ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 350-361
บทที่ 350 กล่องในห้องโดยสารเรือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฉินสือโอวเข้าเว็บไซต์บ้านของเรืออับปางโดยตรง นี่เป็นเว็บบอร์ดเกี่ยวกับเรืออับปางที่ดีที่สุด มีประโยชน์มากกว่ากูเกิลอีก ข้อมูลมีความถูกต้องแม่นยำมากกว่ารายงานของสื่อขนาดใหญ่อีก ข้างในนี้มีข้อมูลที่เรียบเรียงโดยบริษัทเก็บกู้ซากเรืออับปางมืออาชีพเป็นจำนวนมาก
ถ้ามีเงินทำอะไรก็สะดวก เว็บไซต์บ้านของเรืออับปางต้องการทำกำไร จึงมีการกำหนดระบบสมาชิกธรรมดา สมาชิกวีไอพีและสมาชิกซูเปอร์วีไอพี ฉินสือโอวสมัครสมาชิกซูเปอร์วีไอพีทันที ค่าสมาชิกรายปีคือ 3650 ดอลลาร์สหรัฐ
เพียงเท่านี้เขาก็สามารถค้นดูข้อมูลเกือบทั้งหมดได้ นอกจากนี้ เขายังสามารถรับบริการทั้งหมดของเว็บบอร์ดได้ อย่างเช่น ค้นหาโดยเรียงลำดับข้อมูลจากระดับความสำคัญของข้อมูลที่ทีมงานเว็บบอร์ดกำหนดเอาไว้
สำหรับซากเรืออับปางธรรมดา เว็บบอร์ดนี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมาย แต่สำหรับเรือไททานิกแล้วมีประโยชน์อย่างมากเลยล่ะ ข้อมูลของมันแทบจะเยอะที่สุดในบรรดาเรืออับปางทั้งหมดเลย
เปิดไฟล์ข้อมูลที่มีสัญลักษณ์สำคัญที่สุดกำกับไว้ นี่เป็นไฟล์ PDF ขนาด 120M ข้างในมีรูปภาพจำนวนมาก ข้อมูลชุดนี้ถือได้ว่าเป็นไฟล์เก็บข้อมูลเรือไททานิกเลย
ไฟล์ข้อมูลนี้ทำการแนะนำซากเรือลำนี้ในทุกๆ ด้าน หนึ่งในนั้นก็มีเรื่องของการเก็บกู้ด้วย และในส่วนนี้มีการเขียนเปิดหัวอย่างนี้
‘เริ่มตั้งแต่ปี 1996 เรือลำนี้ได้ถูกเก็บกู้โดยบริษัทเก็บกู้มากมายและนักประดาน้ำหลายท่าน แต่เนื่องจากตัวเรือผุกร่อนอย่างรุนแรงบวกกับตอนที่ประสบภัยทางทะเลตัวเองก็ได้ถูกทำลายอย่างรุนแรง ดังนั้น นักเก็บกู้จึงทำได้เพียงแค่ทำการเก็บกู้รอบนอกตัวเรือเท่านั้น แต่สำหรับส่วนใจกลางเรือเช่น ห้องกัปตันเรือ ห้องโดยสารชั้นหนึ่ง ห้องเก็บสัมภาระและห้องเก็บของต่างๆ ยังไม่มีคนเก็บกู้ได้สำเร็จ’
ฉินสือโอวดีใจเมื่อเห็นประโยคนี้ ดูเขาต่อไป เขาไม่ได้แค่ดีใจแต่คือดีใจจนจะบ้าแล้ว
เรือไททานิกเป็นซากเรือลำหนึ่งที่มีมูลค่าเป็นที่สุด ตอนนั้นมันบรรทุกเศรษฐีชาวอเมริกาและชนชั้นสูงชาวอังกฤษจำนวนมาก คนพวกนี้มีคนจำนวนมากที่อพยพจากอังกฤษไปยังแผ่นดินใหม่ ดังนั้นต่างก็พากันมาทั้งลูกเล็กเด็กแดง บนเรือมีทรัพย์สินสมบัติมากแค่ไหนคงไม่อาจนับได้
แต่ว่า ข้อมูลชุดนี้มีการบันทึกถึงการประมูลสมบัติที่เก็บกู้ขึ้นมาจากเรือไททานิกไว้ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นมีของประมูลจำนวนทั้งหมด 5500 ชิ้น รวมถึงเครื่องปั้นดินเผาที่ประณีต ชุดถ้วยชามเงินและซากเรือหนัก 17 ตันที่มีหน้าต่างของห้องผู้โดยสารที่สมบูรณ์
มูลค่าที่ได้จากการประมูลในครั้งนั้น เป็นเงินทั้งสิ้น 18900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เวลานั้นคือปี 2005 ตามอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐต่อเงินหยวนในตอนนั้นบวกกับอัตราเงินเฟ้อปีละ 2% การประมูลครั้งนี้น่าจะได้เงิน 2 หมื่นล้านหยวนเลย!
และนี่ยังเป็นเพียงมูลค่าของสมบัติรอบนอกเรือไททานิกเท่านั้น!
หลังทำความเข้าใจแล้ว ฉินสือโอวก็ไม่ลังเลอีก จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทำการควบคุมต่อเรือไททานิก
สแกนภายในซากเรือ สแกนวนไปสองรอบ ฉินสือโอวทำความเข้าใจมันบ้างแล้ว
รอบนอกของเรือไททานิกได้ผุกร่อนหมดแล้ว ตอนที่ประสบภัยพื้นที่พวกนี้ได้รับการทำลายที่รุนแรงที่สุด น้ำทะเลก็เริ่มกัดเซาะจากที่นี่นั่นแหละ แต่ที่รุนแรงที่สุดคือถูกทำลายโดยฝีมือคน มันแทบจะกลายเป็นเศษซากปรักหักพังหมดแล้ว
เข้าไปในห้องโดยสาร สถานการณ์เริ่มดีขึ้นมาบ้าง แม้ว่าสิ่งของจะรกกระจุยกระจาย แต่ว่ายังคงเก็บรักษาได้สมบูรณ์
แต่ว่าตอนนี้ยังมองไม่ชัดว่ามีอะไรบ้าง ไม่ว่าอะไรต่างก็ถูกสนิมหรือว่าปรสิตใต้ทะเล มูลสัตว์ทะเลและพวกสารคัดหลั่งปกคลุมอยู่
ฉินสือโอวก็จนปัญญา จิตสำนึกแห่งโพไซดอนไม่ใช่ดวงตามองทะลุ เขาไม่สามารถเห็นได้ว่าในนี้มีสิ่งของอะไร
เมื่อเป็นอย่างนี้ ฉินสือโอวจึงมีอาการปวดหัวนิดๆ แล้ว คิดอยากจะทำเงินจากเรือไททานิกไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
และโชคร้ายมากพอดีกับที่ปี 2010 ศาลสูงสุดของประเทศอังกฤษและอเมริกาได้ร่วมกันทำข้อตกลงขึ้น เพื่อปกป้องความสมบูรณ์ของเรือไททานิก ตอนที่จะขายวัตถุซากเรือลำนี้จะต้องขายชิ้นส่วนที่สมบูรณ์ ไม่อนุญาตให้ขายเป็นเศษชิ้นๆ ได้
กฎนี้ถูกทำขึ้นเพื่อปกป้องซากเรือลำนี้โดยอ้อม ไม่มีใครที่มีความสามารถที่จะเก็บกู้เรือไททานิกขึ้นมาทั้งหมดได้ เพราะอย่างนี้แม้ว่าจะมีคนเก็บกู้สมบัติของเรือลำนี้ขึ้นมาได้ ก็ทำได้แค่ขายผ่านช่องทางตลาดมืดเท่านั้น
ตลาดมืดเป็นสถานที่อะไร? มันเป็นสถานที่ที่กดราคาสมบัติ ไม่ว่าบริษัทเก็บกู้หรือส่วนตัวจะเก็บกู้อะไรขึ้นมาได้แล้วเอาไปที่ตลาดมืด ก็ทำได้แค่จัดการกับมันในราคาต่ำ ดังนั้นกำไรที่ได้จึงยังไม่เท่าต้นทุนที่เสียไปกับการเก็บกู้เลย
เวลานานไป ก็ไม่มีใครจะไปเก็บกู้สิ่งของจากเรือไททานิกอีก
งานฆ่าคนมีคนทำ แต่ไม่มีใครทำงานที่ขาดทุนหรอก
หลังฉินสือโอวเยี่ยมชม จึงใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนควบคุมของทรงรีที่ถูกสาหร่ายทะเลพันจนมองไม่ออกอันหนึ่งในปากประตูห้องรับแขก กะว่าจะเอาออกมาดูว่ามีอะไรอยู่
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเริ่มส่งออก ฉินสือโอวก็รู้สึกหมดแรงมาก ของทรงรีนี้สูงหนึ่งเมตรกว่า เส้นผ่านศูนย์กลางครึ่งเมตรกว่า แต่ว่าหนักเป็นอย่างมาก รอบนอกมีแต่ปรสิต ซากแมลงทะเลและสาหร่ายทะเล เหมือนกับเป็นก้อนหินก้อนใหญ่
ไม่มีทางเลือก ฉินสือโอวได้แต่ยกเลิกความคิดนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองโง่เง่ามาก จะมาที่ห้องโถงทำไมกัน? น่าจะไปห้องโดยสารชั้นหนึ่งก่อนสิ คนมีเงินและมรดกของพวกเขาต่างเหลือไว้ที่ห้องโดยสารชั้นหนึ่งนะ
พอถึงห้องโดยสารชั้นหนึ่ง ฉินสือโอวเข้าไปในห้องเบอร์หนึ่งก่อน ขนาดพื้นที่ใหญ่มาก น่าจะ 150 กว่าตารางเมตร นี่ทำให้เขาพูดไม่ออก ให้ตายสิ เศรษฐีในตอนนั้นเยอะจริงๆ อยู่ในห้องโดยสารแบบนี้บนเรือสำราญสุดหรูจะต้องมีเงินเยอะแค่ไหน
ของที่อยู่ในห้องโดยสารเองก็มองไม่ชัด พรมเปอร์เซียที่ประณีต โคมไฟระย้าคริสตัลที่งดงาม เฟอร์นิเจอร์ที่หรูหรา ปัจจุบันถูกกัดกร่อนจนกลายเป็นขยะ
ฉินสือโอววนอยู่ในนี้สักครู่ รู้สึกหดหู่ที่พบว่าของส่วนใหญ่หนักมาก จิตสำนึกแห่งโพไซดอนค้นหาดีๆ ไปรอบหนึ่ง สุดท้ายก็หากล่องใหญ่หนึ่งเล็กหนึ่งสองกล่องที่น้ำหนักเบาในกล่องเหล็กที่ผุกร่อนอย่างรุนแรงกล่องหนึ่ง
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนพากล่องเบาทั้งสองออกมา ตอนที่ออกจากห้องโถงรับแขก ก็เจอเข้ากับกล่องไม้หนึ่งที่มุมห้องหนึ่งมีความยาวหนึ่งเมตรกว่าในกองข้าวของ
กล่องไม้นี้อยู่ในร่องกองข้าวของนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้มีสาหร่ายทะเลแมลงทะเลต่างๆ เกาะอยู่ เขาลองดูน้ำหนัก ก็ไม่ถือว่าหนัก ดังนั้นจึงเอาออกมาด้วยกัน
เอากล่องทั้งสามออกมา ฉินสือโอวก็มีอาการอ่อนล้านิดหนึ่งแล้ว จึงเอากลองส่งไปที่ปากของเฮยป้าหวัง ควบคุมให้มันว่ายกลับฟาร์มปลา
อีกด้านหนึ่ง เขาออกคำสั่งให้แรงงานหมึกกล้วยให้พวกมันออกปฏิบัติการทั้งหมด เตรียมการเก็บกู้เรือไททานิก
หลังจากออกคำสั่ง ฉินสือโอวก็เข้าสู่การหลับใหล เขายื่นมือไปกอดวินนี่ข้างกาย อืม กอดภรรยาแล้วหลับรู้สึกดีจังเลย
ออกกำลังกลับมาหลังพระอาทิตย์ขึ้น เฮยป้าหวังก็ใกล้ถึงฟาร์มปลาแล้ว ฉินสือโอวให้วินนี่พาพ่อกับแม่ไปเที่ยวเล่นในเมือง ตัวเองก็อาศัยข้อมูลที่จะออกตรวจตรา ขับเรือเด็คออกทะเลไป
รวมตัวกับเฮยป้าหวัง ฉินสือโอวได้รับกล่องใหญ่สองกล่องเล็กหนึ่งทั้งหมดสามกล่อง เขากังวลเรื่องปัญหาออกซิเดชันจึงไม่ได้เปิดออก นำกลับฟาร์มปลาไป
กลับถึงบ้านพัก เขาเห็นมีสายเรียกเข้าไม่ได้รับสองสาย ล้วนเป็นสายจากภายในประเทศ จึงรีบโทรกลับไป
ในประเทศคนที่รู้เบอร์โทรศัพท์ของเขามีไม่มาก ทุกคนต่างเป็นคนกันเอง ถ้าหากอีกฝ่ายโทรข้ามประเทศจะต้องเป็นเรื่องที่เร่งด่วนแน่
พอรับโทรศัพท์ก็ได้ยินเสียงที่สงบเสียงหนึ่งดังมา “สวัสดีครับคุณฉิน ผมเป็นพนักงานของซินหลางเวยป๋อนะครับ ขออภัยอย่างสูงที่รบกวนคุณนะครับ ผมอยากจะเรียนถามไม่ทราบว่าคุณมีความสนใจที่จะเปิดบัญชีซินหลางเวยป๋อหรือเปล่าครับ?”
ห่าเอ๊ย ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ ฉินสือโอวต้องการใช้ชีวิตของเขาอย่างสงบ ไม่อยากไปเล่นเวยป๋อหรือทวิตเตอร์หรอก จึงตอบกลับอย่างเกรงใจว่า “ขอบคุณทางบริษัทที่กรุณานะครับ ต้องขอโทษด้วยที่ผมไม่ค่อยถนัดในการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ดังนั้นคงไม่เปิดบัญชีซินหลางเวยป๋อแล้ว”
พูดคำพูดเกรงใจไม่กี่คำ ฉินสือโอวก็ตัดสายไปทันที พากล่องทั้งสามวิ่งไปถึงห้องใต้ดิน เขาโทรศัพท์หาบิลลี่ ให้เขาส่งอุปกรณ์ต้านอนุมูลอิสระมาชุดหนึ่ง
บิลลี่ได้ยินคำนี้ก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
………………………………………………………
บทที่ 351 มีห้องทำงานแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ฉันจะติดต่อโรงงานที่ร่วมงานกับพวกเราให้ส่งอุปกรณ์ต้านสารอนุมูลอิสระให้นายชุดหนึ่งเดี๋ยวนี้ นายหาห้องทำงานห้องหนึ่ง อุปกรณ์ชุดนี้ต้องใช้งานควบคู่กับการปรับเปลี่ยนห้องทำงาน” บิลลี่บอกว่า “รอฉันด้วยเพื่อน พรุ่งนี้ฉันจะไปหานาย”
คำพูดฉินสือโอวคำเดียว บิลลี่ก็รู้วัตถุประสงค์ของเขาแล้ว และตื่นเต้นขึ้นมาด้วย
หาห้องใต้ดินที่มีขนาดเหมาะสมได้ในบ้านพักตากอากาศห้องหนึ่ง ฉินสือโอวจะตามนีลเซ็นและเบิร์ดมาช่วยเก็บกวาด
ตามหาทั้งสองคนเจอในห้องทำงาน พวกเขากำลังนั่งเขียนจดหมายอย่างตั้งใจที่โต๊ะทำงาน ต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ในเวลาเดียวกันสีหน้าท่าทางก็อ่อนแรงน่าสงสาร
บนโต๊ะทำงานเต็มไปด้วยกองจดหมายวางระเกะระกะ บางซองเปิดอยู่บางซองก็ยังปิดอยู่
“ไงพวก พวกนายกำลังเขียนอะไรอยู่? คงไม่ใช่จดหมายลาออกใช่ไหม?”ฉินสือโอวยิ้มถาม
พอเห็นเขาเบิร์ดก็ลุกขึ้นทันที ยืดอกเงยหน้าขึ้น ขาดเพียงทำความเคารพแล้วเรียก ‘หัวหน้า’ เท่านั้น ฉินสือโอวรู้สึกแบบนี้ก็ฟินดี แต่รู้สึกไม่มีความจำเป็นจึงรีบให้เขานั่งลง
นีลเซ็นอธิบายว่า “พวกเรากำลังเขียนจดหมายให้เพื่อนทหาร” เขาหยุดไปสักพักแล้วพูดต่อด้วยอารมณ์เศร้าลงว่า “หรือจะบอกอีกอย่างว่า เขียนจดหมายให้กับญาติของเพื่อนทหารของพวกเรา”
“ทำไม?” ฉินสือโอวถามอย่างแปลกใจ
เบิร์ดที่ค่อนข้างเงียบ ยิ้มอย่างขมขื่น “วันที่ 11 เป็นวันรำลึกถึงผู้เสียสละในสงคราม ตอนนี้ยังจะมีใครจดจำเหล่าทหารที่เสียสละเพื่อประเทศชาติพวกนั้นได้อีกไหม? คงมีเพียงพวกเราเท่านั้นที่จดจำไม่ลืม มีเพียงพวกเราที่คอยปลอบประโลมครอบครัวของพี่น้องของพวกเราเองเท่านั้น”
ได้ยินที่เบิร์ดพูด ฉินสือโอวเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันที่ 11 เดือน 11 คือวันรำลึกถึงผู้เสียสละในสงครามของประเทศอังกฤษ วันนี้เป็นวันที่สงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ในตอนนั้นประเทศอังกฤษทั้งประเทศจัดงานรำลึกวีรชนเพื่ออาลัยทหารที่เสียชีวิตไป หลังจากนั้นผ่านการพัฒนาของสงครามโลกครั้งที่ 2 วันนี้จึงถูกกำหนดให้เป็นวันรำลึกบรรดาเหล่าทหารที่เสียสละเพื่อประเทศชาติในสงครามที่ผ่านมา
วันหยุดนี้เป็นวันรำลึกที่มีเพียงประเทศอังกฤษ แต่ว่าในทางทฤษฎีแล้วแคนาดามีกษัตริย์อังกฤษเป็นพระประมุข ดังนั้นเทศกาลวันหยุดจำนวนมากจึงใกล้เคียงกับของอังกฤษ
สำหรับทหาร ความโศกเศร้าที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่การรบตายบนสนามรบ หากแต่เป็นการที่ไม่มีใครรับรู้เมื่อรบตายไป ด้วยสังคมแบบนี้ในปัจจุบัน ใครยังจดจำเหล่าทหารที่ตายไปจากการต่อสู้กับกลุ่มผู้มีอิทธิพล กลุ่มค้ายาเสพติด และการลักลอบเข้าประเทศกัน?
เบิร์ดพูดถูก มีเพียงทหารอย่างพวกเขาเองเท่านั้นที่ยังจดจำเหล่าพี่น้องที่ตายจากไป มีเพียงพวกเขาเองเท่านั้นที่ไปปลอบประโลมครอบครัวของเหล่าพี่น้องที่ตายจากไป
ฉินสือโอวไม่เหมาะที่จะเข้าไปยุ่งในเรื่องแบบนี้ เขาตบไหล่ทั้งสองเบาๆ เป็นการปลอบประโลม แล้วพูดว่า “อย่างนั้นพวกนายก็ทำต่อเถอะ ฉันไม่มีเรื่องอะไร ถ้าหากต้องการให้ฉันช่วยเหลือ ก็บอกได้เลย”
นีลเซ็นเกาหัวเล็กน้อย พูดอย่างเกรงใจว่า “บอส ที่จริงพวกเรามีเรื่องที่ต้องการให้คุณช่วยนั่นแหละ คือพวกเราขอเบิกเงินเดือนล่วงหน้าหนึ่งเดือนได้ไหมครับ?”
กลัวว่าฉินสือโอวจะเข้าใจผิด เขาจึงรีบเสริมอีกว่า “สถานการณ์ของเพื่อนทหารคนหนึ่งของพวกเราไม่ค่อยสู้ดี…”
“โอเค ไม่จำเป็นต้องอธิบายหรอก ไว้ฉันจะให้วินนี่โอนให้พวกนายนะ” ฉินสือโอวยิ้มตอบ
เขาจ่ายเงินให้กับเหล่าชาวประมงสัปดาห์ละครั้ง จ่ายเงินเดือนทุกวันจันทร์ แต่ว่าพวกนี้ไม่ออมเงินกัน เบิร์ดเองก็เป็นเหมือนกัน พอมีเงินก็ไปใช้จ่ายซื้อความสนุกที่นครเซนต์จอห์น ตอนนี้ไม่มีเงินเหลือแล้ว
แบบนี้ เขาจึงเรียกอีวิลสันไปทำงานด้วยกัน ช่วงนี้ฝ่ายหลังยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารปลากับชาร์คและซีมอนสเตอร์ กระแสลมอาร์กติกกำลังจะลงใต้แล้ว หิมะตกหนัก ถึงเวลานั้นอาหารปลาขนเข้ามาไม่ได้ต้องพึ่งการเตรียมพร้อมในตอนนี้ทั้งสิ้น
การทำฟาร์มปลาทะเลไม่ได้พึ่งพาเพียงแค่สาหร่ายจากธรรมชาติเท่านั้น ยังต้องให้อาหารปลาในฟาร์มปลาเป็นครั้งคราวด้วย
อาหารเหล่านี้ได้เติมแร่ธาตุต่างๆ ตามอัตราส่วน สามารถทำให้ปลาโตได้เร็วยิ่งขึ้น สาหร่ายก็ดูแลในเรื่องการปรับปรุงคุณภาพเนื้อปลา ทำให้พวกมันไม่เพียงแต่โตได้เร็วและยังสวยอีกด้วย
อีวิลสันเข้าไปในห้องเก็บของ ไม่ให้ฉินสือโอวเข้ามายุ่ง ก็ขนของออกมาด้วยตัวเองคนเดียว ที่ควรทิ้งก็ทิ้ง ควรเก็บไว้ก็เก็บไว้ ทำเองทั้งหมด
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉินสือโอวเริ่มไม่อยากใช้งานเขา ไม่ว่างานอะไรเด็กคนนี้ก็ก้มหน้าก้มตาทำคนเดียวทั้งหมด ไม่ให้ฉินสือโอวช่วยเหลือเลย ทำให้เขาทำได้เพียงยืนเล่นมือถืออยู่ตรงนั้นอย่างว่างงานราวกับเจ้านายใจร้ายอย่างนั้น
บิลลี่ทำอะไรรวดเร็วมาก จองตั๋วเครื่องบินบินจากไมอามีมายังนครเซนต์จอห์นตอนเช้ามืด หลังจากที่ถึงสนามเครื่องบินก็รอเครื่องสุญญากาศและชุดอุปกรณ์ต้านอนุมูลอิสระขนส่งมา บ่ายวันที่สอง กลุ่มคนรวมถึงชุดอุปกรณ์ก็มาถึงฟาร์มปลาพร้อมกัน
“นี่จะทำอะไรเหรอ?” พ่อของฉินสือโอวถามในขณะที่มองดูวิศวกรที่เข้าๆ ออก
ฉินสือโอวตอบตามนิสัยขี้เล่นว่า “ทั้งหมดเป็นอุปกรณ์ผลิตอาวุธ ผมจะผลิตปืนยาวและระเบิดต่างๆ ในห้องใต้ดิน”
สีหน้าพ่อของฉินสือโอวซีดไปหมด ถึงตอนนี้ฉินสือโอวเพิ่งนึกถึงความสงสัยของพ่อแม่ในสถานะของตัวเอง จึงรีบอธิบายเพิ่มเติม “พ่อ พ่ออย่าคิดมากเลย นี่เป็นอุปกรณ์ที่ผมใช้วิจัยโบราณคดีและวัฒนธรรม ช่วงนี้ผมกำลังศึกษาส่วนนี้อยู่”
“แกใฝ่เรียนขนาดนี้เลยเหรอ? เป็นไปไม่ได้ นี่ไม่เหมือนสไตล์ของแก” พ่อของฉินสือโอวถามต่อด้วยความสงสัย
ฉินสือโอว “…”
สมกับเป็นพ่อแท้ๆ เข้าใจนิสัยของเขาจริงๆ
อุปกรณ์ถูกติดตั้งอย่างรวดเร็ว หลักๆ คือเครื่องสุญญากาศอาร์กอนขนาดใหญ่ และยังมีตู้ดูดความชื้นชนิดอัตโนมัติขนาดความจุ 1000 ลิตรสองอัน และชิ้นส่วนเสริมและอุปกรณ์ต่างๆ
บิลลี่อธิบายอุปกรณ์ชุดนี้ให้กับฉินสือโอว “ผนังด้านในของอุปกรณ์เคลือบด้วยสารอนุมูลอิสระสองชั้น สามารถตรวจจับอนุมูลอิสระในโบราณวัตถุได้ เป็นอุปกรณ์ระบบเทคโนโลยีชีวจักรกล ใช้ระบบเอนไซม์สารต้านอนุมูลอิสระบีดีเอ็กซ์เสริมความแข็งแรงของโครงสร้างในหลายๆ ส่วน ประสิทธิภาพการปิดผนึกค่อนข้างดีมาก”
“สารเคลือบภายนอกของอุปกรณ์ทั้งหมดต่างเลือกใช้สารเคลือบซีซี 100 ของบริษัทดูปองท์ (DuPont) โพรเซสเซอร์ที่ใช้เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดที่ใช้กันในปัจจุบัน อย่างเช่นการพ่นสีฝุ่นพวกนี้ ดูไปแล้วธรรมดา แต่ในความเป็นจริงแล้วผ่านกระบวนการการอบด้วยความร้อน 18 ขั้นตอน ดังนั้นจึงไม่กลัวโบราณวัตถุที่มีสสารกัดกร่อนบางอย่างติดมาด้วย”
“นี่เป็นเครื่องแบบป้องกันไฟฟ้าสถิต ค่าการต้านทานไฟฟ้าสถิตได้ 106-108 โอห์ม”
“ตัวเครื่องจักรเองก็เป็นตู้นิรภัยตู้หนึ่ง ใช้กระจกนิรภัยความหนาสูง 10 มิลลิเมตร มีการออกแบบระบบล็อกประตูแบบออลอินวัน นอกจากลายนิ้วมือของนายแล้ว คนอื่นอยากจะเอาของที่อยู่ข้างในก็ต้องเอาทีเอ็นทีมาด้วยเท่านั้น”
ฉินสือโอวฟังบิลลี่พูดอธิบายอย่างใจเย็น อีกหน่อยของพวกนี้เขาจะใช้เอง วัตถุโบราณหลายอย่างไม่สามารถให้คนนอกรู้
หลังจากติดตั้งทดสอบอุปกรณ์แล้วไม่มีปัญหา ฉินสือโอวก็นำตราประทับอวี๋เชียนหินเถียนหวางใส่เข้าไป ของสิ่งนี้เขาเก็บซ่อนไว้ในห้องนอนมาตลอด ก็เพราะกลัวว่าหลังมันปรากฏออกมาจะถูกคนไม่ดีบางคนหมายปอง
ว่าก็ว่า มูลค่าของตราประทับเล็กๆ อันนี้สูงมาก ถ้าหากปล่อยในแวดวงคนรวยชาวยุโรปและอเมริกัน มูลค่าคงจะยังสูงกว่าฟาร์มปลาต้าฉินอีก!
ส่งคนงานและวิศวกรกลับไป ฉินสือโอวและบิลลี่ก็เข้าไปเตรียมพร้อมทำงานที่ห้องใต้ดิน
พอเห็นถึงตราประทับอวี๋เชียน บิลลี่สายตาแหลมคมก็เปล่งประกายออกมา ถามอย่างตื่นเต้นว่า “สิ่งนี้ สิ่งนี้…”
“นี่เป็นของห้ามจำหน่าย สมบัติล้ำค่า เข้าใจไหม?” ฉินสือโอวรีบพูดขัดความคิดของเขา
เอกวิชาปริญญาตรีที่บิลลี่เรียนก็คือโบราณคดีและประวัติศาสตร์ มีความรู้ในเรื่องโบราณวัตถุจีนค่อนข้างลึก เขาพลิกตราประทับดูอย่างระมัดระวัง อยู่ก็พูดสำนวนจีนออกมาประโยคหนึ่ง “มีมูลค่ามาก!”
ฉินสือโอวนำกล่องทั้งสามขนย้ายเข้าไปในเครื่องสุญญากาศอาร์กอน บิลลี่เปลี่ยนเบรกล้อด้านล่างเพื่อให้อยู่กับที่ หลังจากชาร์จไฟ ก็เปลี่ยนเป็นล้อต้านไฟฟ้าสถิตจากพื้นดินทันที
…………………………………………………………..
บทที่ 352 จดหมายถึงบ้าน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เห็นกล่องทั้งสามใบ บิลลี่ถามอย่างระมัดระวังว่า “นี่หามาจากที่ไหนกัน?”
ฉินสือโอวไม่อยากปิดบังบิลลี่ เขาสังเกตเห็นเมื่อวานตอนที่เยี่ยมชมเรือไททานิก บนเรือลำนี้มีของมากมายต่างก็มีป้ายที่เขียนไว้ว่า ‘ไวท์ สตาร์ ไลน์’ ในฐานะเจ้าของเรือไททานิก บริษัทไวต์สตาร์ไลน์นำเงาของตัวเองมาไว้บนทุกซอกมุมบนเรือ
แม้ว่าฉินสือโอวจะไม่บอก รอจนบิลลี่เห็นสัญลักษณ์ของบริษัทไวต์สตาร์ไลน์ เขาเองก็คงรู้ถึงที่มาของของพวกนี้
เพราะว่า เรือไททานิกเป็นเรืออับปางลำเดียวที่มีสมบัติของบริษัทไวต์สตาร์ไลน์ หลังจากนั้นบริษัทนี้ก็ถูกซื้อโดยบริษัทขนส่งระหว่างประเทศไอเอ็มเอ็มของจูเนียส เพียร์พอนต์ มอร์แกน ดังนั้นสัญลักษณ์ของทั้งหมดเรือจึงถูกเปลี่ยนเป็นไอเอ็มเอ็ม
เพราะฉะนั้นฉินสือโอวเลยบอกว่า “นี่เป็นของจากเรือไททานิก ช่วงนี้วาฬตัวน้อยของฉันไปที่นั่นมาแล้วเอาของพวกนี้มาให้ฉันด้วย”
“เรือไททานิก?” บิลลี่ประหลาดใจ “วาฬตัวน้อยของนายสามารถเอาของออกมาจากที่นั่น? โอ้พระเจ้า รู้มูลค่าของสมบัติที่จมอยู่ที่นั่นไหม? บริษัทของพวกเราเคยร่วมมือกับสี่บริษัทกู้ซากเรืออับปางขนาดใหญ่ในการประเมินมูลค่าของมันในปี 2008 อย่างน้อยก็สองหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเชียวนะ!”
ฉินสือโอวพูดอย่างหงุดหงิดว่า “แล้วจะมีประโยชน์อะไร? วาฬน้อยร่างกายใหญ่เกินไป มีหลายที่ที่มันเข้าไปไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเข้าไปได้ มันก็ไม่สามารถเอากลับมาหมดได้ อย่าลืมล่ะมันเป็นแค่วาฬตัวหนึ่ง”
“วาฬที่ฉลาด” บิลลี่พูดอย่างคึกคักอารมณ์ดีว่า “ฉันรักมันที่สุดเลย”
เครื่องสุญญากาศไม่ได้เติมก๊าซอาร์กอนเข้าไปตรงๆ แต่ว่าเติมก๊าซไนโตรเจนเพื่อปรับสมดุล ฉินสือโอวบังคับ ไม่นานก๊าซไนโตรเจนก็ถูกปล่อยออกมาจากรูเล็กๆ 200 กระจายอยู่ภายในนั้นอย่างทั่วถึง
เมื่อความเข้มข้นของก๊าซไนโตรเจนสูงถึงระดับที่กำหนดเอาไว้ ระบบก็จะตัดการส่งก๊าซไนโตรเจนโดยอัตโนมัติ ตอนนี้ได้เวลาเริ่มปล่อยก๊าซอาร์กอน บิลลี่ก็จะได้เปิดกล่องพวกนี้แล้ว
เขาค่อยๆ เปิดกล่องที่มีขนาดพอๆ กับโทรทัศน์อย่างระมัดระวังที่สุดออก หลังจากเปิดกล่องข้างในเป็นจดหมายที่วิจิตรบรรจงจำนวนหนึ่ง ขอบทองเคลือบด้วยพาติน่า
หลังจากที่บิลลี่เห็นก็เริ่มอธิบายให้กับฉินสือโอวฟัง “คนเขียนจดหมายฉบับนี้ต้องเป็นคนรวยแน่ๆ กระดาษชนิดนี้ผลิตโดยโรงงานผลิตกระดาษเอ็กซ์ไอพีในปี 1890 ขอบทั้งสี่ข้างเคลือบด้วยพาติน่า ดังนั้นจึงไม่ฉีกขาดง่ายๆ โดยทั่วไปแล้วใช้สำหรับบันทึกเรื่องสำคัญๆ ”
สวมถุงมือแล้วเปิดจดหมายออก บิลลี่หาชื่อลงนามเจอ ข้างบนนั้นมีตัวอักษรสง่างามบรรทัดหนึ่ง Nathan-Straus
พอเห็นชื่อนี้ บิลลี่ถึงกับอึ้งไปเลย เขาหันหน้าไปแล้วบอกว่า “นาธาน สเตราส์ พวกเราคงไม่โชคดีขนาดนี้ใช่ไหม?”
“นี่เป็นจดหมายของนาธาน สเตราส์? เขียนให้กับใคร?”ฉินสือโอวเองก็อึ้งไปเหมือนกัน
นาธาน สเตราส์เป็นใครกัน? พูดถึงฐานะหนึ่งที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงของเขา นั่นก็คือผู้ก่อตั้งห้างสรรพสินค้าเมซีส์ บริษัทที่มีชื่อเสียงของประเทศสหรัฐอเมริกา
ในปี 1924 ห้างสรรพสินค้านี้เคยถูกประชาสัมพันธ์ว่าเป็น “ห้างร้านที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ตอนที่เปิดกิจการในถนนอเวนิวที่ 7 แม้ว่าโครงสร้างจะธรรมดา แต่ว่าก็สาขาย่อยมากกว่า 1000 ร้าน ช่วงนี้มันถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 417 จาก 500 บริษัทที่รวยที่สุดในโลก
แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่ทำให้นาธาน สเตราส์โด่งดังมีชื่อเสียงคือเรือไททานิก ตอนนั้นเขากับภรรยาก็อยู่ในเรือลำนี้ด้วย ตอนที่เรือชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็ง คุณนายสเตราส์ถูกส่งขึ้นเรือกู้ชีพหมายเลข 8 ในทันที ในเวลาเดียวกันก็มีกะลาสีบอกกับคุณสเตราส์อายุ 67 ว่า “พวกเราคิดว่าคุณสามารถขึ้นเรือไปก่อน ไม่มีใครจะคัดค้านชายชราที่มีชื่อเสียงเรื่องความมีเมตตาอย่างคุณขึ้นเรือหรอก…”
มีคนย้อนระลึกถึงเหตุการณ์ หลังได้คำยืนยันจากกะลาสี คุณสเตราส์ตอบกลับอย่างแน่วแน่ว่า “ผมจะไม่มีทางขึ้นเรือกู้ชีพก่อนผู้ชายคนอื่นแน่นอน เหมือนกับที่กัปตันเรือบอกเอาไว้ว่า เด็กและผู้หญิงไปก่อน”
พอเห็นสามีไม่ยอมขึ้นเรือ คุณนายสเตราส์ที่ขึ้นเรือไปแล้วก็กลับใจกลับมาอยู่ด้วยกันกับคุณสเตราส์ด้วย “พวกเราอาศัยอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ คุณไปที่ไหนฉันก็ไปด้วย!”
แบบนี้ นางยกตำแหน่งบนเรือให้กับสาวใช้คนหนึ่งไป ยังเอาเสื้อขนกันหนาวของตัวเองให้สาวใช้คนนั้นไปด้วย “ฉันไม่มีวันได้ใช้มันแล้ว ขอให้มันสามารถช่วยให้เธอข้ามผ่านคืนอันหนาวเหน็บนี้ไปได้ด้วยนะ!”
จากนั้น สามีภรรยาชราคู่นี้ก็เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้บนดาดฟ้า ข้ามผ่านช่วงเวลาสุดท้ายอย่างสงบด้วยสองมือที่กุมกันแน่น
เรื่องราวนี้ก็ถูกถ่ายทอดในภาพยนตร์เรื่อง ‘เรือไททานิก’ ของคาเมรอนด้วยเหมือนกัน เป็นฉากที่ซึ้งกินใจที่สุดฉากหนึ่งในภาพยนตร์ ‘นิวยอร์กไทม์’ เคยนำเรื่องนี้จัดเข้า ‘สิบเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ที่สามารถแสดงถึงความเป็นสุภาพบุรุษและความเป็นชายชาตรี’
เห็นได้ชัดว่า ถ้าหากจดหมายฉบับนี้นาธาน สเตราส์เป็นคนเขียนบนเรือไททานิกจริงล่ะก็ นั่นจะมีมูลค่ามากแค่ไหน!
เนื่องจากถูกปิดผนึกไว้เป็นอย่างดีบวกกับผลของเครื่องสุญญากาศอาร์กอนนี้ เนื้อหาในจดหมายชัดเจน บิลลี่และฉินสือโอวยื่นหน้าเข้าไปดูด้วยกัน ยิ่งดูยิ่งดีใจ
จากเนื้อหาที่ดูแล้ว นี่เป็นจดหมายที่สเตราส์เขียนเองจริงๆ และยังเป็นจดหมายถึงบ้าน นี่เป็นจดหมายที่เขาเขียนให้กับลูกชายคนรองริชาร์ด สเตราส์ที่กำลังขยายธุรกิจในลอนดอน ณ เวลานั้น ซึ่งตั้งใจจะจัดส่งเมื่อถึงนิวยอร์ก แต่เสียดาย ตามการชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็งของเรือไททานิก จดหมายฉบับนี้ก็จมลงใต้มหาสมุทรแอตแลนติกไปพร้อมกับเจ้านายของมัน
ภายในจดหมาย สเตราส์บอกกับลูกชายคนรองว่า ‘เศรษฐกิจของอเมริกาเจริญและมีศักยภาพ แม้ว่าศูนย์กลางของโลกนี้จะอยู่ที่ทวีปยุโรป แต่ก็ยิ่งต้องเห็นความสำคัญของตลาดในอเมริกา นั่นถึงเป็นตลาดการค้าที่มีการผลิตมากกว่าการบริโภคที่แท้จริงเป็นต้น’
จดหมายมีทั้งหมดแปดหน้า ที่น่ามหัศจรรย์คือเหมือนกับว่าเขารู้ล่วงหน้าว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน ในจดหมายถึงบ้านฉบับนี้ยังพูดถึงความรู้ทั้งชีวิตเกี่ยวกับธุรกิจขายปลีก พูดถึงวิธีการพัฒนาธุรกิจขายปลีกทั้งหมดสิบด้านจากข้อมูลพื้นหลังของสินค้า รูปลักษณ์ภายนอกของสินค้า ส่วนผสมของสินค้า กระบวนการผลิต การใช้งานสินค้า การบริการและความคงทน การบำรุงรักษาและใช้งานสินค้า ราคาและประวัติของรูปแบบบริษัทและกลยุทธ์ การแข่งขันของสินค้า
อ่านจดหมายฉบับนี้จบ บิลลี่หันไปถามกับฉินสือโอวว่า “นี่จะต้องเป็นจดหมายถึงบ้านที่สำคัญมากฉบับหนึ่งแน่ พวกเราจะจัดการอย่างไรดี?”
ฉินสือโอวคิดสักพักแล้วพูดว่า “วางไว้ก่อนเถอะ ดูต่อดีกว่าข้างในกล่องที่เหลืออีกอีกสองกล่องมีอะไรอยู่”
จอแสดงผลดิจิตอลแอลอีดีแสดงอุณหภูมิ ความชื้นและความหนาแน่นของก๊าซในตอนนี้ของเครื่องสุญญากาศกำลังเหมาะสมกับการเก็บรักษาวัสดุที่เป็นกระดาษ ดังนั้นบิลลี่จึงนำจดหมายวางไปข้างๆ เปิดกล่องที่ใหญ่ที่สุดออกมา
นี่เป็นตู้นิรภัยที่หนักมากตู้หนึ่ง แต่ว่าตอนนี้ถูกกัดกร่อนจนพังหมดแล้ว บิลลี่ใช้ชะแลงเคาะทีเดียวตู้ก็เปิดออกแล้ว จากนั้นก็มีก้อนสีเทาดำก้อนเล็กๆ ใหญ่ๆ ปรากฏออกมาจากข้างใน
บิลลี่ขยี้ก้อนหนึ่งแล้วลองดมดู คาดเดาว่า “สิ่งนี้เหมือนเป็นถ่านกำมะถัน 100 ปีก่อนค่อนข้างนิยมใช้ในการเขียนภาพสีน้ำมัน สารดูดความชื้นของรูปปั้น ข้างในน่าจะมีผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งอยู่”
เขาพูดไปพลางเก็บกวาดไปพลาง เมื่อก่อนถ่านกำมะถันเหล่านี้น่าจะเป็นผง ตอนนี้ต่างจับตัวกันเป็นก้อน เก็บกวาดจนไปถึงตรงกลาง ม้วนภาพหนึ่งที่ถูกห่อหุ้มอย่างดีด้วยฟิล์มพลาสติกภาพหนึ่งก็ปรากฏอยู่ภายในกล่อง
บิลลี่ยิ่งระวังมากขึ้นในการหยิบมันขึ้นมา เปิดฟิล์มพลาสติกออก ข้างในเป็นผ้าลินินหนาๆ แบบนี้เขาก็มั่นใจแล้ว “ข้างในนี้เป็นภาพสีน้ำมันภาพหนึ่ง ถ่านกำมะถันบวกกับฟิล์มพลาสติกบวกกับผ้าลินิน ต้องเป็นภาพสีน้ำมันแน่…”
ยิ่งพูด น้ำเสียงของเขายิ่งสั่นเครือ เหล่านักธุรกิจที่ร่ำรวยใช้วิธีการรัดกุมขนาดนี้ในการเก็บรักษาภาพสีน้ำมันภาพหนึ่งบนเรือไททานิก มูลค่าของมันจะต่ำไหม?
………………………………………………………………………
บทที่ 353 ประหลาดใจอย่างต่อเนื่อง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภาพสีน้ำมันภาพนี้น่าจะมีความยาวประมาณหนึ่งเมตร กว้างแปดสิบเซนติเมตร เก็บรักษาได้สมบูรณ์ ไม่มีการปฏิกิริยาออกซิเดชัน
บิลลี่ค่อยๆ กางภาพออก เผยให้เห็นถึงสภาพที่แท้จริงของมัน สิ่งที่วาดอยู่ธรรมดามาก ที่วาดอยู่ด้านบนคือท้องฟ้าสีเทา ด้านล่างเป็นหมู่ต้นไม้พุ่มไม้จำนวนมาก
พอเห็นถึงภาพนี้ ภายในใจฉินสือโอวรู้สึกไม่ค่อยสบาย เขาดูไม่ออกว่าในภาพนั้นคืออะไร แต่กลับรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ค่อนข้างหดหู่ สีของภาพวาดนี้ค่อนข้างมืดสลัว มืดสลัวถึงขั้นทำให้คนรู้สึกหมดหวัง
แต่ด้านบิลลี่ที่เห็นภาพสีน้ำมันนี้ครั้งแรก เขาพยายามควบคุมมือทั้งสองไม่ให้สั่นเพื่อแผ่มุมด้านขวาที่ม้วนขึ้นของภาพนี้ให้เรียบ ที่นั่นมีลายเซ็นหวัดลายเซ็นหนึ่ง ฉินสือโอวไม่ค่อยเข้าใจ จึงหันไปถามเขาว่า “นี่เป็นผลงานของใคร?”
“แวนโก๊ะ วินเซนต์ วิลเลียม แวนโก๊ะไง! นี่คือภาพ ‘อาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์’!” บิลลี่พูดด้วยอาการตกใจ
ได้ยินเสียงของเขา ฉินสือโอวเองก็พูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “อะไรนะ? นี่เป็นภาพของแวนโก๊ะ? เป็นของจริงหรือเปล่า?”
บิลลี่ใช้ผ้าลินินทับภาพสีน้ำมันเอาไว้ ปิดเครื่องสุญญากาศแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ โบกมือว่า “ไม่ไหวแล้วไม่ไหวแล้ว ขอพักก่อน พระเจ้า นี่ฉันต้องกำลังฝันอยู่แน่ ฉันหาภาพวาดที่สูญหายของแวนโก๊ะเจอเหรอเนี่ย? ภาพอาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์!”
ถ้าเทียบกันแล้ว ฉินสือโอวกลับใจเย็นกว่า เขาบอกว่า “อย่าเพิ่งตื่นเต้นขนาดนั้น ฉันจำได้ว่าแวนโก๊ะฆ่าตัวตายในปี 1890 ใช่ไหม? ภาพวาดของเขาในตอนนั้นไม่ได้รับความนิยมเลยสักนิด และเรือไททานิกก็จมลงในปี 1912 ห่างเพียงแค่ 20 กว่าปี ทำไมอยู่ๆ ภาพวาดของเขาก็ถูกเก็บรักษาอย่างดีจากคนคนหนึ่งกัน?
ข้อมูลเหล่านี้เขาทำความเข้าใจเมื่อตอนที่เขาหาภาพ ‘ทานตะวัน’ เจอ ไม่ได้รู้อะไรมากนัก หลังจากนั้นก็รู้ว่ามันเป็นของปลอม จึงไม่ได้ศึกษาภาพของแวนโก๊ะอีกเลย
แน่นอนว่าบิลลี่รู้มากกว่าอยู่แล้ว เขาเหลือบมองดูฉินสือโอวอย่างเหยียดๆ แวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “นายคิดว่าฉายาแวนโก๊ะศิลปินผู้โชคร้ายที่สุดนี้เป็นของปลอมเหรอ? ใช่แล้ว ผลงานของแวนโก๊ะไม่ได้รับการยอมรับเป็นเวลาค่อนข้างนานช่วงหนึ่งจากชาวโลก แต่สิบปีหลังจากที่เขาตายจากไป ในท้ายศตวรรษที่ 19 โลกได้เข้าสู่การปฏิรูปครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ความคิดของผู้คนได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ความสามารถในการยอมรับสิ่งใหม่ๆ ก็ถูกยกระดับขึ้น มูลค่าของภาพจึงเริ่มปรากฏออกมา”
หลังอธิบายเกร็ดความรู้ง่ายๆ ให้กับฉินสือโอว บิลลี่ก็เริ่มต้นทำงาน เขาโทรศัพท์หาผู้เชี่ยวชาญในการประเมินภาพสีน้ำมันของบริษัทเพื่อสอบถามถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภาพวาดของแวนโก๊ะ ฉินสือโอวก็ทำความสะอาดตู้นิรภัยนี้ต่อ
เขารู้สึกว่าตู้นิรภัยนี้น่าจะไม่ได้มีเพียงแค่ภาพวาดนี้เท่านั้น และเป็นไปตามที่เขาคาดไว้ ภายในถ่านกำมะถันในกล่องยังมีสิ่งของอย่างหนึ่ง แต่ว่าไม่ใช่ผลงานศิลปะอะไร เป็นจดหมายฉบับหนึ่งเหมือนเดิม
ลายมือของจดหมายฉบับนี้หวัดมาก และไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ฉินสือโอวจึงได้แต่รอให้บิลลี่ดู
บิลลี่มีสีหน้าดีใจหลังจากที่วางสายไป เขาพูดกับฉินสือโอวว่า “ไม่ผิดอย่างแน่นอน นี่ก็คือภาพ ‘อาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์’ ของจริง เมื่อกี้ฉันให้คนไปตรวจสอบมาแล้ว”
เขาแนะนำต่อถึงการเดินทางของภาพนี้หลังถูกสร้างขึ้น “ภาพนี้เป็นภาพที่แวนโก๊ะสร้างขึ้นในปี 1888 สองปีหลังจากนั้นเขาก็ฆ่าตัวตาย ตอนนี้ภาพนี้ตกเป็นของธีโอน้องชายของเขา และในปี 1901 ธีโอนำภาพนี้ขายให้กับมูสตาดนักอุตสาหกรรมชาวนอร์เวย์ หลังจากนั้นพ่อบ้านของมูสตาดบอกว่าเขาเก็บรักษาภาพนี้มานานกว่าสิบปี ในปี 1911 ได้ขายให้กับตระกูลชนชั้นสูงหนึ่งของฝรั่งเศส หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้ข่าวของภาพนี้อีกเลย”
“เห็นชัดว่าเจ้าของภาพนี้อยากจะพามันไปนิวยอร์กด้วย แต่สุดท้ายกลับจมลงใต้ทะเล!” ฉินสือโอวพูดในตอนท้าย
บิลลี่พูดด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ถูกต้อง!”
หลังจากยืนยันตัวตนของภาพนี้ ทั้งสองคนก็เริ่มต้นพิจารณาถึงมูลค่าของภาพนี้ ด้านนี้มีผลดึงดูดต่อเบลคอย่างมาก ฉินสือโอวโทรศัพท์หาเขา แล้วว่า “เพื่อน ถ้าหากตอนนี้มีภาพของจริงของแวนโก๊ะภาพหนึ่ง อืม ชื่อภาพ ‘อาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์’ สามารถขายได้เท่าไร?”
เบลคพูดอย่างเชี่ยวชาญว่า “ภาพอาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์? ภาพปี 1888 ? ก่อนหน้านี้แวดวงการประมูลเคยทำการประเมินเอาไว้ ราคาน่าจะอยู่ระหว่าง 40 ถึง 48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ว่าในงานประมูลฤดูใบไม้ร่วงที่ซัทเทบีส์ในนิวยอร์กวันที่ 4 ของเดือนที่แล้ว ภาพ ‘ดอกป๊อปปี้และเดซี่ในแจกัน’ ที่แวนโก๊ะวาดไว้ในช่วงท้ายๆ ของชีวิตถูกประมูลไปในราคา 61.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ช่วงนี้ภาพวาดของแวนโก๊ะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย…”
พูดมามากมาย ในที่สุดเบลคก็ได้สติกลับมา ได้ยินเสียงตะโกนมาจากอีกฝั่งว่า “โอ้พระเจ้า นายคงไม่ได้ไปเจอภาพ ‘อาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์’ ใช่ไหม? ภาพนี้ได้หายสาบสูญไปกว่าหนึ่งศตวรรษแล้วนะ!”
พอได้ยินว่าภาพนี้สามารถขายออกไปได้ห้าสิบล้าน ภายในใจฉินสือโอวก็ดีใจ พูดอย่างใจกว้างว่า “นายโชคดีมากเพื่อน นายจะได้เห็นภาพอันโด่งดังที่หายสาบสูญนี้ในไม่ช้าแล้ว อีกอย่าง ในบัญชีของนายก็จะได้มีเงินเพิ่มอีกก้อนใหญ่แล้ว”
“พรุ่งนี้ฉันจะรีบไปที่ฟาร์มปลาของนาย รอฉันด้วย ต้องเก็บรักษาภาพนี้ดีๆ นะ”หลังจากเบลคพูดจบประโยคนี้ ก็มีเสียงตะโกนของเขาดังมาจากอีกฝั่ง สั่งให้เลขาของเขาจองตั๋วเครื่องบินไปเซนต์จอห์นเที่ยวที่เร็วที่สุดให้เขา
ฉินสือโอวเก็บโทรศัพท์แล้วบอกการประเมินของเบลคให้กับบิลลี่ฟัง ทั้งสองคนแตะมือฉลอง บิลลี่พูดอย่างตื่นเต้นว่า “บ้านของนายมีแชมเปญไหม? พวกเราจำเป็นต้องเปิดแชมเปญฉลองแล้ว!”
ฉินสือโอวตั้งสติแล้วบอกว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อน พวกเรายังมีอีกกล่องหนึ่งนะ บางทีข้างในอาจจะเจอเข้ากับสิ่งของมีค่ายิ่งกว่าก็ได้”
“ของที่มีค่ายิ่งกว่าก็นาฬิกาพกทองของประจำตระกูลจอห์น เจคอบ แอสเตอร์ ที่ 4 แล้ว ฉันไม่คิดว่าในกล่องไวโอลินเล็กๆ นี้จะมีของแบบนี้ใส่อยู่ข้างใน” บิลลี่ยิ้มบอก
จอห์น เจคอบ แอสเตอร์ ที่ 4 เป็นคนใหญ่คนโตที่สุดในบรรดาผู้ประสบภัยเรือไททานิก เป็นคนที่รวยที่สุดในโลกและเป็นผู้นำตระกูลแอสเตอร์ในสหรัฐอเมริกา ณ ตอนนั้น เคยว่าจ้างกองทัพหนึ่งเข้าร่วมสงครามระหว่างสเปนกับอเมริกา ช่วยอเมริการบ การตายของเขาทำให้เกิดการปั่นป่วนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เนื่องจากเขาเป็นผู้ที่มีครอบครองเยอะที่สุด
ทั้งสองคนพูดหัวเราะกัน บิลลี่เปิดกล่องไวโอลินสุดท้ายออก ก็พบกับไวโอลินสีน้ำตาลดำธรรมดาหนึ่งตัว แม้ว่าการปิดผนึกของกล่องไวโอลินค่อนข้างดี แต่ว่าสายไวโอลินก็ยังคนผุพังไม่น้อย ตัวไวโอลินเองก็มีตะกอนเกลือเกาะอยู่
ฉินสือโอวเชื่อว่าไวโอลินตัวนี้เองก็น่าจะมีเรื่องราวตำนานของมัน เพราะว่าเรือไททานิกลำนี้เป็นเรืออับปางที่เป็นตำนานเรื่องเล่า บนเรือไม่ว่าจะเจอเข้ากับสิ่งของอะไรต่างก็มีเรื่องราวทั้งนั้น
แต่ว่าบิลลี่พูดถูก แม้ว่าไวโอลินตัวนี้จะล้ำค่ายังไงก็คงเทียบกับภาพ ‘อาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์’ ไม่ได้ หรือมันยังเทียบกับจดหมายถึงบ้านของนาธาน สเตราส์ ไม่ได้ด้วยซ้ำ
อย่าดูถูกจดหมายฉบับนั้น เพราะก่อนหน้านี้มีจดหมายฉบับหนึ่งบนเรือไททานิกเคยถูกประมูลมาก่อน ราคาที่ประมูลคือ 89000 ปอนด์
เจ้าของจดหมายนั้นชื่อเอสเธอร์ ฮาร์ต เป็นแม่บ้านชาวอังกฤษธรรมดาที่พาลูกสาวเตรียมอพยพไปแคนาดาคนหนึ่ง แต่จดหมายฉบับนี้ล่ะ? นี่เป็นจดหมายถึงบ้านของสเตราส์ มูลค่าของทั้งสองฝ่ายเทียบกันไม่ได้เลย ไม่ต้องพูดถึงพลังของตระกูลสเตราส์ พูดแค่สิ่งที่ชายชราคนนี้ทำบนลำนี้ทั้งหมด ก็ควรค่าให้มูลค่าของจดหมายฉบับนี้ทวีคูณ ขายสักหนึ่งล้านปอนด์ก็ไม่มีปัญหา!
เก็บจดหมายทั้งสองฉบับ ไวโอลินและภาพวาดของแวนโก๊ะเรียบร้อย ทั้งสองคนพูดไปยิ้มไปเดินออกจากห้องใต้ดิน บิลลี่พูดเล่นว่า “พวกเราคงต้องว่าจ้างตำรวจหน่วยพิเศษมาปกป้องห้องใต้ดินของนายแล้ว”
ฉินสือโอว ทำไมต้องหาตำรวจหน่วยพิเศษ? ฉันมีครูฝึกจากเดลตาฟอร์ซและนักรบหน่วยรบพิเศษที่นี่ และที่สำคัญคือยังมีห่านรบสองฝูง อยากจะชิงของจากมือของฉัน ฝันไปเถอะ!”
“ห่านรบ? นั่นคืออะไร? ฝูงห่านโง่ที่นายเลี้ยงนั่นเหรอ?” บิลลี่หัวเราะ
ฉินสือโอวเองก็หัวเราะขึ้นมาด้วย แล้วเขาก็พบว่าที่แท้บิลลี่ยังไม่รู้ถึงความร้ายกาจของห่านไท่หูและห่านหัวสิงโตสินะ อย่างนั้นก็สนุกแล้วสิ
…………………………………………………………….
บทที่ 354 ปรับปรุงฟาร์มปลา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ยิ้มชั่วร้ายอยู่ ฉินสือโอวพาบิลลี่มาถึงห้องรับแขก แม่ของฉินสือโอวชงชาให้ทั้งสอง บิลลี่รู้สึกดีใจมาก และโกรธฉินสือโอวที่ไม่บอกตัวเองว่าครอบครัวมาแล้ว เขาจะได้เตรียมของขวัญมาด้วย
พูดถึงของขวัญ บิลลี่นึกถึงรถพอร์ช 918 แล้วว่า “รถสปอร์ตคันนั้นของนายใกล้จะออกจากอู่แล้ว ให้ส่งมาที่ฟาร์มปลาเลยใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นต้องไปที่สนามบินเซนต์จอห์นก่อน บอกตามตรงนะเพื่อน ฟาร์มปลาของนายก็ใหญ่นะ ทำไมไม่สร้างสนามบินส่วนตัวไปเลยล่ะ?”
ฉินสือโอวให้บิลลี่ปล่อยเรื่องรถเอาไว้ก่อน เอารถนั่นมาแล้วก็กระตุ้นพ่อกับแม่เปล่าๆ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเป็นรถรุ่นอะไร แต่ว่าพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ไง่ โครงสร้างเท่ๆ ของรถพอร์ช 9178 แค่ดูก็รู้แล้วว่าราคาไม่น้อยแน่นอน
เห็นว่าแม่ชาจินจวิ้นเหมยชั้นดีที่เหมาเหว่ยหลงเอามาเมื่อตอนนั้น เขาจึงรีบห้ามเอาไว้ว่า “แม่ แม่ชงชาเหลาซานก็พอแล้ว”
จินจวิ้นเหมยเป็นชาแดงชั้นยอด ชานี้สามารถไล่ความเย็นไล่ความชื้น เหมาะมากสำหรับให้ผู้สูงอายุดื่มชานี้ในช่วงหน้าหนาว มันจะสามารถปรับสมดุลร่างกายให้กับผู้สูงอายุได้
แม่ตบเขาไปทีหนึ่งตำหนิว่า “มีอย่างที่ไหนต้อนรับแขกแบบนี้ ชาเหลาซานนั่นครึ่งโลกี่สิบหยวนเอง ให้คนอื่นเขาดื่มไม่กลัวเขาจะหัวเราะเยาะเอาเหรอ”
ฉินสือโอวหัวเราะ บอกว่าพวกเขาไม่หัวเราะเยาะหรอก คนอเมริกันชอบดื่มชาเขียว พวกเขาไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับชาแดง
นี่ไม่ใช่เพราะเขาตระหนี่นะ วัยรุ่นชาวแคนาดาอย่างบิลลี่แยกชาแดงไม่ออกหรอกว่าดีหรือไม่ดี ตอนที่เขาชงจินจวิ้นเหมยให้กับแฮมเล็ตและเอี๋ยนตงเหล่ย ทั้งสองคนชมไม่ขาดปาก แต่ตอนที่ชงให้บิลลี่และเบลคดื่มทั้งสองคนบอกว่านี่มันคืออะไร…
ครั้งนี้บิลลี่ไม่ได้เรื่องมาก เพราะว่าความดีใจจากการที่เขาเพิ่งเจอเข้ากับผลงานของแวนโก๊ะยังไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย อีกอย่างหนึ่ง เรื่องมากกับชาที่คนสูงวัยชงให้ นั่นเท่ากับการเรื่องตายไม่ใช่เหรอ?
หลังดื่มชา บิลลี่ก็อยากเดินเล่นสักหน่อย หมอนี่เริ่มวางแผนว่าหลังจากเขาขายภาพนี้ได้เขาสามารถได้รับส่วนแบ่งเป็นเงินเท่าไร แล้วจะใช้ไปกับการซื้ออะไร
“ฉันจะซื้อเครื่องบินกัลฟ์สตรีมลำใหญ่ ฉันจะไปสั่งผลิตเรือสำราญสุดหรูที่อิตาลี ฉันจะเลี้ยงดูสการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน วะฮ่าๆ…” บิลลี่พูดด้วยหน้าที่บานเป็นกระด้งไปพลางเดินอย่างใจลอยเข้าไปกลางฝูงห่านข้างบ้านพักไปพลาง
ฉินสือโอวเดินช้าลงสองเก้า ไม่ส่งเสียง หู่จือและเป้าจือเดินส่ายหางตามหลังฉินสือโอวมา ภายในดวงตาน้อยๆ เต็มไปด้วยความคาดหวัง
และแน่นอน บิลลี่ไม่พ้นถูกห่านตัวหนึ่งถีบเข้าให้ และเขาก็ทำตัวเอง ในใจกำลังตื่นเต้น เขาเตรียมตัวจะล้อเล่นกับพวกห่าน จึงออกเสียงร้อง ‘อาวู้อาวู้’ เลียนแบบท่าทางการต่อสู้ของบรูซลี
นี่เป็นห่านไท่หูฝูงหนึ่ง พวกมันไม่ได้ล้อเล่นกับเด็กโชคร้ายคนนี้ นายอยากต่อสู้เหรอใช่ไหม? อย่างนั้นพวกเราก็จะสู้!
ห่านตัวใหญ่เจ็ดแปดตัวลุกขึ้นมาในทันใด หางของหู่จือและเป้าจือตกลงมาโดยไม่รู้ตัว พร้อมที่จะวิ่งหนีได้ตลอดเวลา
ทั้งสองตัวนี้เข็ดแล้ว!
บิลลี่โชคร้ายแล้ว ปากเขายังคงส่งเสียง ‘อาวู้อาวู้’ เรียกประหลาดๆ ออกมา คอห่านตัวใหญ่ตัวหนึ่งก็ยื่นไปที่ข้าของเขาทีหนึ่งอย่างเร็ว
“อาวู้…อาโอ๊ยๆๆๆ ! เจ็บ ฟัค! เชี่ย! โคตรเจ็บเลย! ให้ตายสิ ไอ้เชี่ยพวกนี้นี่…”
บิลลี่กอดต้นขาไว้แล้วร้องอย่างทรมาน ที่ยิ่งกว่านั้นคือ ห่านตัวใหญ่เจ็ดแปดตัวแสดงยุทธวิธีฝูงหมาป่าโดยการล้อมเขาเอาไว้ จู่โจมบิลลี่อย่างบ้าคลั่งรอบทิศ 360องศา บางตัวยังกระพือปีกกระโดดขึ้นมากัดบนหลังของเขา
คราวนี้บิลลี่ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสจริงๆ ปากยังคงส่งเสียงร้องโอดครวญ เขากุมหัวเอาไว้ราวกับหนูที่วิ่งหนีอย่างลนลาน
ฉินสือโอวรีบเข้าไปช่วย ไล่ห่านออกไปโดยการถีบแตะอย่างกับเป็นลูกบอล
หู่จือและเป้าจือกระโดดทำท่าทำทางอยู่ข้างหลัง ปากก็ส่งเสียงเห่าร้องเรื่อยๆ แต่ไม่พุ่งเข้าไป แต่พอเห็นว่ามีห่านหันมาสนใจตัวเอง ก็รีบหันหลังวิ่งหนี
ฉินสือโอวลากบิลลี่วิ่งหนีฝูงห่านนั่นอย่างรวดเร็ว แต่ว่าพวกห่านถูกยั่วโมโหแล้วไม่มีทางที่จะปล่อยอีกฝ่ายไปง่ายๆ แน่ กระพือปีกวิ่งตามหลังมาอย่างบ้าคลั่ง
เดิมทีแล้วบุชเล่นคนเดียวอยู่ในพงหญ้า พอเห็นมีห่านวิ่งไล่ฉินสือโอว มันก็โมโหขึ้นมาทันที ล้มลุกคลุกคลานจะพุ่งเข้ามาช่วย
สงสัยมันคงจำความเกรียงไกรของแม่นิมิตส์ คิดว่าห่านคงกลัวนกแบบพวกมัน แม้ว่าตัวเองยังบินไม่เป็น แต่ว่าตัวเองเป็นอินทรีหัวขาว บุชยังภูมิใจในสายเลือดของตัวเองอย่างมาก
แต่เรื่องโชคร้ายก็เกิดขึ้น ใช่แล้ว ห่านกลัวอินทรีหัวขาว แต่ว่าอย่างอินทรีน้อยที่ใหญ่กว่าไข่อินทรีไม่เท่าไรอย่างบุช ห่านที่มีระดับความโกรธเต็มแมกซ์จะกลัวเหรอ?
บุชกางปีกพุ่งเข้าขวางไว้ตรงกลาง ทำท่าทำทางราวกับว่าตัวเองเก่งกาจมาก แต่สุดท้ายพวกห่านขาวไม่ได้สนใจมันเลยสักนิด
ห่านขาวที่วิ่งมากระพือปีกสะบัดบุชให้บินออกไปในทีเดียว บุชร้องกาๆ อย่างโมโหที่ถูกเขวี้ยงหกคะเมนออกมา ห่านขาวตัวหนึ่งที่เพิ่งลุกขึ้นมาได้พุ่งเข้ามาอีกรอบ กระพือปีกอีกครั้ง และหกคะเมนอีกครั้ง
ครั้งนี้บุชทำตัวเรียบร้อยแล้ว มันแกล้งทำเป็นตาย คลานน้ำตาคลออยู่บนพื้นหญ้า รอจนพวกห่านขาวจากไป มันถึงลุกขึ้นมาอย่างกลัวๆ แม่งเอ๊ย ไอ้ก้นใหญ่พวกนี้ทำไมถึงน่ากลัวแบบนี้?
ฉินสือโอวพาบิลลี่วิ่งตรงไปยังบ้านพัก พวกห่านขาวถึงเพิ่งได้สติกลับมา พวกมันต่างก็รู้ว่ารอบๆ บ้านพักเป็นถิ่นของนิมิตส์โหดเหี้ยมนั่น ไม่กล้าเข้ามาแหย็ม นี่เป็นภาพจำที่หลงเหลือไว้จากการที่นิมิตส์เชิญพวกมันนั่งเครื่องบิน
บิลลี่หน้ามุ่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าประตู ท่าทางอย่างกับหญิงสาวที่ถูกขืนใจ เขาถกขากางเกงขึ้นมาดู หน้าขาสีขาวมีรอยม่วงช้ำหลายที่ร่างกายฟกช้ำไปหมด
“ห่านโง่พวกนี้ ไม่ควรยุ่งด้วย” ฉินสือโอวพูดอย่างเห็นใจ แต่ในใจกลับแอบขำ
บิลลี่รีบพยักหน้าตอบรับ หันหน้าไปสังเกตเห็นหู่จือกับเป้าจือต่างก็เบะปากมองเขาอย่างดูถูก ทันใดนั้นก็ร้องขึ้นมาอย่างประหลาดใจ “เฮ้ย ฉิน หมาทั้งสองตัวของนายนี่มันอะไร? ฉันรู้สึกว่าพวกมันทำสีหน้าของคนได้ นี่ไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม?”
“นายตาฝาดแล้ว” ฉินสือโอวใช้มืออุ้มหมาข้างละตัวไว้
ตอนเย็น บิลลี่ได้กินอาหารจีนดั้งเดิมอีกครั้งที่ฉินสือโอวนี่ หมอนี่กินอย่างอารม์ดี ฉินสือโอวคิดว่าเขาชื่นชอบอาหารจีน แต่หลังถามก็บิลลี่ส่ายหัวว่า “ฉันก็แค่ดีใจที่ทำเงินได้ ฉันไม่ชอบรสชาติอาหารแบบนี้ ถ้าไม่เผ็ดเกินไป ก็เค็มเกินไป หรือไม่ก็จืดเกินไป…”
“สมควรที่พวกนายจะได้กินแต่อาหารขยะ” ฉินสือโอวพูดอย่างในเย็น จากนั้นก็เริ่มกินผัดสามเซียนอย่างตะกละตะกลาม
หลังอาหารเย็น ฉินสือโอวเริ่มพิจารณาถึงข้อเสนอของบิลลี่ เหมือนว่าการสร้างสนามบินส่วนตัวในฟาร์มปลาเองก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้อยู่
ที่เริ่มพิจารณาข้อเสนอนี้อีก เป็นเพราะว่าเขาบังเอิญไปเจอกับข่าวข่าวหนึ่งในเว็บมา โดยในข่าวบอกว่าสนามบินส่วนตัวกำลังขยายตัวในแคนาดา เนื่องจากมีพื้นที่กว้างขวาง ดังนั้นจึงมีศักยภาพในการพัฒนาสูงกว่าอเมริกาอีก
เรื่องของการทำความเข้าใจเรื่องของสนามบิน วินนี่เป็นผู้เชี่ยวชาญ ฉินสือโอวเริ่มสอบถามในขณะที่ทั้งสองคนกำลังสวมกอดกันอยู่ “ถ้าหากว่าฉันอยากจะสร้างสนามบินส่วนตัวขนาดเล็กในฟาร์มปลาของเรา ต้องใช้เงินประมาณเท่าไร?”
…………………………………………..
บทที่ 355 ยืนยันตัวตน
โดย
Ink Stone_Fantasy
วินนี่บอกว่า “ต้องดูขนาดของพื้นที่ที่จะสร้าง เพราะสนามบินก็คือการเอาเงินกองสุมขึ้นมา หนึ่งตารางเมตร 500 ดอลลาร์แคนาดา คุณต้องการสร้างพื้นที่กว้างแค่ไหนล่ะ?”
“แพงขนาดนี้เลย?” ฉินสือโอวถาม
ถ้าหากเป็นเครื่องบินโดยสาร ขนาดของสนามบินอย่างน้อยก็ต้อง 10 เอเคอร์ขึ้นไป หรือก็คือประมาณสี่หมื่นตารางเมตร หลักๆ แล้วลานวิ่งจะต้องสร้างค่อนข้างยาว ถ้าไม่มีลานวิ่งจะขึ้นบินยังไงกัน? เฮลิคอปเตอร์? ช่างเถอะ ในสนามหญ้าเฮลิคอปเตอร์ก็ขึ้นบินได้
ขนาดพื้นที่สี่หมื่นตารางเมตร ตารางเมตรละ 500 ดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือยี่สิบล้านเลย
วินนี่นอนหมอบใช้นิ้วมือเรียวเริ่มคำนวณอยู่บนเตียง “คุณคิดว่าสนามบินใช้แค่ปูนซีเมนต์ปูให้เรียบก็พอแล้วเหรอ? ไม่ใช่อย่างนั้นเลย คุณยังต้องมีหอสังเกตการณ์ สตูดิโอวิทยุ ศูนย์รับสัญญาณดาวเทียมและอาคารรองรับต่างๆ”
แอร์โฮสเตสสวยนอนอยู่บนเตียงแบบนี้ สัดส่วนโค้งเว้าขึ้นลงเป็นจังหวะทำให้หลงใหลยิ่งนัก ราวกับเป็นคลื่นลูกหนึ่ง ฉินสือโอวตบเบาๆ คลื่นก็เริ่มซัดสาด
“บ้า” วินนี่ผลักฉินสือโอวไปทีหนึ่ง “คุณอย่าเล่น พูดดีๆ”
ฉินสือโอวพลิกตัวขึ้นมา พูดอย่างยิ้มๆ ว่า “เล่นก่อนแล้วค่อยพูดดีๆ”
คืนนี้ ฉินสือโอวและวินนี่ก็ไม่ได้ข้อสรุปออกมาว่าจะสร้างสนามบินยังไง แต่ว่าเขาได้ตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะสร้างสนามบิน
อันดับแรก ตอนนี้เครื่องบินแทรกเตอร์ของเขายังจอดอยู่ในสนามบินนครเซนต์จอห์นตลอด ไม่ค่อยสะดวกเวลาที่จะใช้งาน จำเป็นต้องขับเฮลิคอปเตอร์ไปที่สนามบินแล้วค่อยบินกลับมา เสียค่าน้ำมันไปไม่น้อยเลย รองลงมา เขาขาดแคลนลานจอดรถ ถ้าหากมีสนามบินขึ้นมา รถยนต์สามารถจอดที่นี่ได้เลย
และที่สำคัญคือ มีเงินที่หมุนเวียนได้ในบัญชี 100 ล้านดอลลาร์แคนาดา ในใบเสียภาษีไตรมาสที่ 2 เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งนัก จำเป็นต้องใช้จ่ายและใช้จ่ายอย่างมาก ไม่อย่างนั้นก็จะถูกผีดูดเลือดแผนกการเงินของแคนาดาเอาไปหมด
เช้าวันที่สอง ฉินสือโอวก็โทรศัพท์หาวิล ถามทีมสถาปนิกของเขาว่าสามารถสร้างสนามบินได้หรือเปล่า
นี่เป็นงานใหญ่ ใหญ่กว่าการสร้างท่าเรือเสียอีก วิลตัดสินใจรับงานทันที “คุณวางใจได้เลย ฉิน ทีมสถาปนิกของพวกเรามีความสามารถเพียงพอที่จะรองรับโครงการของคุณ เพราะว่าพวกเรามีเพื่อนร่วมธุรกิจ การก่อสร้างสนามบินส่วนตัวไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”
ตอนเช้าสิบโมง เบลคที่สี่ก็มาถึง ครั้งนี้เขาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ เบล 505 ลำหนึ่งมา
เบล 505 ไม่ได้เหมือนตัว AC-310 ที่เป็นเครื่องเล็ก แม้ว่ามันจะเป็นเฮลิคอปเตอร์เครื่องยนต์เดี่ยวเหมือนกัน แต่ว่ามีที่นั่งห้าที่นั่ง ใช้เครื่องยนต์แบบเอกซ์เทอร์โบชาฟต์ ปลอดภัย รวดเร็วและสะดวกสบาย
เฮลิคอปเตอร์สีฟ้าจอดอยู่บนพื้นหญ้าในฟาร์มปลา พ่อแม่ฉินสือโอวต่างก็ออกมาดู ฉินสือโอวส่งเฮลิคอปเตอร์ไปที่สนามบินหมดแล้ว เพื่อลดความกังวลของพ่อแม่เรื่องการใช้จ่ายของเขา
เห็นว่าพ่อแม่มีความสนใจ ฉินสือโอวจึงให้พวกเขาขึ้นไปลองนั่งดู
พ่อของฉินสือโอวรีบปัดมือบอก “เครื่องบินใหญ่โบอิ้งอะไรนั่นฉันกับแม่แกก็เคยนั่งมาแล้ว เครื่องบินเล็กนี่จะมีอะไรอีก”
เสี่ยวฮุยอิจฉาตาร้อนถามว่า “คุณปู่ ผมอยากนั่งเฮลิคอปเตอร์ เฮลิคอปเตอร์สุดยอดมาก คุณครูบอกว่ามันสามารถหยุดอยู่บนอากาศไม่ขยับได้ด้วย”
เบลคกระโดดลงมา นอกจากเขาแล้วยังมีอีกสามคน คนหนึ่งคือเชเชฟสกีเพื่อนเก่าของเออร์บัก หรือก็คือผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ระดับภูมิภาคออนแทรีโอของบริษัทจัดประมูลริชชี่ พ่อมองดูเขาแล้วลากฉินสือโอวไปกระซิบว่า “คุณคนนี้หน้าตาเหมือนกับคุณเลนินมากเลย”
ฉินสือโอวแอบยิ้มเห็นด้วย ครั้งแรกตอนที่เจอเชเชฟสกีเขาเองก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน ความรู้สึกของพ่อยิ่งชัดเจนกว่า เพราะว่าเมื่อก่อนผนังบ้านมีภาพของเลนินติดอยู่ พ่อเห็นมาเป็นสิบปีแล้ว
อีกอย่างสองคนที่มาพร้อมกับเชเชฟสกีอายุไม่ได้ห่างกันมาก ท่าทางประมาณห้าสิบปีได้ คล้อยหลังเบลคได้แนะนำว่าทั้งสองคนต่างเป็นผู้เชี่ยวชาญภาพสีน้ำมัน
ฉินสือโอวจับมือกับทั้งสามคน จากนั้นบอกเบลคถึงความต้องการของเด็กๆ
เบลคจะปฏิเสธเรื่องแบบนี้ได้ยังไง? เขาโบกมือยิ้มบอก “อย่างนั้นก็ขึ้นเครื่องบินเถอะ ทักษะการขับของแคลเล็นดีมาก ให้ครอบครัวนายไปลองดูเถอะ”
เทียบกับบิลลี่แล้ว เบลคเตรียมพร้อมรอบคอบกว่ามาก เขารู้ผ่านคิวคิวของฉินสือโอวว่าพ่อแม่ของเขามาแล้ว ดังนั้นครั้งนี้เลยเตรียมของขวัญมาด้วย
ที่ให้พ่อและแม่ฉินสือโอวเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมชั้นดีชุดหนึ่ง ที่ให้พี่สาวฉินสือโอวเป็นเครื่องสำอางแบรนด์หลุยส์ วิตต็องชุดหนึ่ง ที่ให้พี่เขยเป็นนาฬิกาข้อมือเรือนหนึ่ง เป็นนาฬิกากลไกจักรกลฝังเพชรโอเมก้าคอลเลคชั่นคอนสเตลเลชั่น
พี่เขยรู้จัก เปิดออกดูเห็นชื่อกลุ่มดาวโอเมก้าจึงรีบปฏิเสธทันที เบลคยิ้มตอบ “เห็นทีของขวัญของผมคงไม่ถูกใจคุณ”
“ไม่ใช่ แต่มันแพงเกินไป”พี่เขยฝืนยิ้มตอบ
พ่อของฉินสือโอวแอบถามถึงราคา พี่เขยก็บอกเบาๆ ว่าแสนสีแสนห้า พ่อของฉินสือโอวไม่พูดอะไรอีก แม้ว่าการมาแคนาดาครั้งนี้จะทำให้โลกทัศน์ของเขากว้างขึ้นมาก แต่ว่านาฬิกาเรือนละเป็นแสนก็ยังคงอยู่เหนือการยอมรับได้ของเขา
ฉินสือโอวให้พี่เขยรับเอาไว้ อธิบายว่า “นาฬิกานี่ไม่ได้แพงขนาดนั้นในแคนาดา ก็ประมาณหกหมื่นหยวนเท่านั้น”
เก็บของขวัญไว้แล้วส่งพ่อแม่ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไป ฉินสือโอวก็พาเบลคและผู้เชี่ยวชาญทั้งสามเข้าไปในห้องใต้ดิน ศึกษาภาพผลงานของแวนโก๊ะเพื่อระบุตัวตน
ชายวัยกลางคนที่ชื่อแมคจีลลาเป็นศาสตราจารย์ภาพสีน้ำมันคณะศิลปกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยโทรอนโต ตาเป็นประกายหลังเห็นภาพ ‘อาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์’ พูดอย่างดีใจว่า “ขอพระเจ้าคุ้มครอง จะมีชิ้นงานใหม่ของแวนโก๊ะที่เพิ่มเข้าไปในผลงานของเขาเองอีกแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ดีใจมากเรื่องหนึ่งจริงๆ”
ผู้เชี่ยวชาญอีกคนหนึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ศิลปะแห่งชาติแคนาดา ชื่ออเล็กซ์ บอกว่า “ที่พิเศษยิ่งกว่าก็คือ ภาพนี้มีความหมายพิเศษ นี่เป็นงานเขียนช่วงเปลี่ยนผ่านในผลงานของแวนโก๊ะ และอีกอย่าง คนทั่วไปเชื่อว่าภาพสีน้ำมันภาพใหญ่นี้เป็นผลงานในช่วงรุ่งโรจน์ที่สุดของศิลปินคนนี้ แต่เสียดายที่ไม่เคยได้มีโอกาสพบเจอเลย”
สนทนากันสักครู่ บรรดาผู้เชี่ยวชาญก็เปลี่ยนรองเท้าและถุงมือเข้าไปในห้องสุญญากาศและเริ่มใส่แว่นตา ถือแว่นขยาย อีกอย่างยังมีเครื่องมือคอมพิวเตอร์สแกนต่างๆ เริ่มต้นการวิจัยศึกษา
พวกเขาวิจัยไปด้วยถกเถียงกันไปด้วย นำข้อสรุปบอกกับกลุ่มฉินสือโอวและเบลค
เชเชฟสกีพูดหลังจากมองดู “พูดจากมุมมองสไตล์และเทคนิคแล้ว ภาพนี้มีหลายที่มากที่เหมือนกันกับภาพเขียนของแวนโก๊ะตั้งแต่ฤดูร้อนปี 1888 อย่างเช่น ‘ภาพห้องนอน’ และ ‘ภาพเหมือนตัวเอง’ ต่างๆ ลายเส้นภาพเหล่านั้นต่างมีเงาของภาพๆ นี้อยู่
อเล็กซ์พูดอย่างไม่ค่อยพอใจเล็กน้อยว่า “ใช่ มีส่วนที่เหมือนอยู่จริง ภาพนี้ใช้เทคนิคการเปลี่ยนสีที่เหมือนกัน ดูสิ ตรงตำแหน่งลำต้นต้นไม้พวกนี้ สีเหลืองที่สดใสอยู่ๆ ก็สามารถเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลที่ขุ่นมัวได้ ไม่รู้ว่าทำไมแวนโก๊ะถึงมีความชอบนี้ เขาไม่รู้เหรอว่ามันจะทำให้สุนทรีย์ในการชมภาพลดลง?”
“แต่ก็ไม่สามารถปิดกั้นให้มันกลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงระดับโลกได้”เชเชฟสกียิ้มตอบ
เบลคอธิบายให้กับฉินสือโอวและบิลลี่ว่า “ภาพนี้เพิ่งเจอในทะเลมาใช่ไหม? อย่างนั้นมันก็น่าสนใจแล้วสิ ภาพนี้สามารถพลิกความเข้าใจของโลกศิลปะต่อผลงานของแวนโก๊ะได้เลย เทคนิคการเปลี่ยนสีของแวนโก๊ะแปลกประหลาดมาก มีหลายที่ที่อยู่ๆ สีก็จะเปลี่ยนเป็นสีเข้ม ศิลปินบางคนคิดว่าเป็นเพราะปฏิกิริยาทางเคมีจากการที่แสงอาทิตย์ส่องผ่านเม็ดสีโครเมียม พอดูตอนนี้แล้วเห็นชัดว่าไม่ใช่”
ถกเถียงหารือกันมาห้าหกชั่วโมงแล้ว ระหว่างนี้นอกจากดื่มนมวัวไปนิดหน่อย ผู้เชี่ยวชาญทั้งสามคนก็ทำงานตลอดเวลา
สุดท้ายเชเชฟสกีพยักหน้าให้ฉินสือโอวว่า “ยืนยันได้ว่านี่เป็นผลงานของจริง คุณฉิน คุณมีภาพที่ดีที่สุดภาพหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงนี้ไว้ครอบครอง”
อเล็กซ์บอกอีกว่า “เป็นของจริงแท้แน่นอน จากในภาพนี้พวกเราสามารถเห็นได้ชัดถึงการดิ้นรนของแวนโก๊ะระหว่างการวาดภาพ นี่ทำให้ภาพนี้ยิ่งมีเสน่ห์ขึ้นไปอีก”
………………………………………………….
บทที่ 356 ปลาปากแตรอันแปลกประหลาด
โดย
Ink Stone_Fantasy
สนทนาจบ ฉินสือโอวก็นึกถึงจดหมายที่เจอพร้อมกับภาพเขียนขึ้นมาได้ จึงเอาออกมาแล้วถามว่า “สายตาของใครค่อนข้างดี มาดูจดหมายนี้หน่อย ผมเชื่อว่าจดหมายฉบับนี้ก็เป็นสมบัติชิ้นหนึ่งเหมือนกัน”
ภาษาที่ใช้บนจดหมายฉบับนี้เหมือนจะเป็นภาษาอังกฤษ แต่ตัวหนังสือหวัดเกินไป ภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษสมัยใหม่ไม่เหมือนกัน ฉินสือโอวดูไม่ค่อยออก ดังนั้นจึงปล่อยเอาไว้ตลอด
เบลครับไปดูสักครู่แล้วบอกว่า “อ๋อ นี่เป็นภาษาดัทช์ เป็นตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน กลุ่มภาษาเจอร์แมนิก สาขาภาษาเจอร์แมนิกตะวันตก มันเป็นภาษาระหว่างภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษในสาขาภาษาเจอร์แมนิกตะวันตก เป็นภาษาที่ใกล้เคียงภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาใดๆ หืม…”
อยู่ๆ เบลคก็ขมวดคิ้วขึ้น เขาอ่านจดหมายนี้อย่างละเอียด จากนั้นก็เงยหน้าหัวเราะดีใจขึ้นมา “ฉิน นายพูดถูกแล้ว นี่เป็นสมบัติชิ้นหนึ่งจริงๆ ! นี่เป็นจดหมายที่เขียนโดยแวนโก๊ะ เขาเขียนถึงธีโอน้องชาย!”
ได้ยินดังนี้ เชเชฟสกีและคนอื่นต่างก็ล้อมกันขึ้นมา ฉินสือโอวดูไม่เข้าใจ จึงให้เบลคอ่านให้เขาฟัง
“น้องชายที่รัก สบายดีไหม ตอนนี้ฉันอยู่ที่เมืองอาร์ลส์ในภาคใต้ของฝรั่งเศส…”
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะน้องชายของฉัน ตอนนี้ฉันสบายดีทุกอย่าง อาศัยอยู่ที่โบสถ์เบเนดิกต์ในมงต์มาจูร์…”
“ที่นี่เป็นสถานที่ที่สวยงามที่หนึ่ง เมื่อวานตอนที่พระอาทิตย์ตก ฉันอยู่ที่ทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยก้อนหิน ที่นั่นมีต้นโอ๊กที่เตี้ยและคดงอขึ้น บนภูเขาที่ห่างไกลมีโบราณสถานแห่งหนึ่งอยู่ ในหุบเขามีทุ่งข้าวสาลีปลูก มันช่างโรแมนติกเหลือเกิน ที่มอนติเซลลี พระอาทิตย์สาดส่องประกายแสงสีเหลืองทองไปยังพุ่มไม้และพื้นดิน ทุกอย่างถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทอง ลายเส้นพวกนี้ช่างสวยงามมากมาย เผยให้เห็นทิวทัศน์ทั้งหมดอันสูงสง่าดึงดูดผู้คน…”
“จิตวิญญาณของฉันได้รับแรงบันดาลใจ ฉันจะวาดภาพเพื่อมันภาพหนึ่ง และฉันได้วาดภาพนี้เสร็จแล้ว แต่ว่าฉันไม่ค่อยพอใจนัก การใช้สีไม่ค่อยดีนัก สไตล์ของภาพก็ค่อนข้างมืดไปหน่อย แต่ว่าน้องชายของฉัน ตอนนี้ฉันดีใจมาก การสร้างภาพนี้ขึ้นที่มงต์มาจูร์ครั้งนี้ทำให้ฉันเข้าใจอะไรได้มากมาย…”
“เชื่อฉันเถอะ น้องชายของฉัน พี่ชายของนายกำลังจะได้กลายเป็นศิลปินใหญ่ที่มีชื่อเสียงระดับโลกคนหนึ่งแล้ว! ขอให้พระเจ้าคุ้มครองนาย ขอให้นายมีความสุขสุขภาพแข็งแรงตลอดไป จิตวิญญาณของฉันจะอยู่เคียงข้างนายตลอดไป อาเมน วินเซนต์ แวนโก๊ะ”
เบลคอ่านอย่างช้าๆ คนอื่นๆ ต่างก็ฟังกันอย่างเงียบสงบ ฉินสือโอวหลับตาลง เห็นชายวัยกลางคนที่โดดเดี่ยวคนหนึ่งยืนอยู่บนทุ่งหญ้าเวลาที่พระอาทิตย์กำลังตก ด้านหน้าของเขา ซ้ายมีต้นโอ๊ก ขวามีทุ่งข้าวสาลี
ดังประโยคนั้นที่ว่า ซ้ายนรก ขวาสวรรค์…
อ่านเนื้อหาในจดหมายจบ เบลคนำจดหมายวางไว้บนภาพอย่างระมัดระวัง แล้วเอ่ยว่า “แวนโก๊ะพูดถูก เขาได้เริ่มยุคสมัยใหม่ของสไตล์การเขียนภาพขึ้นมาหลังจากภาพนี้ และได้กลายเป็นจิตรกรใหญ่ที่มีชื่อเสียงระดับโลกแล้วจริงๆ แต่เสียดายที่เขารอไม่ถึง ถ้าหากเขาสามารถมีความอดทนได้อย่างปิกาโซ รออีกสักสิบปี เขาก็จะได้เห็นฉากที่เขาได้รับการเคารพนับถือจากศิลปินทั่วทุกมุมโลก!”
สุดท้ายทุกคนออกจากห้องใต้ดิน เชเชฟสกีบอกกับฉินสือโอวว่า “มีจดหมายฉบับนี้แล้ว ตัวตนของภาพนั้นก็ไม่มีข้อกังขาอะไรอีก ตอนนี้สิ่งที่คุณจะต้องพิจารณาก็คือจะขายมันออกไปหรือเก็บสะสมมันไว้ อย่างอื่นไม่จำเป็นต้องคิดมาก”
เบลคและบิลลี่มองไปยังฉินสือโอว ทั้งสองไม่ใช่คนเห็นแก่เงินอะไร เบลคเกลี้ยกล่อมว่า “ฉิน เก็บสะสมมันไว้เถอะ มูลค่าของภาพนี้จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแน่ อีกอย่างมันยังมีความหมายพิเศษ นี่เป็นผลงานแห่งการเปลี่ยนแปลงของแวนโก๊ะ…”
“ช่วยพวกเราประมูลความพิเศษนี้ออกไปในราคาสูงได้หรือเปล่า?” ฉินสือโอวยิ้มถาม
เก็บสะสมภาพนี้? ช่างเถอะ เดิมทีที่บ้านก็มีขโมยอยู่แล้ว ถ้าแขวนภาพที่มีมูลค่าสี่ห้าสิบล้านเอาไว้อีกก็เท่ากับว่าจับตัวเองไปย่างบนไฟน่ะสิ เขาไม่ทำแบบนี้แน่นอน
สำหรับการเอาไปฝากไว้กับธนาคารหรือพิพิธภัณฑ์เหรอ? ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่เปลี่ยนเป็นเงินเก็บไว้ล่ะ? รอมูลค่าของภาพนี้เพิ่มขึ้น ไม่ ฉินสือโอวยอมขายภาพนี้ไปแล้วไปลงทุนกับฟาร์มปลาดีกว่า มูลค่าของฟาร์มปลาเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอีก
ได้ยินฉินสือโอวพูดอย่างนี้ เบลคและบิลลี่ก็ยิ้มขึ้นมาทันที ขอบคุณพระเจ้า จะได้เงินส่วนแบ่งแล้ว
หลังกินข้าวเย็นเสร็จ ฉินสือโอวจัดการเรื่องที่พักให้กับทุกคน ตอนนี้ที่พักในหมู่บ้านค่อนข้างจำกัด แต่ว่าหลายคนก็เริ่มใช้ความคิดแล้ว เกือบทุกครัวเรือนในหมู่บ้านต่างเปิดให้บริการที่พัก ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์วิถีชีวิตในหมู่บ้านอเมริกาเหนือที่แท้จริง มีความคล้ายคลึงกับบ้านสวนในประเทศ
ฉินสือโอวหาโรงแรมค่อนข้างสะดวก เพราะว่าตอนนี้เขาค่อนข้างมีหน้ามีตาในหมู่บ้าน
กลับถึงบ้าน ฉินสือโอวนอนลงบนเตียงแล้วปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปที่ฟาร์มปลา การท่องไปในทะเลพร้อมจิตสำนึกแห่งโพไซดอนได้กลายเป็นความสนุกอีกหนึ่งอย่างของเขาไปแล้ว
แรงงานหมึกกล้วยได้มาถึงบริเวณใกล้ซากเรือไททานิกแล้ว ฉินสือโอวให้พวกมันเลือกสถานที่อยู่เอง หลังจากนั้นถึงค่อยๆ เก็บกวาดเรือไททานิก
ภายใต้การปรับปรุงของพลังงานโพไซดอน พวกหมึกกล้วยมีพลังล้นเหลือ การเติบโตรวดเร็ว ตอนที่เห็นพวกมันครั้งแรก หนวดหมึกกล้วยพวกนี้ใหญ่สุดก็ยาวแค่เมตรกว่าๆ เท่านั้น ตอนนี้โดยเฉลี่ยก็ยาวสองเมตรกว่าแล้ว มีบางตัวยาวถึงสามเมตรกว่าเลย
ฉินสือโอวคิด จะมีสักวันไหมที่หมึกกล้วยพวกนี้จะกลายเป็นหมึกยักษ์?
ถ้าเป็นแบบนั้นก็ยิ่งใหญ่ไปแล้ว หมึกกล้วยห้าร้อยตัว หนวดของแต่ละตัวต่างก็มีความยาวยี่สิบสามสิบเมตร แบบนั้นถึงจะเจอเข้ากับเรือรบก็ยังสามารถสู้ได้เลย
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับมาถึงฟาร์มปลา ฉินสือโอวเจอเข้ากับปลาเทราต์สายรุ้งฝูงหนึ่ง พวกมันกำลังว่ายกลับมาจากแม่น้ำ ปลาพันธุ์นี้เหมือนกันกับปลาแซลมอนแปซิฟิก ต่างก็เกิดในแม่น้ำแต่เติบโตในทะเล ฤดูใบไม้ร่วงของทุกปีก็จะอพยพไปตามแม่น้ำเพื่อผสมพันธุ์และวางไข่ จากนั้นก็กลับสู่ทะเลอีกครั้งก่อนฤดูหนาวจะมาถึง
ทะเลในหน้าหนาวอบอุ่นว่าในแม่น้ำมาก เหมาะกับการอยู่รอดของปลาพวกนี้
เห็นปลาแซลมอนแปซิฟิกเล็กฝูงใหญ่นี้ตามอยู่ข้างหลัง ฉินสือโอวแผ่จิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปเล็กน้อย เรียกงูเหลือมทะเลออกมาสองตัวเพื่อมาทำการคุ้มครอง
ถ้าหากไม่มีการคุ้มครอง ปลาเทราต์เล็กพวกนี้ก็เป็นได้แค่อาหารของปลาค็อดใหญ่และปลาทูน่าครีบน้ำเงิน ไม่กี่วันก็ถูกกินจนเรียบหมด
มาถึงบริเวณแนวปะการัง ปลาเทราต์เล็กพวกนี้ตามอยู่ข้างๆ ฉินสือโอว พวกมันแหวกว่ายอย่างมีความสุข
มีสิ่งมีชีวิตคล้ายพืชน้ำความยาวประมาณครึ่งเมตรกว่าลอยปล่อยหางลงอยู่บนน้ำทะเล ตอนแรกฉินสือโอวก็ไม่ได้สังเกตอะไร แต่เขาพบว่าส่วนหัวของสิ่งมีชีวิตพวกนี้เปลี่ยนสีได้ มันเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงคล้ายกับปลาเทราต์สายรุ้งเล็ก
กิ้งก่าเปลี่ยนสีในทะเล? ฉินสือโอวรู้สึกสนใจขึ้นมา
พืชน้ำเหล่านี้ลอยจนถึงฝูงปลาเทราต์เล็ก ถัดมาสงครามการล่าอาหารก็เริ่มต้นขึ้น ‘พืชน้ำ’ พวกนี้เริ่มขยับตัว มันอ้าปากที่มีสีใกล้เคียงกับปลาเทราต์เล็กแล้วกลืนปลาเล็กรอบข้างเข้าไป
นี่คือปลาปากแตรสินะ? ฉินสือโอวเห็นวิธีการหาอาหารของพวกมันก็เดาออกแล้ว ปลาปากแตรรูปร่างเรียวยาว ชอบอาศัยอยู่ในบริเวณแนวปะการัง จากนั้นก็ปลอมตัวเป็นปะการังหรือสาหร่ายเพื่อหาอาหาร
ฉินสือโอวไม่ได้ไล่ปลาปากแตรไป นี่เป็นห่วงโซ่อาหารในท้องทะเล ไม่นานหลังจากนั้นก็มาถึงน่านน้ำตื้น พบเข้ากับปลาตัวอ่อนลักษณะคล้ายปลาไหลฝูงหนึ่งใต้ทะเล ฉินสือโอวคิดว่าพวกมันเป็นปลาไหลอเมริกันเลยไม่ได้สนใจ
เขาวนดูสักพักไม่ได้พบปัญหาอะไร จึงตามเฮยป้าหวังไปเที่ยวเล่นในทะเลลึกต่อ
วันที่สอง เบลคไปหาฉินสือโอว หารือปัญหาเรื่องการจัดการกับภาพเขียนของแวนโก๊ะ แน่นอนว่าต้องจัดการประมูลอยู่แล้ว แต่ว่าตอนนี้ไม่มีโอกาสอะไรที่เหมาะสมเลย อีกเดี๋ยวก็จะกลางเดือนพฤศจิกายนแล้ว งานประมูลขนาดใหญ่ของฤดูใบไม้ร่วงต่างก็สิ้นสุดหมดแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นก็รองานประมูลฤดูใบไม้ผลิปีหน้าเถอะ” ฉินสือโอวไม่ได้รีบร้อนใช้เงิน “บริษัทจัดประมูลริชชี่ของพวกนายมีงานประมูลฤดูใบไม้ผลิในเดือนเมษายนใช่ไหม?”
เบลคและบิลลี่รู้สึกว่าแบบนี้ยิ่งดี จึงตกปากรับคำด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จากนั้นเบลคก็จากไปพร้อมกับภาพ แม้ว่าจะยังห่างจากเวลางานประมูลอีกนาน แต่ว่าตอนนี้ก็ต้องเริ่มงานโปรโมตโฆษณาแล้ว
โฆษณายิ่งเยอะราคายิ่งสูง
…………………………………………………………..
บทที่ 357 คุกคามฟาร์มปลา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชีวิตที่อาศัยอยู่กับพ่อแม่มักจะสะดวกสบายเป็นพิเศษ
ในทุกๆ เช้าที่ตื่นมา แม่ก็เตรียมอาหารเช้าให้แล้ว ดื่มโจ๊กข้าวฟ่างและโจ๊กข้าวเจ้า กินผักดองที่แม่เป็นคนทำเอง ต่อด้วยหมั่นโถวอีกหนึ่งลูก ก็อิ่มไปทั้งเช้าแล้ว
ตอนเที่ยงและตอนเย็น บางครั้งที่พ่อทำอาหารบ้านเกิด บางครั้งก็กินปิ้งย่างทะเลด้วยกัน หากวันไหนอากาศดียังสามารถนั่งพูดคุยกันรอบกองไฟหน้าบ้าน หากวันไหนอากาศไม่ดีก็นั่งดูโทรทัศน์ในห้องรับแขกด้วยกัน
ฉินสือโอวรู้สึกว่าชีวิตแบบนี้สมบูรณ์แบบแล้ว
เวลาว่างๆ พี่สาวและพี่เขยก็จะไปเที่ยวเล่นในตัวเมือง คนในเมืองต่างก็รู้ว่าทั้งสองเป็นญาติของฉินสือโอว ทุกครั้งที่กลับมาจากในเมืองก็จะได้ของฝากเล็กๆ น้อยๆ กลับมาด้วย บางครั้งมีพิซซ่าร้อนๆ ที่เพิ่งออกจากเตา บางครั้งก็จะเป็นเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ บางครั้งก็จะเป็นไม้แกะสลักชิ้นเล็กๆ
เสี่ยวฮุยและพี่ชายพี่สาวทั้งสี่คนก็คุ้นชินแล้ว ยังเคยตามไปที่ชั้นเรียน แต่ว่าฟังไม่รู้เรื่องว่าคุณครูพูดอะไร จากนั้นเขาจึงไม่ยอมไปอีกเลย
แต่ว่าตัวเด็กพอใจกับวิธีการสอนในห้องเรียนของโรงเรียนแกรนท์ หลังกลับมาก็บอกกับพี่สาวและพี่เขยว่า “โรงเรียนที่นี่สนุกกว่า เวลาเรียนยังสามารถกินขนมได้ด้วย คุยกันก็ได้ คุณครูไม่ดุเลยแม้แต่น้อย ยังพูดกับผมเป็นภาษาจีนด้วยนะ”
พี่สาวแกล้งเขา “ถ้าอย่างนั้นทิ้งให้อยู่ที่นี่ดีหรือเปล่า?”
เสี่ยวฮุยเบิกตากว้างถาม “แล้วทุกคนล่ะ? ทุกคนก็จะอยู่ที่นี่ใช่ไหม?”
พี่สาวพูดต่อว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่ พวกเราจะกลับบ้าน”
เสี่ยวฮุยเศร้าขึ้นมาทันที “อย่างนั้นผมก็จะกลับบ้านด้วย ผมจะอยู่ด้วยกันกับพ่อแม่ อ้อ ยังมีคุณตาคุณยายด้วย”
ที่บ้านไม่มีงานอะไรให้ทำ เดิมทีฉินสือโอวอยากจะให้พ่อแม่อยู่ที่นี่นานอีกสักหน่อย อยู่สักเดือนสองเดือน แต่สุดท้ายมาอยู่ได้แค่สองอาทิตย์กว่า พ่อและแม่ของฉินสือโอวก็ตัดสินใจจะกลับไปแล้ว
ฉินสือโอวยังอยากจะรั้งพวกเขาเอาไว้ พ่อของฉินสือโอวยืนยันว่าจะไม่อยู่ต่อแน่นอน “เสี่ยวโอว พ่อกับแม่อยู่ที่นี่ก็ไม่มีความหมายอะไร วันๆ ก็ดูโทรทัศน์อยู่ในบ้านแค่นั้น ฉันอึดอัดจะแย่แล้ว จะอยู่ให้แม่แกอยู่ ฉันจะกลับ”
แม่ของฉินสือโอวยิ่งไม่พอใจ บอกว่า “ฉันจะอยู่ทำไม? ต้นอ่อนผักกาดขาวในไร่จะต้องเก็บเกี่ยวแล้ว เกี๊ยวซ่าของเสี่ยวฮุยก็ฝากคนอื่นเลี้ยงตลอดไม่ได้ พวกเรากลับไปจะดีกว่า”
ฉินสือโอวก็รั้งไม่อยู่ ครอบครัวพี่สาวไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ เสี่ยวฮุยลาหยุดแค่ครึ่งเดือน จำเป็นจะต้องกลับไปเรียนแล้ว
ฉินสือโอวรีบหาวิธีอื่นว่า “พ่อ พวกท่านอยู่ต่ออีกสักหน่อยสิ ที่นี่ยังมีที่ดีๆ หลายที่ยังไม่ได้พาพวกท่านไปเลย ขึ้นเขาล่าสัตว์เป็นยังไง? พรุ่งนี้พวกเราก็หยิบปืนขึ้นเขากันเลย”
แม่ของฉินสือโอวเบะปากว่า “ช่างเถอะ ทั้งชีวิตของพ่อแกไม่เคยจับปืนมาก่อน แกให้เขาจับฉันคนแรกที่ไม่อนุญาต”
พ่อของฉินสือโอวเองก็ไม่มีความสนใจ ส่ายหัวว่า “สมัยหนุ่มๆ ในหมู่บ้านให้ฉันเป็นทหารอาสาสมัครฉันยังไม่อยากเลย เล่นปืนมีอะไรสนุก? ขึ้นเขาล่าสัตว์ยังจะต้องปีนเขาอีก เหนื่อยเกินไปแล้ว ถ้าฉันมีเรี่ยวแรงนั้นฉันกลับบ้านไปไถดินดีกว่า”
พูดมาอย่างนี้ ฉินสือโอวก็หมดทางแล้ว เขามองไปทางวินนี่ วินนี่เองก็ยิ้มเจื่อนๆ ว่า “คุณลุงคุณป้าตั้งใจแล้วว่าจะกลับให้ได้ คุณจะทำยังไงได้?”
ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูด พ่อแม่ก็อยู่อีกเพียงสองวัน ฉินสือโอวรีบพาพวกเขาไปช้อปปิ้งที่เซนต์จอห์น ไปเที่ยวซูเปอร์มาร์เก็ตมาหลายที่ติดกัน ซื้อของมาถุงเล็กถุงใหญ่เต็มไปหมด
วันที่ 18 ฉินสือโอวขับรถไปส่งพ่อแม่ที่สนามบินเซนต์จอห์น มีบัตรสมาชิกวีไอพีพันธมิตรสายการบินแคนาดาเปิดทาง มีพนักงานดูแลการขนส่งกระเป๋าโดยเฉพาะ พวกเขาเข้าไปรอยังห้องรับรองวีไอพีโดยตรง นักท่องเที่ยวที่เตรียมตัวกลับประเทศต่างก็หันมามอง คิดว่านี่เป็นครอบครัวเศรษฐีที่ไหนกัน
จากนครเซนต์จอห์นบินไปโทรอนโต ที่เหลือก็แค่บินกลับปักกิ่ง
การจากลาเศร้าที่สุด ฉินสือโอวกอดพ่อกับแม่ สุดท้ายพนักงานต้อนรับเดินมาบอกว่าได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว แม่ของฉินสือโอวน้ำตาคลอ พูดกำชับสั่งเสีย “อากาศหนาวแล้ว ตอนออกไปออกกำลังกายตอนเช้าใส่เสื้อผ้าหนาหน่อย เสี่ยวเวยไม่ชอบกินของหวานๆ แกก็ทำน้อยหน่อย ถ้าทำเขาก็จะต้องคล้อยตามแก ยังมีอีก อย่าให้หมีน้อยกินเนื้อสุก กินเยอะเกินไปแล้วกินเนื้อดิบมันจะท้องเสียได้…”
ฉินสือโอวพยักหน้ารับ กอดแม่เอวไว้พูดได้แค่ ‘ผมรู้แล้วผมรู้แล้วแม่วางใจเถอะแม่วางใจเถอะ’
ตอนที่เตรียมตัวขึ้นเครื่อง พ่อของฉินสือโอวหันกลับมาอย่างลังเล พูดเสียงอ้ำอึ้งว่า “เสี่ยวโอว ปีใหม่กลับบ้านเร็วหน่อย เก็บห้องที่บ้านให้แกกับเสี่ยวเวยแล้ว”
วินนี่จับมือพ่อของฉินสือโอวยิ้มอ่อนๆ “พวกเราจะกลับไปก่อนแน่นอน คุณลุงคุณป้าวางใจเถอะค่ะ”
พ่อของฉินสือโอวตบมือวินนี่เบาๆ พูดต่อว่า “เสี่ยวเวย ฉันไม่วางใจเสี่ยวโอว ลูกดูเขาหน่อย อย่าให้ไปทำเรื่องอะไรที่ผิดกฎหมายนะ”
ฉินสือโอว “…”
แอร์บัส A380 ขนาดใหญ่ส่งเสียงคำรามขึ้นสู่ท้องฟ้า ฉินสือโอวยืนมองท้องฟ้าอยู่นอกสนามบิน มองดูเครื่องบินหายลับไปในท้องฟ้านิ่งๆ ภายในใจโหรงเหรงวางเปล่า รู้สึกแย่มาก
วินนี่เดินไปคล้องแขนเขาเอาไว้ ยิ้มอ่อนๆ “พอแล้ว คุณลุงคุณป้าไปแล้ว ไปเถอะ อีกเดือนสองเดือนพวกเราก็กลับบ้านปีใหม่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
ฉินสือโอวถอนหายใจว่า “รับไม่ค่อยได้กับบรรยากาศเวลาที่ต้องจากลากันเลย วินนี่ คุณอย่าไปจากผมได้ไหม? ถ้าวันไหนที่ผมทำเรื่องอะไรไปที่ทำให้คุณไม่พอใจ คุณรับปากผมได้ไหมว่าอย่าจากผมไป?”
วินนี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ยื่นมือโอบคอฉินสือโอวเอาไว้ ดวงตาราวกับมีประกายแสง พูดเสียงเบาว่า “ฉันจะจากคุณไปได้ยังไงล่ะ? ฉันจะเกาะเศรษฐีอย่างคุณแล้วล่ะ ถึงคุณจะไล่ฉันก็ไม่ไปหรอก! ถ้าคุณทำฉันไม่โกรธล่ะก็ ฉันก็จะให้หู่จือและเป้าจือกัดคุณ!”
ได้ยินคำรักของวินนี่ จุดที่อ่อนไหวที่สุดของฉินสือโอวถูกกระตุ้น กอดวินนี่เอาไว้แล้วจูบอย่างดูดดื่ม แขนทั้งสองข้างกอดรัดแน่น ราวกับจะกอดให้วินนี่ผสานเข้าไปในร่างกันตัวเองอย่างนั้น
กลับมาถึงฟาร์มปลา ฉินสือโอวไม่มีอารมณ์ทำอะไรสักอย่างสองสามวัน ตอนเช้าพาหู่จือเป้าจือไปเดินเล่นในฟาร์มปลา ตอนเย็นก็ไปท่องเที่ยวใต้ทะเลกับเฮยป้าหวัง ไร้จุดหมาย และก็ไม่มีผลเก็บเกี่ยวอะไร
ช่วงท้ายเดือน เขาพาหู่จือเป้าจือและเหล่าเด็กๆ เล่นอยู่บนท่า ชาร์คและซีมอนสเตอร์ขับเรือเข้ามาใกล้ หลังขึ้นบนก็ยกกล่องใบหนึ่งเตรียมเททิ้ง
ฉินสือโอวเข้าไปดู ข้างในมีแต่ปลาตาย ปลาบางตัวแทบจะเหลือแค่ครึ่งตัว อีกครึ่งหนึ่งเหลือแค่กระดูก
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ชาร์ค “เป็นฝีมือของหมาป่าทะเล”
“หมาป่าทะเล?”ฉินสือโอวถาม
“ปลาแลมป์เพรย์และแฮ็กฟิชแอตแลนติก เพราะว่ามีนิสัยโหดร้าย ชอบมุดเข้าไปกินเครื่องในในท้องปลาจากเหงือกปลา ดังนั้นพวกมันจึงได้รับฉายาว่าหมาป่าทะเล” ซีมอนสเตอร์อธิบาย
ฉินสือโอวถามว่า “ปลาพวกนี้เป็นฝีมือของหมาป่าทะเลหมดเลย?”
ชาร์คพยักหน้าบอก “ใช่ ตั้งแต่ตอนต้นเดือน ผมกับซีมอนสเตอร์ขับเรือไปตรวจตรา ก็เห็นปลาตายแล้ว ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เมื่อสามวันก่อน จำนวนของปลาตายเพิ่มขึ้นมามาก ไปรวมอยู่ในบริเวณเดียว ผมกับชาร์คเก็บซากปลาพวกนี้ขึ้นมา เจอเข้ากับหมาป่าทะเลข้างในนี้”
ซีมอนสเตอร์ถอนหายใจว่า “พวกเราเห็นคุณไม่ค่อยสบายใจ เลยไม่อยากรบกวนคุณ คิดว่าจะจัดการพวกมันกันเอง แต่ว่าหมาป่าทะเลพวกนี้ดื้อยามาก พวกเราก็เคยใช้ปลาล่อ ตกขึ้นมาได้น้อยมาก พวกมันเหมือนจะเจ้าเล่ห์มากเลย”
“แล้วหมาป่าทะเลนั่นล่ะ?”ฉินสือโอวพลิกปลาพวกนี้ ไม่เจอเงาของแฮ็กฟิชและปลาแลมป์เพรย์เลย
รสชาติแฮ็กฟิชอร่อย ปลาแลมป์เพรย์เองก็เป็นอาหารรสเลิศอีกอย่างด้วย สังคมชนชั้นสูงในยุโรปเริ่มมองมันเป็นอาหารรสอร่อยที่มีค่าตั้งแต่กลางยุค แม้กระทั่ง พระเจ้าเฮนรีที่ 1 กษัตริย์อังกฤษตายเพราะว่าตะกละปลาแลมป์เพรย์
กระทั่งถึงวันนี้ หลายประเทศในยุโรปตอนใต้อย่างเช่น ฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกสต่างๆ ปลาแลมป์เพรย์ก็ยังคงเป็นหนึ่งในอาหารขึ้นชื่อ
เพราะว่าในประเทศพวกนี้มีการจับปลามากเกินไป จำนวนของแฮ็กฟิชและปลาแลมป์เพรย์เลยลดลงเรื่อยๆ ไม่เพียงพอต่อความต้องการ เหมือนกันกับเพรียงตีนเต่า ที่มีเพียงร้านอาหารหรูบางแห่งเท่านั้นที่สามารถหากินได้
แต่ในอเมริกาเหนือ หมาป่าทะเลพวกนี้ถือว่าเป็นปลา ‘ภัยคุกคาม’ ที่แท้จริง เป็นศัตรูหลักของฟาร์มปลา
ชาร์คยักไหล่ พูดอย่างจนปัญญาว่า “ไม่ว่าจะเป็นแฮ็กฟิชหรือปลาแลมป์เพรย์ต่างก็เจ้าเล่ห์เกินไป หาพวกมันไม่เจอเลยในปลาตายที่ลอยขึ้นมานี้ ดังนั้นเลยพวกเราไม่ได้กิน”
เป็นถึงลูกน้องหมายเลขหนึ่งของฉินสือโอว ชาร์ครู้อย่างชัดเจนถึงระดับนักกินของบอสดี
ฉินสือโอวรีบไปค้นดูข้อมูล หมาป่าทะเลตัวเต็มไวจะคล้ายปลาไหลมีลักษณะเหมือนกับงูเล็ก พวกมันบางทีเหมือนปลาแลมป์เพรย์ที่สายตาไม่ดีหรือบางทีก็เหมือนแฮ็กฟิชที่ดวงตาเสื่อมสภาพไปเลย แต่อย่าดูถูกว่าสายตาไม่ดี ปลาแบบนี้มีอันตรายไม่น้อยเลย
ปลาแลมป์เพรย์จะใช้ปากคล้ายแว่นดูดเกาะบนปลาตัวอื่นและใช้ฟันและลิ้นครูดเอาเนื้อ ดูดกินเลือดและเนื้อของปลา บางครั้งปลาที่ถูกดูดกินเป็นอาหารเหลือเพียงแค่โครงกระดูกเท่านั้น
แฮ็กฟิชยิ่งโหด พวกมันอาศัยอยู่ในสิ่งมีชีวิต เป็นปรสิตในร่างกายชนิดเดียวของสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง
แฮ็กฟิชเล็กมักจะมุดเข้าไปในร่างกายปลาผ่านเหงือก ดูดกินเลือดเนื้อและเครื่องใน สุดท้ายปลาก็จะถูกกินจนเหลือแค่กระดูกและผิวหนังที่ว่างเปล่าเท่านั้น เป็นหนึ่งในภัยคุกคามใหญ่ของธุรกิจประมง
ชาร์คติดต่อซื้อยาทีอีเอ็มเป็นยาชนิดหนึ่งที่วิจัยมาเพื่อรับมือกับตัวอ่อนแฮ็กฟิช สามารถทำให้ตัวอ่อนตายปลาเป็นจำนวนมาก ฉินสือโอวรีบห้ามปราม เขาไม่สามารถใช้ทีอีเอ็มได้ เพราะว่าในฟาร์มปลาของเขายังมีปลาไหลญี่ปุ่นและปลาไหลอเมริกันเหนือปลาหายากพวกนี้อาศัยอยู่
…………………………………………………………………
บทที่ 358 ปลาไหลทะเลน้อย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่ให้ใช้ยาทีอีเอ็มนอกจากจะปกป้องตัวอ่อนของปลาไหลอื่นแล้ว ยังเพราะว่าฉินสือโอวไม่อยากจะทำให้หมาป่าทะเลพวกนี้สูญพันธุ์ไปหมด
จริงอยู่ที่หมาป่าทะเลจับปลากินเป็นอาหาร แต่ว่าไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกเวลา โดยส่วนใหญ่แฮ็กฟิชและปลาแลมป์เพรย์มักจะกินซากสัตว์ที่ตายเป็นอาหารมากกว่า เห็นชัดว่าปลาที่ตายแล้วเข้าไปง่ายกว่า
ปกติหลังจากที่เจอปลาตาย พวกมันจะเข้าไปในตัวปลาจากเหงือกปลาหรือไม่ก็ลำตัว เริ่มกินจากข้างในตัวปลาออกมา สุดท้ายก็จะเหลือผิวหนังและกระดูกเอาไว้
พูดอีกนัยหนึ่งคือ หมาป่าทะเลเหมือนกับปูก้ามดาบและปูเสฉวนบก ล้วนเป็นนักทำความสะอาดใต้ทะเล
ชาร์คและซีมอนสเตอร์ไปจัดการปลาพวกนั้น ฉินสือโอวบังคับจิตสำนึกแห่งโพไซดอนเข้าไปยังฟาร์มปลา เขากำลังเตรียมค้นหาแบบงมเข็มในมหาสมุทร แล้วก็นึกถึงครั้งที่เจอปลาปากแตรเมื่อสิบกว่าวันก่อนนี้ เหมือนกับว่าเคยเจอพวกมันมาก่อน
ตอนนั้นเขามองดูคร่าวๆ คิดว่าเป็นปลาไหลธรรมดาเลยไม่ได้ใส่ใจ ดูเหมือนตัวเองจะประมาทไป
คิดได้ดังนี้ จิตสำนึกแห่งโพไซดอนจึงลอยออกไปอย่างรวดเร็วตามความทรงจำ เมื่อก่อนใต้ทะเลในบริเวณน่านน้ำตื้นของฟาร์มปลาของมิสเตอร์รอทมีฝูงแฮ็กฟิชหนึ่งอาศัยอยู่ทั่วไปที่นี่
แฮ็กฟิชพวกนี้อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มืดสนิทใต้ทะเลนานเกินไป ดวงตาเลยเสื่อมสภาพไปอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าพวกมันจะยังมีดวงตาอยู่ก็ตาม แต่ว่าก็ดวงตาทั้งสองถูกบดบังด้วยเมือก ทำให้มองอะไรไม่เห็น
แต่ไม่ได้แปลว่าพวกมันบอด ถ้าหากบอดก็คงไม่มีทางถูกขนานนามว่าเป็นหมาป่าทะเลแน่ ต้องรู้ว่าสายตาและประสาทดมกลิ่นของหมาป่านั้นดีมาก เป็นนักไล่ล่ามือดี
ส่วนหัวของแฮ็กฟิชพวกนี้มีอวัยวะรับรู้ มีเซลล์ประสาทรับความรู้สึกทั่วตัว เพราะของพวกนี้ทำให้พวกมันสามารถระบุทิศทางและแยกแยะวัตถุได้ ก็เหมือนกับอีแร้งที่สามารถจะค้นหาเหยื่อที่กำลังจะตายเจอ อวัยวะรับรู้ของแฮ็กฟิชรับรู้ผ่านอัตราการเผาผลาญของปลา สามารถช่วยให้พวกมันหาปลาที่กำลังจะตายและที่ตายลงแล้วได้
แม้ว่าพวกมันจะไม่มีดวงตา แต่ว่าเจ้าพวกนี้เจ้าเล่ห์มาก บางครั้งพวกมันจะตามเรือประมงไปหาอาหาร มุดเข้าไปกินปลาในตาข่ายจับปลาเป็นอาหาร แต่ตอนที่ชาวประมงนำตาข่ายขึ้น ก็จะหนีออกจากตาข่ายอย่างรวดเร็ว
บริเวณที่แฮ็กฟิชพวกนี้อาศัยอยู่ยังมีปลาใหญ่ความยาวครึ่งเมตรกว่าตายไปหลายตัว ไม่รู้ตายธรรมชาติหรือถูกพวกมันฆ่าตายกันแน่ เห็นท้องของปลาใหญ่พวกนี้ยังขยับอยู่ ไม่ต้องเข้าไปก็รู้ว่าข้างในมีอะไร
แค่คิดก็รู้สึกน่าขยะแขยง ฉินสือโอวตัวสั่น ปรสิตแบบนี้น่าขยะแขยงเกินไปแล้ว
ที่น่าขยะแขยงคือลักษณะของแฮ็กฟิช ไม่บอกเรื่องที่พวกมันคล้ายงูทะเล ไม่บอกเรื่องรูปร่างของปากของพวกมัน เฉพาะรูปลักษณ์ภายนอก ต่อมบนร่างกายทั้งสองข้างของพวกมันสามารถสร้างน้ำเมือกที่มีส่วนผสมของไฟเบอร์จำนวนมาก เมือกพวกนี้เคลือบอยู่บนตัวพวกมันเหมือนกับทากาวน้ำเอาไว้ชั้นหนึ่ง…
ตอนที่จิตสำนึกแห่งโพไซดอนมาถึง บังเอิญมีปลาแมคเคอเรลยาวประมาณสี่สิบกว่าเซนติเมตรว่ายมา
เหล่าแฮ็กฟิชรู้สึกได้ถึงปลาแมคเคอเรล แฮ็กฟิชห้าหกตัวลอยมาในทันที รอจนปลาแมคเคอเรลเข้ามาใกล้ แฮ็กฟิชพวกนี้ก็เข้าไปใกล้ทันที เมือกที่อยู่รอบตัวก็เริ่มแสดงบทบาทเข้าไปติดที่เหงือกของเหยื่อ
ที่ดีขึ้นมาหน่อยก็คือ แฮ็กฟิชไม่ได้กินเครื่องในของปลาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เมือกพวกนี้จะเข้าไปติดอยู่ที่เหงือกปลาจากนั้นจะทำให้มันขาดอากาศตาย
ฉินสือโอวสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ หลังปลาแมคเคอเรลขยับเหงือกไม่ได้สองนาที ก็หงายท้องตายไปเลย
หลังปลาแมคเคอเรลตายไป แฮ็กฟิชที่ติดอยู่ตรงเหงือกปลาก็ม้วนตัวเอง จากนั้นก็ตั้งตัวตรงมุดสลัดออกจากเมือกเหล่านี้อย่างสบายๆ
มีเมือกเข้าไปในจมูกของแฮ็กฟิชตัวหนึ่ง หัวแฮ็กฟิชตัวนั้นยื่นไปข้างหน้าเหมือนกับเวลาที่คนจาม ทำให้เมือกนั้นถูกสลัดออกมาเหมือนน้ำมูก
ถัดมา แฮ็กฟิชพวกนี้มุดเข้าไปในตัวปลาแมคเคอเรลแล้วเริ่มต้นมื้ออาหาร
แฮ็กฟิชตัวอื่นก็ดมกลิ่นตามมา ร่วมแบ่งปันอาหารมื้อนี้ด้วยกัน แต่ว่า แฮ็กฟิชที่มากขึ้นมุดเข้าไปหลับในทรายอย่างช้าๆ ท่าทางไร้ความปรารถนาอะไรอีก
เป็นธรรมดา แฮ็กฟิชที่เหลือต่างก็กินอิ่มกันหมดแล้ว ถ้าพวกมันกินจนอิ่ม ก็จะไม่ขยับเป็นเวลานาน อัตราการเผาผลาญช้ามาก สามารถอยู่ได้เป็นเวลานับเดือนโดยไม่ต้องกินอาหาร
ฉินสือโอวอยากจะรวบรวมพวกแฮ็กฟิชมาเลี้ยง วันหลังจะได้เอามาขายได้ ราคาของแฮ็กฟิชแพงมาก เนื้อเนียนละเอียด และยังมีกรดอะมิโน วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ สูง เหมาะสำหรับผู้สูงอายุและเด็กรับประทาน
เอาอย่างนี้ หาน่านน้ำที่เหมาะสมที่หนึ่ง ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนครอบคลุมแฮ็กฟิชที่อยู่ในบริเวณน่านน้ำนี้แล้วพามาด้วยทั้งหมด สถานที่ที่เลี้ยงกุ้งเครฟิชเมื่อก่อนก็อยู่ในฟาร์มปลาของมิสเตอร์รอทด้วยพอดี
แฮ็กฟิชขอเพียงกินอิ่มก็ไม่ค่อยขยับตัว เพราะอย่างนั้นขอเพียงฉินสือโอวเอาปลาตายมาเรื่อยๆ ก็จะจัดการปลาพวกนี้ได้ ทั้งยังสามารถเลี้ยงแฮ็กฟิชได้อีก
หาแฮ็กฟิชจนหมดก็ถึงปลาแลมป์เพรย์ วิธีการหาอาหารของทั้งสองไม่เหมือนกัน แฮ็กฟิชมุดเข้าไปในท้องของปลา แต่ว่าปลาแลมป์เพรย์จะอาศัยเกาะอยู่บนตัวปลา
ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวเคยสังเกตมาก่อน มีปลาบางตัวตายเพราะเลือดและเนื้อถูกดูดจนหมด ไม่ได้ยุ่งกับเครื่องใน เห็นชัดว่าเป็นผลงานของปลาแลมป์เพรย์
ในอเมริกาเหนือมีปลาแลมป์เพรย์สองชนิด ชนิดหนึ่งเรียกว่า American brook lamprey เรียกอีกอย่างว่าปลาแลมป์เพรย์อเมริกัน อีกชนิดหนึ่งเรียกว่า Reissner lamprey หรือก็คือปลาแลมป์เพรย์แอตแลนติก
ปลาแลมป์เพรย์อเมริกัน อาศัยอยู่ในแม่น้ำน้ำจืด พวกมันไม่ใช่ปรสิต ปลาแลมป์เพรย์แอตแลนติกถึงเป็นผีดูดเลือดที่แท้จริง
ฉินสือโอวสแกนหาในฟาร์มปลาคร่าวๆ เป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน แต่ก็ไม่พบอะไร เขาจึงเรียกบอลหิมะและไอซ์สเกตมอบภารกิจให้พวกมัน ไปตามหาไอ้พวกปลาแลมป์เพรย์นั่นมา
ที่ตามหาแฮ็กฟิชง่าย เพราะแค่ตามหาปลายตายก็พอแล้ว ที่ไหนมีปลาตายเยอะ นั่นจะต้องเป็นผลงานของแฮ็กฟิชอย่างแน่นอน
ปลาแลมป์เพรย์อาศัยเกาะบนตัวปลา ใช้เวลานานกว่าปลาจะตาย ดังนั้นเวลาหาเลยค่อนข้างช้า
ฉินสือโอวยังอยากจะสั่งการให้กับกลุ่มงูเหลือมทะเลและกลุ่มปลาอื่นๆ แต่ว่าไม่ได้ผลอะไร ปลาและงูทะเลพวกนี้ไม่ได้ฉลาดเหมือนไอซ์สเกตและบอลหิมะ ไม่สามารถเข้าใจคำสั่งที่สั่งจากจิตสำนึกแห่งโพไซดอน
จึงสั่งการให้กับไอซ์สเกตกับบอลหิมะเท่านั้น ฉินสือโอวเองก็กลุ้มใจ ตอนที่เขากำลังจะไปตามหาปลาแลมป์เพรย์เอง ก็ได้รับคำสั่งจากจิตสำนึกแห่งโพไซดอน น้องเล็กสุดของเจ็ดพี่น้องฉลามกบร้องไห้โหมาหา พี่น้องอีกหกคนอยู่ข้างๆ ส่ายหัวส่ายหางไม่รู้ว่าร้อนใจหรือว่ามีความสุขบนความทุกข์คนอื่นกันแน่
ฉินสือโอวมองดูแวบหนึ่ง บัดซบ น้องเล็กนี่แกเป็นอะไรไป ทำไมมีปลาแลมป์เพรย์สองตัวเกาะอยู่บนตัวล่ะ?
ได้มาโดยไม่ต้องเสียแรงจริงๆ
ฉินสือโอวแกะปลาแลมป์เพรย์ออก น้องเล็กฉลามกบก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที มันว่ายวนอยู่ในจิตสำนึกแห่งโพไซดอนหลายรอบ จากนั้นก็กัดฟันด้วยความแค้นแล้วพุ่งไปทางทะเลลึก
พี่น้องอีกหกตัวส่งเสียงดังตามอยู่ด้านหลัง คล้ายกับว่าเป็นกำลังใจให้กับน้องชาย แต่ว่าดูยังไงก็กระบิดกระบวน ตัวหนึ่งอยู่หลังอีกตัวหนึ่ง เหมือนว่าจะกลัวมาก
ฉลามกบน้องเล็กพุ่งเข้าไปกระทั่งถึงใต้ทะเลลึกราวสี่ร้อยกว่าเมตร ที่นี่มีปลาค่อนข้างน้อย ปลาที่มาถึงที่นี่ได้ส่วนใหญ่เป็นปลาใหญ่ ในสถานที่นี้ มีปลาแลมป์เพรย์ฝูงหนึ่งว่ายอยู่ช้าๆ
สัมผัสได้ถึงร่องรอยฉลามกบเจ็ดพี่น้อง ปลาแลมป์เพรย์พวกนี้ก็เงยหน้าขึ้นมาทันที พวกมันกำลังต้องการหาเหยื่อเพื่อเกาะอาศัย
เห็นถึงปลาแลมป์เพรย์พวกนี้พุ่งมาราวกับห่าธนู พี่ใหญ่ที่ว่ายอยู่ด้านหลังสุดกลับหลังวิ่งหนีก่อนทันที
แต่ว่ายไปได้ไม่ไกล ก็พบว่าน้องเล็กสุดก็พุ่งตัวมาอยู่หน้าตัวเอง พี่ใหญ่โมโหทันที ความเชื่อใจระหว่างปลาล่ะ? ไหนบอกไว้ว่าไม่หนีก่อนไง แล้วนี่นายหนีมาอยู่หน้าทั้งที่ไม่ได้หนีก่อน หรือว่านายไปฝึกดำดินรุกคืบมา?
ปลาแลมป์เพรย์พุ่งเข้ามา เป็นการว่ายเข้ากับดักพอดี ฉินสือโอวควบคุมปลาแลมป์เพรย์พวกนี้ส่งไปพร้อมกัน
ไม่เหมือนกับแฮ็กฟิชที่ขี้เกียจ ปลาแลมป์เพรย์มีชีวิตชีวากว่ามาก ฉินสือโอวปวดหัวเล็กน้อย เจ้าพวกนี้ตาบอดแต่ทำไมถึงได้วิ่งเก่งขนาดนี้กัน?
แต่พอลองคิดอีกทีก็เป็นเรื่องธรรมดา ปลาแลมป์เพรย์ไม่เหมือนกับแฮ็กฟิชญาติห่างๆ ของมัน มันเป็นปลาที่อพยพย้ายถิ่น อาศัยอยู่ในทะเล พอตัวเต็มวัยก็จะว่ายไปวางไข่ที่แม่น้ำ เป็นผู้เชี่ยวชาญปาคัวร์ที่ไปมาระหว่างทะเลแม่น้ำทุกปี นี่สามารถเปรียบเทียบกันได้เหรอ?
ที่จริงแล้วปลาแลมป์เพรย์และแฮ็กฟิชไม่ลงรอยกัน เหยื่อของพวกมันไม่เหมือนกัน นี่ได้กำหนดความขัดแย้งของพวกมัน
ลักษณะภายนอกของแฮ็กฟิชน่ากลัวเกินไป อย่าคิดว่าปลาทะเลโง่ พวกมันก็ถูกลักษณะของแฮ็กฟิชที่ไม่มีตาไม่มีจมูกทำให้กลัวได้ วิ่งหนีตั้งแต่ไกลละ
แต่ว่าแฮ็กฟิชไม่ได้ใส่ใจ พวกมันสามารถรับรู้ได้ถึงปลาที่ป่วยและตาย ปลาเหล่านี้หนีไม่พ้นหรอก แต่ปลาแลมป์เพรย์ต้องการ พวกมันต้องการการหลอกลวง เรื่องนี้ก็จะต้องพูดถึงลักษณะและนิสัยในการหาอาหารของพวกมันแล้ว
ปลาแลมป์เพรย์ไม่เหมือนกัน ภายนอกของพวกมันเหมือนปลาไหล ร่างกายเรียวยาว ไม่มีเกล็ด แต่ว่าปากของพวกมันน่ากลัวมาก ไม่มีกราม เป็นเพียงปากกลมๆ ข้างในเต็มไปด้วยฟันที่แหลมคม
ขอเพียงปลาแลมป์เพรย์ไม่อ้าปาก พวกมันก็เป็นสาวน้อยหนุ่มน้อยดีๆ พวกปลาไม่ได้กลัวพวกมัน จะว่ายผ่านตัวพวกมันไป เวลานี้ปลาแลมป์เพรย์ก็จะใช้โอกาสนี้เกาะขึ้นไปก็พอ
ดังนั้น ปกติสถานที่ที่มีแฮ็กฟิชจะไม่มีปลาแลมป์เพรย์ สถานที่ที่มีปลาแลมป์เพรย์ก็ไม่มีแฮ็กฟิชเช่นกัน ปลาแลมป์เพรย์เกาะบนปลาตัวหนึ่ง ยังไม่ทันได้ดื่มเลือดเลย แฮ็กฟิชก็พุ่งเข้ามาใช้เมือกติดอยู่ตรงเหงือกปลาแล้ว…
ฉินสือโอวนำทั้งสองฝ่ายมาอยู่ด้วยกัน คิดจะสร้างความขัดแย้งหนึ่งขึ้น!
…………………………………………………………………
บทที่ 359 อินทรีทองบุกโจมตี
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฉินสือโอวมองดูการเผชิญหน้าอย่างโจ่งแจ้งของปลาไหลตาบอดกับปลาแลมป์เพรย์แล้วก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา สถานการณ์นี้ทำให้เขานึกถึงห่านขาวฝูงนั้นที่ฟาร์มปลา ตอนนั้นห่านไท่หูกับห่านหัวสิงโตก็ตั้งท่าแบบนี้ ต่างฝ่ายต่างก็ตั้งท่าพร้อมมีเรื่องได้ทุกเมื่อแบบนี้ไม่มีผิด
แต่ที่ดีกว่าห่านขาวนิดหน่อยก็คือทั้งสองฝ่ายไม่เปิดศึกกัน ปลาไหลตาบอดไม่สามารถเจาะเข้าไปในร่างของปลาไหลแลมป์เพรย์ได้ ปลาไหลแลมป์เพรย์ก็ไม่สามารถอ้าปากกัดปลาไหลตาบอดเพื่อดูดเลือดได้เช่นกัน ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงได้แต่ตั้งท่าต่อสู้กัน และหากสามารถพูดได้ มันคงจะเป็นบทสนทนาต่อไปนี้
“แกมองอะไร?”
“มองแกน่ะสิ จะทำไม?”
“ลองมองอีกครั้งสิ!!”
“ลองก็ลองสิ!!”
“ไอหยา แกมองอีกครั้งสิ ไอ้ห่า แกมองฉันอีกครั้งสิ!!!”
“ไอหยา ฉันลองแล้วไง ก็จะมอง แกมีปัญหาอะไรเหรอ?”
น่าเสียดายที่ปลาไหลตาบอดและปลาแลมป์เพลย์ไม่สามารถพูดได้ และที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือเจ้าสองตัวนี้ไม่มีแม้แต่สบตากันเลยด้วยซ้ำ ฝ่ายหนึ่งมีดวงตาที่ถูกปกคลุมไปด้วยเปลือกตา ส่วนดวงตาของอีกฝ่ายก็เหมือนมีอะไรวางประดับเอาไว้เท่านั้น…
สุดท้ายฉินสือโอวก็ขี้เกียจยุ่งแล้ว เขาโยนเจ้าพวกนั้นลงไปที่นี่แล้วป้อนพลังงานโพไซดอนบางส่วนเข้าไปเพื่อควบคุมพวกมันเอาไว้ก่อนจะกลับไปนอน
หลังจากตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ชาร์ค ซีมอนสเตอร์ เบิร์ด และนีลเซ็นก็เตรียมพร้อมที่จะออกไปตกปลาแลมป์เพรย์และปลาไหลตาบอด อีวิลสันเองก็ดีใจตามมาด้านหลังด้วยความดีใจ และเมื่อมองเห็นฉินสือโอวเขาก็โบกมือทักทาย “บอส ไปตกปลาแสนอร่อยกับอีวิลสันกันเถอะครับ”
ฉินสือโอวโบกมือย่างไร้เรี่ยวแรง พวกนายไปลำบากกันเองเถอะ จะไปตกอะไรได้
วิธีการตกปลาไหลตาบอดและปลาแลมป์เพรย์แตกต่างกัน การตกปลาไหลตาบอดคือการแขวนปลาตัวใหญ่เอาไว้บนตะขอ และระหว่างที่ลากมันไปในน้ำก็ต้องยกตะขอขึ้นเพื่อดูว่ามีปลาไหลตาบอดผู้โชคร้ายเจาะไปในนั้นหรือไม่อยู่ตลอด
ส่วนการตกปลาแลมป์เพรย์คือต้องใช้ขวดที่ปิดผนึก ภานในขวดบรรจุเลือดไก่บ้างเลือดเป็ดบ้าง จากนั้นก็ปิดผนึกปากขวดด้วยฟิล์มพลาสติกที่มีรู เมื่อปลาแลมป์เพรย์ได้กลิ่นคาวเลือดก็จะเจาะเข้าไป แต่เนื่องจากมีฟิล์มพลาสติกปากขวดเอาไว้ มันจึงเข้าง่ายออกยาก
ฉินสือโอวพาหู่จือและเป้าจือไปเดินเล่นที่ฟาร์มปลา ตอนนี้ฟาร์มปลามีพื้นที่กว้างขึ้นจนเดินได้ไม่ทั่ว แต่โชคดีที่มีรถเอทีวี ฉินสือโอวกระโดดขึ้นไปก่อนจะเร่งคันบิดโดยมีหู่จือและเป้าจือวิ่งตามไปอย่างมีความสุข
ข้อดีของรถเอทีวีก็คือทำให้ฝูงห่านขาวตกใจกลัว หัวรถอันใหญ่โตและเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มพุ่งทะลุผ่านฝูงห่าน ไม่ว่าจะเป็นห่านไท่หูหรือห่านหัวสิงโต พวกมันล้วนตกใจร้องก๊าบๆ ทะยานบินขึ้นสู่เบื้องบนโดยไม่กล้าที่จะต่อต้าน
หลังจากไล่ห่านสีขาวตัวใหญ่มาพักหนึ่ง ฉินสือโอวก็รู้สึกเบื่อจึงกลับมาหยอกล้อฉงต้าและบุชเล่น
นิวฟันด์แลนด์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงไม่มีอะไรน่าสนใจ การรับลมทะเลที่ฉินสือโอวชื่นชอบที่สุดก็ไม่สามารถทำได้เพราะมันหนาวเกินไป
อย่างไรก็ตาม ท้องฟ้าในฤดูใบไม้ร่วงก็แจ่มใสและอากาศยังเย็นสบาย ดังนั้นเมื่อแหงนมองท้องฟ้าในฤดูนี้ ท้องฟ้าสีครามจึงเหมือนถูกซักล้างด้วยน้ำยาทำความสะอาด มันสะอาดจนทำให้ในใจรู้สึกหวานละมุน และสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจนไม่ต่างจากนกอินทรีที่บินมาไกลๆ ตัวนั้น…
บ้าจัง ทำไมถึงมีนกอินทรีบินผ่านมาได้ ฉินสือโอวรู้สึกงุนงงเล็กน้อย เขามองไปยังพวกห่านขาวที่กระจัดกระจายอยู่ในฟาร์มปลา แล้วทันใดนั้นก็เขารู้สึกว่าสิ่งไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น
แล้วก็เป็นจริงดังคาด นกอินทรีตัวนั้นบินโฉบไปยังห่านตัวเล็กๆ ในฝูงจนได้ยินเสียงแหลมของนกอินทรี “ชิ้ว…”
มันเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ เมื่อฝูงห่านขาวได้ยินเสียงร้องของศัตรูมันก็พากันแตกตื่น
เสียงหายนะที่น่ากลัวยังคงดำเนินต่อไป ห่านทุกตัวกางอุ้งเท้าและเริ่มวิ่ง แต่โชคดีที่ร่างกายของพวกมันเบามีน้ำหนักเบา ไม่อย่างนั้นแค่เหยียบย่ำลงไปก็คงเกิดปัญหาจนทำให้ฉินสือโอวนึกขยาดแล้ว
ฉินสือโอวมองไปรอบๆ อินทรีทองตัวหนึ่งบินลงมา มันมีความยาวเกือบหนึ่งเมตร ความกว้างเมื่อกางปีกประมาณสองเมตร ลักษณะภายนอกองอาจและทรงพลัง!
หัวของอินทรีทองมีสีน้ำตาลเข้ม ขนยาวตั้งแต่ด้านหลังหัวถึงลำคอไม่ต่างจากดาบใบหลิว ฐานขนนกมีสีน้ำตาลแดงเข้ม และปลายขนนกก็เป็นสีเหลืองทอง ลักษณะการบินบนท้องฟ้าเรียกได้ว่าแข็งแกร่งทรงพลังเป็นอย่างมาก!
เมื่อเห็นอินทรีทองตัวนี้จู่โจมลงมา บุชผู้น่ารักที่กำลังนอนอยู่ในพุ่มไม้ก็เงยหน้าขึ้นอย่างดุร้าย ดวงตาขนาดเล็กของมันจ้องมองที่สัตว์ดุร้ายตัวนั้นอย่างไม่ลดละก่อนจะกางปีกออกอย่างไม่รู้ตัว
น่าเสียดายที่มันยังบินไม่ได้ ทำได้เพียงแค่มองดูและจินตนาการอยู่บนพื้นเท่านั้น
อินทรีทองดูองอาจมาก มันเหมือนกษัตริย์ที่จ้องมองดินแดนของมันโดยมองข้ามการดำรงอยู่ของคนรวยอย่างฉินสือโอวคนนี้ไปเสียสนิท กระทั่งเจ้าหมอนี่บินข้ามหัวของฉินสือโอวไปครั้งหนึ่งจึงให้ความรู้สึกเหมือนจักรพรรดิฉินสือหวงผู้ทรงอำนาจที่ออกเดินทางไปทั่วแผ่นดิน
ภายใต้ท้องฟ้าแห่งนี้เป็นแผ่นดินของข้า! มนุษย์ที่อยู่บนพื้นดินก็เป็นขุนนางและประชากรของข้า!
ห่านตัวใหญ่อยู่ในฟาร์มปลากลายเป็นชิ้นเนื้อใต้กรงเล็บของอินทรีทอง มันบินไปรอบๆ ฟาร์มปลาสองรอบ ดวงตาที่แหลมคมเห็นห่านอ้วนตัวน้อยๆ ขนนุ่ม น่าอร่อย มันจึงโฉบลงมาก่อนจะกางกรงเล็บออกแล้วพุ่งทะยานขึ้นไปในอากาศ
เร็วเหมือนลม แข็งแกร่งทรงพลังเหมือนเสือ!
หู่จือและเป้าจือโมโหขึ้นมาทันที นี่ถือเป็นการตบหน้าฉากใหญ่ และเพราะต้องป้องกันไม่ให้พวกมันฉกห่านไปจากฟาร์มปลา หู่จือและเป้าจือจึงทนดูไม่ได้ ว่าแล้วออกแรงเห่าออกไป “โฮ่งๆ ๆ โฮ่งๆ ๆ !”
ฉินสือโอวมองไปแล้วส่ายหัว นี่เป็นจุดอ่อนตามธรรมชาติที่ทหารราบมีต่อกองทัพอากาศ เว้นแต่สุนัขของเขาจะสามารถต่อสู้ในอากาศได้ ไม่อย่างนั้นก็ทำได้เพียงยอมให้อินทรีทองรังแกเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่สุนัขจะทำสงครามบนอากาศ ตามที่ฉินสือโอวทราบมา ความสามารถของทหารราบในการใช้เครื่องบินนั้นถูกนายพลจินอีพั้งประธานาธิบดีรูปหล่อควบคุม ว่ากันว่าครั้งหนึ่งเขาเคยใช้ก้อนหินปาเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐอเมริกาจนตกมาแล้ว ช่างน่าทึ่งจริงๆ
เห็นได้ชัดว่าหู่จือและเป้าจือนั้นไม่ได้เก่งกาจเหมือนประธานาธิบดี พวกมันทำได้เพียงแผดเสียงคำรามบนพื้นด้วยความโมโหเท่านั้น
และเมื่อผ่านไปสักพักแม้แต่เสียงคำรามโกรธเกรี้ยวก็หายไป
อินทรีทองพบว่ามีไอ้สองตัวที่กล้าต้านทานอำนาจมันอีกแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นอินทรีทองจึงส่งเสียงร้องออกมาอีกครั้งอย่างอำมหิตราวกับจักรพรรดิที่ถูกทำให้โมโหโกรธา มันกางปีกทั้งสองข้างออกแล้วพุ่งทะยานไปยังหู่จือและเป้าจือ
ฉินสือโอวตกใจขึ้นมาทันที อย่าล้อเล่นน่า อินทรีทองสามารถจับเหยื่อหนัก 10 กิโลกรัมได้ และตอนนี้หู่จือและเป้าจือยังไม่มีน้ำหนักตัวถึงขนาดนั้น ถ้ามันถูกจับได้ก็รอเป็นหม้อไฟสุนัขได้เลย
ในช่วงเวลาที่สำคัญฉงต้าก็ลุกขึ้นยืนอย่างเข้มแข็ง แขนขาของมันกุมศีรษะไว้สูงพร้อมแผดเสียงร้องคำรามออกมา “โฮก โฮก!”
เมื่อเห็นหมีสีน้ำตาลซึ่งเป็นราชาแห่งป่า อินทรีทองก็หยุดลงอย่างฉับพลัน มันกระพือปีกบินขึ้นไปใหม่อีกครั้งแล้วพาลูกห่านน้อยตัวอ้วนเนื้อนุ่มตัวนั้นบินจากไป…
บุชหมอบอยู่ระหว่างขาของฉงต้า ดวงตาเล็กๆ ของมันกะพริบถี่ๆ แล้วกางกรงเล็บพร้อมยืดปีกออกด้วยท่าทางน่าเอ็นดู
ฉินสือโอวทนดูไม่ไหว แกเป็นนกอินทรีหัวขาวที่น่าภาคภูมิใจนะ ตามหลักแล้วแกสามารถต่อสู้กับอินทรีทองได้และไม่เป็นรองด้วยซ้ำไป แต่ดูแกสิ หัวใจของฉินสือโอวแตกสลาย!
ทันใดนั้น ฉินสือโอวคิดว่าเป้าหมายของอินทรีทองเมื่อสักครู่คงไม่ใช่หู่จือและเป้าจือ แต่มันเห็นนกอินทรีหัวขาวและอยากสังหารบุชต่างหาก!
อินทรีทองและนกอินทรีหัวขาวถูกจัดให้เป็นเทพเจ้าแห่งสงครามบนท้องฟ้าอเมริกาเหนือ สำหรับลูกของอีกฝ่าย ฆ่าให้ตายยังไงก็ไม่ทำให้พิการ หากพิการก็ไม่ปล่อยให้รอด
โชคดีที่สัญชาตญาณการต่อสู้ของฉงต้านั้นเฉียบคมและมาเพื่อปกป้องบุชไว้ได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นเกรงว่าครั้งนี้อาจเป็นบุชที่ถูกอินทรีทองโฉบไป
ฉินสือโอวมีลางสังหรณ์ว่านกอินทรีทองตัวนี้จะไม่ปล่อยบุชไปง่ายๆ อย่างนี้แน่ มันจะกลับมาอีกอย่างแน่นอน แม้ว่าจะไม่ใช่เพื่อการฆ่าบุช แต่ฟาร์มปลาของเขายังมีห่านจำนวนมากที่ดึงดูดมัน
ห่านขาวไม่อาจเป็นใหญ่ในฟาร์มปลาอีกต่อไป พวกมันรังแกคู่ต่อสู้บนพื้นดินได้ แต่ตอนนี้มันพบกับศัตรูตามธรรมชาติเข้าเลยสงบเสงี่ยมลง แต่ละตัวต่างคอตกอยู่ข้างๆ เพื่อนของมันและอยากเอาหัวมุดเข้าไปในดอกเบญจมาศเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ฉินสือโอวรู้สึกว่าเขาต้องหาวิธีรับมือกับอินทรีทอง ไม่อย่างนั้นอีกหน่อยอินทรีทองต้องกลายเป็นท่านอ๋องข้างบ้านของเขาแน่ ห่านขาวที่เขาเลี้ยงไว้ก็อาจจะกลายเป็นอาหารของอินทรีทองไปด้วย
………………………………………………..
บทที่ 360 บุชหัดบิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในตอนกลางคืนฉินสือโอวพูดคุยเกี่ยวกับการโจมตีของอินทรีทองและถามว่า “มีวิธีจัดการกับมันไหม?”
ชาร์คและเพื่อนร่วมงานมองหน้ากันก่อนจะก้มหน้าลงเหมือนห่านขาวที่แตกต่างกันแต่ก็ยังเป็นห่านเหมือนกัน
เบิร์ดขบฟันแล้วพูดออกมา “เอาปืนมาให้ฉันสักกระบอก ฉันจะไปยิงมันให้ตายเอง!”
“ไม่ได้นะ!” ชาร์คและซีมอนสเตอร์รีบส่ายหัวด้วยความตกใจ “อินทรีทองและนกอินทรีหัวขาวเป็นเทพเจ้าในดินแดนแห่งนี้ เราไม่ควรไปล่าพวกมันด้วยปืน!”
นีลพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ต่อให้ได้รับอนุญาตให้ล่าพวกมันได้ฉันก็ไม่มีปัญญาอยู่ดี อินทรีทองมีสายตาที่ดีมาก ห่างออกไปสี่กิโลเมตรก็ยังสามารถมองเห็นตัวกราวด์ฮอกได้ แถมพวกมันยังฉลาดมากด้วย ถ้าเห็นคนถือปืนเข้าไป มันจะไม่บินลงมาแน่นอน และถึงจะใช้การซุ่มโจมตีก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะจับอินทรีทองในระยะพิสัยการยิง”
ในฐานะที่เป็นพลซุ่มยิงแห่งกองกำลังตอบโต้พิเศษของแคนาดา เขาถือเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้
ฉินสือโอวถามด้วยความสงสัย “อย่าบอกฉันนะว่า นายเป็นถึงหน่วยคอมมานโดพิเศษ แต่นกตัวเดียวก็ยังยิงไม่ตาย”
นีลเซ็นยิ้มอย่างขมขื่นและพูดขึ้น “อินทรีทองจู่โจมเหยื่อและตอบโต้ได้ในพริบตาเดียว ระดับความเร็วกว่า 188 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป้าหมายที่เคลื่อนที่เร็วอย่างนี้ยังไงก็ยิงไม่โดนหรอก!”
ฉินสือโอวตบโต๊ะอย่าโมโห “นายเป็นหน่วยรบพิเศษไม่ใช่เหรอ? ขับเครื่องบินไม่เป็น ยิงนกไม่ได้ นี่นายยังเป็นหน่วยรบพิเศษอยู่อีกหรือเปล่า? ราชาหน่วยรบพิเศษไม่ว่าจะขึ้นเขาล่าเสือหรือลงทะเลล่าฉลามก็ไม่มีปัญหาไม่ใช่หรือไง? ในนิยายเขียนไว้แบบนี้นี่”
นีลเซ็นหัวเราะไม่ออก
“การยิงอินทรีทองไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่มันมีความเสี่ยง” เบิร์ดพูดอย่างจริงจัง
บอสใหญ่มองเขาอย่างให้กำลังใจ นั่นหมายถึงให้เขาพูดต่อไป
เบิร์ดกล่าว “เราต้องใช้เหยื่อล่อ แล้วก็ซุ่มโจมตีอยู่ใกล้ๆ เหยื่อ แต่เหยื่อตัวนี้ต้องดึงดูดนกอินทรีทองได้เป็นอย่างดี อย่างเช่นบุชเป็นต้น”
พูดไปเขาก็ใช้สายตามืดมนจ้องมองบุช บุชตัวสั่นเทิ้มตามสัญชาตญาณก่อนที่มันจะเก็บปีกแล้ววิ่งตุปัดตุเป๋ไปนอนข้างหลังฉงต้าอย่างรวดเร็วหลัง หลังจากซ่อนตัวแล้วมันก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยจึงคิดจะมุดเข้าไปอยู่ใต้ปีกของนิมิตส์
ช่วยไม่ได้ บุชกินดีอยู่ดีและเติบโตอย่างรวดเร็ว ตอนนี้มันสูงได้ครึ่งเมตรแล้ว มันเป็นอินทรีทะเล ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมุดเข้าไปใต้ปีกของนิมิตส์เพื่อหาที่หลบภัย
ฉินสือโอวส่ายหัวอย่างรวดเร็ว เรื่องนี้จะเสี่ยงไม่ได้ ความเร็วปานสายฟ้าแลบของอินทรีทองเขาก็เห็นด้วยตาตัวเองมาแล้ว ห่านขาวถูกโฉบไปในพริบตาเดียว ดังนั้นหากทำพลาดไป บุชจะต้องถูกโฉบไปแน่นอน
แม้ว่าจะยิงโดน แต่ก็ยังอันตรายอยู่ดี เพราะเมื่ออินทรีทองใกล้ตายมันจะสู้สุดตัว แล้วถ้ามันใช้กรงเล็บจิกบุชให้ตายจะทำอย่างไร?
อย่าประมาทอินทรีทอง มันมีฝีมือแน่นอน
คุยไปคุยมาก็ไม่มีวิธีที่ดี ซีมอนสเตอร์จึงผายมือแล้วพูดออกมา “นอกจากจะให้บุชเติบโตโดยเร็ว ความทรงพลังที่แฝงอยู่ของอินทรีหัวขาวจะสามารถโจมตีอินทรีทองให้พ่ายแพ้ได้ มีเพียงมันเท่านั้นที่จะสามารถจัดการกับอินทรีทองได้ พวกมันเป็นคู่อริกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว!”
ฉินสือโอวมองไปที่บุช อีกฝ่ายก้มหัวทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ว่าพวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่ กรงเล็บใหญ่ขูดขีดไปมาแสร้งทำเป็นเล่นอย่างมีความสุข
หลังจากจ้องมองบุชสักพัก ฉินสือโอวพบว่า เฮ้ย เจ้าหมอนี่มันโตแล้วนี่นา มันสูงกว่าครึ่งเมตรแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะบินได้แล้วสินะ?
ฉินสือโอวกระดิกนิ้วเป็นสัญญาณให้บุชยับมา บุชเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะก้มหัวใช้จะงอยปากที่เหมือนเบ็ดตกปลามุดไปใต้ปีกเหมือนไม่ได้ยินเสียงเรียกของฉินสือโอว
เมื่อเห็นอย่างนี้ฉินสือโอวก็หัวเราะ เขาผิวปากเรียกฉงต้าแล้วชี้ไปทางบุชก่อนจะชี้มาด้านหน้าของเขา ฉงต้าดึงมันขึ้นมาดัง ‘ผัวะ’ แล้วใช้อุ้งเท้าตบมันจนบุชที่ถูกตบลอยมาทันที
“กว๊าก กว๊าก!” บุชร้องด้วยความโกรธ มันถูกตบล้มลงไปบนพื้น แต่ตอนนี้มันอ้วนเกินไป มันจึงกลิ้งไปสองตลบเหมือนขวด และสุดท้ายมันก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาอย่างมึนงงก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของฉินสือโอว
จิตใต้สำนึกสั่งให้บุชวิ่ง แต่ฉินสือโอวคว้ามันขึ้นมาก่อนที่มันจะสยายปีกออกมาดังฟุบ ปีกของมันมีความยาวอย่างน้อย 1.2 เมตรเลยทีเดียว!
เมื่อเทียบความยาวกับอายุของบุช ปีกคู่นี้ก็เรียกได้ว่ามีพรสวรรค์ไม่น้อยเลยทีเดียว ปีกย่อมเกี่ยวพันถึงความเร็วในการบินและพลังความแข็งแกร่งของนกตัวหนึ่ง และเมื่อเปรียบเทียบความยาวลำตัวกับปีกของบุชก็จะเห็นได้ชัดว่ามันมีศักยภาพในการครอบครองท้องฟ้า!
หลังจากได้เห็นบุชสยายปีก เบิร์ดและคนอื่นๆ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “บอส ถึงเวลาปล่อยมันบินแล้ว!”
นิมิตส์หมอบอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆ มันใช้ปากหวีขนเป็นครั้งคราวเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมันจึงไม่ต้องเป็นกังวลใดๆ
ในตอนกลางคืน ฉินสือโอวไม่มีอารมณ์ไปเดินเล่นที่ชายทะเล เรื่องของอินทรีทองเมื่อตอนกลางวันรบกวนจิตใจเขามากเกินไป เขาต้องหาวิธีจัดการมันให้ได้!
เมื่อถึงตอนกลางวันฉินสือโอวก็บอกว่าการบินของบุชเป็นเรื่องใหญ่มาก
วินนี่ลางานเป็นพิเศษ เธอเป็นแม่ของบุชจึงต้องการดูภาพลูกบินขึ้นสู่ท้องฟ้า เชอร์ลี่ย์และลูกทั้งสี่คนก็อิดออดไม่อยากไปโรงเรียน ฉินสือโอวจึงช่วยลาให้พวกเขา เออร์บักเองก็สนอกสนใจอย่างมาก เขามีชีวิตอยู่มาจนป่านนี้ก็ยังไม่เคยได้เห็นภาพการปล่อยนกอินทรีหัวขาวบินเลย
ครั้นแล้วทุกคนจึงมารุมจับตัวบุชไว้แล้วปล่อยให้มันบิน บุชกลอกลูกตาไปมา มันพยายามจะหนีอยู่หลายครั้ง แต่ก็ถูกหู่จือและเป้าจือไล่จับกลับมาได้ มันจึงได้แต่เดินไปด้านหน้าอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“จะเอามันไปบินที่ไหนดีล่ะ?” พาวลิสถามอย่างกระตือรือร้น
ฉินสือโอวชี้ไปที่จุดสูงสุดของเทือกเขาเคอร์บัลที่อยู่ไกลออกไปและพูดด้วยความภาคภูมิใจ “ตรงนั้น ไม่ได้แน่…”
เมื่อมองไปที่ยอดเขาที่อยู่ไกลออกไป บุชก็ตกใจจนแทบบ้า ยังดีที่ฉินสือโอวไม่โง่ถึงขนาดจะเอาไอ้ขี้ขลาดตาขาวตัวนี้ทิ้งลงมาจากยอดเขา เพราะมีความเป็นไปได้แปดถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่มันจะต้องตกลงไปตายแน่ๆ
การปล่อยนกอินทรีหัดบินต้องค่อยเป็นค่อยไป ฉินสือโอวเลือกรถคาดิลแลควันแล้วอุ้มมันไว้ก่อนจะปีนขึ้นไปบนตัวรถแล้วโยนมันออกไป
เขาอุ้มบุชยืนอยู่บนหลังคารถ ฉินสือโอวขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นมา “ฉันคิดว่ามันไม่ค่อยโอเคเท่าไร ให้เจ้าเด็กนี่ลดน้ำหนักก่อนแล้วค่อยปล่อยมันบินดีไหม? ฉันคิดว่ามันหนักไปหน่อย”
วินนี่ตรวจสอบข้อมูลด้วยโทรศัพท์มือถือของเธอแล้วพูดบ้าง “ไม่เป็นไรค่ะ นกอินทรีทะเลหัวขาวมีโครงกระดูกที่บางและกลวง และมีช่องว่างที่เต็มไปด้วยอากาศ ดังนั้นพวกมันเลยดูอ้วน แต่จริงๆ แล้วมันเบามาก น้ำหนักโครงกระดูกไม่ถึงครึ่งหนึ่งของขนด้วยซ้ำ”
“นอกจากนี้กระดูกของอินทรีส่วนใหญ่ยังรวมตัวกันหรือเชื่อมโยงกัน ซึ่งทำให้พวกมันแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นขณะที่พวกมันบิน มันจะยกประคองตัวได้เป็นอย่างดีด้วย” วินนี่ตรวจสอบข้อมูลอีกครั้งแล้วพูดออกมา
“ไม่มีปัญหา?” ฉินสือโอวยกบุชขึ้นแล้วถามทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย แต่เขาก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน “ไม่มีปัญหา บุชจะต้องบินได้แน่นอน!”
ขณะนี้บุชที่รู้สึกสับสนอยู่เมื่อครู่ดูเหมือนจะมีความกล้ามากขึ้น มันถูกฉินสือโอวยกขึ้นจนมันต้องหุบปีกและเบิกตากว้าง จากนั้นปากของมันก็งับเข้าหากันแน่น ดูเหมือนมันจะเตรียมพร้อมแล้ว
“ฉันจะนับหนึ่งสองสาม จากนั้นเราจะปล่อยให้บุชบินดีไหม?” เออร์บักพูด
“ดีครับ!” ทุกคนตื่นเต้นมาก เกือบทุกคนต่างก็ยกโทรศัพท์ออกมาเปิดกล้องถ่ายรูปเตรียมบันทึกวิดีโอฉากประวัติศาสตร์นี้เอาไว้
“หนึ่ง สอง สาม บิน!”
หลังจากฉินสือโอวรอให้เออร์บักตะโกนคำว่า ‘เริ่มบิน’ ปีกสองข้างก็กระพือออกก่อนที่เขาจะโยนบุชออกไป
บุชยังคงอยู่ในท่าเดิมเหมือนตอนที่หดตัวอยู่ในมือของฉินสือโอวเมื่อครู่นี้ มันไม่มีการตอบสนองใดๆ เหมือนมะกอกใหญ่ไม่มีผิด หลังจากถูกโยนออกไป มันก็บินกลางอากาศได้เป็นช่วงสั้นๆ ก่อนจะตกลงมาไม่เป็นท่าแล้วหัวคะมำลงบนสนามหญ้า “ตุบ!”
ท่าทางแบบนั้นเหมือนบุชกำลังกระโดดลงน้ำ หัวของมันปักลงไปบนพื้น จนกระทั่งตกถึงพื้นมันจึงกางปีกออกมาพร้อมร้องเสียงหลง “กว๊ากๆ! กว๊ากๆ! กว๊ากๆๆๆ!”
เกินคาด!
……………………………………………………………..
บทที่ 361 ครูฝึกทั้งสาม
โดย
Ink Stone_Fantasy
บุชถูกกระแทกอย่างแรง นกไม่ทนต่อการร่วงหล่น เหมือนที่วินนี่พูด กระดูกของพวกมันกลวงก็เพื่อลดน้ำหนักและทำให้พวกมันสามารถบินบนอากาศได้ดีขึ้น แต่นั่นก็นำไปสู่การขาดความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกระดูก
บุชกระพือปีกกรีดร้องและตื่นตระหนก วินนี่จึงรีบเข้าไปกอดมันไว้ในอ้อมอกแล้วเรียกมันว่าลูกสุดที่รัก
อย่างไรก็ตามบุชยังจำได้ว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น ครั้งนี้มันจึงไม่ใช้ปีกผลักวินนี่ออกไป
ชาร์คและคนอื่นๆ ดูมึนงงจึงถามออกมา “ทำไมเจ้านี่ไม่รู้จักกางปีกแล้วบินขึ้นไปล่ะ?”
“ใช่สิ มันต้องเรียนรู้ที่จะกางปีกบินนะ…”
“มันคงบินเป็นครั้งแรกสินะ มันก็ไม่เคยเห็นนิมิตส์บินมาก่อน งั้นปล่อยให้มันเรียนรู้ไปเถอะ…”
ฉินสือโอวสนทนากับคนกลุ่มหนึ่งอยู่สักพักก็รู้สึกว่าทุกคนต่างก็มีเหตุผล เมื่อก่อนบุชไม่เคยสังเกตเห็นนิมิตส์บิน ดังนั้นจึงคาดว่ามันคงไม่รู้ด้วยซ้ำเวลาจะบินต้องกางปีกออก หรือมันจะไม่รู้ว่าอะไรเรียกว่าบิน
โชคดีที่ฉินสือโอวเพียงยืนอยู่ในรถ หากยื่นมันออกไปจากเฮลิคอปเตอร์ก็คงสนุกแล้วล่ะ และตอนนี้บุชก็น่าจะกลายเป็นก้อนแป้งเปียกไปแล้ว
ตอนที่มันอยู่ในมือของฉินสือโอวเมื่อครู่นี้มันไม่ขยับเขยื้อนใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าไม่ใช่เพราะมันไม่มั่นใจก็คงเพราะมันตกใจจนมึนงงไปหมด
พอวางบุชลงบนพื้นมันก็รีบพับปีกแล้วย่อตัวลงทันที กรงเล็บขนาดใหญ่ใช้แรงยึดพื้นไว้ขณะที่สายตาก็จับจ้องมองไปยังกลุ่มคนตรงหน้าแล้วอ้าปากร้องกู่กู่ คล้ายจะบอกว่าถ้าพวกคุณยังจะให้ผมบินอีกผมก็จะสู้ตายแล้วนะ
ฉินสือโอวผิวปากเรียกนิมิตส์มาหาเขาและให้มันกับบุชนั่งเรียงกัน จากนั้นก็ผิวปากอีกครั้งแล้วโบกมือขึ้นไปบนฟ้า
นิมิตส์วิ่งเหยาะๆ ออกไปสองก้าวราวกับจรวด มันสยายปีกออกเหมือนเครื่องบิน หลังจากนั้นขาทั้งสองข้างของมันก็กระโดดขึ้นไปแล้วออกแรงกระพือปีกอย่างแรงจนสามารถบินขึ้นไปได้อย่างง่ายดาย
การกระพือปีกครั้งแรกนั้นมีพลังมากที่สุด กระทั่งมันบินตรงขึ้นไปได้สูงสองสามเมตร กำลังในการกระพือปีกหลังจากนั้นก็ไม่ต้องใช้แรงมากอีกต่อไป แต่ความเร็วของมันกลับเพิ่มมากขึ้น มันเผชิญหน้ากับสายลมก่อนจะโผทะยานออกไป…
เมื่อได้เห็นนิมิตส์โบยบิน เออร์บักก็ลูบเคราใต้คางแล้วพูดขึ้นมา “นิมิตส์มีลักษณะดี มันมีพลังมากกว่าสัตว์ประเภทเดียวกัน โดยปกติแล้วนกฟรีเกตยากที่จะทะยานบินจากพื้นราบ ดังนั้นเผ่าพันธุ์ของพวกมันก็เลยชอบอาศัยอยู่บนต้นไม้ หน้าผาสูงชันหรืออาคารสูงระฟ้า และใช้ความสูงเพื่อร่อนทะยานบิน”
นิมิตส์บินบนท้องฟ้ารอบทุกคนสองรอบ จากนั้นมันก็พับปีกของมันเบาๆ แล้วบินลงมา
ฉินสือโอวตบก้นของบุช ขนนกอินทรีทะเลขึ้นครบแล้ว แต่ละเส้นก็แข็งมาก ต่อไปบริเวณศีรษะจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวและลำตัวจะมีสีดำเป็นหลัก เวลานั้นนั้นมันจะมีกรงเล็บและปากสีทอง และกลายเป็นนกอินทรีหัวขาวที่สง่างามในที่สุด
เป็นตายอย่างไรบุชก็ไม่บิน นั่นทำให้ฉินสือโอวร้อนใจมาก มันกระโดดขึ้นมาแล้วโยกสะโพกเผ่นแนบไปเหมือนติดปีกวิ่ง!
เห็นได้ชัดว่าบุชไม่เคยมองว่าตนเองเป็นเจ้าแห่งท้องฟ้า มันรู้สึกว่าการวิ่งบนพื้นดินนั้นสบายกว่าการบินบนท้องฟ้ามากนัก
หรือพูดอีกอย่างก็คือมันปลอดภัยกว่ากันเยอะ
น่าเสียดายที่บุชเป็นนกอินทรีทะเล ถึงมันวิ่งได้เร็วแค่ไหนแต่จะเทียบกับความเร็วของสุนัขได้อย่างไร?
ฉินสือโอวออกคำสั่ง หู่จือและเป้าจือก็รีบวิ่งไปเอาหัวดันแล้วใช้เท้าตะปบจับบุชกลับมาได้อีกครั้ง
นิมิตส์บินไปหาบุช มันไล่หู่จือและเป้าจือออกไปเหมือนมารดาที่กำลังปกป้องบุชเอาไว้ จากนั้นก็เดินรอบๆ บุชแล้วกางปีกออกวิ่งไปด้านหน้าก่อนจะบินขึ้นอีกครั้ง
หลังจากทำซ้ำสองสามครั้ง นิมิตส์ก็ใช้ปีกตบบุชเป็นสัญญาณให้มันออกบิน
บุชยืนขึ้นอย่างไม่เต็มใจ ขาที่ทรงพลังของมันขยับไปมาแต่มันกลับก้าวเท้ากลับวิ่งออกไปอย่างเชื่องช้าเหมือนหญิงสาวในห้องหอ
ฉินสือโอวคิดว่ามันเริ่มมีความกระตือรือร้นแล้วจึงอยากจับบุชไปบนรถเพื่อลองบินอีกครั้งอย่างมีความสุข
วินนี่รั้งเขาเอาไว้แล้วมองไปทางนิมิตส์อย่างเชื่อมั่นก่อนจะพูดขึ้น “ปล่อยให้เสี่ยวหนีจัดการ มันมีความเป็นแม่ และจะสอนบุชให้หัดบินได้”
นิมิตส์สอนบุชตั้งแต่การเริ่มต้นวิ่งและขยับปีกอย่างอดทน แต่บุชก็ไม่เอาไหน มันหนีบก้นและวิ่งก้าวสั้นๆ และยังกระพือปีกเป็นครั้งคราว เห็นแล้วฉินสือโอวก็รู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก
ในที่สุดนิมิตส์ก็โมโห กลยุทธ์พุทราและไม้กระบองจึงเริ่มต้นขึ้น หลังจากกินพุทราเสร็จ ก็ต้องใช้ไม้กระบองตี!
บุชแสร้งทำเป็นวิ่งเหยาะแหยะอยู่กับที่ นิมิติส์เลยพุ่งไปทางด้านหลังแล้วใช้ปีกตบจนบุชลงไปกองอยู่กับพื้น
นิมิตส์ส่งเสียงกู่กู่ออกมาด้วยความโกรธ ปากแหลมคมจิกไปที่บุชอย่างโหดเหี้ยมจนทำให้มันวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตเหมือนหนูตัวเล็กๆ
ในครั้งนี้บุชยอมทำตามแต่โดยดี นิมิตส์หยุดปาก มันยืนอยู่ข้างๆ อย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นนิมิตส์ก็เป็นผู้นำวิ่ง และมีบุชวิ่งตามอย่างรวดเร็ว และในที่สุดมันก็พัฒนาไปอีกขั้น
นกอินทรีหัวขาวเป็นหนึ่งในนกอินทรีที่ขาและเท้าแข็งแรงมากที่สุด พวกมันมีกรงเล็บใหญ่ที่น่ากลัวสองข้างจนแม้แต่กวางและแพะภูเขาก็ยังสามารถจับมาได้ นี่มันแข็งแกร่งจนหาตัวจับยากจริงๆ! แต่ขาและเท้าของนกฟรีเกตอ่อนแอมาก ทว่านิมิตส์ได้ถูกพลังโพไซดอนเปลี่ยนแปลง มันจึงสามารถเริ่มบินจากพื้นดินได้ นกประเภทเดียวกันกับมันไม่สามารถทำได้แบบนี้แน่นอน
หลังจากบุชก้าวย่างตามนิมิตส์ นิมิตส์ก็กระพือปีกสองข้าง บุชเองก็กระพือปีกด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะกระพือปีกมั่วๆ แต่อย่างไรมันก็ก้าวหน้าขึ้น
มันใช้แรงกระพือปีกทั้งสองข้างอย่างแรง นิมิตส์ก้าวกระโดดแล้วออกบิน ส่วนบุชก็กระพือปีกบินอย่างแรงก่อนจะกระโดดขึ้นสูงราวๆ ห้าเซนติเมตร จากนั้นก็ตกลงมาร้องเสียงหลงอย่างเงอะงะพลางเงยหน้ามองไปที่นิมิตส์ที่กำลังบินอยู่
นิมิตส์บินลงมาสอนบุชอีก แต่ก็ไร้ประโยชน์ บุชไม่สามารถกระโดดได้ในครั้งสุดท้ายและบินไม่ขึ้นอยู่ดี
ตอนนี้ถึงคราวของฉินสือโอวออกโรงแล้ว เขาอุ้มบุชขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่ได้ยืนบนรถ แต่เขายกมันขึ้นเหนือศีรษะแทน จากนั้นแขนทั้งสองข้างก็ออกแรงส่งโยนบุชให้บินออกไปอย่างระมัดระวัง
ที่นิมิตส์สอนนั้นได้ผล บุชเรียนรู้ที่จะกระพือปีก หลังจากถูกฉินสือโอวโยนขึ้นมันจึงเริ่มกระพือปีกอย่างเมามัน…
ฉินสือโอวและคนอื่นๆ ต่างก็มีความสุข และผลสุดท้ายบุชก็ยังคงกระพือปีกอย่างเอาเป็นเอาตายพร้อมร่วงลงไปบนพื้นเหมือนมะกอกลูกใหญ่…
“ตุบ!” มันตกลงบนพื้นหญ้าอีกครั้ง!
คราวนี้มันไม่เจ็บเพราะถึงแม้บุชจะกระพือปีกบินไม่ได้ แต่มันก็สามารถลอยในอากาศได้ จึงลดแรงกระแทกและตกลงมาจึงไม่เจ็บมาก
วินนี่กะพริบตา และนึกขึ้นได้ในที่สุด “บุชนั้นอ้วนเกินไป ความแข็งแรงของปีกก็เลยไม่เพียงพอที่จะหนุนการบินของมันได้”
ฉินสือโอวพูดอย่างอึดอัดใจ “ใช่ เมื่อตะกี้ผมก็พูดในรถแล้ว บุชอ้วนเกินไปนิดหน่อย จะให้มันลดน้ำหนักก่อนแล้วค่อยให้มันฝึกบินไหม คุณก็ยังบอกอยู่เลยว่าไม่จำเป็น”
วินนี่กอดบุชไว้ เธอจัดขนที่ยุ่งเหยิงของมันให้เป็นระเบียบพลางขอโทษมัน “เอาล่ะ แม่ผิดไปแล้ว วันนี้เราไม่ฝึกบินแล้ว กลับไปลดน้ำหนักกันเถอะนะ!”
เธอพูดพลางมองไปยังฉงต้าก่อนจะพูดอย่างเข้มงวด “นายด้วย พวกนายลดน้ำหนักด้วยกันก็แล้วกัน! ดูสิอ้วนอย่างกับอะไรแล้ว? แล้วยังจะกินเข้าไปอีก ขืนกินเข้าไปอีกได้อ้วนเหมือนตอม่อแน่!”
ฉงต้ากะพริบตานอนหมอบอยู่บนพื้นอย่างไร้เดียงสา จริงๆ เลย นอนอยู่เฉยๆ ก็โดนไปด้วย ทำไมอยู่ๆ ก็ย้อนเข้าตัวมันได้นะ? กำลังแกล้งบุชกันอยู่ไม่ใช่เหรอ?
มันเข้าใจว่าถึงคิวของมันแล้วจึงลุกขึ้นยืนแสดงความเป็นพี่ใหญ่ มันหันไปทางบุชแล้วร้องคำรามออกมาสองทีเหมือนขู่ให้มันรีบๆ ฝึกให้บินได้เร็วที่สุด
แต่ก็ไร้ประโยชน์ คราวนี้มันก็ตกอยู่ในบัญชีดำด้วย
……………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น