่วยสิ”


เยี่ยเทียนเอาซากกระดูกที่อยู่ข้างล่างออกมา ทำให้พวกบอดี้การ์ดเหล่านั้นต่างตกตะลึงจนตาค้าง ภายในใจก็ไม่กล้าสงสัยในตัวเยี่ยเทียนอีกต่อไป


“ฉันนึกออกแล้ว ที่นี้เคยมีคนถูกฝังอยู่ ตอนนั้นฉันอาจแค่อายุประมาณยี่สิบปี สวรรค์ คุณผู้ชายท่านนี้เป็นเทวดาแล้ว”


ชายวัยกลางคนที่นำทางก็นึกขึ้นมาได้ มองไปที่เยี่ยเทียน แววตากลับเต็มไปด้วยเคารพและศรัทธาความพยายามในการตามหาคนในครั้งนี้ของเยี่ยเทียน ถือว่าเป็นเพียงปาฏิหาริย์


ชี้จุดหาคน ถ้าในวิชาฮวงจุ้ยถือว่าเป็นเรื่องยาก ผู้ที่มีทักษะดังกล่าวจะต้องเป็นพวกปรมาจารย์ชั้นสูง ในโลกปัจจุบัน คนที่สามารถอนุมานได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เกรงว่าจะมีเพียงแต่เยี่ยเทียนคนเดียวเท่านั้น


แต่ว่ายังมีข้อยกเว้นอยู่ เหมือนกัน ปรมาจารย์หลัวท่านหนึ่งของหงเหมินอเมริกาเหนือ ก็สามารถทำได้เหมือนกัน เขาเคยช่วยนักธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเลที่ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐอเมริกาค้นหาซากกระดูกของปู่ทวดของเขา ดังนั้นจึงมีชื่อเสียง ในอเมริกาเหนือ


เมื่อเทียบกับฝืมือของเยี่ยเทียนแล้วนั้น มีบางอย่างปรมาจารย์หลัวไม่สามารถวางเดิมพันได้แล้ว ที่เขาใช้วิธีการคือ เจียงเซียงไผ่(การหลอกลวงของสำนักเจียงเซียง) หลายปีก่อนเขารู้ว่าชาวจีนโพ้นทะเลมีบรรพบุรษเป็นคนงานรถไฟของอเมริกา เสียชีวิตในปี 1867 ในทางรถไฟของเทือกเขาเซียร่าเนวาดา


หลังจากที่ได้ยินข่าวนี้ ปรมาจารย์หลัวทำการวางแผนลับ เขาใช้เทคนิคสับเปลี่ยนคานกับเสา ไปขโมยศพคุณปู่ของนักธุรกิจที่ร่ำรวยคนนั้น ไปฝังไว้ในเทือกเขาเซียร่าเนวาดา


หลังจากนั้นปรมาจารย์หลัวค่อยออกโรงด้วยตัวเอง พานักธุรกิจที่ร่ำรวยคนนั้นไปหาแหล่งของซากกระดูกจนเจอ หลังจากที่ขุดซากกระดูกออกมา ผ่านกระบวนการทดสอบดีเอ็นเอแล้ว แน่นอนย่อมยืนยันว่าคือบรรพบุรุษของนักธุรกิจที่ ร่ำรวยคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย การตามหาคนในครั้งนี้ มันก็ทำให้ปรมาจารย์หลัว มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ในชุมชนชาวจีนในอเมริกาเหนือ


แน่นอนว่า สำหรับพวกบอดี้การ์ดและพนักงาน พวกเขาต่างก็ไม่รู้ว่าเจียงเซียงไผ่พวกนี้ใช้วิธีการสกปรกนั้น เห็นว่าเยี่ยเทียนสามารถหากระดูกได้จริง ภายในก็มีแต่ความเคารพยำเกรงเยี่ยเทียน


“ระวังหน่อย อย่าให้กระดูกหล่นหาย”


บอดี้การ์ดสองคนเข้าไปในหลุมศพ เยี่ยเทียนก็ปีนขึ้นมา ในหลุมพื้นที่ไม่กว้างมาก แค่สองคนก็เต็มแล้ว อีกทั้งกงเสียวเสี่ยวที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ค่อยให้ความช่วยเหลือ พวกเขาน่าจะไม่กล้าใช้แรงกลัวกระทบโดนกระดูก


ฝนที่ตกหนักถึงจะเป็นข้อเสียแต่ก็ยังมีข้อดีอยู่เหมือนกัน น้ำฝนที่กำลังชะล้าง พวกดินก็ค่อยๆ ไหลผ่านไป ซากกระดูกของฝูอี้ก็ปรากฏออกมา ความเร็วในการจัดให้เป็นระเบียบก็เพิ่มขึ้น


ไต้หวันฝนมาก เกาสงคือที่ที่มีพายุไต้ฝุ่นที่ร้ายแรงมาก แค่ระยะเวลาแปดปี ซากกระดูกของฝูอี้ เนื้อหนังเน่าเสียตั้งนานแล้ว เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ก็เปื้อนไปด้วยดินเหนียว หาไม่เจอแม้แต่ร่องรอย


“เฮ้ ทำไมถึงมีแท่งเหล็ก”


บอดี้การ์ดที่กำลังใช้มือแคะดินเหนียวอยู่ ทันใดนั้นก็ส่งเสียงร้องออกมา ในฝ่ามือของเขา มีแผ่นเหล็กเป็นสนิม


เอามาให้ฉันดูหน่อยสิ เยี่ยเทียนยื่นมือออกไปรับแผ่นเหล็กเป็นสนิม ใช้นิ้วโป้งถูไปที่แผ่นเหล็ก หลังจากนั้นพวกคราบสนิมก็ค่อยๆ   หายไป


มองดูสัญลักษณ์วงกลมของแผ่นเหล็กนี้ เยี่ยเทียลังเลใจแล้วพูดว่า “นี้เป็นสัญลักษณ์ที่มาจากจินลี้ละมั้ง”


ในปีเก้าศูนย์ แบรนด์ที่ดีที่สุดของเสื้อผ้าหรือเข็มขัดหนัง ไม่ต้องสงสัยที่ไหนก็คือมาจากจินลี้ของของฮ่องกง ผู้ก่อตั้งที่มีวิสัยทัศน์สูงใช้ประโยค จินลี้ไหล บิดาแห่งวงการโฆษณา ภาษาโฆษณา เป็นที่นิยมไปทั่วประเทศจีน


“ใช่ เขา เขาต้องเป็นอาอี้แน่นอน” กงเสียวเสี่ยวแย่งแผ่นเหล็กที่อยู่ตรงมือเยี่ยเทียนมา ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหล


กงเสียวเสี่ยวรู้ว่า สามีของเธอกับท่านเฉิงคือเพื่อนรักกัน เข็มขัดก็แทบจะใช้ของจินลี้ไหลตลอด และมักจะชอบในการสนับสนุนสินค้าฮ่องกง พอได้เห็นหัวเข็มขัดนี้ ทำให้ความกังวลของกงเสียวเสี่ยวหายไป


เมื่อเห็นท่าทางของกงเสี่ยวเสี่ยวที่เศร้าโศกเสียใจ เยี่ยเทียนเงยหน้ามองดูท้องฟ้า พูดว่า “พอแล้ว คุณนายกง ฟ้าใกล้มืดแล้ว รีบเก็บซากกระดูกของคุณฝูไว้ให้ดีๆ  ”


ฝนเริ่มซา แต่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด นอกจากนี้ยังเป็นเนินเขา เวลาเดินลงเขาก็ค่อนข้างที่จะอันตราย เยี่ยเทียนอยากรีบกลับไปให้ถึงโรงแรม


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน กงเสียวเสี่ยวก็หยุดร้อง พวกบอดี้การ์ดก็เร่งมือ ค่อยๆ เก็บซากกระดูก ขึ้นมาทำความสะอาดที่ละชิ้นๆ


“หืม?”


ในตอนที่กำลังทำความสะอาดเป็นขั้นตอนสุดท้าย เยี่ยเทียนรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง หันกลับไปมองเห็นแต่ท้องฟ้าสีเทาสว่างเต็มไปด้วยสีเลือด


ทุกคนมีจุดแข็งและจุดอ่อนในเลือดลม จิตใจที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ คนที่มีร่างกายแข็งแรงที่สุด เลือดลมก็คือชีวิตเปี่ยมไปด้วยพลัง เหมือนกับฉู่ป้างหวังเซี่ยงอวี่ ตามที่เล่าขานกันมาก็คือเลือดเหนือศีรษะเหมือนลำแสง สามารถมุ่งตรงสู่ท้องฟ้า


แน่นอนว่า คนทั่วไปก็ดูไม่ออก มีเพียงแต่เยี่ยเทียนที่เข้าใจแนวคิดต่อสรรพสิ่งทัศนียภาพในการมองของแววตาศิลปิน ถึงสามารถดูเลือดลมในร่างกายคนออก


การควบคุมเลือดลมแม้ว่าไม่ได้มีการกล่าวเกินจริง แต่มันก็อยู่ห่างจากพื้นดินสิบฟุต ปรากฏชัดเจนอยู่ตรงหน้า ของเยี่ยเทียน และอีกทั้งเลือดลมการทำงานของมันรวดเร็วและอันตราย แต่ก็เป็นเรื่องที่เยี่ยเทียนเคยพบเจอมาก่อน


“นี่ นี่มันเกี่ยวกับฉันหรือเปล่า”


เยี่ยเทียนเริ่มเข้าใจในที่สุดเหตุที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จริงๆ แล้วมีใครบางคนกำลังสะกดรอย ตามเขามาที่ไต้หวันอยู่ และคาดไม่ถึงว่าจะสามารถรู้ถึงสถานที่พักในระหว่างเดินทางของเขาได้อย่างแม่นยำ


เมื่อเยี่ยเทียนกวาดสายตาไปทั่วตัวของบอดี้การ์ด ทันใดนั้นก็ละทิ้งความคิดเดิม ของพวกเขาเกี่ยวกับความลับ ที่รั่วไหลออกมา ถึงอย่างไรตั้งแต่ออกเดินทางจนถึงขึ้นเขา พวกคนเหล่านี้ก็ไม่เคยห่างหายไปจากสายตาของตัวเองเลย


“ฆาตกรที่พยายามจะฆ่า ไม่สนว่าพวกแกจะเป็นใคร หากต้องการชีวิตเยี่ยเทียนของฉัน ก็เอาชีวิตของตัวเองมาแลก”


สายตาของเยี่ยเทียนเกิดอาการงุนงงอยู่นิดหนึ่ง หันหน้ากลับไปหาคนนำทาง ถามว่า “พี่ชายครับ ขอถามหน่อยว่าข้างหลังเขานี้มันคือสถานที่อะไรกันหรอครับ”


รู้สึกถึงกระแสพลังพิฆาตที่กำลังขึ้นเขามา  เยี่ยเทียนมองไปที่พวกบอดี้การ์ด พบว่าพวกนี้ไม่ใช่คู่มือของคนที่กำลังขึ้นเขามา ถ้าให้พวกบอดี้การ์ดเหล่านี้อยู่กับเขา ก็จะเป็นอันตราย


เมื่อต้องดูแลพวกคนเหล่านี้ด้วย  เยี่ยเทียนก็จะไม่สามารถแสดงฝีมือและวิชาได้เต็มที่ ตัวเองก็อาจจะบาดเจ็บเลยตัดสินใจว่าจะไม่ใช้สถานที่นี้ในการรับมือฝ่ายตรงข้าม


ชายวัยกลางคนที่เป็นคนนำทางเมื่อได้เห็นเยี่ยเทียนใช้วิชาในการตามหาคน ตั้งแต่แรก ก็ให้ความนับถือ เชื่อมั่นในเยี่ยเทียน เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนถาม รีบตอบกลับไปด้วยความเคารพว่า “ปรมาจารย์เยี่ย ข้างหลังคือพระพุทธรูปบนเขาที่มีชื่อเสียงของเกาสง คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในไต้หวัน”


พระพุทธรูปบนเขานั้นคือที่ประกอบพิธีทางศาสนาของพระอาจารย์ซิงยุน


เมื่อเยี่ยเทียนได้ยิน กับชื่อนี้เขารู้จักเป็นอย่างดี ก่อนที่นักบวชเต๋าจะเสียชีวิต หลายครั้ง ที่เขามักจะพูด ถึงเณรที่อยู่ในไต้หวันมีความรู้มาก เคยได้สนทนาธรรมกันอยู่ถึงสามวันที่ “จินหลิน” สุดท้ายไม่มีใครชนะ


หลังจากนั้นถังเหวินหย๋วนเพิ่งรู้ว่าเณรน้อยคนนี้เดินทางมาไกลถึงไต้หวัน มาอยู่ที่เขาพระพุทธรูปก่อตั้งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้น สร้างชื่อเสียงที่โด่งดัง เพียงแค่ความรู้สึกนึกคิดต่างกัน ทั้งสองกลับไม่ได้พบเจอกันอีก


“มีพระโพธิสัตย์อยู่ที่นั่น ฉันจะช่วยพวกแกบรรลุธรรมเอง” เยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงกระแสพลังพิฆาตที่หยุดชะงัก ใบหน้าก็หัวเราะออกมา กวักมือเรียกอาติง


“นายน้อย มีอะไรหรือ” อาติงเมื่อได้เห็นใบหน้าของเยี่ยเทียนที่แสดงอารมณ์ออกมา ก็รู้สึกแปลกๆ


“มีคนทำข่าวรั่วไหลออกมาว่าฉันมาไต้หวัน อาติง ฉันจะยื้อเวลาพวกเขาไว้ หลังจากนั้นกลับไป แกกก็ช่วยดูให้หน่อยว่าใครเป็นคนทำ”


อยู่ในกลุ่มคนพวกนี้ เยี่ยเทียนเชื่อถือเพียงแค่กงเสียวเสี่ยวกับอาติง แม้ว่ากงเสียวเสี่ยวจะเป็นผู้หญิง เรื่องแบบนี้ต้องไม่ให้อาติงช่วย


“อะไรนะ? ใครมันกล้าทำขนาดนี้ กล้ามาทำเรื่องแบบนี้กับนายน้อย หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน อาติงไม่ได้ระวังก็ส่งเสียงดังออกมา


“เฮ้ เบาๆ หน่อย ฉันจะรู้ได้ว่าเป็นใครก็ต่อเมื่อแกช่วยฉันหา”


เยี่ยเทียนพูดจบภายในใจก็เต้น เพราะเขารู้ว่าพวกคนเหล่านั้นพักอยู่ที่ไหน ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ ที่จอดรถ อดไม่ได้พูดออกไปว่า “ถ้าเธอกลับไปแล้วช่วยสังเกตดูให้หน่อยคนขับรถบัสคนนั้น ฉันสงสัยว่าเป็นเขา”


อาติงพยักหน้า พูดว่า “ตกลงครับนายน้อย คุณคนเดียวผมว่ามันอาจอันตรายเกินไป ถ้าไม่อย่างนั้นก็ ผมจะไปกับคุณด้วย ถึงแม้ว่าจะถูกฆ่าตาย ก็ไม่ยอมเป็นตัวถ่วง”


“พอแล้ว แกมีใจกล้าหาญขนาดนี้ก็พอแล้ว ถ้าฉันตายไป จะไม่ลืมแกเลย”


เยี่ยเทียนโบกมือ เขาก็ดูออกว่า ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่อยากให้กงเสียวเสี่ยวได้รับบาดเจ็บ มิฉะนั้นพวกเขาจะถูกล้อมรอบแล้ว


“วางใจเถอะ นายน้อย ผมจะช่วยสืบหาให้ชัดเจน” เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน อาติงก็รีบพยักหน้า เขาเคยเห็นฝีมือของเยี่ยเทียนแล้วแต่ก็ยังไม่ไว้ใจ กลัวว่าเยี่ยเทียนจะได้รับอันตราย


หลังจากที่สั่งอาติงแล้ว เยี่ยเทียนเดินไปหากงเสียวเสี่ยว พูดว่า “คุณนายกง เมื่อกี้ผมนึกได้ว่า มีเพื่อนเก่าอยู่ที่เขาพระพุทธรูป ผมจะขอตัวไปแวะชมสักครู่ พวกคุณก็มารับช่วงต่องานนี้ให้เสร็จนะ”


กงเสียวเสี่ยวรู้สึกงงกับคำพูดกะทันหันของเยี่ยเทียน ลังเลใจแล้วพูดออกไปว่า “ปรมาจารย์เยี่ย ฟ้ามืดขนาดนี้แล้ว เพื่อนเก่าของท่านจะรอให้ถึงพรุ่งนี้ก่อนไม่ได้เลยหรอ”


เยี่ยเทียนหัวเราะออกมา “เกรงว่าจะมีคนรอไม่ถึงพรุ่งนี้”


……


ตอนที่ 354 ลอบฆ่าในคืนฝนตก (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อเห็นกงเสียวเสี่ยวยังรอที่จะเค้นความจริง อาติงเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พูดว่า “คุณนายกง คุณก็อย่าถามเลย นายน้อยมีธุระที่จะต้องทำจริงๆ”


ในขณะที่พูด อาติงก็ใช้สายตามองไปที่กงเสียวเสี่ยว กงเสียวเสี่ยวสามารถยกระดับอาณาจักรธุรกิจ ขนาดใหญ่ได้หลังจากสามีของเธอเสียชีวิต โดยปกติไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หลังจากที่เห็นสายตาแปลกๆ ของอาติง ก็ไม่ถามอะไรต่ออีก


“ถ้ามีคนถามถึงผม พวกคุณก็ตอบไปตามความจริง” เยี่ยเทียนหันกลับมามอง แล้วก็ออกเดินไป ก้าวไม่กี่ก้าวก็ถึงเนินเขาเล็กๆ นำร่างเดินขึ้นไปบนภูเขา


ป่าและภูเขาในไต้หวันต่างก็มีสีเขียวชะอุ่มตลอดทั้งปี ช่างเวลาประเดี๋ยวเดียวร่างของเยี่ยเทียนก็หายไปในป่าทึบ แล้วก็ไม่เห็นวี่แววของเขาอีกเลย


“อาติง เกิดอะไรขึ้น” เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่เกิดจากเยี่ยเทียน ทำให้แววตาความสนใจของกงเสียวเสี่ยว เปลี่ยนมาที่ศพของสามีทันที


อาติงลากกงเสียวเสี่ยวเดินไปที่ด้านข้างไม่กี่ก้าว พูดว่า “คุณนายกง มีคนปองร้ายนายน้อย เขากลัวจะทำให้พวกเราจะได้รับอันตรายไปด้วย เลยไม่อยากให้พวกนั้นมาที่นี่”


“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ” ใบหน้าขาวผ่องของกงเสียวเสี่ยวมีสีหน้าความโกรธแค้นขึ้น “ฉันจะรีบแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไต้หวันทันที ให้พวกเขาส่งเฮลิคอปเตอร์มา”


อย่าคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเศรษฐีที่อยู่ในไต้หวันและฮ่องกงพวกนี้จะธรรมดา พวกเขาสามารถทำอะไรหลายๆ อย่างมากกว่าที่คนอื่นจะจินตนาการได้


อย่ามองว่ากงเสียวเสี่ยวเป็นแค่นักธุรกิจหญิงรุ่นใหม่ ที่ไม่เคยล้มเหลวเธอมีความสัมพันธ์ที่แน่นเฟ้นกับแก๊ง ต่างๆ ในไต้หวันหลายแก๊ง เช่น แก๊งซูเหลียน แก๊งซิฉี และแก๊งอื่นๆ อีก นอกจากนี้ก็ยังไปมาหาสู่กับทางทหารของไต้หวันอีกด้วย ที่เธอบอกว่าสามารถ ส่งเฮลิคอปเตอร์ มาได้ไม่ใช่เรื่องที่โกหก


เยี่ยเทียนไม่รู้คำพูดที่เขาพูดก่อนจากมานั้น จะมีผลทำให้ทั้งฮ่องกงและไต้หวันสองแผ่นดินเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ นอกจากกงเสียวเสี่ยวแล้ว ถังเหวินหย่วนกับจั่วเจียจวิ้นถือ ก็เริ่มใช้ความสัมพันธ์และอิทธิพลที่มีทั้งหมดแล้ว ทุกๆ อย่างเริ่มเคลื่อนไหว


 เยี่ยเทียนในตอนนี้ แน่นอนว่าไม่ได้คิดอะไรไปไกล จากที่เขาดู ฝ่ายตรงข้ามถึงแม้จะจำนวนไม่น้อย และทุกคนต่างเต็มไปด้วยพลังพิฆาต เคยรับบทฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมมาทั้งหมด แต่…บางครั้ง ไม่ใช่ว่าคนเยอะแล้วจะทำได้


เยี่ยเทียนโฉบไปมาอย่างรวดเร็วในภูเขา ในที่สุดก็พบว่าตัวเองมาหยุดที่สถานที่ที่ตอนนี้ถ้าเรียกว่าเป็นเนินเขาก็ไม่น่าจะใช่ ถ้าพูดว่าเป็นกองดินที่ค่อนข้างใหญ่จะเหมาะสมกว่า ที่นี่หากถูกล้อมรอบด้วยมือปืน ก็อย่าหวังว่าจะออกไปได้


หลังจากนั้นห้าหกนาที เยี่ยเทียนก็มาอยู่อีกฝั่งหนึ่งของภูเขามีถนนสาธารณะที่ลาดด้วยยางมะตอย ไม่ได้กว้างมาก คดเคี้ยวไปข้างหน้า


หลังจากที่เยี่ยเทียนเหยียบลงบนพื้น คิดไปเล็กน้อย ร่างก็พุ่งไปข้างหน้า ข้ามไปยังถนนอีกด้าน แขนที่แผ่ออกมาเหมือนแมวตัวใหญ่ วิ่งเข้าไปในพุ่มไม้ข้างร่องน้ำ


เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามขับรถมา หากไม่ไปหาที่ซ่อนตัวที่เหมาะสมและยังวิ่งอยู่บนถนนก็จะเป็นเป้าหมายที่ดีที่สุดสำหรับอีกฝ่าย


……


ทางเข้าหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ นอกจากรถบัสขนาดกลางคันนั้นที่เยี่ยเทียนนั่งมา ยังมีรถอีกสองคันจอดอยู่ คนขับรถบัสขนาดกลางในขณะนั้นก็นั่งอยู่ในรถอีกคัน


“อากั่ว ทำได้ไม่เลวเลย ต่อไปนายต้องจัดการเยี่ยเทียนเข้าใจไหม ”ใบหน้าของเทียนหลงที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มมาตบไหล่ของคนขับรถ


 อีกมือหนึ่งถือเงินหนึ่งดอลลาร์ปึกหนึ่ง และยัดไว้ในกระเป๋าของอากั่ว


“พี่…พี่ใหญ่…พี่วางใจเถอะ ผม…ผมจะทำทุกอย่างตามที่พี่บอก”


เมื่อมองคนที่ขึ้นมานั่งบนรถที่ท่าทางแข็งแกร่ง พร้อมด้วยใบหน้าที่ทาสีพลางนั้น  อากั๋วถึงกับมีสีหน้าตกใจ และพูดไม่ออก


นี่ก็โทษอากั่วไม่ได้  เขาเป็นเพียงพนักงานบริษัทคนหนึ่ง เขาได้รับการทาบทามให้สะกดรอยตามเยี่ยเทียน อากั่วเริ่มอยากจะหารายได้พิเศษ กลับคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นแก๊งนักเลง


แต่เมื่อถึงตอนนี้ อากั่วขึ้นหลังเสือไปแล้ว เขารู้ว่าตัวเองว่าไม่สามารถทำอะไรได้ เกรงว่าจะถูกอีกฝ่ายจัดการเอา


“ฟ่อฟ่อ…ฟ่อฟ่อ…”


ตอนที่อากั่วเตรียมจะลงรถ จู่ๆ ก็มีเสียงฟ่อๆ ดังมาจากหน้าอกของเทียนหลง ทำให้เทียนหลงหน้าเปลี่ยนสี ตะโกนพูดว่า “อากั่ว รอก่อน แกเอาผงยาที่ฉันให้แกไป ถูบนตัวของเยี่ยเทียนหรือยัง”


ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังทำพิธีทำนาย เทียนหลงก็ติดต่อกับอากั่วแล้ว เขามีวิชาลับในการตามตัวคน แค่เอาผงยาที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษถูที่ตัวของอีกฝ่าย เทียนหลงก็จะมีวิธีที่จะตามหาตัวคนนั้นจนเจอ


ยาผงนี้ไม่มีรูป รสและกลิ่น ยากมากที่จะถูกคนจับได้ เทียนหลงรู้ว่าเยี่ยเทียนมีวิชาขั้นสูง ไม่คิดว่า จะสามารถใช้ยาพิษฆ่าเยี่ยเทียนได้โดยตรง


เมื่อได้ยินเสียงร้องของเทียนหลง ทั้งตัวของอากั๋วถึงกับสั่นเทาไปหมด ใบหน้าพูดด้วยน้ำตาโศกเศร้าว่า“พี่ใหญ่ ผม…ผมทำตามที่ไปหมดแล้ว ผมได้ทาผงนั่นไปบนร่างกายเขาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว”


เทียนหลงยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ดี งั้นก็ดี อากั่ว นายกลับไปได้แล้ว”


อากั่วยิ้มออกมา ดูแล้วก็ไม่ต่างกับการร้องไห้ หันหลังลงรถ แต่ทันที่ที่ขาขวาของเขาเพิ่งลงไปเหยียบที่พื้น ทั้งร่างกายก็แข็งทื่อไปหมด


“คิ…คิๆ”


ลำคอของอากั่วก็ส่งเสียง “คิๆ” ออกมา ค่อยหันมาจ้องเทียนหลง กลับพูดไม่ออกสักประโยค ในขณะเดียวกันตรงปากก็มีเลือดไหลออกมา มีเสียง “ตุ๊บ” แล้วเขาก็ล้มลงที่ประตูรถ


“เงินสักดอลลาร์นายก็ไม่ได้ใช้หรอก”


เทียนหลงเดินมาที่ด้านหน้าของอากั่ว ยื่นมือควักเงินดอลลาร์ปึกนั้นออกจากกระเป๋าของเขา มองไปที่สมาชิกในแก๊งแล้วพูดว่า “ทิ้งมันไว้แล้วกลับไปที่รถของตัวเอง เป้าหมายไปจากที่นี่แล้ว พวกเราต้องตามไปให้ทัน”


เมื่อประคองอากั่วที่เหมือนกับคนเมาเหล้า กลับไปรถตู้ขนาดกลางแล้ว รถทั้งสองคันก็ถอยหลังกลับพร้อมกัน ทำตามคำสั่งของเทียนหลงขับรอบๆภูขาเล็กๆลูกนั้น วิ่งตามเส้นทางที่เยี่ยเทียนไป


……


เยี่ยเทียนพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว โดยใช้นิ้วเท้าด้านหน้าจิกพื้นไว้ เขาสามารถส่งตัวไปข้างหน้าได้ไกลกว่าสิบเมตร จากการกระโดดเพียงครั้งเดียว ความเร็วราวกับภูติผีปีศาจก็ไม่ปาน สำหรับเขาระยะทางสิบไมล์ใช้เวลาแค่สิบกว่านาทีเท่านั้น


สักพัก เยี่ยเทียนก็มาถึงเชิงเขาพระพุทธรูป ในขณะนั้นก็ได้ยินเสียงรถจากด้านหลัง ใบหน้าก็อดที่จะยิ้มเยาะ ขึ้นมาไม่ได้ ป่าในภูเขาแห่งนี้ทึบมาก เขาสามารถใช้เป็นที่หลบได้


ภูเขาพระพุทธรูปเดิมทีเป็นภูเขาแห้งแล้งลูกหนึ่ง ประกอบด้วยภูเขาห้าลูกรูปร่างเหมือนกลีบดอกบัว หลังจากที่ซ่อมแซมเป็นเวลานาน สถาปัตยกรรมของวัดก็ยิ่งใหญ่อลังการ เยี่ยเทียนยืนอยู่ใต้ภูเขาพิจารณาสักครู่ ก็มุดเข้าไปในพุ่มไม้


“หยุด”


ตอนที่เทียนหลงสั่งให้หยุดผ่านเครื่องวิทยุสื่อสาร รถสองคันก็มาจอดอยู่ที่เยี่ยเทียนหยุดเมื่อครู่ เเทียนหลงไม่สนใจฝนที่ตกหนักในขณะนี้ ผลักประตูรถออกแล้วเดินลงไป


เมื่อมองไปที่ภูเขาพระพุทธรูปตอนกลางคืน เทียนหลงมีสีหน้าที่ลังเลเกิดขึ้น เขาสัมผัสได้ว่าในละแวกภูเขานี้เต็มไปด้วยเวทมนตร์ชั้นสูง ในใจของเทียนหลงที่ตอนแรกความตั้งใจเต็มเปี่ยมร้อยเปอร์เซ็นต์ ในตอนนี้ก็เหลือน้อยกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว


“พี่หลง คนนั้นขึ้นภูเขาไปแล้วเหรอภูเขาลูกนี้ไม่สูงมาก ให้ลูกน้องแบ่งเป็นกลุ่มละสามคน แยกกันขึ้นภูเขาไปเถอะ”


อาหลาง ที่กำลังเดินอยู่ด้านหลังเทียนหลง ทั้งตัวเต็มไปด้วยเจตนาร้าย  พวกเขาเหล่านี้กำลังเดิน บนเส้นทางแห่งความตายตลอดทั้งวัน ภารกิจทุกครั้งสำหรับพวกเขาแล้ว ถือว่าเป็นเกมส์ความเป็นความตาย


เทียนหลงเงียบไม่พูดไม่จา เขารู้สึกถึงตำแหน่งของเยี่ยเทียนแล้ว มื่อเขาเงยหน้าขึ้น ก็รู้สึกเหมือนว่าเยี่ยเทียนที่ปีนขึ้นไปครึ่งเขากำลังทำท่าทางยั่วยุให้กับตัวเอง


สมาชิกทีมทหารที่อยู่บนรถทั้งหมดพร้อมอาวุธครบมือต่างก็ลงรถ ถึงแม้ว่ามีจำนวนนับสิบคน แต่กลับเต็มไปด้วยพลังพิฆาต พลังพิฆาตนั้นท่วมท้นพระวิหารซึ่งมีพระพุทธเจ้าส่องแสงภายใต้ฝนที่ตกหนักลงมา


“ขึ้นไป หนึ่งกลุ่มสามคน แบ่งเป็นเจ็ดกลุ่ม อาหลาง นายพาสองกลุ่มไปเดินรอบๆ หลังภูเขา อาหู่พาสองกลุ่มไปทางด้านขวา อาเปาพาสองกลุ่มไปทางภูเขาด้านซ้าย ที่เหลือตามฉันมา”


หลังจากที่ลังเลเป็นเวลานาน ในที่สุดเทียนหลงก็ได้ตัดสินใจ เพราะเขาคิดว่า ถ้าพลาดวันนี้ เขาจะไม่สามารถหาโอกาสที่ดีแบบนี้ในการกำจัดเยี่ยเทียนได้อีก


ต้องรู้ว่า ฮ่องกงเป็นเมืองนานาชาติขนาดใหญ่ ถ้าเขากล้าที่จะฆ่าที่นั่น เกรงว่าอาจารย์ของเขา จะไม่สามารถปกป้องตัวเขาได้


และถ้าในจีนแผ่นดินใหญ่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ที่นั่นมีข้อห้ามในการใช้ปืนอย่างเคร่งครัด เหมือนกับในไต้หวัน


เป็นเรื่องน่าอายที่เขาขอให้กลุ่มทหารรับจ้างทั้งหมดเข้ามาช่วยครั้งนี้ แต่ก็ดีกว่าที่ต้องสู้กับเยี่ยเทียนเพียงลำพัง


ทหารรับจ้างของเทียนหลงเคยรบที่สนามรบตะวันออกกลาง เคยร่วมงานกันเป็นอย่างดี หลังจากที่เทียนหลงออกคำสั่ง หนึ่งกลุ่มสามคนก็รีบปฏิบัติทันที และก็เข้าไปในป่าทึบ


“ทำไมพวกเขาถึงรู้ตำแหน่งของฉัน”


รู้สึกว่าผู้คนที่อยู่ด้านล่างภูเขาที่แบ่งกลุ่มล้อมรอบตัวเองอยู่ จิตใจของเยี่ยเทียนก็อดที่จะตื่นตระหนกไม่ได้ รีบหยุดเท้าทันที หลังจากที่สูดอากาศเข้าไปลึกๆ รับรู้ความรู้สึกที่อยู่รอบๆตัวเอง


“บ้าเอ้ย มันก็ใช้คาถาอาคมเหรอ” เยี่ยเทียนตรวจตราอย่างละเอียด ทันใดนั้นก็พบความแตกต่างของมุมเสื้อตัวเอง ลมหายใจที่มองไม่เห็นและไม่มีสี ไม่สามารถหนีรอดจากความรู้สึกนึกคิดของเขาได้


“คนไทย เป็นคนไทยอีกแล้ว ใช้วิญญาณร้ายไม่เลิก”


ดวงตาของเยี่ยเทียนส่งแสงวาวราวกับแสงแฟลช ใช้มือขวาดึงมุมเสื้อออกกมา  ฉีกออกมาครึ่งหนึ่ง ถือไว้ในมือแล้วก็หันหลังวิ่งกลับขึ้นไปบนภูเขา


“ระวัง ศัตรูอยู่ตรงเจ็ดนาฬิกา ทุกกลุ่มระวัง ทุกกลุ่มระวัง”


เยี่ยเทียนสัมผัสผู้คนที่ขึ้นบนภูเขาด้วยพลัง เทียนหลงก็สามารถสัมผัสพลังลับทั้งหมดของเยี่ยเทียนได้เช่นกัน เขาไม่หยุดที่จะส่งเสียงผ่านเครื่องวิทยุสื่อสารบอกตำแหน่งของเยี่ยเทียน คนทั้งเจ็ดกลุ่มๆล้อมรอบภูเขาเล็กๆนั้น


ฝนที่ตกหนักอยู่แล้วยิ่งตกหนักขึ้น บนต้นไม้ก็มีเสียง “เปรี้ยงๆ” ใครก็คิดไม่ถึงว่าฝนตกคืนนี้ จะเกิดการฆาตกรรมเกิดขึ้น


หลังจากนั้นห้านาที จู่ๆเทียนหลงก็ตะโกนใส่เครื่องวิทยุสื่อสารว่า “ศัตรูหยุดแล้ว เขาอยู่ตรงทิศ 12 นาฬิกา อาหลาง  รีบจู่โจมไปที่ทิศ 9 นาฬิกา อาหู่ นายพาคนตรงไปข้างหน้า”


เทียนหลงไม่รู้เลยว่า ตำแหน่งที่เขารู้เกี่ยวกับเยี่ยเทียนทั้งหมดนั้น มาจากเศษของเสื้อ ในตอนนี้เยี่ยเทียนได้ออกไปจากตำแหน่งนั้นเหมือนผีไปตั้งนานแล้ว


“รับทราบ พี่หลง”


หลังจากที่ได้ยินคำสั่งของเทียนหลง  อาหลางก็ยกมือขวาขึ้น สมาชิกสองทีมที่อยู่ด้านหลังของเขาก็หยุดทันที พร้อมกับจ้องมองไปรอบ ๆ อาหลางหยิบปืนจู่โจมขึ้นมาประทับบนบ่าเล็งไปยังความมืดมิดที่ทิศ 12 นาฬิกา


อาหลาง ที่กำลังเตรียมพร้อมจะยิง ไม่รู้เลยว่าทางด้านขวาของเขาห่างออกไปเพียงสิบเมตร มีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเขาอยู่ อย่างเย็นชา


บรรยากาศการฆ่าฟันที่เข้มข้นกระจายไปทั่วในคืนฝนตกหนักนี้


……


ตอนที่ 355 จู่โจม (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“พี่หลาง รอบนี้เรามาลอบฆ่าใครกัน ถึงได้ให้พวกเราลงมือกันทั้งหมดนี่”


กลุ่มอาหลางเป็นพวกลอบยิงจากระยะไกล ปกติเวลาปฏิบัติงานจะเป็นกลุ่มที่มีความปลอดภัยที่สุด ดังนั้นอีกสองคนถึงได้ทำตัวค่อนข้างสบายๆ ตอนนี้ยังมีฝนที่ตกหนักและลมพัดกรรโชก จึงไม่กลัวว่าเสียงจะลอยขึ้นไปบนเขา


“คนที่พี่หลงไม่กล้าสู้ตัวต่อตัว ทำให้เราต้องออกหน้ามานี่”


อาหลางหันกลับไปจ้องที่ทั้งสองคนนั้นเขม็ง กล่าวว่า “รีบตั้งสติกระฉับกระเฉงกันหน่อย พี่หลงบอกไว้ว่า นี่จะเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด!”


อาหลางติดตามเทียนหลงมาหลายสิบปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นขาดความมั่นใจ ในคราวที่รบกันในสมรภูมิอิรัก เขาก็ไม่เคยเห็นเทียนหลงจะพะว้าพะวงขนาดนี้


ทำให้ระดับการระวังภัยของอาหลางเพิ่มมากขึ้น ชีวิตที่เพนจรไปมาระหว่างความเป็นความตายหลายปีมานี้สอนให้เขาไม่ประมาทเลินเล่อในตอนปฏิบัติการ ซึ่งแสดงว่าไม่รับผิดชอบต่อชีวิตของตนเอง


ถึงแม้ว่าอาหลางจะระมัดระวังเพียงใด ก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าที่หลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ห่างออกไปสิบกว่าเมตรนั้น มีนักฆ่าขั้นเทพคนหนึ่งแอบเร้นกายอยู่


เยี่ยเทียนไม่ได้จงใจจะหลบซ่อน แม้แต่ร่างกายส่วนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากกิ่งไม้ แต่เขาในเวลานี้กลับทำตัวเหมือนผีไม่มีการขยับเยื้อน ไม่หายใจ ถ้ามองด้วยตาเปล่าก็จะไม่รู้เลยว่าคนอยู่ตรงนี้


นี่ก็ถือเป็นวิชาบังตาแขนงหนึ่ง เยี่ยเทียนปิดผนึกลมปราณทั่วร่าง ตัวเขาหลอมรวมเข้ากับค่ำคืนที่ฝนกระหน่ำหนัก เม็ดฝนใหญ่ที่ตกลงบนพื้นมองเห็นเป็นหมอกหนา ทำให้ร่างกายของเขาราวกับมีกำแพงกั้นอีกชั้นหนึ่งเป็นอย่างดี


“เทียนหลง เทียนหลง คือใคร”


ถึงแม้จะห่างกันกว่าสิบเมตร เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงลมเสียงฝน แต่บทสนทนาของหลายคนนั้น ก็ไม่อาจเล็ดลอดการได้ยินของเยี่ยเทียนไปได้ ที่เขาอดกลั้นไม่ออกไปก็เพราะอยากจะทำความรู้จักอีกฝ่ายให้กระจ่างชัด


แต่ชื่อเทียนหลงนี้เยี่ยเทียนกลับไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาคิดไม่ออกว่าไปทำอย่างไร ถึงได้สร้างความแค้น กับศัตรูคู่แค้นคนนี้จนต้องส่งกองกำลังทหารออกมาสังหารตัวเอง


“แม่เอ้ย ไม่สนละว่าแกเป็นใคร อยากจะเอาชีวิตฉัน ก็ต้องดูก่อนว่าชีวิตตัวเองมีพอเหรอเปล่า”


สายตาของเยี่ยเทียนเป็นประกายปราบ ตั้งแต่ที่เขามาที่ฮ่องกงก็ใช้ชีวิตอยู่กับการฆ่าฟัน ประลองวิชากับชาญ ทองทวน มองทะลุแผนฆ่าของนักฆ่า ทำให้ฝึกจิตใจของเยี่ยเทียนให้ระแวงระวังภัยมากขึ้น


ถึงแม้ตอนนี้เขาจะสามารถหนีไปได้ แต่เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว เขาไม่มีทางจะให้ตัวเองถูก “กลุ่มทหาร” ที่ติดอาวุธเต็มกำลังตามฆ่า ไม่ว่าเป็นใคร เยี่ยเทียนจะต้องทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บปวดถึงจะพอใจ!


ลองสัมผัสตำแหน่งของอีกหลายทีม เยี่ยเทียนก็พบว่ามีกลุ่มหนึ่งที่ใช้เวลาแค่ห้านาทีก็ขึ้นมาบนเขานี้แล้ว เยี่ยเทียนเลิกสงสัย พลิกขยับข้อมือขวา หยิบมีดสั้น “อู่เหิน” มาวางไว้กลางฝ่ามือ


ในตอนเดียวกันนั้นเอง มือซ้ายของเยี่ยเทียนก็ทำสัญลักษณ์ วาดครึ่งวงกลมรอบตัว ตลอดทั้งร่างเต็มไปด้วยไอพลัง แต่กลับต้องอาศัยไอพลังธรรมชาติรอบกายในการโจมตี!


“ฮือโถ่เว้ย นี่… นี่มันเรื่องอะไรกัน”


ในตอนที่เยี่ยเทียนกำลังรวบรวมกระแสไอพลังอยู่นั้น เขาพลันพบว่า พลังที่รวบรวมมาได้อ่อนแรงเหลือคณา อย่าว่าแต่โจมตีศัตรูให้มีชัยเลย กลัวว่าแม้แต่จะป้องกันไม่ให้ศัตรูรับรู้ก็ยังทำไม่ได้


“ฝอกว่างซาน ฝอกว่างซานแม่เอ้ย ไม่ใช่ว่าไอพลังทั้งภูเขานี้ถูกพวกนั้นสูบจนไม่มีเหลือแล้วหรอกนะ”


เยี่ยเทียนพลันคิดถึงชื่อของภูเขาลูกนี้ที่ตัวเองเหยียบอยู่ พลันตาค้าง หากไม่ใช่กลัวว่าจะเผยตัวเองออกไป เยี่ยเทียนก็จะร้องแรกแหกกระเชิงด่าทอ ตัวเองหาสมรภูมิรบอย่างยากลำบาก แต่กลับเป็นที่ที่กดวิชาของตัวเอง


ในลัทธิเต๋า “คัมภีร์ฝึกตน” สามารถทำลายไอพลังหยินได้ ก็เช่นเดียวกัน ศาสนาพุทธก็มีหลายคัมภีร์ที่สามารถต่อกร กับวิญญาณแค้นได้ ทำลายไอพลังหยินระหว่างฟ้าดิน คุณสมบัติไม่ได้แย่ไปกว่า “คัมภีร์ฝึกตน” เลยแม้แต่น้อย


วิชาฆ่าคน ต้องหยิบยืมไอพลังหยินจากฟ้าดิน แต่ภูเขาฝอกว่างซานนี้ดูดพลังไปจนหมดสิ้นแล้ว ก่อนหน้านั้นเยี่ยเทียนไม่ได้คิดถึงจุดนี้ มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่เลือกสถานที่นี้หรอก


“ใคร!” การกระทำของเยี่ยเทียนครั้งนี้ ทำให้กลุ่มของพวกอาหลางสามทั้งสามคนตื่นตัว พร้อมกับหันหน้าไปมองจุดที่เยี่ยเทียนอยู่


โดยเฉพาะอาหลาง ในใจพลันขมวดเป็นเกลียว มือขวาขยับเคลื่อนอยู่บนปืนซุ่มยิงระยะไกล อีกคนที่อยู่ใกล้เขาก้ฬช้ปืนกลมือ AK47 SMG ยิงไปทางต้นไม้ที่เยี่ยเทียนแอบซ่อนตัวอยู่


“ปังปังปัง…ปังปังปัง…”


เสียงปืนที่ดังขึ้นผ่านม่านฝนที่โหมกระหน่ำ ทีมทั้งเจ็ดที่อยู่บนภูเขาพร้อมใจกันหันมาทางตำแหน่งที่อาหลางอยู่


“อาหลาง เป็นอะไรเกิดอะไรขึ้น”


เสียงสอบถามของเทียนหลงดังลอยออกมาจากวิทยุสื่อสาร หากมองด้วยตาคล้ายกับว่าจะล้อม เยี่ยเทียนอยู่บนเขาแล้ว อาหลางยิงปืน จะทำให้เยี่ยเทียนหลบหนีไปจากตำแหน่งนั้น


“พี่หลาง ที่ผมอยู่ตอนนี้ดูเหมือน…เหมือนมี อ๊าาา! ! !”


เสียงของอาหลางที่ลอยออกมาจากวิทยุสื่อสารนั้นขาดขาดหายหาย เพียงแต่ยังกล่าวไม่จบ พลันเสียงร้องอย่างเจ็บปวดก็ดังออกมา เสียงของวิทยุสื่อสารขาดหายไปเหลือแต่เสียงน้ำฝนที่ตกรดบนวิทยุเท่านั้น


ขึ้นไปดูบนภูเขา ตำแหน่งของเยี่ยเทียนไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในใจของเทียนหลงก็หนักอึ้งขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ รีบเปิดวิทยุสื่อสาร ตะโกนเรียกว่า “ทุกกลุ่มรีบไปยังตำแหน่งของอาหลาง ย้ำอีกครั้ง ทุกกลุ่มรีบไปยังตำแหน่งเก้านาฬิกา…”


ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ทำสงครามในทะเลทรายหรือว่ากลางสายฝน ประสบการณ์ของเทียนหลงนั้นมีมากมาย เมื่อก่อนเขาหลงตัวเองว่าเคล็ดวิชาติดตามของเขานั้นแน่นอน แต่หลังจากทางอาหลางเกิดเรื่องนั้น เทียนหลงก็รีบเปลี่ยนแผนทันที


“กลุ่มเจ็ดรับทราบ”


“กลุ่มหกรับทราบ!”


กลุ่มห้ารับทราบ จะรีบไปเดี๋ยวนี้!


“กลุ่มสี่รับทราบ กำลังรีบไป!”


กลุ่มสามรับทราบ อีกประมาณสามนาทีถึงจุดหมาย!”


แต่ละกลุ่มตอบรับกลับมาอย่างพร้อมเพรียงกัน เพียงแต่ว่ากลุ่มของอาหลางกลุ่มสองนั้นกลับไม่มี สัญญาณตอบรับอะไรเลย ในใจของเทียนหลงคิดว่า ทีมของอาหลางได้เจอกับอุบัตุเหตุแล้ว


เทียนหลงคาดเดาไม่ผิด มนุษย์สามคนที่เมื่อซักครู่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน  บัดนี้ได้กลายเป็นศพเย็นชืดแล้ว รอบศพทั้งสามที่นอนอยู่มีเลือดกระจายเป็นวงกว้าง


แต่เยี่ยเทียนที่เคยยืนอยู่ข้างอาหลางและคนทั้งสามนั้น ในตอนนี้สภาพค่อนข้างย่ำแย่ กำลังพิงต้นไม้โก่งคออาเจียน การฆ่าเมื่อซักครู่ ทำให้เขาได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่ไม่เคยได้พบมาก่อน


เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงว่าอาหลางจะเปลี่ยนแผนได้เร็วขนาดนี้ ตัวเขาเองเพียงส่งเสียงแค่นเบาๆ แต่กลับส่งกระสุนปืนมาอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่


ในตอนที่อาหลางกำลังยิง SMG อยู่นั้น เยี่ยเทียนรู้สึกเพียงว่าหนังหัวกำลังจะแยกจากกัน ร่างกายที่ฝึกปรือมาหลายปีทำให้กระโดดหลบไปทางด้านซ้าย ลูกกระสุนที่กระทบเปลือกไม้ บนต้นไม้กลับพุ่งมาทางตำแหน่งหน้าของเยี่ยเทียน


ตั้งแต่ออกบำเพ็ญเพียรเป็นต้นมา เยี่ยเทียนไม่เคยอยู่ระหว่างความเป็นความตายได้ใกล้อย่างนี้มาก่อน ในตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อหลังจากมีปืนแล้ว เคล็ดวิชาต่อสู้จึงได้ตกต่ำลง ทั้งสองอย่างนี้ไม่สามารถ เปรียบเทียบกันได้เลย


ต่อให้ตอนนี้ฝึกวิชาได้ขั้นหลอมปราณสู่จิต แต่เขาก็เป็นคนมีเลือดเนื้อ หากลูกกระสุนยิงมาโดนก็ได้รับบาดเจ็บ ตัวเขาเองก็ไม่มีชีวิตให้เอามาเล่นได้อีกต่อไป


แต่เยี่ยเทียนนั้นไม่ใช่พวกไก่อ่อนที่ไม่เคยเห็นคาวเลือดมาก่อน ในเส้นระหว่างความเป็นความตาย ทำให้ไปกระตุ้นความป่าเถื่อนในตัวเขาออกมา ในเวลานั้นหากหมุนกายวิ่งหนี จะต้องถูกอีกฝ่ายตามล่าและยิงตายแน่นอน


เขาจึงถลาออก ขาขวาของเยี่ยเทียนออกแรงถีบต้นไม้อย่างแรง ร่างกายราวกับปลาที่ว่ายทวนน้ำ มีหญ้าวัชชพืชและดินโคลนบนพื้นติดเต็มไปหมด ท่าทางราวภูติผีพลันก็ไปปรากฏกายต่อหน้าพวกอาหลาง


ถึงแม้ไม่เคยได้ฝึกพิเศษใดใดมาก่อน แต่เยี่ยเทียนตั้งแต่ห้าขวบก็นำหุ่นไม้จำลองมาศึกษาทวารต่างๆ ความรู้ที่เขามีต่อร่างกายของมนุษย์นั้น เรียกได้ว่าเกือบจะเท่ากับแพทย์อายุรกรรมเลยทีเดียว


ในตอนที่อาหลางทั้งสามคนยังไม่รับรู้ว่าบนพื้นนั้นมีคนเพิ่มมาอีกคน ร่างกายของเยี่ยเทียนเหมือนกับผีดิบ ลุกขึ้นยืนอย่างทื่อๆ จากพื้นดิน มือเร็วราวกับสายแล่บ ปาดคอยหอยของสองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าของอาหลาง


เยี่ยเทียนในตอนนี้เต็มไปด้วยแรงกกระตุ้นในการฆ่า เมื่อลงมือจึงเด็ดขาดไม่ลังเล กระบวนท่านี้แม้แต่แผ่นเหล็กก็สามารถเจาะทลวงได้ ยื่งไม่ต้องพูดถึงคอหอยของมนุษย์ผู้อ่อนแอ


มีดปาดเข้าไป คอทั้งสองคนก็ถูกเชือดจนเปิดออก เลือดสาดกระจายออกมาราวน้ำพุ  รวมผสมกับน้ำฝนสาดรดหัวและหน้าของเยี่ยเทียน


เลือดข้นกระเด็นใส่หน้า จมูกก็ได้กลิ่นคาวเต็มไปหมด สีหน้าของเยี่ยเทียนนั้นก็แปรเปลี่ยนไปราวกับภูติผี ปล่อยกระแสเข่นฆ่าออกมาใส่ศัตรู


นับตั้งแต่อาหลางลั่นไกจนถึงเยี่ยเทียนที่ทำการเข่นฆ่า ระยะเวลาแค่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ในวันที่พายุโหมกระหน่ำ วิสัยทัศน์ของคนก็ถูกผลกระทบ


ผนวกกับเสียงปืนที่ดังกลบเสียงคลานมาบนพื้นของเยี่ยเทียน จนกระทั่งในตอนที่คอหอยของเพื่อนร่วมทีมทั้งสองคนถูกเชือด  “ฟู่ ฟู่” เกิดเสียงขึ้นมา อาหลางถึงเพิ่งพบว่าเยี่ยเทียนมาอยู่ต่อหน้าตัวเองแล้ว


“แก..แก!”


เห็นว่าตรงหน้าของตัวเองปรากฏภาพราวกับภูติผีที่เลือดท่วมกายก็ไม่ปาน ลูกตาของอาหลางเกือบถลนออกจากเบ้า แต่ในชีวิตการเป็นทหารมาหลายปีไม่ได้เป็นเปล่าๆ อาหลางรีบยกปืน SMG ของตัวเองขึ้นอย่างว่องไว


เพียงแต่ว่าหลังจากที่นิ้วชี้ของอาหลางกำลังสอดเข้าไปที่ไกปืนนั้น กลับไม่พบว่าตนเองได้ยินเสียงปืนที่คุ้นเคย ดังออกมา ก้มหน้าลงไปลำคอของอาหลางพลันเกิดเสียงโหยหวน เพราะเขาพบว่า มีอขวาและปืน SMG ของเขาตกอยู่บนพื้นโคลนด้านล่าง ความเจ็บปวดนี้ส่งผ่านจากลำแขนขึ้นมาถึงเส้นประสาทในสมอง นับตั้งแต่วันที่เริ่มรับราชการทหาร อาหลางก็เตรียมตัวเตรียมใจตายเอาไว้แล้ว ความเจ็บปวดที่แขนข้างขวาของเขาไม่ได้ทำให้เขาตระหนกเสียขวัญ ในขณะที่เงยหน้ามามองเยี่ยเทียนนั้น มือซ้ายของอาหลางก็กุมอยู่ที่ปืนพกที่เอวแล้ว


ในตอนนี้เอง อาหลางเห็นแสงสีขาวพุ่งเข้ามาราวกับสายฟ้าแลบท่ามกลางพายุฝน เสียงร้องในลำคอพลันเงียบลง ภาพตรงหน้าก็พลันพร่างพรายเลือนลาง


“ตายหมดแล้วเหรอ!”


หลังจากที่ร่างของอาหลางล้มลงบนพื้นอย่างแรง เยี่ยเทียนถึงเพิ่งหลุดออกจากภวังค์ของความสามารถบางอย่าง กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นบนปลายจมูกทำให้เขากลั้นต่อไปไม่ไหวเปิดปาก แต่ก็ถูกน้ำฝนที่ชะเลือดบนศรีษะลงมา ไหลเข้าไปในปาก


“อุ๊บ! ” ต่อให้จิตใจของเยี่ยเทียนหยาบกระด้างซักแค่ไหน ก็อดไม่ได้ที่จะพิงต้นไม้อาเจียนออกมา


คนที่ตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเทียนมีไม่น้อยนี่ไม่ใช่เรื่องโกหก เขาเคยประมือกับชาญ ทองทวน แต่ใช้วิธีนี้ต่อสู้กับศัตรู สำหรับเยี่ยเทียนแล้วเป็นการทดสอบที่น่าเอน็จอนาถเป็นอย่างมาก


 …………


ตอนที่ 356 จู่โจม (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ยังถือว่าเคราะห์ดีที่ตอนนั้นฝนกำลังตกหนัก โลหิตที่เปื้อนเต็มหน้าเยี่ยเทียนจึงถูกชำระล้างไปหมด หลังจากพยายามอาเจียนไปหลายที เยี่ยเทียนก็เริ่มจะคุ้นชินกับรสชาติของโลหิตขึ้นมาแล้ว


เมื่อคนอื่นจะฆ่าเรา เราก็ต้องฆ่าคนอื่นเช่นกัน ยามนี้เยี่ยเทียนและฝ่ายตรงข้าม อยู่ในสภาพที่ต้องสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่งแล้ว แม้ว่าบนภูเขาฝอก่วงซานนี้จะไม่สามารถใช้วิชาอาคมได้ แต่เยี่ยเทียนก็ยังปล่อยคนพวกนี้ไปจากที่นี่ไม่ได้อยู่ดี ไม่อย่างนั้นปัญหาก็จะไม่มีวันจบสิ้น


จากปฏิกิริยาของอาหลางเมื่อครู่นี้ เยี่ยเทียนก็ดูออกแล้วว่า อีกฝ่ายจะต้องเป็นนักฆ่ามือเก่าอย่างแน่นอน หากไม่สังหารคนพวกนี้เสียให้หมดสิ้น จากนี้ไปเยี่ยเทียนก็อย่าหวังว่าจะได้นอนหลับอย่างเป็นสุขอีกเลย


“แย่แล้ว!”


ขณะเดียวกันกับที่เยี่ยเทียนได้สติกลับมา เสียงเท้าย่ำลงไปบนกิ่งไม้แห้งก็ดังแว่วมาจาก ตำแหน่งที่ไม่ได้ไกล ออกไปนัก จากนั้นลำแสงสว่างจ้าหลายสายก็สาดส่องมาทางเขา


เยี่ยเทียนเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ร่างโถมออกไปข้างหน้าจนราบกับพื้น สองมือกางเหมือนกรงเล็บ ออกแรงถีบขาไปข้างหลัง แล้วร่างก็พุ่งกระโจนออกไปจากป่ารกราวกับลูกหินที่ยิงด้วยหนังยางทันที


นอกจากนี้ ร่องรอยจากร่างของเยี่ยเทียนที่คืบคลานไปบนพื้นนั้นก็ผิดธรรมดาอย่างยิ่ง ร่างทั้งร่างอ่อน เหมือนไร้กระดูก เมื่อผ่านตอไม้แต่ละตอ ก็ถึงกับเลี้ยวอ้อมไปราวกับงูก็ไม่ปาน ด้วยระดับความเร็วที่ ไม่อาจมองเห็น ด้วยตาเปล่าได้เลย


“ปัง…ปังๆ!”


ขณะที่เยี่ยเทียนเพิ่งจะเริ่มเคลื่อนไหว เสียงปืนระลอกหนึ่งก็ดังรัวขึ้นถี่ยิบยิ่งกว่าสายฝนที่กระหน่ำลงมาจากฟ้าเสียอีก ลูกกระสุนพุ่งออกไปพร้อมประกายไฟแลบท่ามกลางสายฝนยามค่ำคืน ครอบคลุมบริเวณที่เยี่ยเทียนหยุดร่าง อยู่เมื่อครู่นี้ ไว้ทั้งหมด


มือปืนรับจ้างที่มีประสบการณ์บางคนลดปลายกระบอกปืนลงแล้ว จากนั้นก็สำรวจดูรอบๆ พื้นที่นั้น พวกเขาเชื่อว่า ตราบใดที่อีกฝ่ายยังเป็นสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงนี้อยู่ ก็คงไม่มีทางรอดพ้นมาจากการกระหน่ำยิงเช่นนี้ได้อยู่แล้ว


“ปังๆ…ปังๆๆ!”


เสียงปืนดังอยู่สองนาทีกว่าๆ ถึงจะสงบลง มือปืนรับจ้างทุกคนเปลี่ยนซองกระสุนกันคนละสามซอง ลูกกระสุนกระหน่ำยิงออกไปหลายร้อยนัด พายุฝนพร้อมเสียงฟ้าผ่าและเสียงปืน ประสานกันขึ้นจนเกิด เป็นลานประหารยุคใหม่


เมื่อเสียงปืนหยุดลง แสงสว่างจ้าจากไฟฉายหลายกระบอกส่องไปบนพื้นที่โล่งแห่งนั้น ต้นไม้ที่เดิมมีอยู่ไม่กี่ต้นนั้นยามนี้ถูกยิงจนลำต้นพรุน แสดงให้เห็นว่าเมื่อครู่นี้กระสุนยิงออกไปถี่ยิบเพียงใด


เมื่อกลุ่มมือปืนรับจ้างหลายกลุ่มมาเห็นสภาพนี้ ก็ต่างผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขาล้อมจู่โจมเข้ามาจากรอบด้าน การกระหน่ำยิงเมื่อครู่นี้จึงไม่มีมุมไหนที่รอดจากกระสุนเลย พวกนี้จึงเชื่อว่าศัตรูคงจบชีวิตไปภายใต้ปากกระบอกปืนแล้ว


ขณะที่เทียนหลงกำลังพาพวกเข้าไปใกล้ที่โล่งนั้นอย่างช้าๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกใจหายวาบ เพราะภายใต้แสง จากฟ้าแลบนั้น มีเงาร่างของคนผู้หนึ่งพลันกระโจนขึ้นมาที่เบื้องหน้าห่างไปยี่สิบกว่าเมตร เทียนหลงตื่นตระหนก รีบตะโกนขึ้นมาว่า “อาหู่ ระวังนะ มันไปทางแกแล้ว!”


แม้ในจะถือปืนอยู่ แต่คนในกลุ่มของเทียนหลงกลับไม่มีใครกล้าลั่นไกปืนเลยสักคน เพราะฝั่งตรงข้าม ก็มีกลุ่มมือปืนกลุ่มอื่นๆ ล้อมเข้ามาเช่นกัน ท่ามกลางสายฝนยามค่ำคืนเช่นนี้มองเห็นเป้าหมายไม่ชัดเจน หากยิงออกไปก็อาจจะกลายเป็นทำร้ายพวกเดียวกันเอง


“เร็ว ตามมันไป!”


เทียนหลงร้อนใจมาก เขาเคยเห็นอาการบาดเจ็บบนร่างของศิษย์พี่แล้ว จึงรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีวรยุทธสูงมาก ถึงบรรดาสมุนของเขาจะเคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนแล้ว แต่ถ้าต้องสู้กันตัวต่อตัวละก็ ต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยเทียนแน่นอน


                                                       ……-


“เวรเอ๊ย บาดเจ็บจนได้เหรอวะ?!”


หลังจากโดดขึ้นมาจากพื้น ตอนนี้เยี่ยเทียนกำลังรู้สึกโกรธจัด แม้ว่าก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนจะเคลื่อนไหว ด้วยความเร็วสูงอย่างยิ่งแล้ว แต่การระดมยิงอันถี่ยิบเมื่อครู่นี้ก็ยังสร้างความลำบากให้เยี่ยเทียนอยู่ดี


ด้านหน้าหัวไหล่ของเยี่ยเทียนโดนกระสุนไปหนึ่งนัด แต่ตอนที่ลูกกระสุนยิงมาถูกตัวเขานั้น เยี่ยเทียนอาศัยจังหวะ กลิ้งไปกับพื้น และรวบรวมพลังชี่จากทั่วร่างไว้ที่หัวไหล่ ทำให้ลดทอนพลังของลูกกระสุนไปได้ครึ่งหนึ่ง


ดังนั้นแม้จะโดนยิง แต่กระสุนนัดนั้นกลับถูกเยี่ยเทียนใช้กล้ามเนื้อหนีบไว้ จึงไม่ได้บาดเจ็บไปถึงกระดูก นอกจากนี้บนใบหน้าของเยี่ยเทียนยังถูกกระสุนยิงถากไปนัดหนึ่ง โลหิตไหลอาบแก้มและเข้าไปในปากของเขา


“พวกแกมันสมควรตายให้หมด!”


ความรู้สึกที่ได้เข้าใกล้ความตายอย่างเฉียดฉิวนั้น ทำให้เยี่ยเทียนระเบิดโทสะออกมา ตอนแรกเขาอยู่ห่างจากสามคน นั้นไปสิบกว่าเมตร แต่เมื่อเยี่ยเทียนกระโจนลงไป ระยะห่างนี้ก็หดใกล้เข้ามาภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที


หลังจากได้ยินเสียงตวาดของเทียนหลง อาหู่ก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วยิ่ง มือขวาถือปืนกล มือซ้ายถือปืนพกอีกเล่มหนึ่ง ขณะนั้นมีฟ้าแลบสว่างขึ้นมาพอดี เงาร่างของเยี่ยเทียนที่กำลังโถมเข้ามาจึงปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า


“ปัง… ปังๆ ปัง!”


เสียงปืนดังขึ้นหลายนัด เยี่ยเทียนที่ตอนแรกกำลังกระโจนอยู่กลางอากาศปลิวกระเด็นลงไปอยู่บนพื้นเหมือนกับถูกยิง อาหู่ดีใจ ถือปืนสาวเท้าออกไปสองก้าว เตรียมจะลั่นไกใส่เยี่ยเทียนซ้ำอีกหลายๆ นัด


แต่ทว่าเมื่อแสงสว่างจากไฟฉายในมือส่องลงไปตำแหน่งที่เยี่ยเทียนตกลงไป บริเวณนั้นกลับว่างเปล่าไร้เงาคน อาหู่ตกตะลึง ขณะที่กำลังจะมองหาไปรอบๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีเสียงดัง “กรอบแกรบ” ดังขึ้นมาจากบริเวณน่องของตน


อาหู่ก้มหน้าลงไปดู มือข้างหนึ่งยื่นขึ้นมาราวกับออกมาจากขุมนรกก็ไม่ปาน แล้วบีบคอของเขาไว้โดยปราศจากสัญญาณเตือนใดๆ เสียง “เป๊าะ” ดังขึ้นเบาๆ แล้วลูกตาของอาหู่ก็ปูดถลนออกมาทันที


“พี่หู่!”


มือปืนรับจ้างอีกห้าคนที่ตามมาข้างๆ ก็ตอบสนองได้รวดเร็วอย่างยิ่ง ในระยะใกล้เช่นนี้ไม่สามารถใช้ปืนกลได้ สองคนในนั้นจึงหยิบปืนพกออกมายิงรัวใส่เยี่ยเทียนติดๆ กัน


แต่ตอนที่เยี่ยเทียนบีบคอของอาหู่ไว้นั้น ก็ได้ซ่อนร่างไว้ในอ้อมอกของอาหู่แล้ว มือขวาดึงร่างของอีกฝ่ายมากำบังตัวไว้อย่างมิดชิด ลูกกระสุนสิบกว่านัดจึงยิงใส่ร่างของอาหู่ซึ่งยังไม่สิ้นใจดี จนร่างสั่นกระตุกราวกับถูกดึงเส้นเอ็น


เยี่ยเทียนบีบคอของอาหู่ไว้แล้วโยนออกไปอย่างแรง คราวนี้เขาออกแรงมากจนกะโหลกศีรษะ ของอาหู่บิดไปทั้งกะโหลก แล้วปลิวไปชนกับร่างของมือปืนรับจ้างหนึ่งในนั้นเสียงดัง “โครม” ทำให้ทั้งสองล้มลงไปกองอยู่ด้วยกันทันที


ขณะเดียวกับที่โยนร่างศพของอาหู่ออกไป ร่างของเยี่ยเทียนก็หมอบลงไปกับพื้นอีก แล้วเริ่มคืบคลานด้วยแขนขา ทั้งสี่ข้างราวกับแมวใหญ่


แทบจะครู่เดียวกับที่ร่างศพพุ่งไปชนกับมือปืนรับจ้างคนนั้น เยี่ยเทียนก็ไปถึงตรงหน้ามือปืนอีกคนหนึ่งแล้ว แสงสว่างขึ้นวาบหนึ่ง มือปืนคนนั้นเปล่งเสียงดัง “อึกอัก” ออกมาจากปาก แล้วก็กุมลำคอล้มตัวอ่อนลงไปกับพื้น


หลังจากปาดคอชายคนนั้นขาดไป ร่างของเยี่ยเทียนก็ยังคงไม่ลุกขึ้นมายืน แต่กลับหมอบอยู่ท่ามกลางสุมทุมพุ่มไม้ ขาขวาถีบยันพื้น แล้วร่างก็มาอยู่ตรงหน้ามือปืนรับจ้างที่ถูกชนล้มลงไปกับพื้นคนนั้นทันที


เยี่ยเทียนคลานไปบนร่างของชายคนนั้นราวกับเสือดาวตัวหนึ่ง แต่ขณะที่ผ่านไปบนร่างของขายคนนั้น เท้าซ้ายของเยี่ยเทียนก็กระทืบลงไปบนหน้าอกของเขาหนึ่งที


การกระทืบครั้งนี้ทำให้บริเวณอกของมือปืนรับจ้างที่ใส่ชุดกันกระสุนอยู่นั้นจมลงไปทั้งหน้าอก กระดูกซี่โครงทั้งสองข้างหักจนหมด แล้วทิ่มแทงเข้าไปในทรวงอกราวกับมีดสั้น พอมือปืนที่นอนอยู่บนพื้นหายใจออก เป็นเฮือกสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้หายใจเข้าอีกเลย


ขณะนั้นที่เบื้องหน้าเยี่ยเทียนยังเหลืออยู่อีกสามคน เยี่ยเทียนโถมเข้าไปอยู่ท่ามกลางคนทั้งสาม มือขวาวาดโค้งเป็นวง


หลังจากได้รับพลังชี่ที่ถ่ายเทเข้าไปแล้ว มีดสั้นอู๋เหินเปล่งประกายมีดออกมายาวถึงหนึ่งเชียะ ศีรษะสามหัวกระเด็นลอยขึ้นไปสูงลิ่ว โลหิตฉีดพุ่งออกมาจากลำคอที่ถูกตัดขึ้นสู่ฟ้า


วิชาเต๋านั้นเน้นหลักการเป็นไปโดยธรรมชาติ ตั้งแต่เยี่ยเทียนเริ่มฝึกบำเพ็ญมา พรตเฒ่าก็พร่ำสอนมาตลอดว่าจงประพฤติต่อผู้อื่นด้วยดี


แต่ตอนนี้คนทำดีกลับถูกคนรังแก ม้าดีกลับถูกคนขี่ ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนั้น คนเราไม่อาจจะใจอ่อนได้อยู่แล้ว ยามนั้นในใจของเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม จิตสังหารแผ่ออกมาทั่วร่าง


หลังจากสังหารพวกอาหู่ไปหกคน เยี่ยเทียนก็รุดหน้าต่อไป ขยับร่างไปปราดเดียวก็ประจันหน้า กับมือปืนรับจ้างอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างไปนัก และตะลุยเข่นฆ่าต่อไป


หลังจากที่แสงสว่างวาบขึ้นเมื่อครู่ ทั่วทั้งป่าทึบนั้นก็ตกอยู่ท่ามกลางความมืดมิดอีกครั้ง


ยิ่งรวมกับพายุฝนที่เทกระหน่ำลงมา คนที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตรจึงมองไม่เห็นเหตุการณ์ใดๆ ที่เกิดขึ้นอีกฟากหนึ่งเลย กลุ่มมือปืนที่มีอาเปาเป็นหัวหน้านั้น จึงไม่รู้เลยว่าทางกลุ่มของอาหู่นั้นถูกกวาดล้างไปจนหมดแล้ว


เยี่ยเทียนในขณะนั้นกำลังฮึกเหิมในการต่อสู้ แม้พายุฝนจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่สติของเยี่ยเทียนกลับแจ่มใส ทั้งร่างกาย พลังปราณและจิตใจต่างก็แทบจะอยู่ในระดับสูงสุดตั้งแต่ได้ฝึกบำเพ็ญตนมาเลย ความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย อย่างลมพัดต้นหญ้าไหวในรัศมีหลายสิบเมตรนี้ ต่างก็ปรากฏชัดในใจของเยี่ยเทียนราวกับส่องกระจก


ป่าทึบช่วยอำพรางร่างของเยี่ยเทียนไว้ พายุฝนก็ช่วยกลบเสียงเคลื่อนไหวของเยี่ยเทียน เมื่อเข้าไปใกล้กลุ่มของอาเปาซึ่งมีอยู่หกคนนั้นในระยะสามสี่เมตรแล้ว  เยี่ยเทียนก็กระโจนร่างเข้าไปบุกสังหารทันที


วิธีการรับมือกับอาวุธปืนที่ดีที่สุดก็คือใช้การต่อสู้ระยะประชิด กล้ามเนื้อตลอดร่างของเยี่ยเทียนขมวดเกร็ง พลังชี่แผ่ออกมา แล้วโถมลงไปกลางวงของฝ่ายตรงข้ามราวกับพยัคฆ์ร้ายกระโจนลงเขา


อาเปาที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดรู้สึกเพียงว่า มีสายลมแรงพัดผ่านหน้าไป แล้วพายุฝนก็กระหน่ำลงมาบนใบหน้าอีก


อาเปายังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาใดๆ ร่างก็แหลกราวกับถูกรถถังบดทับ โครงกระดูกทั่วร่างหักจนหมด แล้วล้มตัวอ่อนลงไปกองกับพื้นราวกับโคลนกองหนึ่ง


สถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ชีวิตราวกับแขวนอยู่บนเส้นด้าย หลังจากโจมตีใส่อาเปาจนร่างแหลกไปแล้ว มือซ้ายของงเยี่ยเทียนก็ฟาดฝ่ามือใส่หน้าอกของมือปืนคนหนึ่ง พลังแฝงแผ่ออกไป ทำให้หัวใจของมือปืนคนนั้นแหลกไปทันที โลหิตสาดกระจายออกมาจากปาก


ขณะเดียวกันกับที่ปล่อยฝ่ามือออกไป มีดสั้นอู๋เหินในมือขวาของเยี่ยเทียนก็แทงออกไปติดต่อกัน ประกายมีดสว่างวาบขึ้นหลายครั้ง กลางลำคอของมือปืนอีกสี่คนปรากฏรูขนาดใหญ่ แต่ละคนต่างมีแววตารู้สึกเหลือเชื่อ ส่วนร่างก็ค่อยๆ ล้มลงไปกับพื้น


ฟ้าแลบสว่างขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดเทียนหลงและมือปืนอีกกลุ่มหนึ่งก็เร่งรุดมาถึง แต่เมื่อเห็นซากศพเต็มพื้น บรรดามือปืนรับจ้างที่ผ่านการฆ่าฟันมานานเหล่านี้ต่างก็หน้าซีดเผือดไปกันหมด บางคนถึงขั้นพิงกับลำต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ แล้วอาเจียนออกมาเลย


สามคนเป็นศพที่ไร้ศีรษะ สี่คนปราศจากบาดแผลภายนอกแต่กลับมีโลหิตหลั่งออกจากทุกทวารบนใบหน้า ร่างของอาหู่ก็ถูกยิงจนพรุนเป็นรวงผึ้ง ส่วนคนอื่นอีกสี่คนล้มคอพับกองอยู่บนพื้น ที่ลำคอเหลือผิวหนัง และเนื้อเชื่อมกับส่วนศีรษะอยู่เพียงน้อยนิด


นอกจากอาหู่แล้ว คนอื่นๆ ต่างก็เสียชีวิตจากการจู่โจมเพียงครั้งเดียว โดยไม่มีจังหวะให้เคลื่อนไหวตอบโต้ได้เลย ความสามารถในการควบคุมพลังของฝ่ายตรงข้ามนั้น เรียกได้ว่าอยู่ในระดับเทพแล้ว


แม้ว่ามือปืนรับจ้างเหล่านี้จะดำรงชีพมากับการเข่นฆ่ากันทั้งนั้น แต่ก็ยังไม่เคยเห็นการลงมือที่โหดเหี้ยม เช่นนี้มาก่อนเลย ฝ่ายตรงข้ามต้องไม่ใช่คนแล้วแน่ๆ แต่เป็นเครื่องจักรที่รู้จักแต่การฆ่าฟัน


ตอนนี้ถ้านับรวมเทียนหลงด้วยแล้ว ฝ่ายนี้ก็จะเหลืออยู่ทั้งหมดสิบคน นอกจากเทียนหลง คนอื่นๆ ที่เหลืออีกเก้าคนต่างก็รู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง พวกเขาไม่รู้เลยว่า คนต่อไปที่จะต้องตายอย่างอเนจอนาถนั้น จะเป็นตัวเองหรือไม่?


“ว้าก…ว้าก!!!”


เมื่อเห็นลูกสมุนที่ติดตามตนมาสิบกว่าปีถูกเยี่ยเทียนสังหารไปสิบสองคนในชั่วพริบตา เทียนหลงก็รู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน เพลิงโทสะพุ่งขึ้นสมอง จนอดแหงนหน้าหน้าตะเบ็งเสียงร้องออกมาไม่ได้


คนอื่นที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้มีจิตใจหยาบกระด้างเหมือนอย่างเทียนหลง หัวหน้ากลุ่มมือปืนรับจ้างกลุ่มย่อย ที่เหลืออยู่เป็นคนสุดท้ายเอ่ยขึ้นว่า “พี่หลง มัน…มันไม่ใช่คนแล้ว พวก…พวกเราลงเขากันก่อนดีกว่าไหม?”


“ลงเขา? พวกแกนึกว่ามันจะยังยอมให้พวกแกลงเขาไปได้อีกรึไง?”


เทียนหลงแค่นเสียงดังเฮอะอย่างเย็นชา โยนปืนกลที่ถืออยู่ทิ้ง แล้วฉีกเสื้อออกเสียงดัง เผยให้เห็นรอยแผลเป็นเต็มหน้าอก


 ……….


ตอนที่ 357 จู่โจม (3)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ถ้าอยากมีชีวิตกลับไป ก็จงทิ้งชีวิตของตัวเองก่อนซะ!”


หลังจากเทียนหลงฉีกเสื้อผ้าของตัวเองแล้ว จึงชักมีดยาวออกมาจากเอว ตวัดมีดดาบกลับไปแกะสลัก เป็นรูปไม้กางเขนอยู่บนหน้าอกของตัวเอง โดยไม่สนใจเลือดที่ไหลอาบลงมาจากหน้าอก


ตอนนั้นนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อาจารย์ของเทียนหลงไม่ยอมให้เขาไปหาเรื่องเยี่ยเทียน เขายังไม่ค่อยเห็นด้วย


แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว ว่าเหล่าทหารรับจ้างในสนามรบที่ตัวเองคิดว่าเป็นพวกหัวกะทินั้น ในสายตาของเยี่ยเทียน กลับเป็นเหมือนกระเบื้องดินเผาที่ตีทีเดียวก็พัง กระทั่งขัดขวางฝีเท้าของเยี่ยเทียนก็ยังทำไม่สำเร็จ


แต่เทียนหลงกลับไม่รู้ว่า เยี่ยเทียนไม่สามารถแสดงวิชาได้เพราะบนภูเขาฟ๋อกวางซานต่างหาก ไม่อย่างนั้นสมาชิกของเขาก็คงจะตายเร็วกว่านี้


ถึงแม้จะรู้ถึงความน่ากลัวของเยี่ยเทียนแล้ว แต่บนโลกใบนี้ไม่มียาแก้ความเสียใจขาย จึงทำให้เยี่ยเทียนสามารถสัมผัสได้ถึงเจตนาในการฆ่าของพวกเขา และเทียนหลงที่ฝึกฝนวิชาไสยศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก ก็สามารถสัมผัสได้ถึงดวงตาคู่นั้นที่อยู่ในป่าทึบและกำลังจ้องมองตัวเองอยู่


จากนั้นเทียนหลงจึงหามีดสั้น แล้วแลบลิ้นออกมา เขาใช้มีดสั้นสลักคำว่าปาก (口โข่ว) ไปที่ปลายลิ้นของเขา เมื่อจุดที่อ่อนแอที่สุดบนร่างกายได้รับการกระตุ้น จึงทำให้สติของเทียนหลงฮึกเหิมขึ้นมา และความหวาดกลัวในสายตาของทหารรับจ้างที่เหลืออีกเก้าคนเหมือนจะค่อยๆ จางหายไป หลังจากถูกกระตุ้นจากการกระทำของเทียนหลง เพียงแต่พวกเขาเชื่อใจปืนผาหน้าไม้ที่อยู่ในมือมากกว่า แต่กลับไม่เหมือนเทียนหลงที่ไม่มีอาวุธแล้ว


เขาดึงมีดออกจากฝัก สองมือจับมีดดามัสกัสไว้แน่น เทียนหลงพูดคำรามไปยังป่าทึบที่ อยู่ตรงหน้า ด้วยภาษาจีน ที่ใสแจ๋ว “ออกมาเถอะ ฉันรู้ว่านายสามารถได้ยินคำพูดของฉัน เป็นผู้ชาย ก็ออกมาสู้กับฉันอย่างสง่าผ่าเผย!”


และไม่มีใครสังเกตว่า ตรงขากางเกงของเทียนหลงที่ทำสีหน้ามุ่งมั่นนั้น มีงูเขียวตัวขนาดเท่านิ้วโป้ง ตัวหนึ่งเลื้อยออกมาอย่างเงียบๆ และเจาะทะลุเข้าไปในต้นหญ้าแล้วหายตัวไปทันที


“แม่งเอ้ย มีคนสิบคนกับปืนเก้ากระบอก แต่บอกว่าต้องการต่อสู้กับฉันอย่างสง่าผ่าเผย ทำไมแกไม่ไปตายเสียเลยล่ะ?!”


หลังจากเยี่ยเทียนที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบได้ยินคำพูดของเทียนหลงแล้ว เขาเกือบจะสบถด่าออกมา “ถ้าแกแน่จริงก็ให้ทุกคนทิ้งปืนให้หมดสิ ฉันจะได้ทำให้ความปรารถนาของแกเป็นจริง”


“ดูสิว่าใครจะมีความอดทนมากกว่ากัน?!”


หากจะใช้จำนวนคนที่น้อยกว่าต้านทานจำนวนคนที่มากกว่า เว้นเสียแต่ว่าสมองของเยี่ยเทียน จะใช้การไม่ได้แล้วเขาถึงจะยอมปรากฏตัวไปสู้กับอีกฝ่ายแบบนั้น และเขาที่ไม่สามารถแสดงวิชาบนภูเขาลูกนี้ได้ การใช้วิชาไสยศาสตร์ของอีกฝ่ายก็ยากที่จะใช้ได้เช่นกัน อีกทั้งการลอบฆ่าในป่าทึบ แบบนี้ สำหรับเยี่ยเทียนแล้ว ถือว่าเขามีความเหนือกว่าอย่างแน่นอน


แต่ลูกกระสุนที่ติดอยู่ที่ไหล่ของเยี่ยเทียน กลับทำให้เขารู้สึกไม่สบายมาก


บวกกับเขาเพิ่งจะฆ่าคนสิบสองคนติดต่อกัน ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก แต่เยี่ยเทียนก็ได้ใช้ทั้งวิธี และวิชาทั้งหมดที่อยู่ในตัวออกมาทั้งหมด เวลานี้พลังจิตของเขาจึงเหนื่อยล้าอยู่พอสมควร


แน่นอนว่าเวลานี้อีกฝ่ายมีความเตรียมพร้อมมาก เยี่ยเทียนจึงไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปหาปากกระบอกปืน และเขาไม่คิดว่าวิชาของตัวเองจะสามารถหลบกระสุนปืนได้ เพราะบาดแผลจากกระสุนปืน ที่ไหล่ของเขา ก็เป็นหลักฐาน ที่ชัดเจนที่สุด


เยี่ยเทียนกำลังรอ…รอตอนที่อีกฝ่ายมีการเคลื่อนไหวก็จะเผยให้เห็นช่องโหว่อย่างแน่นอน จากนั้นเขาก็จะกลายเป็นนักล่า ที่ทำให้อีกฝ่าย…ถูกลอบฆ่านั่นเอง


“พี่หลง พวกเราไม่สามารถเสียเวลาแบบนี้ได้อีกต่อไป ถ้าหากกองทหารรักษาการณ์รู้เข้า พวกเราจะหนีไม่รอดนะ!” หลังจากยืนเปียกโชกกลางป่าเป็นเวลาห้านาที ในที่สุดผู้ชายรูปร่างกำยำสูงประมาณหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรก็ทนไม่ไหว


คนที่พูดคืออาสงหนึ่งในสี่ทหารเหล็กที่เป็นทหารรับจ้างของเทียนหลง เขามีพละกำลังมหาศาล เคยต่อยมวยใต้ดินตอนที่อยู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก่อน โดยฉีกคู่ต่อสู้ของเขาให้ขาดในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ทหารเหล็กอีกสามคนที่เหลือได้นอนลงโลงไปนานแล้ว


“โอเค ลงเขา!”


หลังจากได้ยินคำพูดของอาสงแล้ว หัวใจของเทียนหลงก็เกิดอาการหวั่นไหวเช่นกัน หากฝืนอย่างนี้ต่อไปรังแต่ จะไม่เป็นผลดีกับเขา และภูเชาฟ๋อกวางซานก็ไม่ได้สูงใหญ่มาก ถ้าหากถูกกองกำลังทหารโอบล้อมไว้จริงๆ ก็คงต้องยอมถูกจับแต่โดยดี


หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เทียนหลงจึงพูดกำชับว่า “อาสง ฉันจะไปเปิดทางข้างหน้า นายพาคนรั้งท้ายไว้ห้าคน และทุกคนห้ามแยกจากกัน ถ้ามีเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ อะไรก็ยิงปืนได้ทันที!”


ตอนนี้ทีมทหารรับจ้างเหลือเพียงสิบคน ถ้าหากทั้งสิบคนนี้ล้อมรอบเป็นวงกลมแล้วค่อยๆ เดินลงจากเขา เกรงว่าอีกฝ่ายก็คงทำอะไรเขาไม่ได้ ถึงอย่างไรปืนกลมือก็อยู่ในมือของทุกคนไม่ใช่กระบองจุดไฟ!


“ฮือเคลื่อนไหวแล้ว?!”


เยี่ยเทียนที่นั่งปรับลมปราณอยู่ในป่าทึบ รีบลืมตาขึ้นมาทันที เขาไม่จำเป็นต้องอาศัยดวงตามอง ก็สามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายผ่านฝนที่เทกระหน่ำลงมาปานฟ้ารั่วได้


และเทียนหลงกับคนอื่นๆ กลับเหมือนคนตาบอดที่ลืมตา แม้ว่าในมือจะถือไฟฉายแรงสูง ก็ยากที่จะสามารถ มองเห็นสถานการณ์รอบตัวที่อยู่นอกเหนือระยะห้าเมตรได้


เขาค่อยลุกๆ ขึ้น จากนั้นเยี่ยเทียนจึงหายตัวไปท่ามกลางป่าทึบเหมือนกับปีศาจร้าย แล้วจึงห้อยท้าย อยู่ข้างหลังพวกของเทียนหลงอย่างเงียบๆ


ขณะที่เยี่ยเทียนเพิ่งจะลุกขึ้นไม่เกินสองนาที งูเขียวเล็กตัวหนึ่งก็เลื้อยมาที่ตำแหน่งที่เยี่ยเทียนอยู่เมื่อครู่ หลังจากดมกลิ่นสักพักหนึ่ง มันจึงเลื้อยเข้าไปในป่าละเมาะตามทิศทางของเยี่ยเทียน


ดังสุภาษิตกล่าวไว้ว่าขึ้นเขานั้นง่ายลงเขานั้นยาก ถึงแม้ภูเขาฟ๋อกวางซานหนึ่งในห้ายอดเขาเล็กจะไม่สูงมาก แต่กลับมีพุ่มไม้หนาทึบและป่าทึบปกคลุมไปทั่ว บวกกับฝนตกหนักทำให้ทางภูเขาลื่น จึงไม่สามาถเดินเร็วได้อย่างสิ้นเชิง


และยังมีเยี่ยเทียนนักฆ่าเทวดาที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ยิ่งทำให้ทหารรับจ้างทุกคนอกสั่นขวัญแขวน ขอเพียงแค่มีเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นรอบตัว พวกเขาก็จะยิงกระสุนปืนกลแหนบหนึ่งออกไปทันที


“ปัง!”


ขณะที่ทุกคนเพิ่งจะเดินไปได้สิบนาทีกว่า ด้านซ้ายของอาสงก็ปรากฏเงาคนแวบหนึ่ง ทำให้ปืนกลมือสองสามกระบอกยิงไปทิศทางนั้นทันที เสียงปืนดังกังวานถูกกลบเสียงไปท่ามกลางเสียงฝน


“อาหยู เสี่ยวจินจึ น้องหก พวกนาย…พวกนายเป็นอะไร?”


หลังจากเสียงปืนเงียบสงบลง จู่ๆ อาสงจึงพบว่าคนสามคนที่เดินตามหลังเขา ได้นอนตายอยู่บนพื้นอย่างเงียบๆ ไปแล้ว


วิธีการที่ลึกลับซับซ้อนของเยี่ยเทียน ทำให้มือของเหล่าทหารรับจ้างที่เต็มไปด้วยเลือดต้องรู้สึกกลัวจนขนลุกเกรียว เหมือนกับว่าสิ่งที่พวกเขาเผชิญหน้าอยู่นั้นไม่ใช่คนแต่เป็นผี


เทียนหลงหมุนตัวมาดูแผลที่ลำคอของทั้งสองคน แล้วจึงตะโกนพูดเสียงดัง “ไป ห้ามหยุด รีบเดินไปที่พื้นที่กว้างโล่ง เขาก็จะทำอะไรไม่ได้แล้ว!”


ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นยอดฝีมือในการสู้รบในป่า แต่สำหรับเยี่ยเทียนแล้ว คนพวกนี้เหมือนกับแกะที่รอโดนเชือด บางครั้งเขาก็ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ บางครั้งก็นอนอยู่ข้างทางที่พวกเขาเดินผ่านแล้วทำการลอบฆ่าเสีย


ระดับความสูงหนึ่งถึงสองร้อยเมตรจากไหล่เขาถึงตีนเขา สุดท้ายคนที่เดินตามเทียนหลง กลับเหลืออาสง เพียงคนเดียว


“ออกมา ออกมาสิ!ถ้าแน่จริงก็มาสู้กับฉันตัวต่อตัว!”


เมื่อพี่น้องข้างกายตายไปทีละคน สำหรับอาสงที่มีความคิดเรียบง่ายเป็นความทรมานที่ไม่อาจรับได้ หลังจากลงมาถึงตีนเขาแล้ว สติของอาสงจึงกลายเป็นความฟั่นเฟือนนิดหน่อย


“ฉันจะทำให้นายสมความปรารถนา!”


ตอนที่อาสงเพิ่งยิงกระสุนปืนกลแหนบหนึ่งเสร็จและยังไม่ทันได้เปลี่ยนแม็กกาซีน จู่ๆ ฝนที่เทกระหน่ำลงมาปานฟ้ารั่วก็สาดมาบนใบหน้าของเขาเหมือนกระสุนปืนในทันทีทันใด


อาสงจึงหลับตาทั้งสองข้างเมื่อรู้ตัว เขารู้สึกถึงความเย็นสดชื่นตั้งแต่หน้าผากยาวไปถึงท้องน้อย ทำให้ร่างกายของเขารู้สึกเบาสบายไปทั้งตัว


เมื่ออาสงลืมตาขึ้นมาจึงพบว่า เนื้อตัวด้านหน้าของตัวเองมีสิ่งของสีเขียวสีแดงช้ำเลือดกองหนึ่ง หลังจากดูครึ่งค่อนวันอาสงเพิ่งรู้ว่า สิ่งของเหล่านี้คืออวัยวะภายในร่างกายทั้งหมดของเขา


เยี่ยเทียนใช้มีดกรีดตั้งแต่ช่องว่างระหว่างคิ้วยาวลงมาถึงท้องน้อย และโชคดีที่มีดใช้ดีอย่างไม่มีร่องรอย ถ้าหากเป็นง้าวจันทร์เสี้ยว เกรงว่าอาสงที่อยู่ตรงหน้าแม้แต่ศพทั้งหมดก็อย่าคิดที่จะเหลือไว้


“ออกมาเถอะ ฉันไม่มีปืนอยู่ในมือ พวกเรามาสู้กันแบบลูกผู้ชายดีกว่า!”


สำหรับการตายของสมาชิกที่อยู่ข้างกาย ทำให้เทียนหลงไม่สนใจอะไรอีกแล้ว หากชีวิตของตัวเองยังยอมสูญเสียได้ แล้วยังมีอะไรบนโลกใบนี้ที่จะยอมสละไม่ได้?


เทียนหลงยื่นมือไปฉีกผ้าชิ้นหนึ่งจากขากางเกง จากนั้นจึงมัดมีดมาดัสกัสไปบนมือขวาของตัวเองอย่างช้าๆ พลางมองไปทิศทางที่อาสงตายอย่างนิ่งเฉย


เยี่ยเทียนสามารถสัมผัสได้ว่าบนตัวของอีกฝ่ายไม่มีปืนจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ในใจของเขารู้สึกถึง อันตรายที่บอกไม่ถูกอยู่ตลอดเวลา และอันตรายนี้ไม่ได้มาจากอีกฝ่าย จึงทำให้เยี่ยเทียนคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก


“แกเป็นใคร ทำไมต้องตามไล่ฆ่าฉันด้วย?” ในที่สุดเยี่ยเทียนก็ออกมา เพราะอีกฝ่ายเหลือเพียงเทียนหลงเพียงคนเดียว และการลอบฆ่าในเวลานี้จึงไม่มีความหมายอีกต่อไป


“ฉันชื่อเทียนหลง ศิษย์พี่ของฉันคือชาญ ทองทวน!” ดวงตาที่ไร้ประกายคู่นั้นของเทียนหลงจ้องมองเยี่ยเทียนนิ่ง


ถ้าหากเทียนหลงไม่ได้ดูรูปภาพของเยี่ยเทียนนับครั้งไม่ถ้วน เขาคงไม่มีทางเชื่อว่าชายหนุ่มรูปงาม คนนี้จะสามารถสังหารกลุ่มทหารรับจ้างที่เขาสร้างขึ้นมายี่สิบกว่าปีจนหมดสิ้นได้ด้วยมือเปล่า


“หมอไสยศาสตร์คนไทย?!”


ดวงตาของเยี่ยเทียนปรากฏความเฉียบขาดขึ้นมาแวบหนึ่ง ถ้าหากเป็นศิษย์น้องของชาญ ทองทวน อย่างนั้นเรื่องนี้ก็มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลแล้ว เดิมทีเขากับหมอไสยศาสตร์คนไทยก็ต้องต่อสู้กันไม่มีวันจบสิ้นอยู่แล้ว


“ตอนนั้นมีหลี่ซั่นหยวนอาจารย์ของฉัน ที่ขับไล่นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ออกไปจากประเทศจีน ตอนนี้เยี่ยเทียนก็ได้ฆ่านายชาญ ทองทวนที่ฮ่องกงไปแล้ว วันนี้…ฉันก็ส่งแกไปเจอกับศิษย์พี่ของแกก็แล้วกัน!”


เสียงของเยี่ยเทียนไม่ดังมาก แต่กลับส่งไปถึงหูของเทียนหลงอย่างชัดเจนท่ามกลางฝนที่เทกระหน่ำไปทั่วฟ้า ทำให้สีหน้าของเทียนหลงเปลี่ยนไปเมื่อได้ยิน


“พูดมาก วันนี้คือเวลาแก้แค้นให้ศิษย์พี่ของฉัน!”


เทียนหลงแผดเสียงดังตัดบทพูดของเยี่ยเทียน จากนั้นจึงชูมีดในมือให้สูงขึ้น แล้วก้าวพุ่งไปข้างหน้า ผ่าลงไปที่เยี่ยเทียนโดยตรง


วิชามวยไทยไม่ให้ความสำคัญกับความสามารถในการใช้ดาบ และวิชาดาบของเทียนหลงนี้ เขาเรียนมาจากประเทศญี่ปุ่น ตอนนี้วิชาดาบของเขาอยู่ในระดับลี่เตาฝ่าอู่ต้วน เวลาที่แสดงวิชาออกมาจะมี พละกำลังมากเหมือนการพุ่งสุดตัวของช้าง


“เป็นดาบที่ดีมาก แต่วิธีการใช้ดาบนั้นธรรมดา!”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า เมื่อเผชิญหน้ากับดาบที่รุนแรงของเทียนหลง จากน้ันเขาจึงพลิกข้อมือแล้วยกมีดสั้นอู๋เหินขึ้นแนบอก พร้อมกับพูดคำรามในปากอย่างฉับพลัน “ฆ่า!”


ภูเขาฝอกวางซานไร้พลังชี่พิฆาต แต่มีดสั้นอู๋เหินคืออาวุธร้ายอย่างหนึ่ง และด้วยเสียงที่เฉียบขาดของเยี่ยเทียน พลังชี่พิฆาตที่อันตรายสุดยอดก็ได้ทะลุผ่านเข้าไปช่องว่างระหว่างคิ้วของเทียนหลงโดยตรง


เดิมทีเทียนหลงที่คิดจะต่อสู้กับเยี่ยเทียนก็คาดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะแสดงวิชาสู้กับตัวเอง หลังจากที่พลังชี่พิฆาตบุกเข้าไปในสมองแล้ว จึงทำให้เขางุ่มง่ามไปทั้งตัว


“ตาย!”


เยี่ยเทียนเอียงตัวเล็กน้อย จากนั้นร่างกายที่สูงใหญ่ของเทียนหลงก็พุ่งไปข้างหน้าของเขา ทว่าร่างกายผ่านไปข้างหน้าก็จริง แต่ศีรษะของเขากลับพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า


วินาทีที่ศีรษะออกจากร่างกาย เหมือนสติและความรู้สึกของเทียนหลงจะฟื้นขึ้น พร้อมกับใบหน้าที่เผยรอยยิ้ม แปลกประหลาดผิดปกติ


“ฮือไม่ใช่แล้ว!” ขณะที่เยี่ยเทียนฆ่าเทียนหลงในเวลาเดียวกันนั้น ในใจของเขาก็รู้สึกกลัวจนขนลุกเกลียว ขึ้นมาอย่างฉับพลัน


……….


ตอนที่ 358 ลมพัดเมฆเคลื่อน (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ความรู้สึกอันตรายที่รุนแรงเกิดขึ้นในใจของเยี่ยเทียน และความรู้สึกแบบนั้นก็เหมือนกับถูกงูพิษจ้องมองอยู่


ทว่าความจริงก็เป็นเช่นนั้น เมื่อสัญญาณเตือนเกิดขึ้นในหัวใจของเยี่ยเทียน จู่ๆ แขนข้างขวาของเขาที่ถือมีดสั้นอู๋เหินก็รู้สึกคันเล็กน้อย พอเหลือบตาขึ้นไปมอง ดวงตาของเยี่ยเทียนจึงแสดงความหวาดกลัวออกมา


งูเขียวตัวเล็กที่มีความยาวประมาณฝ่ามือและมีความหนาไม่เกินนิ้วโป้ง กำลังกัดแขนข้างขวาของเยี่ยเทียนอยู่ และสิ่งที่ทำให้เขาตื่นตระหนกตกใจก็คือ แขนข้างขวาของเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด


ดั่งคำสุภาษิตกล่าวไว้สุนัขที่กัดคนมักจะไม่เห่า งูพิษก็เช่นกัน และงูที่ยิ่งมีพิษร้ายแรง เวลาที่กัดคนก็ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด ในประเทศที่มีงูเยอะหน่อย มักจะมีคนมากมายที่ถูกงูพิษคร่าชีวิตไปขณะนอนหลับสนิท


“บ้าชะมัด!”


มือซ้ายของเยี่ยเทียนยื่นออกไปปานสายฟ้าแลบ แล้วจับงูเขียวตัวเล็กนั้นไว้แน่น พร้อมกับระเบิดพลังให้ปะทุออกมาแล้วบดขยี้งูตัวนั้นให้กลายเป็นเนื้อละเอียดทันที


ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกเหน็บชาที่แขนขวาของเยี่ยเทียนก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และเขาก็สามารถมองเห็นเส้นสีดำที่กำลังขยายจากแขนส่วนบนขึ้นไปข้างบนด้วยตาเปล่า ถ้าหากไม่ใช่เพราะร่างกายของเยี่ยเทียนที่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป เกรงว่าอีกสักพักพิษงูนี้คงจะขยายไปทั่วทั้งตัวนานแล้ว


แต่ความรุนแรงของพิษงูนี้มีมากเกินกว่าที่เยี่ยเทียนคิดเอาไว้ เวลานี้แม้แต่มีดสั้นอู๋เหินที่อยู่ในมือของเขาก็จับไม่อยู่แล้ว อาการวิงเวียนศีรษะที่พุ่งเข้าไปในสมอง ทำให้ร่างกายของเยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ทามกลางสายฝนโอนเอนจะล้มมิล้มแหล่


“ห้ามล้ม ห้ามล้มเด็ดขาด…” เยี่ยเทียนรู้ว่า ถ้าหากเขาล้มลงไป ชีวิตน้อยๆ ของเขาก็อาจจะสูญสิ้นอยู่ที่นี่จริงๆ


เขาสูดหายใจเข้าอย่างรุนแรง และน้ำฝนที่เย็นเยือกก็ไหลไปตามอากาศเข้าไปในช่องปากของเขา เดิมทีสมองของเยี่ยเทียนที่มีความเลือนรางอยู่ได้เปลี่ยนเป็นความสดใสและชัดเจนขึ้นมาอยู่บ้าง จากนั้นเขาจึงใช้มือซ้ายสกัดเส้นลมปราณสองสามจุดของไหล่ขวาติดต่อกัน ทำให้พิษงูไม่เคลื่อนไปจุดอื่นเร็วเกินไป


หลังจากหยุดการโคจรของเส้นเลือดแล้ว เยี่ยเทียนจึงใช้มือซ้ายจับมีดสั้นอู๋เหิน แล้วสลักรูปไม้กางเขนตรงจุดที่บวมแดงของแขนขวาอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงใช้ปากแตะเข้าไปแล้วใช้แรงดูดขึ้นมา


“พรุ!!”


พอปล่อยเลือดสีดำออกมาจากปาก เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าลิ้นเริ่มชาขึ้นมาแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงลักษณะพิษที่รุนแรงของงูตัวนี้ หลังจากดูดเลือดดำติดต่อกันสามครั้ง เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลของตัวไม้กางเขนจึงค่อยๆ กลายเป็นสีแดง


“ไม่ได้ ต้องรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด!”


เยี่ยเทียนรู้ดีว่า เขาไม่ได้กำจัดพิษงูออกมาทั้งหมด ถ้าหากโอ้เอ้อยู่นาน เกรงว่าพิษงูที่ล้นเข้าไปภายในร่างกายของเขาจะทำให้เขาอันตรายถึงชีวิต


เยี่ยเทียนฉีกเศษผ้าหนึ่งชิ้นออกมาจากเสื้อผ้าที่ขาดรุ่ย จากนั้นจึงนำไปมัดที่แขนขวาให้แน่นแล้วจึงมองไปรอบๆ นอกจากจะมองเห็นไฟที่ยังเปิดอยู่ในวัดบนภูเขาที่อยู่ไม่ไกลแล้ว ที่อื่นล้วนปกคลุมไปด้วยฝนที่ตกหนักท่ามกลางเงามืด


ตอนนี้ถ้าอยากจะกลับเข้าไปในเมืองคงจะไร้สาระเหมือนกับการเพ้อฝันของคนปัญญาอ่อนอย่างไม่ต้องสงสัย และระยะห่างมากกว่าสิบกิโลเมตรหากรอให้เยี่ยเทียนรีบไปให้ถึง เกรงว่าพิษคงจะกำเริบจนทำให้เสียชีวิต


และภายใต้ความจนใจ เยี่ยเทียนจึงได้แต่เดินขึ้นบันไดไปบนภูเขาลูกหนึ่ง การเคลื่อนไหวของเขาช้ามาก เพราะกลัวว่าจะเพิ่มความเร็วในการโคจรของเลือดในร่างกาย


ภูเขาฝ่อกงซานแบ่งเป็นทั้งหมดห้ายอดเขาด้วยกัน นอกจากภูเขาลูกนั้นที่เยี่ยเทียนขึ้นไปตอนแรกที่ยังคงรักษาระบบนิเวศธรรมชาติเอาไว้อยู่ ภูเขาที่เหลืออีกสี่ลูกส่วนใหญ่จะเป็นอารามและวิหารที่ทอดยาวเหยียด มีวิหารที่ใหญ่โต และยังคงสภาพความเป็นอยู่ของสำนักสงฆ์


“ซันซิงก่วน? เฮ้ย ไม่ได้เข้าใจผิดใช่ไหม?”


หลังจากสิบนาทีผ่านไป เยี่ยเทียนก็เดินมาถึงครึ่งทางของภูเขาแห่งนี้ จากนั้นเขาจึงขยี้ตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาคือวิหารของลัทธิเต๋าแห่งหนึ่ง


“บ้าเอ้ย พิษ…พิษของมันกำเริบใช่ไหม?”


เยี่ยเทียนรู้เพียงว่าภูเขาฝ่อกงซานแห่งนี้เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะมีวิหารของลัทธิเต๋าอยู่ที่นี่ด้วย? หรือว่าพระสงฆ์เหล่านั้นจะถือเอาเมตตาธรรมเป็นหลัก แม้แต่นักบวชในศาสนาเต๋ามาแย่งธุรกิจก็ยังยอมได้?


อารมณ์ของเยี่ยเทียนเปลี่ยนแปลงไป เดิมทีพิษร้ายที่ควบคุมด้วยชี่แท้นั้นได้กำเริบขึ้นมาอย่างฉับพลัน แล้วจึงรู้สึกมึนศีรษะอย่างเดียว จากนั้นศีรษะของเยี่ยเทียนก็ล้มลงที่หน้าประตูของวิหารของลัทธิเต๋า


                                               …


การลอบฆ่าจากหมู่บ้านชาวประมงจนมาถึงป่าเขานั้น จากการบรรยายในระหว่างนี้ดูเหมือนจะช้ามาก แต่ความจริงแล้วทั้งหมดเพิ่งจะผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่าเท่านั้น


และยังไม่ต้องพูดถึงเยี่ยเทียนที่สลบอยู่หน้าประตูวิหารลัทธิเต๋า ตอนนี้โลกภายนอกก็เกิดความโกลาหลกับการหายตัวไปของเยี่ยเทียนเช่นกัน ถังเหวินหย่วนกับกงเสียวเสี่ยวแล้วก็ยังมีจั่วเจียจวิ้นทั้งสามคน เกือบจะใช้ความสัมพันธ์ของตัวเองทั้งหมด และนำเรื่องนี้ส่งไปยังผู้บริหารระดับสูงสุดของไต้หวัน


หลังจากจั่วเจียจวิ้นได้รับข้อมูลแล้ว เขาจึงกระวนกระวายใจมาก จากนั้นจึงสั่งให้ถังเหวินหย่วนช่วยจัดเครื่องบินส่วนตัวให้เขาทันที แล้วรีบนั่งเครื่องบินมาที่ไต้หวันโดยเร็วที่สุด


นอกจากนี้แก๊ง์ท้องถิ่นอย่างแก๊งค์ไต้หวันจู๋เหลียนและแก๊งค์ซื่อไห่ก็ยังได้รับคำสั่งจากพวกพี่ใหญ่ แล้วจึงทยอยกันออกตามหาเด็กหนุ่มเยี่ยเทียน และภายในระยะอันรวดเร็ว ทั้งเมืองไต้หวันและเมืองเกาสงก็เกิดลมพัดเมฆเคลื่อนกันยกใหญ่


อธิบดีโจวของสถานีตำรวจเมืองเกาสง กำลังนั่งปาดเหงื่ออยู่ในออฟฟิศ เขาเพิ่งจะรับสายของพี่ใหญ่สองสามคนติดต่อกัน และส่วนใหญ่สั่งให้เขาปกป้องความปลอดภัยของคนที่ชื่อเยี่ยเทียนให้ได้


“นำกำลังคนทั้งหมดย้ายไปที่ภูเขาฝ่อกงซาน แล้วล้อมที่นั่นไว้ทั้งหมด แม้แต่หนูสักตัวก็ห้ามให้หนีไปได้”


หลังจากสั่งการกับผู้ใต้บังคับบัญชาเรียบร้อยแล้ว ท่านอธิบดีจึงยกโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้ง เพื่อติดต่อกับกองทหารรักษาการณ์ท้องถิ่น หากอาศัยตำรวจที่ปกติรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมเพียงอย่างเดียว คงไม่มีทางทำภารกิจล้อมภูเขาฝ่อกงซานได้สำเร็จโดยสิ้นเชิง


หนำซ้ำภูเขาฝ่อกงซานที่มีตำแหน่งพิเศษจำเพาะ ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น เขาคงต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาเพียงคนเดียว เมื่อนึกถึงคำสั่งของพี่ใหญ่แล้ว ไม่แน่อาจจะต้องดึงกองกำลังทหารเข้ามารับผิดชอบด้วย


หลังจากโทรออกไปแล้วอธิบดีโจวจึงรู้ว่า มีคนออกคำสั่งไปทางกองทัพบกเรียบร้อยแล้ว และเวลานี้กองกำลังทหารกลุ่มหนึ่งก็เข้าไปยังภูเขาฝ่อกงซานแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะฝนที่ตกหนักเกินไป คาดว่าคงจะมีคำสั่งให้นำเฮลิคอปเตอร์ออกไปด้วย


หลังจากได้รับข้อมูลแล้ว อธิบดีโจวจึงโล่งอก พลางคิดว่าในที่สุดเขาก็ไม่ต้องเป็นแพะรับบาปคนเดียว จากนั้นเขาจึงหยิบหมวกแล้วพาลูกน้องสองสามคนขึ้นไปบนรถ และท่านอธิบดีก็รีบฝ่าฝนมุ่งไปยังภูเขาฝ่อกงซานทันที


ในคืนฝนตกตามปกติธรรมดา กลับทำให้เมืองเกาสงทั้งเมืองต้องสั่นสะเทือนขึ้นมา และท่ามกลางฝนที่ตกหนัก จึงทำให้รถของทหารและรถของตำรวจต่างวิ่งกันให้ควักไปทุกที่ ทำให้ชาวบ้านมากมายต่างตกใจจนทำอะไรไม่ถูก และพวกเขายังคิดว่าสงครามกำลังจะใกล้เข้ามา


ไม่เพียงเท่านี้ เหล่านักเรียนระดับมัธยมต้นและมัธยมปลายที่กำลังหลบฟ้าฝนและลมที่โหมกระหน่ำอยู่ในบ้านอีกหลายคน ก็ออกจากบ้านโดยฝ่าลมฝนที่ตกหนักและจุดมุ่งหมายก็คือภูเขาฝ่อกงซาน โดยคนที่นำหน้าก็คือนักเลงที่ย้อมผมสีเหลืองและใส่ตุ้มหูนั่นเอง


คนพวกนี้คือแก๊งนักเลงของไต้หวัน เนื่องจากในปีหนึ่งพันเก้าร้อยเก้าสิบเจ็ดผู้บริการระดับสูงของไต้หวันได้ทำการโจมตีแก๊งค์มาเฟียอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง เดิมทีคนที่เป็นพี่ใหญ่ของแก๊งมาเฟีย ต่างก็หลบหนีช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานไปอยู่ต่างประเทศกันเป็นส่วนใหญ่


เมื่อเป็นเช่นนี้ เด็กหนุ่มพวกนี้จึงถือโอกาสขึ้นตำแหน่งและรวบรวมลูกน้องภายในโรงเรียนอย่างกำเริบเสิบสาน ถึงแม้ความน่าเกรงขามจะเทียบกับพี่ใหญ่แก๊งมาเฟียแต่ก่อนไม่ได้ แต่หากด้านกำลังและความสามารถกับเมื่อก่อนก็ถือว่าไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน


“เอ๊ะ ให้พวกเราผ่านไปหน่อย”


“พวกเราชอบขึ้นไปเที่ยวบนภูเขาตอนกลางคืน พวกคุณจะควบคุมอะไรได้?”


“เป็นทหารแล้วใหญ่นักเหรอ ผมเองก็เคยรับราชการทหารมาก่อน!”


“ถ้าไม่หลีกทางให้อีกพวกเราจะบุกเข้าไปแล้วนะ พวกนายจะหลีกหรือไม่หลีก?!”


ตอนที่รอให้อธิบดีโจวมาถึงตีนเขาของภูเขาฝ่อกงซาน ตรงนั้นกลับกลายเป็นความวุ่นวายไปแล้ว กองกำลังทหารที่รุดหน้ามาถึงก่อนได้ทำการปิดเส้นทางทั้งหมดในการเข้าไปยังภูเขาฝ่อกงซาน ทำให้ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่กับกลุ่มนักเลงต้องเผชิญหน้ากัน


เวลานี้ฝนกระหน่ำที่ตกมาทั้งวันค่อยๆ หยุดลง แสงไฟฉายแรงสูงหลายดวงส่องสว่างจ้าอยู่ที่ตีนเขา รถทหารจำนวนสิบกว่าคันกับรถเก๋งส่วนตัวกำลังปิดทางของภูเขาอย่างแน่นหนา


เหล่านักเรียนอายุประมาณสิบกว่าปีก็ไม่ได้เห็นปืนและหัวกระสุนของทหารอยู่ในสายตาเลย ทว่ามัวแต่ถกเถียงและผลักกันเพื่อจะบุกขึ้นไปบนภูเขา ทำให้สถานการณ์วุ่นวายมาก


“เร็วเข้า รีบไปช่วยกองกำลังทหารแยกพวกเขาออกไป!” อธิบดีโจวเพิ่งจะออกคำสั่ง ทว่าเมื่อมองเห็นคนรู้จัก เขาจึงตะโกนทันที “อาเหลียง เกิดอะไรขึ้น? มานี่!”


“อธิบดีโจวครับ ท่านมาได้ยังไงครับ?”


หลังจากชายวัยกลางคนอายุประมาณสามสิบเจ็ดถึงสามสิบแปดปีคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในกลุ่มนั้นได้ยินเสียงของอธิบดีโจว จึงตกตะลึงเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงเดินยิ้มเข้าไป แต่สีหน้าของเขากลับไม่ได้แสดงถึงความหวาดกลัว


“อย่าพูดมาก ที่นี่เกิดอะไรขึ้น?” สีหน้าของอธิบดีโจวดูไม่ได้เป็นอย่างมาก “ผมจะบอกคุณให้ นี่คือคำสั่งจากเบื้องบน พวกคุณอย่ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่จะดีกว่า!”


อาเหลียงคนที่อธิบดีโจวพูดถึง เดิมทีเขาเคยเป็นลูกน้องที่ติดตามเฉินเซี่ยวหลี่หัวหน้าแก๊งค์จู๋เหลียน เมื่อปีที่แล้วเฉินเซี่ยวหลี่ถูกอธิบดีของสถานีตำรวจในตอนนั้นออกหมายจับแล้วจึงหลบหนีไปอยู่ที่ประเทศเขมร จากนั้นอาเหลียงจึงได้ขึ้นแท่นเป็นหัวหน้าแก๊งค์จู๋เหลียนคนใหม่แทน


ถึงแม้สังคมมาเฟียในไต้หวันจะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่ใครๆ ต่างก็รู้ว่าพวกเขามีตัวตน และทางตำรวจก็ไม่สามารถทำอะไรคนพวกนี้ได้ กระทั่งในบางสถานการณ์ต่างคนต่างก็รักษาสัญญาอันเป็นที่เข้าใจกันทั่งสองฝ่ายอีกด้วย


แต่เวลานี้อธิบดีโจวดูร้อนใจมาก ถ้าหากอาเหลียงไม่ยอมถอย เขาจะไม่ถือสาที่จะกวาดล้างแก๊งค์มาเฟียในเมืองเกาสงสักครั้งอย่างแน่นอน


“อธิบดีโจวครับ ผมก็ไม่อยากเหมือนกัน…”


อาเหลียงทำน้ำเสียงขมขื่น แล้วจึงยื่นมือออกไปสัมผัสถึงสายฝนที่อยู่นอกร่ม จากนั้นจึงหยิบซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วยื่นให้อธิบดีโจวหนึ่งมวนพลางพูด “พี่หลี่โทรมาจากเขมร สั่งให้พวกเราต้องปกป้องคนที่ชื่อเยี่ยเทียนให้ได้ คุณคิดว่า…ผมจะกล้าขัดคำสั่งของพี่หลี่ไหมครับ?”


ใครๆ ก็รู้เรื่องที่เฉินเซี่ยวหลี่หนีไปเขมร และอาเหลียงก็ไม่กลัวที่จะพูดต่อหน้าอธิบดีโจว และการที่เขาสามารถขึ้นตำแหน่งได้ก็เพราะการจัดการของเฉินเซี่ยวหลี่ทั้งหมด เพราะฉะนั้นเขาไม่กล้าที่จะไม่ฟังคำพูดของอดีตหัวหน้า


“พวกคุณมาปกป้องเยี่ยเทียน?”


หลังจากได้ยินคำพูดของอาเหลียงแล้ว สีหน้าที่แปลกประหลาดก็เผยออกมาบนใบหน้าของอธิบดีโจว พลางคิดว่าแต่ก่อนคนพวกนี้รู้จักแต่การรีดไถ แบล็คเมล์แล้วก็ฆ่าคนเป็นประจำ แล้วพวกเขามาเปลี่ยนนิสัยกันตั้งแต่เมื่อไร?


ความวุ่นวายที่อยู่เบื้องหน้าเป็นเรื่องที่พูดยากจริงๆ จากนั้นอธิบดีโจวจึงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยปาก “เป้าหมายของพวกเราเหมือนกัน คุณไปควบคุมลูกน้องคุณให้ดีก่อน แล้วอีกสักพัก คุณก็เข้าไปกับผม!”


“ครับ!”


อาเหลียงเพิ่งจะขึ้นตำแหน่ง ดังนั้นจึงไม่อยากผิดใจกับตำรวจระดับสูง จึงรีบรับปากทันที จากนั้นจึงหมุนตัวไปอบรมลูกน้องเหล่านั้นแล้วสถานการณ์จึงกลายเป็นความมีระเบียบขึ้นมาทันที


“หัวหน้าสวี๋ ครั้งนี้คุณเป็นคนนำทีมเหรอครับ?”


หลังจากแสดงบัตรประจำตัวของตัวเองแล้ว อธิบดีโจวจึงพาอาเหลียงมาถึงด่านที่คุมโดยทหาร แล้วจึงทักทายนายทหารระดับผู้พันด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคย


“เอ๊ะ พวก…พวกเขาเป็นอะไรครับ?”


หลังจากเดินเข้าไปใกล้ จึงพบว่าอธิบดีโจวและคนอื่นๆ รวมทั้งผู้พันคนนั้นกับทหารอีกเจ็ดแปดนายมีสีหน้าที่ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก เพราะบนพื้นยังมีของสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนหลงเหลืออยู่


เวลานี้ฝนที่ตกหนักได้หยุดลงแล้ว ทำให้กองที่น่าสะอิดสะเอียนเหล่านี้ส่งกลิ่นฉุนจนแสบจมูก กระทั่งอธิบดีโจวต้องหยิบกระดาษทิชชูออกมาอุดจมูกด้วยความทนไม่ไหว


………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)