ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 351-358

 ตอนที่ 351 ลืมตาอ้าปาก


หลังจากที่เรียนกายบริหารเสร็จ ครูอู๋ คุณครูประจำชั้นเดินเข้าห้องเรียนมาด้วยหน้าตาระรื่น ในมือยังมีเกียรติบัตรสีแดงระเรื่ออยู่ เขามองไปยังอู่เหมยด้วยสายตาเอ็นดู อู่เหมยเองรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะลอยขึ้นอีกครั้ง


ครูอู๋ได้นำเอาเกียรติบัตรสีแดงสดมอบให้กับอู่เหมยต่อหน้าของนักเรียนทั้งห้อง และยังพูดชื่นชมเธออยู่หลายประโยค ที่สำคัญคืออู่เหมยสามารถพัฒนาความชอบของตัวเองได้ และในเวลาเดียวกันด้านการเรียนของเธอยังพัฒนาขึ้นมาก เป็นกำลังและจิตใจที่ทุกคนสามารถเรียนรู้


อู่เหมยก้มหน้าลงอย่างอับอายจนเหงื่อตก เธอคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับคำพูดของครูอู๋ อีกทั้งเธอเองก็ไม่ใช่เด็กจริงๆ ที่มีอายุแค่สิบสองปี เพราะต่อให้สมองจะทื่อหรือจะโง่แค่ไหนเธอก็เป็นผู้ที่บรรลุนิติภาวะคนหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเด็กๆ มันช่างน่าอายนัก!


แต่เธอเองก็ชื่นชอบกับความรู้สึกแบบนี้ เวลาครูยกเธอให้เป็นนักเรียนแบบอย่างของห้อง ไหนจะถูกผู้อำนวยการชื่นชมผ่านทางวิทยุกระจายเสียงของโรงเรียนอีก ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าจะได้มีเกียรติอันสูงส่งแบบนี้ แต่ในตอนนี้เธอทำได้แล้ว อีกอย่างมันก็ดูเหมือนจะไม่ได้ยากขนาดนั้น!


ช่วงเวลาเลิกเรียน อู่เหมยได้เจอกับจี้เหวินฮุ่ยหน้าประตูห้องเรียน แน่นอนว่าไม่มีทางได้เห็นสีหน้าดีๆ จากเด็กสาวคนนี้ ความรู้สึกของจี้เหวินฮุ่ยก็ไม่ต่างจากอู่เยวี่ยเลย พวกเธอไม่ได้หวังอยากให้อู่เหมยได้ดีสักนิด ถ้าจะให้ดีทั้งชีวิตนี้ให้อู่เหมยทั้งโง่เขลาทั้งอัปลักษณ์และซื่อบื้อแบบนั้นจะดีกว่า!


แต่อู่เหมยในตอนนี้ไม่โง่และไม่ได้อัปลักษณ์แล้ว อีกทั้งเธอยังประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี หากพวกเธอจะดีใจก็คงเป็นเรื่องแปลก!


“หมาดีๆ ไม่ขวางทางหรอกนะ หลบไป!”


อู่เหมยกระแทกไหล่จนทำให้จี้เหวินฮุ่ยกระเด็นไปด้านข้าง เธอไม่แม้แต่จะหันกลับมาสนใจ และมุ่งหน้าเดินออกไป


เธออยากกลับถึงบ้านให้เร็วที่สุด เพื่อนำเอาข่าวดีนี้ไปบอกกับอู่เจิ้งซือ เพราะต่อไปนี้เธอจะได้เรียนวาดรูปอย่างสบายใจโดยไม่ต้องปิดบังอีก!


จี้เหวินฮุ่ยหน้านิ่งขึ้น เพราะจากตอนแรกตั้งใจจะขวางทางอู่เหมยไว้ ทางอู่เชากลับหัวเราะฮ่าๆ และเดินเข้ามาหา “เธอยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ? ระวังจะถูกอาเขยด่าอีกนะ!”


ตั้งแต่ที่จี้เหวินฮุ่ยเอาเรื่องของเขาไปบอกที่บ้าน จนเฮ่อเหวินจิ้งเกือบจะถูกตราหน้า ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้จี้เจี้ยนโปเริ่มนิ่งๆ และไม่ค่อยสนใจต่อลูกสาวคนนี้ หากไม่เป็นเพราะจี้เหวินฮุ่ย เขาและเฮ่อเหวินจิ้งคงจะหวานชื่นกันเหมือนแต่ก่อน แต่ตอนนี้เขาจำเป็นต้องตัดใจยอมทิ้งสิ่งที่เขารักออกไป ทุกๆ วันทำได้แค่เผชิญหน้ากับแม่เสืออย่างอู่เจิ้งหง  อย่าได้ถามถึงความรู้สึกเลยว่ามันย่ำแย่สักเพียงไหน


และทั้งหมดก็เกิดจากจี้เหวินฮุ่ย แม้ว่าจี้เจี้ยนโปจะรักลูกสาวของเขา แต่ในใจของเขาก็มีเสี้ยนหนามอยู่ ทำให้เขาไม่ได้รักใคร่หรือห่วงใยต่อลูกสาวคนนี้เหมือนเคย จนบางครั้งถึงกับต่อว่าเธอ


เมื่อวานจี้เหวินฮุ่ยเพิ่งจะถูกจี้เจี้ยนโปด่ามา ทำให้ในใจเธอเกิดความรู้สึกกลัวและไม่กล้าต่อปากต่อคำอีก ทำได้แค่สะพายกระเป๋าไว้แล้วกลับบ้าน หากว่าเธอกลับบ้านช้า ไม่แน่ว่าพ่ออาจจะด่าเธอได้ พ่อไม่ได้ชอบเธอเหมือนแต่ก่อนแล้ว จึงทำให้จี้เหวินฮุ่ยเสียใจเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั่นเธอไม่กล้าแม้แต่จะทำให้จี้เจี้ยนโปโกรธ


ทั้งวันนี้อู่เจิ้งซือทำงานได้อย่างมีความสุขเป็นพิเศษ เดินไปไหนมาไหนราวกับมีลมคอยพัด เหมือนความรู้สึกในวันวานได้กลับมาแล้ว อีกอย่างข่าวที่อู่เหมยได้รับรางวัลก็กระจายไปทั่วทั้งโรงเรียนอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างก็อิจฉาริษยาอู่เจิ้งซือ


ลูกสาวคนโตได้โค่นล้มไป แต่ยังเหลือลูกสาวคนเล็ก!


อู่เจิ้งซือทำบุญด้วยอะไรทำไมถึงได้โชคดีขนาดนี้ ลูกสาวดีๆ ถึงได้ไปอยู่บ้านของเขาทั้งหมด ทำไมไม่แบ่งมาที่บ้านคนอื่นๆ บ้างนะ?


เสียงกริ่งเลิกเรียนดังขึ้น อู่เจิ้งซือถือแผนการสอนเอาไว้แล้วเดินกลับบ้านตัวเองด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใส ระหว่างทางเอาแต่ทักทายกับคนรอบข้าง ประโยคคำพูดของทุกคนไม่ต่างกันเลย ต่างก็พูดว่า


“ครูอู่ ยินดีด้วยนะ!”


“ครูอู่ คุณมีของดีแล้วแอบซ่อนไว้นี่หน่า!”



อู่เจิ้งซือไม่ได้ยินคำพูดยกยอปอปั้นแบบนี้มานานมากแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาปรากฏชัดขึ้น และทำให้เขาเองดูจะอ่อนโยนและน่ารักขึ้น ถึงขั้นว่าเขาหยุดคุยกับคนรอบข้างนานสองนาน และเอาแต่พูดถึงเรื่องราวทั่วไปภายในบ้าน ทั้งที่ตึกชั้นสามเขาใช้เวลาเดินไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่เขาก็กลับมาถึงบ้านพร้อมๆ กับอู่เหมย


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 352 หมุนร้อยแปดสิบองศา


“เหมยเหมยกลับมาแล้วเหรอ!”


อู่เจิ้งซือมองลูกสาวด้วยความรักใคร่เอ็นดู สายตาอ่อนโยนราวกับสายน้ำ เหอปี้อวิ๋นที่ยืนอยู่ตรงระเบียงมองดูสถานการณ์อย่างเริ่มรู้สึกโมโห ตอนนี้สามีของเธอถูกยัยเด็กบ้านี่ดึงดูดความสนใจไปหมด ไม่รู้เลยว่าเธอและอู่เยวี่ยถูกผลักให้เข้าไปอยู่ในมุมหรือปมใดของปัญหาแล้ว!


“พ่อคะ หนูมีเรื่องจะบอกพ่อค่ะ” อู่เหมยพูด


อู่เจิ้งซือยิ้มตาหยีและพยักหน้าตอบ “พ่อรู้อยู่แล้วล่ะ ผู้อำนวยการของโรงเรียนลูกโทรมาหาพ่อตั้งแต่เช้าแล้ว เหมยเหมยทำได้ดีมาก ลูกทำให้พ่อได้เชิดหน้าชูตา”


อู่เหมยเพิ่งเข้าใจได้ว่าเหตุใดอู่เจิ้งซือถึงได้มีลักษณะรักใคร่เอ็นดูเธอ ที่แท้เขาก็รู้เรื่องนี้อยู่แล้วตั้งแต่แรก แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เธอจะได้ไม่ต้องเสียเวลาพูด


“พ่อคะ นี่คือเกียรติบัตรรางวัลที่หนูได้ค่ะ”


อู่เหมยหยิบเอาเกียรติบัตรสีแดงสดออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับยื่นมันให้อู่เจิ้งซือ


อู่เจิ้งซือใช้มือลูบวนที่เกียรติบัตรอย่างพึงพอใจและมีความสุข แม้จะมีใบเกียรติคุณของนักเรียนดีเด่นอยู่ในบ้านมีอยู่ไม่น้อย แต่นับว่านี่เป็นเกียรติบัตรเล่มแรกเลย!


หากพูดถึงสิ่งที่มีค่าที่แท้จริง แน่นอนว่าต้องเป็นเกียรติบัตรระดับเมือง ซึ่งมีค่ากว่ามาก อู่เจิ้งซือชื่นชมอยู่นานหลายนาทีจนพอใจ ถึงได้พูดกับอู่เหมยว่า “พรุ่งนี้พ่อจะออกไปหากรอบรูปกระจก เพื่อเอามาใส่เกียรติบัตรของอู่เหมยโดยเฉพาะ และจะเอาวางไว้ภายในห้องรับแขกของบ้านเรา ทุกคนจะได้เห็น”


เหอปี้อวิ๋นเองก็ได้เห็นเกียรติบัตรฉบับนี้แล้ว เธอเองฟังด้วยความงุนงง รู้แค่ว่ายัยเด็กบ้าอู่เหมยได้รับรางวัลอะไรสักอย่าง เธอเองไม่เพียงแค่รู้สึกแปลกใจ แต่ยังคิดว่ายัยเด็กโง่นี่จะรับรางวัลอะไรได้?


“คุณอู่ มีเรื่องอะไรให้ดีใจเหรอคะ?” เหอปี้อวิ๋นยิ้มและถามขึ้น


อู่เจิ้งซือที่ในใจมีแต่ความรู้สึกดีใจ จึงหันไปส่งยิ้มให้เหอปี้อวิ๋นอย่างมีเมตตา และเขาได้ยกเกียรติบัตรในมือขึ้นและพูด “อู่เหมยได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับสองจากการแข่งขันวาดรูปรุ่นเยาวชนประจำเมืองจิน นี่เป็นเกียรติบัตรรางวัลที่ลูกได้มา”


พอเหอปี้อวิ๋นได้ฟังว่าเป็นการแข่งขันก็ไม่ได้สนใจอะไร วาดรูปบ้าบออะไรกัน เรียนให้เก่งสิถึงจะเป็นเรื่องที่ดีอย่างแท้จริง แล้วนี่มีอะไรที่ควรค่าแก่การดีใจนักหรือ?


“คุณอู่ แต่ก่อนคุณบอกว่าการวาดรูปเป็นแค่ของประดับกายไม่ใช่เหรอคะ?” เหอปี้อวิ๋นพูดเตือนสติ


รอยยิ้มของอู่เจิ้งซือค่อยๆ หายไป สีหน้าเริ่มควบคุมไม่อยู่ แน่นอนว่าเมื่อก่อนเขาเคยพูดคำพูดพวกนี้ออกมา แต่ในเวลาแบบนั้น เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าอู่เหมยจะทำได้ดีและมีฝีมือขนาดนี้ เพียงแค่คิดว่าเธอวาดเล่นไปวันๆ


วาดรูปเล่นกับวาดรูปจนได้รับรางวัลชนะเลิศระดับเมือง ทั้งสองอย่างนี้เป็นความคิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง!


“เธอจะเข้าใจอะไร? ทุกสายงานทุกสายอาชีพ ล้วนแล้วแต่มีข้อดีของมันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งไหน หากเธอพยายามฝึกฝนและเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง ก็จะทำให้ประสบผลสำเร็จได้เหมือนกัน ผมดูแล้วอู่เหมยไม่เพียงแต่จะมีพรสวรรค์ในด้านวาดรูป แต่ยังมีความพยายามอย่างสูงด้วย อีกหน่อยคงจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก”


ลักษณะท่าทางของอู่เจิ้งซือหมุนเปลี่ยนแบบ 180 องศา เขาไม่เพียงแต่ไม่คัดค้านที่จะให้อู่เหมยเรียนวาดรูป แต่ยังให้การสนับสนุนเธออย่างเต็มที่


“เอ่อใช่ เหมยเหมยลูกไปเรียนวาดรูปตั้งแต่เมื่อไหร่?” อู่เจิ้งซือแปลกใจมาก


วันนี้ทั้งวันเขาเอาแต่คิดถึงปัญหานี้ เขาไม่เคยเห็นอู่เหมยเรียนวาดรูปมาก่อน ทำไมถึงได้รางวัลมารวดเร็วแบบนี้?


อู่เหมยตอบออกไปเสียงเบา “ก็ตั้งแต่ที่กลับมาจากภูเขาเฟิ่งหวง หนูก็ไปสมัครเรียนที่ห้องเรียนเยาวชนทันที ครูบอกว่าหนูวาดรูปสวย เลยไปลงชื่อสมัครการแข่งขันครั้งนี้แทนหนู”


อู่เจิ้งซือลองคำนวณดูคร่าวๆ ตั้งแต่ที่ไปภูเขาเฟิ่งหวงจนถึงตอนนี้ก็เพิ่งจะเป็นเวลาสองเดือนนิดๆ เอง อู่เหมยเรียนในระยะเวลาสั้นๆ แต่กลับได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับสอง พรสวรรค์ที่เธอมีอยู่ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ!


ยิ่งปรากฏเรื่องนี้ขึ้น ก็ยิ่งทำให้อู่เจิ้งซืออารมณ์ดีขึ้น หากว่าบ้านหลังนี้มีลูกสาวที่มีพรสวรรค์ด้านการวาดรูปแบบนี้อยู่ เขาเองก็สามารถเทิดเกียรติคุณให้กับบรรพบุรุษได้แล้ว!


“เหมยเหมยแล้วลูกเอาเงินจากไหนไปจ่ายค่าเรียน?” อู่เจิ้งซือสงสัยเป็นอย่างมาก อู่เหมยไม่เคยขอเงินจากเขามาก่อนเลย ยิ่งกับเหอปี้อวิ๋นยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะแม้แต่หยวนเดียวคงจะไม่ให้


“หนูเก็บออมเงินค่าขนมของทุกๆ สัปดาห์ไว้ นั่นเพียงพอที่จะจ่ายค่าเรียนและค่ากระดาษวาดรูปแล้วค่ะ” อู่เหมยพูดด้วยเสียงแผ่วเบา


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 353 พี่คะ พี่พยายามรักษาที่หนึ่งถึงที่สามไว้ให้ได้ล่ะ


อู่เจิ้งซือมองลูกสาวคนเล็กอย่างชื่นชม ขาดแคลนขนาดนั้น แต่ยังซื้อซาลาเปาไข่ปูกลับมาให้เขาด้วยความกตัญญูอีก นับว่าดีกว่าลูกสาวคนโตมาก อู่เยวี่ยไม่เคยซื้อซาลาเปาไข่ปูกลับมาให้เขาแม้แต่ครั้งเดียว แม้แต่ซาลาเปาไส้หมูเองก็ไม่เคยเห็นสักครั้ง


“ต่อไปนี้ค่าเรียนกับค่ากระดาษให้มาขอจากพ่อนะ ส่วนเงินค่าขนมลูกก็เก็บเอาไว้ใช้เถอะ”


อู่เหมยแหงนหน้าขึ้นมองอย่างตื่นเต้นดีใจ “พ่อคะ พ่อไม่คัดค้านที่หนูเรียนวาดรูปแล้วเหรอ?”


อู่เจิ้งซือยิ้มและพยักตอบ “เมื่อก่อนพ่อผิดเอง โชคดีที่ลูกไม่ยอมแพ้ต่อการเรียนวาดรูป ถึงทำให้มีวันนี้ได้ ต่อไปนี้พ่อจะคอยสนับสนุนลูกเอง ลูกวางใจได้ และขอให้ตั้งใจเรียนต่อไปนะ!”


“ขอบคุณค่ะพ่อ!”


อู่เหมยดีใจเป็นอย่างมาก เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าทุกอย่างจะราบรื่นแบบนี้ ตอนแรกนึกว่าจะต้องได้เปลืองน้ำลายมากกว่านี้!


อู่เจิ้งซือเองก็ติดเชื้อความดีใจจากอู่เหมย จึงยิ้มและพูดขึ้น “ต่อให้จะเป็นตัวของลูกเองหรือจะเป็นการเรียน พ่อหวังว่าลูกจะไม่เอาดีแต่วาดรูปแล้วทิ้งการเรียนนะ”


“จะไม่เป็นแบบนั้นค่ะ พ่อสบายใจได้เลย!” อู่เหมยตกปากรับคำเสียงดัง


แน่นอนว่าเธอจะไม่มีทางทำลายด้านการเรียน เธอเองยังหวังที่จะพัฒนาขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น!


เหอปี้อวิ๋นรู้สึกใจคอไม่ดีที่ได้เห็นอาการดีใจของทั้งสองพ่อลูก การที่อู่เหมยได้รับรางวัลไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อย เธอเองก็ไม่เข้าใจทัศนคติของตัวเองว่า เหตุใดถึงต้องทำกับอู่เหมยราวกับโกรธเกลียดเคียดแค้นกันนัก?


ทั้งๆ ที่เป็นก้อนเนื้อก้อนหนึ่งที่ได้เกิดมาจากท้องของเธอเอง!


หลายต่อหลายครั้งที่เธอพยายามจะฝืนเพื่อให้ตัวเธอเองชอบอู่เหมย แต่ทุกครั้งที่เห็นหน้าของอู่เหมย เธอกลับรังเกียจลูกสาวคนนี้มาจากก้นบึ้งของหัวใจ โกรธแค้นกันราวกับเธอเป็นดั่งลูกนอกไส้ ทำอย่างไรก็ไม่มีทางชอบเธอได้


หากว่าเป็นเมื่อก่อน เหอปี้อวิ๋นคงจะทำตัวดูถูกเหยียดหยามและประชดประชัน แต่ในตอนนี้เธอทำได้แค่ตามน้ำไปก่อน เพราะไม่ควรทำให้อู่เจิ้งซืออารมณ์เสีย เหอปี้อวิ๋นจึงจำใจฝืนทนและเดินกลับออกไปยังระเบียงและเริ่มลงมือทำมื้อเย็นต่อไป


อู่เยวี่ยเองก็กลับมาแล้ว เธอเองก็รู้สึกอารมณ์เสียไม่น้อย แต่ใบหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์แต่อย่างใด ยิ้มอ่อนๆ และพูดขึ้น “ยินดีกับเหมยเหมยด้วยนะ เพื่อนๆ ในห้องต่างพากันอิจฉาพี่ บอกว่าพี่มีน้องสาวที่เก่งมากเลย!”


อู่เหมยรู้สึกไม่คุ้นชินกับอู่เยวี่ยในลักษณะนี้ คาดเดาและเข้าถึงได้อยาก ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าในใจของเธอคิดอะไรอยู่ และก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าคำพูดไหนของเธอที่เป็นจริงเป็นเท็จ


“ขอบคุณค่ะ พรุ่งนี้พี่ก็สู้ๆ นะคะ รักษาที่หนึ่งถึงที่สามไว้ให้ได้ล่ะ!” อู่เหมยยิ้มตอบกลับไป แค่ละครเธอเองก็เล่นได้


เหอปี้อวิ๋นที่ได้ฟังคำพูดเหล่านี้กลับโมโหขึ้นมา และตะโกนเข้ามาในบ้าน “แกพูดบ้าอะไรอยู่? พี่สาวแกต้องได้ที่หนึ่งสิ!”


ตั้งแต่ที่เธอฟาดหัวอู่เจิ้งซือไปเมื่อคราวก่อน เหอปี้อวิ๋นเริ่มเผยธาตุแท้ออกมามากขึ้น ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนที่ต้องคอยรักษากริยาวาจา น้ำเสียงที่ใช้สนทนาก็เปลี่ยนเป็นกระด้างขึ้นมาก และไม่ค่อยให้ความสนใจต่อกาลเทศะเท่าที่ควร


แต่ถึงอย่างไรเธอเองก็คิดว่าเมื่อถึงคราวที่ความรู้สึกมันได้แตกร้าวไปแล้ว ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติจะได้เป็นตัวของตัวเองดีกว่า!


อู่เหมยเองก็ตะโกนออกไปยังด้านนอกประตู “หากหวังอะไรไว้มากๆ ความผิดหวังก็จะยิ่งมากตาม แม่อย่าสร้างความกดดันให้พี่มากเกินไปสิคะ ถ้าหากว่าพี่สอบได้ไม่ดี แล้วต้องนอนฝันร้ายจะทำยังไง?”


อู่เยวี่ยรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก เธออดทนเก็บความรู้สึกนี้ไว้ตั้งแต่ช่วงบ่าย แต่เธอจะต้องทนต่อไป เธอจะไม่ยอมตกเป็นหมากในเกมของอู่เหมยแน่ เธอจะต้องใจเย็น


“อู่เหมยน้องคงไม่ได้หวังให้พี่สอบไม่ผ่านหรอกใช่ไหม?” อู่เยวี่ยยิ้มบางๆ และถามกลับ


“จะเป็นไปได้ยังไง? พี่เป็นพี่ของหนูนะ หากว่าพี่สอบได้คะแนนไม่ดี หนูก็ต้องขายหน้าสิคะ แต่เมื่อเทียบกับหน้าตาแล้ว หนูหวังว่าพี่จะมีสุขภาพจิตดีนะคะ!” สภาพจิตใจของอู่เหมยดีกว่าปกติมาก


“สุขภาพจิตของพี่ดีมาก อู่เหมย น้องไม่ต้องคิดมากนะ” อู่เยวี่ยเองเป็นเด็กผู้หญิงที่มีอายุแค่สิบสี่ปี ในเมื่อเธอได้รับการกระตุ้นจากอู่เหมยหลายต่อหลายครั้ง คงแปลกถ้าจะยังทนต่อได้ แค่แวบเดียวสีหน้าท่าทางของเธอก็เปลี่ยนไป


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 354 ท่าทีของอู่เจิ้งซือที่เปลี่ยนไปมาก


อู่เหมยยักไหล่และพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าพี่บอกเองว่าไม่มีปัญหาก็ไม่คงจะไม่มีปัญหา”


เหอปี้อวิ๋นเดินเข้ามาและต่อว่าเธอ “เหมยเหมยแกอย่าเอาแต่ดึงเรื่องที่พี่ของแกฝันร้ายมาเอี่ยวด้วยสิ สภาพจิตใจของพี่แกจะมีปัญหาอะไรได้? ไม่ใช่แค่ฝันร้ายเองหรอกเหรอ? ทุกวันนี้แกจะเอาแต่พูดไร้สาระไปเพื่ออะไร?”


อู่เหมยดึงคอเสื้อของตัวเองลงและชี้ตรงคอที่ไม่มีร่องรอยใดๆ แล้วพูดขึ้น “ร่องรอยที่เกิดจากการฝันร้ายของพี่มันไม่น้อยเลยนะคะ หากไม่ระวังคงได้พรากชีวิตคนได้ แม่ไม่เข้าใจสถานการณ์ดีพอ อีกหน่อยถ้าพี่ได้เด็ดคอแม่ออกมา แม่คงจะไม่ได้พูดจาแบบนี้หรอก!”


“ยัยเด็กบ้านี่ ไม่โดนตีสั่งสอนริอาจเหิมเกริมเหรอ คุณอู่ คุณจัดการยัยเด็กนี่ให้ดีล่ะ ดูเอาเองว่าเธอพูดอะไรออกมา แม้แต่ความเคารพต่อผู้หลักผู้ใหญ่ยังไม่มีเลย”


เหอปี้อวิ๋นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เธอนึกอยากกจะตีอู่เหมยแรงๆ ด้วยไม้ขนไก่ แต่ก็ไม่กล้าทำ จึงทำได้เพียงบ่นโทษต่ออู่เจิ้งซือ เพื่อหวังให้อู่เจิ้งซืออบรมสั่งสอนอู่เมหย


แต่เธอกลับไม่ลองคิดดูบ้างว่าอู่เจิ้งซือในตอนนี้รักใคร่เอ็นดูอู่เหมยแค่ไหน เขาเองก็เป็นคนที่อยู่กับความเป็นจริงเสมอ เมื่อก่อนอู่เยวี่ยทำได้ดี ทุกๆ ครั้งจะสอบได้ที่หนึ่งเสมอ นั่นถือเป็นเกียรติให้กับเขา ดังนั้นเมื่ออู่เยวี่ยทำผิด เขาทำเป็นหลับหูหลับตาและไม่ได้ต่อว่าใดๆ


แต่ในตอนนี้กลับกันที่เป็นฝั่งอู่เหมยเท่านั้น เธอแค่พูดกระทบกระทั่งเหอปี้อวิ๋นไปบ้าง แค่เรื่องเล็กๆ ก็ไม่ถือเป็นปัญหาอะไรมากนัก


เหอปี้อวิ๋นเองก็มีส่วนผิด เขาก็ต้องมองดูท่าทีที่เธอมีต่ออู่เหมยด้วย ขนาดตัวเขาเองที่เห็นยังรู้สึกไม่สบายใจ


“ที่เหมยเหมยพูดก็มีเหตุผล เธอไม่ควรจะสร้างความกดดันให้อู่เยวี่ยมากเกินไป ทุกวันนี้เธอเอาแต่ตะโกนว่าต้องได้ที่หนึ่งจะมีประโยชน์อะไร? หรือเธอคิดว่าเธอพูดเสียงดัง แล้วจะทำให้อู่เยวี่ยสามารถสอบได้ที่หนึ่งเหรอ?”


อู่เจิ้งซือสั่งสอนเหอปี้อวิ๋นเสร็จ ก็ได้มองไปยังอู่เยวี่ยอีกครั้งและใช้น้ำเสียงที่ดีขึ้น “เยวี่ยเยวี่ยลูกแค่พพยายามทำให้เต็มที่ก็พอ อย่าไปฟังแม่เขามาก แค่รักษาตำแหน่งให้อยู่ในหนึ่งถึงสามก็พอ”


ช่วงก่อนหน้านี้ที่เขาไปรักษาตัวที่บ้านของพ่อกับแม่ ทำให้เขาคิดอะไรหลายๆ อย่างได้ ท่าทีของอู่เยวี่ยในตอนนี้ถือว่าปกติดีมาก เด็กผู้หญิงหลายๆ คนในวัยประถมจะได้คะแนนดี แต่พอถึงช่วงมัธยมต้นหรือปลายก็มักจะคะแนนตกไปอย่างเห็นได้ชัด ต่อให้พยายามมากแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์


อู่เยวี่ยคงจะจัดอยู่ในเกณฑ์นี้ด้วย ตัวเขาเองไม่ควรจะสร้างความกดดันให้อู่เยวี่ยมากเกินไป เพียงแค่อู่เยวี่ยสามารถรักษาตำแหน่งให้อยู่ในหนึ่งถึงสิบของโรงเรียนก็พอแล้ว ในอนาคต หนทางที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงก็ไม่ใช่ปัญหาแน่นอน


ยิ่งไปกว่านั้นคือครั้งก่อนที่อู่เยวี่ยฝันร้ายช่วงดึกดื่นเกือบทุกคืนแล้วได้บีบคออู่เหมย เรื่องนั้นยังทำให้อู่เจิ้งซือตกใจไม่น้อย และยิ่งตอนที่เหอปี้อวิ๋นมีอาการโรคประสาทกำเริบแล้วตีหัวเขา ทำให้อู่เจิ้งซือคิดว่าอาการของอู่เยวี่ยได้รับการถ่ายทอดมาจากเหอปี้อวิ๋น เลยทำให้เธอไม่ปกติ เบื้องต้นคือไม่ควรทำให้เธอรู้สึกสะเทือนใจเกินไป


เขายอมมีลูกสาวที่สอบได้ที่โหล่อย่างเป็นเรื่องธรรมดา ดีกว่าต้องมีลูกสาวที่เป็นโรคประสาท!


เพราะฉะนั้นเขาเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับอู่เยวี่ยแล้ว!


ดีที่ว่าอู่เหมยทำเรื่องให้เขาได้ดีจนน่าแปลกใจ นั่นทำให้อู่เจิ้งซือได้เชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง และเขาคงต้องได้ฝากฝังความหวังเอาไว้ที่ลูกสาวคนเล็ก แม้ว่าเลือดในกายของอู่เหมยจะไม่ใช่สายเลือดของบ้านตระกูลอู่ก็ตาม แต่เรื่องนี้แม้แต่พ่อแม่ของเขาก็ไม่เคยรับรู้ หากว่าเขาไม่พูด อู่เหมยก็จะยังเป็นลูกสาวของบ้านตระกูลอู่ได้ตลอดไป


อู่เยวี่ยนึกไม่ถึงว่าอู่เจิ้งซือจะมีท่าทีแบบนี้ แตกต่างไปจากเมื่อก่อนมาก ราวกับไม่สนใจอีกแล้วว่าเธอจะสอบได้ที่เท่าไหร่ ทั้งๆ ที่พ่อของเธอให้ความสนใจกับลำดับคะแนนของเธอมาก


“พ่อคะ ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูมั่นใจกับการสอบในวันพรุ่งนี้มากเลยค่ะ” อู่เยวี่ยพูดเสียงดัง


อู่เจิ้งซื้อยิ้มบางๆส่งให้และลูบหัวเธอเบาๆ “มีความมั่นใจเป็นสิ่งที่ดี แต่เยวี่ยเยวี่ยสิ่งที่ลูกควรเรียนรู้เอาไว้ ก็คือผ่อนคลายลงบ้าง อย่าไปสนใจกับเรื่องลำดับที่ให้มาก แค่ทำให้เต็มที่ก็เพียงพอแล้วนะ!”


อู่เยวี่ยมองอู่เจิ้งซืออย่างเหลือเชื่อ คนที่ให้ความสนใจต่อลำดับที่มากๆ อย่างเขา กลับบอกเธอว่าไม่ต้องสนใจลำดับที่งั้นหรือ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 355 ตำแหน่งที่เปลี่ยนไป


เหอปี้อวิ๋นรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงพูดออกมา “คุณอู่ ทำไมคุณถึงได้พูดแบบนี้? สอบก็เพื่อให้ได้ลำดับที่ดีๆ ไม่ใช่เหรอ? หากไม่สนใจลำดับที่แล้วจะสอบไปเพื่ออะไร?”


อู่เจิ้งซือจ้องเธอกลับ และพูดตักเตือน “โชคดีที่เธอยังได้เป็นครูอยู่ แต่คำพูดแบบนี้อย่าได้ออกไปพูดที่ไหนล่ะ อับอายขายขี้หน้า!”


แน่นอนว่าสอบก็เพื่อให้ได้ลำดับที่ดีๆ ทุกคนต่างก็คิดแบบนี้ แต่กลับไม่กล้าพูดออกมา โดยเฉพาะคนที่เป็นครูยิ่งไม่ควรพูดจาแบบนี้ แต่ควรจะพูดว่า ‘ลำดับที่ไม่ได้สำคัญ แต่สิ่งสำคัญคือเธอพยายามเต็มที่แล้วหรือยัง?’


คนเราบางครั้งก็ต้องทำเป็นเสแสร้งบ้าง ในใจคิดอย่างหนึ่งแต่สิ่งที่พูดออกมาทั้งหมดกลับไม่ใช่เรื่องเดียวกัน!


อู่เยวี่ยพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ และหันไปยิ้มหวานให้อู่เจิ้งซือ “พ่อคะ หนูจะพยายามทำให้เต็มที่ค่ะ”


ท่าทีของพ่อที่เปลี่ยนไปต้องเป็นเพราะครั้งก่อนเธอสอบได้คะแนนแย่ แล้วทำให้พ่อเสียใจแน่ๆ แต่ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่ครั้งนี้เธอสอบได้คะแนนดี พ่อก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง


เรื่องที่อู่เหมยได้รับรางวัลได้ถูกอู่เชาป่าวประกาศไปทั่วทั้งบ้านแล้ว คุณปู่อู่ หรือแม้แต่คุณย่าเองก็ได้ทราบเรื่องนี้แล้ว พวกเขาต้องดีใจอยู่แล้วเป็นธรรมดา สิ่งเดียวที่คนในบ้านตระกูลอู่มีคือการรักในศักดิ์ศรีและหน้าตา ใครที่สามารถสร้างความเป็นเกียรติให้กับวงตระกูลได้ถือว่าเป็นเด็กดี และแน่นอนว่าทุกคนต่างชื่นชอบ ยกเว้นแค่คุณย่าอู่


ไม่ว่าจะอย่างไรเธอก็ไม่สามารถชอบอู่เหมยได้ แต่เธอเองก็ดีใจอยู่ไม่น้อย จะอย่างไรก็ถือเป็นเด็กของตระกูล ยิ่งได้รับรางวัลแล้วก็ถือเป็นเกียรติของตระกูล


มีสายโทรเข้าจากคุณปู่อู่ ชวนให้อู่เจิ้งซือและทุกคนในครอบครัวไปทานข้าวที่บ้าน เป็นการบอกเหตุผลที่ชัดเจนจากคุณปู่ว่าให้เอาเกียรติบัตรฉบับนั้นมาด้วย


พอดีกับที่เหอปี้อวิ๋นเองไม่อยากทำกับข้าวแล้ว เธอจึงนำเนื้อในกระทะที่ผัดอยู่สาดลงไปในชาม เก็บเอาไว้สำหรับกินในวันพรุ่งนี้ แบบนั้นยิ่งทำให้ประหยัดค่าเนื้อไปได้อีกตั้งหนึ่งมื้อ


ทุกคนที่อยู่ทางฝั่งคุณปู่ต่างมากันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศครึกครื้นราวกับจัดงานเทศกาลขึ้น เกียรติบัตรของอู่เหมยได้ถูกทุกๆ คนส่งต่อๆ กันเพื่ออ่าน ทุกคนต่างพากันชื่นชมต่ออู่เหมยไม่หยุด


อู่เยวี่ยและจี้เหวินฮุ่ยต่างพากันนั่งเงียบ เพราะคำพูดไพเราะที่เอาแต่ชื่นชมนี้ แต่ก่อนทุกคนต่างใช้มันพูดกับเธอ แต่ในตอนนี้ผู้ที่ได้รับมันไปถูกเปลี่ยนไปเป็นอู่เหมย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่แย่ลงจึงทำให้เธอรู้สึกหดหู่


ตี๋ชิวเยวี่ยดีใจกับอู่เหมยเป็นที่สุด เธอยิ้มแย้มและพูด “พ่อคะ แม่คะ ดูเหมือนว่าตระกูลเราจะมีจิตรกรแล้วนะ อู่เหมยเรียนวาดรูปในระยะเวลาแค่สองเดือนก็ได้รับรางวัลแล้ว เธอมีพรสวรรค์ขนาดนี้ อีกหน่อยต้องเป็นจิตรกรได้แน่”


คุณปู่ส่งยิ้มอ่อนๆ ให้ ท่านมักจะชอบฟังคำพูดคำจาของลูกสะใภ้อย่างเธอ ทุกคำพูดสามารถสื่อลึกไปถึงก้นบึ้งของใจเขา แม้ว่าตระกูลอู่จะเป็นที่รู้จักในเรื่องการเรียนการศึกษามาหลายรุ่น แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เคยมีลูกหลานที่มีพรสวรรค์มาก่อน มีเพียงแค่การเรียนที่อาจจะเก่งกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง แต่พรสวรรค์อย่างเช่นด้านการแต่งกลอน วาดรูปหรือเขียนพู่กัน กลับยังไม่เคยมีให้เห็น


เหมือนกับอู่เชาที่คะแนนไม่ค่อยดี แต่คุณปู่ก็ยังรักเขามากกว่าคนอื่น เป็นเพราะพรสวรรค์ในตัวอู่เชา เจ้าเด็กอ้วนนี้เป็นหลานของตระกูลอู่ที่มีพรสวรรค์ที่สุด อายุน้อยอย่างเขาสามารถเขียนกลอนประพันธ์เพลงได้ อีกทั้งยังรอบรู้เกี่ยวกับเสียงสัมผัสด้านดนตรีได้อย่างลึกซึ้ง โดยที่หลานคนอื่นๆ ไม่สามารถเทียบกับเขาได้


แต่ในตอนนี้มีอู่เหมยเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว หลานสาวคนเล็กทำให้เขาเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่ง โดยที่เมื่อก่อนเธอไม่เคยแสดงออกให้เห็นถึงความสามารถที่ตัวเองมีอยู่เลย แต่จู่ๆ กลับแสดงผลงานอันน่าทึ่งออกมาให้เห็น ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก!


คุณปู่อู่ได้นำเกียรติบัตรไปวางไว้บนตู้โชว์ในห้องรับแขก และถือเป็นส่วนกลางห้อง สามารถมองเห็นได้ชัดเจน แขกที่เดินเข้ามาก็สามารถมองเห็นได้


“ไม่เลวนะ เกียรติบัตรนี่ก็เอาไว้ที่นี่แหละ ไว้พรุ่งนี้ปู่จะรีบไปหากรอบรูปกระจกมาใส่ให้” คุณปู่มองเกียรติบัตรซ้ายทีขวาทีอย่างพึงพอใจ


แต่อู่เจิ้งซือรู้สึกไม่ค่อยพอใจ จึงพยายามช่วงชิงดูสักครั้ง “พ่อครับ ผมเองก็อยากได้เกียรติบัตรฉบับนี้ไปแขวนไว้ในห้องรับแขกของบ้านผมเหมือนกัน”


คุณปู่ปฏิเสธอย่างแน่วแน่ “แขวนไว้ที่นั่นเพื่ออะไร? บ้านหลังนี้ออกจะกว้าง แขวนไว้ที่นี่แหละ!”


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 356 ดาวล้อมเดือน


สุดท้ายก็เป็นคุณปู่อู่ที่เป็นฝ่ายชนะ ก็ท่านเป็นผู้อาวุโสนี่ อู่เจิ้งซือยิ้มอย่างเสียดาย “พ่อครับ ถึงอย่างไรก็ควรจะให้ผมเอากลับไปไว้ที่บ้านสักหน่อยไหม? เพื่อนหลายๆ คนต่างก็อยากจะมาที่บ้านเพื่อดูเกียรติบัตร ถ้าพ่อเอาไปแล้วผมจะเอาอะไรให้คนอื่นดูล่ะ?”


คุณปู่อู่ถือว่าเป็นคนที่มีเหตุผล แค่ได้ยินว่าเป็นการเพิ่มเกียรติให้ตระกูลอู่ ก็ตอบตกลงในทันที และเอาเกียรติบัตรส่งคืนให้กับอู่เจิ้งซือ เขายังได้กำชับอีกว่า “เอาไว้ที่บ้านไม่กี่วันก็พอแล้ว แต่ต้องเอามาคืนก่อนถึงวันปีใหม่นะ ยิ่งเดือนแรกของปีจะมีแขกมาเยอะ”


ความหมายของประโยคนี้ก็คือ ในเดือนแรกของปีเขาจะได้โอ้อวดสักหน่อย!


ตี๋ชิวเยวี่ยหันไปมองยังอู่เหมยที่เอาแต่สงบเงียบ และรู้สึกดีใจแทนเธอจริงๆ เจ้าเด็กน้อยคนนี้ถือว่าผ่านจุดวิกฤตมาได้แล้ว!


“พ่อและน้องสองจะแย่งกันไปทำไมคะ? เหมยเหมยวาดรูปเก่งขนาดนี้ อีกหน่อยรางวัลที่ได้รับต้องไม่น้อยแน่ๆ ทั้งสองคนยังกลัวว่าจะไม่มีเกียรติบัตรให้แขวนอีกเหรอคะ? แต่เกรงว่าอีกหน่อยตู้โชว์ในห้องรับแขกของบ้านเราจะไม่พอแขวนมากกว่านะ!”


คำพูดเกลี้ยกล่อมของตี๋ชิวเยวี่ยได้ทำให้ทั้งคู่จิตใจร่าเริงขึ้น แม้แต่อู่เจิ้งต้าวที่หน้านิ่งราวน้ำแข็งมาแต่ไหนแต่ไร ยังยิ้มตามออกมาได้ หลานสาวคนเล็กคนนี้ได้นำเกียรติมาให้ตระกูลอู่จริงๆ พรุ่งนี้ไปทำงานจะต้องพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานสักหน่อยแล้ว ว่าบ้านตระกูลอู่เองก็มีหลานชายหลานสาวที่มีพรสวรรค์


อู่เหมยเองได้แต่นั่งนิ่งเงียบฟังญาติพี่น้องคุยโม้โอ้อวดกัน ใบหน้าของทุกคนล้วนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม คำพูดคำจาที่เปล่งออกมานั้นหวานเสียยิ่งกว่าน้ำผึ้ง และสายตาที่มองเธอก็มีแต่ความรักใคร่เอ็นดู ตัวเธอเองในตอนนี้เป็นดั่งเจ้าหญิงตัวจริง เพราะได้กลายเป็นคนโปรดที่สุด


แต่เธอกลับไม่รู้สึกซาบซึ้งใดๆ ในใจไม่มีแม้แต่คลื่นจังหวะของการเต้น ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่มีเลย


สำหรับตระกูลอู่แล้ว เธอเป็นแค่คนนอก ต่อให้เธอจะประสบความสำเร็จหรือจะล้มเหลว ล้วนไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับคนตระกูลอู่ เพราะเธอเห็นธาตุแท้จากคำพูดและภาพลักษณ์ของญาติพี่น้องมาตั้งแต่แรก


สำหรับพวกเขาแล้ว ชื่อเสียงและเกียรติยศเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด พวกเด็กๆ เป็นเพียงแค่เกียรติอันจอมปลอมและเครื่องมือในการคุยโม้โอ้อวดก็เท่านั้น!


เมื่อก่อนเธอเป็นเพียงแค่เด็กบ๊วย อัปลักษณ์จนไม่กล้าสู้หน้าใคร ไม่ว่าเหอปี้อวิ๋นจะปฏิบัติต่อเธอได้โหดร้ายหรือทารุณแค่ไหน ก็ไม่เคยมีใครออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้เธอเลย แค่กลัวว่าหากเธอตายไปจะไม่มีแม้แต่คนที่จะมาเสียน้ำตาให้เธอ!


เพียงแต่ตอนนี้เธอสวยและยังดูมีอนาคต เลยทำให้ญาติพี่น้องเหล่านี้เปลี่ยนสีได้ จึงหันมาให้ความสนใจกับเรื่อของเธอมากขึ้น พวกเขาเอาแต่ชื่นชมและพูดจาด้วยคำพูดที่อู่เหมยอยากได้ยินในสมัยก่อนแต่กลับไม่เคยได้ยินเลย


แต่ในตอนนี้เธอไม่ได้ใส่ใจแล้ว เพราะเธอได้เปลี่ยนไปและแข็งแกร่งขึ้น!


อู่เหมยหันไปมองยังอู่เยวี่ยที่เอาแต่นั่งเงียบตั้งแต่เข้าประตูบ้านมา เธอนั่งอยู่ในมุมๆ หนึ่ง โดยไม่มีใครให้ความสนใจต่อเธอ และไม่มีใครเข้าไปพูดคุยกับเธอแม้แต่ประโยคเดียว ดูเหมือนเธอจะหดตัวอยู่และดูน่าสงสาร ไม่ต่างจากเธอในสมัยก่อนเลย เธอกับอู่เยวี่ยหลุดจากตำแหน่งเดิมแล้ว


ในใจของอู่เยวี่ยในตอนนี้เกิดความสับสนขึ้นเป็นอย่างมาก แม้ว่าก่อนมาที่นี่เธอจะพยายามสร้างเกราะกำบังให้ตัวเองแล้ว ต้องไม่สนใจท่าทีของคุณปู่และทุกคน จะต้องใจเย็น และจะต้องทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไร


แต่พอได้มาเห็นกับตาตัวเองว่าญาติพี่น้องต่างพากันห้อมล้อมรอบตัวอู่เหมย ความสนใจของทุกคนต่างก็อยู่ที่อู่เหมย แม้แต่คุณย่าที่รักเธอมาก ยังเอาแต่มองแค่อู่เหมย จะถามเธอสักคำก็ไม่มีเลย ทั้งที่วันพรุ่งนี้จะเป็นวันสอบรายเดือนของเธอ


อู่เยวี่ยกัดริมฝีปากตัวเองแน่น กลิ่นคาวราวกับสนิมได้กระจายไปทั่วปาก เธอฝืนตัวเองให้ยิ้มออกมา จะขายหน้าต่อหน้าอู่เหมยไม่ได้เด็ดขาด เธอคือความภาคภูมิใจของตระกูลอู่ และเป็นเจ้าหญิงของตระกูลอู่ อู่เหมยเป็นได้แค่หงส์ตัวปลอม สักวันเธอจะต้องแย่งชิงของที่เป็นของเธอกลับมาให้ได้!


เธอรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังจ้องมองอยู่ อู่เยวี่ยจึงได้เงยหน้าขึ้น แต่กลับเห็นอู่เหมยที่เบะปากส่งให้เธอ มือเล็กๆ ของเธอยังชี้ลงด้านล่าง และพูดให้อ่านตามปากโดยไม่ออกเสียง


“ยัยชั่ว!”


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 357 ไก่ทัั้ง 2 น่อง เป็นของเธอ


เมื่ออารมณ์เริ่มเดือดพล่านขึ้น สีหน้าของอู่เยวี่ยได้เปลี่ยนไปอย่างมาก เธอเข้าใจภาษาปากของอู่เหมย ยัยโง่นี่บังอาจมากที่ด่าเธอต่อหน้าทุกคนในครอบครัว มันชักจะได้ใจเกินไปแล้ว แค่การแข่งขันวาดรูปเท่านั้นเอง บนโลกใบนี้มีคนที่วาดรูปเก่งอยู่ตั้งมากมาย ในวันข้างหน้าอู่เหมยจะประสบความสำเร็จหรือเปล่ายังคาดเดาไม่ได้เลย!


การเรียนดีถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ขอแค่เธอสามารถสอบเข้าสถาบันการศึกษาระดับสูงอย่างมหาวิทยาลัยชิงหวาหรือมหาวิทยาลัยปักกิ่งได้ กระทั่งสามารถเรียนถึงปริญญาโท ปริญญาเอกได้ แล้วมาดูกันว่าใครที่มีความสามารถมากกว่ากัน!


อู่เยวี่ยพยายามฝืนทนต่อความรู้สึกโกรธเพื่อให้ใจเย็นลง เธอรู้ดีว่าอู่เหมยต้องการจะจุดประกายไฟความโกรธให้เธอ เธอจะหลงอยู่ในกลอุบายของยัยชั่วนี่ไม่ได้ เธอจะต้องพยายามรักษาสภาพทางจิตใจไว้ให้ดี เพื่อต้อนรับการสอบที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้


ทุกคนต่างเข้าใจเหตุผลดี แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้?


เธอได้แรงกระตุ้นอย่างหนักจากทั้งคนในตระกูลอู่และอู่เหมย ราวกับใจของอู่เยวี่ยถูกแช่ในน้ำสมุนไพรหวงเหลียน ขมไปทั้งตัว ต่อให้เป็นขิงสดในน้ำซุปไก่ พอดื่มเข้าไปก็ขมอยู่ดี กินอะไรเข้าไปก็ไม่รู้รส


“เหมยเหมยกินน่องไก่นี่สิ ลูกชอบกินน่องไก่เป็นที่สุดไม่ใช่เหรอ?” อู่เจิ้งซือคีบน่องไก่วางไว้ในจานของอู่เหมย


อู่เหมยรับมาอย่างไม่เกรงใจ พร้อมทั้งยิ้มหวานส่งให้และพูด “ขอบคุณค่ะพ่อ”


คุณปู่อู่มองดูหลานสาวคนเล็กอย่างยิ้มแย้ม มองอย่างไรก็รู้สึกว่าเธอสวย กริยาท่าทางตอนกินน่องไก่ยังดูมีสง่า อายุน้อยๆ อย่างเธอก็สามารถกลายเป็นหญิงสาวที่มีบุคลิกน่านับถือได้ ทำได้ไม่เลวจริงๆ


คุณปู่น่าจะลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้เขาเคยติเตียนอู่เหมย บอกว่าวาจาท่าทางในการกินข้าวของเธอดูไม่เรียบร้อย ไม่มีความสุขุมเลยสักนิด ความจำแย่เสียจริง!


“เหมยเหมยชอบกินน่องไก่เหรอ? ถ้างั้นน่องไก่ทั้งสองชิ้นยกให้หนูเลย!” ตี๋ชิวเยวี่ยเองก็ได้คีบน่องไก่อีกชิ้นส่งให้อู่เหมย เธอสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ดีมาก รู้ดีว่าช่วงเวลาไหนควรปฏิบัติอย่างไร เธอจะไม่ทำตัวล้ำเส้นหรือเกินขอบเขต


ในช่วงเวลานี้คุณปู่มองอู่เหมยราวกับเธอเป็นดั่งภูเขาทองคำ ต่อให้เธอจะยกไก่ทั้งตัวให้กับอู่เหมย คุณปู่ก็ไม่มีทางพูดหรือต่อว่าอะไร สำหรับเด็กที่นำเอาเกียรติยศและหน้าตามาให้แก่ตระกูลของเรา แน่นอนว่าคุณปู่จะต้องใจกว้างขึ้น


ใบหน้าของคุณปู่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ยังคงส่งยิ้มให้ราวกับพระอริยเมตไตรย กระทั่งยังพูดขึ้นอีกว่า “ถ้าชอบกินก็กินเยอะๆ ล่ะ ช่วงนี้ร่างกายของอู่เหมยกำลังเจริญเติบโต ต้องกินเนื้อเยอะๆ เจ้าสองกับลูกสะใภ้ อีกหน่อยหมั่นตุ๋นไก่ให้อู่เหมยกินด้วยล่ะ เด็กคนนี้ดูผอมมาก”


เหอปี้อวิ๋นพยายามเก็บอารมณ์โกรธไว้ ยอมรับด้วยความนอบน้อม จิตใจและอารมณ์ของเธอไม่ได้ดีไปกว่าอู่เยวี่ยเลย เพราะเธอเองสงสารลูกสาวมาก แทบทั้งคืนไม่มีใครสนใจจะพูดกับอู่เยวี่ยแม้แต่ประโยคเดียว มองดูอู่เยวี่ยที่นั่งอยู่ในมุมอับอย่างน่าสงสาร เธอเจ็บปวดใจแค่ไหนคงไม่ต้องพูดถึง!


“พ่อวางใจเถอะค่ะ ต่อไปหนูจะใส่ใจต่ออาหารการกินของพวกเด็กๆ ให้มากขึ้น เยวี่ยเยวี่ยเองก็ผอมลงไปมาก วันๆเอาแต่อ่านหนังสือจนดึกดื่นทั้งคืน หนูพูดอะไรเธอก็ไม่ยอมฟัง” เหอปี้อวิ๋นจงใจที่จะเปลี่ยนมาคุยถึงเรื่องของอู่เยวี่ยแทน


คุณย่ามองไปยังอู่เยวี่ยที่เอาแต่นั่งเงียบอยู่ในมุมๆ หนึ่ง ถึงได้รู้ว่าวันนี้เธอได้มองข้ามอู่เยวี่ยไป เธอมองที่คางของอู่เยวี่ย และใบหน้าที่ซีดขาว ทั้งรู้สึกเห็นใจสงสาร จึงได้รีบเอาไก่คีบส่งให้อู่เยวี่ยและพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “เยวี่ยเยวี่ยกินเนื้อเยอะๆ หน่อย ดูหลานสิผอมไปหมดแล้ว ต่อไปอย่าเอาแต่อ่านหนังสือมากเกิน  ถ้าร่างกายทรุดโทรมจะทำยังไง?”


ความอบอุ่นที่เพิ่งจะได้รับทำให้เธอแทบน้ำตาไหล รู้สึกแสบเคืองที่หางตา อู่เยวี่ยพยายามสูดหายใจเข้า น้ำเสียงที่เปล่งออกมามีเสียงคัดจมูกปะปนอยู่ และพูดขึ้นเบาๆ “คุณย่าคะ หนูไม่เป็นไรหรอก หนูร่างกายแข็งแรงมาก”


อู่เหมยคีบเอาน่องไก่ส่งให้เจ้าเด็กอ้วนที่นั่งอยู่ข้างเธอ สายตาของเจ้าอ้วนเอาแต่จ้องมองน่องไก่ในจานเธอไม่วางตา เธอกินไปจนรู้สึกสะอิดสะเอียน เอาให้เขาไปจะดีกว่า


อู่เชาแทะกินน่องไก่ด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างมาก เขารู้สึกซาบซึ้งต่อการกระทำของอู่เหมย อย่างน้อยยัยบ้านี่ก็ยังมีน้ำใจให้เขาอยู่บ้าง!


อู่เหมยมองเขาอย่างเอือมๆ แค่น่องไก่นิดเดียวก็ทำให้คืบหน้าแล้ว เธอกลอกตาไปมาและจ้องมองอู่เยวี่ยที่เอาแต่ออดอ้อนคุณย่าอยู่ พูดขึ้นเสียงดัง “คุณย่าคะ ร่างกายของพี่ไม่ได้แข็งแรงเลยสักนิด ย่าช่วยเกลี้ยกล่อมพี่หน่อยสิคะ ว่าอย่าเอาแต่จดจ่อกับการเรียนเกินไป”


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 358 อู่เยวี่ยยอมคุกเข่า


คำพูดของอู่เหมยทำเอาทุกคนที่นั่งกินข้าวอยู่เงียบๆ ต่างพากันตกใจ และมองไปทางอู่เยวี่ยเป็นตาเดียว เด็กคนนี้ร่างกายไม่แข็งแรงเหรอ? หรือว่าจะป่วยเป็นโรคอะไรที่ซับซ้อน?


คุณปู่อู่จ้องมองไปยังอู่เจิ้งซืออย่างเคร่งขรึม ในสายตามีคำถามปะปนอยู่ อู่เจิ้งซือจึงทำได้เพียงมองหน้าอู่เหมย ยัยเด็กนี่ทำไมถึงได้พูดจาไร้สาระอีกแล้ว?


“เหมยเหมยอย่าพูดไร้สาระ พี่สาวลูกร่างกายก็แข็งแรงดีนี่” อู่เจิ้งซือตักเตือนเสียงเบา


ใจของอู่เยวี่ยเต้นไม่เป็นจังหวะ ราวกับเธอเดาได้ว่าอู่เหมยต้องการจะพูดอะไร เธอจึงฝืนยิ้มและพูดออกไป “เหมยเหมยทำไมชอบพูดล้อเล่นอะไรแบบนี้อีกแล้วล่ะ ขนาดไข้หวัดพี่ยังไม่ค่อยเป็นเลย จะร่างกายไม่แข็งแรงได้ยังไง?”


อู่เหมยคลี่ยิ้มตรงมุมปาก มองไปยังอู่เยวี่ยราวกับเธอกำลังยิ้มให้แต่ไม่ใช่ และพูดขึ้นเสียงดัง “สภาพจิตใจของพี่ไม่ค่อยดี แรงกดดันมีมากเกินไป ทั้งหมดเป็นเพราะแม่บังคับ วันๆ เอาแต่พูดว่าต้องสอบให้ได้ที่หนึ่ง เป็นเพราะพี่ไม่อยากทำลายความหวังของแม่ ทุกวันนี้จึงต้องยอมกัดฟันฝืนทนอ่านหนังสือ จนแทบจะกลายเป็นโรคประสาทแล้ว!”


อู่เจิ้งซือถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ ดูเหมือนว่าลูกสาวคนเล็กจะฝังใจกับเหตุการณ์นี้มาก ตั้งแต่อยู่ที่บ้านจนมาถึงที่นี่ เรื่องที่เธอถูกอู่เยวี่ยบีบคอในครั้งก่อน คงจะทำให้เธอตกใจไม่น้อย


แท้จริงตัวเขาเองก็ยังแอบสงสัยว่าสภาพจิตใจของอู่เยวี่ยไม่ค่อยปกติ แต่เป็นเพราะหน้าตาและศักดิ์ศรีของเขา จึงได้แสร้งทำเหมือนว่าลืมเรื่องนี้ไป และจงใจไม่พูดถึงอีก


แต่อู่เหมยไม่มีทางยอมให้เขาได้สมใจหรอก เขาไม่อยากคิดก็ไม่เป็นไร เธอจะคอยย้ำเตือนเขาเอง ว่าเขามีลูกสาวที่เป็นโรคประสาท อู่เหมยเคยอ่านตำนานของฆาตรกร และก็เข้าใจถึงความน่ากลัวของข่าวลือ และมันก็ตรงกับที่คุณหลู่ซวิ่นเคยพูดไว้ ‘บนโลกไม่มีถนนหนทาง แต่พอคนเริ่มเดินมากขึ้น สุดท้ายก็จะกลายเป็นถนนขึ้นมาเอง’


ข่าวลือก็ไม่ต่างกัน เรื่องที่ไม่เป็นความจริง แต่พอคนพูดถึงมากๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องจริงได้เอง


เธอจะต้องเคี่ยวเข็ญให้อู่เยวี่ยเป็นบ้าจนได้!


อู่เยวี่ยรู้ดีว่าอู่เหมยจะพูดแบบนี้ เธอกัดฟันแน่นอย่างโกรธจัดจนฟันแทบแตก คืนนั้นเธอประมาทเกินไป ทำให้เข้าตามแผนของอู่เหมยได้ จนตอนนี้เธอกลายเป็นผู้ถูกกระทำแทน แต่เธอจะยอมแพ้ต่อเรื่องแค่นี้ไม่ได้ จะยอมให้อู่เหมยใส่ร้ายเธอเรื่องโรคประสาทไม่ได้


โรคประสาทเป็นเหมือนกับหนูที่วิ่งอยู่บนท้องถนน ทุกคนต่างรังเกียจ และต่างวิ่งไล่ทำร้ายมัน เธอจะไม่ยอมให้อู่เหมยโอ้อวดอยู่คนเดียว


“เหมยเหมย ครั้งก่อนที่พี่ฝันร้ายแล้วบีบคอน้อง เป็นความผิดของพี่เอง พี่ขอยอมคุกเข่าก้มหัวให้น้อง แต่ขอร้องว่าต่อไปนี้อย่าหาว่าพี่เป็นโรคประสาทอีกเลย ทุกครั้งที่น้องพูด ใจของพี่มันเจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีดแทง ยิ่งน้องสาวแท้ๆ มากล่าวหาว่าเป็นโรคประสาทอีก ความเจ็บปวดนี้ใครก็ไม่สามารถรับรู้ได้ พี่ขอโทษน้องด้วยนะ เหมยเหมยถ้าหากว่าน้องยังโกรธพี่อยู่ จะตบจะตีพี่ก็ได้นะ!”


อู่เยวี่ยรู้ดีว่าถ้าอยากจะพลิกเกมรอบนี้ได้ จะต้องยอมบอกความจริงออกไป ดังนั้นเธอจึงเลือกวิธีที่ทำให้ทุกคนตกใจอยู่ไม่น้อย


ไม่เป็นไร


วันนี้อาจได้รับความอับอายขายขี้หน้า แต่ต่อไปเธอจะเอาคืนเป็นร้อยเท่า!


อู่เหมย แกกับฉันได้เห็นดีกันแน่!


ทุกคนตกใจต่อการกระทำของอู่เยวี่ยเป็นอย่างมาก เด็กคนนี้ทำไมบอกว่าจะคุกเข่าก็คุกเข่าลงไปจริงๆ ล่ะ อู่เหมยเองก็ตกใจไม่น้อย ในใจรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก เธอรู้ดีว่าเกมรอบนี้อู่เยวี่ยเป็นฝ่ายชนะ ยัยชั่วช้าคนนี้มีอุบายที่แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน


รู้จักที่จะหลอกใช้ความเห็นใจจากคนอื่น จงใจที่จะทำตัวน่าสงสาร จากนั้นก็จะได้รับความเห็นใจจากทุกคน หากว่าเธอเอาแต่พูดถึงเรื่องๆ นี้ นั่นก็แปลว่าเธอใจดำอำมหิต ใจแคบ ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ผิดอยู่ดี


แต่แล้วทำไมหรือ?


เธอไม่ได้อยากให้ทุกคนชื่นชมหรือปฏิบัติกับเธอด้วยความอ่อนโยน ยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่เคยเก็บเอาความรู้สึกของญาติพี่น้องพวกนี้มาใส่ใจเลย สนใจว่าเขาจะมองตัวเองอย่างไรบ้างเถอะ!


เธอชอบทำอะไรอย่างตรงไปตรงมา นั่นถึงจะทำให้สบายใจ!


ตี๋ชิวเยวี่ยและเหอปี้อวิ๋นต่างพากันพยุงตัวอู่เยวี่ยขึ้น แต่พูดอะไรออกไปเธอก็ไม่ฟัง พูดแค่ว่าหากอู่เหมยไม่ให้อภัย เธอก็จะนั่งคุกเข่าไปเรื่อยๆ และจะไม่ยอมลุกขึ้นเป็นอันขาด


…………………………………………………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)