ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 353-356
ตอนที่ 353 ทุกเรื่องให้คำนึงถึงน้องสา...
“นับตั้งแต่ที่ท่านจากไป ข้าก็คอยดูแลเอาใจใส่ต้นไห่ถางเหล่านี้ประดุจเป็นชีวิตตนเอง ตอนที่ดอกไม้ผลิบานนั้น เป็นสีแดงราวแสงไฟจับอยู่ทั่วไปหมด น่าชมอย่างยิ่งจริงๆ” เจียงเหม่ยหยู่พูดพลางก็วางสองมือลงบนบ่าของเขา
ตู๋กูถิงหันมาเหลือบมองดูนางแวบหนึ่ง ก็ได้ยินเจียงเหม่ยหยู่กล่าวต่อไปว่า “ข้าน่ะคิดถึงท่านเหลือเกิน คิดถึงท่านเสียจนใกล้จะคลุ้มคลั่งแล้ว”
วันนี้นางแต่งหน้าแต่งตามาเป็นพิเศษ สวมชุดลายดอกไม้ผลิบาน ตู๋กูถิงเห็นแล้วกลับสงสัยว่าบนใบหน้าของนางใช่โปะแป้งลงไปถึงหนึ่งชั่งใช่หรือไม่
“นายท่าน สองปีที่ท่านไม่อยู่นี้ ข้าเป็นทุกข์จนพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเสียจริงๆ” เห็นเขามิได้มีท่าทีปฏิเสธ เจียงเหม่ยหยู่ก็ยิ่งเคลื่อนไหวต่อไป นางเกาะยึดหัวไหล่ของตู๋กูถิงเอาไว้ แทบจะโผศีรษะลงไปซบ
ยังไม่ทันได้ซบลงไป ก็เห็นตู๋กูถิงยื่นมือขึ้นมาปัดผ่านใบหน้าของนางเบาๆ ก็ปาดเอาแป้งหนาๆ บนใบหน้าของเจียงเหม่ยหยู่ออกมา” เจ้าเล่นไร้สาระอะไร แป้งน่ะมีไว้สำหรับทำอาหาร อย่าได้สิ้นเปลืองเอามาพอกบนใบหน้าสิ สตรีสูงวัยก็สมควรจะมีลักษณะของสตรีสูงวัย”
เจียงเหม่ยหยู่ “…….”
นางอุตส่าห์ประทินโฉมเป็นพิเศษมาตั้งแต่เช้า กลับถูกเขาปาดทิ้งออกมาเช่นนี้!
แถมยังออกปากเรียกนางเป็นสตรีสูงวัยอยู่ทุกคำ?
เจียงเหม่ยหยู่รู้สึกว่าตนเองกำลังจะเป็นบ้าไปแล้ว
หากจะบอกว่าเขาเป็นคนไม่มีอารมณ์อ่อนหวาน ตอนที่เจียงเย่วยังมีชีวิตอยู่ มิว่าจะเป็นเครื่องประทินโฉม หรือเครื่องบำรุงผิวใดๆ เขากลับซื้อเข้าบ้านมาเป็นกุรุส ยิ่งพวกชาดแต้มตาทาปากก็ยิ่งซื้อมาถมเอาไว้ในบ้านเป็น**บๆ
แม้ว่าสิ่งของเหล่านั้นเจียงเย่วแทบจะไม่สนใจเสียเลยด้วยซ้ำ
ยามที่เจียงเย่วไม่แต่งหน้าทาปาก เขาก็ชมว่าเจียงเย่วเหมือนดั่งเทพธิดาดอกบัว บริสุทธิ์สะอาดเหนือโคลนตม ยามที่เจียงเย่วแต่งหน้าประทินโฉม เขาก็ชมว่านางงดงามเหมือนดั่งเทพธิดาดอกมู่ตาน
แต่ทำไมพอมาถึงนาง กลับกลายเป็นหญิงชราโปะหน้าด้วยแป้งทำกับข้าวไปได้?
“นายท่าน ท่านกล่าวเช่นนี้ทำให้ข้าเสียใจแล้วนะรู้ไหม” เจียงเหม่ยหยู่ยังไม่ยอมถอดใจ “ข้าทำไปก็มิใช่เพราะเห็นแก่หน้าตาของท่านหรอกหรือ ถึงได้พยายามแต่งเนื้อแต่งตัวให้ดี”
“หน้าตาของอ๋องเช่นข้ายังต้องให้เจ้ามาคอยค้ำไว้หรือยังไง?” ตู๋กูถิงไม่อยากจะสนทนากับนางเท่าไรนัก
เขาถอยมาก้าวหนึ่งก็เดินเข้าไปในห้องโถง
หลานชายทั้งสองเข้าวังไปรับตัวหลานสาวสุดที่รักของเขาแล้ว เขาเองก็รออยู่นานแล้ว น่าจะใกล้มาถึงแล้วกระมัง
นับตั้งแต่ที่เขากลับมาเมืองหลวง ก็ยังไม่ได้พบกับหลานสาวสุดที่รักของตนเองเลย
จนถึงกับต้องทูลถวายฏีกา ขอให้ฝ่าบาททรงประทานอนุญาตให้หลานสาวสุดที่รักได้กลับมาร่วมรับประทานอาหารของครอบครัวด้วยกัน
นับตั้งแต่ที่เจียงเย่วสิ้นไป เขาก็ได้สาบานเอาไว้ว่าชีวิตนี้จะไม่ก้าวเท้าเข้าวังอีกแม้แต่ก้าวเดียว
หลายปีมานี้ก็เอาแต่นำทัพออกรบมาโดยตลอด ถึงแม้ว่านานๆ ครั้งจะกลับมาเมืองหลวง แต่ก็ไม่เคยเข้าไปในวังสักครั้ง
ไม่ร่วมประชุมขุนนาง ไม่ไถ่ถามเรื่องของราชสำนัก ไม่เข้าเฝ้าฮ่องเต้
ช่วงแรกๆ ยังมีผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เขากันยกใหญ่ แต่ว่าพอเนิ่นนานไป ผู้คนต่างก็พากันคุ้นเคยเสียแล้ว
แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ยังลืมพระเนตรข้างหนึ่งหลับพระเนตรข้างหนึ่ง ขอเพียงแต่ว่าเขายังทำงานให้แคว้นต้าโจว พระองค์ก็ยังยอมปล่อยเขาเอาไว้
เจียงเหม่ยหยู่แทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว นางยกกระโปรงหนาๆ ขึ้นมา รีบก้าวเท้าติดตามไป
“นายท่าน ถึงอย่างไรข้าก็เป็นภรรยาน้อยของท่าน นับตั้งแต่ที่พี่สาวจากไป จวนตู๋กูนี้ก็เหลือแต่ข้าเป็นสตรีอยู่เพียงผู้เดียวแล้ว”
“หากพี่สาวทราบว่านายท่านละเลยข้าเช่นนี้ มิรู้ว่ายามอยู่ในปรภพจะรู้สึกเสียใจเพียงไร”
เจียงเหม่ยหยู่ทางหนึ่งใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา ทางหนึ่งก็เหลือบมองดูตู๋กูถิง
พอนางพูดจบ ก็เห็นตู๋กูถิงหยุดเท้าลง เขาหันหน้ากลับมา คว้าข้อมือของนางเอาไว้ในทันที “เจ้ารู้หรือไม่ ที่เจ้าสามารถมีชีวิตสุขสบายปลอดภัยมาได้จนถึงทุกวันนี้ ล้วนเป็นเพราะฮูหยินทั้งนั้น?”
เจียงเหม่ยหยู่ตกตะลึงไปแล้ว ตอนนี้นางอยู่อย่างสุขสบายหรือ?
นางถูกรังแกจนถึงขนาดนี้แล้วต่างหาก? นายท่านตาบอดไปแล้วหรือไม่?
ยิ่งไปกว่านั้น ยังต้องอยู่อย่างน่าอดสู ทั้งหมดนี้นางต้องต่อสู้แย่งชิงมาทั้งนั้น เจียงเย่วเคยทำอะไรที่ไหนให้กับนางกัน?
“ตอนนั้นหากมิใช่เพราะว่านางพยายามปกป้องเจ้าอย่างสุดชีวิต เจ้าก็คงตายไปในการสังหารหมู่ในแคว้นกู่เย่วไปแล้ว”
ตู๋กูถิงเค้นเสียงเบาอยู่ในลำคอ เขาแทบจะบีบของมือของเจียงเหม่ยหยู่หักไปอยู่แล้ว
เขากล่าวเพียงประโยคเดียว ก็ทำให้เจียงเหม่ยหยู่ตัวแข็งค้างไปในทันที พอคิดย้อนกลับไปถึงยามที่เลือดไหลนองดั่งท้องธารขึ้นมา นางก็ยังต้องขวัญผวาอยู่จนถึงตอนนี้
ใช่ นางยอมรับว่าตอนนั้นเจียวเย่วช่วยนางเอาไว้….
แต่ว่าดูเจียงเย่วสิ นางสกปรกโสโครกถึงเพียงไหน? ก็แค่เกิดมามีใบหน้าสะสวยเท่านั้นมิใช่หรือ ทำไมเหล่าบุรุษทั้งหลายต่างต้องพากันไปชอบพอนางด้วย?
นางมันก็เหมือนกับน้ำครำสกปรก ที่ใครไปสัมผัสโดนเข้าก็ล้วนไม่มีจุดจบที่ทั้งนั้น!
ฟ่านอิง ปฐมฮ่องเต้ แล้วก็ยังมีเหลียงจวิ้นอ๋อง ดูบุรุษเหล่านี้สิ มีใครที่มีจุดจบที่ดีบ้าง?
หึ ก็เหลือแต่ตู๋กูถิงเท่านั้น
แต่ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนว่าเขามีชีวิตอยู่อย่างมีเกียรติ แต่ความจริงแล้วล่ะ? นอกจากทำสงครามก็คือทำสงคราม ราวกับเป็นศพเดินได้ที่ไร้ชีวิตจิตใจ เคยมีชีวิตอย่างมีความสุขที่ไหนกัน?
“จงจดจำความดีของฮูหยินที่ทำเพื่อเจ้าเอาไว้ให้ดี อยู่ในจวนก็อย่าได้คิดหาเรื่องทำร้ายตนเอง ข้าสามารถจะให้เจ้าอยู่อย่างไม่ลำบากไปตลอดชีวิต” ตู๋กูถิงสะบัดนางออกไป ทั้งยังปัดเศษแป้งที่อยู่บนหัวไหล่
ท่าทางที่รังเกียจเช่นนั้น ทำร้ายจิตใจของเจียงเหม่ยหยู่อย่างรุนแรง
นางเองก็เคยผ่านวัยเยาว์มาก่อน เคยเป็นสาวน้อยที่หวั่นไหวใจด้วยความหลงใหล
ตอนนั้นยามอยู่ในเมืองกู่เย่ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นตู๋กูถิง นางก็ถูกแม้ทัพหนุ่มน้อยผู้นี้ดึงดูดจิตใจไปแล้ว
เขาขี่ม้าตัวสูงใหญ่ รวบผมทรงหางม้าสูง สวมชุดเกราะสีเงินยวง ไพล่หอกเอาไว้ด้านหลัง สง่างามเหมือนดั่งเทพบุตรที่เดินออกมาจากในหนังสือ
ในตอนนั้น นางไม่สนใจความขัดแย้งของทั้งสองแคว้น เพียงแต่ต้องการได้อยู่ร่วมกับเขาเท่านั้น
ตลอดหลายปีมานี้ ไม่เคยมีเวลาไหนหรือเมื่อไรที่นางจะไม่ปรารถนาจะได้หัวใจของเขามา
แต่ว่าถึงแม้เจียงเย่วนางคนสวะนั่นจะตายไปหลายปีแล้วก็ตาม หัวใจของตู๋กูถิงก็ยังคงอยู่กับนาง
เจียงเย่วถือว่ามีดีอะไร?
เรื่องที่ถูกจีจ้านกระทำชำเราต่อหน้าผู้คนมากมาย ใครๆ ต่างก็ได้รู้ได้เห็น นางยังจะมีหน้ามาแต่งเป็นภรรยาหลวงของตู๋กูถิงอีก
ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าตนชอบตู๋กูถิง แต่นางกลับทิ้งจีจ้าน มาแก่งแย่งตู๋กูถิงกับตน?
มีพี่สาวเช่นนี้ตนยังจะต้องขอบคุณนางอยู่อีกหรือ?
หัวใจของเจียงเหม่ยหยู่ยิ่งเกิดความชิงชังรังเกียจมากกว่าเดิม
นางยืนอยู่ข้างกายตู๋กูถิง ก้มศีรษะลงไป สายตามีแต่ประกายเคียดแค้น
ในตอนนั้นเอง ภายในสวนก็เกิดเสียงเอะอะขึ้นมา เป็นตู๋กูสองพี่น้องกลับเข้ามาแล้ว
คนหนึ่งสวมเกราะสีเงิน คนหนึ่งสวมชุดสีขาว คนหนึ่งองอาจ คนหนึ่งหล่อเหลา ต่างก็เป็นลักษณะของคุณชายอันดับหนึ่ง
ตู๋กูถิงเดินออกไปอย่างเร่งร้อนอยู่บ้าง เขามองผ่านพวกเขาไปทางด้านหลัง “น้องสาวของพวกเจ้าล่ะ? ทำไมไม่รับกลับมา? พวกเจ้าทั้งสองที่เป็นบุรุษตัวโตมีประโยชน์อะไร?”
ว่าแล้ว ก็ไม่รอให้ทั้งสองได้เอ่ยปาก ก็ระเบิดอารมณ์ใส่หัวของพวกเขาแต่ละคน
ตู๋กูจุนและตู๋กูเจวี๋ยกระทั่งลมก็ยังไม่กล้าผาย ได้แต่ยอมให้เขาทุบตี
“บอกกี่ครั้งกี่หนแล้ว ทุกเรื่องให้เห็นแก่น้องสาวเป็นสำคัญ น้องสาวยังไม่กลับมา พวกเจ้าสองคนกลับมาทำอะไร?”
ตู๋กูถิงระเบิดอารมณ์ไม่พอ ยังหันไปคว้าเอาไม้กวาดที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา ฟาดตีลงไปบนร่างของทั้งสองรอยหนึ่ง
ตู๋กูเจวี๋ยเจ็บจนร้องโอดโอย รีบหลบไปอยู้ข้างหลังของตู๋กูจุน
ตู๋กูจุนก็ยืดร่างเอาไว้ รับการทุบตีอย่างตรงๆ
เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต เขาเองก็ชินเสียแล้ว
“ท่านปู่ ฮ่องเต้ผู้นั้นกักตัวคนเอาไว้ไม่ยอมปล่อย พวกเราจะไปทำอะไรได้ ตัดศีรษะเขาได้หรือไม่เล่า…โอ้ยๆๆ …..” ตู๋กูเจวี๋ยกระโดดออกไปสามครั้งติดๆ กัน หลบหนีไม้กวาดของท่านปู่ด้วยความรวดเร็วประหนึ่งงูเลื้อย
อย่าได้เห็นว่าเป็นแค่เพียงไม้กวาด ฟาดโดนคนขึ้นมาก็เจ็บเอาเรื่อง
เขาไม่ได้ถูกตีมาสองปีแล้ว อยู่ๆ ก็กระหน่ำลงมาเช่นนี้รับไม่ไหวจริงๆ
——
ไรท์: ในที่สุดท่านปู่ก็เผยโฉมแล้ว ท่านปู่ที่หล่อแบบรุ่นใหญ่แถมใส่ชุดเขียวทำให้ไรท์คิดถึงอึ้งเอี๊ยซือในดาบมังกรหยกเลย
ว่าด้วยเรื่อง อ๋อง: อ๋องเป็นตำแหน่งบรรดาศักดิ์ที่ฮ่องเต้พระราชทานให้มีหลายแบบนะจ๊ะ แต่จะขอกล่าวถึงกว้างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องของเราเท่านั้น
ชินอ๋อง (亲王) : พระญาติสนิท เช่น พี่น้องร่วมบิดามารดา ส่วนใหญ่จะได้ตำแหน่งนี้ตอนที่ ไท่จื่อขึ้นเป็นฮ่องเต้ แล้วแต่งตั้งพี่น้องร่วมพระมารดาที่มีช่วยเหลือกันเป็นชินอ๋อง
จวิ้นอ๋อง (郡王) : อ๋องที่ปกครองแว่นแคว้น มณทลต่างๆ อาจเป็นญาติห่างๆ หรือขุนนางระดับสูงที่ถูกมอบหมายไปดูแลท้องที่ห่างไกล
ทั้งนี้บรรดาศักดิ์และทรัพย์สินของอ๋องสามารถส่งต่อให้กับทายาทของตระกูลได้เป็นการรักษาฐานะและอำนาจไว้กับตระกูลใหญ่เพียงไม่กี่ตระกูล
ตู๋กูถิงเรียกตนเองเป็นอ๋อง เพราะเขาเองก็เหมือนกับเหลียงป๋อ (เหลียงจวิ้นอ๋อง) ที่ได้รับการแต่งตั้งจากคุณงามความดีที่รับใช้แผ่นดิน
ตอนต่อไป “ยังคงเป็นพี่ใหญ่ที่เอ็นดูข้า!”
ตอนที่ 354 ยังคงเป็นพี่ใหญ่ที่เอ็นดูข้า
“อ๋อเดี๋ยวนี้รู้จักเถียงแล้วใช่หรือไม่?” ตู๋กูถิงฟาดไม้กวาดออกไปใส่แรงมากกว่าเดิม
“ที่ไม่ได้เรื่องที่สุดก็คือเจ้า เจ้ารอง บอกให้เจ้าฝึกวรยุทธ์ก็ไม่ยอมฝึก รู้จักแต่ใช้ปากพูดมากดีนัก ในเมื่อเจ้าพูดเก่งถึงเพียงนี้ ทำไมไม่เห็นกล่อมให้ฮ่องเต้ทรงปล่อยน้องสาวของเจ้ากลับมาเฮอะ?”
“ท่านปู่เองก็ถวายฏีกาไปแล้วมิใช่หรือ? ก็ไม่เห็นว่าท่านจะพาน้องเล็กกลับมาได้เหมือนกันนิ” ดูท่าตู๋กูเจวี๋ยคงจะเกรงว่าตนเองจะมีชีวิตอยู่นานเกินไปแล้ว ถึงได้กล้ามาต่อปากต่อคำกับตู๋กูถิง
แต่เขาก็หลบลี้เก่งกาจนัก ท่านปู่ฟาดไม้กวาดมาทีไร ล้วนฟาดลงไปที่ร่างของพี่ใหญ่ทั้งสิ้น
ตู๋กูจุนไม่ร้องแม้แต่คำเดียว ทั้งยังตัดสินใจออกปากปกป้องตู๋กูเจวี๋ยอีกด้วย
“ท่านปู่ น้องรองร่างกายไม่แข็งแรง ก่อนหน้านี้ยังถูกเทพธิดาแห่งสายน้ำลี่เหอกักตัวเอาไว้ใต้ดินนานถึงเกือบเดือน ท่านลงมือเบาๆ หน่อย อย่าได้ตีเขาจนตาย”
ตู๋กูเจวี๋ยน้ำตาไหลพราก “ยังคงเป็นพี่ใหญ่ที่เอ็นดูข้า!”
“ไอ้เจ้ากระต่ายเปรียว กล้าไปท้าทายเทพพิทักษ์สายน้ำ ไม่มีความสามารถจะออกมาเอง ยังจะต้องให้น้องสาวไปช่วยเจ้า เจ้ามันน่าจะถูกเทพธิดาแห่งสายน้ำส่งไปสวรรค์ยิ่งนัก!” ตู๋กูถิงโกรธจนหนวดเคราปลิวกระจาย ถลึงตาโต “น้องสาวอายุเท่าไร่ เจ้ามันอายุเท่าไหร่ วันทั้งวันรู้จักแต่หาเรื่องให้น้องสาว เจ้ารู้จักความละอายบ้างหรือไม่?”
“ยังมีเจ้าอีก เจ้าใหญ่! ตัวหรือก็ใหญ่โตเสียเปล่า กลับไม่เห็นเจ้าปกป้องน้องสาวให้ดี!”
ตู๋กูจุน “ท่านปู่ ข้าผิดไปแล้ว”
สองพี่น้องถูกอบรมให้ปกป้องน้องสาวด้วยชีวิตมาตั้งแต่เล็กจนโต
ที่จริงความคิดเช่นนี่ฝังลึกจนแนบแน่นอยู่แล้ว โดยเฉพาะกับตู๋กูจุนที่เป็นพี่ใหญ่ ยิ่งต้องรับภาระหนักกว่า
“เจ้ารองเจ้ากระต่ายเปรียว หัดเรียนรู้จากพี่ใหญ่เอาไว้บ้าง ผิดแล้วก็บอกว่าผิด อย่าได้มาเถียงกับข้าที่เป็นผู้อาวุโส!”
ตู๋กูถิงยกไม้กวาดขึ้นมาอีกครั้ง เริ่มตีใหม่อย่างดุดัน
เจียงเหม่ยหยู่ถูกทอดทิ้งเหมือนดั่งเป็นอากาศธาตุ ได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ เฉยๆ
อย่าได้เห็นว่านี่เป็น ‘การอบรมสั่งสอน’ หลานทั้งสอง ในสายตาของเจียงเหม่ยหยู่แล้ว นี่คือความรักความอบอุ่นอย่างที่สุด
นางถึงกับคาดหวังว่าเขาจะใส่ใจลูกๆ และหลานๆ ของนางด้วยการถามไถ่เช่นนี้บ้าง แต่ว่าน่าเสียดายเขากลับไม่เคยเหลือบแลเลยสักครั้ง แค่เลี้ยงเอาไว้เท่านั้น ดีก็ปล่อยพวกเขา ไม่ดีก็แล้วแต่พวกเขา….
ราวกับว่าเป็นคนที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวพันกับเขาเลยทั้งสิ้น
นี่ต่างหากคือบทลงโทษที่แท้จริง
เดิมทีนึกว่าพอเขากลับมาแล้วก็จะมาเป็นที่พึ่งพิงให้กับนาง แต่ว่าตอนนี้ดูแล้ว ที่พึ่งอันใดกัน ใจของเขาอยู่แต่กับคนของบ้านสายหลักเท่านั้น…..ไม่เคยจะหันกลับมาเหลียวแลนางเลยสักนิดเดียว
เพียงครู่เดียว ตู๋กูถิงก็ถือไม้กวาดวิ่งไล่ตีตู๋กูเจวี๋ยไปทั่วทั้งสวนแล้ว
เหล่าคนใช้ในจวนที่เห็นล้วนไม่แปลกใจอะไร ก่อนหน้านี้ตอนที่คุณหนูยังอยู่ในจวน คุณชายรองก็เป็นคนที่ถูกตีมากที่สุดอยู่แล้ว
ภาพที่นายท่านถือไม้กวาดไล่ตีสั่งสอนคนจึงพบเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
เพียงแค่ไม่ได้เห็นมาสองปีแล้วเท่านั้นเอง……
ตู๋กูเจวี๋ยถูกไล่ตีร้องหงิงๆ จนต้องวิ่งหนีออกไปที่นอกจวน
ด้านนอกจวนมีคนกลุ่มใหญ่คอยชมดูเรื่องสนุกสนาน ในที่สุดพวกเขาไม่ต้องรอนาน ก็ได้เห็นใต้เท้าอวี้สื่อแห่งเมืองหลวง ถูกท่านปู่ของตนเองไล่ตีอย่างดุดัน
ฮิ ฮิ ฮิ……ช่างไม่รู้จักละอายบ้างเสียเลย
ผู้คนทั้งหลายต่างพากันหัวเราะ จะว่าไปแล้วคนในจวนตระกูลตู๋กูก็ไม่มีท่าทางของพวกผู้สูงส่งอย่างตระกูลใหญ่เอาเสียเลยจริงๆ
มีที่ไหนกันที่ประมุขของบ้านจะมาถือไม้กวาดไล่ตีลูกหลานของตนเอง ……นี่มิเท่ากับว่าส่งเสริมให้คนได้เห็นเรื่องที่น่าขบขันหรอกหรือ?
ผู้คนต่างก็ชมดูจนเป็นที่สนุกสนาน อย่างไรเสียก็มีคนมาเล่นงิ้วให้ดู หากไม่ดูก็ถือว่าเสียเปล่า
ไม่แน่ว่าอีกประเดี๋ยวอาจจะมีทีเด็ดกว่านี้อยู่อีกด้วย พวกเขาต่างก็พากันรอดูว่าฝ่าบาทจะลงแส้อย่างไร
ก่อนหน้านี้จวนอ๋องตระกูลตู๋กูเอาแต่ปิดประตูไม่รับแขกทำให้ผู้คนต่างก็ไม่พอใจ พอได้เห็นฉากเช่นนี้ในใจแต่ละคนต่างก็เกิดความยินดีขึ้นมา
“ได้ยินว่าสองพี่น้องไม่อาจเชิญไทเฮาน้อยออกจากวังมาได้ เพราะเหตุนี้จึงถูกตี”
“ฮิ ฮิ… ตู๋กูถิงนึกว่าตนเองเก่งกาจมากนักหรืออย่างไร? เขาต้องการให้ไทเฮาออกจากวัง ฝ่าบาทก็ต้องทรงยอมหรือ?”
“ยังมิใช่เพราะอวดเบ่งว่าตนเองมีคุณความดีหรอกหรือ? เหลียงจวิ้นอ๋องผู้นั้นก็ตายไปแล้ว แม่ทัพก่อตั้งแคว้นอีกสามคนที่พิการก็พิการไปแล้ว ที่ถูกเนรเทศก็โดนเนรเทศไปแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่เขาเพียงผู้เดียว ทั้งยังสยบแดนเป่ยเจียงลงได้ จะมิให้ภาคภูมิใจได้หรือ?”
“จะภาคภูมิใจเพียงไรก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อสายตาของเขาไม่มีใครทั้งสิ้นเช่นนี้ก็ถือเป็นความผิดของเขาอยู่ดี”
“ยิ่งไปกว่านั้นสายตาของเขายังไม่เหลือบมองใคร ก็เท่ากับว่าไม่มีฝ่าบาทอยู่ในสายตา!”
“ใช่เลย ก่อนหน้านี้เขาก็ปกป้องอี้อ๋องหนุนให้เป็นฮ่องเต้ ตอนนี้ฝ่าบาทไม่ทรงเอาความเขา เขากลับดีนัก ปฏิเสธงานเลี้ยงพระราชทาน ทั้งยังจะขอให้ไทเฮาออกจากวัง? เฮอะ เฮอะ น่าหัวเราะ!”
ผู้คนต่างก็พากันแทะเมล็ดแตง จิบน้ำชากันไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ในตอนนั้นเอง ก็เห็นรถม้าสีทองที่พ่วงอาชาแปดตัว ผ่านเข้ามาในท้องถนน
แปดอาชาของโอรสสวรรค์ นี่เป็นกฏของแคว้นต้าโจว
สีทองที่เหลืองอร่าม ยิ่งเป็นสีประจำของราชวงศ์ต้าโจว นอกจากโอรสสวรรค์แล้ว ผู้อื่นไม่อาจใช้ได้
พอผู้คนเหลือบไปเห็นรถม้าคันนั้นต่างก็พากันตื่นตะลึงขึ้นมา
พวกเขาต่างก็คิดกันไปมากมายว่า ฮ่องเต้อาจจะทรงลงแส้ใส่ตู๋กูถิง แต่คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะเสด็จมาด้วยพระองค์เอง?
นับตั้งแต่ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์ก็ทรงกระทำเรื่องใหญ่ๆ มาแล้วไม่น้อย สามารถกล่าวได้ว่าในบรรดาฮ่องเต้ทั้งสามพระองค์ ฝ่าบาททรงเป็นผู้ที่แสดงพระราชอำนาจอยู่เสมอ
คราวนี้ เกรงว่าตู๋กูถิงเองก็คงไม่รอดแน่!
เพียงครู่เดียวรถม้าก็มาถึงปากประตูจวนตู๋กู
ทันทีที่ตู๋กูเจวี๋ยเห็นรถม้า ก็กลิ้งกระโดดไปหาเหมือนลิงตัวหนึ่ง
เขาคิดว่า…หากกระโดดไปอยู่ข้างกายฝ่าบาท ท่านผู้เฒ่าหรือจะยังตีเขาได้อีก?
พึ่งจะกระโดดโผเข้าไป ยังไม่ทันได้เห็นคนข้างในให้ชัดๆ ก็ถูกเท้าข้างหนึ่งถีบออกมา
“โอ๊ย!” ตู๋กูเจวี๋ยส่งเสียงร้องโอดโอย เท้านั้นเรี่ยวแรงมหาศาล เขากลับต้องกลิ้งเกลือกไปตามพื้นอีกหลายตลบ ถึงจะลุกขึ้นมาได้ ทำเอาเขาถึงกับมึนงงไปเลยทีเดียว
เมื่อครู่เหมือนจะได้เห็นชายเสื้อสีทองแวบหนึ่ง…..เป็นจีเฉวียนหรือ?
ฮ่องเต้สุนัขผู้นั้น อยู่ดีๆ จะเตะเขาทำไม โมโหโกรธาเรื่องใดมาหรือไง?
ท่านปู่คือคนที่ผิดใจกับฝ่าบาท แล้วมาลงที่เขาทำไม?
แถมยังถูกเตะออกมาต่อหน้าผู้คนตั้งมากมาย ต่อให้เขาหน้าหนาเพียงไรก็ยังอดจะรู้สึกอับอายไม่ได้
จะอย่างไรเขาก็เป็นถึงขุนนางอวี้สื่อแห่งเมืองหลวง ต่อไปจะให้คนมาหัวเราะเยาะได้หรือ?
รอบๆ จวนตระกูลตู๋กูล้วนแล้วแต่เป็นโรงน้ำชาและร้านค้า
ผู้คนมองผ่านหน่าต่างและที่นั่งลงมาล้วนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“ดูสิ ฝ่าบาทกำลังทรงหาความลำบากใจมาให้ตระกูลตู๋กูแล้ว!”
“เฮอะ เฮอะ ตู๋กูเจวี๋ยที่ปากมากผู้นั้น สมควรถูกเตะมานานแล้ว ลูกถีบของฝ่าบาทครั้งนี้ช่างทำได้โดนใจผู้คนนัก!”
“เกรงว่านี่พึ่งจะเป็นการเริ่มต้นเท่านั้น ทุกท่านโปรดล้างตาคอยดูให้ดี ดูสิว่าฝ่าบาทของพวกเราจะทรงจัดการกับไอ้เฒ่าตู๋กูถิงนั่นเช่นไร!”
“เฮอะ เฮอะ เฮอะ……”
ผู้คนต่างก็พากันหัวเราะพลาง เฝ้าดูไปพลางๆ ที่จริงแล้วมิใช่เพราะพวกเขาชิงชังอะไรตู๋กูถิง แต่เพราะคนผู้นั้นกระทำตนอย่างไม่คำนึงถึงหน้าผู้อื่น ทั้งยังเป็นไอ้แก่หัวแข็งที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง จึงอยากจะให้มีเรื่องอะไรขึ้นมาสั่งสอนเขาเพื่อลดทอนความหยิ่งผยองลงไปบ้าง
ที่สุดแล้ว จะอย่างไรแคว้นต้าโจวยังต้องการให้ตาเฒ่านั่นช่วยขยายดินแดนออกไป ย่อมไม่อาจทำอะไรบีบคั้นเขาถึงตายได้
ตู๋กูถิงเห็นตู๋กูเจวี๋ยถูกถีบออกมาครั้งหนึ่งก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เห็นเขาสาวเท้าเข้าไปหาตู๋กูเจวี๋ย
ตู๋กูเจวี๋ยคิดว่าท่านปู่ใจดีมีเมตตา จะช่วยฉุดดึงเขาขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าท่านปู่กลับฟาดไม้กวาดลงมาอีกชุดใหญ่อย่างไม่เกรงอกเกรงใจ “บอกให้เจ้าฝึกยุทธ์ ก็ไม่ฝึก! ถึงได้ถูกคนเขาถีบเอามากกว่าผู้อื่น เจ้าบอกมาสิเจ้ามันใช้การอะไรได้มั่ง!”
ตอนที่ 355 ท่านปู่ ข้ายังมีประโยชน์อย...
ตู๋กูเจวี๋ยชักจะรู้สึกสงสัยแล้วสิว่าตนเองใช่หลานแท้ๆ หรือไม่
เขากอดแขน กอดอกตนเอง เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น “ท่านปู่ ข้ายังมีประโยชน์อยู่นะ ข้าสามารถเจรจาความบ้านเมืองได้ เป็นขุนนางแถวหน้าของต้าโจว!”
“เพ้ย! ปากอย่างเจ้าเช่นนี้ แค่ข้าเห็นลิ้นไก่เจ้าก็รำคาญแล้ว!” ตู๋กูถิงเล็งตรงไหนได้เป็นต้องตีตรงนั้น ตีเสียจนตู๋กูเจวี๋ยต้องวิ่งหนีเป็นวงกลม
ตู๋กูจุนไล่ตามมา พอเห็นเหตุการณ์แม้มีใจแต่ก็ไม่อาจช่วยเหลือได้
น้องรองปากมากจริงๆ หากว่าพูดน้อยลงไปสักสองประโยคเชื่อว่าท่านปู่คงจะยอมเพลามือลงไปบ้าง
เขาเองก็ไม่กล้าเข้าไปห้าม เพราะเกรงว่าหากยิ่งห้ามท่านปู่อาจจะตีหนักยิ่งกว่าเดิม
ภายในรถม้า ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรผ่านรอยแยกของผ้าม่านมองเห็นทั้งหมดอย่างชัดเจน
ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ข้างกายเขา นางเห็นชัดเจนเลยว่ามุมพระโอษฐ์ของฝ่าบาทปรากฏรอยยู่ขึ้นมา
“ฝ่าบาท….ทรงถีบพี่รองของข้าทำไม?” ตู๋กูซิงหลันถามอย่างไม่เข้าใจ
“เราเกรงว่าจะเป็นคนร้าย มาทำอันตรายเจ้า” จีเฉวียนตรัสด้วยพระพักตร์เรียบนิ่ง
จะว่าอย่างไรดี…..พระองค์ได้รับคำเตือนจากอู๋เหนียงจื่อแล้วว่าจะต้องเชื่อมไมตรีกับคนในครอบครัวของซิงซิง แต่พอพึ่งจะมาถึงประตูบ้านผู้อื่น ก็ถีบพี่รองของนางเข้าให้แล้ว
ฝ่าบาทกำลังทรงหงุดหงิดพระทัย
ชั่วเวลาสั้นๆ ในตอนนั้น ตู๋กูซิงหลันก็ไม่รู้ว่าสมควรจะพูดสิ่งใดดี นางมองดูพี่รองที่ถูกตีอย่างดุดัน มองดูท่านปู่ที่มีผมขาวโพลน
ท่ามกลางอากาศที่เย็นจัดในฤดูหนาว เขากลับสวมใส่เพียงเสื้อสีเขียวบางๆ เส้นผมเกล้ามวยเสียบปิ่นไม้ชิ้นหนึ่งเท่านั้น
ทั้งๆ ที่อายุก็มากแล้ว แต่กลับยังดูหนุ่มแน่นองอาจอยู่เลย
คิดๆ ดูแล้วยามที่อยู่ในวัยหนุ่มจะต้องหล่อเหลา เป็นบุรุษที่ใครๆ ก็หลงใหลเป็นแน่
ตู๋กูซิงหลันกวาดตามองไป ก็รู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยอย่างยิ่ง
“ซิงซิง ดูเหมือนว่าเราจะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมาเสียแล้ว” จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูตู๋กูเจวี๋ยที่ถูกตีอย่างดุดัน ก็ต้องยื่นพระหัตถ์ไปนวดคลึงขมับ
ตู๋กูซิงหลันไม่รู้ว่าที่ทรงตรัสนั้นหมายความเช่นไร เพียงตอบว่า “ฝ่าบาท ลูกถีบนี้ของพระองค์ไม่ได้ทำให้พี่รองถึงตาย ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
พี่รองที่ซื่อโง่เหมือนกับท่อนไม้ผู้นั้นโดนตีไปเสียบ้างก็ไม่เป็นไร
ตอนที่นางมอบเกล็ดงูของชือหลีให้เขาไปนั้น รู้ไหมว่าเขาพูดว่าอะไร
“น้องชือหลีให้เกล็ดงูกับข้ามาทำไม? ทำกวาซา [1] หรือ?
“ไม่รู้ว่าจะใช้ได้หรือไม่นะ…..อืมกลิ่นคาวนี่ออกจะหนักไปหน่อยนะ”
“หากเอาไปใช้ขูดผิวจนถลอก จะติดเชื้อหรือไม่? หากข้าตายไปน้องเล็กจะเสียใจไหม? เจ้าเสียใจแล้วใครจะคอยปลอบใจเจ้ากัน….”
ตอนนั้นตู๋กูซิงหลันที่หงุดหงิดขึ้นมาก็อยากจะซัดเขาให้ลงไปกองกับพื้นสักครั้งเหมือนกัน
ตอนนี้เห็นเขาถูกท่านปู่ทุบตี จึงไม่เพียงไม่คิดจะเข้าไปห้าม แต่ยังอยากจะเสริมให้อีกสักเท้าด้วยซ้ำ
วิญญาณทมิฬ “….” ก็ไม่รู้ว่าทำไม อยู่ๆ มันก็ชักจะรู้สึกสงสารตู๋กูเจวี๋ยขึ้นมาบ้างแล้ว
ที่ด้านนอกรถม้า ในที่สุดตู๋กูถิงก็ไล่ตีจนเหนื่อย เขาค่อยสังเกตเห็นรถม้าของโอรสสวรรค์
เขาคว้าเจ้าลูกกระต่ายตัวที่สองที่หัวปูดโนนั่นขึ้นมา จากนั้นก็มองไปทางรถม้า
วันนี้คือการกินเลี้ยงในบ้าน เขาแค่ต้องการให้คนในครอบครัวกลับมาอยู่พร้อมหน้า ไม่ต้องการให้ใครอื่นใดมาวุ่นวาย
ฮ่องเต้กับครอบครัวของเขาชะตาตกฟากไม่สอดคล้องกัน ไม่ใช่คนที่อยากจะต้อนรับสักเท่าไร
ภายในรถม้า จีเฉวียนยิ่งคิดก็ยิ่งนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่เขาบีบคั้นตู๋กูซิงหลัน ทั้งยังบังคับให้ตู๋กูถิงไปออกรบที่เป่ยเจียง
นี่สมควรจะทำเช่นไรดี?
เคราะห์กรรมกลับมาตามสนอง ฟ้าดินมิได้ปล่อยปละผู้ใดไปเปล่าๆ
ฝ่าบาทกระแอมเสียงครั้งหนึ่ง สีพระพักตร์ยังคงเรียบเฉย แต่ในพระทัยซ่อนความกังวลไว้….
ตู๋กูซิงหลันเหลือบตามองดูเขา ก็เห็นว่าพระหัตถ์ที่อยู่บนพระชานุของจีเฉวียนกำแน่นขึ้นมา
นางเอียงศีรษะเกิดความคิดว่า หรือเขาคงจะไม่ลงรอยกับท่านปู่ คิดจะหาเรื่อง?
นี่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่กระมัง?
พอคิดได้เช่นนี้ นางก็ยื่นมือไปตบบนหลังพระหัตถ์ของจีเฉวียนเบาๆ “ฝ่าบาท ท่าทางของพระองค์ทำให้ผู้อื่นหวาดกลัวแล้วนะเพคะ”
พอหลังมือได้สัมผัสกับความอบอุ่นจากนาง จีเฉวียนก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย แม้แต่กระดูกสันหลังที่เกร็งจนแข็งของเขาก็ยังผ่อนคลายลง
พระองค์พลิกพระหัตถ์มาจับมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ “เรารู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง”
ตู๋กูซิงหลัน “หืม?”
พระองค์เป็นโอรสสวรรค์ จะมาเจอกับขุนนางของตนเองไยจะต้องตื่นเต้นกัน?
คนที่จะต้องตื่นเต้นสมควรจะเป็นท่านปู่มากกว่า
นางชักจะไม่เข้าใจจีเฉวียนอีกแล้ว ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาจะตื่นเต้นไปทำไม
จีเฉวียนเองก็มิได้ทรงอธิบายสิ่งใด เพียงแต่สูดลมหายพระทัยลึกๆ ต่อหน้าตู๋กูซิงหลันอยู่หลายครั้ง ค่อยสั่งให้องครักษ์เปิดม่านรถขึ้น
เหล่าฝูงชนในโรงน้ำชาต่างก็พากันตื่นตัวขึ้นมา “มาแล้ว มาแล้ว ….ฝ่าบาทเสด็จมาด้วยพระองค์เองจริงๆ แล้ว!”
“คราวนี้มีงิ้วสนุกๆ ให้ได้ดูกันแล้ว!”
ทันทีที่ม่านของรถม้าเปิดออก จีเฉวียนก็ทรงสบพระเนตรกับท่านผู้เฒ่าโดยตรง
ตู๋กูถิงเคยได้เข้าเฝ้าจีเฉวียนมาก่อนแล้ว เขาย่อมสามารถสงบใจได้โดยง่าย แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ เขาก็คิดถึงพระพักตร์ของพระองค์ในครั้งก่อนที่ทรงใช้หลานสาวมาบีบบังคับเขา
ท่านผู้เฒ่ารู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาในทันที อยากจะเอาไม้กวาดในมือฟาดพระองค์สักรอบเช่นกัน
เอาให้หนักหนากว่าไอ้เจ้าลูกกระต่ายนั่นเสียอีก
ข้อนิ้วของท่านผู้เฒ่าที่กำไม้กวาดเอาไว้กลายเป็นสีขาว ยามที่เขาสวมใส่ชุดสีเขียวเช่นนี้และไม่ได้ทุบตีผู้คน ดูไปแล้วก็เหมือนสุภาพชนที่เยือกเย็นและดูสงบนิ่ง
น่าเสียดายที่สองตาคู่นั้นมีแต่ไอสังหาร
ตู๋กูถิงเข้าสู่สนามรบตั้งแต่อายุได้สิบสามปี ทำสงครามต่อเนื่องมาหลายสิบปี ต่อให้ที่สวมใส่เป็นเพียงชุดผ้าฝ้ายธรรมดา แต่ว่าพลังที่สะท้อนออกมาจากร่างก็ทำให้คนต้องตระหนกอยู่ดี
กลิ่นอายของโลหิตและไอสังหารหมุนเวียนอยู่รอบตัวเขา เนื่องเพราะผ่านการฆ่าฟันมามากเกินไป กระทั่งตู๋กูซิงหลันก็ยังสามารถมองเห็นไอสีดำที่เกิดจากการสังหารได้จากบนหน้าผากของเขา
เส้นคิ้วกระบี่ของเขาวาดยาวและชี้ขึ้นบน เพียงแค่เขากวาดตามองดูใครเข้าสักครั้งก็แทบจะทำให้คนผู้นั้นอ่อนละลายกลายเป็นโคลนไปได้
ยังดีที่ผู้ที่มาพบกับเขาก็คือจีเฉวียน หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นเกรงว่าคงต้องร้องไห้หาบิดามารดาขึ้นมาในทันทีแล้ว
มิน่าเล่าพี่ชายทั้งสองที่ยามปกติต่างก็ช่างก่อเรื่องโผงผางกันไปคนละด้าน พออยู่ต่อหน้าท่านปู่ถึงได้มีแต่โดนตีสถานเดียว
จีเฉวียนย่อมมิใช่คนตาบอด ย่อมมองออกถึงสายตาที่มองมายังพระองค์นั้นปราศจากความปรานี
แต่ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ภายใต้ความคาดหมายของพระองค์อยู่แล้ว
ฮ่องเต้ทรงประทับนั่งอย่างสง่างาม เพียงแต่สายลมที่พัดผ่านมาทำให้เส้นพระเกศาที่รวบไว้เพียงครึ่งเดียวปลิวกระจายขึ้นมา ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะทรงอยากจะประทับนั่งให้ดูสุภาพเรียบร้อยที่สุด แต่ภาพลักษณ์ที่ปรากฏออกมากลับไม่ใช่เลยสักนิด
นี่ควรต้องเรียกว่า ต้นไม้อยากหยุดนิ่งแต่สายลมกลับไม่หยุดพัด [2]
ทั้งพระเกศาและฉลองพระองค์โบกโบย ยิ่งหนุนนำให้พระองค์ทรงดูสูงส่งและข่มผู้อื่นยิ่งขึ้นอีก
ยิ่งยามเมื่อทรงสบพระเนตรกับท่านผู้เฒ่า ก็แทบจะเกิดประกายไฟฟาดระหว่างคนทั้งสอง
เหล่าคนที่มาชมงิ้วต่างก็ยิ่งตื่นเต้นดีใจ
“ดูสิประกายดาบคมธนูนั่นสิ เฮอะ เฮอะ เฮอะ วันนี้จะต้องมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
“เอ๋ พวกเจ้าคิดว่าฮ่องเต้ของพวกเรากับเจ้าเฒ่าหนังหนาผู้นั้น ใครจะได้เปรียบกว่ากัน?”
“คนหนึ่งเป็นขุนนาง คนหนึ่งเป็นเจ้าชีวิต นี่ยังจะต้องเปรียบเทียบอีกหรือ ย่อมต้องเป็นฮ่องเต้ของพวกเราเป็นฝ่ายกดขี่ข่มเหงอยู่แล้วสิ”
“ข้าว่าก็ไม่แน่ กับตู๋กูถิงที่เป็นไอ้เฒ่าหนังหนาผู้นั้น อดีตฮ่องเต้เคยทรงมีราชโองการไปเรียกเขาเข้าเฝ้าถึงสิบสองครั้ง กลับถูกเขาโยนทิ้งโดยไม่ยอมอ่านเสียด้วยซ้ำ เขาหรือจะเห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตา?”
“นี่ย่อมพูดยากแล้ว ต้องคอยดูให้ดีว่าฝ่าบาทจะทรงจัดการกับไอ้เฒ่าผู้นี้เช่นไร”
ฝูงชนที่ถกเถียงกันยกใหญ่ เมื่อยังไม่ได้ข้อสรุปต่าก็พากันแทะเมล็ดแตงจิบน้ำชากันต่อไป
สายลมที่พัดขึ้นมาทำให้หิมะที่เกาะอยู่บนต้นไม้ในจวนตระกูลตู๋กูร่วงกราวลงมาบนรถม้า
ม้าทรงพลันถีบกีบขึ้นมาด้วยความตื่นตกใจ!
ทันใดนั้นรถทรงก็เกิดโคลงเคลงขึ้นมา
——
ตอนต่อไป “พวกเจ้าช่างไร้น้ำใจ”
——
[1] การรักษาด้วยแพทย์แผนจีนที่ช่วยขับเลือดลมชนิดหนึ่ง ใช้หวีไม้ขูดกับผิวหนังไล่เลือดเสียออกมา
[2] 树欲静而风不止: เปรียบเทียบว่าสถานการณ์ไม่เป็นไปตามใจคิด
ตอนที่ 356 พวกเจ้ามันไร้น้ำใจ
จีเฉวียนทรงตัดสินพระทัยเข้าไปประคองสาวน้อยที่อยู่ข้างพระองค์
ม้าตื่นตระหนกอย่างยิ่ง จนรถม้าแทบจะพลิกคว่ำลงมาบนพื้น
ก่อนหน้านี้ผ้าม่านบนรถม้าเปิดออกเพียงแค่ครึ่งเดียว ตู๋กูถิงจึงมองไม่เห็นว่าภายในรถม้ายังมีหลานสาวของตนเองอยู่ด้วย
พอม่านบนรถม้าไหววูบ ถึงได้เผยให้เห็นใบหน้าครึ่งหนึ่งของตู๋กูซิงหลัน ไม้กวาดที่อยู่ในมือของตู๋กูถิงร่วงลงไปบนพื้นในทันที
เขาพุ่งตัวออกไปข้างหน้า พลิกตัวขึ้นไปบนหลังม้าคว้าสายบังเ**ยนเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว คนก็ขี่อยู่บนหลังม้าที่กำลังตื่นตระหนก
ม้าตัวนั้นยิ่งตื่นตกใจกว่าเดิม มันถีบเท้าส่งเสียงร้องดังกึกก้อง
ฉากนี้ทำเอาคนทั้งหลายถึงกับพลอยตื่นตะลึงไปด้วย แค่หิมะตกลงมาม้าก็ถึงกับแตกตื่นเลยหรือ ตู๋กูถิงผู้นั้นจงใจวางแผนเอาไว้หรือไม่?
ที่เขากระโดดขึ้นไปขี่หลังม้าที่กำลังตื่น เพราะคิดจะจัดการฝ่าบาทที่อยู่ในรถม้าให้ถึงปางตายเลยใช่ไหม?
ท่ามกลางความตื่นตะลึงของผู้คน ก็เห็นตู๋กูถิงกำหมัดขึ้นมา ซัดหมัดลงไปที่หัวม้าครั้งหนึ่ง
จนได้ยินเสียงดัง ‘ปัก’
ทันใดนั้นม้าที่ตื่นตระหนกก็พลันสงบลง มันส่ายคอไปมา จากนั้นก็ล้มลงไปบนพื้นทั้งตัว
ทำเอาม้าทรงอีกเจ็ดตัวตกใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่กล้าเคลื่อนไหววู่วาม
หมัดนั้นของตู๋กูถิงที่ซัดลงไปทำเอาสมองของม้าที่กำลังตื่นแทบจะแยกออกมา
คราวนี้ ทั่วทั้งถนนสายตะวันออกก็สงบเงียบลงไปในทันที เหลือแต่เพียงเสียงหิมะที่ตกลงมาเบาๆ เท่านั้น
ม้าตัวนั้นหอบหายใจอย่างหนักหน่วง เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นดั่งไส้ตะเกียงที่ดับไป
ผ่านไปอีกพักใหญ่ผู้คนที่อยู่บนโรงน้ำชาถึงได้พากันได้สติขึ้นมา
“ดูนั่นสิ! นี่เขาถึงกับกล้าจัดการกับม้าทรงตรงๆ เพื่อให้ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตร!”
“ม้าทรงของราชวงศ์แพงถึงขนาดไหน เขาถึงกับต่อยมันตายภายในหมัดเดียว? แล้วเช่นนี้พระพักตร์ของฝ่าบาทยังจะไปเหลืออะไรอีก?”
…………………….
ตู๋กูถิงลงมาจากหลังม้าแต่แรกแล้ว จากนั้นก็มุดศีรษะเข้าไปภายในรถม้า
ทันทีที่มุดเข้าไปก็เห็นหลานสาวของตนเองถูกฝ่าบาทโอบกอดเอาไว้ในพระอุระอย่างแนบแน่น
เขาพลันรู้สึกว่าผักกาดขาวที่กรอบหวานของตนเองถูกหมูกินเข้าไปเสียแล้ว!
ตู๋กูซิงหลันที่ขาพิการยังไม่ทันหายดี ก็ต้องมาถูกเขย่าอยู่ในรถม้า เขย่าเสียจนหัวสมองของนางทั้งเจ็บทั้งมึนไปหมดแล้ว
หากมิใช่เพราะว่าถูกจีเฉวียนกอดเอาไว้ เกรงว่านางคงจะถูกเหวี่ยงจนหลุดกระเด็นออกไปแล้ว
กลับเป็นจีเฉวียนที่ถูกกระแทกไปมาจนกลายเป็นเกราะเนื้อให้กับนาง
“นี่มันเคราะห์กรรมอันใด!” ตู๋กูถิงได้แต่กดจุดเหรินจง [1] ของตนเอง จากนั้นก็สูดลมหายใจลึกๆ อีกหลายๆ ครั้ง
เขาพยายามจ้องมองไปที่ตู๋กูซิงหลัน ด้วยสายตาที่ทั้งเจ็บปวดทั้งขุ่นเคือง โดยไม่ยอมสนใจหมูที่มากินผักกาดขาวอย่างจีเฉวียน
เขายื่นมือเข้าไปหาตู๋กูซิงหลัน “ดวงใจเอ๋ย มาให้ปู่อุ้มเถอะ”
ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงไปเล็กน้อย ผ่านไปพักใหญ่นางถึงได้ค่อยๆ ยู่ปากขึ้นมา “ท่านปู่ ขาของข้าใช้การไม่ได้แล้ว จึงลุกไม่ขึ้น”
ตู๋กูถิง “ดวงใจน้อยๆ เอ๋ย ปู่ปวดใจแทบแย่แล้ว”
ว่าแล้วเขาก็ขยับเข้าไปทั้งตัวจนถึงเบื้องหน้าจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลัน
หลังจากนั้นก็ส่งสายตาเป็นเชิง ‘ขอให้พระองค์รู้สึกตัวเสียบ้าง’ ออกมา
จีเฉวียนมองดูเขา ก็หันไปมองดูสาวน้อยในอ้อมกอด ก็กล่าวอย่างจริงจังว่า “เราอายุน้อยร่างกายบึกบึนแข็งแรง ให้เราอุ้มนางเหมาะสมที่สุดแล้ว ท่านผู้เฒ่าอายุมากแล้ว หากพลาดล้มไปก็จะไม่ดี”
ตรัสแล้ว พระองค์ก็ทรงกอดตู๋กูซิงหลันแนบแน่นกว่าเดิม หลังจากนั้นก็เสด็จลงจากรถม้าไปต่อหน้าต่อตาของตู๋กูถิง
หลังจากที่ขาของตู๋กูซิงหลันพิการ เวลาออกไปไหนๆ ล้วนไม่ต้องการใช้ขาอีกแล้ว
จีเฉวียนก็คือสองขาที่เดินได้ของนาง ทั้งยังเป็นขาที่มีพละกำลังเป็นพิเศษ
หากว่าต้องเป็นเช่นนี้ต่อไปนางก็รู้สึกว่าคงจะไม่ดีเท่าไหร่ หลังจากที่นางวอนขออยู่หลายครั้ง จีเฉวียนก็หาคนมาทำรถเข็นให้กับนาง
ตู๋กูซิงหลันวาดแบบขึ้นมาด้วยตนเอง
เป็นเก้าอี้รถเข็นที่สามารถบังคับความเร็วและทิศทางได้ด้วยตนเอง ฝีมืองดงาม
และยังสำเร็จตามแบบที่นางวาดอีกด้วย
จีเฉวียนพึ่งจะอุ้มตู๋กูซิงหลันลงมา เหล่าองครักษ์ก็ปูเบาะนุ่มลงไปบนเก้าอี้รถเข็นเรียบร้อยแล้ว
ที่ด้านข้างยังมีร่มคันหนึ่งอีกด้วย ป้องกันมิให้นางโดนละอองหิมะจนเปียกชื้น
จีเฉวียนไม่อยากจะวางนางลงไปด้วยซ้ำ ตัวนุ่มๆ เช่นนี้ พออุ้มเอาไว้ช่างอบอุ่นเหลือเกิน
แต่ว่าเมื่อเช้านี้ได้ทรงตกลงกับนางแต่แรกแล้ว เขาย่อมไม่อาจบิดพลิ้ว
ได้แต่วางนางลงไปเบาๆ ค่อยคลุมผ้าห่มให้อย่างเรียบร้อย เขาห่อเสียจนตู๋กูซิงหลันกลายเป็นบ๊ะจ่างลูกหนึ่ง
“น้องเล็ก เจ้ากลับมาแล้ว” พอตู๋กูเจวี๋ยเห็น ก็วิ่งออกมาในทันที เขาคุกเข่าร้องไห้คร่ำครวญอยู่เบื้องหน้านาง “พอข้ากับพี่ใหญ่ไม่อาจรับเจ้ากลับมา ก็เกือบจะถูกท่านปู่ตีจนขาหักแล้ว เจ้าดูสิ ข้าน่าสงสารหรือไม่เล่า?”
“หากรู้แต่แรกว่าจะถูกจัดการเช่นนี้ ข้าก็ควรจะหักขาตนเองทิ้งเสียจะได้พิการเป็นเพื่อนน้องเล็ก” ตู๋กูเจวี๋ยคร่ำครวญอย่างปราศจากน้ำตาสักหยด พอหันกลับไปมองดูตู๋กูจุนที่ติดตามมาก็กล่าวว่า “อย่างไรเสียพี่ใหญ่ก็มีพละกำลังมาก อีกหน่อยก็มาเป็นขามนุษย์ทั้งสองข้างให้ข้าก็แล้วกัน ตั้งแต่เล็กจนโตมีแต่เจ้าที่เขายอมอุ้ม ยังไม่เคยอุ้มข้าบ้างเลยนะ!”
ทำไมตู๋กูซิงหลันถึงได้รู้สึกว่าตัวแสบผู้นี้กำลังแอบจิกกัดจีเฉวียนอยู่เล็กๆ กัน?
ตู๋กูจุน “บ่าของข้า นอกจากน้องเล็กแล้วก็จะไม่แบกใครอีกทั้งนั้น”
ตู๋กูเจวี๋ย “พวกเจ้ามันไร้น้ำใจ!”
ตู๋กูซิงหลัน คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่สมควรเคยอุ้มองค์หญิงใหญ่ ….และก็เคยอุ้มเสี่ยวหยวนเฟยมาด้วยกระมัง?
“เจ้ากระต่ายรอง ข้าผู้เฒ่าสมควรจะเย็บปากเจ้าไว้ ด้านนอกลมแรง เจ้ากลับปล่อยให้นางอยู่ข้างนอก ตากลมตากหิมะกระนั้นหรือ?”
ตู๋กูเจวี๋ยรีบคว้ามือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้แนบแน่น ครางหงิงๆ “น้องเล็ก เจ้าต้องช่วยข้านะ”
เขาพึ่งจะพูดจบก็เห็นตู๋กูถิงกำลังลงมาจากรถม้า ก้าวเพียงแค่สองสามครั้งก็มาถึงเบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน เขาไม่สนใจจะพูดกับตู๋กูเจวี๋ยอีก ในสายตามีแต่เพียงหลานสาวยอดดวงใจเท่านั้น พอมองดูนาง อารมณ์เมื่อครู่ก็สลายไปจนหมด “ยอดดวงใจเจ้ากลับมาแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว”
พูดแล้ว ตู๋กูถิงก็รีบหันหลังกลับไป ปาดเช็ดน้ำตาไหลลงมา
ท่าทางของเขาคล้ายดั่งชายชราที่ถูกทอดทิ้งไว้เพียงลำพังที่บ้านมานานแล้ว
ฮ่องเต้ผู้ไม่ได้รับการใส่พระทัยเลยแม้แต่น้อยไม่เพียงไม่พิโรธ กลับถอนพระทัยออกมาอย่างโล่งอก
มุมพระโอษฐ์ยังคงขมวดแน่น ใกล้จะกลายเป็นปมขึ้นมาแล้ว
เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านปู่และพี่ชายของนาง เขาก็ไม่มีพื้นที่ให้แสดงเลยสักนิด ได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ เก้าอี้รถเข็นของนางเท่านั้น
ดังนั้นถึงแม้ว่าจะมีตู๋กูถิงมายืนอยู่ตรงหน้า พระองค์ก็ไม่มีทีท่าจะหลีกให้เลยสักนิด
มีแต่ได้ปกป้องอยู่ข้างกายนาง จีเฉวียนถึงได้รู้สึกวางใจ ดังนั้นจึงไม่คิดจะย้ายไปที่ใดทั้งสิ้น
สีหน้าของสองพี่ชายตู๋กูไม่น่าดูอย่างที่สุด ส่วนตู๋กูถิงนั้นถึงกับเขียวคล้ำไปแล้ว
“ดูบรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยประกายดาบและคมธนูนั่นสิ ที่ฝ่าบาททรงนำไทเฮามาคงเพื่อใช้เป็นตัวประกันละมั้ง?”
“ย่อมใช่แน่นอน เขาลือกันว่า……ที่ไทเฮาทรงขาพิการก็เป็นเพราะว่าฝ่าบาททรงฟาดจนหักไป!”
“มีพูดกันเช่นนี้ด้วยหรือ? มิใช่ว่านางสร้างผลงานยิ่งใหญ่ตอนอยู่ในเมื่อกู่เย่วหรือไร?”
“โถ่ นั่นนับเป็นอะไรได้กัน …..ต่อให้ไม่มีไทเฮา เพียงแค่ความสามารถของฝ่าบาท จะช้าหรือเร็วเหลียงจวิ้นอ๋องผู้นั้นก็ต้องจบสิ้นอยู่ดี ต้องตระกูลตู๋กูนี่สิ ถึงจะนับว่าเป็นพี่ใหญ่ตัวจริง! จะต้องเป็นเพราะว่าฝ่าบาททรงคิดจะบีบบังคับไทเฮาเพื่อสั่งการตระกูลตู๋กู แล้วไทเฮาผู้นั้นจะยอมได้อย่างไรกัน นางคงจะหนี ถึงได้ถูกฝ่าบาทจับหักขาเสีย มิเช่นนั้นทำไมถึงได้ไม่หายสักที?”
“ท่านผู้นี้กล่าวได้อย่างมีเหตุมีผล”
“ดูสีหน้าที่เขียวคล้ำของตาเฒ่านั่นสิ นี่ชัดเจนเลยว่าพระองค์ทรงกำลังควบคุมไทเฮาอยู่ พวกเจ้าว่าไทเฮาเหมือนกับเป็นหุ่นเชิดหรือไม่เล่า?”
“คล้าย คล้ายมาก”
——
ตอนต่อไป “ลมกรรโชกก่อนพายุใหญ่จะมา”
——
[1] 人中: จุดที่อยู่ระหว่างปากกับจมูก แพทย์แผนจีนจะกดจุดนี้เมื่อผู้ป่วยสลบหมดสติหรือเป็นลม เพื่อกระตุ้นสมองให้รู้สึกตัว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น