ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 350-351
ตอนที่ 350 เขาจะยอมรับเด็กคนนี้เอาไว้...
แต่พอถึงคราวที่เป็นตู๋กูซิงหลัน…..พระองค์ถึงได้ทรงพบว่าที่แท้แล้วพระทัยของพระองค์สามารถแผ่กว้างได้ถึงเพียงนี้
พระองค์รักนาง มิว่าสิ่งใดที่มาจากนางก็สามารถยอมรับได้
ไม่อาจปกป้องนางให้ดี นี่เป็นความผิดของพระองค์เอง
“เราจะรับผิดชอบเอง จะดูแลเจ้าอย่างดีไปชั่วชีวิต” จีเฉวียนคว้ามือของนางเอาไว้ สายพระเนตรจับจ้องใบหน้าของนางแลเลยไปถึงท้องของนาง
ถึงแม้ว่าพระองค์คงไม่อาจทำดีกับเด็กคนนี้เสมอเหมือนเป็นบุตรแท้ๆ ของพระองค์เองได้ …..แต่ก็จะไม่ทำร้ายเขา
นี่ถือว่าเป็นขอบเขตที่สุดของพระองค์แล้ว
ที่จริงแล้ว……มีอยู่ชั่วแวบหนึ่ง ที่พระองค์ทรงคิดจะให้นางกำจัดเด็กคนนี้ทิ้งไป
แต่หากทำเช่นนั้นก็เป็นการเห็นแก่ตัวจนเกินไป และยังเป็นการทำร้ายนาง เขาไหนเลยจะกล้าทำ
พระองค์ยินยอมรับความทุกข์นั้นเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ขอเพียงแค่ให้นางได้อยู่ดีเท่านั้น
ตู๋กูซิงหลันเองก็ถูกการแสดงออกที่เหนือความคาดหมายของจีเฉวียนทำเอาตกตะลึงไปแล้ว….เขากลับทนได้?
นี่เป็นเพียงแค่การรับปากลอยๆ ภายหลังค่อยหาทางจัดการเขาหรือไม่?
แต่เมื่อมองเห็นดวงเนตรที่มีแต่ความเจ็บปวดและต้องฝืนอดกลั้นเอาไว้ของจีเฉวียนแล้ว ก็ทำให้ความคิดนี้ของนางสลายหายไป
ที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง
เขาคิดจะยอมรับ ‘เด็กคนนี้’ เอาไว้จริงๆ?
เชี่ยเอ๊ย! มีเด็กกะผีน่ะสิ!
สองพี่ชายของตู๋กูซิงหลันเองก็มีสีหน้าไม่น่าดู ไม่น่าแปลกใจหากว่าพวกเขาจะคิดหาหนทางชั่วร้ายขึ้นมาบ้าง
ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลตู๋กูและจีเฉวียนก็ไม่ดีอยู่แล้ว พระองค์กลับใช้กำลังบีบบังคับกับน้องเล็ก ทั้งยังทำให้น้องเล็กตั้งครรภ์ นี่เท่ากับเป็นการจับมัดสองตระกูลเอาไว้ด้วยกัน
หมากตานี้ของจีเฉวียน เดินได้อย่างร้ายกาจ
ข้อนิ้วของตู๋กูจุนที่กุมดาบเล่มใหญ่เอาไว้ถึงกับซีดขาว
มือของตู๋กูซิงหลันถูกจีเฉวียนกุมเอาไว้จนแน่น นางย่อมรู้สึกได้ถึงความสั่นเทาที่เขาพยายามจะระงับเอาไว้
นางมองตรงเข้าไปก็เห็นว่าในดวงตาทั้งสองของเขามีละอองน้ำอยู่ชั้นหนึ่ง
สวรรค์โปรด! นี่เขากำลังร้องไห้หรือ?
ทั้งโกรธเกรี้ยว เสียใจและชอกช้ำ ทุกความรู้สึกนั้นพากันกดทับลงไปในพระทัยของจีเฉวียน พระองค์ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ตนเองจะเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหวเช่นนี้
เรื่องใดก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตู๋กูซิงหลัน ล้วนสามารถสั่นคลอนพระองค์ได้ทั้งนั้น
ตู๋กูซิงหลันไหนเลยยังจะทนมองดูได้อีกต่อไป นางเงยหน้าขึ้นมองไปยังเหล่าย่วนกล่าวว่า “ข้ายังมีร่างกายบริสุทธิ์ผุดผ่อง จะมีทารกได้อย่างไร?”
เหล่าย่วนผู้นี้อายุมากแล้ว สายตาก็ฟ่าฟาง สมองก็ไม่ค่อยแจ่มใส
เมื่อครู่พอได้ยินผู้คนทั้งหลายร้องเรียกว่าไทเฮาอยู่ทุกคำ….เขาถึงได้รู้ว่าตนเองชนตอเข้าแล้ว
ไอ้พวกลูกกระต่ายในสำนักหมอหลวงพวกนั้นวางหลุมพรางดักเขา!
นี่มันใช่พระสนมคนโปรดที่ไหนกัน นี่มันพระมารดาของฝ่าบาทชัดๆ!
เหล่าย่วนตกใจจนแทบจะฉี่ราดออกมาในทันที เขารีบโขกศีรษะกับพื้นอย่างสั่นเทา ลนลานตอบว่า “ไทเฮาพะยะค่ะ กระหม่อมอายุมากแล้ว สายตาฝ้าฟาง..บางที….อาจจะจับชีพจรไม่ถูก…..”
เนื่องเพราะอายุมากแล้ว ความสามารถในการจับชีพจรของเขาจึงไม่ค่อยจะได้เรื่อง….
เมื่อครู่เขาคิดแต่จะเอาความชอบ กลับกลายเป็นทำให้ตนเองพลัดตกลงไปในหลุมพราง
“ขอทรงอนุญาตให้กระหม่อมตรวจดูไทเฮาใหม่อีกครั้ง” เหล่าย่วนวิงวอนอย่างน่าสงสาร
ตู๋กูซิงหลันกลับไม่ยอมเชื่อถือเขาแล้ว นางกระตุกชายเสื้อของจีเฉวียน “ยังคงให้หมอหลวงซุนมาตรวจดีกว่าเพคะ”
ในวังหลวงนี้ หมอหลวงที่ตู๋กูซิงหลันคุ้นเคยยังคงเป็นหมอหลวงซุน
“ตอนนี้เขาเป็นเพียงแค่คนต้มยา ไหนเลยจะเหมาะสมกับการมาจับชีพจรถวาย…” เหล่าย่วนไม่เพียงชราแต่ยังดื้อรั้น ตนเองมีดาบพาดคออยู่แล้ว ยังจะไปเคร่งครัดเอากับเรื่องพวกนี้อีก
จีเฉวียนไม่สนพระทัยเขา หันไปสั่งให้หลี่กงกงไปเรียกซุนต้มยามาเข้าเฝ้า
ซุนต้มยาเองก็หัวใจตุ๊มๆ ต่อมๆ มาตลอดทาง เขาถูกลงโทษไปเป็นคนต้มยาแล้ว หากว่าเกิดความผิดพลาดใดอีก เกรงว่าต่อไปแม้แต่อาชีพเลี้ยงปากท้องก็คงไม่มีแล้ว ได้แต่ต้องกลับบ้านไปขอข้าวจากภรรยาเท่านั้น
พอมาถึงตำหนักเฟิ่งหมิง เห็นสีหน้าของผู้คนในตำหนัก ในใจของซุนต้มยาก็ต้องสั่นสะท้าน
“จับชีพจรถวายไทเฮา” จีเฉวียนไม่เอ่ยนำ ก็มีรับสั่งออกไปในทันที
ซุนต้มยาได้แต่จับชีพจรถวายด้วยความระมัดระวัง ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสลงไปตนเองก็ต้องตกใจแทบกระโดด
เขาหันไปมองดูตู๋กูซิงหลันด้วยความประหลาดใจครั้งหนึ่ง …ชีพจรแบบนี้คล้ายกับจะเป็นการตั้งครรภ์แล้ว?
ฝ่าบาททรงลงมือรวดเร็วถึงเพียงนี้?
ประหลาดแล้ว!
สายตาของเขาทำเอาตู๋กูซิงหลันตื่นตระหนกขึ้นมา ตู๋กูซิงหลันได้แต่จ้องตาเขากลับไป
ก่อนหน้านี้ซุนต้มยารับเคราะห์ยากลำบากไปไม่น้อย เขาย่อมไม่กล้าเอ่ยวาจามั่วซั่ว
เขาจับชีพจรอย่างละเอียด จังหวะของชีพจรนี้ ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นชีพจรมงคลอย่างคนที่ตั้งครรภ์ แต่พอสัมผัสดูให้ละเอียดกลับไม่ใช่
ชีพจรไหลลื่นเสมือนไข่มุกบนถาด แต่ในร่างคล้ายจะมีขุมพลังบางอย่างทะลวงเส้นชีพจรและช่องโพรง
เขาศึกษาวิชาแพทย์มานานหลายปี แต่ก็ไม่เคยได้พบเจออาการเช่นนี้มาก่อน แต่ที่สามารถบอกได้อย่างมั่นใจก็คือไม่ใช่การตั้งครรภ์อย่างแน่นนอน
ผ่านไปพักใหญ่ซุนต้มยาถึงได้เก็บมือกลับมา หันไปถวายบังคมจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลัน ทูลว่า “ช่วงนี้ไทเฮาอาจทรงได้รับการบำรุงมากจนเกินไป ร่างกายรับไม่ไหว เกิดความอึดอัดแน่นอยู่ภายในร่างกาย ดังนั้นจึงเกิดผลกระทบกระเทือนถึงชีพจร”
“กระหม่อมขอให้ฝ่าบาท พระสนมและขุนนางทุกท่านอย่าได้บังคับให้ไทเฮาทรงเสวยมากจนเกินไป บำรุงเกินควรก็มิใช่เรื่องดี”
คราวนี้ ผู้คนทั้งหลายถึงได้ถอนหายใจออกมาได้อย่างโล่งอก
“น้องเล็กตั้งครรภ์หรือไม่?” สองพี่ชายตระกูลตู๋กูยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียด ด้วยเกรงว่าซุนต้มยาจะกล่าวเลื่อนเปื้อนไป
ซุนต้มยารีบส่ายศีรษะ “ตั้งครรภ์นั้นเป็นไปไม่ได้ ….พระนางยังทรงเป็นเพียงสาวน้อย ที่ร่างกายยังไม่ได้เติบโตเต็มที่”
ตู๋กูซิงหลันเองก็ถอนใจออกมา “ก็ใช่แล้ว เราดูแลรักษาตนประดุจหยกตลอดมา ไม่คิดจะเพิ่มเติมขนิษฐาหรืออนุชาให้ฝ่าบาทหรอก”
หลายวันมานี้นางเองก็รู้สึกว่าร่างกายผิดปกติอยู่บ้าง คงจะเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้จีเฉวียนทรงถ่ายพลังหยินให้กับนางมากจนเกินไป
คลื่นพลังที่แฝงด้วยไอหยินเหล่านั้น พอซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของนางแล้ว ก็ค่อยๆ ทำให้โครงกระดูกของนางเกิดความเปลี่ยนแปลงไป
ถึงแม้ว่านางจะยังคงขาพิการ แต่ก็รู้สึกได้ว่าภายในร่างกายมีขุมพลังที่ใช้ได้ไม่มีหมด
ความรู้สึกเช่นนี้ คงจะเป็นเพราะกล้ามเนื้อในร่างกายเกิดการเติบโตกระมัง
เหล่าย่วนนั่นถึงกับตาค้างไปแล้ว เขาคุกเข่าอยู่ข้างหนึ่งไม่กล้าแม้แต่จะผายลมออกมา
“ย่วนสื่ออายุมากแล้ว ส่งกลับบ้านเกิดไปใช้ชีวิตยามชราเถอะไป” พระหัตถ์ของจีเฉวียนที่ยังคว้ามือของตู๋กูซิงหลันอีกข้างเอาไว้ยังคงสั่นน้อยๆ
พระองค์มีพระบัญชาออกไป ไม่เปิดโอกาสให้เหล่าย่วนได้กล่าววาจาใดๆ หลี่กงกงก็นำองครักษ์เข้ามาลากตัวคนออกไปทันที
“ซุนเชวี่ย นับจากวันนี้เป็นต้นไปเจ้าก็คือย่วนสื่อของสำนักแพทย์หลวง มีหน้าที่ดูแลรักษาพระวรกายของไทเฮาโดยเฉพาะ” ว่าแล้ว ฝ่าบาทก็ทรงมีราชโองการแต่งตั้งออกมา
ซุนต้มยา “???” โชคหล่นทับลงมาอย่างรวดเร็วราวกับมังกรสะบัดหาง
นี่เขาหูฝาดไปหรือไม่?
เพียงครู่เดียวก็กระโจนจากเด็กต้มยาไปเป็นย่วนสื่อ?
การเลื่อนขั้นเช่นนี้เร็วเสียจนเขามึนงงไปหมดแล้ว
แต่พอได้สติคืนมา เขาก็ต้องรีบขอบคุณบรรพบุรุษของไทเฮาทั้งสิบแปดรุ่น ทั้งยังพยักหน้าติดๆ กัน “กระหม่อมจะต้องถวายการดูแลสุขภาพและพระวรกายของไทเฮาเป็นอย่างดี จะดูแลพระนางด้วยความเคารพเสมือนหนึ่งเป็นบรรพบุรุษของตนเอง”
จีเฉวียน “เพ้ย! เจ้าอย่าได้บังอาจมาเป็นลูกหลานของนาง”
ซุนเชวี่ย ถึงกับหน้าซีด
……………..
พอเรื่องเข้าใจผิดไปเองนี้จบไป ฮ่องเต้ก็ทรงไล่หยวนเฟยกับซูเม่ยกลับอย่างไม่สนพระทัย
จากนั้นก็พลิกสีหน้ามาเชิญพี่ชายทั้งสองของตู๋กูซิงหลันกลับอย่างเกรงอกเกรงใจ
องค์หญิงใหญ่นั้นรู้พระองค์ดี นางเป็นฝ่ายออกมาอำลาพาท่านหญิงน้อยกลับไปด้วยตนเอง
เชียนเชียนก็ออกไปเฝ้าที่ด้านนอก
เมื่อภายในห้องเหลือเพียงจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลัน บรรยากาศก็เงียบสงบจนแปลกประหลาด
จีเฉวียนจดจ้องมองดูนาง สายพระเนตรที่จ้องมองมาทำเอาตู๋กูซิงหลันขนลุกชันทั่วร่าง ในใจบังเกิดความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
ทันใดนั้นก็เห็นว่าจีเฉวียนกำลัง…..
ตอนที่ 351 อู๋เหนียงในตำนาน
ทันใดนั้นก็เห็นว่าจีเฉวียนกำลัง…..
พุ่งเข้ามา กอดนางเอาไว้
แล้วก็ร้องไห้!
ฝ่าบาทกอดนางเอาไว้ แล้วก็สะอึกสะอื้น สะอื้นฮึกฮักอยู่ครึ่งค่อนวัน
ตู๋กูซิงหลันกลายเป็นก้อนหินไปแล้ว
สวรรค์โปรด นี่มันสถานการณ์อะไรกัน!
นางมองดูจีเฉวียนที่สะอึกสะอื้นซุกอยู่ตรงหัวไหล่ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าตนเองที่เป็นมารดาเลี้ยงสมควรจะต้องปลอบใจเขาเสียหน่อย
ลูกเลี้ยงคงได้รับความสะเทือนใจอันใดอย่างใหญ่หลวง จึงได้ทำท่าเสมือนหัวใจถูกแทงมาเช่นนี้
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยยื่นมือออกไปตบหลังของเขาเบาๆ กล่าวว่า “เอ่อก็นะ…หม่อมฉันยังมิได้ถึงคราวจะไปสวรรค์เสียหน่อย แล้วก็ไม่ได้ตั้งครรภ์ทารกที่ไหนด้วย ฝ่าบาทกลับทรงร่ำไห้เช่นนี้ ใช่เพราะว่าหม่อมฉันไปกระทำเรื่องอกตัญญูต่อฟ้าดินอันใดหรือไม่ ถึงได้ทำให้พระองค์ต้องเสียพระทัยเช่นนี้?”
พอตู๋กูซิงหลันเอ่ยปากขึ้นมา ฮ่องเต้ก็ทรงหลั่งน้ำตาอย่างโศกเศร้ากว่าเดิม
“ซิงซิง เราช่างไม่ได้เรื่องเลยใช่หรือไม่?” เขากอดนางเอาไว้ด้วยความเสียใจ วางคางอยู่บนหัวไหล่ของนาง
ตู๋กูซิงหลันไม่ค่อยเข้าใจ นี่มันเกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องที่เขาไม่ได้เรื่องด้วย?
“ตอนอยู่แคว้นเซอปี่ซือ เราก็สูญเสียเจ้าไปแล้วครั้งหนึ่ง หากว่าเรื่องที่เจ้าตั้งครรภ์เป็นจริงขึ้นมา ก็ยิ่งแสดงว่าเราปกป้องเจ้าไม่ดี เจ้าไม่รู้หรอกว่าเมื่อครู่เราอยากจะฆ่าบุรุษทิ้งไปให้หมดทั้งโลก”
ตู๋กูซิงหลัน “???” ไม่ใช่แล้วมั้ง ทำไมความสัมพันธ์ของพวกนางมันถึงได้ไปคล้ายคลึงกับการเป็นคู่รักกันเข้าไปทุกทีแล้ว?
“ยังโชคดี ที่ย่วนสื่อผู้นั้นเลอะเลือนไปเอง”
ตู๋กูซิงหลันรู้แต่ว่าไหปลาร้าของนางเปียกชุ่มไปด้วยหยดย้ำตาของเขา ในใจของนางยิ่งเหมือนมีคลื่นโหมสาดเข้ามา…..
ชั่วขณะนั้นนางเองก็ไม่รู้ว่าสมควรจะพูดอะไรออกไปดี ได้แต่ใช้มือตบแผ่นหลังของเขาเบาๆ ต่อไป
“ฝ่าบาท ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นความเข้าใจผิดของพวกเราเอง แต่ว่าพระองค์กลับยอมรับต่อหน้าผู้อื่นในห้องว่าท่านคือบิดาของเด็ก ไม่เกรงว่าทรงหาความลำบากให้พระองค์เองหรือเพคะ?”
ตู๋กูซิงหลันกล่าวต่อไป “กระโดดออกไปเป็น จอมยุทธ์รับจาน [1] เช่นนี้ มิใช่นิสัยที่พระองค์น่าจะกระทำ”
จีเฉวียน “หากว่าเราคือบิดาของเด็ก เราไหนเลยจะต้องร้องไห้ ดีใจละไม่ว่า”
พระองค์ทรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตรัสต่อไปว่า “จอมยุทธ์รับจานคือผู้ใด เขาเก่งกาจมากหรือ?”
คำถามนี้ตู๋กูซิงหลันสมควรจะอธิบายให้เขาฟังอย่างไรดี?
“ก็คือ….วีรบุรุษที่ยอมละทิ้งเหตุผล ยอมทำทุกอย่างเพื่อความรัก”
“เช่นนั้นเราก็จะขอเป็นจอมยุทธ์รับจานผู้นั้นแล้ว” จีเฉวียนตรัสอย่างตัดสินพระทัยแล้ว “เราก็คือยอดจอมยุทธ์รับจานเหล่าโก่วปี้”
วิญญาณทมิฬที่อยู่ข้างๆ แทบจะพ่นหัวเราะออกมาแล้ว ตู๋กูซิงหลันเจ้ามันร้ายกาจจริง!
หากว่าฮ่องเต้สุนัขได้รู้ถึงความหมายที่แท้จริงของคำพวกนี้ละก็ เกรงว่าจะจับตัวนางมาฟาดก้นสามวันสามคืนก็ไม่หยุดเป็นแน่
อยู่ๆ ตู๋กูซิงหลันก็ชักจะรู้สึกว่าเขาช่างน่ารักจริงๆ
ตู๋กูซิงหลันปลอบเขาเบาๆ นางเห็นฝ่าบาทขนาดมีน้ำตานองหน้า ก็ยังมีสีพระพักตร์ที่เอาจริงเอาจัง
ไหนเลยจะเหมือนยามปกติที่ปั้นพระองค์เป็นเทพเซียนผู้เย็นชาประดุจภูเขาน้ำแข็งกัน
ยามนี้ตู๋กูซิงหลันถึงได้เข้าใจว่า พระองค์ทรงเป็นคนธรรมดาที่มีชีวิต เป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหวอย่างยิ่ง
เพียงแต่ว่าพระองค์เก็บงำความรู้สึกเอาไว้มากเกินไป มิว่าจะสุขทุกข์หรือว่าเป็นเช่นไรก็ไม่ยอมแสดงออกมา นี่คงจะเป็นผลมาจากการที่ต้องต่อสู้กับคนทั้งในที่ลับและที่แจ้งกระมัง
อยู่ๆ ตู๋กูซิงหลันก็ช่างจะรู้สึกสงสารเขาตะหงิดๆ ขึ้นมาบ้าง
นางยื่นมือออกไป ปาดเช็ดน้ำตาบนดวงพักตร์ของจีเฉวียนจนแห้ง คนก็ค่อยๆ สงบลงทีละน้อย
“ฝ่าบาททรงเป็นคนดี”
นางทูลออกไป
“เราเพียงอยากดีกับเจ้าเท่านั้น”
จีเฉวียนทรงปล่อยให้นางเช็ดพระพักตร์ให้ มือของนางแสนจะอบอุ่น พอสัมผัสถูกใบหน้าที่เย็นยะเยือกของเขากลับให้ความรู้สึกที่สบายเหลือเกิน
“ก่อนหน้านี้เราไม่ดีกับเจ้า ต่อไปจะต้องชดเชยให้มากๆ”
พระองค์คว้ามือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ จดจ้องมองดูนาง ด้วยความเกรงว่านางจะไม่ยอมให้โอกาสพระองค์
……………………….
ที่ด้านนอกตำหนักเฟิ่งหมิงกง ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์ยืนอยู่นานแล้ว
นับตั้งแต่ที่ตู๋กูซิงหลันกลับมา ผู้คนทั้งหลายก็เอาแต่รายล้อมอยู่รอบตัวนาง
ยังดีที่….ท่าทางนางจะมิได้รู้เลยว่าคนที่ลงมือกับนางยามที่อยู่ในช่องว่างของมิติเวลานั้น ก็คือตนเอง
ในต้าโจว เขายังคงเป็นท่านราชครูผู้สูงส่ง
จีเฉวียนเองก็ให้ความนับถือเขาตามสมควร
แต่เมื่อได้เห็นพวกเขายิ่งทียิ่งใกล้ชิดกันอย่างหวานชื่น เขาก็รู้สึกว่าทนไม่ไหวอีกต่อไป
สายลมยามค่ำคืนเย็นยะเยือก ละอองหิมะที่ตกลงบนร่างของเขากลับกลายเป็นหมึกสีดำ
………………
พระตำหนักตี้หัว
กลางดึกสงัด สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งถูกเรียกเข้าวัง
สตรีผู้นั้นสวมชุดคลุมสีดำหนาตลอดทั้งร่าง กระทั่งเดินเข้าไปในตำหนักตี้หัวร่างกายถึงได้พบกับความอบอุ่นจากกระถางไฟที่จุดอยู่ทั่วทั้งตำหนัก
ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ในห้องทรงพระอักษร ทรงฉลองพระองค์ที่ตัดมาอย่างพอดีตัวส่งเสริมให้เห็นถึงพระวรกายที่งดงามไร้ที่ติ
สตรีผู้นั้นคุกเข่าอยู่ที่เบื้องหน้าของพระองค์ ทั้งที่ก้มศีรษะลงไป ก็ยังอดไม่ได้ที่จะแอบมองฝ่าบาทอยู่หลายครั้ง
ภายใต้แสงเทียนสลัว ช่วยทำให้พระองค์มิได้น่าหลงใหลจนเกินไป
“หม่อมฉันแม่สื่อของทางการนางอู๋ซื่อ ถวายพระพรฝ่าบาท” นางถวายคำนับลงไป ขณะที่สายตาก็ยังคอยกวาดอยู่บนพระวรกายของฝ่าบาท
จีเฉวียนทรงวางฏีกาในพระหัตถ์ลง เหลือบพระเนตรมองนางแวบหนึ่ง “นั่งลงได้”
สตรีผู้นั้นค่อยเสาะหาเก้าอี้นั่งลง
“หม่อมฉันขอขอบพระทัยในพระเมตตาของฝ่าบาทแทนบุรุษที่บ้านผู้นั้น ช่วงก่อนหน้านี้เขาเป็นแค่เด็กต้มยา จึงถูกญาติและคนใกล้ชิดเห็นเป็นที่ขบขันอยู่ไม่น้อย ตอนนี้ได้เป็นปลาพลิกตัว จึงกลับบ้านอย่างยินดีปรีดา” นางอู๋ซื่อเป็นคนที่รู้จักหาหัวข้อมาสนทนา ถึงแม้ว่าที่นั่งอยู่เบื้องหน้าจะเป็นฮ่องเต้นางก็ไม่ได้หวาดกลัวสักเท่าไร
ฮ่องเต้เองก็ทรงเป็นคนเช่นกัน ….หากมิได้คิดการใหญ่ก่อกบฏอะไร ก็คงจะไม่ถูกบั่นหัวง่ายๆ หรอก
“ซุนเชวี่ยวิชาแพทย์สูงล้ำ ตำแหน่งย่วนสื่อนี้ให้เขาเป็นก็ถือว่าสมควรแล้ว” จีเฉวียนตรัสต่อไป “ก่อนหน้านี้เราละเลยเขาไป ต่อไปชีวิตของพวกเจ้าทั้งสองจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”
“หม่อมฉันขอบพระทัยในพระเมตตาเพคะ” นางอู๋ซื่อก้มศีรษะลงไปอีกครั้ง
จากนั้นนางก็จบคำสนทนาเรื่องคนในครอบครัวลงไป ตนเองเป็นฝ่ายทูลถามจีเฉวียนว่า “ฝ่ายมีรับสั่งให้หม่อมฉันมาเข้าเฝ้าในยามดึก หรือว่าเส้นทางในการไล่ตามความรักจากภรรยาประสบปัญหาอันใดหรือเพคะ?”
ฝ่าบาททรงพยักพระพักตร์ ปลายพระดัชนีเคาะลงกับโต๊ะทรงงานเบาๆ “อู๋เหนียงจื่อ เรารู้สึกว่านางชอบเรา แต่ก็คล้ายไม่ได้ชอบเรา”
“ฝ่าบาทรับสั่งเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเพคะ?” อู๋เหนียงจื่อรับฟังอย่างตั้งใจ ที่จริงแล้วบุรุษที่งดงามอย่างเจิดจรัสและทรงอำนาจเช่นฝ่าบาท สตรีใดบ้างเห็นแล้วจะไม่หวั่นไหวกัน
ตลอดชีวิตนี้นางผูกด้ายแดงมาแล้วนับไม่ถ้วน ที่ยากจะจัดการมากที่สุดก็คือคุณชายเจ้าสำราญและคุณหนูสูงศักดิ์คู่นั้น
นางถ่ายทอดประสบการณ์กว่าครึ่งชีวิตถวายฝ่าบาทไปแล้ว ฝ่าบาทยังทรงไล่ตามไม่สำเร็จอีกหรือ?
ในใจของอู๋เหนียงจื่อรู้สึกวิตกแต่อย่างไรก็ยังคงไม่ยินยอม
ในโลกนี้ไม่ควรจะมีเรื่องจับคู่มงคลใดที่นางทำไม่สำเร็จต่างหาก
“นางมิได้ปฏิเสธความใกล้ชิดจากเรา แต่กลับยังไม่ยอมรับความจริงใจของเรา” จีเฉวียนตรัสอย่างปวดพระเศียร ทรงรู้สึกว่าหนทางความรักของพระองค์มาถึงคอขวดแล้ว พระองค์ปรารถนาจะเข้าใกล้ซิงซิงอีกก้าวหนึ่ง
“นี่….” สมองของอู๋เหนียงจื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางเกือบจะหลุดพูดออกมาว่าฝ่าบาททรงเป็นพวกบุรุษที่ถูกหลอกใช้เสียแล้ว
ประโยคนี้นางจะกล้ากล่าวออกไปได้อย่างไร มิใช่ว่าเท่ากับแส่หาความตายหรอกหรือ?
ดูเอาสิ ก็เล่นไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ แสดงว่าจะเก็บเอาไว้ใช้งานมิใช่หรือไร?
“คงมิใช่ว่าสตรีผู้นั้นมีคนในใจแล้ว และยังพัวพันกันอยู่ ถึงได้ปฏิบัติต่อฝ่าบาทเช่นนี้?” อู๋เหนียงจื่อกล่าวอย่างลื่นไหล
นางย่อมรู้ว่าแม่นางผู้นั้นก็คือไทเฮาน้อยแต่ก็ไม่กล้าระบุชื่อเสียงเรียงนามออกไป
คนที่บ้านนั่นวิ่งวุ่นระหว่างพระตำหนักเฟิ่งหมิงกงและพระตำหนักตี้หัวทั้งวัน ทั้งยังมักจะเอ่ยถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฝ่าบาทและไทเฮาน้อยอยู่หลายครั้ง
นางกล่าวแค่ประโยคเดียวสีหน้าของจีเฉวียนก็เปลี่ยนไปในทันที
สมองของพระองค์ผุดชื่อของคนผู้หนึ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว—ซื่อมั่ว
บุรุษที่พระองค์เองก็ไม่เคยจะได้พบผู้นั้น ช่างเหมือนกับวิญญาณร้ายที่คอยหลอกหลอนอยู่เสมอ
พออู๋เหนียงจื่อได้เห็นสีพระพักตร์ ก็รู้ทันทีเลยว่ามีคนเช่นนั้นอยู่ผู้หนึ่ง
——
ตอนต่อไป “ตู๋กูถิง”
——
[1] 接盘侠:คนที่ยอมรับของเหลือ/ของหรือคนที่ผู้อื่นทิ้ง (สำนวนชาวเน็ต)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น