กระบี่จงมา 351.1-352.2
บทที่ 351.1 วานรขาวลากดาบ คำพูดของวิญญูชน
ProjectZyphon
บนเส้นทางของชีวิตคน มักจะต้องเจอฝนกระหน่ำลมพัดแรงอยู่หลายครั้ง นี่เป็นการที่สวรรค์กำลังบอกเตือนคนบนโลกว่า พวกเจ้าอาศัยอยู่ใต้ชายคาของคนอื่นก็จงก้มหน้ายอมรับไปเสียแต่โดยดี
เหมือนอย่างตอนที่เฉินผิงอันพบเจอกับไช่จินเจี่ยนหน้าประตูบ้านตัวเองในตรอกหนีผิง เจอกับเจ้าของเดิมของชุดคลุมอาคมจินหลี่ในร่องเจียวหลง จับผลัดจับผลูเข้าไปในจุดลึกของดอกบัวแล้วจึงเจอกับการล้อมสังหารที่ปรมาจารย์หลายท่านร่วมมือกัน
แค่ต้องดูว่าจะอดทนผ่านมันไปได้หรือไม่
หากผ่านไปได้ ฟ้าหลังฝนย่อมสดใส หากผ่านไปไม่ได้ อย่างมากสุดก็เหมือนพวกผู้ฝึกยุทธ์ที่ตะโกนโหวกเหวกว่าอีกสิบแปดปีให้หลังก็ยังเป็นวีรบุรุษชายชาตรีได้อยู่ดี
อาจารย์เป็นผู้นำพาเข้าสำนัก การฝึกบำเพ็ญตนอยู่ที่ตัวคน
วันนี้จงขุยก็เป็นเช่นนี้
ก่อนหน้าจะถึงวันนี้ การฝึกตนของจงขุยแห่งสำนักศึกษาต้าฝูดีเกินไปและเร็วเกินไป ทำให้คนตกตะลึงและอิจฉามากเกินไป บนมหามรรคาเขาพุ่งนำไปข้างหน้าจนคนด้านหลังมองไม่เห็นฝุ่น ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อทุกคนที่อยู่ในใบถงทวีปต่างก็มองไม่เห็นแผ่นหลังของเขา
ทว่าวันนี้วานรขาวปรากฏกายบนโลก
ศัตรูตัวฉกาจที่จะตัดสินเป็นตาย
เมื่อเทียบกับอาจารย์ของจงขุย เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝูที่ไปขัดขวางไม่ให้ปีศาจใหญ่ซึ่งซ่อนตัวอยู่ใกล้กับสำนักฝูจีลงมหาสมุทรแล้ว อันที่จริงจงขุยกลับอันตรายกว่ามาก
นี่นับว่าผิดต่อความตั้งใจเดิมของเจ้าขุนเขา
สภาพการณ์ของจงขุยในเวลานี้แทบจะเรียกได้ว่าต้องตายสถานเดียว
วานรขาวมองบัณฑิตหนุ่มที่ถูกมองว่ามีหวังจะได้เป็นผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาบางแห่งในอนาคตด้วยสายตาเฉยชา
จงขุยสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
ต่อให้จะยังไม่ฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตเซียนเหริน ทั้งยังไม่ใช่เผ่าปีศาจที่เกิดมาก็มีเรือนกายแข็งแกร่ง
แต่วานรขาวที่สะพายกระบี่โบราณเล่มหนึ่งไว้ด้านหลังตนนี้ก็ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง
หากจะบอกว่าผู้ฝึกลมปราณคือโจรที่ละเมิดวิถีสวรรค์ กล้าที่จะท้าทายโชคชะตาความเป็นความตายที่วัฏจักรแห่งวิถีสวรรค์กำหนดไว้มากที่สุดในใต้หล้า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ฝึกกระบี่ก็คือหนึ่งในผู้ฝึกลมปราณที่ไม่มีเหตุผลมากที่สุด
วิญญูชนนั้นไซร้ หากมิเกิดเหตุใดย่อมมิไร้หยกพกติดกาย
กระบี่แรกที่วานรขาวชักออกจากฝักก็คือทำลายหยกประดับคุ้มกันกายที่วิญญูชนทุกคนจะได้รับมอบมาจากสำนักต้าฝูให้แหลกละเอียดเป็นผุยผง
ระหว่างหนึ่งวิญญูชนกับหนึ่งปีศาจใหญ่คือเศษซากหยกประดับที่ซุกซ่อนสัจธรรมแห่งบทประพันธ์ของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ ตัวอักษรสีทองหลายร้อยตัวพากันสลายหายไปจากโลกมนุษย์คล้ายฝนเม็ดเล็กสีทองที่ตกลงมาครู่สั้นๆ
จงขุยพลันถอยกรูดออกไปหลายสิบจั้งจนไปอยู่ริมขอบด้านนอกอีกฝั่งหนึ่งของบ่ออเวจี ชายแขนเสื้อสองข้างพองโป่ง ลมฤดูใบไม้ร่วงเยียบเย็น ในชายแขนเสื้อสีเขียวเล็กๆ สองข้างเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจหนาข้นยิ่งใหญ่ดุจทหารที่จัดเรียงขบวนทัพอยู่บนสนามรบในฤดูใบไม้ร่วง
บ่ออเวจีแห่งนี้ของภูเขาไท่ผิงคือสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะคล้ายบ่อน้ำขนาดใหญ่มโหฬารแห่งหนึ่ง ผนังบ่อเจาะเป็นขั้นบันไดที่ทอดยาวหมุนวนลงไปด้านล่าง ภายในเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายเยียบเย็นอึมครึมประหนึ่งถ้ำไร้ก้นแห่งหนึ่งที่มุ่งหน้าลงไปสู่โลกแห่งความมืดมิด
ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างแค่ขยับเข้าใกล้บ่ออเวจีก็จะถูกปราณชั่วร้ายที่สั่งสมมานานหลายปีของบ่อปั่นป่วนลมปราณให้วุ่นวาย รุกรานเข้าไปในร่างกาย
นักพรตที่ได้เข้ามาอยู่ในภูเขาไท่ผิงอย่างเป็นทางการจะต้องผ่านการฝึกบำเพ็ญตนที่ยากลำบากอย่างหนึ่ง นั่นคือต้องนั่งเข้าฌานลืมตนอยู่ใกล้กับบ่อโบราณเพื่อหล่อหลอมเรือนกายและจิตใจ นั่นเป็นความลำบากยากเข็ญที่แทบเอ่ยเป็นคำพูดไม่ได้
การที่นักพรตหญิงหวงถิงถูกมองเป็นหยกงามแห่งการฝึกตนที่มีพรสวรรค์น่าครั่นคร้ามก็เพราะว่าครั้งแรกที่นางเข้าใกล้บ่ออเวจีพร้อมกับศิษย์พี่ชายหญิงในปีนั้น ในขณะที่ทุกคนพยายามประคับประคองตัวไม่ให้ปราณชั่วร้ายไหลบ่าเข้าไปในช่องโพรงลมปราณอย่างยากลำบาก นางกลับไม่รู้สึกอะไรที่ผิดปกติเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังแอบเดินไปยังทางเข้าริมขอบบ่ออเวจีด้วย หากไม่เป็นเพราะตอนนั้นนักพรตเฒ่าของภูเขาไท่ผิงที่รับผิดชอบคอยจับตามองการฝึกตนของเด็กรุ่นหลังรีบตามไปดึงคอเสื้อของเด็กหญิงขึ้นมา ไม่แน่ว่าตอนที่หวงถิงอายุเก้าขวบก็น่าจะได้เข้าไปในบ่ออเวจีแล้ว
หลังจากนั้นมาหวงถิงก็คอยประชันปัญญาประชันความกล้าหาญอยู่กับผู้อาวุโสของภูเขาไท่ผิง ในที่สุดตอนที่อายุสิบเอ็ดปีก็สามารถเข้าไปในบ่ออเวจีได้สำเร็จ ผลคือเกือบจะต้องไปตายอยู่ในจุดลึกของบ่อ ลงไปไม่ได้ ออกมาก็ไม่ได้ หมดสติไปอย่างสิ้นเชิง
สุดท้ายเป็นวานรขาวชุดดำตนหนึ่งที่โยนนางออกมานอกบ่ออเวจี
วานรเฒ่าเดินไปข้างหน้าช้าๆ ย่างก้าวผ่อนคลาย มาหยุดอยู่ริมขอบของปากบ่อที่กั้นขวางเขากับจงขุย
กระบี่โบราณที่ออกจากฝักเล่มนั้นปราณกระบี่หนักอึ้งเกินไปจึงมองไม่เห็นรูปโฉมที่แท้จริงของตัวกระบี่แล้ว หลังจากหนึ่งกระบี่ทำลายหยกประดับที่ถือเป็นสมบัติอาคมชั้นยอดไปแล้ว กระบี่บินเล่มนั้นก็ไม่ได้อยู่บนภูเขาไท่ผิงแห่งนี้ แต่ยังพอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่าห่างออกไปมีรุ้งยาวสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งทะยานดุจสายฟ้า ราวกับงูขาวตัวเล็กบางที่เลื้อยอยู่บนผ้าสีดำขนาดใหญ่ผืนหนึ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาไท่ผิงที่เดิมทีควรถูกชักนำจึงหยุดการโคจรในเสี้ยววินาที อีกทั้งยังเกิดความวุ่นวายโกลาหลที่ผิดปกติด้วย
จงขุยไม่สามารถบังคับค่ายกลใหญ่ให้กำราบปีศาจตนนี้ได้
บรรพจารย์กำลังเดินทางไปรับหวงถิงมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว เจ้าประมุขไปสกัดขวางปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองที่สำนักฝูจี เซียนดินก่อกำเนิดที่เป็นผู้จัดการดูแลภูเขาไท่ผิง ก่อนจะลงจากภูเขาได้บอกวิธีควบคุมจุดศูนย์กลางของค่ายกลใหญ่ปกป้องขุนเขาให้กับจงขุยที่เป็นคนนอกอย่างไม่ปิดบัง ไม่ใช่เพราะเห็นแก่สถานะวิญญูชนสำนักศึกษาต้าฝูของเขา เพียงแค่เชื่อมั่นในตัวจงขุยเท่านั้น อันที่จริงการกระทำเช่นนี้ย่อมต้องตกเป็นผู้สงสัยว่ากระทำเกินขอบเขตอำนาจ อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้มากว่าจะเปิดเผยความลับวงในของภูเขาไท่ผิง ทว่าคนทั่วทั้งบนและล่างภูเขาไท่ผิงกลับไม่มีใครมีความเห็นต่าง
เคยมีอริยะกล่าวไว้ว่านักพรตของภูเขาไท่ผิงต่างก็มีมาดแห่งจอมยุทธ์ในสมัยโบราณ
ซึ่งพวกเขาก็คู่ควรกับคำสรรเสริญนี้จริงๆ
เพียงแต่ว่าธรรมะสูงหนึ่งศอก อธรรมสูงหนึ่งจั้ง ไม่เสียแรงที่วานรขาวเป็นข้ารับใช้ผู้พิทักษ์ภูเขาไท่ผิงมาสามพันปี ถึงกับทำให้ค่ายกลใหญ่หยุดชะงักได้
จงขุยสีหน้าเคร่งเครียด ในใจท่องบทความของอริยะปราชญ์บทหนึ่ง
ลมฤดูใบไม้ร่วงในชายแขนเสื้อทั้งสองข้างของเขา เมื่อเทียบกับลมเปิดหน้าหนังสือที่ผู้คนได้แต่ปรารถนา ทว่าไม่อาจได้มาครอบครองแล้วยังมีระดับสูงยิ่งกว่า
ตอนนั้นจงขุยยังอายุไม่ถึงยี่สิบก็ได้เลื่อนขั้นเป็นนักปราชญ์ของสำนักศึกษา เนื่องจากใช้ชีวิตหลงระเริงอยู่ตลอดทั้งปี เขาที่อยู่ในสำนักศึกษาต้าฝูจึงมี ‘ชื่อเสียงฉาวโฉ่’ อย่างยิ่ง อาจารย์หลายคนที่มีนิสัยคร่ำครึตายตัวต่างก็ไม่ชอบเขา หากไม่เป็นเพราะเจ้าขุนเขาให้การปกป้องเขาอย่างที่แทบจะเรียกได้ว่าลำเอียง ยศนักปราชญ์คงถูกถอดถอนไปนานแล้ว การได้เป็นนักปราชญ์และวิญญูชนของสำนักศึกษาไม่ใช่เรื่องที่ลำบากครั้งเดียวแล้วจะสบายไปตลอดชาติ ทุกๆ ระยะเวลาสองสามปีจะต้องมีการทดสอบครั้งใหญ่ ตอนนั้นจงขุยดื่มเหล้าจนเมามาย นอนหลับไปสามวันสามคืน ทำให้เขาขาดสอบไปโดยตรง เหล่าอาจารย์อายุมากของสำนักศึกษา บ้างก็ทนรับนิสัยเอาแต่ใจตัวเองของจงขุยไม่ไหว บ้างก็โกรธเคืองที่เขาย่ำยีพรสวรรค์ของตัวเองให้เสียเปล่า บ้างก็คิดว่าในเมื่อสวรรค์ประทานภารกิจยิ่งใหญ่มาให้ก็ย่อมต้องตั้งใจทำหน้าที่ให้ดี ดังนั้นนักปราชญ์และวิญญูชนทุกคนจึงพร้อมใจกันลงชื่อเสนอให้เจ้าขุนเขาถอดถอนสถานะนักปราชญ์ของจงขุยออก
ผลกลับกลายเป็นว่าวันนั้นคือฤดูหนาวที่หิมะตกหนักพอดี จงขุยเดินเท้าเปล่าอยู่ท่ามกลางหิมะ ปากก็ท่องบทความจริยธรรมของอริยะบางท่านบทหนึ่ง อีกทั้งยังทำท่าแหงนหน้าถามสวรรค์ แสดงข้อสงสัยที่มีต่อบทความของอริยะท่านนั้นอย่างกำเริบเสิบสาน สุดท้ายจงขุยก็ถามเองตอบเองด้วยสีหน้าภาคภูมิใจในตัวเองไม่น้อย
ตอนที่จงขุยหยุดเดิน ในช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาวเหน็บกลับมีลมฤดูใบไม้ร่วงระลอกหนึ่งพัดพาเอาคำชมว่า ‘ประเสริฐ’ จากปากของอริยะท่านนั้นมาให้ดังก้องไปทั้งสำนักศึกษาต้าฝู
ลมฤดูใบไม้ร่วงผลุบหายเข้าไปในชายแขนเสื้อ
วันนั้นจงขุยก็ได้เลื่อนขั้นเป็นวิญญูชนโดยที่ไม่มีใครกล้ากังขาในตัวเขาอีก
เล่าลือกันว่ายามที่อริยะสร้างตัวอักษร ทั้งผีและเทพต่างก็ร่ำไห้
ตัวอักษรมีพลังในตัวมันเองอย่างแท้จริง อย่างน้อยสำหรับลูกศิษย์สำนักศึกษาแล้วก็เป็นเช่นนี้
การแสดงออกในระดับขั้นที่สูงที่สุดก็คือตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตที่ ‘สุภาพงดงามอันเป็นต้นตำรับแท้จริง’ ซึ่งอริยะในศาลบุ๋นได้ครอบครอง อริยะใหญ่เหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนถูกเคารพบูชาอยู่บนแท่นสูงมายาวนานหลายปีจนนับไม่ถ้วน ได้รับการกราบไหว้จากคนในโลกมนุษย์ สายบุ๋นสืบทอดไม่ขาดหาย ควันธูปดำรงอยู่ตลอดกาล
ทว่าต่อให้เป็นอริยะของศาลบุ๋น ‘ดั้งเดิม’ แห่งนั้น ไม่พูดถึงปรมาจารย์อริยะปราชญ์ที่ถูกวางไว้ตรงกลางและห้าท่านที่ถูกวางขนาบซ้ายขวา แน่นอนว่าตอนนี้เหลือแค่สี่ท่านแล้ว อริยะคนอื่นๆ ก็ได้ครอบครองตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตแค่คนละตัวเท่านั้น
ใต้หล้านี้มีเพียงคนเดียวที่เป็นข้อยกเว้น
ฉีจิ้งชุนแห่งสำนักศึกษาซานหยา
ชุน จิ้ง ล้วนเป็นตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตของบัณฑิตท่านนี้ อีกทั้งสองตัวอักษรนี้ยังยิ่งใหญ่อย่างมาก
รองลงมาถึงเป็นคำว่าปากอมกฎแห่งสวรรค์ (เปรียบเปรยว่าพูดจาเป็นหลักเกณฑ์เป็นกฎหมาย สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นได้) ของพวกวิญญูชนหรือเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ ปราณเที่ยงธรรมซื่อตรงที่มีอยู่เต็มท้องพวกเขาจะชักนำการขานรับจากฟ้าดิน
หลังจากนั้นก็เป็นบทกวีที่ท่องออกจากปากของพวกนักปราชญ์ซึ่งสามารถชักนำพายุลมกรด ทำให้คนเหลือเพียงโครงกระดูกที่ตั้งอยู่ ทำให้จิตวิญญาณของพวกภูตผีแหลกสลาย
วานรขาวที่สะพายกระบี่แค่เล่มเดียวไว้ด้านหลังยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของบ่อซึ่งห่างไปไกล ไม่ได้เอ่ยคำใด มันเพียงแต่ยื่นนิ้วออกมาสามนิ้ว
น่าจะกำลังบอกว่า สังหารเจ้าจงขุย ใช้แค่สามกระบี่ก็พอ?
จงขุยไม่พูดไม่จา ไม่ลับฝีปากโต้แย้งใดๆ
หยกประดับที่เป็นตัวแทนของสถานะวิญญูชนชิ้นนั้นได้แจ้งสถานการณ์ของที่แห่งนี้กลับไปยังสำนักศึกษาแล้ว
บริเวณสี่ด้านแปดทิศรอบกายจงขุยคล้ายมีม่านน้ำตกสีขาวหิมะหลายสายปรากฎขึ้น กระแสน้ำสีขาวเหล่านั้นเกิดจากการรวมตัวกันของตัวอักษรขนาดเท่าหัวแมลงวันจำนวนมากที่ส่องประกายแสงเจิดจ้า
ราวกับว่าข้างบ่ออเวจีของภูเขาไท่ผิงมีหน้าหนังสือขนาดใหญ่มหึมาในตำราอริยะปราชญ์ตั้งวางอยู่หลายหน้า
เป็นเหตุให้ปราณดุร้ายที่แผ่ออกมาจากบ่ออเวจีถูกบังคับข่มทับลงไปเบื้องล่าง สยบภูตผีปีศาจที่อยู่ในนั้นเอาไว้ แต่ละตัวจึงออกฤทธิ์ออกเดชคำรามเสียงแหบแห้ง
เสียงโซ่เหล็กจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ใต้บ่ออเวจีสั่นสะเทือนรุนแรงประหนึ่งเสียงสายฟ้าระเบิดแตก
วานรขาวกวาดตามองไปรอบด้าน อันที่จริงภูเขาไท่ผิงมีค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาอยู่สองอย่าง แบ่งออกเป็นในและนอก มืดและสว่าง หากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาที่คนทั่วทั้งใบถงทวีปต่างก็รู้จักนั้นถูกเปิดใช้ขึ้นมา จะมีกระจกบานหนึ่งเป็นดั่งดวงจันทร์ลอยขึ้นบนนภา สาดสะท้อนแสงสว่างไปทั่วภูเขาไท่ผิง ทำให้เหล่าภูตผีปีศาจไม่มีที่ให้หลบเร้นกาย เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงสว่างนั้น ไม่เพียงแต่ตบะและขอบเขตเท่านั้นที่จะถูกกดเอาไว้ ยิ่งเป็นปีศาจและภูตผีก็จะยิ่งพ่ายแพ้ไปในทันที พวกที่มีตบะตื้นเขินอย่างเช่นตบะที่ต่ำกว่าเซียนดิน แค่ถูกกระจกส่องมาร่างก็จะแหลกสลายไปในชั่วพริบตา
ทว่าสิ่งที่วานรขาวยำเกรงอย่างแท้จริงไม่ใช่ค่ายกลที่ถูกเล่นตุกติกไปแล้วค่ายกลนี้ แต่เป็นท่าไม้ตายที่แท้จริงของภูเขาไท่ผิงต่างหาก
ประโยชน์ที่แท้จริงของกระจกจันทร์กระจ่างที่สามารถสยบผู้คนครึ่งทวีปนั้น คนนอกคิดจนหัวแทบแตกก็ไม่มีทางคิดออก เพราะการดำรงอยู่ของมันมีไว้เพียงแค่สะดวกให้ภูเขาไท่ผิงหาตัวศัตรูออกมา แค่นี้เท่านั้น!
บทที่ 351.2 วานรขาวลากดาบ คำพูดของวิญญูชน
ProjectZyphon
สำหรับใบถงทวีปแล้ว ใครกันแน่ที่เป็นสำนักใหญ่อันดับที่สามตามหลังสำนักใบถงและสำนักกุยหยกนั้น
ตลอดพันปีที่ผ่านมา ผู้ฝึกตนของใบถงทวีปต่างก็พูดกันว่าสำนักฝูจีที่ทั้งเจ้าสำนักและคู่บำเพ็ญเพียรของเขาต่างก็เป็นห้าขอบเขตบน ไม่ว่าคนนอกจะประจบยกยอ หรือให้การยอมรับจากใจจริงแค่ไหน สำนักฝูจีก็ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองคือสำนักอันดับที่สามของใบถงทวีป สำหรับข้อถกเถียงนี้ เจ้าสำนักของสำนักฝูจีเคยพูดจาบ่ายเบี่ยงข้อถกเถียงที่เกี่ยวข้องกับเขาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่าหากสำนักฝูจีย้ายไปอยู่แจกันสมบัติทวีปอันเป็นทวีปเล็กๆ ทางทิศเหนือแห่งนั้น ต่อให้พยายามจะช่วงชิงเป็นอันดับหนึ่ง จะมีอะไรยาก?
สายรุ้งสีขาวที่ว่ายวนไม่หยุดนิ่งอยู่นอกภูเขาไท่ผิงเส้นนั้นแหวกผ่าชะตาแห่งแม่น้ำและภูเขาชั้นหนึ่งที่มองไม่เห็นเข้ามาอีกครั้ง ร่วงดิ่งลงมาจากท้องฟ้า ตรงปักเข้าใส่ศีรษะของจงขุย
หน้าหนังสือแต่ละแผ่นที่เป็นดั่งม่านน้ำตกไหลย้อนทวนขึ้นไปด้านบนในแนวเฉียง ก่อตัวเป็นค่ายกลหิมะครึ่งวงกลมอยู่รอบกายและเหนือศีรษะของจงขุย
หลังจากปลายกระบี่ของกระบี่ยาวชนเข้ากับม่านน้ำตก ประกายไฟจำนวนนับไม่ถ้วนก็แตกออก
ความเร็วในการลดลงสู่เบื้องล่างของกระบี่ยาวถูกขัดขวางให้ชะลอช้าลงไปหลายส่วน ทว่าปราณเที่ยงธรรมแห่งฟ้าดินที่แฝงเร้นอยู่ในน้ำตกกลับสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
ต่อให้จะเป็นแค่สะเก็ดไฟที่สาดกระเซ็นออกไปก็ทำให้ต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า ศาลาชมทัศนียภาพและถ้ำสถิตอันเป็นที่ฝึกตนของเซียนซือซึ่งตั้งอยู่บริเวณโดยรอบบ่ออเวจีของภูเขาไท่ผิงถูกทำลายจนมีแต่หลุมบ่อเต็มไปหมด สัตว์ป่าจำนวนนับไม่ถ้วนร้องโหยหวนแตกฮือเผ่นหนีไปคนละทิศคนละทาง
จงขุยไม่สนใจกระบี่โบราณที่ไม่ช้าก็เร็วต้องแหวกกระแสน้ำตกพุ่งมาถึงตัวเล่มนั้น แต่กลับจ้องไปยังปีศาจใหญ่ที่ยืนนิ่งไม่ขยับตนนั้นเขม็ง
สีหน้าของวานรขาวเป็นปกติ มุมปากยกยิ้มมีเลศนัย เห็นได้ชัดว่ากำลังตั้งตารอ อยากจะเห็นว่าวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาที่เขาต้องฆ่าสถานเดียวผู้นี้จะยังมีความสามารถอะไรเก็บไว้ก้นกรุอีก
กระบี่ที่อยู่เหนือศีรษะของจงขุยนั้นเป็นแค่กระบี่ที่สองของมันเท่านั้น
เดิมทีหากพวกเผ่าปีศาจคิดจะฝึกตนก็เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว คิดจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ยิ่งยากอย่างถึงที่สุด ดังนั้นปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่ที่สามารถเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนได้นั้นล้วนเป็นผู้พิชิตของพื้นที่แถบหนึ่งในใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างสมเกียรติ ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจที่เป็นห้าขอบเขตกลาง เมื่ออยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะได้รับสิทธิพิเศษมากมาย แทบจะเท่าเทียมกับลูกศิษย์ของสำนักศึกษาในใต้หล้าไพศาล ต่อให้ไปแก้แค้นหรือโจมตีผู้อื่นโดยมีเหตุผลที่ถูกต้อง ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางก็ยังสามารถได้รับการละเว้นโทษตายหนึ่งครั้ง แต่คนที่ไม่รักษากฎ สังหารผู้ฝึกกระบี่อย่างกำเริบเสิบสาน ไม่ว่าสถานะจะสูงส่งมากเท่าไหร่ หากถูกจับได้ล้วนต้องถูกลงโทษสถานหนัก
ผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลอาจจะไม่ค่อยรู้ถึงความน่ากลัวของปีศาจใหญ่ที่เป็นผู้ฝึกกระบี่เท่าใดนัก เพราะถึงแม้จำนวนของภูตผีปีศาจจะมีเยอะมาก แต่ปีศาจใหญ่ที่แท้จริงกลับมีน้อยนิด ทว่าทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับรู้ถึงระดับความรับมือยากของปีศาจใหญ่ที่เป็นผู้ฝึกกระบี่เป็นอย่างดี เพราะต้องให้ผู้ฝึกกระบี่เผ่ามนุษย์จำนวนเหลือคณานับกระโจนเข้าสู่ความตายอย่างห้าวหาญถึงจะรับรู้พลังการสังหารที่น่าหวาดกลัวและวิธีการอันอำมหิตของพวกมัน
อาเหลียงแข็งแกร่งถึงเพียงไหน เหตุใดคนจำนวนนับไม่ถ้วนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงได้ชื่นชมเลื่อมใส ให้การสนับสนุนอาเหลียงมากขนาดนั้น นั่นก็เพราะว่าอาเหลียงขัดเกลาวิถีกระบี่ของตัวเองอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มานานนับร้อยปี ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนซึ่งเป็นขอบเขตเท่าเทียมกันล้วนไม่มีศัตรูคนใดทัดทานเขาได้ ไม่เพียงแต่ไม่เคยพ่ายแพ้ กลับยังไล่ล่าอีกฝ่ายไปไกลหลายหมื่นลี้ ถึงขั้นทำสถิติสังหารศัตรูตายคาที่ได้มากที่สุด
ดังนั้นสำหรับเรื่องที่อาเหลียงบินทะยานจากใต้หล้าไพศาลไปยังสถานที่ประหลาดที่มีเทวบุตรมารอาละวาดอย่างโอหังซึ่งเป็นที่อยู่ของเต๋าเหล่าเอ้อร์ พวกเขาต่อสู้กันจนฟ้าพลิกดินสะเทือน ผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลต่างก็รู้สึกว่าถึงแม้อาเหลียงจะพ่ายแพ้ แต่กลับเป็นความพ่ายแพ้อย่างทรงเกียรติ ทว่าหากหันกลับมามองเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง พวกมันส่วนใหญ่ล้วนเชื่อมั่นว่าอาเหลียงที่ต่อให้ตายเป็นหมื่นครั้งก็ยังไม่เพียงพอผู้นั้น จะต้องเล่นงานให้ ‘ผู้ไร้ศัตรูที่แท้จริง’ ผู้นั้นกลายมาเป็นมีศัตรูได้จริงๆ อย่างแน่นอน
เผ่าปีศาจเคารพยำเกรงและเลื่อมใสคนที่แข็งแกร่งที่สุด ต่อให้จะเกลียดแค้นเจ้าอาเหลียงที่เรียกตัวเองว่ามือกระบี่ผู้นั้นเข้ากระดูกดำ แต่หลังจากที่ปีศาจใหญ่ขั้นสูงสุดตนหนึ่งป่าวประกาศว่าจะต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับอาเหลียงแล้วพ่ายแพ้ ทว่าจุดที่ฝังร่างของเขาในใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลับใช้กระบี่เป็นป้ายหน้าหลุมศพ
ตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างคือสถานที่ป่าเถื่อนที่ใต้หล้าไพศาลมองว่า ‘ไม่มีเสียงท่องตำราแม้แต่ประโยคเดียว’ แต่พอพูดถึงเรื่องนี้กลับถูกมองว่าเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล
นักพรตร้อยกว่าคนที่อยู่บนภูเขาไท่ผิงไม่ได้นิ่งดูดาย ทุกคนเป็นนักพรตที่มีลำดับศักดิ์ต่ำที่สุดในสำนักแทบทั้งสิ้น และส่วนใหญ่ล้วนเป็นนักพรตเด็กที่สีหน้าซีดขาว ทว่าสายตากลับเด็ดเดี่ยว
จงขุยกลับตวาดพวกเขาเสียงกร้าว “ถอยกลับไป! อย่าพาตัวมาตาย!”
แม้ว่านักพรตเฒ่าขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งในบรรดาคนมากมายพอจะรู้ตัวตนของวานรขาวแล้ว แต่กลับเอ่ยด้วยประโยคหนึ่งที่ทำให้จงขุยหาเหตุผลมาโต้แย้งไม่ได้ “ในการกำจัดปีศาจปราบมาร ไม่มีเหตุผลให้นักพรตของภูเขาไท่ผิงอย่างข้าตายอยู่เบื้องหลังคนอื่น”
วานรขาวไม่แม้แต่จะชายตามองนักพรตโอสถทองคนนั้น กำหมัดง่ายๆ ครั้งเดียว พายุหมัดก็ต่อยให้เรือนกายของเซียนดินโอสถทองในสายตาของคนบนโลกแหลกสลาย โอสถทองปริแตก
ใช้ความดีตอบแทนความดี แม้ตายก็ไม่เสียดาย
นักพรตภูเขาไท่ผิงเป็นเช่นนี้
จงขุยเองก็ไม่ต่างกัน
ชายแขนเสื้อสองข้างสะบัดโบกหนึ่งครั้ง ลมฤดูใบไม้ร่วงสองขุมในชายแขนเสื้อห่อหุ้มนักพรตของภูเขาไท่ผิงเหล่านั้นเอาไว้แล้วโยนออกไปไกล
วานรขาวไม่สนใจเรื่องนี้ ปล่อยให้จงขุยโยนนักพรตเหล่านั้นออกไปนอกสนามรบตามใจชอบ
novel-lucky
จงขุยคนเดียวก็ชดเชยกับภูเขาไท่ผิงทั้งแห่งได้แล้ว
ความคิดของวานรขาวฉุกขึ้น
กระบี่โบราณที่ออกจากฝักลดระดับความเร็วลง
นิ้วมือสองข้างของจงขุยคีบแผ่นยันต์กระดาษเขียวแผ่นหนึ่งไว้อย่างเงียบเชียบ
กระดาษต้นฉบับของอริยะ ถูกจงขุยวิญญูชนใช้เหล็กหมาดหิมะที่สลักคำว่า ‘ตวัดพู่กันดุจเทพช่วย’ วาดยันต์สยบกระบี่ที่จงขุยสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยตัวเอง!
วินาทีที่กระบี่ยาวแหวกผ่านม่านน้ำตกเข้ามา เหนือศีรษะของจงขุยก็มียันต์สยบกระบี่แผ่นนั้นลอยขึ้น
กระบี่โบราณเล่มนั้นเหมือนตกเข้าไปในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลของเจ๋อเซียนท่านหนึ่ง แล้วหายวับไปอย่างสิ้นเชิง
แม้แต่วานรขาวที่หล่อหลอมมันมานานเป็นพันปีก็ยังสัมผัสไม่ถึง
ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาสองแห่งของภูเขาไท่ผิงซาน กระจกจันทร์กระจ่างที่เป็นดั่งดวงจันทร์ลอยขึ้นกลางนภามีไว้เพื่อใช้ส่องปีศาจตามหาตัวภูตผี ต่อให้เป็นนักพรตขอบเขตหยกดิบก็ยังถูกมันกักขังไว้ด้านในครู่หนึ่ง แต่กระบวนท่าสังหารที่แท้จริงกลับตามมาติดๆ หลังจากนั้น นั่นก็คือกระบี่เซียนบรรพกาลที่สร้างเลียนแบบกระบี่สี่เล่มซึ่งบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาที่มีตบะเลิศล้ำค้ำฟ้าของภูเขาไท่ผิงทุ่มทั้งแรงคนและทรัพย์สินสร้างขึ้นมา แม้จะเป็นของเลียนแบบ แต่ทุกเล่มล้วนมีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียน หลังจากกระบี่ทั้งสี่เล่มก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกล พลานุภาพก็จะยิ่งผงาดค้ำฟ้า สามารถเทียบกับอาวุธเซียนที่ใช้ในการพิฆาตสังหารอย่างแท้จริงชิ้นหนึ่งได้เลยทีเดียว
แต่กระบี่ที่วานรขาวตัวนี้สะพายอยู่ด้านหลังกลับเป็นหนึ่งในกระบี่สี่เล่มพอดี
ในฐานะข้ารับใช้ผู้พิทักษ์ขุนเขา เวลาสามพันปีที่ผ่านมา มันไม่เพียงแต่ไล่จับและสังหารพวกปีศาจใหญ่ในบ่ออเวจีที่ ‘หนีไป’ แต่ยังเคยแอบลงจากภูเขาไปสังหารศัตรูนับครั้งไม่ถ้วน คุณความชอบที่มันสร้างไว้มีมากมายเกินจะกล่าวได้หมด
สุดท้ายเมื่อหนึ่งพันปีก่อน เจ้าสำนักของภูเขาไท่ผิงในปีนั้นไม่สนใจคำคัดค้านของผู้คนมากมาย ยืนกรานจะมอบกระบี่โบราณเล่มหนึ่งให้กับวานรขาวที่ ‘มีคุณูปการมากมายจนมิอาจโต้แย้งได้’
แม้ว่าวานรขาวจะไม่สามารถควบคุมค่ายกลใหญ่สี่กระบี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่หากคิดจะอาศัยช่องโหว่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งกลับง่ายมาก หากเป็นเซียนดินทั่วไปที่อยู่ภายใต้สถานการณ์เร่งด่วนแล้วถูกบีบให้ควบคุมค่ายกลใหญ่อย่างฉุกละหุก วานรขาวยังสามารถบังคับให้กระบี่ทั้งสี่เล่มแว้งกลับมาเล่นงานผู้ควบคุมค่ายกลได้
ไม่มีกระบี่โบราณที่เป็นทั้งกระบี่ประจำกายและวัตถุแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นแล้ว
วานรขาวก็หรี่ตาลงเล็กน้อย กระตุกมุมปาก ความเคลื่อนไหวที่เล็กน้อยนี้กลับเต็มไปด้วยความอำมหิตป่าเถื่อนและกลิ่นคาวเลือดที่คลุ้งตลบฟ้า
จงขุยเอามือหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างหนึ่งถือเหล็กหมาดหิมะ เริ่มเขียนตัวอักษรแรกลงไปเหมือนอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ
ผู้เป็น
ตัวอักษรที่สอง อริยะ
ตัวอักษรที่สาม เคย
ตัวอักษรที่สี่ กล่าวไว้ว่า
พู่กันตวัดรัวเร็วยิ่งยวด
ตัวอักษรทุกตัวที่อยู่เบื้องล่างพู่กันเหล็กหมาดหิมะล้วนลอยอยู่เบื้องหน้าจงขุย พลังอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล
บนภูเขาไท่ผิง ลมหอบเอาก้อนเมฆให้กลิ้งซัดหลุนๆ เข้ามา
วานรขาวส่ายหน้าเบาๆ
novel-lucky
ร่างของมันพุ่งวูบออกไป
วานรขาวใช้มือสองข้างเป็นท่าถือดาบพุ่งผ่านปากบ่ออเวจีตรงเข้าหาจงขุย
ครั้นจึงฟันดาบออกไปเป็นแนวขวาง
ไม่มอบความหวังใดๆ ให้แก่วิญญูชนหนุ่มผู้นี้อีก
ไม่ได้หมายความว่าเมื่อจงขุยเขียนบทความนั้นได้สำเร็จแล้ว วานรเฒ่าจะไร้หนทางให้รับมือ
เพราะถึงอย่างไรตอนที่มันออกจากด่านมาก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินแล้ว
มันทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย จึงจงใจกดขอบเขตเอาไว้นานถึงห้าร้อยปี
เว้นเสียแต่ว่าจงขุยที่เป็นขอบเขตก่อกำเนิดคือมรรคาจารย์เต๋าหรือศาสดาพุทธกลับชาติมาเกิด หาไม่แล้วตรงกลางมีขอบเขตหยกดิบกั้นขวาง อีกทั้งยังเกี่ยวพันกับร่องลึกปราการธรรมชาติที่อยู่ระหว่างห้าขอบเขตกลางกับห้าขอบเขตบน จงขุยจะรอดชีวิตไปได้อย่างไร?
หากจงขุยสามารถควบคุมค่ายกลปกป้องภูเขาไท่ผิงทั้งสองอย่างได้ในเวลาเดียวกันก็ว่าไปอย่าง
น่าเสียดายก็แต่ค่ายกลใหญ่ทั้งสองแห่งนี้ เว้นเสียจากว่าเจ้าสำนักและบรรพจารย์ท่านนั้นมาเป็นผู้ควบคุมเอง หาไม่แล้วก็ล้วนถูกวานรขาวมองข้ามไปได้อย่างสิ้นเชิง
แต่ว่าหากมันยังอยู่ต่อที่ภูเขาไท่ผิงนานกว่านี้อีกหน่อยย่อมเป็นปัญหายุ่งยากมาก ปัญหาใหญ่เทียมฟ้าอย่างแท้จริง
เมื่อวานรขาวพลิ้วกายลงบนตำแหน่งที่จงขุยยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง ร่างของจงขุยถูกฟันออกเป็นสองท่อน ข้างศพทั้งสองซีกมีเลือดไหลนองเต็มพื้น
ตัวอักษรสีทองสี่ตัว เหล็กหมาดหิมะด้ามเล็กหนึ่งด้ามล้วนถูกทำลายจนสิ้น
โอสถทองที่เปี่ยมไปด้วยปราณของความเที่ยงธรรมไม่หลงเหลืออยู่นานแล้ว ร่างทารกก่อกำเนิดที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดก็ยิ่งแหลกสลายหายไป
นี่ก็คือจุดจบที่มาจากการลงมืออย่างเต็มกำลังของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสองคนหนึ่ง
วานรขาวยื่นมือไปคว้า กระชากยันต์สีเขียวแผ่นหนึ่งที่มีรอยปริแตกมาจากความว่างเปล่า สองนิ้วขยี้หนึ่งครึ่งก็ดึงเอากระบี่โบราณที่หลุดพ้นจากกรงขังสอดกลับเข้าฝักด้านหลัง
วานรขาวชำเลืองตามองบัณฑิตชุดเขียวที่เทพเซียนก็ช่วยไม่ได้ สุดท้ายจึงเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า นี่เป็นประโยคแรกที่มันเอ่ยออกมา ถ้อยคำนั้นเนิบช้ายิ่ง “ก็ถือว่าตายเพื่อความยุติธรรมแล้ว”
มันแหงนหน้าขึ้น กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ตลอดทั้งภูเขาไท่ผิงก็สั่นสะเทือนตามไปด้วย ร่างของมันทะยานขึ้นสูงไปถึงยอดของภูเขาไท่ผิง ครั้นจึงหมุนตัวพุ่งทะยานไปทางทิศใต้อย่างรวดเร็ว
หลังจากภูเขาสั่นสะเทือนก็เหมือนว่าชั้นใต้ดินของบ่ออเวจีจะไม่เหลือพันธนาการอีก ปราณชั่วร้ายพลันทะยานขึ้นฟ้าแผ่อวลไปทั่วทั้งปากบ่อ
ภูตผีปีศาจที่ถูกสยบอยู่ในบ่ออเวจีมานานปี หลังจากผ่านความตื่นตะลึง เลื่อนลอยในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็แผดเสียงหัวเราะดังลั่น เหล่าภูตผีปีศาจที่ใจคิดอยากจะให้คนของภูเขาไท่ผิงถูกฆ่าล้างจนสิ้นซากกำลังจะพุ่งออกมาจากบ่ออเวจี ทว่าปราณปีศาจชั่วร้ายที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามนี้กลับหยุดชะงักแข็งค้าง เริ่มลังเลตัดสินใจไม่ได้
ที่แท้
ห่างออกไปไกลทางเหนือของภูเขาไท่ผิงมีจุดแสงจุดหนึ่งปรากฏขึ้น
จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องดังครืนครั่นต่อเนื่องไม่ขาดสาย ทะเลเมฆปั่นป่วนแหลกกระจุยกระจาย
ภูเขาสั่นสะเทือนอีกครั้ง แล้วผู้เฒ่าสวมชุดเต๋าเรือนกายสูงใหญ่ เส้นผมขาวโพลนเต็มศีรษะก็พลิ้วกายลงมายืนอยู่ข้างศพของจงขุย ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นและละอายใจ
กายธรรมร่างทองทะยานขึ้นจากพื้นดินจนแทบจะสูงเสียดเมฆทัดเทียมกับระดับความสูงของภูเขาไท่ผิง ชูมือข้างหนึ่งขึ้นสูง ด้านบนภูเขาก็มีพระจันทร์กลมโตดุจถาดหยกทรงกลมลอยขึ้นมา ถูกนักพรตผู้เฒ่าที่เรือนกายใหญ่โตดุจขุนเขาถือไว้ในมือแล้วส่องไปทางทิศใต้
ขณะเดียวกันก็สะบัดชายแขนเสื้อ แสงกระบี่สามเส้นพุ่งขึ้นจากสามทิศทางอย่างออกตกและใต้ของภูเขาไท่ผิง สุดท้ายพากันมาลอยขนาบข้างกายธรรมร่างทอง
นักพรตท่านนี้ก็คืออาจารย์อาของเจ้าสำนักภูเขาไท่ผิงคนปัจจุบัน
ปีนั้นศิษย์พี่ดึงดันจะมอบหนึ่งในกระบี่เซียนให้กับวานรขาว เขาก็คือคนที่ต่อต้านมากที่สุดคนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้สองศิษย์พี่ศิษย์น้องที่สนิทสนมจึงกลายมาเป็นเหมือนคนแปลกหน้าต่อกัน
ซ้ำร้ายยังมีคนนอกคนหนึ่งที่ลำดับศักดิ์เท่าเทียมกับพวกเขาสองศิษย์พี่ศิษย์น้องพูดจาเย้ยหยันเขาให้คนอื่นฟังว่า เขาอิจฉาที่สัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งได้โชควาสนาไปครอบครอง
ในมือของบรรพจารย์ขอบเขตเซียนเหรินของภูเขาไท่ผิงท่านนี้ถือกระจกจันทร์กระจ่างที่ส่องแสงโชติช่วงไม่ต่างจากดวงจันทร์บนนภาไล่ตรวจหาไปรอบด้านอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ส่องไปเห็นวานรขาวที่หลบหนีไปได้ไกลนับพันนับหมื่นลี้ตัวนั้น
เสียงของกายธรรมร่างทองประหนึ่งเสียงสายฟ้าระเบิด “เจ้าเดรัจฉานเฒ่าเนรคุณ! ข้าผู้เป็นนักพรตจะต้องสับศพเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น!”
ถ้อยคำเปล่งออกไป คาถาอาคมก็ตามติด
บทที่ 351.3 วานรขาวลากดาบ คำพูดของวิญญูชน
ProjectZyphon
กระบี่เซียนพิทักษ์ภูเขาไท่ผิงทั้งสามเล่มกลายเป็นแสงสว่างเจิดจ้าสามเส้นที่ส่องพื้นที่โดยรอบในรัศมีพันลี้ให้สว่างราวกับเวลากลางวัน พวกมันพุ่งผ่านกลางอากาศไล่ตามวานรขาวที่หลังจากกระทำการชั่วร้ายแล้วก็พยายามเผ่นหนีไปทางทิศใต้อย่างสุดชีวิต
วานรขาวสะพายกระบี่ตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด มันยื่นมือออกมาดึงกระบี่ด้านหลังซึ่งเป็นหนึ่งในกระบี่เซียนสี่เล่มออกจากฝัก บังคับให้พุ่งเข้าชนลำแสงสีเขียวมรกตหนึ่งในสามเส้น
มันแค่ต้องการให้กระบี่สามเล่มของภูเขาไท่ผิงหยุดชะงักไปเล็กน้อยเท่านั้น
บรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิงยิ่งลงมือโหดเหี้ยมกว่าเดิม เขาถึงขั้นยอมให้กระบี่โบราณที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษสองเล่มพินาศวอดวายไปพร้อมกัน กระบี่เล่มหนึ่งระเบิดแสงเจิดจ้าสะท้านฟ้าสะเทือนดินพร่างพราวอยู่กลางอากาศ นักพรตเฒ่ายังคงควบคุมกระบี่บินสองเล่มอย่างไม่ลังเล กระบี่เล่มหนึ่งพุ่งเข้าจ้วงแทงวานรขาวที่ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงทิศทางอย่างไรก็หลบเลี่ยงไม่พ้น ทว่าวานรขาวกลับยังคงไม่ปล่อยให้กระบี่เล่มนั้นแทงทะลุศีรษะของมันโดยตรง แต่ใช้แผ่นหลังเข้ารับ ปล่อยให้กระบี่แทงหัวใจทางด้านหลังแทน
นี่บีบให้วานรขาวจำต้องเผยร่างกายธรรมร้อยจั้ง สองเท้ากระทืบลงบนภูเขาและแม่น้ำอย่างหนัก สองมือกำกระบี่โบราณเล่มที่สองเอาไว้แน่น
มือทั้งสองข้างของวานรยักษ์เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด เรือนกายสูงใหญ่มโหฬารถอยกรูดออกไป สุดท้ายก็ไม่อาจจับกุมกระบี่โบราณเล่มนั้นไว้ได้ กระบี่หลุดพ้นจากพันธนาการแทงเข้าผ่านหัวใจแล้วทะลุร่างของมันออกไป
วานรขาวร่างยักษ์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสสองครั้งไม่อาจรักษาร่างกายธรรมเอาไว้ได้อีก จึงกลับคืนสภาพมามีความสูงเท่าคนธรรมดาอีกครั้ง และบาดแผลนั้นก็ทำลายลึกไปถึงรากฐานมหามรรคาของมัน มันได้แต่พยายามหนีไปทางใต้อย่างสุดชีวิตต่ออีกครั้ง
ก่อนที่ร่างยักษ์ของวานรเฒ่าจะหายไป มันหัวเราะเหี้ยมพลางกล่าวว่า “เจ้าไม่คิดจะช่วยจงขุยผู้นั้นเลยหรือ?! เจ้ายังมีโอกาสเหลืออีกเสี้ยวหนึ่ง สรุปว่าเจ้าจะช่วยคนหรือฆ่าปีศาจกันแน่ ฆ่าปีศาจก็เท่ากับฆ่าคน ฮ่าๆ …”
หลังจากที่ปีศาจใหญ่ตนนี้ห้อตะบึงออกได้หลายร้อยลี้ก็ถูกกระบี่โบราณที่เนื่องจากอยู่ห่างจากภูเขาไท่ผิงไกลเกินไป ในที่สุดก็เผยร่างจริงแทงทะลุเรือนกายอีกสองครั้ง
นักพรตเฒ่าถอนหายใจหนึ่งที เดิมทีเขาก็ฝืนบังคับเปลี่ยนชะตาภูเขาและแม่น้ำทำให้ภูเขาไท่ผิงทรุดโทรมลงเร็วอยู่แล้ว แล้วยังฝืนเคลื่อนย้าย ‘กายธรรม’ ของตลอดทั้งภูเขาไท่ผิงให้บุกรุดไปข้างหน้าหลายร้อยลี้ นี่ก็เพื่อประคับประคองพลานุภาพของกระบี่เซียนทั้งสองเล่มเอาไว้ แต่หากเขาทำอย่างนี้ บัณฑิตที่นอนอยู่ข้างบ่ออเวจีตรงกึ่งกลางภูเขาก็คงสูญเสียโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งไปแล้ว ถึงอย่างไรเมื่อครู่นี้หลังจากที่เขาใช้กายธรรมร่างทองแล้ว ร่างจริงยังคงอยู่ที่เดิมเพื่อช่วยรวบรวมจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของจงขุย พยายามที่จะฝืนเปลี่ยนชะตาฟ้าลิขิต ทำให้เขายังเป็น ‘คนมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์’ เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่ขัดต่อวิถีสวรรค์อยู่แล้ว ย่อมต้องสร้างความเดือดดาลแก่ดินแดนเฟิงตูในยมโลก ขอแค่ลมปราณบนภูเขาของภูเขาไท่ผิงเกิดการเคลื่อนไหว ไม่แน่ว่าทางดินแดนเฟิงตูอาจจะฉวยโอกาสนี้บุกเข้ามาช่วงชิงจิตหยินที่หลงเหลืออยู่อีกไม่มากของจงขุยไป
นี่จึงเป็นสาเหตุให้สัตว์เดรัจฉานตัวนั้นพูดว่าฆ่าปีศาจก็คือฆ่าคน
คาดว่าการที่มันไม่ได้ทำลายดวงจิตต้นกำเนิดของจงขุยให้สิ้นซากก็คงเป็นหนึ่งในแผนการของวานรขาวตัวนั้นด้วย
บริเวณใกล้กับบ่ออเวจี เบื้องหน้านักพรตเฒ่ามีจิตหยินที่ล่องลอยไม่หยุดนิ่งดวงหนึ่ง นั่นก็คือบัณฑิตชุดเขียวสีหน้าซีดขาว วิญญูชนจงขุย
นักพรตเฒ่าเอ่ยเสียงหนัก “เป็นภูเขาไท่ผิงของข้าที่ผิดต่อเจ้า อาจารย์จง ข้าผู้เป็นนักพรตไม่มีหน้าจะไปพบสำนักศึกษาต้าฝูแล้ว”
หากพูดกันตามลำดับศักดิ์ของนักพรตเฒ่าขอบเขตเซียนเหริน ไม่ว่าจะเป็นสำนักอย่างภูเขาไท่ผิงหรือตลอดทั้งใบถงทวีป เขาก็ล้วนถือเป็นเทพเซียนกลางเมฆาที่ยืนอยู่บนยอดสูงสุดของภูเขา ผู้เฒ่าเรียกคนหนุ่มอย่างจงขุยว่าอาจารย์ก็ถือว่าเป็นการให้การยอมรับอย่างยิ่งใหญ่แล้ว
เพียงแต่ว่าคนก็ตายไปแล้ว เหลือเพียงจิตหยินอ่อนแอหนึ่งดวงที่อาจจะสลายหายไปจากฟ้าดินได้ทุกเมื่อ แล้วจะยังมีประโยชน์อะไร?
ทว่าการกระทำของบรรพจารย์แห่งภูเขาไท่ผิงคนนี้กลับคู่ควรกับคำว่า ‘เจินเหริน’ แล้ว
จิตหยินของจงขุยส่ายหน้าพร้อมคลี่ยิ้มบางเบา ริมฝีปากขยับนิดๆ ไม่มีเสียงใดๆ ดังอยู่ในใต้หล้าไพศาล แต่นักพรตเฒ่าย่อมเข้าใจในสิ่งที่เขาเอ่ยออกมา “ท่านเจินเหรินผู้เฒ่าไม่ต้องละอายใจ เป็นข้าเองที่ต้องเจอกับหายนะครั้งนี้ ไม่อาจหลีกหนีได้พ้น หากไม่ใช่ที่ภูเขาไท่ผิง ก็ย่อมต้องเป็นที่สำนักศึกษาต้าฝู หรือไม่ก็ที่อื่นๆ ในใบถงทวีป”
ข้างบ่ออเวจียังมีนักพรตสาวอีกคนหนึ่ง
ริมฝีปากที่เม้มแน่นของนางมีเลือดซึมออกมา
นางก็คือหวงถิงที่เดิมทียังต้องอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวต่ออีกหกสิบปี หรือควรจะเรียกนางอีกอย่างว่าฝานกว่านเอ่อร์ ถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซิน
ตลอดทั้งภูเขาไท่ผิงนี้ นางเป็นคนที่โกรธเคืองขุ่นแค้นยิ่งกว่าใคร
วานรขาวที่สะพายกระบี่ไว้บนแผ่นหลังตัวนั้นเคยเป็นหนึ่งในโชควาสนาบนเส้นทางการฝึกตนของนาง มันถ่ายทอดวิชาสะพายกระบี่ที่ไม่เคยบันทึกไว้ในสำนักให้แก่นาง นางจดจำไว้ได้ขึ้นใจ ถึงขั้นพาไปที่พื้นที่มงคลดอกบัวด้วย ดังนั้นในยุทธภพถึงมีคำกล่าวว่า ‘ฝานกว่านเอ่อร์ที่สะพายหรือไม่สะพายกระบี่ คือคนละคนกันอย่างสิ้นเชิง’
วานรเฒ่าเคยพานางเดินเข้าไปในจุดลึกของบ่ออเวจีหลายครั้งเพื่อขัดเกลาจิตแห่งกระบี่ ช่วยในการฝึกตนของนาง
นางต้องสังหารมันกับมือตัวเอง แล้วค่อยถามมันว่า เคยเสียใจกับการทรยศหักหลังภูเขาไท่ผิงบ้างไหม!
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดมันถึงเลือกจะทรยศ หวงถิงไม่คิดจะถาม แล้วก็ไม่เต็มใจอยากจะถาม!
ร่างของจงขุยตายไปแล้ว บนยอดเขาของภูเขาไท่ผิงปรากฏน้ำวนสีดำขนาดใหญ่ยักษ์ลูกหนึ่ง พอจะมองเห็นเรือนกายมโหฬารที่บนศีรษะสวมมงกุฎจักรพรรดิกำลังหลุบตามองต่ำมายังภูเขาไท่ผิงได้รางๆ
จิตหยินของจงขุยเงยหน้าขึ้นมองแล้วคลี่ยิ้มเศร้าสลด
เดิมทีนักพรตเฒ่าคิดจะเก็บกายธรรมร่างทองลงไป แต่อยู่ดีๆ เข่าของกายธรรมร่างทองก็งอลงเล็กน้อย จากนั้นก็กระโดดขึ้นสูง มือทั้งสองข้างต่อยน้ำวนลูกนั้นให้แตกสลายไปโดยตรง
เพียงแต่ว่ากายธรรมร่างทองของนักพรตเฒ่าก็แหลกสลายตามไปด้วย
ค่าตอบแทนนี้ยิ่งใหญ่จนมิอาจจินตนาการได้
จงขุยกำลังจะอ้าปากพูด
นักพรตเฒ่ากลับโบกมือ คลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “เรื่องของการฝึกตน ขอบเขตอะไรนั่นจะนับเป็นผายลมอะไรได้ สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็คือการทำให้ตัวเองรู้สึก…สาแก่ใจ!”
กล่าวจบสีหน้าของนักพรตเฒ่าก็หม่นหมองเล็กน้อย
อาจารย์จงขุยท่านนี้ ไม่พูดถึงอนาคตอันยิ่งใหญ่ยาวไกลที่จะได้เป็นว่าที่อริยะหรือผู้อำนวยการใหญ่อะไร ลำพังแค่นิสัยของเขา วิญญูชนที่มีบุคลิกนิสัยเช่นนี้ ไม่ควรเลยที่จะต้องมาตายก่อนวัยอันควรแบบนี้
หวงถิงหันไปถ่มเลือดทิ้งคำหนึ่ง แล้วพูดกับนักพรตเฒ่าว่า “บรรพจารย์ ข้าจะลงจากภูเขา!”
นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “หากวานรขาวยังไม่ตาย เจ้าหวงถิงห้ามกลับคืนสู่ภูเขา หากไม่หิ้วหัวของมันกลับมา เจ้าก็จงไปตายอยู่ข้างนอกนั่นเถิด กระบี่โบราณพิทักษ์ภูเขาสองเล่มนั้น เจ้าสามารถยืมใช้ได้หกสิบปี หลังจากนั้นก็อาศัยความสามารถของตัวเองไล่ฆ่าวานรขาวซะ”
หวงถิงกล่าวเสียงหนัก “หวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิงน้อมรับคำสั่งจากท่านบรรพจารย์!”
นักพรตหญิงกลายร่างเป็นรุ้งเส้นหนึ่งที่พุ่งทะยานไปทางทิศใต้
ถึงอย่างไรบรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิงก็ไม่ใช่คนที่พูดเก่งอะไรนัก อีกอย่างในใจเขาก็เต็มไปด้วยความละอาย เวลานี้จึงยิ่งเงียบงันมากกว่าเดิม
จุดลึกในใจจงขุยก็มีความละอายใจอยู่เช่นกัน
ดวงตาของนักพรตเฒ่าพลันมีประกายของความประหลาดใจปรากฏขึ้น
เห็นเพียงว่าบริเวณใกล้กับบ่ออเวจีมีลมเย็นสองขุมโชยมาหาจิตหยินของจงขุย แล้วล้อมวนอยู่รอบกายเขา
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีเหล็กหมาดหิมะด้ามเล็กที่เป็นสีใสโปร่งแวววาวเล่มหนึ่งซึ่งไม่ใช่ของที่จับต้องได้จริงมาลอยอยู่เบื้องหน้าจงขุย
และยิ่งมีชุดสีแดงสดลักษณะคล้ายชุดขุนนางในสมัยโบราณชุดหนึ่งพลิ้วร่วงลงมาจากตำแหน่งที่น้ำวนสลายหายไป
จงขุยมองเหล็กหมาดหิมะด้ามนั้น ลังเลอยู่ชั่วขณะก็กุมไว้ในมือเบาๆ
ชุดขุนนางสีแดงห่มคลุมอยู่บนร่างของจงขุย
ลมฤดูใบไม้ร่วงเย็นเฉียบสองขุมกรูกันเข้าไปอยู่ในชายแขนเสื้อใหญ่
ขณะเดียวกันนั้น
เบื้องใต้บ่ออเวจี เหล่าภูตผีปีศาจที่ว่านอนสอนง่ายดุจสุนัขที่เลี้ยงในบ้านก็ไม่เพียงแต่ถอยกลับเข้าไปอยู่ในคุกที่คุมขังพวกมันเหมือนเดิม อยู่ดีๆ ยังถอยกรูดไปด้านหลัง จนกระทั่งไม่เหลือทางให้ถอยอีกต่อไป
จงขุยนึกถึงคำพยากรณ์ประโยคนั้นขึ้นมา
เขาไม่ใช่บัณฑิตชุดเขียวอีกต่อไป แต่เป็นจิตหยินของจงขุยที่สวมใส่ชุดคลุมสีแดง พึมพำเบาๆ ว่า “ก่อนที่จงขุยจะลงจากภูเขา หมื่นภูตผีบนโลกไร้ความหวาดเกรง”
เขาหันหน้ามองไปแล้วหลุดปากพูดกับบ่ออเวจีว่า “ได้แต่โขกหัวกราบกราน”
ในบ่ออเวจีจึงมีแต่เสียงโขกศีรษะดังขึ้นนับไม่ถ้วน
นักพรตเฒ่าลูบหนวดยิ้ม
จากขอบเขตเซียนเหรินกลับมาเป็นหยกดิบ ดูท่าการถดถอยของขอบเขตในครั้งนี้จะไม่ได้เสียเปล่า
จงขุยพลันตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาเงียบงันไปเป็นนาน
สุดท้ายถึงเปิดปากเอ่ยว่า “เจินเหรินผู้เฒ่า ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้อง”
นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “ขอแค่เจ้าไม่บอกให้ข้าผู้เป็นนักพรตโขกหัวคำนับเจ้าก็ล้วนได้หมด”
จงขุยหลุดหัวเราะพรืด สุดท้ายกุมมือคารวะ “แม้ข้าจะเป็นวิญญาณแล้ว ทว่าภูเขาไท่ผิงซานกลับเป็นคนที่แท้จริง (ตรงกับคำว่าเจินเหรินที่หมายถึงผู้ที่บำเพ็ญพรตจนบรรลุธรรม)”
นักพรตเฒ่าตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่จากนั้นก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “คำประจบเช่นนี้ ถูกใจนัก!”
…….
กลางดึกของคืนนี้ อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็จิตใจว้าวุ่นหงุดหงิด จึงออกมาฝึกวิชากระบี่ในลานกว้างด้านนอกโรงเตี๊ยมของจุดพักม้า
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมิอาจทำใจให้สงบลงได้
เขาพลันเงยหน้าขึ้น
ม่านฟ้าที่ห่างไปไกลปรากฏริ้วกระเพื่อมบางเบาจนแทบไม่อาจสังเกตเห็น
เฉินผิงอันก้าวถอยหลังไปหลายก้าว กระบี่บินชูอีกับสืออู่ต่างก็พุ่งพรวดออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
แต่ไม่นานเฉินผิงอันก็ถอนหายใจโล่งอก
เพราะเขาเห็นว่าเป็นวิญญูชนจงขุยที่สวมชุดคลุมสีแดงแปลกประหลาด ข้างกายยังมีนักพรตเฒ่าเส้นผมขาวโพลนอยู่อีกคนหนึ่ง
นักพรตเฒ่ามองเฉินผิงอันแล้วผงกศีรษะให้เขาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันมาพูดกับจงขุยเบาๆ ว่า “พวกเจ้าคุยกันไปเถอะ คุยกันจบแล้วก็บอกข้าผู้เป็นนักพรต ข้าจะรีบพาเจ้าออกไปจากที่นี่ ตอนนี้เจ้ายังไม่สามารถอยู่ในโลกมนุษย์ได้นานเกินไปนัก”
หัวใจของเฉินผิงอันหดรัดตัว
จงขุยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น ให้ข้าเล่าให้เจ้าฟังเองแล้วกัน”
หลังจากเล่าถึงศึกบนภูเขาไท่ผิงให้ฟังคร่าวๆ จบ จงขุยทำตัวราวกับเป็นคนนอกสถานการณ์คนหนึ่ง เขาเล่าอย่างราบเรียบไร้รสชาติ ไม่น่าตื่นเต้นตกใจเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งบนใบหน้ายังมีรอยยิ้ม พูดเจื้อยแจ้วว่าเอาชนะปีศาจใหญ่วานรขาวตัวนั้นไม่ได้ ฝีมือเก่งกาจไม่เท่าคนอื่น เลยถูกคนอื่นใช้สองกระบี่กับหนึ่งดาบฆ่าตาย กลายมาเป็นวิญญาณผีเร่ร่อน วันหน้าไม่อาจเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาได้อีกแล้ว…
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเดือดดาล “อย่างนี่เนี่ยนะ? ตายแล้ว?!”
เขาชี้หน้าจงขุย “เปลี่ยนจากคนไปเป็นผีทั้งอย่างนี้เนี่ยนะ? เจ้าเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาไม่ใช่หรือ? สามารถปล่อยจิตหยินจิตหยางออกจากช่องโพรงได้ไม่ใช่หรือไร?”
กล่าวมาถึงท้ายที่สุด น้ำเสียงของเฉินผิงอันก็ยิ่งแผ่วเบาลงทุกที สีหน้าของเขาเลื่อนลอย ถามเบาๆ ว่า “ตายได้อย่างไรกัน?”
กล่าวประโยคนี้แล้ว เฉินผิงอันก็พูดอะไรไม่ออกอีก
ในสมองมีภาพเหตุการณ์แล่นผ่านไปเหมือนโคมไฟม้าวิ่ง สุดท้ายหยุดอยู่ที่ภาพเหตุการณ์หนึ่ง
มีบัณฑิตจอมเสเพลไม่ชอบตกอยู่ใต้อาณัติใครคนหนึ่งนั่งยองอยู่บนพื้นผิวแม่น้ำ รู้สึกว่าผีสาวหน้าตางดงามจึงดึงกระชากผมของผีสาว คิดอยากจะเห็นหน้านางสักครั้ง
เหตุใดบัณฑิตที่อยู่ในใจของตนจึงตายแล้ว?
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาตามจิตใต้สำนึก แต่แล้วก็ผูกมันกลับตรงเอวเงียบๆ
เหล็กหมาดหิมะด้ามนั้นหยุดลอยอยู่เบื้องหน้าจงขุย เห็นได้ชัดว่าได้ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิตหยินของจงขุยไปแล้ว
จงขุยกล่าวอย่างระมัดระวัง “เฉินผิงอัน ก่อนหน้านี้ตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เป็นข้าที่ไร้คุณธรรม จงใจเล่นตุกติกกับเหล็กหมาดหิมะด้ามนี้ของเจ้า จะตีจะด่า เชิญเจ้าตามสบาย!”
เฉินผิงอันถาม “คำพูดของวิญญูชน ประโยคหลังว่าอย่างไรแล้วนะ?”
จงขุยกล่าวอย่างร้อนตัวเหมือนวัวสันหลังหวะ “รถเทียมม้าสี่ตัวก็ยากจะตามทัน?” (เปรียบเปรยว่าคำพูดเมื่อพูดออกมาแล้ว ไม่สามารถเก็บกลับคืนได้ ต้องพูดคำไหนเป็นคำนั้น)
เฉินผิงอันนั่งลงบนม้านั่งข้างโต๊ะหิน จงขุยเกาหัวนั่งลงด้านข้าง
เฉินผิงอันกล่าว “ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็ตายไปแล้ว ไม่ใช่วิญญูชนอะไรอีกแล้ว”
มโนธรรมในใจจงขุยยิ่งไม่อาจสงบลงได้
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมองจงขุย เอ่ยเนิบช้าว่า “แต่เรื่องที่ข้าเคยรับปากคนอื่น ข้าจะต้องทำให้ได้ กับอาจารย์ฉีเป็นเช่นนี้ กับเจ้าจงขุยก็เป็นเช่นเดียวกัน”
จงขุยเริ่มมึนงง “หืม?”
เฉินผิงอันตาแดงก่ำ พูดช้าๆ ว่า “บอกว่าให้เจ้ายืมก็คือให้เจ้ายืม หนึ่งปีคือให้ยืม หนึ่งร้อยหนึ่งพันปีก็คือให้ยืมเหมือนกัน”
จงขุยเงียบงัน
สุดท้ายเฉินผิงอันถามว่า “หนึ่งพันปีไม่พอ หนึ่งหมื่นปีพอหรือไม่?”
จงขุยพยักหน้ารับเบาๆ
เขาลุกขึ้นยืน เฉินผิงอันจึงลุกตามด้วย
จงขุยยิ้มกว้างอย่างสดใสอีกครั้ง “จงขุย ภูตผีแห่งใบถงทวีป! ข้ามีสหายอยู่คนหนึ่ง แซ่เฉินนามผิงอัน!”
เฉินผิงอันถลึงตาใส่เขาหนึ่งครั้ง แต่จากนั้นก็ยิ้มกว้างตามไป “เฉินผิงอัน มือกระบี่แห่งแจกันสมบัติทวีป! ข้าได้รู้จักวิญญูชนเจิ้งเหรินคนหนึ่ง ชื่อว่าจงขุย”
ห่างออกไปไกล
บรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิงลูบหนวดพลางพยักหน้า เอ่ยชื่นชมว่า “หนึ่งร้อยหนึ่งพันปีให้หลัง การพบกันคืนนี้ก็จะกลายมาเป็นเรื่องเล่าที่งดงามเรื่องหนึ่งหรือไม่?”
บทที่ 352.1 อายุสิบเอ็ดปีหน้า
ProjectZyphon
หลังจากจงขุยไปจากจุดพักม้าแล้วก็ถูกนักพรตผู้เฒ่าเก็บไว้ในไม้ไหวเก่าแก่ลักษณะคล้ายไม้ปลุกสติ (ไม้ปลุกสติลักษณะเป็นไม้สี่เหลี่ยมทรงยาวที่มีมุมมีเหลี่ยม ใช้เคาะในศาลให้คนเงียบเสียงลง) ชิ้นหนึ่ง แต่แล้วนักพรตเฒ่าก็พลันหมุนตัวกลับ ย่อพื้นที่พันลี้ให้สั้นลงเหลือในระยะประชิด ก้าวเดียวก็มาหยุดอยู่ตรงเรือนที่พักของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันที่ยังยืนเหม่อ สติยังไม่กลับคืนเข้าร่างรีบโค้งตัวกุมหมัดคารวะ “ผู้น้อยเฉินผิงอันคารวะเซียนซือผู้เฒ่า”
ก่อนหน้านี้จงขุยเล่าเรื่องที่ร่างของตัวเองมอดม้วยมรรคาแหลกสลายด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายเหมือนเป็นเรื่องสบายๆ ทว่าตอนที่พูดถึงนักพรตของภูเขาไท่ผิงกลับไม่ปกปิดความใกล้ชิดสนิทสนมของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
นักพรตเฒ่ายื่นมือออกมากดลงเบื้องล่างสองที “ไม่จำเป็นต้องมากพิธี”
เฉินผิงอันยืดเอวขึ้นตรงแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าเซียนซือผู้เฒ่าไปแล้วย้อนกลับมา มีธุระอันใด?”
นักพรตเฒ่ามองเฉินผิงอันแล้วพยักหน้า “ผูกใจได้มั่นคง จึงจะถือว่าเป็นวีรบุรุษตัวจริง มิน่าเล่าทั้งหวงถิงและจงขุยต่างก็มองเจ้าไม่เหมือนมองผู้อื่น”
เฉินผิงอันฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก
นักพรตเฒ่าอารมณ์ไม่เลว จึงถามด้วยรอยยิ้ม “เรียกตัวเองว่ามือกระบี่ แล้วกระบี่ของเจ้าเล่า?”
นักพรตเฒ่าแห่งภูเขาไท่ผิงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นกระบี่บินชูอีกับสืออู่ที่ออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก่อนหน้านี้
เฉินผิงอันบอกไปตามความจริง “ก่อนหน้านี้ฝึกวิชาหมัด เพิ่งจะฝึกวิชากระบี่ได้ไม่นาน ดังนั้นการฝึกกระบี่ในช่วงนี้จึงแค่ทำท่าจับกระบี่เสมือนจริงและจินตนาการภาพไว้ในใจเท่านั้น”
นักพรตเฒ่าพูดพึมพำกับตัวเอง “หากรู้ว่าเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ก่อนหน้านี้ก็ไม่ควรงัดข้อกับคนอื่นเรื่องการอนุมาน สุดท้ายไม่เพียงแต่พ่ายแพ้ ยังพลาดโอกาสที่จะได้มองดูสภาพการณ์ของเจ้าในพื้นที่มงคลดอกบัวด้วย”
นักพรตเฒ่าเรือนกายสูงใหญ่ บนศีรษะสวมกวานดอกบัวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหนึ่งในสามสายของลัทธิเต๋า ชุดคลุมเต๋าที่สวมใส่เป็นสีขาวสะอาด อีกทั้งยังมีหนวดขาวผมขาว มองดูแล้วจึงเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเซียน
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรจึงไม่ได้พูดอะไรไป
เผชิญหน้ากับเทพเซียนผู้เฒ่าที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องทำตัวอวดฉลาด หากจงใจแต่งแต้มสิ่งใดเข้าไปก็ไม่ต่างจากหญิงชราโปะแป้งประทินโฉมลงบนใบหน้า ไม่ต่างจากเด็กเล็กสวมชุดขุนนาง มีแต่จะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะเท่านั้น
นักพรตเฒ่าพลันเอ่ยถาม “ข้าผู้เป็นนักพรตสามารถให้เจ้ายืมกระบี่ได้หนึ่งเล่ม หกสิบปีก็ดี ร้อยปีก็ช่าง ล้วนปรึกษากันได้ เจ้าสามารถใช้สมบัติอาคมมาแลกเปลี่ยนหรือจะจ่ายเป็นเงินฝนธัญพืชก็ได้”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังส่ายหน้า “ขอบพระคุณในความหวังดีของเซียนซือผู้เฒ่า แต่อันที่จริงข้ามีกระบี่แล้ว”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเขินอาย “แล้วนับประสาอะไรกับที่บนตัวข้าไม่มีเงินฝนธัญพืชอยู่แม้แต่เหรียญเดียว”
นักพรตเฒ่าเองก็ไม่ได้บังคับฝืนใจ การที่เขาเกิดความคิดอยากให้คนหนุ่มผู้นี้ยืมกระบี่ขึ้นมาในฉับพลัน ล้วนเป็นเพราะรู้สึกชื่นชมเลื่อมใสในสัญญาพันปีหมื่นปีระหว่างเขากับจงขุย
แล้วก็มีความปรารถนาดีที่เป็นความต้องการส่วนตัวซึ่งซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกลงไปของใจ เพียงแต่ว่าพอพูดออกมาแล้ว เขากลับรู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย
อย่าดึงต้นกล้าช่วยให้เติบโตก่อนเวลาอันควรจะดีกว่า
ความวุ่นวายในสำนักฝูจีทำให้นักพรตเฒ่าเป็นกังวลไม่น้อย
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงได้ย้อนกลับมายังเรือนหลังเล็กอีกครั้ง ก็เพราะมองออกถึงความเคลื่อนไหวผิดปกติในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอัน ราวกับว่าการตายของจงขุยส่งอิทธิพลที่ค่อนข้างใหญ่หลวงต่อสภาพจิตใจของคนผู้นี้
แต่เมื่อเขาลองมองสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้งก็วางใจลงได้
ข้อห้ามหนึ่งของผู้ฝึกตนก็คืออย่าปล่อยให้จิตใจเหมือนเรือลำน้อยที่ล่องลอยไปตามกระแสน้ำ ส่วนพวกคนที่มีสภาพจิตใจเหมือนดอกหลิ่วปลิวปรายอย่างระเกะระกะนั้น ในสายตาของนักพรตเฒ่าแล้วไม่จำเป็นต้องพูดว่าเป็นข้อห้ามหรือไม่ใช่ข้อห้ามอะไรทั้งนั้น เพราะเดิมทีคนเหล่านี้ก็ไม่ควรฝึกตนอยู่แล้ว หากฝึกตนจนโชคดีขอบเขตไต่ทะยานขึ้นสูง ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งลาภยศ ช่วงชิงโชควาสนาแย่งเอาสมบัติอาคมและปราณวิญญาณมาเป็นของตน เดินลงจากภูเขาไปยังโลกมนุษย์ นอกจากโอ้อวดอำนาจบารมี ใช้กำลังรังแกคนอื่นแล้ว ยังจะทำเรื่องดีๆ อะไรได้อีก?
เพียงแต่ว่าต่อให้นักพรตเฒ่าจะไม่ชอบใจในตัวผู้ฝึกลมปราณหลายคนที่ฝึกฝนแต่พละกำลัง ไม่ได้ฝึกฝนจิตใจมากแค่ไหน ก็ยังได้แค่รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของบ้านตัวเองอย่างภูเขาไท่ผิงไม่ให้เอียงเอนไปเท่านั้น
เฉินผิงอันแข็งใจทำหน้าหนาถามออกไปว่า “ไม่ทราบว่าเซียนซือผู้เฒ่ามีค่ายกลพิทักษ์ภูเขาหรือไม่?”
นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “ภูเขาไท่ผิงของข้ามีค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาอยู่สองอย่าง จุดศูนย์กลางของค่ายกลหนึ่งคือกระจกจันทร์กระจ่าง สามารถสาดส่องภูตผีปีศาจที่อยู่บนโลก ทำให้พวกมันไม่มีที่ให้หลบเร้นกาย ไม่ว่าจะอยู่ไกลหรือใกล้ก็ต้องดูว่าคนที่ถือกระจกมีตบะสูงหรือต่ำ หากถูกกระจกส่องไปโดนสามารถทำให้คนผู้นั้นตบะถดถอยได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จากนั้นก็จะเป็นเวลาของค่ายกลสี่กระบี่ กระบี่โบราณสี่เล่มถูกสร้างเลียนแบบกระบี่เซียนใหญ่สี่เล่มในยุคบรรพกาล มีระดับขั้นของอาวุธกึ่งเซียน พอรวมกันเป็นค่ายกลก็เท่ากับกลายเป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่ง แม้จะอยู่ไกลเป็นหมื่นลี้ก็ยังมาถึงได้ในชั่วพริบตา ก่อนหน้านี้หากไม่เป็นเพราะเจ้าเดรัจฉานเฒ่าตัวนั้นได้หล่อหลอมกระบี่เล่มหนึ่งในนั้นก็คงถูกข้าผู้เป็นนักพรตสังหารไปนานแล้ว ต่อให้มันจะหนีไปได้อีกหลายพันลี้ก็ยังไม่เป็นปัญหา ตอนนี้มันหนีความตายไปได้ แต่ขอบเขตเซียนเหรินแบ่งออกเป็นซ้ายขวา เดิมทีเจ้าเดรัจฉานเฒ่าก็เพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตสิบสองได้ไม่นาน ขอบเขตยังไม่มั่นคง บวกกับถูกกฎเกณฑ์ของใต้หล้าแห่งนี้กดกำราบเอาไว้ ตอนนี้เมื่อวัตถุแห่งชะตาชีวิตถูกทำลาย ร่างจริงยังถูกแทงจนเกิดรูอีกหลายรู จึงบาดเจ็บไปถึงจิตวิญญาณต้นกำเนิด ไม่มีค่าพอให้พูดถึงแล้ว”
ตอนที่เอ่ยถึงวานรเฒ่าสะพายกระบี่ตัวนั้น นักพรตเฒ่าแผ่ปราณสังหารออกมาอย่างท่วมท้น ปราณวิญญาณที่มากมหาศาลบนร่างเหมือนกลายมาเป็นของจริง มีไอหมอกสีขาวประหนึ่งธารน้ำเส้นเล็กหลายเส้นไหลรินล้อมวนไปทั่วร่างกาย นักพรตเฒ่าหยุดความคิดทั้งหมดลง ภาพปรากฎการณ์ประหลาดจึงหายไป อันที่จริงนี่ก็คือหนึ่งในโรคร้ายที่ทิ้งไว้หลังจากขอบเขตถดถอย “ปัญหาก็คืออยู่ดีๆ เจ้าเดรัจฉานเฒ่าตัวนั้นก็มุดลงไปใต้ดิน หายเข้าไปในเส้นทางมังกรยุคโบราณที่พังภินท์ไปนานแล้ว คาดว่านี่น่าจะเป็นทางหนีทีไล่ที่มันเตรียมการณ์ไว้ล่วงหน้านานแล้ว”
นักพรตเฒ่าชี้ไปเหนือศีรษะของตัวเอง “ก่อนหน้านี้ข้าเปิดฉากสังหารกับเจ้าเดรัจฉานเฒ่าหนึ่งรอบ ภายหลังยังเล่นงานให้ผู้อาวุโสใหญ่แห่งโลกมืดตนหนึ่งถอยกลับไป อริยะลัทธิขงจื๊อบางคนที่รับผิดชอบนั่งบัญชาการณ์อยู่บนม่านฟ้าเหนือใบถงทวีปย่อมต้องมองเห็นแล้ว จึงพลิ้วกายลงมาที่ภูเขาไท่ผิงของพวกเรา พอรู้ว่าจงขุยตายแล้วก็เดือดดาลอย่างหนัก ตามไปไล่ฆ่าวานรขาวตัวนั้นด้วยตัวเอง ไหนเลยจะคิดว่าเจ้าเดรัจฉานเฒ่าตัวนั้นจะหลบไปซ่อนตัว ตอนนี้ก็ต้องดูที่ว่าหวงถิงซึ่งพอจะมีบุญกรรมร่วมกับมันจะตามหาเบาะแสจนเจอตัวมันหรือไม่ ต่อให้หวงถิงตายไปในการต่อสู้ หนึ่งในเจ็ดสิบสองอริยะที่มีรูปปั้นตั้งบูชาอยู่ในศาลบุ๋นท่านนั้นซึ่งครั้งนี้ลงมือโดยเตรียมการมาก่อน ก็ยังสามารถสังหารมันให้ตายได้ด้วยการโจมตีเดียว”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดชะงักไป
นักพรตเฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่คือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แต่ไหนแต่ไรมานังหนูหวงถิงผู้นั้นก็โชคดีมาโดยตลอด อีกทั้งตอนที่อยู่พื้นที่มงคลดอกบัวยังได้ขัดเกลานิสัยใจคอ มีกระบี่โบราณสองเล่มคอยคุ้มกัน การไล่ฆ่าวานรขาว ไม่แน่ว่าอาจเป็นโชควาสนาอย่างหนึ่งที่ทำให้นางได้ฝ่าทะลุขอบเขต”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที
นักพรตเฒ่าคลี่ยิ้มด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย “พอถูกข้าผู้เป็นนักพรตกระชากตัวพาออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว เดิมทียังนึกว่านางต้องบ่นอยู่เป็นครึ่งๆ วัน คาดไม่ถึงว่านังหนูนั่นจะไม่บ่นอะไรแม้แต่คำเดียว ตลอดทางคอยพูดถึงเจ้าอยู่หลายครั้ง บอกว่าวันหน้าจะต้องไปหาเจ้าที่เขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลีให้จงได้”
นักพรตเฒ่าโบกชายแขนเสื้อเบาๆ “แปลกซะจริง ข้าผู้เป็นนักพรตไม่ใช่คนพูดเก่ง คำพูดในคืนนี้มากพอกับคำพูดหลายสิบปีมารวมกันแล้ว กลับมาเข้าเรื่อง ค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาของภูเขาไท่ผิงมีประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่ ได้ทั้งป้องกันและโจมตี ต่อให้เป็นสำนักดั้งเดิมหรือสำนักเบื้องบนหลายแห่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยังเทียบไม่ได้ ข้าผู้เป็นนักพรตไม่อาจบอกวิถีหล่อหลอมและวิธีโคจรค่ายกลให้แก่เจ้าโดยพลการได้ นี่เกี่ยวพันถึงโชคชะตาภูเขาและแม่น้ำของภูเขาไท่ผิง แต่ข้าผู้เป็นนักพรตมีค่ายกลพิทักษ์ภูเขาของตัวเองอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งได้มาจากถ้ำสวรรค์อันเป็นพื้นที่ลับของเซียนยุคบรรพกาล พลังพิฆาตสูงยิ่ง สามารถขายให้เจ้าได้ เพียงแต่ว่ามันกินเงินเยอะมาก เมื่อสร้างขึ้นมาต้องเผาผลาญเงินมหาศาล หากคิดจะประคับประคองการโคจรของค่ายกลใหญ่ก็ยิ่งต้องกินโชคชะตาของภูเขาและแม่น้ำ เดิมทีข้าผู้เป็นนักพรตคิดว่าหากวันหนึ่งหวงถิงคิดจะสร้างสำนักขึ้นเป็นของตัวเอง ตั้งสำนักอยู่ที่อื่นในใบถงทวีปหรือจะแต่งงานเป็นภรรยา ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญตนกับผู้อื่น ต่อให้คิดมอบมันเป็นสินเดิมให้แก่นาง ข้าผู้เป็นนักพรตก็ยังต้องควักเงินทุนค่าโลงของตัวเองออกมาอีกเกินครึ่ง”
เฉินผิงอันกลืนน้ำลาย ไม่ใช่เพราะคำว่าหวงถิง สินเดิมหรือเงินทุนค่าโลงอะไร แต่เพราะตกใจกับสี่คำว่า ‘กินเงินเยอะมาก’!
ไม่รอให้เฉินผิงอันใคร่ครวญจนเข้าใจจุดเชื่อมต่อของเรื่องราว นักพรตเฒ่าก็ไม่พูดถึงเรื่องค่ายกลอะไรอีก แต่เอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “เฉินผิงอัน แม้ข้าผู้เป็นนักพรตจะไม่รู้ว่าบนร่างของเจ้ามีสมบัติอะไรที่สามารถอำพรางความลับสวรรค์ ป้องกันไม่ให้คนอื่นอนุมานทำนายตำแหน่งและโชคชะตาของเจ้าได้ แต่ของแบบนี้ เจ้าต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี สิ่งของที่ได้แต่ปรารถนาทว่ามิอาจครอบครองนี้ ตลอดทั้งภูเขาไท่ผิงก็ยังมีแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น อีกทั้งนั่นยังเป็นสิ่งของที่บรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาของพวกเราทิ้งไว้ให้ด้วย”
เฉินผิงอันนึกถึงร่มกระดาษน้ำมันที่ไม่สะดุดตาคันนั้นขึ้นมาแล้วพยักหน้ารับแรงๆ
มองเฉินผิงอันแล้ว
นักพรตเฒ่าก็รู้สึกปลาบปลื้มใจอย่างมาก
นักพรตหญิงหวงถิง วิญญูชนจงขุย ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวในจำนวนน้อยนิดที่เข้าตานักพรตผู้เฒ่าได้
ตอนนี้มีเฉินผิงอันเพิ่มมาอีกคน
นักพรตเฒ่ารู้สึกว่าใบถงทวีปที่อยู่ในมุมหนึ่งของทิศตะวันออกเฉียงใต้ก็ดี หรือเป็นใต้หล้าไพศาลที่ยิ่งใหญ่กว้างขวางก็ช่าง คนหนุ่มสาวแบบนี้มีเพิ่มมาได้คนหนึ่งก็ขอให้เพิ่มคนหนึ่ง
ต่อให้โลกจะวุ่นวายมากแค่ไหน
ก็ยังมีเสาหลักค้ำยัน
ก่อนหน้านี้เพื่อปกป้องจิตหยินของจงขุย นักพรตเฒ่าจึงถูกผู้อาวุโสใหญ่แห่งยมโลกที่จะมารับดวงวิญญาณไปสู่เส้นทางน้ำพุเหลืองเล่นงานจนขอบเขตถอยมาหนึ่งระดับ ในใจเขารู้ดีว่าชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสชดเชยความเสียดายที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตอีกแล้ว
ปีนั้นหลังจากที่บรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิงท่านนี้ได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนเหรินสำเร็จก็ได้รับราชทินนามมาจากลัทธิเต๋าสายหนึ่งว่ากวานเมี่ยวเทียนจวิน ฐานะสูงส่งอย่างถึงที่สุด
เรื่องที่นักพรตเฒ่าเสียดายที่สุดในชีวิตก็คือ ในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นใต้หล้าไพศาลที่มีลัทธิขงจื๊อเป็นระบบสืบทอดดั้งเดิม หรือใต้หล้ามืดสลัวที่มีลัทธิเต๋าเฝ้าบัญชาการณ์ ขอแค่มีนักพรตเลื่อนจากเจินจวินเป็นเทียนจวิน ไม่ว่าจะเป็นสายไหนในสามสายก็ล้วนสามารถเชื้อเชิญให้บรรพจารย์แห่งลัทธิเดินทางมามอบชุดคลุมเต๋า กวานเต๋าและวัตถุแทนตัวชิ้นหนึ่งให้ด้วยมือของตัวเองได้ ทว่าในฐานะเทียนจวินคนใหม่ล่าสุดของระบบเต๋า กวานเมี่ยวเทียนจวินกลับไม่สามารถได้เห็นเจ้าลัทธิใหญ่ท่านนั้นออกจากหอป๋ายอวี้จิงมาเยือนใต้หล้าไพศาลกับตาตัวเอง เทียนจวินผู้เฒ่าไม่กล้าคาดเดาไปเอง ทว่าคนทั่วทั้งภูเขาไท่ผิงต่างก็คาดเดากันไปคำรบหนึ่ง ด้วยเรื่องนี้เจ้าสำนักของภูเขาไท่ผิงยังตั้งใจไปเยือนสำนักศึกษาที่อยู่ทางเหนือสุดของใบถงทวีปเพื่อลองถามหยั่งเชิงว่า เป็นเพราะอริยะลัทธิขงจื๊อที่มีรูปปั้นตั้งอยู่ในศาลบุ๋นท่านใดแอบขัดขาหรือไม่ ถึงได้ทำให้เจ้าลัทธิเต๋าสายนี้ของพวกเขาไม่อาจปรากฎตัว
เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาท่านนั้นก็เป็นคนมีนิสัยตรงไปตรงมา คร้านจะพูดจาวกวนกับเจ้าสำนักภูเขาไท่ผิง จึงยิ้มพลางถามกลับว่า เจ้าลัทธิของอีกสองสายอาจจะ ‘ได้รับการปฏิบัติ’ เช่นนี้ แต่ด้วยความสัมพันธ์ควันธูประหว่างเจ้าลัทธิใหญ่ของลัทธิเต๋าสายพวกเจ้ากับลัทธิขงจื๊อของพวกเรา หากท่านผู้อาวุโสคิดจะลงมาเยือนใต้หล้าไพศาล ใครเล่าจะขัดขวางไว้ได้?
พอได้รับคำตอบนี้ เทียนจวินผู้เฒ่าก็ยิ่งอัดอั้นตันใจ
คิดไปคิดมาก็คิดได้แค่ว่า อาจเป็นเพราะขอบเขตของตนสูงมากพอ แต่มหามรรคากลับยังเล็กนัก จึงเป็นเหตุให้บรรพจารย์เจ้าลัทธิจงใจเตือนตนทางอ้อม
ก่อนเกิดศึกขึ้นในภูเขาไท่ผิง เทียนจวินผู้เฒ่ายังคิดว่าหากอนาคตสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตบินทะยานได้ก็คงจะมีโอกาสได้พบกับนายท่านผู้เฒ่าเจ้าลัทธิเอง
ทว่าตอนนี้ความคิดนี้กลับกลายเป็นเพียงความเพ้อฝันไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ไม่ได้รู้สึกเสียใจทีหลัง แต่ความเสียดายนั้นกลับเลี่ยงได้ยาก
นักพรตผู้เฒ่ากำลังจะจากไป เฉินผิงอันกลับเอ่ยขึ้นว่า “ขอบพระคุณท่านเจินเหรินผู้เฒ่า!”
นักพรตเฒ่าถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมถึงขอบคุณข้า? หมายถึงเรื่องที่ข้ายอมให้ตัวเองขอบเขตถดถอยเพื่อจงขุยน่ะหรือ?”
เทียนจวินผู้เฒ่าท่านนี้ส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก นี่เป็นเพราะภูเขาไท่ผิงติดค้างเขา”
เฉินผิงอันกล่าวเสียงหนัก “ขอบคุณท่านเจินเหรินผู้เฒ่าและภูเขาไท่ผิงที่ทำให้ข้าได้รู้ว่าเทพเซียนบนภูเขาก็มีจิตใจที่กล้าหาญเปี่ยมด้วยคุณธรรม คิดอยากปฏิบัติต่อโลกมนุษย์ด้วยความดี”
อารมณ์ของนักพรตเฒ่าดีขึ้นทันตาเห็น “ดีนักนะ คิดไม่ถึงว่าเจ้าเองก็แทบไม่ต่างกับจงขุย ต่างก็เชี่ยวชาญเรื่องประจบสอพลอเหมือนกัน”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “นี่เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจจริงของข้า”
นักพรตผู้เฒ่ามองคนหนุ่มด้วยรอยยิ้ม “คำพูดประจบจากใจจริงต่างหาก ถึงจะทำให้คนสบายใจได้อย่างแท้จริง”
แล้วนักพรตผู้เฒ่าก็ทะยานลมจากไป
ศีรษะเล็กๆ ศีรษะหนึ่งฟุบอยู่บนขอบหน้าต่าง มองเหม่อมาทางเฉินผิงอัน
พูดแล้วก็แปลก การปรากฏตัวของจงขุยกับเทียนจวินผู้เฒ่า ไม่มีใครในจุดพักม้าสัมผัสได้ถึง มีเพียงเผยเฉียนที่บางทีอาจจับผลัดจับผลูตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วเห็นเฉินผิงอันที่อยู่ในลานกว้าง
เฉินผิงอันหันกลับไปมองเผยเฉียน “กลับไปนอนซะ”
ไม่พูดยังดี แต่พอเฉินผิงอันพูด เผยเฉียนก็ไปยกม้านั่งตัวหนึ่งมา ปีนข้ามหน้าต่างออกมาอย่างคล่องแคล่ว กระโดดลงบนพื้นอย่างมั่นคง
เฉินผิงอันถาม “ไม่หลับไม่นอน วิ่งมาทำอะไรที่นี่?”
เผยเฉียนเอ่ยเอาใจ “นอนไม่หลับ จะมาพูดคุยกับเจ้าสักครู่”
เฉินผิงอันโบกมือ บอกว่าตนต้องฝึกวิชาหมัด เจ้าอยากจะอยู่ก็อยู่ไปเถอะ”
เผยเฉียนมองอยู่หนึ่งก้านธูปก็ให้ง่วงงุน จึงบอกกับเฉินผิงอันว่าจะไปนอน จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วพุ่งพรวดไปทางหน้าต่างของห้อง นางกระโดดตัวขึ้นสูง คิดว่าคงจะพยายามใช้สองมือคว้าจับขอบหน้าต่างไว้ก่อน แล้วค่อยใช้สองขาปีนป่ายขึ้นไป หากปีนกลับไปได้ย่อมองอาจมากแน่ๆ
ผลกลับกลายเป็นว่าคางกระแทกเข้ากับขอบหน้าต่างดังปึก
ร่างผงะหงายตึงลงบนพื้น
เฉินผิงอันหันหน้ากลับมามองอย่างอดไม่ได้
เผยเฉียนนั่งอยู่บนพื้น ยื่นมือมากุมคาง หันหน้ากลับมา น้ำตากลบตาจะหยดมิหยดแหล่
เฉินผิงอันเดินมาหา ย่อตัวลงนั่งยอง ดึงมือของนางออกเบาๆ แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ยังคิดจะแสดงมาดวีรบุรุษผู้องอาจอีกไหม?”
บนใบหน้าดำเกรียมของเด็กหญิง น้ำตาร่วงเผลาะๆ ลงมาเป็นสาย
เฉินผิงอันได้แต่หุบยิ้ม ประคองนางลุกขึ้นยืน “มีแม่นางน้อยคนหนึ่งอายุพอๆ กับเจ้า นางเองก็มีนิสัยใจร้อนซุ่มซ่ามแบบนี้เหมือนกัน แต่นางอดทนกับความลำบากได้ดีกว่าเจ้า หากเปลี่ยนมาเป็นนาง เวลานี้คงหันมายิ้มให้ข้า ไม่แน่อาจจะยังพูดปลอบใจข้าว่าไม่ต้องเป็นห่วงนางก็เป็นได้”
เฉินผิงอันเอ่ยเสริมไปอีกหนึ่งประโยค “แต่ว่าทุกคนล้วนมีนิสัยแตกต่างกัน เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบนาง”
คนทั้งสองนั่งอยู่ข้างโต๊ะหิน
เผยเฉียนได้แต่อ้าปากน้อยๆ ถามเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัดเจน “นางชื่ออะไร”
เฉินผิงอันตอบ “นางชื่อหลี่เป่าผิง ชอบสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงสด แถมยังชอบเรียกข้าว่าอาจารย์อาน้อย”
เผยเฉียนถามเสียงเบาขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าชอบนางมากหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ใต้หล้านี้จะมีอาจารย์อาน้อยที่ไม่ชอบหลี่เป่าผิงได้อย่างไร?!
นางเข้าใจถูกแล้ว
เผยเฉียนเงียบเสียงไป
บทที่ 352.2 อายุสิบเอ็ดปีหน้า
ProjectZyphon
เฉินผิงอันถาม “เมื่อครู่นี้เห็นข้าฝึกท่าหมัดเดินนิ่งแล้วเป็นอย่างไรบ้าง?”
เผยเฉียนสีหน้ามึนงง คราวนี้นางไม่ได้แกล้งทำ เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมเขาถึงถามเช่นนี้
เฉินผิงอันเองก็เริ่มสงสัยเหมือนกัน “เจ้าไม่ได้แอบลักจำเรียนจากข้ารึ?”
เผยเฉียนถามกลับ “ข้าจะเรียนท่าเดินส่ายเอียงไปเอียงมาของเจ้าทำไม?”
นางลุกขึ้นยืน สีหน้าเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา กางเล็บแยกเขี้ยว แล้วแสร้งทำท่าชักกระบี่ออกจากฝัก สองนิ้วประกบกันจ้วงแทงมั่วซั่ว เดี๋ยวก็กระโดดขึ้นลงสองสามที ยังปล่อยหมัดส่งเดชอีกหนึ่งคำรบ โอ้อวดฝีไม้ลายมือของตัวเองครบหนึ่งรอบก็กล่าวว่า “แน่นอนว่าหากข้าจะเรียนก็ต้องเรียนกระบวนท่าที่ร้ายกาจที่สุด!”
เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกว่าน่าตลก กลับกันสีหน้ายังเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด
บนถนนใหญ่ของพื้นที่มงคลดอกบัว การบังคับกระบี่ของลู่ฝ่าง
ท่าปรับแก้มังกรใหญ่ของเฉินผิงอัน
รวมไปถึงกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าที่ต่อยให้จ้งชิวถอยร่น
ปะปนไปกับกระบวนท่าที่มารเฒ่าติงอิงใช้แบบกระจัดกระจาย
แม้ว่ามองไปแล้วจะไม่เหมือน
แต่ว่า
เคยมีคนบอกว่า หากฝึกหมัดไม่จริงจังย่อมทำให้เทพและผีหัวเราะเยาะ แต่หากฝึกหมัดแล้วโยนกระบวนท่าหมัดทั้งหมดทิ้งไป แต่ฝึกสัจธรรมที่แท้จริงของหมัดโดยตรงเลยล่ะ?
ในความทรงจำของเฉินผิงอัน มีเพียงคนเดียวที่ทำได้แบบนี้
จริงดังที่คาดไว้
เฉินผิงอันถามหนึ่งคำถาม “เมื่อตอนกลางวันเจ้าจ้องมองนักพรตเส้าแบบนั้น เป็นเพราะมองอะไรออก?”
เผยเฉียนไม่กล้าตอบ
เฉินผิงอันเอ่ย “ขอแค่ไม่โกหก ไม่ว่าเจ้าพูดอะไรก็ล้วนไม่มีปัญหา”
เผยเฉียนถึงได้กวาดตามองซ้ายมองขวา ก่อนเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้ารู้สึกว่าคนแซ่เส้าผู้นั้นไม่ได้มีเจตนาดี ไม่ใช่คนดี”
เฉินผิงอันถามคำถามข้อที่สอง “เจ้ามองเห็นนักพรตผู้เฒ่าที่มาเยือนคืนนี้ใช่หรือไม่?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย
นั่นคือวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ย่อพื้นที่ให้เล็กลงที่บรรพจารย์แห่งภูเขาไท่ผิงเป็นผู้ร่ายใช้เชียวนะ
เฉินผิงอันถามอีก “หากวันหน้าเจ้าฝึกหมัดแล้วได้ดี เมื่อมีคนมารังแกเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร บอกมาตามตรง!”
เผยเฉียนสองจิตสองใจ “ต่อยหมัดเดียวให้เขาร่อแร่ใกล้ตาย?”
เห็นว่าเฉินผิงอันคล้ายจะโมโห ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนางจึงยกสองมือกอดอก พูดเสียงขุ่นเคืองอย่างไม่แยแส “ต่อยหนึ่งหมัดให้ตายไปเลย!”
เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “แล้วถ้าความจริงเจ้าเป็นคนผิดเล่า?”
เผยเฉียนกล่าวอย่างมีเหตุมีผล “ข้าอยู่ข้างกายเจ้าทุกวัน จะทำผิดได้อย่างไร!”
ในใจเฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่กลับตีหน้าเคร่งถามว่า “แต่สักวันหนึ่งเจ้าก็ต้องออกจากบ้านไปเดินทางท่องยุทธภพเพียงลำพัง”
เผยเฉียนกล่าวอย่างแน่วแน่เด็ดเดี่ยว “ไม่มีทาง! ทำไมข้าต้องออกจากบ้านไปคนเดียวด้วย ข้างนอกมีคนชั่วอยู่มากมายขนาดนั้น หากเอาชนะพวกเขาไม่ได้จะทำอย่างไร? อีกอย่าง หากถึงเวลานั้นข้าเอาเงินไปไม่มากพอ ทุกวันต้องทนหิว ข้าต้องไปขโมยไปแย่งชิงของของคนอื่นแล้วเจ้ารู้เข้า เจ้าก็จะต้องตีข้าด่าข้าอีก ข้าจะทำยังไงได้? ถูกไหม ดังนั้นข้าไม่มีทางออกจากบ้านแน่”
เฉินผิงอันถาม “แล้วถ้าวันหนึ่งเจ้าฝึกวรยุทธ์จนเก่งกาจอย่างมาก เก่งกว่าข้าอีกล่ะ?”
เผยเฉียนขมวดคิ้ว ตั้งใจคิดอย่างจริงจัง ก่อนจะส่ายหน้าสุดชีวิต “ข้าขี้เกียจจะตาย ชอบนอนมากที่สุด แถมยังกลัวเจ็บ ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้สักหน่อย ก่อนหน้านี้ตอนที่เดินทาง ฝ่าเท้าข้ามีตุ่มน้ำพอง เวลาที่ต้องเจาะมันให้แตก ข้ายังแหกปากร้องจนเสียงแหบเสียงแห้ง ตอนอยู่โรงเตี๊ยมเจ้าต่อสู้กับคนอื่นจนกระดูกโผล่ออกมาจากแขนสองข้าง เจ้าไม่ร้องไห้ แต่ข้าน่ะทำไม่ได้หรอกนะ หากข้าก้มหน้าลงแล้วเห็นแขนตัวเองเป็นอย่างนั้นอาจจะตกใจจนเป็นลมไปเลยก็ได้ เฮ้อ ใต้หล้านี้หากมีวิชายุทธ์ล้ำโลกที่ไม่ต้องทนลำบากแล้วฝึกได้สำเร็จในวันเดียวก็ดีน่ะสิ”
เฉินผิงอันกลั้นหัวเราะ “เจ้าเองก็รู้ด้วยหรือว่าตัวเองขี้เกียจ ไม่แสวงหาความก้าวหน้า แถมยังขี้ขลาดด้วย?”
เผยเฉียนไหล่ลู่คอตก ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก
เฉินผิงอันถาม “ทำไมถึงไม่พูดแล้วล่ะ?”
เผยเฉียนกล่าวอย่างน้อยอกน้อยใจ “เจ็บคาง”
เฉินผิงอันหัวเราะ หมุนตัวกลับไป เอาหลังพิงโต๊ะหิน เงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน
เผยเฉียนเลียนแบบเขาบ้าง เพียงแต่ว่านางตัวเล็ก จึงได้แต่เอาท้ายทอยวางพาดบนโต๊ะหินเท่านั้น
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ผ่านปีนี้ไป เจ้าก็จะอายุสิบเอ็ดขวบแล้ว ดังนั้นเจ้าต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้มาก ศึกษาเล่าเรียนเหตุผลและหลักการเยอะๆ”
แบกรับความรับผิดชอบที่หนักหน่วง ทั้งยังต้องทนรับความลำบากอย่างยาวนาน
เหนื่อยใจยิ่งกว่าตอนตนฝึกวิชาหมัดหนึ่งล้านครั้งเสียอีก
แต่ว่าก็ยังดี
เฉินผิงอันพูดความในใจกับเผยเฉียนอย่างที่หาได้ยาก “ตอนที่อยู่บ้านเกิด ข้าอายุค่อนข้างมากแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้เรียนหนังสือ อาจารย์ฉีจึงบอกกับข้าว่าหลักการอยู่ในหนังสือ แต่การปฏิบัติตนนั้นอยู่นอกตำรา”
สุดท้ายเฉินผิงอันพึมพำว่า “หวังว่ายามเยาว์วัยของทุกคนบนโลกล้วนสามารถได้พบเจอกับอาจารย์ฉี”
เผยเฉียนในเวลานี้ยังคงเป็นเด็กหญิงที่ชอบจะเลือกฟังแค่ในสิ่งที่ตัวเองชอบใจ
ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันบอกว่าปีหน้านางจะอายุสิบเอ็ดปีแล้ว
บนโลกนี้มีเพียงแค่เฉินผิงอันที่จดจำเรื่องพวกนี้ได้ ปีนี้นางอายุสิบขวบ ปีหน้าก็สิบเอ็ดขวบ
……
นักพรตเฒ่าแห่งภูเขาไท่ผิงพลันหยุดชะงัก หยิบไม้ไหวออกมา จิตหยินของจงขุยจึงปรากฏกาย
บนทะเลเมฆ จงขุยเห็นคนที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุดคนหนึ่งยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล เขาก็คือเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝู อาจารย์ของเขา
เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝูเพียงแค่มองจงขุย
จงขุยจึงเอ่ยเรียกเบาๆ “อาจารย์?”
ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เจ้าขุนเขาจะไม่กล้าเชื่อว่าฝันร้ายนี้เป็นความจริง แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่กล้าเชื่อสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า “ไม่ควรเป็นเช่นนี้ ไม่ควรเป็นเช่นนี้เลย”
แค่ความคิดเดียวที่ผิดพลาด ตอนนั้นเขาไม่ควรไปที่จวนปี้โหยว ไม่ควรให้ลูกศิษย์ที่ ‘ตนภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต’ คนนี้เดินทางไปที่ภูเขาไท่ผิง ควรให้เขาอยู่ในโรงเตี๊ยมของเมืองเล็กริมชายแดน คอยจับตามองจิ้งจอกเก้าหางที่อำพรางตัวไม่ยอมเผยกายตัวนั้นไปซะ
แม้ว่าจิ้งจอกเก้าหางจะเป็นปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสอง ทว่าสถานะของนางพิเศษอย่างยิ่ง ลำดับศักดิ์ก็สูงมาก เป็นเหตุให้นามแท้จริงของนางถูกเปิดเผยมานานแล้ว ขอแค่รู้ชื่อจริงของปีศาจใหญ่ยุคบรรพกาลทั้งหมดที่อยู่บนโลก และขอแค่ร่างของจงขุยอยู่ในใต้หล้าไพศาลก็เท่ากับว่ามีพลังเหลือให้ปกป้องตัวเอง
ใครก็คิดไม่ถึงว่าวานรขาวสะพายกระบี่ของภูเขาไท่ผิงต่างหากถึงจะเป็นตัวการชั่วร้ายที่ทำให้ปีศาจของบ่ออเวจีหนีไป
จงขุยไม่อาจทนรับกับบรรยากาศในเวลานี้ได้ไหวจึงพูดขึ้นเสียงดังว่า “อาจารย์ ก็แค่ภาระหน้าที่ที่พึงปฏิบัติซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้เท่านั้น บัณฑิตหากไม่ใช้ความรู้อบรมสั่งสอนปวงประชา ปรับปรุงแก้ไขบ้านเมือง ก็ต้องใช้ปราณเที่ยงธรรมที่มีอยู่ในร่างกำจัดความชั่วร้ายผดุงคุณธรรม…”
เจ้าขุนเขาเดือดดาลอย่างหนัก “จำต้องให้เจ้ามาอธิบายหลักการพวกนี้กับข้างั้นหรือ?!”
จงขุยเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว
เทียนจวินผู้เฒ่าถอนหายใจหนึ่งที “หากทางสถานศึกษาคิดจะเอาผิด ภูเขาไท่ผิงของพวกเราย่อมไม่มีทางปฏิเสธความรับผิดชอบแน่”
ยามที่เจ้าขุนเขาเผชิญหน้ากับนักพรตผู้เฒ่ากลับไม่แสดงสีหน้าเหมือนที่ปฏิบัติต่อจงขุยแล้ว เขาเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ศิษย์พี่ของข้าท่านนั้นย่อมต้องมีไฟโทสะแน่นอน แต่กลับไม่ถึงขั้นที่จะต้องยกกำลังคนไปปราบปรามเอาผิด อีกอย่างภูเขาไท่ผิงมีความผิดอะไร? เทียนจวินเคยกล่าวโทษจงขุยที่ไม่อาจปกป้องภูเขาไท่ผิงได้หรือไม่? เหตุใดถึงไม่ปกป้องเซียนดินท่านนั้น?”
จงขุยเอ่ยเสริมเบาๆ อีกหนึ่งประโยค “อาจารย์ ผู้อาวุโสท่านนั้นชื่อว่าเหลียงซู่”
เจ้าขุนเขาเตรียมจะระเบิดโทสะอีกครั้ง
จงขุยหุบปากฉับทันที
นักพรตเฒ่าเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ผ่านหายนะในครั้งนี้ หลังจากนี้ไปใบถงทวีปอาจจะดีขึ้นมาหน่อย แต่นาตยทวีปและฝูเหยาทวีปอาจต้องโกลาหลปั่นป่วนกันใหญ่แน่ ก่อนหน้านี้ทั้งสามทวีปต่างก็มีสมบัติล้ำค่าเผยตัวบนโลก แล้วนี่ก็เป็นแผนการของเผ่าปีศาจจริงๆ”
จากนั้นผู้เฒ่าก็ลดระดับเสียงลงจนแผ่วเบา “สำนักศึกษาของพวกเจ้าต้องปกป้องเด็กหนุ่มคนนั้นของสำนักฝูจีให้ดี เขาสามารถเปิดโปงเรื่องครั้งนี้ได้…”
แล้วก็ไม่ได้พูดต่ออีก
เจ้าขุนเขาพยักหน้ารับ “ตามหลักแล้วควรจะเป็นเช่นนี้ ข้าปรึกษากับสำนักฝูจีเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นจะใช้ชื่อปลอมเข้ามาเรียนหนังสือในสำนักศึกษาต้าฝูของพวกเรา ส่วนข้อที่ว่าหลังจากนั้นเขาจะกลายเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อหรือไม่ก็ล้วนขึ้นอยู่กับความต้องการของเด็กหนุ่มเอง”
นักพรตเฒ่าคลี่ยิ้ม “ลูกศิษย์คนสุดท้ายของจีไห่วิ่งไปเป็นนักปราชญ์เป็นวิญญูชน สำนักฝูจีจะไม่สู้ตายกับเจ้าเลยหรือไร?”
เจ้าขุนเขาพูดถึงสำนักฝูจีและจีไห่ผู้ฝึกตนใหญ่ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะปลงอนิจจัง “จีไห่บอกกับข้าตามตรงว่า ไม่ว่าจะรับเด็กหนุ่มเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดหรือมอบอาวุธให้ชิ้นหนึ่งก็ล้วนเป็นเรื่องที่สมควรทำ แต่พอเห็นเด็กหนุ่มคนนั้น ในใจของเขาจีไห่ก็ยากจะสงบลงได้ นั่นจะกลายเป็นอุปสรรคต่อการฝึกตน ทำให้เขาไม่อาจเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตเซียนเหรินได้ชั่วชีวิต แล้วอนาคตจะไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เพื่อสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองตนอื่นได้อย่างไร?”
นักพรตเฒ่ากล่าวด้วยสีหน้าเสียดาย “คู่รักเทพเซียนห้าขอบเขตบนคู่เดียวในใบถงทวีป คู่สร้างคู่สมที่สวรรค์สรรค์สร้างซึ่งหาได้ยากยิ่ง ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก การฝ่าขอบเขตของจีไห่ย่อมกลายเป็นเรื่องที่ยากมาก ยิ่งดึงดันอยากจะทำสำเร็จมากแค่ไหน จิตมารก็ยิ่งยากจะกำจัดมากเท่านั้น”
เจ้าขุนเขายิ้มขื่น “เรื่องบางเรื่อง คนนอกเกลี้ยกล่อมได้ แต่เรื่องบางเรื่องกลับไม่อาจทำได้”
นักพรตเฒ่าถอนหายใจหนึ่งที
ความยากของการฝึกบำเพ็ญตนนั้น ยากเหมือนเดินขึ้นสวรรค์
……
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่สูงตระหง่านมากที่สุด
มีเทพเกราะทององค์หนึ่งใช้สองมือค้ำยันด้ามกระบี่ ใบหน้าสวมหน้ากากปิดทับทำให้มองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเทพองค์นี้ เขายืนอยู่ด้านข้างป้ายศิลาบนยอดเขา ซึ่งบนยอดศิลาก็มีผู้เฒ่าซึ่งเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่อย่างไร้มารยาท
ผู้เฒ่านับนิ้วคำนวณอยู่ในชายแขนเสื้อแล้วตบเข่าฉาด “ประเสริฐ ประเสริฐเลิศล้ำ!”
เทพเกราะทองกระตุกมุมปาก
ผู้เฒ่าถามด้วยท่าทางลำพองใจ “ลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าคนนี้เป็นอย่างไร?”
เทพเกราะทองที่ถูกตาเฒ่าตามตอแยมานานถึงหนึ่งเดือนเต็มกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ดีๆๆ พอใจหรือยัง?”
ผู้เฒ่ายากจนชี้หน้าองค์เทพที่ตัวสูงใหญ่แทบจะเท่ากับป้ายศิลาพลางหัวเราะร่า “ท่าทางปากยอมแต่ใจไม่ยอมของเจ้านี้ ข้าล่ะถูกใจจริงๆ”
จากนั้นผู้เฒ่าก็เริ่มทำตัวเป็นชายชาตรีที่ดีต้องพูดถึงวีรกรรมกล้าหาญในอดีตอีกครั้ง (ประโยคแท้จริงคือชายชาตรีที่ดีไม่พูดถึงวีรกรรมกล้าหาญในอดีต ประโยคนี้จึงเป็นในเชิงเหน็บแนม) “นึกถึงปีนั้นที่ข้าทะเลาะกับคนอื่น พอพวกเขาแพ้ แต่ละคนก็มีท่าทางขี้แพ้ชวนตีเหมือนเจ้านี่แหละ ข้าล่ะชอบใจนัก”
เทพเกราะทองก็คือหนึ่งในองค์เทพแห่งห้าขุนเขาของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เขาเอ่ยเหน็บแนมว่า “ตอนนั้นใครเป็นคนเสนอแนะให้ซิ่วไฉยากจนอย่างเจ้าได้เลื่อนขั้นเข้าไปอยู่ในศาลบุ๋น? เจ้าช่วยบอกข้าที ข้าจะได้ไปถามเขาว่า ตาสุนัขของเขามืดบอดไปแล้วหรืออย่างไร”
นี่ก็คือคดีใหญ่ที่คนของลัทธิขงจื๊อให้การยอมรับว่ายังไม่อาจตัดสินได้
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกวนอารมณ์ “เจ้าลองเดาดูสิ?”
ต่อให้องค์เทพใหญ่ของภูเขาสุ้ยซานจะนิสัยดีแค่ไหน แต่มีคนมาคอยบ่นพึมพำข้างหูเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มก็ให้หงุดหงิดแล้วเหมือนกัน แล้วนับประสาอะไรกับที่ตาแก่สกปรกผู้นี้มีนิสัยไม่เห็นกระต่ายไม่ปล่อยเหยี่ยว (หมายถึงลงมือเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจนเท่านั้น) การมาเยือนครั้งนี้จะมีเรื่องดีได้หรือ?
ตอนนี้เขาจึงไม่เกรงใจอีกต่อไป “เดากับปู่ทวดเจ้าน่ะสิ!”
ซิ่วไฉเฒ่ากระดกนิ้วโป้งชี้ไปที่ตัวเอง “ไม่ใช่ปู่ทวดของข้า แต่เป็นบรรพจารย์ของลัทธิขงจื๊อพวกเรา ข้าก็อยากให้ท่านผู้อาวุโสเป็นปู่ทวดของข้าอยู่เหมือนกัน เฮ้อ น่าเสียดายๆ …”
นิสัยหัวแข็งเกรี้ยวกราดขององค์เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานท่านนี้เป็นที่เลื่องลือ ทว่าเวลานี้เขากลับลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม กุมหมัดคารวะให้แก่ฟ้าดิน ถือเป็นการขออภัยปรมาจารย์มหาปราชญ์ท่านนั้น
ซิ่วไฉเฒ่ายังคงพูดพึมพำกับตัวเอง “เจ้าก็รู้จักข้าดีนี่นาว่าเป็นคนหน้าบางมาก มักจะชอบเอ่ยเตือนตัวเองว่าไม่มีคุณความชอบมิอาจรับผลตอบแทน ทว่าความรู้ของข้าสูงส่ง บทความก็เขียนได้ดี หลักการเหตุผลที่พูดออกมาล้วนมหัศจรรย์ ดังนั้นปรมาจารย์มหาปราชญ์ท่านนั้นจึงมาหาข้า พูดด้วยความหวังดี เกลี้ยกล่อมอย่างน่าฟัง ทำเอาข้าซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง ปรมาจารย์มหาปราชญ์พูดถึงเรื่องบางเรื่องที่ตัวข้าเองคิดว่าตัวเองธรรมดามาโดยตลอด ทว่ามีประโยคหนึ่งในนั้นที่ข้ารู้สึกว่าเขาพูดได้ตรงใจข้ายิ่งนัก อริยะปราชญ์ในยุคบรรพกาลล้วนเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง แต่วีรบุรุษที่แท้จริงล้วนไม่อาจเป็นอริยะปราชญ์ได้เสมอไป! พอข้าได้ยินก็รู้สึกว่ายังคงเป็นปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่เข้าใจข้า ข้าก็เลยเสนอข้อเรียกร้องเล็กๆ กับบรรพจารย์ท่านนี้…”
เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานพูดเสียงหนัก “ข้าไม่อยากฟัง หุบปาก!”
ซิ่วไฉเฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายสุดแสน “ทำไมเจ้าคนนี้ถึงไม่รู้จักแบ่งแยกดีเลวบ้างเลยนะ?”
เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานหัวเราะเสียงเย็น “หากข้าแยกแยะดีเลวได้จะปล่อยให้เจ้าขึ้นมาบนภูเขาหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่านวดคลึงปลายคาง เหมือนรู้สึกว่าเรื่องนี้ตนไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไหร่ จึงรีบเปลี่ยนมาพูดใหม่ว่า “ตงไห่เจ้าจมูกโคเฒ่าผู้นั้น (จมูกโคเป็นคำเรียกดูหมิ่นนักพรตเต๋า เนื่องจากนักพรตโบราณมักจะไว้ผม ด้วยการมวยผมสองจุก แลดูคล้ายโค) นิสัยไม่น่ารักเอาซะเลย แต่เรื่องนี้ยังพอจะถูไถไปได้ ลงมือทีก็ถือว่าใจกว้าง ไม่ลดสถานะของตัวเอง รู้จักมอบของดีชิ้นหนึ่งให้กับเด็กคนนั้น แม้ว่าจะไม่อาจช่วยเหลือในการฝึกตน ทว่าเรื่องราวและวัตถุบนโลกนี้ ดีย่อมไม่สู้บังเอิญ สามารถช่วยอำพรางความลับสวรรค์ได้พอดี ดีกว่างอบผุๆ อันนั้นของอาเหลียงด้วยซ้ำ เห็นแก่ความดีข้อนี้ ข้าจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องสกปรกที่เขาทำลงไปในพื้นที่มงคลดอกบัว”
เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานพูดเสียดสี “ต่อให้ตอนนี้เจ้าคิดอยากจะงัดข้อกับเขา แล้วเจ้าทำได้หรือไร?”
ซิ่วไฉเฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี “ในด้านการอธิบายหลักการเหตุผลกับคนอื่น บัณฑิตอย่างพวกเราต้องมีการแบ่งแยกสูงต่ำ ตีรันฟันแทงกัน เจาะท้องฟ้าให้เป็นรูล้วนไม่ถือว่าเป็นความสามารถที่แท้จริง”
เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานไม่ได้โต้เถียงอย่างที่หาได้ยาก
ชายแขนเสื้อสองข้างของซิ่วไฉเฒ่าพองโป่งไม่หยุดเพราะลมกรดบนยอดเขาสุ้ยซาน ต่อให้เป็นบนเสื้อเกราะสีทองของเทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานก็ยังมีริ้วคลื่นกระเพื่อม ทว่าอาภรณ์และเส้นผมของซิ่วไฉเฒ่ากลับไม่โบกสะบัดไปตามลมเลยแม้แต่น้อย
ซิ่วไฉเฒ่าพูดเสียงเบา “อริยะตายยาก วิญญูชนกลับมีชีวิตอยู่ได้ยาก”
“เมธีร้อยสำนัก มีเพียงลัทธิขงจื๊อของพวกเราเท่านั้นที่ไม่ควรยึดถือในเรื่องผู้ปกป้องมรรคาอะไร สำนักศึกษาก็คือผู้ปกป้องมรรคาที่ใหญ่ที่สุดของบัณฑิตในโลก สถานศึกษาสามแห่ง สำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่งในใต้หล้าไพศาลล้วนมีวิญญูชนที่ตายอยู่เบื้องหน้าอริยะเช่นนี้อยู่ ข้ารู้สึกว่าวิญญูชนเจิ้งเหรินที่ไม่ฉลาดพอเหล่านี้ก็คือกระดูกสันหลังของใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ของพวกเรา สามารถ…”
ซิ่วไฉเฒ่าพูดมาถึงตรงนี้ก็พลันหมดคำพูด หันหน้ามาตวาดถามว่า “เจ้าโง่ ไหนเจ้าลองคิดหาคำพูดมาสิ”
เทพใหญ่ของภูเขาสุ้ยซานกล่าวอย่างเฉยเมย “ค้ำฟ้ายันดิน”
ซิ่วไฉเฒ่าตบเข่าฉาดใหญ่อีกครั้ง “ประเสริฐยิ่ง!”
เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานพูดขึ้นมาอย่างฉับพลันว่า “เจ้าไม่เคยเป็นวิญญูชนที่แท้จริงของลัทธิขงจื๊อด้วยซ้ำ”
ซิ่วไฉเฒ่าเงียบงัน
……
ในศาลบุ๋นมีอริยะท่านหนึ่งเดินออกมาจากเทวรูปดินเผาของตัวเอง แท่นบูชาที่ตั้งวางเทวรูปนั้นสูงมาก ตำแหน่งของเทวรูปเองก็อยู่ใกล้กับปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่ตั้งอยู่ตรงกลางอย่างถึงที่สุด เขายังจูงมือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ติดตามเขาจากสถานที่อื่นมาเยือนใต้หล้าไพศาลด้วย
พอพาเด็กหนุ่มเดินข้ามธรณีประตูออกไปแล้ว อริยะก็หันไปมองตำแหน่งที่ตั้งเทวรูปที่ว่างเปล่า แล้วหันมาเอ่ยยิ้มๆ กับเด็กหนุ่มว่า “วันหน้าเมื่อเจ้ามีโอกาสก็ลองช่วงชิงกับใครบางคนดู”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น