กระบี่จงมา 346.1-347.2
บทที่ 346.1 ยันต์หกแผ่นของวิญญูชน ปราบผีสยบกระบี่
ProjectZyphon
เผยเฉียนบอกว่าจะไปดูผนังบังตาตรงหน้าประตูใหญ่ ด้านบนมีควันธูปลอยออกมาจากในศาล แถมยังมีกลิ่นหอม สายน้ำก็ขยับเคลื่อนได้พร้อมกับมีเสียงน้ำไหล น่าสนใจยิ่งนัก
เจ้าแม่เทพวารีโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งเรียกสาวใช้อายุน้อยคนหนึ่งให้พาเผยเฉียนออกไปชมทัศนียภาพ
นึกขึ้นได้ว่าอริยะลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งของสายบุ๋นสายอื่นเพิ่งจะจากไป เฉินผิงอันจึงวางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลง ถามว่า “เขตการปกครองหลงเฉวียนที่เป็นบ้านเกิดของข้า อันที่จริงแล้วก็คือถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต ตอนนั้นอาจารย์ฉีรับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือในโรงเรียน เพียงแต่ว่าตอนเด็กข้ายากจน ไม่ได้เรียนหนังสือ เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันคือลูกศิษย์ของอาจารย์ฉีจึงมักจะพูดถึงเขาบ่อยๆ แต่แน่นอนว่าข้าย่อมเคยพบหน้าอาจารย์ฉีมาก่อน ถึงอย่างไรเมืองเล็กก็ใหญ่เพียงแค่นั้น”
จงขุยกลับไปนั่งข้างโต๊ะ หรี่ตาเทเหล้าใส่ถ้วย คำพูดเหล่านี้ของเฉินผิงอัน เขาย่อมไม่เชื่อทั้งหมด ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่งอายุน้อยเพียงเท่านี้ก็ได้ครอบครองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่และกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม อีกทั้งยังสามารถปล่อยจิตหยินให้ออกมาท่องเที่ยวยามค่ำคืน ต่อให้ถ้ำสวรรค์หลีจูจะเป็นสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบ เฉินผิงอันได้รับโชควาสนาอย่างอื่น แต่หากจะบอกว่าเฉินผิงอันแค่เคย ‘พบหน้า’ ฉีจิ้งชุนเท่านั้น ให้ตายจงขุยก็ไม่เชื่อ
แต่เฉินผิงอันไม่ต้องการพูด จงขุยก็ไม่คิดจะซักไซ้ไล่เลียง แม้จะบอกว่าความรู้ของเหวินเซิ่งเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับสำนักศึกษาใหญ่หลายแห่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วหากในหอเก็บตำราส่วนตัวของพวกชาวบ้านจะมีผลงานของเหวินเซิ่งเก็บไว้กลับไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร
อย่าว่าแต่รู้จักฉีจิ้งชุนเลย ต่อให้เคยเรียนที่โรงเรียนแห่งนั้นมาก่อนก็ไม่เป็นไร ขอแค่เจ้าเฉินผิงอันไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายบุ๋นของฉีจิ้งชุนก็ย่อมไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น ถอยไปพูดหมื่นก้าว ในเขตการปกครองของสำนักศึกษาต้าฝูใบถงทวีป ต่อให้เป็นความจริงก็ไม่เป็นไร มีเขาจงขุยอยู่ ยิ่งมีอาจารย์ของเขาอยู่
แต่หากอยู่ในสำนักศึกษาสองแห่งที่อยู่ทางทิศเหนือกับทิศใต้ของใบถงทวีปกลับบอกได้ยากแล้ว
ดวงตาสองข้างของเจ้าแม่เทพวารีเปล่งประกาย วางฝ่ามือสองข้างยันไว้บนโต๊ะ ถามอย่างร้อนใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยเจอท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งมาก่อนไหม? เขาคือผู้เฒ่าที่สง่างามมากเลยใช่หรือไม่ สวมกวานสูงรัดเข็มขัดหยก ชายแขนเสื้อสองข้างมีลมเย็น ในความเคร่งขรึมแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน อีกทั้งแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นยอดฝีมือนอกโลกที่มีความรู้สูงส่งเทียมฟ้า บุคลิกไม่ต่างจากเหล่าผู้สูงส่งบนภูเขาเลย?”
เฉินผิงอันได้แต่ตอบขัดไปจากความตั้งใจของตัวเอง “ไม่เคยพบมาก่อน”
สายตาของเจ้าแม่เทพวารีฉายความเสียดาย แล้วก็มีความเวทนารวมอยู่ด้วย อย่างแรกเพื่อตนเอง อย่างหลังเพื่อเฉินผิงอัน นางกลับลงไปนั่งอย่างห่อเหี่ยว ดื่มเหล้าถ้วยใหญ่ พอเช็ดปากแล้วก็พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งนัก คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะไม่เคยได้เจอกับท่านอาจารย์ผู้เฒ่ามาก่อน วันหน้าต้องพยายามหาโอกาสพบเขาให้ได้ ไม่อย่างนั้นชีวิตของเจ้าก็ไม่สมบูรณ์แล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างจนใจ “ตกลง ข้าจะพยายาม”
นางนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “แล้วเจ้าเคยเจอเจ้าคนที่ชื่อชุยฉานไหม? เจ้าสารเลวที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่ แต่กลับหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชน และยังมีเซียนกระบี่ที่มีวิชากระบี่เลิศล้ำผู้นั้นอีก ชื่อของเขาเผด็จการอย่างยิ่ง เขาชื่อจั่วโย่ว ว่ากันว่าวิชากระบี่ของเขาเป็นหนึ่งในใต้หล้า และยังมีพวกเหมาเสี่ยวตง…ลูกศิษย์ของเหวินเซิ่งมีมากมายขนาดนี้ เจ้าคงต้องเคยเจอมาบ้างสักคนกระมัง?”
เฉินผิงอันยกกาเหล้าขึ้น “น่าเสียดายๆ ดื่มเหล้าๆ”
เจ้าแม่เทพวารีตบโต๊ะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองในความไม่เอาไหนของอีกฝ่าย “ดื่มเหล้ากะผายลมน่ะสิ เจ้านี่มันเป็นคนยังไงนะ?! หากข้าเป็นคนที่เกิดและเติบโตในถ้ำสวรรค์หลีจู เรื่องใหญ่เรื่องแรกที่จะทำหลังออกจากบ้านเกิดก็คือไปตามหาท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง หากบุกเข้าไปในสวนป่ากงเต๋อของสถานศึกษาไม่ได้ ก็ถอยไปเลือกในอันดับรองลงมา จะดีจะชั่วก็ต้องไปด่าชุยฉานให้ได้ ไปเห็นวิชากระบี่ของจั่วโย่ว เล่นหมากล้อมกับเหมาเสี่ยวตง…”
เฉินผิงอันเอ่ยคล้อยตาม “มีเหตุผลๆ”
เจ้าแม่เทพวารี “…”
จงขุยกลั้นยิ้ม “ด่าชุยฉาน? เจ้าแม่เทพวารี หาใช่ข้าดูแคลนเจ้าไม่ ทว่าต่อให้มีข่าวลือบอกว่าขอบเขตของราชครูต้าหลีท่านนั้นถดถอย แต่ก็ยังสามารถใช้สองนิ้วบีบร่างทองของเจ้าให้แตกสลายได้อยู่ดี”
เจ้าแม่เทพวารีพูดอย่างเต็มไปด้วยเหตุผล “ข้าด่าอยู่นอกประตูเมืองหลวงต้าหลีแค่ไม่กี่คำ เขาก็ได้ยินด้วยหรือ?”
จงขุยมองค้อน “แบบนั้นเขาคงไม่ได้ยินจริงๆ นั่นแหละ”
คนทั้งสามต่างคนต่างดื่มเหล้าของตัวเองไป
บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด
พอปีศาจใหญ่ที่อยู่ใกล้กับสำนักฝูจีตนนั้นถูกเปิดโปงตัวตนก็อาละวาดอย่างเหี้ยมโหด ถึงกับทำให้คู่รักขอบเขตหยกดิบที่เชี่ยวชาญการร่วมมือกันโจมตีตายหนึ่งบาดเจ็บหนึ่ง สนามรบยังอยู่ที่ภูเขาอันเป็นที่ตั้งของสำนักฝูจี ต่อให้ปีศาจใหญ่ตนนั้นอาศัยข้อได้เปรียบที่มีร่างกายแข็งแรงทนทานมาตั้งแต่เกิด แต่เกรงว่าอย่างน้อยขอบเขตของมันต้องเป็นขอบเขตสิบสองถึงจะได้
ปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินตนหนึ่งที่เดิมทีควรมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วทิศกลับซ่อนตัวอยู่ในภาคกลางของใบถงทวีปอย่างเงียบเชียบมานานหลายปีขนาดนี้? โดยที่สำนักฝูจี สำนักศึกษาต่างก็สัมผัสไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย? อีกทั้งตอนที่ผู้นำของภูเขาไท่ผิงจะขัดขวางไม่ให้มันลงสู่ทะเล คุกที่คุมขังภูตผีปีศาจของภูเขาไท่ผิงกลับเปิดออกพอดี ทำให้เหล่าปีศาจเผ่นหนีไปทั่วทิศได้สำเร็จ?
บวกกับที่ก่อนหน้านี้มีข่าวลือบอกว่าอาวุธเซียนที่ล้ำค่าในสมัยโบราณทยอยกันปรากฎตัวในทักษินาตยทวีป ใบถงทวีปและฝูเหยาทวีปก็ได้ชักนำให้ผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนเข่นฆ่าช่วงชิงกันมากพอแล้ว
เจ้าแม่เทพวารีถามอย่างระมัดระวัง “ขอถามสักคำ อาจารย์เจ้าขุนเขาของเจ้าออกมาจากสำนักศึกษา บุกไปเป็นแนวหน้าเพื่อสังหารปีศาจใหญ่ตนนั้น ไม่กลัวว่าตัวเองจะตายจริงๆ หรือ?”
จงขุยโมโหจนกลายเป็นขำ “ช่วยเห็นข้อดีของอาจารย์ข้าบ้างได้ไหม? อีกอย่างใต้หล้านี้ใครจะถามคำถามข้อนี้ก็ได้ มีเพียงเจ้าแม่เทพวารีอย่างเจ้าที่ไม่ควรถาม สองร้อยกว่าปีมานี้ เจ้าเป็นฝ่ายออกจากจวนปี้โหยวและศาลเทพวารีเพื่อไปต่อสู้กับปีศาจใหญ่ตนนั้นมากี่รอบแล้ว?”
เจ้าแม่เทพวารีดื่มเหล้าหนึ่งคำ “นั่นไม่เหมือนกัน ข้าเป็นแค่เทพวารีตัวเล็กๆ แต่อาจารย์ของเจ้ามีชาติกำเนิดจากจวนอริยะบางท่านของศาลบุ๋น…”
จงขุยชำเลืองตามองนาง “นี่ก็คือหลักการที่เจ้าอ่านเจอมาจากในตำราอริยะปราชญ์ของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งงั้นรึ?”
เจ้าแม่เทพวารีอับอายจนพานเป็นความโกรธ ด่านางต่อหน้าว่าความรู้ตื้นเขิน นางไม่ถือสา แต่จะดึงเอาท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งมาเกี่ยวข้องด้วยไม่ได้เด็ดขด จึงตบโต๊ะถลันพรวดลุกขึ้นยืน “จงขุย หากเจ้ายังพูดจาเหน็บแนมเสียดสีไม่เลิกก็คายบะหมี่และสุราที่กินออกไปมาเลย!”
จงขุยดื่มเหล้าหนึ่งคำ “ข้าจะดื่มเหล้าของเจ้าแล้วจะทำไม”
เขาดื่มอีกหนึ่งคำ “ข้าดื่มอีกแล้ว อร่อยจริงๆ”
เจ้าแม่เทพวารีโกรธจนหน้าเขียว สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
เฉินผิงอันพูดขึ้นเบาๆ “ที่บ้านเกิดข้ามีซุ้มประตูอยู่แห่งหนึ่ง ป้ายหนึ่งในสี่ป้ายเขียนคำว่า ‘ตังเหรินปู้รั่ง’ (ไม่เกี่ยงงอนในสิ่งที่สมควรกระทำ) นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมอาจารย์ของจงขุยถึงเลือกทำเช่นนี้ ก่อนหน้านี้จงขุยพูดว่าเหตุใดใต้หล้าไพศาลถึงยินดีปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ลัทธิขงจื๊อเป็นผู้กำหนด การกระทำของอาจารย์จงขุยในวันนี้ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นหรือตาย ในบรรดาพวกเราสามคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ไม่พูดถึงจงขุยที่เป็นลูกศิษย์ของเขา อย่างน้อยข้ากับเจ้าแม่เทพวารีอย่างเจ้าย่อมรู้สึกว่าการกระทำของสำนักศึกษาต้าฝูมากพอจะทำให้ผู้คนนับถือเลื่อมใสในคุณธรรมที่สูงส่งของพวกเขา วันหน้าหากข้ามีบุตรชายหญิง เมื่อพวกเขาออกจากบ้านมาท่องเที่ยวทั่วหล้า ข้าจะต้องบอกให้พวกเขามาเยือนใบถงทวีป ไปเยือนสำนักศึกษาต้าฝูสักครั้ง”
จงขุยพยักหน้ารับ ยกถ้วยเหล้าดื่มคารวะเฉินผิงอันหนึ่งครั้ง
เจ้าแม่เทพวารีอืมรับหนึ่งที เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ จึงดื่มคารวะเฉินผิงอันหนึ่งถ้วยเช่นกัน
ใต้หล้านี้ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา
จงขุยวางถ้วยเหล้าลง เตรียมจะทำเรื่องสุดท้ายให้เสร็จสิ้น นั่นคือไปจากจวนปี้โหยวลำคลองหมายเหอแห่งนี้
เผยเฉียนวิ่งเหยาะๆ มาหยุดอยู่นอกธรณีประตูของห้องโถงใหญ่ มือสองข้างทำเป็นท่ากอบน้ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความลิงโลด ตะโกนเสียงดังพูดกับเฉินผิงอันคล้ายกำลังโอ้อวดสมบัติล้ำค่า “ข้าวักน้ำกอบหนึ่งมาได้จากบนผนังบังตา อยากดูสักหน่อยไหม?”
นางลดแขนลงต่ำ ระหว่างมือสองข้างที่สิบนิ้วประสานกันมีน้ำสีเขียวมรกตอยู่จริงๆ
เฉินผิงอันมองปราดหนึ่ง “เอากลับไปคืน”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที ก่อนจะวิ่งตุปัดตุเป๋กลับไปทางเดิม ด้านหลังมีสาวใช้ที่ปิดปากหัวเราะเดินตามไป
เจ้าแม่เทพวารีรู้สึกว่าเด็กหญิงตัวน้อยน่าสนใจมาก จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “แค่แก่นน้ำในลำคลองกอบมือเดียวเท่านั้น ไม่มีค่าเท่าไหร่หรอก อันที่จริงคุณชายไม่ต้องให้นางเอากลับไปคืนก็ได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า แต่ไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด
จงขุยเองก็มีวัตถุฟางชุ่นที่พกติดตัวไว้ตลอดเวลาเช่นกัน คือที่ทับกระดาษซึ่งเป็นรูปสัตว์เทพทองสัมฤทธิ์ขนาดเล็กกะทัดรัดชิ้นหนึ่ง มีนามว่าเซี่ยจื้อ (เป็นสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายสิงโตที่มีเขาเดียว สามารถแยกแยะถูกผิดได้โดยสัญชาตญาณ จึงถือกันเป็นสัญลักษณ์แห่งกระบวนการยุติธรรม)
หยิบเหล็กหมาดหิมะที่บนด้ามสลักคำว่า ‘ตวัดพู่กันดุจเทพช่วย’ ออกมาอีกครั้ง รวมไปถึงกระดาษยันต์สีทองสามแผ่น ผิวกระดาษมีลายอักษรจ้วนซูประทับจางๆ
เฉินผิงอันมองไม่ออกว่าเป็นกระดาษอะไร รู้เพียงว่าไม่ค่อยเหมือนกระดาษยันต์สีทองของตัวเองสักเท่าไหร่ ทว่าเจ้าแม่เทพวารีกลับเป็นผู้เชี่ยวชาญที่รู้จักกระดาษยันต์ชนิดนี้ นางเอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “กระดาษลมฟ้า? แบ่งออกเป็นลายกรงเล็บมังกร ลายเส้นเอ็นหยก ลายหลิงจือ มันมีค่ามากเลยนะ ตอนแรกที่จวนปี้โหยวของข้าเพิ่งบุกเบิกพื้นที่สร้างจวน หากพูดถึงกระดาษยันต์ประเภทนี้ ทางราชสำนักต้าเฉวียนก็ยังแค่เคยมอบกระดาษลมฟ้าลายกรงเล็บมังกรมาให้แผ่นเดียวเท่านั้น”
เห็นว่าเฉินผิงอันมีสีหน้าปกติราวกับไม่รู้ถึงมูลค่าของยันต์แผ่นนี้ เจ้าแม่เทพวารีก็อธิบายว่า “ยันต์ที่เขียนสำเร็จด้วยกระดาษยันต์ประเภทนี้สามารถกำราบภูตผีได้ดีที่สุด ต่อให้เป็นเซียนดินที่สูงส่งเหนือผู้ใดอย่างโอสถทอง ก่อกำเนิดก็ยังมองวัตถุชนิดนี้เป็นของรักของหวง ล้ำค่าอย่างถึงที่สุด ผู้ฝึกตนที่ต่ำกว่าขอบเขตโอสถทองคิดจะซื้อกระดาษลมฟ้าแค่สามแผ่น คาดว่าคงต้องสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว”
ใช่ว่าเฉินผิงอันจะไม่รู้ถึงข้อดีของกระดาษยันต์สีทอง ตอนนั้นที่อยู่ในสนามรบแคว้นซูสุ่ย ติดตามอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งอวี่เซาบุกทะลวงขบวนรบไป ข้ารับใช้เชื้อพระวงศ์คนหนึ่งก็เคยเรียกยันต์สีทองออกมาเชิญตัวเทพเกราะทองตนหนึ่งเพื่อขัดขวางการลอบโจมตีของเฉินผิงอัน เฉินผิงอันได้เห็นกับตาตัวเองว่าหลังจากผู้เฒ่าโยนยันต์แผ่นนั้นออกมา เขามีท่าทางร้าวรานใจน่าสงสารเพียงใด
“ตอนนี้แม้แต่ภูเขาไท่ผิงก็ไม่สงบสุขแล้ว แค่คิดก็พอจะรู้ได้ว่าภาคกลางของใบถงทวีปจะวุ่นวายเพียงใด เดินทางท่องอยู่ในยุทธภพ ไม่มียันต์ติดตัวสักแผ่นสองแผ่นคงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่”
จงขุยวางยันต์สามแผ่นไว้บนโต๊ะ ในมือถือเหล็กหมาดหิมะ ก่อนจะวาดยันต์ เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน สหายส่วนสหาย แต่เรื่องเงินทองควรคิดให้ชัดเจน ข้าช่วยเจ้าเขียนยันต์สามแผ่น ยันต์ทหารตรีปฏิภาณฟ้าดินและมนุษย์นี้มีปราณสังหารเข้มข้น เหมาะกับการใช้สยบกำราบผีร้ายพอดี เป็นยันต์สยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะชุดหนึ่งที่ข้าสร้างขึ้นเอง สามารถเอาไปใช้เดี่ยวๆ ได้ มากพอจะข่มขู่ให้ภูตผีขอบเขตโอสถทองถอยหนี ต่อให้เป็นราชาแห่งผีขอบเขตก่อกำเนิด เมื่อใช้ยันต์สามแผ่นพร้อมกัน ขอแค่เอาออกมาใช้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้มันบาดเจ็บสาหัสได้ ถือว่านี่เป็นดอกเบี้ยจากที่ข้ายืมเหล็กหมาดหิมะของเจ้าก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันตบไหล่เขา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อมันล้ำค่าขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ให้เจ้ายืมเหล็กหมาดหิมะได้อีกหลายวัน”
จงขุยสะบัดไหล่ปัดมือของเฉินผิงอันทิ้ง มองค้อนปะหลับปะเหลือก “ข้าไม่สนิทกับเจ้าสักหน่อย”
เจ้าแม่เทพวารีเดาะลิ้นไม่หยุด เดาไม่ออกจริงๆ ว่าคนทั้งสองมีความสัมพันธ์กันอย่างไร คนหนึ่งยอมให้ยืมสมบัติอาคมชั้นเยี่ยม อีกคนหนึ่งยอมมอบกระดาษลมฟ้าให้ถึงสามแผ่น
จงขุยทำท่าเหมือนตอนเขียนกลอนคู่ในโรงเตี๊ยม เริ่มวางมาดน่าเชื่อถืออีกครั้ง มือข้างหนึ่งถือพู่กันค้างอยู่กลางอากาศ เตรียมจรดพู่กันวาดยันต์ มือข้างหนึ่งสะบัดชายแขนเสื้อ ยกขึ้นสูง “อริยะเคยกล่าวว่า อ่านตำราหมื่นเล่ม จรดพู่กันดุจมีเทพช่วย เจ้าแม่เทพวารี เอาเหล้ามา!”
เจ้าแม่เทพวารียื่นเหล้าถ้วยหนึ่งส่งให้เขา
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “อย่าทำเป็นเล่น วาดยันต์ให้ดี วาดผิดแล้วจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องเปลี่ยนกระดาษลมฟ้าแผ่นใหม่ให้ข้า เจ้าบอกเองว่าสหายก็ส่วนสหาย เรื่องเงินต้องคิดกันให้ชัดเจน”
จงขุยวางถ้วยเหล้าที่เดิมทีคิดจะเอามาเพิ่มความฮึกเหิมลงอย่างขุ่นเคือง เฉินผิงอันจึงพูดอีกว่า “ข้าล้อเจ้าเล่น”
จงขุยหน้ามุ่ย
เจ้าแม่เทพวารีเริ่มรู้สึกเลื่อมใสในตัวของคุณชายหนุ่มที่ปล่อยจิตหยินออกมาท่องเที่ยวยามค่ำคืนคนนี้บ้างแล้ว
เจ้าไม่หวาดเกรงวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาบ้างเลยหรือไร?
จงขุยกรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ เรอออกมาดังเอิ้ก แล้วภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น ปราณวิญญาณสีขาวหิมะเป็นเส้นๆ คล้ายปราณแห่งความเที่ยงธรรมในท้องของบัณฑิตถูกจงขุยพ่นออกมา ปราณแห่งความเที่ยงธรรมเหล่านั้นล้อมพันอยู่ตรงปลายพู่กันของเหล็กหมาดหิมะ ยันต์ที่จงขุยวาดไม่สอดคล้องกับกฎดั้งเดิมของการวาดยันต์ เพราะไม่ได้ ‘จรดพู่กัน’ สัมผัสกับกระดาษ แต่ท่องกลอนประโยคหนึ่งออกมาแทน “แม่ทัพใหญ่เพิ่งออกจากประตูวัง ทหารม้าเกราะเหล็กก็พุ่งพังฐานที่มั่น”
หลังจากนั้นสะบัดข้อมือเบาๆ หนึ่งที ปลายพู่กัน ‘จรดลง’ วาดเป็นคนจิ๋วขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารหลายคนเรียงติดกัน
หากมองอย่างละเอียดจะเห็นว่าเป็นขุนพลบู๊ขี่ม้าสวมเกราะเหล็กสีเงินยวง ทหารม้าหลายร้อยนายที่อยู่บนกระดาษลมฟ้ากำลังจัดขบวนทัพอย่างว่องไว ก่อนที่ต่างคนต่างดึงบังเหียนหยุดม้า
จงขุยที่มือขวาถือพู่กัน สองนิ้วมือซ้ายประกบกันชี้ไปยังกระดาษยันต์หนึ่งทีพลางเอ่ยเสียงหนัก “นิ่ง!”
ทหารม้าเกราะเหล็กเหล่านั้นหลอมละลายผสานรวมเข้าไปในกระดาษยันต์สีทองในเสี้ยววินาที
ชั่วพริบตานั้นก็กลายเป็นกระดาษยันต์หนึ่งแผ่น
หลังจากนั้นอีกสองแผ่นก็ใช้วิธีวาดที่ไม่ต่างกัน คู่ควรกับคำกล่าวสรรเสริญว่า ‘ใต้ข้อมือมีผีและเทพ’ อย่างยิ่ง
เจ้าแม่เทพวารีทอดถอนใจด้วยความชื่นชม ไม่เสียแรงที่เป็นว่าที่อริยะของสำนักศึกษาต้าฝู ไม่พูดถึงคุณธรรมและความรู้ ลำพังเพียงแค่การเขียนยันต์นี้ก็น่าจะทำให้ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งตบโต๊ะร้องชมเชยอย่างถูกใจได้แล้ว
จงขุยมอบกระดาษยันต์สามแผ่นให้เฉินผิงอัน “ยันต์ทหารตรีปฏิภาณนี้วาดสำเร็จแล้ว”
เฉินผิงอันรับแผ่นยันต์มาอย่างระมัดระวัง ก่อนถามยิ้มๆ ว่า “วาดยันต์สามแผ่น เหนื่อยไหม?”
จงขุยตบท้องตัวเอง หลุดหัวเราะพรืด “เรื่องเล็กน้อย! ในท้องข้ามีกลยุทธ์อยู่เต็มเปี่ยม ซุกซ่อนทหารสวมเสื้อเกราะไว้หนึ่งแสนนาย ก็แค่ยันต์สามแผ่นเท่านั้น…เท่านั้น?”
จงขุยปากอ้าตาค้าง เพราะเขาเห็นว่าเฉินผิงอันเพิ่งเก็บยันต์สามแผ่นไปก็หยิบกระดาษยันต์ออกมาอีกสามแผ่น แผ่นที่อยู่ด้านบนสุดเป็นกระดาษสีทอง แต่กลับไม่ใช่กระดาษลมฟ้าที่พื้นเป็นลายตัวอักษรโบราณ ราวกับว่าจะมีประวัติความเป็นมายาวนานยิ่งกว่า
บทที่ 346.2 ยันต์หกแผ่นของวิญญูชน ปราบผีสยบกระบี่
ProjectZyphon
เฉินผิงอันวางพวกมันลงบนโต๊ะเบาๆ ยิ้มตาหยีพูดว่า “ในเมื่อไม่เหนื่อย ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยวาดให้ข้าอีกสักสามแผ่น ให้ดีที่สุดแผ่นหนึ่งคือยันต์วิชาอสนี แผ่นหนึ่งคือยันต์นำทาง สามารถทำลายคาถาอำพรางตาในขอบเขตของภูเขาและแม่น้ำบางแห่งได้ อีกแผ่นหนึ่งคือยันต์ที่สามารถช่วยกักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่เหมือนยันต์บ่อน้ำ”
เจ้าแม่เทพวารีเต็มไปด้วยความสงสัยไม่เข้าใจ คุณชายต่างถิ่นผู้นี้ไม่ได้แค่มีเงินธรรมดาเท่านั้น
จงขุยปาดเหงื่อบนหน้าผาก ทอดถอนใจกล่าวว่า “ช่างเถิดๆ เป็นคนดีแล้วก็ต้องเป็นให้ถึงที่สุด วาดอีกสามแผ่นก็สามแผ่น”
ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจได้ จงขุยเอ่ยเสียงหนักว่า “ข้าจะวาดยันต์ห้าอสนี ‘วิชาหลัก’ ที่เทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์เชี่ยวชาญให้เจ้าแผ่นหนึ่ง เดิมทีวิชาห้าอสนีก็อยู่ในตำแหน่งผู้นำของหมื่นวิชาอยู่แล้ว การสืบทอดของวิชาอสนีนั้นซับซ้อน ซึ่งมีภูเขามังกรพยัคฆ์เป็นสำนักดั้งเดิม เป็นวิชาหลัก อาจารย์ของข้าเคยเดินทางไปเยือนภูเขามังกรพยัคฆ์หลายครั้ง เคยได้เห็นเทียนซือใหญ่มาครั้งหนึ่ง จึงได้เรียนวิชาเขียนยันต์ห้าอสนีแผ่นหนึ่งพอดี ห้ามังกรคาบไข่มุกที่ซุกซ่อนสายฟ้า พลังอำนาจค่อนข้างจะ…”
เห็นสายตาประหลาดของเฉินผิงอัน
จงขุยก็ร้องโธ่เอ้ย แล้วพูดอย่างน่าสงสารว่า “จะให้ข้าพักสักครู่ก่อนจรดพู่กันเขียนอีกครั้งไม่ได้เลยหรือไง เขียนยันต์ระดับสูงสามแผ่นรวด เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะหยิบกระดาษยันต์ที่ดีขนาดนี้ออกมาตั้งสามแผ่น หากรู้แต่แรกข้าก็แกล้งทำตัวเป็นหลานไปแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มแล้วนั่งลง “ดื่มเหล้าแล้วรอให้จิตใจสงบค่อยวาดยันต์ก็ยังไม่สาย ข้าไม่เร่งรัดเจ้าก็แล้วกัน”
จงขุยถึงได้ผ่อนลมหายใจโล่งอก ดื่มเหล้าอึกใหญ่ หยิบยันต์กระดาษสีทองแผ่นนั้นแยกออกมาต่างหาก แล้ววางให้ตรง
เห็นเพียงว่าปลายพู่กันของเหล็กหมาดหิมะที่ลอยอยู่กลางอากาศเหนือกระดาษยันต์ไปหนึ่งฉื่อกว่ามีเสียงฟ้าร้องและมีสายฟ้าสีขาวประกายม่วงแลบปลาบ อยู่ใกล้ในระยะประชิด แต่กลับยังมีอานุภาพสะเทือนฟ้าถึงเพียงนี้
เจ้าแม่เทพวารีอกสั่นขวัญแขวน
วาดยันต์อสนีห้ามังกรคาบไข่มุกที่มีพลังอำนาจน่าพรั่นพรึงเสร็จแล้ว จงขุยก็วาดยันต์ทำลายอาคมพรางตาอีกแผ่นหนึ่ง
จากนั้นก็นั่งแปะลงไปบนเก้าอี้ เหม่อมองกระดาษยันต์สีเขียวแผ่นสุดท้ายนั่น
เฉินผิงอันพลันเข้าใจ จึงยื่นมือไปหยิบยันต์แผ่นนั้นมา ยิ้มพูดว่า “ช่างเถอะ ไม่แกล้งขู่เจ้าแล้ว ยันต์สองแผ่นก่อนหน้านี้ก็เพียงพอแล้ว”
สีหน้าของจงขุยเคร่งขรึม คว้าแขนข้างที่ใช้สองนิ้วคีบยันต์กระดาษสีเขียวของเฉินผิงอันเอาไว้ “ยันต์แผ่นนี้ข้าต้องวาด เพียงแต่ข้าจำเป็นต้องใช้เวลาเตรียมตัวให้ดีก่อนครู่หนึ่งถึงจะวาดลงไปอย่างระมัดระวังได้ หากวาดพลาด ต่อให้เจ้าเฉินผิงอันไม่ตีข้า ข้าก็ต้องด่าตัวเองแน่ๆ”
เฉินผิงอันถาม “จะวาดได้สำเร็จหรือ?”
จงขุยถามกลับ “ทำไมถึงจะวาดไม่สำเร็จ? แน่นอนว่าต้องสำเร็จ ข้าแค่รู้สึกว่ายันต์บ่อน้ำที่ธรรมดาแผ่นหนึ่ง หากทำได้แค่พันธนาการ กักขังกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ที่มีขอบเขตต่ำกว่าก่อกำเนิดถือเป็นการสิ้นเปลืองสมบัติสวรรค์เกินไป”
เฉินผิงอันเอ่ยชื่นชม “จงขุย พรสวรรค์ในการวาดยันต์ของเจ้าดีกว่าข้าเยอะเลย”
จงขุยกล่าวอย่างระอาใจ “เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง บอกว่าตัวเองวาดยันต์สู้ข้าไม่ได้ เจ้าคิดว่าข้าควรจะดีใจไหม?”
เฉินผิงอันพูดไม่ออก แล้วก็เงียบเสียงไป ไม่รบกวนเวลาพักผ่อน หล่อเลี้ยงปราณแห่งความเที่ยงธรรมระหว่างหัวใจของจงขุยอีก
เพียงแต่ว่าในใจเขาก็ตัดสินใจได้อย่างหนึ่งแล้ว
จงขุยสูดลมหายใจเข้าลึก พูดกับเจ้าแม่เทพวารี “ส่งตัวภูตผีทั้งหมดในจวนออกไปจากจวนปี้โหยว รอให้ข้าวาดยันต์เสร็จแล้วค่อยให้พวกมันกลับมา”
แม้นางจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่ก็ยังใช้วิชาอภินิหารของเทพวารีลำคลองหมายเหอ รวมไปถึงวิชาเฉพาะของจวนปี้โหยว ‘ขับไล่’ พ่อบ้าน หญิงรับใช้และคนงานทั้งหมดในจวนออกไปในเสี้ยววินาที
จงขุยยืนนิ่ง เอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งถือเหล็กหมาดหิมะ ในชายแขนเสื้อสองข้างมีลมเย็นพัดดังพึ่บพั่บ
ทันใดนั้นทั้งจวนปี้โหยวก็เริ่มสั่นสะเทือนไม่หยุด สายน้ำใต้ดินโถมซัดสาดขึ้นๆ ลงๆ
เจ้าแม่เทพวารีพลันรู้สึกหายใจได้ยากลำบาก จึงถอยห่างไปด้านหลัง พยายามอยู่ให้ห่างจากวิญญูชนสำนักศึกษาต้าฝูท่านนี้ให้ได้มากที่สุด แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายตัวอย่างยิ่ง นางจึงพลิ้วกายออกไปจากห้องโถงใหญ่ ถึงรู้สึกดีขึ้นมาได้นิดหน่อย
นางกัดริมฝีปาก สายตาเลื่อนลอย
บัณฑิตที่ชื่อว่าจงขุยผู้นี้ต้องไม่ได้เป็นแค่วิญญูชนของสำนักศึกษาอย่างเดียวแน่นอน!
ตอนที่จงขุยจรดพู่กัน ปากก็ท่องเบาๆ ว่า “สะบัดชายแขนเสื้อกระบี่ผงาด ลำคลองแม่น้ำใสกระจ่าง ขุนเขาสี่ทิศแตกทลาย มหาสมุทรเก้าทวีปเดือดพล่าน”
หลังยันต์ถูกวาดเสร็จ จิตแห่งยันต์ที่ซ่อนตัวอยู่ภายในกลับจำแลงกายขึ้นมาอย่างชัดเจน นั่นคือเซียนกระบี่ชุดขาวที่สูงเท่าหนึ่งนิ้วมือท่านหนึ่ง เขาลอยตัวอยู่เหนือกระดาษยันต์ ชักกระบี่ออกมาอย่างว่องไวปราดเปรียว ปราณกระบี่ไหลเวียนวน รวดเร็วดุจฟ้าแลบ
จงขุยหน้าซีดขาวเล็กน้อย เก็บเหล็กหมาดหิมะลงไปแล้วกรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ แม้ว่าจะเหนื่อยล้าสิ้นเรี่ยวแรง แต่รอยยิ้มกลับคลี่สยายเต็มใบหน้า “ยันต์แผ่นนี้ก็คือยันต์ที่ข้าภาคภูมิใจมากที่สุดในบรรดายันต์ที่ข้าสร้างขึ้นมา ตั้งชื่อให้ว่ายันต์สยบกระบี่ ใช้ปณิธานกระบี่ที่มากมหาศาลของเซียนกระบี่บรรพกาลท่านหนึ่งมาสยบกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของคนที่ต่ำกว่าห้าขอบเขตบนทั้งหมด กระดาษยันต์ดีเกินไป และยันต์นี้ที่ข้าวาดก็ดีเกินไป ไม่เหมือนยันต์บ่อน้ำอะไรนั่นที่ได้แค่กักกระบี่บินไว้ชั่วครู่ชั่วยาม หากยันต์สยบกระบี่แผ่นนี้ถูกเอาออกมาใช้จะสามารถช่วงชิงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของขอบเขตโอสถทองท่านหนึ่งมาได้โดยตรงเลย กระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดอาจจะกักไว้ไม่ได้นานนัก ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องฝ่ายันต์ออกมาได้ แต่จำไว้ว่ายันต์แผ่นนี้จะเอาออกมาใช้ง่ายๆ ไม่ได้เด็ดขาด อย่าให้คนอื่นเห็นเข้า อาจารย์เคยกำชับข้าว่า ยันต์สยบกระบี่แผ่นนี้ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ พุ่งเป้าเล่นงานผู้ฝึกกระบี่มากเกินไป ย่อมง่ายที่จะนำภัยมาสู่ตัว”
เฉินผิงอันรู้สึกละอายใจเล็กน้อย “ลำบากเจ้าแล้ว”
จงขุยโบกมือด้วยรอยยิ้ม ใช้เสียงในใจบอกกับเฉินผิงอันว่า “กระดาษยันต์แผ่นนี้คือกระดาษต้นฉบับที่อริยะใช้เขียนความรู้ของตัวเองลงไป เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันมีค่ามากแค่ไหน? ต่อให้เป็นอาจารย์ของข้า ตอนที่ออกมาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยังพกติดตัวไปแค่สามแผ่นเท่านั้น ตอนข้ามมหาสมุทรใช้ไปแผ่นหนึ่ง มาถึงใบถงทวีปใช้ไปอีกแผ่นหนึ่ง ตอนนี้เหลือแค่แผ่นเดียวแล้ว ของรักของหวงของท่านอาจารย์ ขนาดข้าก็ยังได้แค่มอง ไม่อาจสัมผัส ดังนั้นหากเขียนลงบนกระดาษยันต์สีทอง พลานุภาพของยันต์สยบกระบี่นี้ของข้าจะถูกลดขั้นลงไประดับใหญ่ อย่างมากสุดก็ได้แค่กักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปเท่านั้น”
จงขุยร้องว่าสะใจๆ แล้วก็เริ่มดื่มเหล้าอีกครั้ง
เฉินผิงอันบิดข้อมือแอบยื่นกระดาษยันต์แผ่นหนึ่งให้จงขุย
จงขุยอึ้งงันเป็นไก่ไม้ ถลึงตาพูด “เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง? ตอนที่ไม่รู้มูลค่าของมันก็ช่างเถอะ แต่ข้าบอกถึงระดับความล้ำค่าของมันให้เจ้ารู้แล้ว เจ้ายังทำเป็นเล่นแบบนี้? รีบเก็บกลับไปซะ!”
เฉินผิงอันไม่พูดไม่จา คลายนิ้วออก ปล่อยให้กระดาษยันต์สีเขียวแผ่นนั้นร่วงลงเบื้องล่าง จงขุยได้แต่รีบยื่นมือไปรับไว้แล้วเก็บเข้าไปในชายแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา ชูขึ้นสูง เอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ “ขออวยพรให้การเดินทางไปเยือนภูเขาไท่ผิงของเจ้า สามารถกำจัดปีศาจปราบมารได้อย่างราบรื่น”
จงขุยขยับปากจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไร แค่หยิบถ้วยเหล้าขึ้นมาเงียบๆ ชนกับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ในมือเฉินผิงอันเบาๆ ต่างคนต่างดื่มเหล้าอึกใหญ่
จงขุยดื่มเหล้าหมักที่อยู่ในถ้วยหมดแล้วก็ลุกขึ้น “ไปล่ะ”
เฉินผิงอันกุมหมัดน้อมส่งอีกฝ่าย
จงขุยกำลังจะจากไป
เฉินผิงอันเอ่ยเตือนว่า “ไม่ขอสุรารสเลิศจากเจ้าแม่เทพวารีไปสักไหหรือ?”
จงขุยดวงตาเป็นประกาย ชูนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน
เดิมทีเจ้าแม่เทพวารีก็มีนิสัยใจกว้างตรงไปตรงมาอยู่แล้ว ย่อมไม่มีทางตระหนี่กับเรื่องแค่นี้ นางไปหิ้วเหล้ามาสองไห แต่จงขุยกลับมอบเหล้าไหหนึ่งให้เฉินผิงอัน เฉินผิงอันเองก็ไม่เกรงใจ เพิ่งดื่มเหล้าบ๊วยของโรงเตี๊ยมหมดไปพอดี เขาจึงเทเหล้าหมักร้อยปีของจวนปี้โหยวไหนี้ใส่เข้าไปในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
จงขุยหิ้วไหเหล้าทะยานวูบขึ้นไปกลางอากาศ ไปหยุดอยู่ริมลำคลองหมายเหอ กำลังจะข้ามแม่น้ำไปก็พลันหยุดชะงัก ที่แท้เขามองเห็นจิตหยินของอาจารย์ตัวเองกำลังรอตนอยู่ตรงริมน้ำ
จงขุยรีบเอาไหเหล้าไปซ่อนไว้ด้านหลัง
เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝูคือบุรุษวัยกลางคนที่สีหน้าเฉยเมยคนหนึ่ง เขาเดินเลียบริมตลิ่งของลำคลองหมายเหอไปอย่างเชื่องช้า จงขุยติดตามอยู่ด้านหลัง
สำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่งในใต้หล้าไพศาล เจ้าขุนเขาเจ็ดสิบสองท่านมีขอบเขตสูงต่ำไม่เท่ากัน คนที่มีตบะสูงสุดก็สูงถึงขอบเขตเซียนเหรินที่เป็นดั่งยอดเขาสูงทะลุชั้นเมฆ แต่เจ้าขุนเขาที่มีขอบเขตแค่ก่อกำเนิดก็มีไม่น้อย เหมือนกับเหมาเสี่ยวตงแห่งสำนักศึกษาซานหยาแห่งใหม่ที่อยู่ในต้าสุยก็เป็นแค่ขอบเขตก่อกำเนิด แต่เจ้าขุนเขาที่นั่งบัญชาการณ์สำนักศึกษา ขอบเขตก่อกำเนิดก็สามารถทัดเทียมกับขอบเขตหยกดิบได้แล้ว ยังคงเป็นตบะที่ใครก็ไม่กล้าดูแคลน
บัณฑิตที่มาจากจวนของอริยะบางท่านคนนี้ เป็นผู้ที่มีขอบเขตไม่สูงไม่ต่ำในบรรดาเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา คือขอบเขตหยกดิบ เมื่ออยู่ในสำนักศึกษาต้าฝูก็เท่ากับตบะเซียนเหรินแล้ว
เพียงแต่ว่าการเดินทางไปยังชายฝั่งทะเลตะวันตกของสำนักฝูจีเพื่อไล่ฆ่าปีศาจใหญ่ตนนั้น เมื่อต้องออกจากสำนักศึกษา ถ้าอย่างนั้นเขาก็เป็นแค่ขอบเขตหยกดิบเท่านั้น
เจ้าขุนเขาเอ่ยเบาๆ “ อีกฝ่ายอาจจะมีวิธีรับมืออย่างอื่นรออยู่ภายหลัง ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าต้องการให้เจ้าทำตัวขี้ขลาดไม่กล้าเดินหน้า แต่หวังให้เจ้าวางแผนให้ดีก่อนลงมือสำหรับทุกเรื่อง ต่อให้เป็นแค่การกำราบภูตผีปีศาจที่อยู่รอบๆ ภูเขาไท่ผิงก็ห้ามประมาทเด็ดขาด”
จงขุยพยักหน้ารับ “ศิษย์เข้าใจแล้ว”
เจ้าขุนเขาหยุดเดิน ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา บนฝ่ามือคือยันต์กระดาษสีเขียวแผ่นหนึ่ง “รับเอาไว้ ใช้ป้องกันตัว”
จงขุยไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ “เมื่อครู่นี้ตอนที่ท่านอาจารย์อยู่ริมลำคลอง ไม่ได้ใช้วิชาอภินิหารมองภาพเหตุการณ์ในจวนปี้โหยวหรือ?”
เจ้าขุนเขาตวาดเบาๆ “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ริมลำคลองหมายเหอ เจ้าเรียกกุ่ยชาของยมโลกมาโดยพลการ ในฐานะเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝูนี่ถือเป็นความรับผิดชอบของข้า ข้าจะไม่สืบสาวราวเรื่องให้รู้ชัดเจนได้อย่างไร?! เจ้าอยู่ในจวนปี้โหยว แค่ใช้เวลาอยู่กับสหาย ข้าย่อมไม่มองในสิ่งที่ไม่ควรมอง! หากไม่เป็นเพราะอยู่ต่อหน้าคนนอก ข้าไม่สะดวกจะมอบยันต์แผ่นนี้ให้เจ้า ป่านนี้จิตหยินของข้าก็จากไปนานแล้ว”
จงขุยยิ้ม “ท่านอาจารย์เป็นผู้สูงส่งจิตใจดีงาม ดุจขุนเขาสูงแม่น้ำไหลยาว ศิษย์ได้รับการสั่งสอนแล้ว!”
เจ้าขุนเขาไม่สนใจคำพูดของเขา “ทำไมถึงไม่รับไว้?”
จงขุยได้แต่บอกไปอย่างตรงไปตรงมา “นอกจากพู่กันที่มีวาสนากับข้าด้ามนั้นแล้ว สหายคนนั้นยังมอบกระดาษยันต์สีเขียวให้ข้าแผ่นหนึ่ง เหมือนกับกระดาษแผ่นนี้ของท่านอาจารย์อย่างไม่มีผิดเพี้ยน”
เจ้าขุนเขาขมวดคิ้ว แล้วจึงเก็บยันต์ในฝ่ามือลงไป ถามเหมือนไม่สบอารมณ์นัก “ของล้ำค่าขนาดนี้ เหตุใดเจ้าถึงยอมรับไว้ง่ายๆ?”
จงขุยอึ้งงัน ก่อนจะตั้งใจขบคิดอยู่ชั่วครู่ “ไม่รู้ว่าเหตุใด แต่รู้สึกเหมือนว่าต้องรับไว้ถึงจะถูก ขออาจารย์โปรดลงโทษด้วย”
เจ้าขุนเขาเงียบงันไปชั่วขณะ “สุรารสดีของจวนปี้โหยวไหนั้น เจ้าไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แล้ว ในเมื่อได้เจอกับสหายที่ไม่เลว นี่ยังไม่มีค่าพอให้ดื่มสุราอีกหรือ? จำไว้ว่าจะดื่มสุราก็ได้ แต่ห้ามให้การเดินทางไปเยือนภูเขาไท่ผิงล่าช้า อีกอย่าง…อย่าให้มีครั้งหน้า”
จงขุยเกาหัว อาจารย์ของเขาคงไม่ได้ถูกผีสิงหรอกกระมัง?
ความเข้มงวดของอาจารย์เขาเป็นที่เลื่องลือ ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องทำตามกฎเกณฑ์ ทุกเรื่องล้วนต้องรักษามารยาทพิธีการ และเขายังเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาของกุรุทวีปที่หากไม่ลงมือก็ดูปกติธรรมดา แต่พอลงมือทีกลับทำภูเขาถล่มพื้นดินแตกแยกผู้นั้นด้วย
เพียงชั่วลัดนิ้วมือ จิตหยินที่ออกมาท่องเที่ยวยามค่ำคืนตนนี้ก็กลับคืนสู่ร่างจริงที่อยู่ห่างไปไกลอย่างถึงที่สุด
เจ้าขุนเขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เห็นจงขุยผู้เป็นลูกศิษย์คบค้าสมาคมกับคนหนุ่มผู้นั้น เขาอดนึกถึงตอนที่ตัวเองเป็นเด็กหนุ่มไม่ได้ เวลานั้นเขากับลูกหลานจวนอริยะรวมถึงลูกหลานจากสำนักและจวนชนชั้นสูงที่มีชาติกำเนิดพอๆ กัน อายุพอๆ กัน ทุกคนล้วนอิจฉาคนแซ่ฉีเหมือนกันไม่มากก็น้อย
เพราะคนที่เรียกตัวเองว่าอาเหลียงผู้นั้น คนที่พวกเขาเลื่อมใสนับถือมากที่สุดผู้นั้น
ชอบบอกกับคนอื่นว่าเสี่ยวฉีคือเพื่อนของข้า ใครกล้ารังแกเขา ข้าก็จะเล่นงานมันผู้นั้นจนฝาโลงบรรพบุรุษของมันต้องเปิดอ้าออกมา
……
จวนปี้โหยว หลังจากที่จงขุยจากไปแล้ว ประโยคแรกที่เจ้าแม่เทพวารีเอ่ยช่างชวนให้ตื่นตะลึงยิ่งนัก “ข้ารู้ว่าเจ้าเคยพบท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง อีกทั้งยังไม่ใช่แค่การพบกันอย่างผิวเผินเหมือนคนที่เดินสวนไหล่กันด้วย!”
เฉินผิงอันไม่สะทกสะท้าน “ทำไมตัวข้าถึงไม่รู้เลย?”
เจ้าแม่เทพวารีหลุดหัวเราะพรืด “เจ้ายังเสแสร้งอยู่อีกรึ? จงขุยไม่รู้สถานะของเจ้า มองสายความรู้ของเจ้าไม่ออก นั่นเป็นเพราะเขาไม่ใช่คนสายบุ๋นฝั่งของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งและฉีจิ้งชุนแห่งสำนักศึกษาซานหยา แต่ข้าเป็นใคร? ผลงานทุกชิ้นของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ข้าจำได้ทุกคำ เปิดอ่านมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ปีนั้นที่ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเข้าร่วมการอภิปรายของสามลัทธิสองครั้ง เขาเหมือนท้องนภาที่สูงส่งมากเท่าใด ข้าก็ยิ่งรู้ชัดเจนดีกว่าใคร! ในท้องมีหนังสือและบทกวี บุคลิกย่อมสง่าด้วยตัวเอง อ่านหนังสือต่างกัน ปราณแห่งความยิ่งใหญ่เที่ยงธรรมก็จะต่างออกไป ข้าเป็นใคร? จะดีจะชั่วก็เป็นเทพวารีของลำคลองหมายเหอท่านหนึ่ง วิชาการมองลมปราณนั้นเป็นสิ่งที่ข้าชำนาญยิ่ง!”
มองเจ้าแม่เทพวารีที่พูดจามีหลักมีฐานน่าเชื่อถือ เฉินผิงอันก็ถามยิ้มๆ ว่า “แล้วยังไงต่อ?”
นางพลันหน้าม่อย พลังอำนาจดุดันหายวับไปสิ้น “เจ้าไม่เคยเจอท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เคยเจอสิ”
เจ้าแม่เทพวารีฟุบตัวคว่ำบนโต๊ะ สายตาหม่นหมอง แต่พอได้ยินประโยคนี้กลับกระโดดผลุงขึ้น “เคยเจอ?!”
เฉินผิงอันยื่นนิ้วมือออกมาข้างหนึ่งบอกเป็นนัยแก่นางว่าพวกเราควรคุยกันเบาๆ
เจ้าแม่เทพวารีเหม่อมองคนหนุ่มที่รู้จักท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งจริงดังที่นางคาด โอ้โหมารดามันเถอะ เหตุใดบนโลกถึงได้มีหนุ่มน้อยที่หล่อเหลาถึงปานนี้?
หรือว่าข้าควรจะมอมเหล้าให้เขาเมามาย จากนั้นก็…กราบไหว้ฟ้าดินสาบานเป็นพี่น้องกัน? เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับตนมีความเกี่ยวข้องกับท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งแล้วไม่ใช่หรือ?
นางเช็ดปากแล้วหัวเราะคิกคักอย่างโง่งม ในใจคิดว่าแผนการนี้ของตนช่างยอดเยี่ยม ไม่เสียแรงที่เคยอ่านตำราอริยะปราชญ์มามากมายขนาดนั้น หนังสือที่อ่านมาไม่เสียเปล่าเลยจริงๆ จะทำให้ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งขายหน้าไม่ได้เด็ดขาด
เฉินผิงอันเริ่มรู้สึกเสียใจที่บอกว่าตัวเองรู้จักเหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่าแล้ว
บทที่ 347.1 อาจารย์พูดถึงลำดับขั้นตอน เทพวารีสร้างโอสถทอง
ProjectZyphon
ยามหนึ่งมนุษย์ ยามสองไฟ ยามสามผีเร่ร่อน ยามสี่ขโมย ยามห้าไก่ขัน ใต้ฟ้าสว่างเป็นสีขาว
ยามสามของคืนนี้ บรรยากาศในลำคลองหมายเหออึมครึมน่าสะพรึงกลัว
ทางฝั่งของจุดพักม้า บางทีอาจเป็นเพราะมีกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาเฝ้าอยู่ที่นี่ ทหารมีปราณของการเข่นฆ่าที่น่าเกรงขาม จึงเป็นการสกัดกั้นกลิ่นอายที่น่าขนลุกขนชั้นนั้นไว้ได้โดยที่มองไม่เห็น
เหยาจิ้นจือฝึกวิชาเงินทองอยู่ในห้องของตัวเอง วิชานี้ภาษาชาวบ้านเรียกว่าป่าไข่มุกเพลิง เป็นหนึ่งในวิชาลับบนภูเขา อันที่จริงไม่ถือว่าเป็นวิชาที่เข้าขั้นอย่างแท้จริง เหยาจิ้นจือเจอมาจากในหอตำราตอนยังเป็นเด็กโดยบังเอิญ หลายปีมานี้จึงเอามาใช้เป็นงานอดิเรกฆ่าเวลา วิชาเงินทองนี้จะใช้เหรียญทองแดงสามเหรียญโยนเพื่อขอคำทำนาย บ้างก็ใช้เหรียญหกเหรียญ โดยการใส่เหรียญทองแดงหกเหรียญไว้ในกระบอกไม้ไผ่ หลังจากเทเหรียญทองแดงออกมาแล้วก็ดูว่าเป็นด้านหน้าหรือด้านหลัง ถามถึงอนาคต แล้วทำนายออกมาว่าดีหรือร้าย บางครั้งก็แม่นยำ บางครั้งก็ไม่ ซึ่งอันที่จริงแล้วตัวเหยาจิ้นจือเองก็ไม่ได้เชื่อเรื่องนี้สักเท่าไหร่
วันนี้นางใช้เหรียญสามเหรียญถามว่าการเดินทางเข้าเมืองหลวงครั้งนี้ของตนจะเป็นอย่างไร ผลออกมาว่ามหามงคล
ก่อนจะใช้เหรียญหกเหรียญถามว่าชะตาแคว้นของสกุลหลิวต้าเฉวียนจะสั้นหรือยาว
หลังจากนั้นก็ทยอยเก็บเหรียญทองแดงมาทีละเหรียญ ใบหน้าเหยาจิ้นจือเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ ครุ่นคิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ ได้แต่ตำหนิตัวเองว่าเดิมทีการถามสวรรค์ ถามผีและเทพก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว นางจึงไม่มัวเสียอารมณ์อยู่กับผลลัพธ์ทั้งสองครั้งนี้อีก ลุกขึ้นเดินมาที่หน้าต่าง เห็นว่าเหยาหลิ่งจือกำลังฝึกวิชาดาบ ห่างออกไปไกลอีกนิด ในห้องห้องหนึ่งยังจุดไฟสว่างโร่ ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าเหยาเซียนจือกำลังจุดตะเกียงอ่านตำราพิชัยยุทธ
นางกลับมานั่งข้างโต๊ะ คิดว่าหลังจากนี้ควรจะไปเล่นหมากล้อมกับท่านหลูผู้นั้นบ่อยๆ นำของเล็กๆ น้อยๆ ฝีมือประณีตมอบให้เด็กหญิงที่ชื่อว่าเผยเฉียนสักสองสามชิ้น แล้วก็ยังต้องหาโอกาสมอบของชิ้นหนึ่งที่ถูกกาละเทศะและเหมาะสมให้กับข้ารับใช้หนุ่มของสกุลหลิว เพราะในฐานะที่เป็นสตรี นางมองความในใจที่ซ่อนไว้ในจุดลึกของดวงตาเส้ายวนหรานออก เพียงแต่ว่าทั้งๆ ที่นางมองออก นางกลับแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ การเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้นางเคยพูดคุยกับผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้นแค่สองสามคำเท่านั้น รวมไปถึงมีครั้งหนึ่งที่จงใจมองไปทางแผ่นหลังของคนผู้นั้น จะว่าไปแล้วผู้รับใช้จักรพรรดิหนุ่มคนนั้นก็น่าขำ เขาคิดว่าเมื่ออยู่ต่อหน้านาง สีหน้าที่เย็นชาของตัวเองจะสามารถปกปิดทุกอย่างได้ นางมั่นใจได้เลยว่าการจ้องมองอย่าง ‘ไม่ได้ตั้งใจ’ ครั้งนั้นของตน มากพอจะทำให้ผู้ฝึกตนปณิธานสูงส่งคนหนึ่งเกิดริ้วกระเพื่อมไหวในใจได้
เหยาจิ้นจือเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า การกระทำมีน้ำหนักมากกว่าคำพูดนับพันนับหมื่น แล้วนับประสาอะไรกับที่คำพูดของคน เดิมทีก็ไม่ได้มากมายอยู่แล้ว ฟังเข้าหูหรือไม่เป็นเรื่องหนึ่ง จะเข้าสู่ใจคนได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สตรีที่มีรูปโฉมงามเลิศล้ำ บุรุษที่กุมอำนาจสำคัญไว้ในมือ เดิมทีก็เป็นข้อได้เปรียบตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
พอเหยาจิ้นจือคิดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย เหตุใดคนบางคนถึงสามารถอยู่ร่วมกับตนได้ด้วยจิตใจที่สงบนิ่งมั่นคงอย่างแท้จริง?
……
ตั้งแต่ดึกดื่นค่อนคืนจนฟ้าใกล้จะสาง จูเหลี่ยนเฝ้าอยู่ตรงริมลำคลองหมายเหอตลอดเวลาไม่ไปไหน
เมื่อคืนนี้มีเรื่องประหลาดมากมายเกิดขึ้น ตอนแรกก็เป็นนังหนูเผยเฉียนที่พูดจาเหลวไหลบอกว่ามองเห็นสะพานสีทองเหนือลำคลอง จากนั้นเฉินผิงอันก็หยุดท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู บอกว่าต้องการให้เขากับเผยเฉียนกลับจุดพักม้าไปก่อน แล้วเฉินผิงอันก็กระโดดลงไปในลำคลองหมายเหอ เผยเฉียนไม่พูดพร่ำทำเพลงก็กระโดดตามไปติดๆ หลังจากนั้นน้ำในลำคลองหมายเหอก็เกิดน้ำวนขึ้นมาลูกหนึ่งอย่างหน้าอัศจรรย์ใจ ปราณวิญญาณบนผิวน้ำเปี่ยมล้นจนจูเหลี่ยนรู้สึกไม่สบายตัว น้ำวนลูกนั้นห่อหุ้มเฉินผิงอันและเผยเฉียนไว้ข้างใน มันปรากฏตัวอย่างกะทันหันแล้วก็หายไปอย่างฉับพลัน ทิ้งไว้เพียงเรือนกายพร่าเลือนของสตรีร่างเล็กเตี้ยคนหนึ่งให้จูเหลี่ยนได้เห็น
ได้ยินว่าใบถงทวีปเป็นเพียงแค่หนึ่งในเก้าทวีปใหญ่ของใต้หล้าไพศาล
ฟ้าดินกว้างใหญ่ แล้วใหญ่แค่ไหน
ผู้ฝึกตนสูงส่ง แล้วสูงส่งแค่ไหน
ก่อนหน้านี้จูเหลี่ยนรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย เขาเหมือนกับคนรวยของอำเภอแห่งหนึ่งที่จู่ๆ ไปเยือนเมืองหลวง แล้วพบว่าเงินน้อยนิดในกระเป๋าตนซื้ออะไรไม่ได้สักอย่าง จึงอดผิดหวังและห่อเหี่ยวอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่ว่าความคิดเหล่านี้ถูกจูเหลี่ยนเก็บกวาดปัดเป่าให้สะอาดเอี่ยมอย่างว่องไว กลับกลายเป็นว่าเกิดความฮึกเหิมและปณิธานที่อัดแน่นเต็มทรวงอก อย่าเห็นว่าวันๆ จูเหลี่ยนเอาแต่ยิ้มตาหยีตามก้นเฉินผิงอันต้อยๆ เพราะหลายวันมานี้ตบะบนวิถีวรยุทธ์ของเขาทะยานรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีหยุดพักเลยสักนาทีเดียว
คนอื่นๆ อีกสามคนก็ไม่ด้อยไปกว่าจูเหลี่ยวน เว่ยเซี่ยนกำลังมองสำรวจตรวจตราใต้หล้าแห่งนี้อย่างละเอียด มองฟ้าดินจากจุดที่ละเอียดอ่อนที่สุด สุยโย่วเปียนปิดด่านเพื่อบรรลุวิชากระบี่อยู่ในห้องโดยสารรถม้า หลูป๋ายเซี่ยงก็ยิ่งมีพรสวรรค์เลิศล้ำ ทั้งพิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาด ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เชี่ยวชาญ
นี่ก็คือข้อได้เปรียบที่มองไม่เห็นของพวกจูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงสี่คน
ทุกคนต่างก็เคยเป็นอันดับหนึ่ง เคยเป็นผู้ไร้เทียมทานในโลกมาเหมือนกันโดยไม่มีข้อยกเว้น ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์บริสุทธิ์เต็มตัว สภาพจิตใจแทบจะใกล้เคียงกับคำว่าไร้ตำหนิ คู่ควรกับคำว่า ‘บริสุทธิ์เต็มตัว’ มากที่สุด
และในบรรดาคนทั้งสี่นี้ก็แอบมีการงัดข้อกันอย่างลับๆ
ดูว่าใครจะสามารถฝ่าคอขวดขอบเขตเจ็ดไปได้ก่อนกัน
ขอแค่เลื่อนสู่ขอบเขตร่างทอง ขอบเขตที่แปดทะยานลมและขอบเขตที่เก้ายอดเขา สำหรับพวกเขาแล้วล้วนไม่มีธรณีประตูบานใหญ่กั้นขวาง อยู่แค่ว่าจะใช้เวลาช้าหรือเร็วเท่านั้น
จูเหลี่ยนเงยหน้ามองสีท้องฟ้าแล้วเริ่มเดินย้อนกลับไปทางเดิม ในมือชั่งน้ำหนักหินไข่ห่านก้อนหนึ่ง ถูมันเข้ากับฝ่ามือเบาๆ เศษหินหล่นร่วงลงมา ก่อนจะถูกลมเย็นพัดพาให้สลายหายไป
คนทั้งสี่นอกจากคอขวดของวิถีวรยุทธ์แล้ว แน่นอนว่าทุกคนย่อมไม่พอใจโซ่ตรวนที่พันธนาการกาย อย่าลืมว่าเว่ยเซี่ยนคือฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงคือบรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขาลัทธิมาร สุยโย่วเปียนก็ยิ่งเป็นเซียนกระบี่หญิงที่แม้แต่กฎเกณฑ์ของพื้นที่มงคล นางก็ยังคิดจะใช้หนึ่งกระบี่แหวกผ่าออกไป หากจะบอกว่าคนทั้งสี่ศิโรราบทั้งกายและใจ เต็มใจจะเป็นวัวเป็นม้ารับใช้คนหนุ่มที่ได้ครอบครองม้วนภาพวาดทั้งสี่ฉบับนั้น อย่าว่าแต่เฉินผิงอันเลย เกรงว่าต่อให้เป็นเด็กหญิงที่ชื่อว่าเผยเฉียนคนนั้นก็คงไม่เชื่อ
เพียงแต่เหตุการณ์ตอนอยู่ในโรงเตี๊ยม ทำให้คนทั้งสี่เกิดความประทับใจที่ลึกล้ำต่อเฉินผิงอัน
จูเหลี่ยนกำหินที่อยู่ในฝ่ามือแน่น พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ดูจากท่าทางเป็นธรรมชาติที่เฉินผิงอันแสดงออกมาในเวลานี้ หลูป๋ายเซี่ยงน่าจะเป็นคนที่เปิดเผยความจริงเร็วที่สุด ดังนั้นคนทั้งสองถึงได้ดูใกล้ชิดสนิทสนมกันขนาดนี้?”
จงขุยวาดยันต์สยบกระบี่ที่ชวนอกสั่นขวัญผวาแผ่นนั้นเสร็จ แล้วเดินตามอาจารย์ไปจากลำคลองหมายเหอ โชคชะตาแม่น้ำและภูเขาของจวนปี้โหยวจึงค่อยๆ กลับมามั่นคงดังเดิม เผยเฉียนที่สาวใช้อายุน้อยพาออกไปเล่นก็ย้อนกลับมาที่ห้องโถงใหญ่
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่หน้าผนังบังตา เผยเฉียนเพิ่งจะคืนน้ำจากลำคลองหมายเหอหนึ่งกอบมือกลับไป กลับมองเห็นว่าภาพควันธูปบนผนังลอยสะเปะสะปะ น้ำในลำคลองโถมซัดสาดราวกับว่าอีกเดี๋ยวน้ำเหล่านั้นจะทะลักทลายออกมานอกกำแพงหิน ท่วมทับจวน เผยเฉียนตกใจสะดุ้งโหยง ร้องโวยวายว่าจะกลับไปอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน สาวใช้ผีพรายที่ในอดีตต้องตายอย่างอยุติธรรมในลำคลองหมายเหอถูกเจ้าแม่เทพวารีใช้วิชาอภินิหารขับไล่ออกไปจากจวนแล้ว ทิ้งเผยเฉียนให้ยืนเดียวดายอยู่ตรงผนังบังตาเพียงลำพัง นางจึงร้องไห้จ้า ร้องจนเสียงแหบแห้ง
ตอนนี้กลับมาถึงห้องโถงใหญ่ บนใบหน้าของเผยเฉียนจึงยังเหลือคราบน้ำตา ยืนอยู่ตรงธรณีประตูอย่างขลาดๆ ไม่กล้าเข้ามาข้างใน สายตาแค่นี้นางยังพอจะมีอยู่บ้าง รู้ว่าเฉินผิงอันกำลังพูดคุยธุระอยู่กับคนอื่น หากคราวนี้นางบุกเข้าไป ทำให้เฉินผิงอันโมโห คราวก่อนมีจงขุยช่วยพูดให้ แต่คราวนี้ไม่มีใครช่วยพูดผดุงคุณธรรมแทนนางแล้ว
เฉินผิงอันหันมาถาม “เป็นอะไรไป?”
เผยเฉียนวิ่งปรู๊ดเข้าไปในห้องโถงใหญ่ นั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายเฉินผิงอัน นางนั่งตัวตรงอย่างเรียบร้อย กล่าวอย่างน้อยใจและร้อนตัว “เมื่อครู่ข้าเอาน้ำกอบนั้นกลับไปคืนผนังบังตา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรถึงเกิดแผ่นดินไหว เฉินผิงอัน ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ เจ้าห้ามโกรธข้าล่ะ”
เฉินผิงอันดีดหน้าผากของเผยเฉียน พูดยิ้มๆ “เจ้ารู้จักกลัวด้วยหรือ?”
เผยเฉียนเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาก็มั่นใจว่าเหตุการณ์ประหลาดที่น่าตกใจนั้นน่าจะไม่เกี่ยวข้องกับนาง พอมีความมั่นใจ เอวก็ยืดตรงทันที ได้กลิ่นหอมลอยโชยมาปะทะจมูกก็รู้สึกน้ำลายไหล อีกอย่างเห็นภูตผีตัวประหลาดมามากแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่พื้นที่มงคลดอกบัว เผยเฉียนยังเคยได้ยินนักเล่านิทานที่อยู่ใต้สะพานลอยเล่าเรื่องประหลาดให้ฟัง มักจะพูดถึงเหล้าหนึ่งจอก ผลท้อหนึ่งลูกของวังมังกรและจวนเซียนใต้น้ำที่กินเข้าไปแล้วทำให้คนอายุยืนยาว จึงลองถามหยั่งเชิง “ข้าจิบเหล้าคำเล็กๆ ได้ไหม?”
เฉินผิงอันถลึงตาใส่ เผยเฉียนรีบทำท่ากระจ่างแจ้งทันที “ข้าอายุยังน้อย จะดื่มเหล้าได้อย่างไร ยังคงเป็นเจ้าเฉินผิงอันที่ต้องดื่มให้มากสักหน่อย”
เจ้าแม่เทพวารีที่มีนิสัยโผงผางใจกว้างขบขันท่าทางของเด็กหญิงตัวน้อยที่ฉลาดเฉลียวผู้นี้ยิ่งนัก “ในจวนยังมีเหล้าบุปผาหมักร้อยปีอยู่อีกไม่น้อย เดี๋ยวข้าจะมอบให้เจ้าเอากลับไปหนึ่งไห ส่วนเฉินผิงอันจะแย่งไปดื่มเองหรือจะเหลือไว้ให้เจ้าเล็กน้อย ข้าคงเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยไม่ได้แล้ว”
พอได้อยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เผยเฉียนก็ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินอะไรอีกแล้ว นางพูดเหมือนคนแก่ว่า “หากจะมอบเหล้าให้ข้า ข้าก็ต้องขอบใจเจ้า แต่ตอนนี้ข้าอายุยังน้อย ดื่มเหล้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ตัวอักษรของข้า คราวหน้าที่พวกเรามาเป็นแขกในบ้านของเจ้า ถึงเวลาที่ข้าสามารถดื่มเหล้าได้แล้ว เจ้าก็อย่าได้ขี้เหนียวเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะผิดต่อสถานะเทพเซียนของเจ้าได้”
เจ้าแม่เทพวารีจุ๊ปากพลางมองประเมินคิ้วตาของเผยเฉียนไม่หยุด ยิ่งมองจิตใจก็ยิ่งหวั่นไหว พูดกับเฉินผิงอันทีเล่นทีจริงว่า “เป็นแม่นางน้อยที่ฉลาดเฉลียวจริงๆ ไม่อย่างนั้นทิ้งนางไว้ที่จวนปี้โหยวของข้าเถอะ ข้าจะช่วยเจ้าดูแลนางแทนให้เอง วันหน้าตำแหน่งเจ้าแม่เทพวารีของจวนปี้โหยวข้าก็มอบให้นางรับช่วงต่อ ข้ารับรองว่าจะถ่ายทอดความรู้และให้การสนับสนุนนางอย่างเต็มที่ นอกจากนี้จะยังหลอมสมบัติอาคมให้นางสองชิ้น นานสุดสองร้อยปี นางก็จะสามารถกลายเป็นเทพวารีที่มีศักยภาพที่สุดของราชวงศ์ต้าเฉวียนได้แล้ว”
เผยเฉียนลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน พูดเสียงขุ่นเคืองอย่างหนัก “ห้ามพูดจาเหลวไหล ข้ายังต้องเดินทางไปเขตการปกครองหลงเฉวียนแจกันสมบัติทวีป เอากลอนคู่ไปติดที่บ้านบรรพบุรุษของข้า!”
เฉินผิงอันปฏิเสธข้อเสนอของเทพวารีอย่างละมุนละม่อม
ไม่เอาตัวนางไว้ข้างกาย เขาไม่วางใจจริงๆ
เจ้าแม่เทพวารีก็ไม่ได้บังคับขืนใจ แม้ว่าคำพูดเมื่อครู่นี้นางจะไม่ได้ล้อเล่นก็ตาม
หากเผยเฉียนที่มีพรสวรรค์ในสายตาของนางอยู่ต่อในจวนปี้โหยว นางจะพยายามช่วยให้แม่นางน้อยสืบทอดตำแหน่งเทพลำคลองหมายเหอของตนจริงๆ อีกทั้งยังจะช่วยหลอมอาวุธระดับสมบัติอาคมให้นางสองชิ้นด้วย ต่อให้จะผิดต่อความตั้งใจเดิมของตน ต้องแสร้งโอนอ่อนคล้อยตามราชวงศ์ต้าเฉวียนและสำนักต้าฝู ก็จะต้องช่วงชิงคำว่าตำหนักมาให้จวนปี้โหยวให้จงได้ ถ้าอย่างนั้นนางก็จะสามารถวางใจไปสังหารปีศาจใหญ่ที่ก่อกวนอยู่ในลำคลองหมายเหอมาสองร้อยปีตนนั้นได้ ต่อให้ต้องพินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย แต่สุดท้ายแล้วก็ถือเป็นการสร้างคุณความดี สร้างความผาสุกให้แก่ชาวบ้านเก้าแสนคนที่อยู่ริมสองฝั่งลำคลอง และไม่ผิดต่อหลักการอริยะปราชญ์ที่นางอ่านเจอมาจากตำราของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดเทพวารีอย่างนางถึงได้ ‘ถูกชะตา’ กับเผยเฉียนขนาดนี้ ก็ยิ่งมีความรู้ยิ่งใหญ่แฝงอยู่
ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พิทักษ์ดินน้ำของพื้นที่แถบหนึ่งมานาน เดิมทีเทพวารีลำคลองหมายเหอก็มีโชควาสนายิ่งใหญ่อยู่แล้ว หาไม่แล้วก็คงไม่สามารถบรรลุคาถาวิชาเซียนซึ่งเป็นรากฐานมหามรรคาของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนมาจากป้ายศิลาจารึกคำขอฝนที่ไม่มีใครสนใจได้ เมื่อครู่นี้นางโคจรวิชามองลมปราณขององค์เทพอย่างละเอียด ไม่มองก็ไม่รู้ แต่พอมองก็ถึงกับตกใจ นางถือเป็นคนบนโลกอันดับต้นๆ ที่โชคดีได้ครอบครองเค้าโครงร่างทองแล้ว แต่เด็กหญิงผอมดำตรงหน้าผู้นี้กลับโดดเด่นยิ่งกว่านาง อีกฝ่ายมีร่างกายที่เหมาะต่อการเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ระดับต้นๆ หากพูดกันตามภาษาชาวบ้านก็คือถ้าไม่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำที่เสวยสุขกับควันธูป ก็เท่ากับว่าสิ้นเปลืองสมบัติสวรรค์ไปอย่างน่าเศร้า
คำว่าเค้าโครงร่างทองค่อนข้างคล้ายคลึงกับตัวอ่อนกระบี่ก่อกำเนิดของผู้ฝึกกระบี่ เหมือนอรหันต์ของศาสนาพุทธที่ได้รับเงื่อนไขหรือสิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นพิเศษ เมื่อฝึกตนอยู่บนมหามรรคาที่ถูกต้องเส้นใดเส้นหนึ่งก็สามารถเดินได้พันลี้ในหนึ่งวัน เค้าโครงร่างทองส่วนใหญ่จะมีร่างที่เล็กและผอมมาตั้งแต่กำเนิด แต่กระดูกกลับแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ศาสตร์การมองภาพลักษณ์ในโลกมีวิชาหนึ่งที่เรียกว่าจินแบ่งเป็นตำลึง นั่นคือใช้มองว่าปราณกระดูกของคนคนหนึ่งหนักกี่จินกี่ตำลึง เค้าโครงร่างทองก็คือร่างที่มีปราณกระดูกหนักที่สุดในโลก นิสัยแกร่งกร้าว หงุดหงิดฉุนเฉียวได้ง่าย เด็ดขาดชื่นชอบการเข่นฆ่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งธาตุทองหนึ่งในห้าธาตุยังเป็นเจ้าแห่งการสังหาร มีบารมีอำนาจ เป็นเหตุให้เกิดมาก็เหมาะกับการเป็นแม่ทัพ
เพียงแต่ว่าถึงแม้สายตาของเจ้าแม่เทพวารีผู้นี้จะดี แต่ก็ยังไม่ดีมากพอ
ความโดดเด่นของพรสวรรค์เผยเฉยอยู่เหนือขอบเขตของห้าธาตุไปนานแล้ว ดังนั้นเวลาจูเหลี่ยนมองเผยเฉียนก็จะรู้สึกว่าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์ แม้แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่เหยาจิ้นจือซื้อเหรียญทองแดงก็ยังคิดในใจว่า เด็กหญิงอาจจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านวิชาการทำนายพยากรณ์ ขอแค่ติดตามนางเล่าเรียนวิชาพยากรณ์ก็จะเปลืองแรงน้อยแต่ได้ผลมาก
มีเพียงวิญญูชนจงขุยคนเดียวที่มองได้รอบด้านและลึกล้ำมากกว่า
น่าเสียดายก็แต่เผยเฉียนมาเจอกับเฉินผิงอันที่ไม่เต็มใจอยากพูดเรื่องเหตุผลหลักการกับนาง ส่วนเรื่องการฝึกวรยุทธ์หรือฝึกบำเพ็ญตนนั้น เผยเฉียนก็ยิ่งไม่ต้องคาดหวัง
ทุกวันนี้นังหนูคนนี้ติดตามเฉินผิงอันขึ้นเขาลงห้วย ขอแค่บนหน้าผากได้แปะยันต์ที่มีมูลค่าเท่ากับบ้านหลังหนึ่ง นางก็ดีอกดีใจอย่างยิ่งยวด เดินไกลแค่ไหนก็ไม่รู้สึกเหนื่อยแล้ว
นี่น่าจะเป็นดั่งคำว่าสิ่งหนึ่งสยบสิ่งหนึ่งได้เสมอ
เผยเฉียนติดตามจูเหลี่ยนฝึกวรยุทธ์ก็ดี อยู่ในจวนปี้โหยวต่อเพื่อเป็นเทพวารีลำคลองหมายเหอก็ช่าง ไม่ว่าความสำเร็จของนางจะสูงแค่ไหนก็ไม่ต้องคาดหวังว่านางจะซาบซึ้งในบุญคุณของจูเหลี่ยนและเทพวารี ไม่แน่ว่าวันใดเกิดทะเลาะกันขึ้นมา พวกเขาอาจถูกเผยเฉียนตบตายด้วยฝ่ามือเดียว หลังจบเรื่องนางยังรู้สึกว่าตัวเองทำถูกต้องแล้ว พวกเจ้าทำให้ข้าโมโห ความสามารถของข้ายังเหนือกว่าเจ้า ไม่ฆ่าพวกเจ้า หรือจะยังต้องเก็บพวกเจ้าไว้ข้างกายให้เกะกะสายตา?
เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ความคิดของเผยเฉียนกลับต่างออกไป ซึ่งเป็นเพียงกับเฉินผิงอันคนเดียวเท่านั้น
แต่คนทั้งสองที่เป็นคนในเหตุการณ์ไม่รู้ตัวเองก็เท่านั้น
เจ้าแม่เทพวารีโบกมือ สาวใช้ก็ถอยออกไปเงียบๆ
เจ้าแม่เทพวารีถึงถามว่า “เฉินผิงอัน ข้าเป็นคนตรงไปตรงมา เจ้าเองก็เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นจงขุยคงไม่คบหากับเจ้า ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพูดตามตรงเลยนะ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าแม่เทพวารีเชิญพูดได้เลย”
เจ้าแม่เทพวารีสีหน้าเคร่งเครียดคล้ายกำลังคิดหาคำพูดเพราะมีเรื่องใหญ่ที่ต้องปรึกษา
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด ตามหลักแล้วหากเป็นเรื่องการเลื่อนขั้นจากจวนเป็นตำหนัก จงขุยได้ช่วยจัดการให้อย่างมั่นคงแล้ว จวนปี้โหยวไม่ควรมีเรื่องยุ่งยากอะไรอีกถึงจะถูก แต่ในเมื่อนางทำท่าจริงจังเช่นนี้ เฉินผิงอันจึงรอฟังอย่างสงบ
บทที่ 347.2 อาจารย์พูดถึงลำดับขั้นตอน เทพวารีสร้างโอสถทอง
ProjectZyphon
นางถามขึ้นอย่างเชื่องช้า “เฉินผิงอัน เจ้าเคยพบท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ถ้าอย่างนั้นท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งสมกับเป็นภูเขาสูงที่ผู้คนต้องแหงนหน้ามอง พูดเป็นบทความ คำพูดแต่ละคำที่ออกมาจากปากล้วนทำให้คนเคารพเลื่อมใสอย่างสุดจิตสุดใจ ได้ฟังสัจธรรมแห่งมหามรรคาที่ทั้งลึกล้ำและตื้นเขินเหล่านั้นแล้วก็จะเกิดความรู้สึกแค่ว่าชั่วชีวิตของคนรุ่นหลังอย่างพวกเราก็ได้แต่โขกศีรษะคำนับอย่างเดียว ใช่หรือไม่?”
สีหน้าของเจ้าแม่เทพวารีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาสดใส
โชคดีที่เฉินผิงอันไม่ได้ดื่มเหล้า ไม่อย่างนั้นเหล้าคงพุ่งพรวดออกจากปากเขาเป็นแน่
เผยเฉียนไม่รู้ว่าท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่เจ้าแม่เทพวารีพูดถึงเป็นใคร แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วเหมือนว่าเฉินผิงอันจะรู้จักผู้เฒ่าที่ร้ายกาจมากคนนั้น นางจึงรู้สึกมีเกียรติไปด้วย จึงยกสองแขนกอดอกอย่างภาคภูมิใจ
เฉินผิงอันดื่ม ‘เหล้าบุปผา’ ร้อยปีของจวนปี้โหยวที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งคำ ลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดใจทำลายภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของเหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่าในใจของเจ้าแม่เทพวารีไม่ลง จึงเลือกที่จะพูดว่า “ท่านผู้เฒ่าย่อมมีความรู้ที่ยิ่งใหญ่มากอยู่แล้ว อีกทั้งนิสัยยังดียิ่ง เป็นมิตรกับทุกคน ไม่เคยวางท่าโอ้อวดตน เวลาอยู่ข้างนอกก็…เข้ากับคนได้ง่ายมาก”
จะเข้ากับคนไม่ง่ายได้หรือ ตัวเล็กๆ แบบนั้น ท่องเที่ยวไปทั่วหล้า ด้วยลักษณะของบัณฑิตเฒ่ายากจนของเขา เปลี่ยนจากคำว่าเข้ากับคนได้ง่ายมาเป็นรูปลักษณ์ธรรมดาไม่น่าตกตะลึงจะเหมาะสมยิ่งกว่า เทียบกับจงขุยที่อยู่โรงเตี๊ยมยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ชอบหลอกให้คนอื่นดื่มเหล้า ดื่มเหล้าแล้วก็แสร้งเมาไม่จ่ายเงิน เวลาเมาเหล้าก็มีสภาพไม่น่าดูนัก
ทว่าคำพูดที่เป็นความจริงเหล่านี้ เฉินผิงอันตัดใจพูดกับเจ้าแม่เทพวารีไม่ลง
กลัวว่าหากไม่ระวังจะทำให้จิตแห่งเต๋าของนางพังทลาย
คราวนี้เจ้าแม่เทพวารีไม่ใช้ถ้วยขาวใบใหญ่ดื่มเหล้าแล้ว แต่หิ้วไหเหล้าขึ้น แหงนหน้ากรอกใส่ปากคำใหญ่ “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเป็นดั่งท้องนภาที่อยู่เบื้องบน…อย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ ด้วย! ความรู้สูงส่งดุจแผ่นฟ้า แต่กลับยังเศร้าอาดูรและเจ็บแค้นต่อการที่ประชาชนตกทุกข์ได้ยาก ท่องไปใต้หล้า เป็นมิตรปรองดอง ปฏิบัติต่อคนบนโลกเป็นอย่างดี ทว่าปีนั้นท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งกลับได้อยู่แค่ในอันดับที่สี่ของศาลบุ๋นทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ไม่ได้ถูกบูชาไว้ฝั่งซ้ายขวาของปรมาจารย์มหาปราชญ์ ทำแบบนี้ได้อย่างไร!”
เจ้าแม่เทพวารีพูดจ้อ ทวงความยุติธรรมคืนให้กับท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่ตัวเองเคารพเลื่อมใสอย่างถึงที่สุดไม่หยุด
เฉินผิงอันไม่ได้ร่วมพูดคุยไปกับนาง แต่กลับคิดถึงบัณฑิตที่แท้จริงหลายคน รวมไปถึงคนที่เลื่อมใสในตัวของบัณฑิต อาจารย์ของอาจารย์ฉี อาจารย์ฉี จ้งชิวในพื้นที่มงคลดอกบัวที่เหมือนอาจารย์ฉีอย่างมาก เขาเฉินผิงอัน รวมไปถึงเฉาฉิงหล่างเด็กชายคนนั้นที่เหมือนตนอย่างมาก
สรรพสิ่งมากมายบนโลกมนุษย์มีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผล สุดท้ายแล้วล้วนต้องตกไปอยู่ในจุดหนึ่ง จุดใดที่ใจข้าสงบ จุดนั้นก็คือบ้านเกิดของข้า
เฉินผิงอันไม่พูดไม่จา เอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว เหล้าที่รสชาติดีขนาดนี้ ทำให้หวนนึกไปถึงคนและเรื่องราวที่งดงามเหล่านั้น การพูดถึงลำดับขั้นตอนของซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง การไม่ผิดหวังของอาจารย์ฉี การถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายของจ้งชิว การมีความหวังของเฉาฉิงหล่าง วันนี้เขาเฉินผิงอันไม่มีทางดื่มเหล้าจนเมาเละเป็นผีขี้เหล้าแน่นอน แต่ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเหมือนอย่างที่อาเหลียงบอกนั่นคือ ดื่มจนกลายเป็นเซียนสุรา
คนหนึ่งพูดอยู่กับตัวเอง อีกคนหนึ่งก็จินตนาการอยู่กับตัวเอง ต่างคนต่างดื่มเหล้าโดยไม่ต้องให้มีใครชวน
เหล้าบุปผาของจวนปี้โหยวที่บอกว่าหมักเก็บไว้นั้น คำว่าเก็บคือเก็บไว้ในแก่นน้ำของลำคลองหมายเหอ เก็บไว้ทีก็นานเป็นร้อยปี เหล้าจึงหมักตัวเองจนได้รสชาติกลมกล่อมกินง่าย ทว่าฤทธิ์กลับไม่ใช่น้อยๆ
เจ้าแม่เทพวารีดื่มเหล้าจนเมาแล้วจริงๆ นางนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ ศีรษะเอียงส่ายไปมา บอกว่าตัวเองอิจฉาเฉินผิงอันจะตายอยู่แล้วที่เคยได้เจอกับท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง แถมยังสนิทสนมกับอริยะผู้เฒ่าขนาดนี้ ชีวิตนี้ของเขาสมบูรณ์แบบยิ่งนัก แต่นางกลับไม่มีความโชคดีนี้ ทุกวันต้องนั่งอยู่บนแท่นบูชา ศาลเทพวารีที่มองดูเหมือนควันธูปแผ่อบอวลโชติช่วงยิ่งกว่าเมืองเซิ่นจิ่ง ทว่าในควันธูปเหล่านั้นกลับปะปนไปด้วยความอยากได้อยากมี ใจที่เห็นแก่ความปรารถนาส่วนตัว มีคำขอหลายอย่างที่นางไม่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นขอเงินทอง ขอให้ร่ำรวย ขอบุตร ขออำนาจ นางแค่อยากจะถามท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งต่อหน้าว่า เหล่าอริยะพูดหลักการเหตุผลมากมายขนาดนั้น ในศาลบุ๋นเองก็มีเทวรูปตั้งไว้หลายองค์ บัณฑิตที่ศึกษาตำราอริยะปราชญ์มาจนเต็มอิ่มมีมากดุจขนวัว เหตุใดโลกถึงยังย่ำแย่ขนาดนี้ มักทำให้คนผิดหวังอยู่เสมอ ทำให้นางยิ่งชื่นชอบโลกใบนี้ไม่ลงไปทุกที
หลังจากบ่นพึมพำจบ เจ้าแม่เทพวารีก็เริ่มนับนิ้วเอ่ยประโยคดั้งเดิมในตำราของซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง บ่นว่าหลักการดีๆ แบบนี้ เหตุใดคนบนโลกถึงไม่เต็มใจเรียนรู้ เป็นเพราะความรู้ของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งสูงส่งเกินไปจนคนบนโลกเอื้อมไม่ถึงหรือไร? สุดท้ายนางยกสองมือเกาหัวด้วยความเลื่อนลอยสับสนอย่างถึงที่สุด
เผยเฉียนกลอกตามองบน เอาล่ะ วันหน้าตนอย่าดื่มเหล้าเลยดีกว่า หากนางดื่มเหล้าแล้วสติเลอะเลือนเหมือนเจ้าแม่เทพวารีผู้นี้ คงน่าขายหน้ายิ่งนัก
เวลาเฉินผิงอันดื่มเหล้ามีอยู่ข้อดีที่สุดอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือก่อนหน้าที่เขาจะดื่มจนเมาพับ ยิ่งดื่มดวงตาของเขาจะยิ่งเป็นประกาย ร่างทั้งร่างเหมือนเปลี่ยนมาเป็นคนใหม่ คิ้วตาเบิกบานสดใส ประหนึ่งวิชาหมัดที่ไม่ถูกกักเก็บไว้อีกต่อไป แต่ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ ราวกับว่ากลิ่นอายของสุราได้กดทับกลิ่นอายของความสุขุมแก่เกินวัยของเด็กหนุ่มลงไปจนหมด
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ายิ่งดื่มแล้วเฉินผิงอันจะยิ่งมีสติจริงๆ เพราะเมื่อดื่มเหล้าเมาแล้ว เขาจะสะกดกลั้นนิสัยและจิตดั้งเดิมที่แท้จริงของตัวเองไว้ไม่ได้ ก่อนจะดื่มเหล้า เขาวางตัวระมัดระวังรอบคอบ ราวกับว่าใช้สองมือปิดกระจกทองแดงบานหนึ่งเอาไว้ตลอดเวลา หรือไม่ก็ใช้สองมือบดบังตะเกียงดวงหนึ่งในห้องที่เรียบง่ายเอาไว้ ไม่ยินดีให้คนนอกได้มองเห็น แต่พอดื่มเหล้าเข้าไปก็เหมือนเขาปล่อยมือทั้งสองข้างออก ปลดปล่อยประกายแสงเจิดจ้า สาดส่องสี่ทิศให้สว่างไสว แล้วใครจะขัดขวางได้?
เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงบนโต๊ะหนักๆ พูดเสียงดังกังวาน “ความรู้ของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งสูงส่งมากเกินไปแล้วใช้ไม่ได้ผลอย่างนั้นรึ? ใช้ได้ผลมากนักล่ะ ข้าจะพูดให้เจ้าฟัง ความรู้นี้ไม่ว่าจะเอาไปวางไว้มุมใดในสี่มหาสมุทรก็ล้วนถูกต้องเหมาะสม คนดีเรียนได้ คนชั่วร้ายเรียนได้ ฮ่องเต้ แม่ทัพ อัครเสนาบดีเรียนได้ พ่อค้าหาบเร่ คนตัดฟืนก็เรียนได้ เทพเซียนบนภูเขาก็เรียนได้ ภูตผีปีศาจก็เรียนได้เช่นกัน แล้วเทพแห่งภูเขาและแม่น้ำล่ะ? ก็เรียนได้เหมือนกัน! ส่วนข้อที่ว่าเรียนแล้วจะยินดีนำไปใช้หรือไม่ นั่นก็เป็นเรื่องหลังจากที่ได้เรียนไปแล้ว เรียนความรู้ข้อนี้ไปก่อนย่อมมีประโยชน์แน่นอน!”
เฉินผิงอันขยับนั่งตัวตรงอย่างสำรวมตามจิตใต้สำนึก เขาเลียนแบบวิญญูชนจงขุย ยิ่งเลียนแบบอาจารย์ฉียามที่สอนหนังสือ “เมื่อเรียนรู้ความรู้ที่แท้จริงบนโลกไปแล้วก็จะทำให้ต้นกำเนิดของแหล่งน้ำที่ไหลลงสู่ผืนนาในหัวใจกลายเป็นน้ำที่มีชีวิต! ข้ารู้สึกว่าความรู้นี้ของท่านอาจารย์ผู้เฒ่า การอธิบายสองคำว่าเรียงลำดับนั้น ก็คือความรู้ที่ยิ่งใหญ่ คือความรู้ที่แท้จริง ทุกคนสามารถเรียนได้! เจ้าจะเรียนหรือไม่?!”
ดวงตาของเจ้าแม่เทพวารีเลื่อนลอย มึนๆ งงๆ ตบโต๊ะกล่าวว่า “เจ้าว่ามา แล้วข้าจะลองเรียนดู!”
เฉินผิงอันโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ใช้นิ้วเขียนสองคำว่าเรียงลำดับลงบนผิวโต๊ะ “หัวใจหลักของความรู้เรื่องนี้ก็คือสองคำว่าเรียงลำดับนี้! นอกเหนือจากระเบียบของหลักเกณฑ์พิธีการแล้ว นี่ยังเป็นการบุกเบิกโฉมหน้าใหม่ ดั่งลำคลองแม่น้ำสายใหญ่ที่ประทานความกรุณาให้แก่ปวงประชา! สิ่งที่ข้าเฉินผิงอันเรียนมาไม่ลึกซึ้งและไม่มาก แต่บอกได้แค่ว่าเรื่องที่ข้ารู้ หลักการที่ข้าเข้าใจ ล้วนไม่มีคำว่าผิด! ตอนนี้ข้าจะใช้เนื้อหาที่ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าพูดกับข้าในคืนนั้นมาเป็นบทเปิดของการอธิบายสาระสำคัญของคำว่าเรียงลำดับนี้!”
เฉินผิงอันเอาเนื้อหาบทเปิดอันเป็นจุดสาระสำคัญที่ได้นั่งคุยกับอาจารย์ผู้เฒ่าคืนนั้นมาพูดซ้ำอย่างละเอียดอีกหนึ่งรอบ โชคดีที่เฉินผิงอันความจำดี ต่อให้ดื่มเหล้าจนเมาก็ยังกล่าวได้ครบถ้วนไม่มีผิดพลาด
บทที่หนึ่ง แบ่งออกเป็นก่อนหลัง เรื่องราวบนโลกล้วนมีต้นสายปลายเหตุ มีไปมีมา ไม่อาจข้ามขั้นตอนช่วงต่อใดๆ ไปได้ หากเลือกแต่จะพูดถึงหลักการเหตุผลที่ตัวเองอยากพูด เรื่องราวทั้งหลายบนโลกใบนี้ก็คงไม่อาจแยกแยะถูกผิดได้ตลอดกาล ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นว่ามีแต่จุดยืน แต่ไม่มีถูกผิด ราวกับว่าคนบนโลกล้วนน่าสงสาร ล้วนน่ารังเกียจ? ถ้าอย่างนั้นจะยังพูดถึงหลักการเหตุผลที่แท้จริงอีกได้อย่างไร? หรือว่าต่างคนต่างพูดในส่วนของตัวเองไป หลักการเหตุผลอธิบายไม่ได้ก็ได้แต่ใช้หมัดแทนคำพูดอย่างนั้นหรือ? เหลวไหลสิ้นดี!
บทที่สอง แยกเป็นใหญ่เล็ก ผิดถูกมีแบ่งใหญ่เล็ก จำเป็นต้องยืมเอาวิชากุศลธรรมของสำนักนิตินิยมกับวิชาคำนวณของสำนักคำนวณมาใช้เป็นไม้บรรทัดสองเล่ม
บทที่สาม จำกัดความความดีความเลว ใช้กฎเกณฑ์ของมารยาทพิธีการเป็นเกณฑ์พื้นฐาน ผนวกรวมเข้ากับขนบธรรมเนียมประเพณีของพื้นที่ต่างๆ รวมไปถึงจิตใจและคุณธรรมของคน กำหนดถูกผิด กำหนดคุณความชอบและความผิดพลาดของคน ถามใจตัวเองว่าดีหรือเลว
บทที่สี่ ทฤษฎีและปฏิบัติรวมกันให้เป็นหนึ่ง! หากทำผิดก็แก้ไข หากไม่มีความผิดก็ใช้มันมาเตือนใจตัวเองว่าจะไม่ทำความผิดในแบบเดียวกัน
ลำพังเพียงแค่ปูเนื้อหาสี่บทนี้อย่างละเอียด เฉินผิงอันก็ใช้เวลาพูดไปนานถึงหนึ่งชั่วยาม
“ความรู้เรื่องการเรียงลำดับนี้คือความรู้ชั้นยอดที่ดีเยี่ยม ทว่าหากคิดจะทำจริงโดยที่ให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของความรู้ในทุกด้านแล้ว กลับยากยิ่ง!”
“ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าทำไมท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งถึงต้องเกลี้ยกล่อมให้ข้าดื่มเหล้า ไม่รู้ว่าเหตุใดจั่วโย่วถึงใช้หนึ่งกระบี่ฟันเทวรูปของเทพพิรุณให้แตกหัก ไม่คิดจะพูดคุยกันด้วยเหตุผลก็ใช้หนึ่งกระบี่ทำลายร่องเจียวหลงจนพังราบเป็นหน้ากลอง ยิ่งไม่รู้ว่าเหตุใดจงขุยที่เป็นวิญญูชนถึงได้ไม่เหมือนวิญญูชนของสำนักศึกษาเลยสักนิด เหตุใดภิกษุเฒ่าของวัดซินเซียงถึงได้พูดว่าโลกใบนี้ติดค้างคนดี เหตุใดนักพรตเฒ่าถึงได้พาข้าท่องชมไปทั่วพื้นที่มงคลดอกบัว คนดีมักไม่ค่อยได้ดี คนชั่วก็ไม่ได้รับความชั่วตอบแทน”
มีหลายครั้งที่เฉินผิงอันคิดอยากจะนำความรู้กับการจัดการเรื่องราวมาปฏิบัติให้ได้จนถึงขั้นที่คำพูดและการกระทำรวมกันเป็นหนึ่ง แต่พูดไปพูดมาก็มักจะคอยปฏิเสธตัวเอง บอกกับเจ้าแม่เทพวารีที่เงี่ยหูตั้งใจรับฟังอยู่ฝั่งตรงข้ามว่า เขาเฉินผิงอันยังคงรู้สึกว่าหลักการเหตุผลที่ตัวเองใคร่ครวญออกมาได้ยังคงเล็กเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกี่ยวข้องกับความดีความเลวที่ซับซ้อนซึ่งอยู่นอกเหนือจากคำว่าถูกและคำว่าผิด รวมถึงหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตใจของคนด้วยแล้ว สิ่งที่เขาใคร่ครวญออกมาก็ยังอยู่ไกลเกินกว่าที่เขาจะมีคุณสมบัติให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลง
เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงนั้น ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นเขาที่พูดกับตัวเอง
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม เวลาและสายน้ำในลำคลองนอกจวนปี้โหยวไหลรินไปอย่างเชื่องช้า
เจ้าแม่เทพวารีลุกขึ้นยืนอย่างเคารพนอบน้อมอยู่นานแล้ว อีกทั้งยังค้อมกายน้อยๆ ประหนึ่งลูกศิษย์ที่ตั้งใจรับฟังคำสั่งสอนของอาจารย์แล้วจดจำไว้ขึ้นใจ ไม่กล้าปล่อยผ่านไปแม้แต่คำเดียว
เผยเฉียนเหมือนฟังเข้าหู แต่ก็คล้ายว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางฟุบตัวนอนคว่ำกับโต๊ะ ใบหน้าด้านข้างแนบผิวโต๊ะ มองเฉินผิงอันที่พูดหลักการยิ่งใหญ่มากมายกับคนอื่น
ในความทรงจำของนาง นอกจากกับเฉาฉิงหล่างแล้ว ศึกบนถนนใหญ่นอกตรอกเล็ก จะเป็นจ้งชิวราชครูหรือติงอิงมารใหญ่อะไรนั่น เฉินผิงอันคิดจะตีก็ตี ตีกันเอาเป็นเอาตายก็ยังไม่เคยพูดมากแม้แต่คำเดียว
ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว ตอนที่อยู่ใกล้กับจวนเจ้าเมืองจินหวงซึ่งเป็นเขตชายแดนของเป่ยจิ้น เฉินผิงอันใช้หนึ่งกระบี่ฟันร่างของควายดำให้ขาดครึ่งท่อน ตอนที่บอกให้ถามใจตัวเองขณะที่อยู่บนชั้นสองของโรงเตี๊ยม แค่สามหมัดก็ต่อยให้กั๋วกงน้อยที่ยโสโอหังผู้นั้นตายคาที่
เฉินผิงอันบอกว่าก่อนหน้านี้มีหลายเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ
อันที่จริงเด็กหญิงเผยเฉียนเองก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจยิ่งกว่าเขา
เหตุใดฟ้าดินกว้างใหญ่ เฉินผิงอันที่ไม่ว่ากับใครก็ล้วนเต็มใจอธิบายเหตุผล กับใครก็ล้วนใจเย็นเป็นมิตร ถึงมีแต่กับนางเท่านั้นเขาถึงจะเป็นเฉินผิงอันที่ไม่ดี เป็นเฉินผิงอันที่นิสัยเลวร้ายมากที่สุด แต่กระนั้นนางกลับยังคงรู้สึกว่าเมื่ออยู่ข้างกายเขา ต่อให้ถูกตีถูกด่า กลับดูเหมือนว่าจะ…ไม่น่าน้อยเนื้อต่ำใจเท่าใดนัก นางจะรู้สึกอย่างสงบและสบายใจว่า ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างกายนางผู้นี้จะให้นางทำอะไร นางก็จะทำอย่างนั้น นางไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ แน่นอนว่านางยังคงรู้สึกหงุดหงิด รู้สึกรำคาญใจอย่างมาก เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับปีนั้นที่นางต้องเป็นเหมือนผีเร่ร่อนตัวเล็กล่องลอยไปนู่นมานี่อยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนตลอดทั้งปี คอยคิดอยู่เสมอว่าวันใดที่จะต้องหนาวตายหรือหิวตาย อารมณ์เหล่านี้กลับดีกว่ามากนัก
บางทีอาจเป็นเพราะคืนนี้เป็นเช่นนี้ เฉินผิงอันพูดถึงความรู้ที่ในใจตัวเองให้การยอมรับมากที่สุด และเขายังพูดอีกว่าบางทีสิ่งที่เขาพูดอาจจะไม่ใช่สิ่งที่มีเหตุผลที่สุด สิ่งที่เขาทำอาจจะไม่ได้ถูกต้องที่สุด
เฉินผิงอันมักจะมองข้อดีหลากหลายของคนอื่นที่อยู่ในโลก
แต่เผยเฉียนกลับยินดีมองแค่ความชั่วร้ายของคนอื่นบนโลก
จวนปี้โหยว ตัวอักษรทองคำสามตัวที่อยู่บนป้ายส่องประกายแสงเจิดจ้าสะดุดตา ทอแสงสีทองระยิบระยับ
ผีพรายจำนวนมากที่อยู่ในจวนค้นพบด้วยความตื่นตะลึงระคนดีใจว่า ทุกหนแห่งในจวนล้วนมีเส้นแสงสีทองอ่อนจางปรากฏขึ้นเหมือนสายน้ำไหลริน
น้ำในลำคลองหมายเหอนอกจวนปี้โหยว ริ้วน้ำแผ่กระเพื่อม ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องทำให้มองดูแล้วพร่างพราวงดงามเป็นพิเศษ
ผีพรายที่ตายอย่างอยุติธรรมซึ่งกลิ่นอายความดุร้ายยากจะลบเลือนพากันผุดจากใต้น้ำที่มืดทะมึนว่ายขึ้นมาบนผิวน้ำอย่างห้ามไม่ได้ จากนั้นก็แช่ตัวอาบไล้อยู่ใต้แสงจันทร์ ก่อนจะสลายหายไปคล้ายถูกปลดปล่อยจากพันธนาการ
ในศาลเทพวารีริมลำคลองหมายเหอ เหล่าชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาซึ่งรอให้ฟ้าสางประตูเปิดแล้วจะเข้าไปจุดธูปด้านในต่างพากันร้องฮือฮา ที่แท้เทวรูปร่างทองของเจ้าแม่เทพวารีที่อยู่ในศาลก็พลันเพิ่มระดับความสูงขึ้นเป็นสิบกว่าจั้ง หลุบตาต่ำมองมายังโลกมนุษย์ รูปปั้นดินเหนียวร่างทองนั้นกลายมาเป็นร่างทองสมชื่อ นอกจากจะมีบารมีน่าเกรงขามแล้ว กลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์ยังแผ่ล้นน่ายำเกรง
จุดลึกในลำคลองหมายเหอ ปีศาจใหญ่ตนนั้นที่อยู่ห่างจากขอบเขตโอสถทองแค่เสี้ยวเดียวซ่อนตัวอยู่ในรังเก่าแห่งหนึ่งใต้ลำคลอง เดิมทีนี่ควรเป็นสถานที่ที่มันสุขสบายที่สุด ทว่าบัดนี้มันกลับเหมือนอยู่ในหม้อน้ำมันเดือด ทรมานสุดขีด เพราะทนไม่ไหวจึงต้องทะยานออกมาจากรังเก่า แผดเสียงร้องคำรามเดือดดาล ก่อให้เกิดคลื่นลูกยักษ์ถาโถม ว่ายหนีผลุบๆ โผล่ๆ ไปตามลำคลองช่วงบนอย่างบ้าคลั่ง ทุกครั้งที่มันคิดจะขึ้นฝั่งไปอาละวาด ท้องน้ำสองฝั่งกลับคล้ายกลายมาเป็นกรงขัง ทำให้มันพุ่งชนผนังอยู่ตลอด บีบให้สุดท้ายมันได้แค่พุ่งชนสะเปะสะปะอยู่ในจุดที่ลึกที่สุดของลำคลอง ไม่อาจขึ้นฝั่งไปทำร้ายพวกชาวบ้านได้
ฟ้าเริ่มสว่างทีละน้อย
ในห้องโถงใหญ่ของจวนปี้โหยว ชายแขนเสื้อของเจ้าแม่เทพวารีโบกสะบัด แสงสีทองไหลวนเวียนไปทั่วร่างไม่หยุดนิ่ง โดยเฉพาะตรงช่วงหัวใจที่มีโอสถทองเม็ดหนึ่งหมุนติ้วๆ สาดส่องให้ทั้งห้องโถงใหญ่เป็นสีทองสว่างไสวเหนือแสงตะเกียง
ในตำรากล่าวไว้ว่า ยามเช้าเข้าใจมรรคา ยามเย็นก็ตายได้แล้ว
นางไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้รับโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าขนาดนี้ ยามค่ำคืนฟังมหามรรคา ยามเช้าสร้างโอสถทอง!
เจ้าแม่เทพวารีโค้งตัวลงต่ำสุด รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ยิ่งนัก นางน้ำตาไหลอาบน้ำพูดเสียงสะอื้นด้วยความปิติยินดี “ในเมื่อท่านอาจารย์น้อยคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง เหตุใดถึงต้องโกหกข้า?”
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น