ท่านเทพมาแล้ว 348-355
บทที่ 348 เจ้าคือจื่อเย่า?
โดย
Ink Stone_Romance
มู่จิ่วมาถึงหงชางที่ยังคงเหมือนกับครั้งที่นางมาคราวก่อน ไม่ว่าที่ไหนก็เป็นพื้นหญ้าเหี่ยวแห้งใบไม้ร่วงหล่น กระทั่งเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวกว่าเดิมภายใต้ลมหนาว
“ลู่ยา!”
นางป้องปากตะโกน เสียงสะท้อนไปทั่ว แต่กลับไม่มีแม้แต่เงาของเขา!
อาฝูก็ร้องคำราม แต่ไม่เห็นลู่ยาจะตอบกลับมา
หรือเขาจะไม่อยู่ที่นี่?
แต่นางเห็นเงาของหงชางสะท้อนอยู่บนกระจกในห้องเขา แถมช่วงนี้เขาก็สืบเรื่องนี้อยู่แน่นอน
นางครุ่นคิด ทั้งยังถลกแขนเสื้อขึ้นกระตุ้นดอกบัวทองที่แขน แสงทองที่เหมือนกับเมฆหมอกแผ่อบอวลบนภูเขา ไม่นานก็ครอบคลุมเขาทั้งลูก ก่อนจะขยายไปยังภูเขาข้างๆ
แต่ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหว
หรือจะไปที่คลื่นจิตพสุธา?
แต่ถึงเขาจะอยู่ที่นั่น นางก็ไปไม่ได้
พลังบำเพ็ญเพียงแค่นี้ของนาง จะต้องถูกพลังที่นั่นสลายจนร่างกลายเป็นผุยผง
นางตะโกนอีกหลายครั้งอย่างไม่ยินยอม ก่อนจะถอดใจไป
…ช่างเถอะ กลับไปแรกพยับก่อนเถอะ
นางลูบๆ หัวอาฝู พุ่งขึ้นไปบนฟ้า เดินทางออกไป
จุ่นถีที่อยู่ภายใต้เขตพลังอำพรางของหงชางตกลงไปในหลุมไฟลึกขึ้นเรื่อยๆ สว่างไสวขึ้นทุกที ขี้เถ้าด้านในเริ่มพัดกลิ้ง เกิดเสียงปุปุขึ้นมา ถึงแม้จุ่นถียังไม่ถึงกับร่วงลงไปเพราะความกลัว แต่พลังวิญญาณที่คุ้มร่างอยู่กลับไม่กล้าผ่อนแม้แต่น้อย ไม่เพียงต้องระวังเรื่องนี้ เขายังต้องคอยรับมือลู่ยาด้วย
ส่วนทางด้านลู่ยา การขุดหลุมไฟนี้ต้องอาศัยพลังวิญญาณไปไม่น้อย ภาพนี้ดูไปแล้วก็ปกติ จะมีเพียงคนใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้ว่าเสี่ยงอันตรายขนาดไหน
“ถึงอาจารย์อาจะทำแบบนี้ไปตลอดชีวิตก็ไม่มีประโยชน์ ข้าตอบไม่ได้จริงๆ” จุ่นถีอธิบายไปไม่รู้กี่รอบแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมศิษย์ของเขาถึงตกหลุมรักคนร้ายกาจเช่นนี้ได้
“เช่นนั้นข้าจะลองทำแบบนี้ไปชั่วชีวิตดูก่อน”
ลู่ยานั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ พลางเล่นพู่ระย้าที่แขวนบนตะขอม่านด้านข้าง
“เจ้าน่ะ กำลังสนุกมากใช่หรือไม่?”
ขณะกำลังเล่นอย่างสนุกสนาน ด้านหลังพลันมีเสียงเยียบเย็นดังขึ้น ลู่ยาได้ยินเสียงนี้ก็ชะงักไป จากนั้นพลิกตัวบนเก้าอี้ ก่อนลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “…ศิษย์พี่ใหญ่!”
คนที่อยู่ด้านหน้าสวมเสื้อสีเรียบง่ายแขนเสื้อกว้าง ครอบศีรษะทรงสูง ใบหน้าคมคายรูปร่างสูง ผมเงินยาวถึงเอว ดวงตาคมกริบราวกับใบมีด ริมฝีปากเย็นเยือกดุดันเหมือนเมื่อครู่เพิ่งถูกดึงขึ้นมาจากถ้ำน้ำแข็ง บวกกับท่าทางที่เหมือนอยู่กับความหนาวเย็นตลอดทั้งปี นี่ไม่ใช่ศิษย์พี่ใหญ่หงจวินจู่ซือของเขาจะเป็นใครได้อีก?!
มิใช่ว่าเขาหายไปนานแล้วหรือ? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?!
ลู่ยามองหงจวินจากนั้นมองจุ่นถี จุ่นถีเลิกคิ้ว ไม่ได้พูดอะไร
“อาจารย์ไม่อยู่แล้ว เจ้าก็ทำตัวเหมือนไม่มีใครสั่งสอนเจ้าได้แล้วหรือ?” หงจวินเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาช้าๆ น้ำเสียงทั้งเย็นเยียบและเชื่องช้า แววตาคมกริบผ่าเขาจากบนลงล่าง จากล่างขึ้นบน ไม้พู่เคาะลงบนหัวเขาทันใด “ยังรออะไรอีก? รอให้ข้ามาช่วยคลายอาคมเจ้าหรือ?”
ลู่ยาสะบัดแขนเสื้อสลายอาคม แต่เขายังคงตกตะลึงอยู่!
คิดไม่ถึงเลยว่าหงจวินจะปรากฏตัวที่นี่ ปรากฏตัวมาได้พอดีขนาดนี้ อีกทั้งจุ่นถียังมีท่าทางเหมือนรู้มาก่อนด้วย…
เขา…หรือว่าพวกเขาติดต่อกันได้นานแล้ว?
หรือหงจวินก็คือ…จื่อเย่า!
หงจวินอาจจะเป็นจื่อเย่า?!
ดวงตาของเขาพลันเบิกกว้างราวกับเห็นปีศาจ…ไม่ไม่ ถึงจะมีปีศาจเป็นพันตัวยืนอยู่ตรงหน้าเขา เขาก็จะไม่มองแม้แต่น้อย แต่หงจวินกลับทำให้เลือดลมเขาเดือดพล่าน น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่าน…”
“ไม่ผิด ข้าก็คือจื่อเย่าที่เจ้าตามหา” หงจวินนั่งลงบนเก้าอี้ มองเขาก่อนเอ่ย “เจ้ามีคำถามอะไรก็ถามมาเถิด”
ลู่ยารู้สึกเพียงว่าเลือดในอกจะทะลักออกมาแล้ว!
หงจวินไม่โกหกแน่ ลู่ยาเชื่อคำพูดเขา! มีเพียงหงจวินเท่านั้นที่จุ่นถีจะเชิญเข้ามาดื่มชาในห้องอย่างสนิทสนม มีเพียงเขาเป็นจื่อเย่าเท่านั้น ถึงจะสามารถสั่งให้จุ่นถีซ่อนตัวได้ทันที! เขายังคิดว่าจื่อเย่าจะเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก ไหนเลยจะคิดว่าจื่อเย่าคือศิษย์พี่ใหญ่ตน!
“พวกท่าน แท้จริงแล้วกำลังเล่นละครอะไรกันแน่?” เขากุมอกพลางถาม “ทำไมต้องซ่อนตัวจากข้า!”
เห็นเขาเป็นคนโง่หรือ?
“ซ่อนตัวจากเจ้า ก็แน่นอนว่าเพราะไม่อยากเจอเจ้า เจ้าคิดว่าจะเป็นเพราะอะไรได้อีก?” หงจวินเหลือบมองเขาเบาๆ จากนั้นรับชาที่จุ่นถีส่งมาให้ ไม่คิดจะไว้หน้าศิษย์น้องอย่างลู่ยาแม้แต่น้อย
“ทำไมถึงไม่อยากเจอข้า? ข้าทำผิดอะไร?” ลู่ยาเดินหน้าขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ กรุ่นโกรธยิ่งนัก
“เรื่องที่เจ้าทำผิดมีมากนัก” หงจวินตอบ “อย่างเช่นเมื่อครู่ อาจารย์สอนให้เจ้าปฏิบัติตัวเช่นนี้กับชนรุ่นหลังหรือ? พออาจารย์ไม่อยู่ เจ้าก็คิดว่าตนเองสามารถวางก้ามใหญ่โตได้ คิดจะทำอะไรก็ทำ?”
“ไม่ใช่เพราะว่าพวกท่านทำเกินไปหรือ?” ลู่ยาหน้าตึง “มีอะไรทำไมไม่พูดกันต่อหน้า? ทำไมต้องทำลับลับล่อล่อด้วย!”
หงจวินวางถ้วยชาลง ก่อนเอ่ย “หากเจ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าไปก่อนละ”
พูดแล้วก็ยืนขึ้น ถือพู่หางม้าเดินไปทางประตู
“ช้าก่อน!” ลู่ยาปราดเข้าไปขวางหน้า “ข้ายังพูดไม่จบ! แท้จริงแล้วชายชุดเขียวเป็นใคร? ทำไมถึงได้ฝึกพลังสายเสวียนหมิงได้? ทำไมข้าถึงถูกเขตพลังสายเสวียนหมิงของเขาขวางทาง? ที่คลื่นจิตพสุธาเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ชายชุดเขียวผู้นี้ก่อเรื่องไปทั่วเพราะตั้งใจจะทำอะไรกันแน่?!”
หงจวินยืนอยู่ตรงม่าน เหลือบมองเขา “เจ้าอยากรู้จริงๆ หรือ?”
“ต้องรู้ให้ได้!” ลู่ยายืนยันหนักแน่น
หงจวินหันกลับมานั่งลงที่เดิม วางพู่ลงบนโต๊ะ นิ้วมือเคาะบนโต๊ะเบาๆ ขณะมองเขา “เจ้าโง่ผู้นี้ ทำไมไม่คิดบ้างว่าบนโลกนี้ยังมีใครที่มีพลังเสวียนหมิงสูงส่งและลึกล้ำกว่าเจ้าอยู่อีก?”
ยอดคนก็คือยอดคน แม้แต่ด่ายังไม่จำเป็นต้องใช้คำหยาบแม้แต่น้อย สูงส่งเย็นชาและยังทำให้คนเคารพได้อยู่
ลู่ยาถูกด่าจนโกรธอยู่บ้าง เขาจะไม่รู้หรือว่าบนโลกนี้ไม่มีใครมีพลังเสวียนหมิงลึกล้ำไปกว่าเขาอีกแล้ว? แต่ตอนนี้มิใช่ว่ามีอยู่อีกคนหนึ่งหรือ!…ไม่!
เขาคิดถึงตรงนี้ก็พลันชะงัก คำที่คิดจะตอบโต้หงจวินก็ติดอยู่ที่ลำคอ…ไม่มีใครมีพลังเสวียนหมิงแข็งแกร่งกว่าเขาแล้ว ความหมายของหงจวินคือเขาไม่อาจถูกคนอื่นขวางได้ เขตพลังที่คลื่นจิตพสุธา…เป็นเขาเข้าใจผิดไป คนที่สร้างเขตพลังนั้น…แท้จริงเป็นเขาเอง?!
นี่จะเป็นไปได้อย่างไร…
ลู่ยาไม่ใช่ไม่เคยมีความคิดนี้เลย ตอนที่เขาคิดแทบตายแล้วยังคิดอะไรไม่ออก เขาก็เคยนึกถึงความเป็นไปได้นี้เช่นกัน แต่นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? เขาไปสร้างเขตพลังที่คลื่นจิตพสุธาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมตัวเขาเองยังไม่รู้? แล้วเขาทำเช่นนี้ทำไม?
“ท่านคงไม่ได้หมายความว่า เขตพลังที่คลื่นจิตพสุธาเป็นสิ่งที่ข้าสร้างขึ้นเพื่อขวางตัวข้าเอง?”
ใจเขาขยับวูบไหวทันที หากเขาสร้างเขตพลังนั้นขึ้นมาเอง เช่นนั้นชายชุดเขียวเป็นใคร? และพวกหงจวินกำลังทำอะไรกันอยู่!
………………………
บทที่ 349 มาดูความจริง
โดย
Ink Stone_Romance
“เจ้าคิดว่าอย่างไร?” หงจวินมองเขา ดูไม่ได้อารมณ์ดี กระทั่งพูดได้ว่าโกรธกรุ่นอยู่หน่อยๆ
ลู่ยาหายใจติดขัดอยู่บ้าง เขาคาดเดาไว้อย่างหนึ่ง แต่ความจริงกลับเป็นอีกเรื่อง!
“เช่นนั้นชายชุดเขียวที่หลบซ่อนตัวอยู่ตลอดคือใคร? เขามีความสัมพันธ์เช่นไรกับอาจิ่ว!”
หงจวินทำมือท่าดอกกล้วยไม้ (หยักนิ้วกลางจรดนิ้วโป้ง) หยิบผลไม้เซียนบนถาดขึ้นมา ก่อนเอ่ยว่า “อธิบายให้เจ้าฟังเช่นนี้แล้วกัน เขตพลังที่คลื่นจิตพสุธาเป็นสิ่งที่ชายชุดเขียวสร้างขึ้น” พูดจบก็ละสายตาจากผลไม้มามองเขา ก่อนกล่าวอีก “ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับเด็กสาวคนนั้น เจ้าลองเดาก่อน”
ลู่ยารู้สึกราวกับโดนสายฟ้าฟาด!
เขตพลังที่คลื่นจิตพสุธาเขาเป็นคนสร้าง และตอนนี้หงจวินก็บอกอีกว่าชายชุดเขียวสร้างขึ้น หรือเขาคือชายชุดเขียว?!
ลู่ยาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่เขาคิดอะไรไม่ออก! ตอนนี้เขาไม่เข้าใจแล้ว เขาคือชายชุดเขียว? ล้อเล่นอะไรกัน! เขาจะเป็นชายชุดเขียวได้อย่างไร? แน่นอน คาถาแยกร่างไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสร้างร่างแยกอีกคนขึ้นมาเลย จะสร้างสักกี่พันคนก็ไม่ยาก แต่ประเด็นคือเขาไม่รู้เรื่องนี้เลย!
หากเขาสร้างร่างแยกขึ้นมา เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร!
และยังมีเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมู่จิ่ว…
ลู่ยาคิดไม่ออก เขากับนางสนิทสนมกันมากก็จริง แต่นึกไม่ออกว่าก่อนเจอนางที่หงชาง พวกเขาเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือไม่ และตัวมู่จิ่วเองก็จำเขาไม่ได้ นอกจากจะมีชาติก่อนที่โลกมนุษย์ในช่วงเวลาสั้นๆ นางก็จำอะไรอย่างอื่นไม่ได้อีก ‘ชายชุดเขียว’ กับนางรู้จักกันได้อย่างไร?
แต่เดิมเขาคิดตามหาชายชุดเขียว ตั้งแต่เขาขุดคุ้ยภูมิหลังของมู่จิ่ว ทำให้หลีกเลี่ยงการระเบิดออกของพลังวิญญาณในร่างนางได้ แต่ตอนนี้หงจวินกลับบอกว่าเขาเป็นชายชุดเขียว! ยามนี้จะให้เขายอมรับได้อย่างไร?
“ศิษย์พี่ ระหว่างข้ากับอาจิ่วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
เขาปากคอแห้งผาก ความโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่กลายเป็นกังวล
หากเขาคือชายชุดเขียว หากเขาที่เป็นชายชุดเขียวเคยมีวาสนากับอาจิ่วในช่วงเวลาสั้นๆ ทำไมนางถึงจำเขาไม่ได้เลย?
ตอนนางเจอชายชุดเขียว ทำไมถึงไม่รู้สึกอะไรเลย?
เขารู้สึกว่าตนเองหลงทางอยู่ในหมอก ไม่รู้เลยว่าจะเดินออกไปอย่างไร
“หากอยากรู้ก็ไปคลื่นจิตพสุธากับข้า”
หงจวินลุกขึ้น มองเขาอย่างล้ำลึก แล้วจึงออกจากประตูไปก่อน
ลู่ยาชะงักเล็กน้อย ก่อนรีบเดินตามไป
จุ่นถีก็ตามหลังไปเช่นกัน
แม้จากหงชางไปถิ่นทุรกันดารทางเหนือจะห่างกันแสนแปดพันลี้ แต่สำหรับพวกเขานับเป็นอะไรได้?
เพียงชั่วพริบตา คนทั้งสามก็มาถึงถิ่นทุรกันดารทางเหนือ
พื้นดินด้านหน้ายังคงเป็นที่ราบเรียบ ยังว่างเปล่าไร้สรรพสิ่งเช่นเคย ครั้นเดินผ่านพลังวิญญาณไปยังใจกลาง ประตูของคลื่นจิตพสุธาก็ปรากฏออกมา แสงสว่างในประตูทางซ้ายยังคงทิ่มแทงสายตา ส่วนทางด้านขวาก็ยังคงมืดมิดเหมือนเดิม
ลู่ยาเดินตามหงจวินเข้าประตูตรงกลางไป ไม่มีอารมณ์ดูว่าทิวทัศน์ที่นี่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนหรือไม่ คิดเพียงอยากจะไปให้ถึงที่หมายโดยไว แล้วฟังเรื่องราวที่หงจวินจะเล่า
ด้านในประตูคลื่นจิตพสุธามีทางเล็กทางน้อยมุ่งไปยังที่ห่างออกไป ที่ห่างไกลตรงนั้นมีวังหินเงียบเหงาเดียวดายตั้งอยู่ ทั้งหมดมีสามสิบหกเรือนสูงๆ ต่ำๆ ตำแหน่งจัดเรียงตามผังมงคลแปดทิศ ตำหนักหลักสูงที่สุด ด้านบนแขวนป้ายหินสลักคำว่าวิญญาณเทพเอาไว้
รอบวังหินไม่มีต้นไม้ใบหญ้าและสรรพสัตว์ ทั้งยังไม่มีกระทั่งเงาคน นอกจากหินก้อนใหญ่ๆ หลายก้อนนั้น ในครรลองสายตาก็ไม่มีอย่างอื่นแล้ว
ลู่ยาเคยชินกับความว่างเปล่าเช่นนี้จึงไม่สนใจอะไร หงจวินกลับหยุดยืนอยู่บนยอดสุดของบันไดหินตำหนักหลัก หันกลับมาถามเขาว่า “เจ้าเห็นที่นี่แล้วรู้สึกอะไรบ้างหรือไม่?”
ลู่ยาขมวดคิ้ว หันกลับไปมอง เห็นเพียงความแห้งแล้ง กระทั่งสีสันอื่นยังไม่มี รวมถึงพลังชีวิตด้วย เขาอดตอบไม่ได้ “กันดารนัก เดียวดายยิ่งนัก” ไม่รู้สึกอื่นใดอีกแล้ว ทุกครั้งที่เขามาที่นี่ก็เป็นเช่นนี้ ผ่านไปหมื่นพันปีก็ไม่ได้เปลี่ยนไป
หงจวินมองเขาคราหนึ่งก่อนเดินต่อไปข้างหน้า เข้ามาในตำหนักหลัก
เพิ่งข้ามธรณีประตูไป โคมรอบด้านในโถงใหญ่ก็พลันสว่างขึ้น ทำให้ทั้งตำหนักสว่างไสว แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองกลับเป็นเพดานโค้ง มีผืนดาวแผ่ปกคลุมเหมือนกับโคมไฟ อีกทั้งมีจักรวาลมืดมิด มองไปราวไร้จุดสิ้นสุด
กลางตำหนักหลักมีกระถางหยกสามขาขนาดใหญ่ รอบกระถางหยกมีหยกฝังไว้ทั้งสี่ด้าน แต่ละด้านแกะเป็นรูปมังกรหยก เสือขาว วิหคแดง และเต่าดำ หงจวินเดินไปหน้ากระถาง ยื่นมือไปด้านบนนั้น สักครู่หนึ่งกลางกระถางพลันมีแสงสาดส่อง ค่อยๆ ทำให้ทั้งห้องโถงสว่างไสว ทิศเหนือของโถงมีบันไดปรากฏออกมา หงจวินเดินเข้าไปช้าๆ ลู่ยากับจุ่นถีและจื่อจิ้งตามเข้าไปเช่นกัน
นี่เป็นทางเดินที่ทอดยาว เป็นระเบียบแบบแผน มีเอกลักษณ์ดั้งเดิม มืดทึบ มองไม่เห็นปลายทาง ภายใต้แสงสว่างของผืนดาวจะเห็นเพียงภาพวาดธรรมดาๆ บนกำแพงเท่านั้น
เดินไปไม่รู้นานเท่าไหร่ก็พลันมาถึงปลายทาง เป็นตำหนักหินอันเย็นเยียบอีกหลัง
ในนั้นยังเห็นเพียงดาวที่ส่องสว่าง ตรงประตูมีกำแพงหยกขนาดใหญ่ ทางด้านตะวันออกมีแผ่นมงคลแปดทิศอันใหญ่ แปดทิศหกทางมีแนวหินวางเรียงราย แต่ละแนวหินล้วนมีลูกแสงที่แผ่พลังวิญญาณออกมา
ตำหนักหินนี้ธรรมดายิ่งนัก แต่กลับทำให้คนรู้สึกเต็มตื้นในใจ ราวกับเต็มไปด้วยสิ่งของมากมายในใต้หล้า
“นี่คือทางเข้าคลื่นจิตพสุธา ศิษย์พี่พาข้ามาที่นี่ทำไม?” ลู่ยาไม่เข้าใจ
ผังแปดทิศทางตะวันออกคือที่เปิดประตูคลื่นจิตพสุธา และลูกแสงทั้งหกที่วางอยู่นั้นก็คือหกวิญญาณของที่นี่ พวกเขาทั้งสี่จะผลัดเปลี่ยนกันมาดูสักครั้งทุกๆ พันปี โดยเปิดประตูดูสภาพด้านในของคลื่นจิตพสุธาและวิญญาณทั้งหก
“เจ้าไม่ได้มาที่นี่นานขนาดไหนแล้ว?” หงจวินสะบัดแขนเสื้อเรียกชุดชาและเก้าอี้ออกมา ก่อนนั่งลงบนที่นั่งประธาน จากนั้นถามเขา
ลู่ยาครุ่นคิด “ราวๆ เจ็ดแปดพันปีแล้ว”
“เช่นนั้นเจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าตำหนักนี้มีอะไรบางอย่างหายไป?”
ลู่ยามองไปรอบๆ ไม่คิดว่ามีอะไรหายไป “ปีนั้นอาจารย์สร้างตำหนักหินนี้ขึ้นมา ไม่ได้คิดจะมาอาศัยอยู่ ตำหนักวิญญาณเทพนี้มีเพียงของไม่กี่อย่างเท่านั้น มีอะไรที่หายไป?”
หงจวินมองไปยังหกวิญญาณ ก่อนถามอีก “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าพลังของพวกมันมีอะไรเปลี่ยนไป?”
ใจลู่ยาพลันกระตุก เงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงลูกแสงส่องสว่างไปทั่วด้านจนสว่างเจิดจ้า หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนยังมีคลื่นพลังวิญญาณกระจายออกมา แต่พลังนั้นกลับไม่รุนแรงอย่างที่คิด ต่างจากในความทรงจำของเขา
“หกวิญญาณนี้มีอะไรเปลี่ยนไปรึ?” เขาถาม
หงจวินตอบ “วิญญาณทั้งหกยังคงเป็นวิญญาณของหกภพ ไม่ได้เปลี่ยนไป พลังของพวกมันจะเพิ่มขึ้นเท่านั้นไม่อาจลดลงได้ ทั้งยังเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา พลังวิญญาณที่สมบูรณ์ยังสามารถสร้างพลังวิญญาณใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าออกมาได้อีกด้วย”
ตอนนี้เองที่ลู่ยาเข้าใจ
เขาพบเจอเรื่องที่พลังวิญญาณในฟ้าดินให้กำเนิดร่างใหม่ขึ้นไม่น้อย อย่างเช่นวิญญาณต้นกำเนิดเช่นพวกเขาทั้งสี่ ก็เป็นผลมาจากพลังวิญญาณในฟ้าดินทั้งสิ้น เขาถาม “เช่นนั้นทำไมถึงไม่เห็นเค้าลางเลย?”
“แต่เดิมก็มีอยู่” หงจวินกอดพู่หางม้ามองเขา “และยังกำเนิดมาได้สำเร็จด้วย เพียงแต่หลังจากนั้นหมื่นปี นางก็ตายด้วยเงื้อมมือเจ้า”
“ตายด้วยเงื้อมมือข้า?!”
ลู่ยาตกตะลึง ทั้งยังเป็นหลังจากนั้นหมื่นปี?
กรามของหงจวินเกร็งเล็กน้อย เขาเหลือบมองลู่ยาคราหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อไปยังแผ่นหยกที่ประตูด้านหน้า แสงสว่างพลันปรากฏวูบไหว จากนั้นก็ค่อยๆ มีภาพลอยขึ้นมา
แต่ลู่ยาพลันล้มลงหมดสติไปในตอนนั้น…
………………….
บทที่ 350 มีหน้าที่
โดย
Ink Stone_Romance
“เซิ่งจุน เซิ่งจุน?”
ลู่ยาได้ยินเสียงเรียกเขา ทั้งยังรู้สึกว่ามีคนตีเขาเบาๆ เขากะพริบตา ด้านหน้ามีหญิงรับใช้ยืนอยู่
หญิงรับใช้เป็นนกเพลิงตัวหนึ่ง เป็นข้ารับใช้ใกล้ชิดที่คอยดูแลกิจวัตรประจำวันของเขากับข้ารับใช้อีกหลายคน
เขากุมหน้าผากนั่งขึ้นมา สำหรับเทพเซียนอาการเมาค้างก็ไม่น่าอภิรมย์เช่นเดียวกัน แต่ที่ต่างกันคือพวกเขามีคาถากำจัดอาการปวดเหล่านั้น
เขารับเม็ดยาจากมือหญิงรับใช้มากิน
เมื่อคืนเขาเพิ่งกลับจากชิงชิว มู่หรงเสี่ยนแต่งลูกสาว แต่งองค์หญิงรองมู่หรงเสวี่ยจีให้กับจิ้งจอกขาวเหอเจ๋อ
เดิมทีเขาไม่ได้อยากให้เกียรติเผ่าจิ้งจอกเก้าหางสักเท่าไหร่ เพราะมู่หรงเสี่ยนคิดจะยัดเยียดจิ้งจอกน้อยมาเป็นศิษย์เขาตลอดเวลา ดังนั้นหลายปีมานี้เขาจึงคอยหลีกเลี่ยงอีกฝ่าย
แต่เขาครุ่นคิดดูหลายรอบแล้วก็ยังคิดไม่ออก เดิมทีป๋ายเจ๋อที่คิดจะส่งหญิงรับใช้ไปมอบของขวัญแทน กลับต้องลงไปยังโลกมนุษย์เพื่อจับหลานตนเองที่หลบหนีหน้าที่เฝ้าคุกบนสวรรค์ และตอนนั้นลู่ยาดันโชคร้ายอยู่ในเหตุการณ์พอดี จึงถูกหนี่ว์วามอบหน้าที่นี้ให้
ไปก็ไปเถิด เดิมทีก็ไม่ได้มีอะไร ไม่ว่ามู่หรงเสี่ยนจะร้องขออย่างไร เขาเพียงไม่พยักหน้ารับเป็นพอ
ดังนั้นเขาจึงมาอยู่ที่ชิงชิว
แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าจะเจอมู่หรงเส่าชิงกับลำดับที่หกแห่งตระกูลจิ้งจอกขาวพลอดรักกันอยู่!
เผ่าจิ้งจอกเก้าหางเป็นหนึ่งในเผ่าสิบเทพสงครามแห่งหอจูสวี่ ความสนิทสนมของสวรรค์อันสูงส่งกับเผ่าเหล่านี้นับว่าใกล้ชิดนัก โดยเฉพาะเผ่าจิ้งจอกเก้าหาง พวกเขามีพรสวรรค์ด้านการเอาอกเอาใจ ถึงอย่างไรมู่หรงเสี่ยนก็สนิทกับสวรรค์อันสูงส่งมาก ดังนั้นลู่ยาจึงคุ้นเคยเรื่องของเผ่าจิ้งจอกราวกับเป็นเรื่องของตนเอง
เรื่องของจิ้งจอกเงินตัวนี้กับลำดับที่หกแห่งเผ่าจิ้งจอกขาวนั้นร่ำลือกันมาตั้งแต่สองหมื่นปีก่อนแล้ว ไม่รู้ว่าต้องสิ้นเปลืองแรงไปเท่าไหร่ถึงจะแยกคนทั้งสองออกจากกันได้
ถึงแม้ชายรักชายจะเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ไม่น้อยในหกภพ แต่สองตระกูลนี้ล้วนยิ่งใหญ่ เช่นนี้จึงไม่ค่อยเหมาะสมนัก ยิ่งไปกว่านั้นลำดับที่หกของเผ่าจิ้งจอกขาวยังเป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในเผ่าคนหนึ่ง เป็นความหวังของตาเฒ่าจิ้งจอกขาว ทั้งยังหวังให้เขาให้กำเนิดจิ้งจอกน้อยหลายตัวเพื่อสืบทอดสายเลือด พวกเขาทำแบบนี้ ตาเฒ่าจิ้งจอกขาวต้องโกรธแน่!
แน่นอนว่าฝ่ายจิ้งจอกเก้าหางก็แข็งไม่แพ้กัน ลูกชายบ้านใครก็ไม่ใช่ว่าจะเอาไว้สืบทอดหรอกหรือ? พวกเขาจิ้งจอกขาวคิดว่าเสียเปรียบ ทางด้านจิ้งจอกเก้าหางก็คิดว่าเสียเปรียบยิ่งกว่า พวกเขาเป็นถึงจิ้งจอกเก้าหางเชียว!
ทั้งสองเผ่าทะเลาะกันรุนแรงเพราะสองคนนี้อยู่หลายปี
แต่ต่อให้บนโลกมีดาบที่คมกว่านี้ก็ไม่อาจตัดสายใยรักได้ ถึงที่บ้านจะไม่ยอมรับแต่พวกเขายอมรับ เบื้องหน้าไม่อาจแสดงออกได้ก็แอบติดต่อกันลับหลัง ต้องส่งคนไปติดตามทั้งสองคนที่หนีตามกันไป จนจิ้งจอกเก้าหางและตาเฒ่าจิ้งจอกขาวเริ่มใกล้ทนความอับอายไม่ไหว สุดท้ายหาวันนั่งจับเข่าคุยกัน แน่นอนว่าบรรยากาศไม่รื่นรมย์นัก แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ ตกลงกันได้
ตอนที่จิ้งจอกเงินกับลำดับหกแห่งเผ่าจิ้งจอกขาวรอข่าวการเจรจาจากพวกคนเฒ่าคนแก่ ข่าวร้ายกลับตัดหน้ามาถึงพวกเขาก่อนราวสายฟ้าฟาดในวันฟ้าครึ้ม…พวกเขาตัดสินใจให้ทั้งสองตระกูลแต่งงานดองกัน แต่กลับไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาทั้งสอง เป็นมู่หรงเสวี่ยจีแต่งให้กับลำดับที่ห้าแห่งเผ่าจิ้งจอกขาวแทน! ส่วนเรื่องของพวกเขาก็ยังต้องควบคุมกันต่อไป!
จิ้งจอกเฒ่าก็คือจิ้งจอกเฒ่า ความขัดแย้งกลายเป็นความปรองดอง แต่ความปรองดองเหล่านั้นกลับจำกัดความสุขของพวกเขาทั้งสองไว้! ตั้งแต่นี้การไปมาหาสู่ระหว่างทั้งสองเผ่าจะบ่อยขึ้น หากเพียงมีลมพัดหญ้าขยับ ทั้งสองฝั่งก็จะรู้กันหมด นับว่าขัดขวางสายสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ตั้งแต่เจราจาตกลงให้มู่หรงเสวี่ยจีแต่งงานกับลำดับที่ห้าสำเร็จ
ไม่อาจไม่บอกว่าพวกจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นัก
แต่ตอนที่เผ่าทั้งสองจัดงานแต่ง พวกเขาทั้งสองก็ลอบพบกันอีก! ทั้งยังเป็นคืนก่อนที่มู่หรงเสวี่ยจีจะออกเรือน!
ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่และเวลาที่พวกเขาเลือกยังเป็นจุดพักผ่อนหลังร่ำสุราของเทพสูงส่งผู้นี้อีก!
ลู่ยานอนหนุนแขนอยู่ท่ามกลางดอกโบตั๋น และฝ่ายนั้นก็ทำราวกับไม่มีคนอยู่…แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเขา…ทั้งสองบอกความในใจกันอยู่ในโลกส่วนตัว คำรักที่โต้ตอบไปมานั้นทำให้คนแก่อย่างเขาหน้าแดง!
…ภายหลังเขากำลังคิดจะจากไป มู่หรงเสี่ยนกลับเดินเข้ามาพอดี จิ้งจอกทั้งสองหนีไม่ทัน ถูกจับแยกกันทันที บ้านจิ้งจอกขาวที่มาดองด้วยยังไม่ทันได้รับสะใภ้ใหม่ ก็ต้องจับตัวเหอเจ๋อกลับไป ส่วนฝ่ายจิ้งจอกเงินถูกมู่หรงเสี่ยนทอนพลังบำเพ็ญไปสามหมื่นปี ทั้งยังถูกส่งไปขังที่แท่นขังวิญญาณ
ลู่ยาไม่ใคร่สบายใจนัก หากตอนนั้นเขาไม่ซ่อนอยู่ในพุ่มดอกไม้ มู่หรงเสี่ยนคงไม่มาตามหาเขาถึงที่นี่
เขาไม่มาหา จิ้งจอกเงินก็ไม่ต้องโดนตัดพลังบำเพ็ญไปสามหมื่นปี
เมื่อคืนเขาจึงไปหามู่หรงเสี่ยนเพื่อคุยเรื่องความรักของจิ้งจอกเงิน ถึงแม้เป็นเรื่องในบ้าน ทว่าแม้แต่บรรพบุรุษก็ยังเป็นผู้รับใช้สวรรค์อันสูงส่ง ลู่ยาออกปากขอร้องมีหรือเขาจะไม่ฟัง? ดังนั้นจึงปล่อยจิ้งจอกเงินออกมา ทำให้จิ้งจอกเงินตื้นตันใจจนน้ำหูน้ำตาไหล คิดดูแล้วก็ไม่มีสิ่งใดตอบแทนได้ สุดท้ายจึงมอบวิชายั่วยวนให้เขา
ถึงแม้เขาไม่มีความคิดจะไปล่อลวงใคร แต่เขาใช้วิชานี้ไม่เป็น เอาไว้ศึกษายามเบื่อก็ไม่เลว
เมื่อกลับถึงสวรรค์เซียนหญิงรับใช้ก็จุดโคมแล้ว เขามุ่งตรงกลับไปยังวังชิงเสวียน เมาจนหลับไม่รู้เรื่อง ไม่นานลืมตาขึ้นมาถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องไปรายงานผลที่หอจูสวี่
เหล่าหญิงรับใช้เข้ามาแปดเก้าคน จัดเสื้อคลุม หยิบหวี ส่งผ้าเช็ดหน้า พูดอย่างนอบน้อม วังชิงเสวียนที่ยิ่งใหญ่หรูหรามีแสงส่องไปรอบด้าน เครื่องดนตรีขับขานจนครึกครื้น
“น้องสี่!”
ทางนี้เพิ่งจัดการเรียบร้อย เสียงหนี่ว์วาก็ลอยเข้ามา
ลู่ยายืนขึ้น เลิกม่านมุกเดินออกไป หนี่ว์วายืนอยู่กลางโถง คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย พูดกับเขาที่เดินเข้ามาว่า “กินเหล้าอีกแล้ว? มู่หรงเสี่ยนนี่ยิ่งนานไปยิ่งไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ เห็นเจ้าเป็นถังเหล้าหรือไร”
เสียงของหนี่ว์วาอ่อนโยนและอบอุ่น ถึงแม้จะเป็นการบ่น แต่กลับไม่ทำให้คนฟังรู้สึกแย่
ลู่ยาพูด “แค่ดื่มเหล้าไม่กี่จอกเท่านั้น” เขายกแขนเสื้อขึ้นมา “ท่านดมดู ไม่เห็นเหม็น”
น้ำเมาทำร้ายร่างกายเขาไม่ได้ ลู่ยารู้ว่าศิษย์พี่คนนี้ของเขาเพียงแค่ไม่ชอบที่เขาเมาจนหัวราน้ำเท่านั้น ตั้งแต่เล็กมีเพียงหนี่ว์วาเลี้ยงดูเขามา พูดให้ถูกต้องคือนางเอ็นดูเขาราวกับเป็นลูกชายของตัวเองมากกว่าจะเป็นศิษย์น้อง ในสายตาของนางเขาคือเด็กที่น่ารักที่สุดในโลกใบนี้ เป็นชายหนุ่มที่งดงามที่สุด แววตาเวลามองเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
“รู้แล้ว”
หนี่ว์วายิ้มน้อยๆ เห็นได้ชัดว่านางก็บ่นไปตามเรื่องเท่านั้น นางยื่นมือทั้งสองออกไปช่วยจัดครอบมวยผมของเขา จากนั้นจัดผมที่ระอยู่บนไหล่เขา พูดว่า “ข้ามีเรื่องจะมอบหมายเจ้า เซียนหญิงที่คลื่นจิตพสุธาใกล้ถือกำเนิดออกมาแล้ว อีกไม่กี่วันนี้เอง ศิษย์พี่ใหญ่กำลังปิดด่านหลอมยา ศิษย์พี่รองไม่อยู่ เจ้าว่างที่สุด ดังนั้นเจ้าไปเฝ้าเสีย”
“เร็วเช่นนี้เชียว?”
เขาเดินเข้าไปกดเปิดดูกำแพงศักดิ์สิทธิ์
หกวิญญาณในคลื่นจิตพสุธาดูดซับพลังมาเป็นแสนปี และเริ่มให้กำเนิดวิญญาณขึ้นมาใหม่แล้ว วิญญาณนี้เป็นวิญญาณต้นกำเนิด หลังจากเกิดมาแล้วจะมีไอมงคลของภพเทพ ไอวิญญาณของภพเซียน ความทรงอำนาจของภพมาร แรงดึงดูดของภพปีศาจ ภาพมายาของภพวิญญาณ และปัญญาของภพมนุษย์
…………………………………….
บทที่ 351 เจ้าช่างหล่อเหลาเสียจริง
โดย
Ink Stone_Romance
นางมีความสามารถควบคุมหกวิญญาณ เนื่องเพราะรวมความสามารถของหกวิญญาณไว้ด้วยกัน ดังนั้นผลจากพลังวิญญาณของนางจึงยังเหนือกว่าหกวิญญาณเสียอีก
“ไม่เร็วนักหรอก” หนี่ว์วาเดินเข้ามาพูด “เทพหญิงเริ่มถือกำเนิดเมื่อหลายแสนปีก่อน หมื่นปีก่อนก็เกิดเป็นรูปร่างแล้ว ข้าคำนวณไว้ว่าควรจะมาจุติตั้งแต่เมื่อห้าสิบปีก่อน คิดไม่ถึงว่าจะยืดเยื้อมาอีกห้าสิบปี”
ลู่ยาลูบคาง ไม่มีความเห็นอะไร อย่างไรหากเขาว่างก็คือว่าง ไปก็ไปเถิด
เขาเก็บกำแพงศักดิ์สิทธิ์ เตรียมตัวออกเดินทาง
หนี่ว์วาไปส่งเขาที่หน้าประตู “เจ้าต้องรอให้เทพหญิงควบคุมพลังเป็นก่อนถึงจะกลับมาได้”
“ข้ารู้แล้ว”
เขาขึ้นเมฆไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
อาศัยเวลาเพียงชั่วกินผลไม้ผลหนึ่ง เขาก็มาถึงคลื่นจิตพสุธา
พวกเขาสี่คนมาที่นี่ทุกพันปี นี่เป็นเรื่องซึ่งวางแผนไว้แล้ว หากระหว่างนั้นเกิดเรื่องแล้วต้องมาจะไม่นับ
ในเมื่อมีหน้าที่อยู่จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ แต่ถ้าพูดจากใจจริงเขาก็ไม่อยากมา
เพราะที่นี่กันดารไม่มีคน เงียบสงัดนัก ไม่น่าอยู่จริงๆ และโดยพื้นฐานเขาก็ชอบเดินภูเขาเล่นน้ำ หลงใหลทิวทัศน์สวยงามมากกว่า
เขาเดินโงนเงนตรงไปตำหนักวิญญาณเทพ ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปในประตู พลังวิญญาณด้านในก็หลั่งไหลออกมาทำให้เส้นผมของเขาพลิ้วไหว
พอเข้าไปดูด้านใน ตรงกลางห้องโถงที่ว่างเปล่าถูกเติมเต็มด้วยพลังวิญญาณ แสงสว่างสะท้อนไปทั้งสี่ทิศ ไอมงคลแผ่ออกไปรอบด้าน และต้นกำเนิดของพลังวิญญาณนี้ก็มาจากวิญญาณทั้งหกบนกำแพงฝั่งตะวันออก ปลายสุดของพลังเหล่านั้นคือลูกแสงสว่างขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่กลางอากาศ
แสงลูกกลมนั้นมีลักษณะคล้ายรังนก รอบๆ เห็นแค่เพียงเส้นของ ‘เส้นหญ้า’ แต่ ‘เส้นหญ้า’ กลับอัดแน่นด้วยรากฐานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ พวกมันถักทอขึ้นอย่างแน่นหนาจนกลายเป็นรังนกขนาดใหญ่
รังนกนี้หมุนอยู่กลางอากาศอย่างเชื่องช้า บางครั้งก็เกิดประกายฟ้าแลบฟ้าร้อง แม้ไม่ถึงกับรุนแรงอะไร แต่ก็ดูออกได้ว่าเทพหญิงใกล้จะออกมาจากรังนกแล้ว
ลู่ยาเรียกตั่งเบาะนิ่มออกมานั่งขัดสมาธิ การรอครั้งนี้กินเวลาสามวันสามคืน
รังนกนี้ก็หมุนอยู่ในสายตาเขาถึงสามวันสามคืนเช่นกัน แต่ภายในช่วงเวลานั้น ด้านนอกวังกลับไม่สงบ มีเสียงนกร้องขับขาน บินว่อนเต้นรำ พระอาทิตย์พระจันทร์เจิดจ้าพร้อมกัน ไอมงคลกำจายไม่หยุด ทั่วทั้งฟ้าดินร่วมยินดีกับการมาจุติของเทพหญิง
แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะหมุนไปอีกนานเท่าไหร่ และพูดตามตรง เขาก็มึนอยู่บ้างเหมือนกัน
ดังนั้นลู่ยาจึงตัดสินใจงีบรอ อันที่จริงก็แค่มาสอนนางควบคุมพลังเท่านั้น
แต่เพิ่งหลับตาลง ทันใดนั้นสายฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมา! ตามด้วยครั้งที่สองและสาม ต่อเนื่องกันจนครบสามสิบหกครั้ง! จากนั้นพลังวิญญาณในห้องก็กระเพื่อมไหวรุนแรงขึ้น คลื่นนั้นเกือบทำให้เขากลิ้งไป! แต่แน่นอนว่าเขาไม่กลิ้งไปง่ายขนาดนั้น เขายังไม่ทันได้ใช้อาคมด้วยซ้ำ
เขาแปะยันต์สงบใจไว้บนรังนกวิญญาณสองแผ่น ไม่นานนักพลังนั้นก็สงบลง
ผ่านไปอีกสักครู่หนึ่ง เสียงคำรามของสายฟ้าก็เงียบลง แสงสว่างสาดส่องออกไปทางหน้าต่าง พื้นดินที่กันดารเวิ้งว้างด้านนอกพลันมียอดอ่อนสีเขียวผุดขึ้นมา! ยอดอ่อนนี้เริ่มผุดเรียงรายข้างชายคา จากนั้นแตกหน่อ ออกดอก งอกเงยสูงขึ้น ผ่านไปราวครึ่งวันก็มีกลิ่นของดอกไม้ลอยเข้ามา! ดอกไม้นานาชนิดงอกเงยอยู่ข้างนอกตำหนัก ต้นไม้ใบหญ้าก็กำลังเติบโตในความเร็วระดับที่สายตามองเห็นได้
“ปัง!”
ลู่ยากำลังดมกลิ่นดอกไม้ ก็พลันมีเสียงดังขึ้นมาจากด้านใน
ช่วงที่ดอกไม้บาน พลังวิญญาณทั้งหมดกลับไปที่เดิม เวลานี้กลางห้องโถงเหลือเพียงรังนกเท่านั้น!
เสียงปังที่ดังขึ้นมาเป็นเสียงของรังนกที่ตกลงพื้น ลู่ยามองไป เห็นว่าบนยอดรังนกค่อยๆ มีศีรษะโผล่ออกมา ตามด้วยดวงตาโตสีขาวดำตัดกันชัดเจนที่ปรากฏขึ้นพลางกะพริบปริบๆ
จากนั้นมือที่สะอาดหมดจดราวกับหยกขาวก็เกาะขอบรังนกไว้เบาๆ ดวงตาทั้งสองหลบอยู่ด้านใน มองไปรอบๆ อย่างช้าๆ ก่อนจะมาหยุดที่ใบหน้าของลู่ยา สบตากับเขาแล้วกะพริบ
ตอนที่ดวงตาคู่นั้นเปิดออก ราวกับรวมรวบแสงสว่างทั้งหมดบนโลกนี้เข้าไว้ด้วยกัน
เพียงกะพริบตาก็เหมือนแยกเขากับสรรพสิ่งบนโลกออกจากกันได้
ลู่ยาก็กะพริบตาใส่นาง พอนางกะพริบ เขาก็กะพริบอีก
เสียงหัวเราะคิกคักดังออกมาจากรังนก ดวงตาคู่นั้นยกโค้งขึ้น รังนกเอนเอียงลง หญิงสาวที่ผมยาวระพื้นกระโดดออกมา ร่างกายของนางเปลือยเปล่า นางลากผมดำที่งดงามราวไหมเดินตรงเข้ามาหาลู่ยา มองหน้าเขานิ่งๆ อยู่หลายวินาที ดวงตาส่องประกายสดใส “เจ้าช่างหล่อเหลาเสียจริง!”
สายตาของลู่ยาที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในระดับเดียวกับทรวงอกนางพอดี ทั้งตัวเขาเกือบจะระเบิดออกมาแล้ว!
เขาไม่คิดเลยว่าก่อนถือกำเนิดนางจะเป็นสาวน้อยเต็มวัยได้ขนาดนี้! ทั้งยังเป็นสาว…ปีศาจสาวร่างเปลือยเปล่าที่เติบโตขึ้นอย่างดี!
ใบหน้าเขาร้อนเห่ออยู่สามวินาที วินาทีที่สี่เขาถึงถอดเสื้อคลุมบนร่างออกมา ห่อร่างนางไว้ราวกับห่อบ๊ะจ่าง
“เจ้าพูดได้?” เขากดเลือดลมที่เดือดพล่านลงไป ถามด้วยน้ำเสียงเครียดขรึมกว่าปกติมาก
“พูดได้คืออะไร?” นางก้มหน้ามองร่างกายที่ถูกห่อจนมิดชิด ก่อนเงยหน้าขึ้นถามเขา
“ก็คือเหมือนกับข้าเช่นนี้” ลู่ยาชี้ลำคอตัวเอง “ข้ากับเจ้ากำลังออกเสียง นี่คือการพูด”
เทพหญิงพยักหน้าทันที สายตามองที่คอของเขา จากนั้นมองหน้าอก แล้วก้มหน้ามองตนเอง นางพลันยื่นมือเกลี้ยงเกลาออกจากเสื้อคลุมที่ห่อไว้แน่นหนามาลูบลำคออีกฝ่าย มือของนางหยุดอยู่ที่ลูกกระเดือกลู่ยา ก่อนค่อยๆ ลูบเลื่อนลงมาตามลำคอ กระดูกไหปลาร้า และหน้าอก
ตอนที่นางคิดจะเลื่อนมือลงไปอีก ลู่ยาก็จับมือนางไว้ “สามหาว!”
“สามหาวคืออะไร?” นางเงยหน้าขึ้น มองเขาอย่างไม่เข้าใจ
ลู่ยาไม่รู้ว่าจะพูดกับนางอย่างไร
หนี่ว์วาไม่เห็นบอกเขาเลยว่าเหตุการณ์จะเป็นแบบนี้ จะจัดการอย่างไรดี?
นางเป็นหญิงที่เกิดจากหกวิญญาณ พูดได้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นอกจากพูดได้แล้วนางกลับทำอะไรไม่เป็นเลย นอกจากพูดได้ตั้งแต่เกิด นางไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่เขาพูดสักนิด หนี่ว์วายังให้เขาสอนนางควบคุมพลัง นั่นน่ะจะสอนอย่างไร? สอนทีละคำหรือ?
เขาพลันรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
หากรู้มาก่อนว่าจะเป็นแบบนี้ เขาคงจะให้หุนคุนมาแทน!
เรื่องสั่งสอนเด็กสาวเนี่ย หุนคุนถนัดที่สุดแล้ว!
“สามหาวคืออะไร?” นางถามเขาอย่างไม่ลดละ แต่สายตากลับเอาแต่จ้องมองไปยังส่วนที่ถูกเสื้อผ้าปิดบังของเขา
ลู่ยากระชับเสื้ออย่างพูดไม่ออก ก่อนยืนขึ้น “วันหลังข้าจะสอนเจ้า ตอนนี้ตามข้าไปยังที่พักก่อน”
เทพหญิงขมวดคิ้วครุ่นคิด พิจารณาคำว่าที่พัก
ลู่ยาจนปัญญา ดึงนางขึ้นมาแล้วพาเดินออกไปอย่างเหนื่อยหน่าย
ท่าทางแบบนี้ คงจากไปไม่ได้ในเวลาอันสั้น
ดีที่สถานที่กว้างใหญ่ อยู่กันสองคนไม่เป็นปัญหา
ลู่ยาเลือกเรือนทางทิศตะวันตกของตำหนักวิญญาณเทพ ก่อนอื่นก็สร้างหญิงรับใช้ขึ้นมา ให้ทำความสะอาดทั้งด้านนอกและใน แล้วจึงสร้างเครื่องเรือน โต๊ะเก้าอี้เตียงตู้ คิดดูแล้วหลังจากนี้ที่นี่คงเป็นบ้านของเทพหญิงนางนี้ เมื่อมองในระยะยาวแล้วจึงได้เปลี่ยนจากภาพมายาเป็นของจริง
ตอนที่จัดการงานเหล่านี้ เทพหญิงเดินตามหลังเขา ถึงแม้นางจะยังไม่รู้เรื่องแต่กลับฉลาดเฉลียวนัก ชื่อเครื่องเรือนที่ลู่ยาเอ่ยออกมาเมื่อผ่านหูแล้วก็ไม่ลืม เขาบอกนางว่าหลังจากนี้ต้องอยู่ที่นี่ ที่นี่คือบ้านของนาง นางต้องทำอะไรบ้าง นางก็ฟังเข้าใจสักเจ็ดแปดส่วน ดังนั้นเมื่อผ่านไปครึ่งวัน นางก็รู้เรื่องเทียบเท่ากับเด็กห้าขวบแล้ว
………………………….
บทที่ 352 มานอนกับข้า
โดย
Ink Stone_Romance
เมื่อถึงยามพลบค่ำก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง
เหล่าหญิงรับใช้ทนพลังของคลื่นจิตพสุธาไม่ไหว ต่างก็กลายร่างกลับเป็นนกไปนานแล้ว
เรื่องที่เหลืออยู่ได้แต่ให้ลู่ยาจัดการ
ยามค่ำคืนเขาพานางมาที่ห้องของตนเอง เหล่าหญิงรับใช้ที่แยกไปแล้วเตรียมเสื้อคลุมไว้ให้เรียบร้อย เขาสอนนาง “สิ่งนี้ไว้ใส่บนตัว อันนี้คือกระโปรง อันนี้สายคาดเอว ส่วนนี่คือปิ่นปักผม และนี่คือต่างหู ส่วนนี่คือกำไล เจ้าชอบอันไหนก็ใช้อันนั้น” สิ่งของทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เขาเลือกมาแล้ว แต่ไม่แน่ว่าจะต้องถูกใจนาง
เทพหญิงมองเสื้อในมือซ้าย ก่อนมองกระโปรงในมือขวา “ทำไมต้องใส่เสื้อผ้า?”
ลู่ยาจนปัญญา ก่อนตอบว่า “เพราะร่างเปลือยเปล่าไม่น่าดู”
“ทำไมต้องน่าดูด้วย?”
“เพราะคนมียางอาย” เหงื่อของลู่ยาซึมออกหน้าผาก
เทพหญิงนิ่งไป “เช่นนั้นข้าไม่ต้องการรักษาหหน้า ข้าไม่ใส่เสื้อผ้าได้หรือไม่?”
“ไม่ได้!” ลู่ยาระเบิดโทสะ ทว่าไม่อาจไม่สะกดกลั้นอารมณ์ “ทุกคนต้องสวมเสื้อผ้า ยกเว้นแต่ก็ตอนอาบน้ำเท่านั้น”
เทพหญิงจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมที่ห่อหุ้มร่างอยู่ออก
ลู่ยาหลับตาหมุนตัวไป แต่จะมีประโยชน์อะไร? เสียงสวบๆ สาบๆ ตอนที่นางเปลี่ยนเสื้อผ้าดังเข้ามาในหูอยู่ดี เหมือนกับเปิดตาดู ไม่ต่างอะไรกันเลย คลื่นจิตพสุธานี้ไม่ใช่ว่าใครคิดจะมาก็มาได้ มิฉะนั้นแล้วเขาคงเรียกเหล่าหญิงรับใช้มาดูแลนางแล้ว อีกทั้งบนร่างนางยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนกลิ่นดอกไม้นานาชนิด นี่ยิ่งทำให้ใจคนปั่นป่วน
ลู่ยารู้สึกว่าตนเองได้ตัวปัญหามา แต่เขาก็จากไปไม่ได้ เพราะถ้าไปเขาก็กลัวว่านางจะแก้ผ้าวิ่งไปด้านนอก
ถึงแม้ที่นี่จะมีพวกเขาเพียงสองคน ไม่กลัวใครอื่นจะมาเห็น แต่หญิงสาวคนหนึ่ง…ทั้งยังเติบโตมาดีเยี่ยมเช่นนี้ เป็นหญิงสาวที่ผิวพรรณงดงาม…ทันใดนั้นเขาก็พลันคิดถึงภาพก่อนหน้านั้นอีก จินตนาการถึงแล้วช่างทำให้คนจนคำพูดจริงๆ
“ข้าสวมเสร็จแล้ว”
ลู่ยาถอนหายใจ สักพักจึงค่อยหันกลับไปเปิดตา เพียงเห็นก็ตกตะลึง
เขายังคิดว่านางที่เป็นเช่นนี้ต้องมือเท้างุ่มง่าม สวมอะไรกลับที่กลับทาง เขาเตรียมใจสอนนางใหม่อีกครั้งอยู่แล้ว แต่นางที่อยู่ตรงหน้ากลับสวมเสื้อได้อย่างไม่ผิด กระทั่งสายคาดเอวยังสวมได้พอดิบพอดีนัก ถึงแม้สาบเสื้อจะยังเบี้ยวเล็กน้อย ชายกระโปรงเฉียงไปหน่อย แต่สำหรับคนที่สวมเสื้อครั้งแรกก็นับมาดีมากแล้ว
“เจ้าสวมเสื้อได้เก่งแบบนี้ได้อย่างไร?” เขาถามอย่างตกตะลึง
“เมื่อครู่ข้าเห็นว่าพวกหญิงรับใช้ล้วนแต่งตัวแบบนี้” นางตอบพลางก้มหน้ามองตนเอง
ลู่ยาดีใจจริงๆ
คิดไม่ถึงว่าเทพหญิงผู้นี้จะฉลาดเฉลียวเช่นนี้!
เช่นนี้แล้ว ใช้เวลาไม่นานเขาคงจะจากไปได้
“ดีมาก” เขามองนาง สายตาตกลงไปยังปลายเท้าขาวเกลี้ยงเกลาราวไข่มุกคู่หนึ่งที่ใต้กระโปรง เอ่ยว่า “ตอนนี้ขาดรองเท้าอีกคู่หนึ่ง” พูดจบเขาก็ยื่นมือออกมาคว้าอากาศ รองเท้าต่างสีปักลายเมฆสามสี่คู่ปรากฏขึ้นมาบนมือเขา “เจ้ามาดูว่าชอบคู่ไหน”
เทพหญิงมองเท้าเขา เลือกสีที่เหมือนกับรองเท้าเมฆสีรุ้งที่เขาใส่
“เช่นนั้นตอนนี้พวกเราต้องทำอะไร” นางถามหลังจากสวมเสร็จแล้ว
“นอน”
ลู่ยาพูดพลางเดินออกไปข้างนอก เดินไปหลายก้าวก็รู้สึกเหมือนด้านหลังมีหางอยู่ เมื่อมองไปกลับเห็นนางเดินตามมา จึงพูดว่า “เจ้าตามข้ามาทำไม?”
“จะนอนกับเจ้า” เสียงของนางหวานราวกับน้ำพุตามธรรมชาติ
ลู่ยาชะงัก หันมาเอ่ยว่า “ข้าหมายความว่าเจ้านอนห้องเจ้า ข้านอนห้องข้า”
เทพหญิงมองไปตามทิศที่เขาชี้ มองสิ่งที่ขวางกั้นห้องทั้งสอง ก่อนพูด “ข้าอยากนอนกับเจ้า”
“ไม่ได้!” ลู่ยาปฏิเสธ
แต่เพิ่งพูดจบนางกลับกระทืบเท้า!
แรงกระทืบนี้ทำให้รอบด้านตำหนักหินสั่นไหว!
“ข้าไม่อยากนอนกับเตียง ข้าอยากนอนกับเจ้า”
นี่มันตรรกะอะไรกัน!
ลู่ยายังไม่ทันได้ตอบอะไร ก็ถูกนางลากกลับห้องไป
เมื่อครู่ยังเป็นวิญญาณบริสุทธิ์ว่านอนสอนง่ายอยู่เลย ตอนนี้กลับกลายเป็นวางก้ามเอาแต่ใจ!
ลู่ยาเพิ่งนึกถึงเรื่องเกี่ยวกับลักษณะพิเศษของนางขึ้นมาได้ จึงรีบพิจารณานางโดยละเอียดถี่ถ้วน เห็นเพียงใบหน้าราบเรียบปราศจากความโกรธ เหมือนกับตั้งใจและสงบอยู่ตลอดเวลา ราวกับไม่ว่าจะทำอะไรก็ล้วนสำเร็จราบรื่นไม่มีขวากหนาม ใบหน้ากระจ่างของนางนี้ ไม่ว่าจะใส่คุณลักษณะอะไรลงไปก็ไม่แปลกแม้แต่น้อย!
ลู่ยาไม่กล้าลงมือกับนาง พลังวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของนางยากจะจินตนาการได้ หากต้องปะทะกัน ไม่เจ้าบาดเจ็บก็ข้าบาดเจ็บ ประเด็นคือใครเจ็บก็ไม่ดีทั้งนั้น!
เขาเลือกที่จะประนีประนอม ตามนางเข้าห้องไปอย่างว่าง่าย
เมื่อมาถึงหน้าเตียง เทพหญิงลากเขาเขาก็ไม่ขยับแล้ว นางยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนหันมาถาม “นอนนี่ต้องนอนกันยังไง?”
ลู่ยาสะกดกลั้นไม่ให้กระอักเลือด ชี้ไปที่เตียง “เจ้าขึ้นเตียงไปก่อน จากนั้นนอนลงไป”
เทพหญิงลากเขาไปที่หน้าเตียง “เจ้านอนให้ข้าดูก่อน”
ลู่ยารู้สึกเหมือนตนเองถูกแม่เสือสาวลากตัวขึ้นเขาเอามาทำสามี เขารับคำแล้วขึ้นเตียงไป นั่งลง จากนั้นก็เอนนอนลงไป แสดงให้นางดู “ทำแบบนี้”
เทพหญิงพยักหน้า เคลื่อนตัวเข้ามาที่หน้าเตียง แล้วขึ้นมานอนทับบนตัวเขา
ลู่ยาแทบจะกระอักเลือดออกมา…แล้วนี่จะนอนได้อย่างไร?
เขาลุกขึ้นมาจากใต้ร่างนางอย่างจนคำพูด ตบหมอนที่ข้างตัว “ไม่ใช่นอนแบบนั้น คนต้องนอนบนเตียง ไม่สามารถนอนบนตัวคนได้ เจ้าไม่ใช่นักกายกรรม”
เทพหญิงเชื่อฟัง ลงมานอนข้างเขา นอนไปครู่หนึ่งนางก็พลันหันตัวมาเขยิบเข้ามาใกล้ เอาหัวหนุนอกเขา กอดก่ายเอวเขาไปครึ่งตัว “ข้าชอบเล่นกายกรรมกับเจ้า” เสียงของนางเจือด้วยความบริสุทธิ์โดยธรรมชาติ ไม่มีจริตจะก้าน เป็นครั้งแรกที่ลู่ยาไม่รังเกียจผู้หญิง
เขาจนปัญญาจริงๆ
โตขนาดนี้เพิ่งเคยนอนร่วมเตียงกับหญิงสาว
แน่นอนว่ามีครั้งแรกย่อมมีครั้งที่สอง นับแต่นั้นมา ร่างของเขาก็กลายเป็นหมอนให้นางหนุน ตอนกลางวันเขาทำตัวเป็นจอหงวนสอนเรื่องในชีวิตประจำวันให้นาง ส่วนกลางคืนถูกนางใช้เล่นกายกรรม ยามตะวันโผล่จากฟ้าหรือพลบค่ำ เขาก็จะพานางออกไปรู้จักดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว ดูฟ้าผ่าฝนตก
ไม่รู้นางมองเขาเป็นอะไร เงาตามตัวหรือมารดา แต่ก็เดินตามติดเขาทุกฝีก้าว
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่ใช่คนยอมคน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านางกลับถูกขัดเกลาจนแม้แต่ความโกรธก็ไม่มีแล้ว
ทว่าความฉลาดเฉลียวของเทพหญิงนั้นเห็นได้ชัดมาก
ผ่านไปสิบวัน สติปัญญาของนางก็เทียบเท่ากับคนธรรมดาอายุสามสิบปี เดือนหนึ่งผ่านไป นางมีสติปัญญาของคนอายุสองร้อยปี และผ่านไปอีกหลายเดือน สติปัญญาของนางอยู่ราวๆ คนอายุพันกว่าปี นอกจากไม่เคยออกไปเผชิญโลกกว้างแล้ว นางเข้าใจอักษรโบราณที่เกิดขึ้นในแสนปีนี้ได้ทั้งหมด และก็รู้ที่มาที่ไปของเก้าทวีปสี่ทะเลจนถึงการแบ่งแยกฟ้าดิน
แน่นอน เรื่องแรกสุดที่ลู่ยาสอนนางคือที่มาที่ไปของตัวนางเอง รวมถึงอาคมและภาระหน้าที่ของนาง จากนั้นค่อยเล่าประวัติศาสตร์เก่าแก่ของการกำเนิดสวรรค์พิภพให้นางฟัง
เพียงได้เห็น เทพหญิงก็จะไม่มีวันลืม เขาพูดตรงไหนนางก็จำได้เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรง แน่นอนบางครั้งนางก็ไม่เข้าใจเพราะเป็นการพูดแบบกางตำรา แต่โดยพื้นฐานทั้งสองคนแลกเปลี่ยนสนทนากันแล้วไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
……………………….
บทที่ 353 อยากใช้แซ่ตามสามี
โดย
Ink Stone_Romance
ลู่ยาเริ่มค่อยๆ สอนนางควบคุมฤทธิ์ทีละขั้น
พลังบำเพ็ญของนางเริ่มสะสมตั้งแต่ถือกำเนิดแล้ว ดังนั้นจึงมีความสามารถในการควบคุมหกวิญญาณ
แต่เพราะพลังบำเพ็ญไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกับพลังวิญญาณ ดังนั้นพลังวิญญาณของนางจึงไม่มีรูปแบบ ทั้งยังสามารถระเบิดออกมาตามอารมณ์ต่างๆ หากไม่สอนนางควบคุม นอกจากจะมิอาจใช้ประโยชน์จากพลังวิญญาณนี้ได้ถูกต้องแล้ว ยังจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอีก
ลู่ยาเห็นนางฉลาดเฉลียวเช่นนี้ จึงสอนนางไปอย่างช้าๆ
ทุกวันตอนเช้าฝึกพลังวิชาสองชั่วยาม ตอนบ่ายพานางไปอ่านหนังสือเรียนอักษร หรือไปอาบแดดและถือโอกาสสอนนางเรื่องอื่นๆ เล็กน้อย
แต่ก่อนรอบๆ คลื่นจิตพสุธาเป็นเพียงความว่างเปล่า แต่หลังจากที่นางมาจุติ ดอกไม้ใบหญ้าก็ค่อยๆ งอกเงย ผ่านไปไม่กี่เดือน อาศัยพลังวิญญาณของนาง ที่ที่แต่ก่อนทุรกันดารก็ถูกแต่งแต้มด้วยสีเขียว สถานที่ที่นางเคยไปมีดอกไม้นานาพรรณบานสะพรั่ง ต้นไม้สูงตระหง่าน แม้แต่ผลไม้ป่าก็ยังหอมหวานเป็นพิเศษ
การมาจุติของนางก็ทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน อวี้ตี้หวังหมู่และทวยเทพทั้งสี่ทิศต่างก็มากราบไหว้ แต่ก็ถูกลู่ยาขวางไว้ที่ด้านนอก
นางสำคัญเกินไปและแข็งแกร่งเกินไป เขาจำต้องให้นางมีจิตใจที่เติบโตมั่นคงก่อนแล้วค่อยให้นางรับการเคารพบูชา
เทพสาวไม่รู้เรื่องเหล่านี้ หลังจากมาจุติเห็นแต่เพียงลู่ยาเพียงคนเดียว โลกของนางมีเพียงเขาเท่านั้น ถึงแม้ลู่ยาจะเล่าเรื่องความโหดร้ายและความรุ่งเรืองของโลกนอกคลื่นจิตพสุธา เล่าเรื่องความรักความแค้นมากเท่าไหร่ ถึงแม้นางจะเข้าใจ แต่ก็เหมือนกับแมลงปอที่แตะลงบนผิวน้ำเพียงแผ่วเบาเท่านั้น
นางไม่เข้าใจว่าอะไรคือความรักหนุ่มสาว ความรักแบบครอบครัว และความรักแบบเพื่อน ความรู้สึกทั้งหมดของนางเกิดเพราะลู่ยาเท่านั้น
แต่แววตาที่นางมองลู่ยาอ่อนหวานจนแทบจะหยดออกมาเป็นน้ำได้
ยามเห็นพระอาทิตย์ นางก็จะบอกว่ามันเหมือนกับเจ้าตอนยิ้ม อ่อนโยนยิ่งนัก
ยามเห็นพระจันทร์ นางก็จะบอกว่าตอนที่เจ้าช่วยห่มผ้าให้ข้าช่างอบอุ่นเหมือนกับแสงจันทร์
ยามเห็นดวงดาว นางก็จะถามว่าพวกมันเปลี่ยนมาจากดวงตาของเจ้าหรือไม่? ถึงได้สว่างเจิดจ้าเพียงนั้น
ลู่ยารู้ว่าเขาหน้าตาหล่อเหลา แต่ถูกนางชมเช่นนี้ ในใจก็มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
ถ้าสบโอกาสนางจะชอบกอดเขา และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเริ่มดึงนางเข้ามากอดในอ้อมอกยามที่เล่าเรื่องเทพเซียน รวมทั้งทุกข์และสุขที่เขาประสบมาให้ฟัง ไม่รู้เป็นเพราะมีนางเป็นผู้ฟังคนเดียวหรือไม่ คำพูดที่เขาพูดกับนางรวมกันแล้วมากกว่าเวลาก่อนหน้านี้รวมกันเสียอีก และอดทนกว่ามากนัก
เขาค่อยๆ เริ่มรู้สึกว่าคลื่นจิตพสุธานี้ไม่ได้น่าเบื่อนัก
ถึงแม้จะบอกว่านอกจากพวกเขาสองคนก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นแล้ว
แต่มีอยู่วันหนึ่ง ฉางเอ๋อร์พากระต่ายหยกผ่านมาทางถิ่นทุรกันดารทางเหนือ ตอนที่เขานั่งสมาธิก็สัมผัสได้แล้ว ดังนั้นจึงไปหาฉางเอ๋อร์เพื่อขอกระต่ายหยกมาให้นางเล่น ครั้งแรกที่นางเห็นสิ่งมีชีวิตที่ขยับได้ก็วางมันไว้บนหญ้า แล้วหมุนอยู่รอบมันอย่างมีความสุข อุทานอย่างตกใจไม่หยุดว่าที่แท้นี่คือกระต่าย
กระต่ายหยกงุนงงเล็กน้อย มันไม่เคยเจอเทพเซียนที่ไม่เคยเห็นแม้แต่กระต่ายมาก่อน
ลู่ยาเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็ดีใจมาก เอ่ยว่า “เจ้าเลี้ยงมันได้สามวัน ตั้งชื่อให้มันได้”
นางเงยหน้าขึ้นมา “แต่ตัวข้าเองยังไม่มีชื่อเลย”
ลู่ยาก้มหน้าลูบหน้าผาก ทั้งคลื่นจิตพสุธามีพวกเขาอยู่สองคน และนางก็อยู่กับเขาตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องเรียกชื่ออะไรกัน ชื่อกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็น ดังนั้นเขาจึงไม่เคยตั้งชื่อให้นางมาก่อน คิดได้เช่นนี้เขาก็พูดขึ้น “เช่นนั้นข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าแล้วกัน”
“ชื่อลู่เสี่ยวยาเถอะ” นางบอก
กระต่ายหยกระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ลู่ยาก็ยิ้มเอ่ย “ลู่เสี่ยวยาไม่ได้ ชื่อของเด็กผู้หญิงก็ต้องให้สมกับเด็กผู้หญิงหน่อย”
“เช่นนั้นก็อาลู่”
“ไม่เพราะ” ลู่ยาเท้าคางส่ายหน้า “เจ้าเลือกชื่อที่เหมือนเด็กผู้หญิงในโลกมนุษย์ก็ได้ พวกถิงเอ๋อร์ อวี้เอ๋อร์อะไรนั่น”
“ไม่ ข้าอยากชื่อเหมือนเจ้า” เทพหญิงกล่าว “เจ้าแซ่ลู่ ข้าก็อยากแซ่ลู่ เจ้าชื่อลู่ยา เช่นนั้นข้าจะชื่อลู่ยวน”
ลู่ยาชะงักไปนิด “นี่เจ้าเอามาได้อย่างไร?”
เทพสาวอธิบายทันที “เจ้าคือ ‘ยา’ (เป็ด) เช่นนั้นข้าก็อยากจะเป็นสัตว์ปีกเช่นกัน แต่อย่างไรข้าก็ไม่อาจชื่อลู่จี (ไก่) ลู่เอ๋อร์ (ห่าน) แค่ ‘ยาง’ (นกเป็ดน้ำ) ก็พอแล้ว แบบนี้พวกเราก็สามารถลอยอยู่ในน้ำได้ ไม่แยกจากกันตลอดกาล”
กระต่ายหยกหัวเราะจนหงายท้องลงกับพื้น
ลู่ยาลูบหน้าก่อนเอ่ย “ชื่อยางก็ไม่ดี ยางควรจะอยู่คู่กับยวน ไม่เข้าคู่กับยาของข้าอยู่ดี”
เทพสาวชะงัก พูดอีกว่า “อย่างนั้นข้าชื่อลู่จี”
ลู่จี[1]?
“ไม่ได้ ทำไมเจ้าต้องแซ่เดียวกับข้าด้วย?” ที่สำคัญคือเขาไม่ได้แซ่ลู่ และไม่ได้ชื่อลู่ยาที่หมายถึงเป็ดด้วย!
“เพราะในหนังสือบอกว่าหญิงสาวแต่งงานต้องตามสามี ต้องเปลี่ยนใช้แซ่ตามสามี!” เทพสาวยกหนังสือในมือขึ้นมา
ลู่ยาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
ที่แท้นางก็มองเขาเป็นสามีแล้ว!
“อาลู่!”
ขณะกำลังจะอธิบายให้นางเข้าใจ ลู่จีกลับกระโจนขึ้นมาบนร่างเขาราวกับนกน้อย เอาใบหน้าแนบใบหน้าเขาพลางออดอ้อน “เจ้าแต่งกับข้าเถอะ ข้าอยากแต่งให้เจ้า”
เพียงหันหน้าไป ริมฝีปากเขาก็จะแตะถูกใบหน้านาง ทั้งร่างร้อนผ่าวราวมีไฟเผา แต่ไม่กล้าผลีผลามทำอะไร
ปกตินางก็ชอบเข้าใกล้แบบนี้ แต่ไม่เคยเกินเลย เขารักนางเหมือนกับที่รักของล้ำค่า ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้น
แต่นางในตอนนี้ทั้งอบอุ่นทั้งอ่อนโยน เหมือนกับเถาวัลย์ที่อาลัยอาวรณ์อยู่บนต้นไม้โบราณ ราวกับเกสรดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอม
ไม่ว่าเขาจะควบคุมกิเลสอย่างไร ความงามกับความเย้ายวนใจของนางก็อยู่ตรงนั้น เพียงแค่เขายื่นมือไปก็สัมผัสได้
มีคลื่นเกิดขึ้นในใจลู่ยา ลมไม่รู้พัดไปที่ใด และกระต่ายหยกก็ไม่รู้ไปไหนแล้ว
เขาหันไปมองผิวเนียนดุจหยกของนาง รู้สึกอยากจุมพิตขึ้นมา
ใช้ชีวิตมาหลายแสนปี เขาทำตัวตามอำเภอใจ ไม่เคยผูกมัดกับอะไร เวลานี้กลับมีความคิดอยากครอบครองนาง
สันจมูกของเขาสัมผัสใบหน้านาง กลิ่นหอมประจำตัวลอยเข้าไปในจมูกของเขา
ใจลู่ยาเบิกบานราวกับดอกไม้
แต่ตอนที่ริมฝีปากเขาสัมผัสถูกนาง ดวงตาของเขาพลันเบิกกว้าง…หากเขาฟังไม่ผิด เมื่อกี้นางพูดว่าอยากแต่งให้เขา?
“อาลู่ อาลู่” นางออดอ้อนอยู่ข้างหู เสียงดั่งอุ้งเท้าน้อยๆ ของแมว แต่ละครั้งสั่นไหวหัวใจของเขา
ลู่ยาปล่อยมือ มองไปข้างหน้าขณะที่สีหน้าอ่อนลง
จากนั้นดึงนางเข้ามาในอก อาศัยตอนที่นางยังไม่ทันตอบโต้ ร่ายอาคมสงบใจลงบนหน้าผาก มองนางค่อยๆ หลับไป
หลังจากลู่จีตื่นขึ้นมาก็ลืมเรื่องทั้งหมดอย่างที่เขาตั้งใจไว้…อย่างน้อยเขาก็เข้าใจว่าแบบนั้น
ตอนที่นางดีใจยังเหมือนนกกระจาบฝน ตอนสงบคล้ายดอกบัวสีม่วง ตอนตั้งใจจริงขึ้นมาก็เหมือนกับราชินี ยามอ่อนโยนก็เหมือนกับหยดน้ำจากน้ำพุตามธรรมชาติที่ทั้งบริสุทธิ์และสงบนิ่ง
ลู่ยาไม่อาจให้นางคิดปัญหาเรื่องนั้นต่อไป
ในหลายแสนปีมานี้เขาพบเจอเรื่องมามากเกินไปแล้ว
ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอคนที่ทำให้เขาใจหวั่นไหวมาก่อน แต่อาการใจเต้นเช่นนั้น เมื่อพิจารณาดีๆ แล้วไม่ได้ทำให้เขารู้สึกถึงขั้นอยากมีอยากได้หรือต้องการเคียงคู่ตลอดชีวิต ก็เหมือนกับฟองคลื่น แค่ระลอกคลื่นพัดผ่านมาก็หายไป
ลู่ยาเชื่อว่าเขารู้สึกเช่นนั้นกับลู่จี ถึงแม้เขาจะยินยอมให้นาง ‘ใช้แซ่ตามสามี’ อยู่ในใจเงียบๆ แล้วก็ตาม
………………………….
[1] จี (姬) ซึ่งเป็นคำเรียกผู้หญิงในสมัยโบราณ พ้องเสียงกับคำว่า จี (鸡) ที่หมายถึงไก่
บทที่ 354 สิ่งที่เรียกว่าสูญเสียไป
โดย
Ink Stone_Romance
เขาเชื่อว่าความรู้สึกที่เขามีต่อนางเป็นเพียงความหวั่นไหวซึ่งเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมพิเศษเท่านั้น และเชื่อว่าหลังจากนี้ไม่นานความหวั่นไหวนี้ก็จะหายไปเอง
ภายใต้ความรู้สึกเช่นนี้ เขาจะล่วงเกินนางตามอำเภอใจได้อย่างไร?
และเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือ นางยังไม่สามารถปล่อยตามอารมณ์แบบไม่มียับยั้งได้
พลังวิญญาณของนางรวบรวมวิญญาณของทั้งหกภพไว้ ตอนนี้ยังไม่สามารถควบคุมได้ หากปล่อยไปตามอารมณ์ นางอาจจะไม่อาจควบคุมพลังวิญญาณนี้ อีกทั้งเขาไม่ได้มีความคิดที่จะอยู่กับนางชั่วชีวิต การปล่อยตามอารมณ์เพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่การดับสูญของนางได้ทั้งสิ้น…ความจริงแล้วการตายของนางไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรสำหรับฟ้าดิน หกวิญญาณยังอยู่ ไม่มีผลกระทบกับรากฐาน
แต่เขาไม่อยากให้นางตาย และไม่อยากให้นางบาดเจ็บ
ถึงแม้ลู่ยามั่นใจว่าความหวั่นไหวที่มีต่อนางจะหายไป แต่ในเมื่อนางปรากฏตัวออกมาแล้ว เขาก็ไม่อยากให้นางเจ็บปวดเพราะตนไปตลอดชีวิต
ตั้งแต่นั้นเขาจึงระมัดระวังทั้งคำพูดและการกระทำ ไม่ใกล้ชิดสนิทสนมเกินเลยกับนางอีก
ยามค่ำคืนแม้จะยังนอนเคียงข้างกัน แต่ก็ขับเคลื่อนพลังมาปกป้องร่างกายและจิตใจให้สงบ
เขามั่นใจในตัวเองอย่างนี้ เข้าใจว่าหากทำแบบนี้ต่อไปความหวั่นไหวในครั้งนี้ของนางก็จะจบลง แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่านางจะยังมั่นคงอยู่เช่นนั้น
วันนั้นเขาตื่นขึ้นมาจากการงีบหลับในห้อง เมื่อมองไปรอบๆ กลับไม่พบเงานาง แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยหายไปจากสายตาเขา ถึงเขาจะยุ่งหรือจะนอน นางก็อยู่ในระยะห้าก้าวแล้วนั่งเงียบๆ รอเขา! แต่ตอนนี้นางหายไปแล้ว!
ตอนแรกเขาเข้าใจว่านางเพียงแค่ไปเดินเล่นใกล้ๆ จึงสงบใจลง ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นเรื่องที่เขาคาดหวัง หวังว่านางจะสามารถยืนหยัดด้วยตนเอง มีเรื่องที่ตนเองอยากทำ ไม่ยึดเอาเขาเป็นทั้งหมดของนาง
ลู่ยาค่อยๆ ออกตามหา ตั้งใจเดินเชื่องช้า แต่ใจกลับตามสายตาไปข้างหน้าทีละน้อย
เขาไม่อยากให้นางเห็นตัวเองร้อนรนตามหา เขาอยากให้นางคิดว่าเขาไม่ได้ใส่ใจนางนัก
แต่เขาตามหานางทั่วทั้งวังวิญญาณเทพแล้ว กลับไม่พบแม้เงา!
เขาเริ่มร้อนใจเล็กน้อย กลิ่นอายขอนางปะปนรวมไปกับหกวิญญาณ ที่นี่เป็นที่ของนาง เขาจึงไม่อาจใช้กลิ่นอายตามหานางได้
นางจะไปที่ไหนได้?
ใจของเขาเต้นรัวเร็วอยู่ในอก
เขาเริ่มเร่งฝีเท้า ป้องปากตะโกนเรียกชื่อนาง
แต่กลับไม่มีผลใด!
เมื่อมองวังที่ว่างเปล่า มือเท้าของเขาพลันอ่อนแรง หรือว่านางออกไปแล้ว..
เขาเดินไปถึงประตูวัง หยิบเอาป้ายประกาศิตบนประตูลงมา ป้ายนั้นไม่ขยับ นางไม่ได้ออกไปไหน!
“ลู่จี!”
เสียงของเขาเหมือนกับระลอกคลื่นสะท้อนไปทั่วทั้งวัง
แต่ไม่ว่าทิศทางไหนก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา
ทว่าตอนที่เขากำลังหมดหวัง ห้องในตำหนักทางด้านเหนือของวังพลันมีแสงโคมสว่างขึ้นมา
เป็นโคมสีแดงมงคล…
เขาชะงักงัน ก่อนเดินเข้าไป
นี่เป็นวังวิญญาณเทพ
เขาเคยชินกับวังนี้ยิ่งนัก แต่เมื่อเดินเข้าไปเขากลับขยับไม่ได้แล้ว!
นอกจากผังแปดทิศกับหกวิญญาณ ตามปกติวังวิญญาณเทพก็ไม่มีสิ่งของอย่างอื่นอีกแล้ว แต่ตอนนี้มันกลับเปลี่ยนไปเป็นอะไร?
ตรงประตูประดับผ้าสีแดง โคมสีแดงมงคลถูกแขวนไว้สูง ด้านในโถงประดับประดาด้วยสีแดงสะดุดตารอบด้าน แพรไหมสีแดง โคมแดง พรมแดงเข้ม ตัวอักษรมงคลแขวนอยู่ทั้งสองข้าง บนโต๊ะมงคลด้านบนมีเทียนมงคลมังกรหงส์กำลังแผดเผาอยู่อย่างเงียบงัน
เขายังไม่ทันได้สติ ลู่จีที่สวมชุดแต่งงานก็เดินเข้ามาหาเขาอย่างร่าเริงราวกับนกตัวเล็กๆ “อาลู่ พวกเราไปกราบไหว้ฟ้าดินกันเถอะ!”
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะอธิบายความตกใจของตนเองได้อย่างไร!
นางกำลังทำอะไรอยู่?
ใครรับปากจะแต่งกับนาง?
ใครอนุญาตให้นางทำเรื่องทั้งหมดนี้?!
“รื้อออกเสีย!” เขาบันดาลโทสะ
นางชะงัก แต่รอยยิ้มกับท่าทีขวยเขินยังมีอยู่บนใบหน้า ราวกับดอกไม้ที่ลอยละล่องอยู่ในสายลม
“อาลู่ พวกเราแต่งงานกันเถอะ!” นางดึงแขนเสื้อเขาอย่างระมัดระวัง มืออีกข้างหยิบหนังสือสมรสสองฉบับขึ้นมาจากโต๊ะมงคล “ข้าเขียนเจ้านี่เรียบร้อยแล้ว เพียงแค่กราบไหว้ฟ้าดินและเผามัน พวกเราก็จะเป็นสามีภรรยากันแล้ว เจ้าไม่ชอบหรือ? ข้าแอบเตรียมไว้นานมากแล้ว ข้าเห็นจากหนังสือว่าเวลามนุษย์แต่งงานกันก็ทำแบบนี้เสียเป็นส่วนใหญ่ มีตรงไหนที่ไม่ถูกรึ?”
ไม่มีอะไรไม่ถูก!
สำหรับคนที่ไม่เคยไปโลกมนุษย์เลยอย่างนาง สามารถจัดงานแต่งออกมาได้อย่างนี้ก็นับว่าเกินกว่าที่เขาคิดไว้มากแล้ว!
แต่ใครจะแต่งกับนาง?
นางรู้หรือไม่ว่าอะไรคือแต่งงาน?
รู้หรือไม่ว่าอะไรคือเคียงคู่ไปตลอดชาติภพ?!
นางไม่รู้อะไรเลย!
นางไม่รู้ว่าภายหลังนางอาจเจอคนที่ทำให้นางหวั่นไหวมากกว่าเขา! นางไม่รู้ว่าวันข้างหน้าหากออกไปข้างนอกแล้ว จะต้องเผชิญกับสิ่งล่อตาล่อใจมากมายขนาดไหน!
“เอามาให้ข้า!” เขาหน้าตึงพลางยื่นมือออกไป
“ไม่…” นางฉลาดขนาดนั้น ทำไมจะสังเกตถึงความผิดปกติของเขาไม่ออก? นางซ่อนหนังสือสมรสไว้ข้างหลัง กัดริมฝีปากแน่น
“เอามาให้ข้า!” ลู่ยาตะโกน
“ข้าไม่ให้!” นางก็ตะโกนเสียงดังเช่นกัน น้ำตาไหลอาบแก้ม ในแววตาของนางมีคลื่นถาโถม พลังวิญญาณทั้งร่างกระเพื่อมราวกับน้ำท่วม สาดซัดไม่หยุด “ข้าแค่อยากแต่งกับเจ้า! อยากอยู่กับเจ้าทุกเช้าค่ำ! เจ้าก็ชอบข้าแท้ๆ และก็ยังไม่ได้แต่งงาน ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมรับข้า?!”
พลังวิญญาณของนางทะลักออกมาข้างนอก ท้องฟ้ามีสายฟ้าลั่นแปลบปลาบ ลมคลั่งพัดหวีดหวิว ต้นไม้ใบหญ้าสั่นไหว
หัวใจของลู่ยาบีบรัด เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเอ่ยว่า “ส่งมาให้ข้า ลู่จี”
ลู่จียังคงร้องไห้ แสงของสายฟ้าฟาดด้านนอกหน้าต่างตกกระทบใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียใจเจียนตายของนาง
นี่เป็นครั้งแรกที่นางร้องไห้
ลู่ยารู้สึกราวกับมีมีดเฉือนหัวใจ
แต่เขาไม่อาจพูดมากแล้ว คำพูดทุกคำของเขากระตุ้นนางได้ทั้งสิ้น
เขามองนางนิ่งๆ แต่ใจกลับมีเสียงโน้มน้าวอยู่ตลอด รับปากนางเถอะ รับปากนางเถอะ
แต่สุดท้ายเขาก็ทำไม่ได้
เขาไม่อาจรับปากความรู้สึกด้วยความหุนหันพลันแล่นได้
เขากลัวว่าหากวันหนึ่งเขาหมดรักนาง ต่อไปจะยิ่งทำให้นางเจ็บปวด และกลัวว่าต่อไปนางจะเสียใจภายหลัง
“ข้าเกลียดเจ้า!”
นางร้องไห้เอาร้องไห้เอา ทุบหนังสือสมรสไปบนตัวเขา จากนั้นกุมหน้าร้องไห้วิ่งออกไป
สีแดงทั้งหมดในห้องหายไปทันทีตามนางที่วิ่งออกไป กลายเป็นห้องที่เย็นเยียบ
ภาพตรงหน้าทำให้เขาคืนสติกลับมา ขอบตาปวดร้าวร้อนผ่าว “ลู่จี!”
ลู่ยาตามไป ไม่ได้ฉีกหนังสือสมรส แต่เก็บไว้ในอก
เสียงสายฟ้าฟาดดังออกมานอกวัง เขารีบตามไป แต่สุดท้ายก็ไม่ทันกาล…เขาลืมไปว่าตัวเองปลดป้ายประกาศิตตรงประตูลงมาก่อนหน้านี้ นางจึงมุ่งออกจากประตูไปอย่างไร้อุปสรรค ออกไปจากคลื่นจิตพสุธา จากนั้นก็ออกไปจากถิ่นทุรกันดารทางเหนือ!
“ลู่จี!”
เสียงของเขาดังสะท้อนไปทั่วทั้งปฐพี แต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับแม้แต่น้อย!
เขาไม่รู้ว่านางไปไหน เขาทำให้นางหายไปแล้ว!
…ไม่รู้ว่ากำยานในวังวิญญาณเทพดับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ตรงหน้าไม่มีโต๊ะมงคลเทียนมงคลอีกแล้ว อากาศหนาวๆ เย็นๆ เหลือเพียงหงจวินกับจุ่นถี
ลู่ยานั่งขัดสมาธิบนพื้น ราวกับเพิ่งฟื้นจากอาการขาดหายใจ
วังวิญญาณเทพในตอนนี้ห่างจากตอนที่ลู่จีร้องไห้จัดงานแต่งถึงหมื่นปี แต่เขายังคล้ายสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของนาง ราวกับยังได้ยินเสียงร้องไห้จากที่ไกลๆ
ประหนึ่งว่าถ้าหันไปก็จะเห็นเงาของนางอยู่
ลู่ยาไม่อาจจำคนผิดแน่นอน ลู่จีก็คือมู่จิ่ว มู่จิ่วก็คือลู่จี
เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตา หันหน้าไปมองอากาศที่ว่างเปล่า
ลู่ยาไม่เคยรู้เลยว่าในความทรงจำของตน เขาจะเคยได้รับความรักจากนางที่โง่เขลาเช่นนั้น
………………….
บทที่ 355 ข้าคิดถึงเขาแล้ว
โดย
Ink Stone_Romance
“จากนั้นล่ะ? นางจากไปเช่นนี้หรือ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งราวกับไม่ได้พูดมาราวหมื่นปี
“หากเป็นเช่นนั้นก็แล้วไปเถิด” หงจวินที่นั่งอยู่ตรงข้ามยืนขึ้นมา มองไปยังด้านนอกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นยกพู่หางม้าขึ้นชี้ไปทางเขา “แต่ด้วยนิสัยเช่นนี้ของเจ้า ไม่ลงมือทำอะไรจะนิ่งเฉยได้อย่างไร?”
…ลู่ยาตามหาลู่จีไปทั่วทั้งฟ้าดิน
เขาเหมือนกับเสียสติไปแล้ว
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยสูญเสียสิ่งของใดมาก่อน มีเพียงทิ้งพวกมันไป ไม่เคยสูญเสีย
แต่ครั้งนี้กลับเป็นความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เขาสูญเสียลู่จีไปแล้ว เขาไม่มีนางแล้ว
นางเป็นเทพหญิงที่เกิดจากหกวิญญาณ ไม่ว่าอยู่ที่ภพไหนก็ไม่มีร่องรอยกลิ่นอายทิ้งไว้ แต่นางยังไม่รู้จักการเก็บงำพลังวิญญาณ ดังนั้นเขาทำได้เพียงตามหาตามจุดที่คลื่นพลังวิญญาณเคลื่อนไหวรุนแรงมากที่สุด
สุดท้ายเขาเจอนางที่คุนหลุนตะวันออก
นางอยู่กับปีศาจตนหนึ่งของโลกมนุษย์
ปีศาจตนนั้นชื่อหลินเจี้ยนหรู ถูกคนปิดล้อมทำร้ายบาดจนเจ็บหนัก เขาเป็นพวกทำร้ายอาจารย์ผลาญบรรพบุรุษ ลู่ยาอยากจะฆ่าเขา แต่หลินเจี้ยนหรูกลับไม่เคยใช้พลังวิญญาณซึ่งแผ่ออกมาเองของลู่จีเพื่อประโยชน์ของตนเลย เรื่องของหกภพไม่เกี่ยวกับลู่ยา เขาไม่จำเป็นต้องสนใจว่าหลินเจี้ยนหรูเคยทำอะไรมาก่อน เพียงแค่ไม่ทำร้ายลู่จี เขาก็ไม่มีเหตุผลต้องฆ่าอีกฝ่าย
แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่ทำก็เพราะกลัวว่าหากทำลงไปจะเป็นการกระตุ้นนางอีก
ลู่จีไม่เคยออกมาเผชิญโลกกว้าง นางแยกแยะคนดีคนเลวไม่ออก
หลินเจี้ยนหรูปฏิบัติต่อนางอย่างเพื่อนที่ดี ทั้งยังสร้างเรือนหลังหนึ่งตรงหุบเขาให้นางอยู่อาศัย ส่วนเขาอยู่ในถ้ำเขาที่ห่างออกไปไม่ไกล
ยามกลางวันเขาจะดูดซับพลังวิญญาณของบึงน้ำดำเพื่อรักษาบาดแผล ยามค่ำคืนก็ทำอาหารซักผ้าให้นาง ลู่จีไม่เคยเห็นสิ่งของบนโลกมาก่อน จึงรู้สึกขอบคุณเขาอย่างมากที่เปิดโลกกว้างให้กับนาง
หลินเจี้ยนหรูพูดคุยเรื่องบนโลกมนุษย์และโลกเซียนกับนางมากมาย เขาเป็นมารที่มีบริวารมาก แต่สามารถทำตัวเฉกเช่นมนุษย์ธรรมดาได้ดียิ่ง กระทั่งเลี้ยงไก่หลายตัว แมวลายตัวหนึ่ง และสุนัขสีเหลืองตัวหนึ่งไว้ในหุบเขา ด้านหน้าประตูยังขุดแปลงผักไว้ ปลูกผักกาดขาวและฟักทอง ตรงรั้วยังปลูกดอกเบญจมาศสีเหลืองทองไว้เต็ม
ลู่จีเด็ดดอกเบญจมาศมาปักแจกัน ทั้งยังทำชาดอกเบญจมาศ ชาที่นางรินหอมจนเขาสามารถได้กลิ่นในระยะสามลี้
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่นางเรียนรู้จากหนังสือ
ความฉลาดเฉลียวของนางมักทำให้คนคาดไม่ถึงเสมอ
หลินเจี้ยนหรูมักจะมองนางจากที่ไกลๆ นี่ทำให้ลู่ยาแอบไม่พอใจนัก
แต่หลายครั้งที่เกิดความคิดชั่ววูบว่าอยากจะพานางจากไป ก็ต้องข่มกลั้นตนเองเอาไว้
ความรู้สึกที่นางมีต่อเขาเกิดจากความลุ่มหลงหรือเพราะบรรยากาศหรือไม่ นี่มิใช่เรื่องที่เขาอยากจะรู้ให้กระจ่างหรือ?
เขากำลังพนันกับตนเอง อยากเดิมพันดูว่าจะมีวันที่ลู่จีพบว่าตนเองไม่ได้ชอบเขาขนาดนั้นเมื่อพบเจอใครอีกคนหรือไม่
เขาอยากให้นางเผชิญเรื่องราวในโลกมากกว่านี้ เข้าใจว่าบางครั้งคนก็เปลี่ยนแปลงกันได้ อยากลองดูว่าหลังจากที่นางมีประสบการณ์แล้ว ยังจะจดจำเขาได้หรือไม่
นางกับหลินเจี้ยนหรูไม่ได้พัฒนาความสัมพันธ์ไปในทางที่เขานึกกลัว
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเหมือนเพื่อนที่ร่วมลำบากเผชิญหน้ากับโลกใบใหญ่เท่านั้น
นางเริ่มออกเดินไปทั่วอย่างสนใจใคร่รู้ ฟังคำแนะนำของหลินเจี้ยนหรูว่าให้แต่งตัวสามัญเมื่อออกไปเดินเล่น
นางไปทิวเขาริ้วหยกเพื่อดูหงส์เพลิงแต่งตัว
ที่นั่นนางได้เห็นการลอบคบชู้กันระหว่างราชามังกรทะเลสาบน้ำแข็งกับหงส์เพลิง นางไม่รู้ว่าอะไรคือการลอบคบชู้ ส่วนราชามังการทะเลสาบน้ำแข็งกับหงส์เพลิงคิดว่านางเป็นปีศาจถ้ำมอง จึงไม่สบอารมณ์กับนางนัก ราชาปีศาจถึงกับโทษว่านางบุกรุกเข้ามาขัดความสำราญระหว่างเขากับหงส์เพลิง จึงเรียกฝนมาสาดเสื้อผ้านางจนเปียกปอน
ลู่จีจึงเริ่มเข้าใจว่าความรักระหว่างชายหญิงไม่ได้สะอาดบริสุทธิ์อย่างที่นางคิด
แต่ก่อนบนหน้านางมีเพียงอารมณ์ดีใจโกรธเศร้าสุขใจเท่านั้น แต่ตอนนี้เริ่มมีอารมณ์ที่คาบเกี่ยวปนเประหว่างอารมณ์เหล่านั้นแล้ว
ระหว่างนางกับหลินเจี้ยนหรูมาถึงจุดที่ไม่ได้มีเรื่องให้พูดกันมากมายขนาดนั้นแล้ว
มีอยู่ครั้งหนึ่ง นางขมวดคิ้วบอกว่าไม่ชอบกลิ่นเลือดที่ติดอยู่บนกายเขา
นางยังคงไม่รู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร เพราะนางไม่รู้ว่าอะไรคือการเข่นฆ่า และไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมารเป็นอย่างไร
หลินเจี้ยนหรูหลอกนางว่าเลือดบนตัวคือเลือดไก่ เขาฆ่าไก่ที่เลี้ยงไว้เพื่อเตรียมตุ๋นน้ำแกง
และนางกลับเชื่อเขา
หลังกลับจากทิวเขาริ้วหยกได้ไม่นาน นางก็เดินไปดูชีวิตประจำวันของคู่สามีภรรยาที่บริเวณรอบๆ เขาเซียน
นางอยากรู้ชีวิตประจำวันของคนที่เป็นสามีภรรยากัน
แต่โชคของนางไม่ค่อยดีนัก นางพบเจอกับเซียนหญิงที่หนีสามีเพราะช้ำรัก ทั้งยังพบกับรักใหม่อีก
เซียนหญิงคนนี้คือเฟยอี ถูกสามีเก่าหลีหังบีบบังคับให้กลับบ้าน ลู่จีกอดเข่านั่งดูจากข้างๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ใครก็ไม่อาจรู้ได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ ตอนหลีหังจากไปนางก็ปรากฏตัวขึ้น เดินไปถามเฟยอีว่าคนเพียงคนเดียวรักคนถึงสองคนได้อย่างไร? เฟยอีไม่ได้ตอบอะไร เพียงเดินโงนเงนกลับบ้านตนเองที่อยู่บนยอดเขาไป
นางเดินทางไปยังถิ่นทุรกันดารทางเหนือ เขาเคยบอกนางมาก่อน อาณาจักรโหย่วเจียงแห่งถิ่นทุรกันดารทางเหนือคือชนรุ่นหลังของเสือขาว ที่นั่นยังรวมเผ่าโบราณไว้มากมาย
เสือน้อยแห่งอาณาจักรโหย่วเจียงถูกมารดาตำหนิ จึงมานั่งถอนหายใจอยู่คนเดียวบนเนินเขา นางเด็ดผลไม้มากมายให้เขากิน เขามองนางเป็นเพื่อน บอกนางว่าพี่สาวของมารดาเขาใกล้จะถูกเสือลายเหลืองรังแกจนตายแล้ว เมื่อเขาโตขึ้นจะฆ่าเสือลายเหลืองเสีย มารดาตำหนิที่เขาพูดไม่ดี หากคนอื่นได้ยินจะกลายเป็นสงครามระหว่างอาณาจักร แต่ตัวนางเองก็แอบรำไห้เพื่อพี่สาวของตนเองเช่นกัน
ลู่จีสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดและจนปัญญาในดวงตาของเสือน้อย
พ่อแม่ของเสือน้อยรับรู้ได้ว่าที่มาที่ไปของนางไม่ธรรมดา จึงยกนางขึ้นเป็นแขกผู้มีเกียรติ ตัวนางที่ไม่ได้ระมัดระวังเล่าที่มาที่ไปของตนเองออกมาจนหมด เรื่องราวนั้นสั่นสะเทือนทั้งถิ่นทุรกันดารทางเหนือ อวี้ตี้และหวังหมู่เดินทางมารับด้วยตนเอง
หนี่ว์วาก็รู้เรื่องแล้วเช่นกัน ส่งสายฟ้ามารับเขากลับสวรรค์อันสูงส่งไปตำหนิรอบหนึ่ง
หุนคุนชี้หน้าเขา บอกเขาว่าอย่าทำตามอำเภอใจ นิสัยเขาก็ไม่ได้เหมาะกับการแต่งงานมีลูกอยู่แล้ว
ลู่ยาไม่พูดอะไร ฟังคำตำหนิของพวกเขาจบก็ออกจากสวรรค์อันสูงส่งไป
ตลอดทางเขาแอบตามหลังนางอยู่เงียบๆ มองดูนางพบเห็นเรื่องราวทุกข์สุขบนโลกมนุษย์
เขาคิดกระทั่งว่านางลืมเขาไปแล้ว ลู่ยาเศร้าเสียใจนัก
หลังติดตามนางไปทั่วทั้งเก้าทวีปสี่ทะเล ในที่สุดลู่จีก็เริ่มหยุด
ตอนนางกำลังพักผ่อนอยู่บนเนินเขา ก็พบกับพลทหารลาดตระเวนท่าทางทุกข์ตรมนามว่าหลิวจวิ้น เขากับนางร่วมดื่มเหล้ากันใต้แสงจันทร์ นั่นเป็นครั้งแรกที่นางดื่มเหล้า ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวาย นางฟังเขาเล่าเรื่องราวความรักที่เป็นไปไม่ได้บนโลก บอกนางว่ารักก็เหมือนกับคมดาบ ตอนที่ควรวางมือก็ต้องวางมือเสีย
นางมองแสงจันทร์ พูดถึงเรื่องแต่ละอย่างของนางกับลู่ยาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเสนาะหูดุจแสงจันทร์นี้
ตั้งแต่นางเห็นเขาครั้งแรกก็เหมือนกับเห็นฟ้าดิน ปักใจว่าเขาเป็นของนาง เป็นรักที่มิอาจแปรผันชั่วนิรันดร์
“ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ภูเขาแม่น้ำทะเล รวมถึงตัวเขา ขาดสิ่งใดไปโลกของข้าก็ไม่สมบูรณ์”
“หากเขารักคนอื่นจะทำอย่างไร? ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะเป็นเช่นข้า” หลิวจวิ้นโบกมือมองนาง
“เช่นนั้นข้าแค่โกรธเกลียดเขาอยู่ที่คลื่นจิตพสุธาก็พอแล้ว”
นางแหงนหน้าหัวเราะ ชั่ววินาทีนั้น แสงสว่างบนฟ้าดินทั้งหมดต่างก็ถูกนางกลบรัศมีจนสิ้น
ลู่ยาไม่ได้หัวเราะด้วย
นางไม่รู้ ไม่มีใครสามารถทำให้เขาปล่อยวางไม่ได้เช่นนี้อีกแล้ว
“ข้าคิดถึงบ้านแล้ว ข้าอยากกลับบ้าน”
เขาเห็นนางถือไหเหล้า ก้มหน้ามองเงาของตนภายใต้แสงจันทร์ “ข้าคิดถึงเขาแล้ว ข้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้เรื่อง แต่เรื่องเช่นนี้จะทำอย่างไรได้”
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น