ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 346-349
ตอนที่ 346 วังหลังของตู๋กูซิงหลัน
ดูเอาเถอะ น้องเล็กโชคดีบุญรักษา รอดชีวิตมาได้
แต่นางกลับต้องขาพิการ!
นางพึ่งอายุสิบเจ็ดปีเท่านั้น! กลับต้องมาทนรับความเจ็บปวดถึงเพียงนี้ พวกเขาล้วนไม่กล้าครุ่นคิดเลยว่า ช่วงเวลาที่บาดเจ็บสาหัสอยู่นั้น นางที่เป็นเพียงเด็กสาวอ่อนแอผู้หนึ่งผ่านพ้นมันมาได้อย่างไร
พอคิดถึงตรงนี้ สองพี่น้องก็ต้องตาพร่าไปด้วยหยาดน้ำตาขึ้นมาอีก
ตู๋กูจุนยังนับว่าอดกลั้นได้เป็นอย่างดีแล้ว ดวงตาของเขาชื้นไปด้วยไอหมอก เขายื่นมือไปคีบขาหมูชิ้นหนึ่งส่งถึงมุมปากของตู๋กูซิงหลัน “น้องเล็ก ต่อให้พี่ใหญ่จะต้องจับพวกหมอมาให้หมดทั้งแผ่นดิน ก็จะต้องรักษาขาของเจ้าให้หายดีให้ได้”
ตู๋กูเจวี๋ยน้ำตาหยดแหมะๆ ไปตั้งแต่แรกแล้ว เดิมทีเขาก็เป็นคนที่อ่อนไหวง่ายอยู่แล้ว น้องเล็กมาเป็นเช่นนี้จะไม่ให้เขาปวดใจได้อย่างไร?
“น้องเล็ก ขอเพียงเจ้าสามารถหายดี ต่อให้นับจากวันนี้ไปพี่รองจะต้องกลายเป็นคนใบ้ก็ยอม”
ขอเพียงน้องเล็กอยู่ดีมีสุข บุรุษตระกูลตู๋กูอย่างพวกเขาก็ยินดีจะทำทุกอย่าง
ตู๋กูซิงหลันเห็นท่าทางของพวกเขา ในใจก็ยิ่งสำนึกผิดกว่าเดิม
นางทั้งใช้ร่างเนื้อของไทเฮาน้อย ทั้งได้รับความรักและการปกป้องจากพวกพี่ชาย แต่กลับมิได้ตอบแทนอะไรพวกเขาสักอย่าง
ตอนนั้นก็ยังทิ้งไปอย่างกระทันหัน…..
ตู๋กูซิงหลันไม่กล้าคาดคิดเลยว่า หากว่านางหายไปตลอดชีวิตของพวกเขาจริงๆ พวกพี่ๆ จะเป็นเช่นไร…..
มีหวังคงเสียสติไปเลย
“พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านดีกับข้ามากเกินไปแล้ว” ตู๋กูซิงหลันเคี้ยวขาหมูที่หอมอร่อยไปจนถึงก้นบึ้งหัวใจ
“เจ้าเป็นน้องสาวสุดที่รักของพวกเรา ทำดีกับเจ้าเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว” ตู๋กูจุนช่วยเช็ดน้ำมันที่เปื้อนตรงมุมปากให้กับนาง ดวงตาเต็มไปด้วยความเอาใจใส่
ตู๋กูเจวี๋ยเองก็ผงกศีรษะ “เจ้าเป็นชีวิตของพวกพี่ๆ ในใจของพี่รอง ใต้หล้านี้ไม่มีหญิงใดสามารถเทียบได้กับน้องเล็กของพวกเราตลอดกาล”
ตู๋กูจุนเก็บปากเก็บคำเอาไว้ ไม่อยากพูดจนทำให้นางต้องรำคาญมากเกินไปในตอนนี้
ตู๋กูซิงหลันอยากจะบอกฐานะที่แท้จริงของนางกับพวกเขาแต่ทุกครั้งที่คำพูดมาถึงปากก็ได้แต่กลืนลงไป
นี่เป็นเรื่องที่เจ็บปวดรวดร้าวที่สุดเรื่องหนึ่ง
หากพวกเขาได้รู้ว่าน้องสาวของตนเองตายไปตั้งแต่แรก และที่อยู่เบื้องหน้านี้เป็นแค่ของทดแทน…..
สำหรับคนทั้งสองที่รักน้องอย่างบ้าคลั่งแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็คิดไม่ออกเลยว่าพวกเขาจะทำเรื่องใดขึ้นมาได้บ้าง
เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้น คนทั้งสองคงจะเปลี่ยนเป็นน่ากลัวเสียยิ่งกว่าจีเฉวียนอีกกระมัง
ตู๋กูซิงหลันคิดๆ ดูแล้ว สมควรหาโอกาสที่เหมาะสมค่อยๆ สารภาพคงจะดีกว่า
พอตู๋กูซิงหลันไม่พูดไม่จา สองพี่น้องก็คิดว่านางคงจะกังวลว่าขาที่พิการไม่อาจรักษาได้ ตู๋กูจุนเช็ดปากให้นางเสร็จแล้ว ก็ลูบเส้นผมบนกระหม่อมของนาง
“อีกไม่กี่วันท่านปู่ก็จะกลับมาแล้ว ท่านปู่มีประสบการณ์มากเห็นโลกกว้างมากกว่าพวกเรา ย่อมต้องรู้จักท่านหมอดีๆ อย่างแน่นอน”
“ท่านปู่จะกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ?” ตู๋กูซิงหลันเงยหน้าขึ้นมา นับตั้งแต่ที่นางมายังโลกมิตินี้ก็เกือบสองปีแล้ว ท่านปู่ของไทเฮาน้อยถูกพูดถึงกันอยู่ตลอดเวลา แต่นี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้พบตัวจริง
“จะไม่ใช่ได้อย่างไร เจ้าที่เป็นหลานสาวคนโปรดขาพิการแล้ว ท่านปู่มีหรือจะไม่กลับมา?”
“น้องเล็กวางใจเถอะ ไม่ว่าเมื่อไหร่ เจ้ายังมีพวกเราอยู่เสมอ”
เพียงแค่ประโยคเดียวก็อบอุ่นไปถึงก้นบึ้งหัวใจ ตู๋กูซิงหลันเองก็พักเรื่องที่กังวลใจทั้งหมดเอาไว้ก่อน
เมื่ออยู่ในโลกนี้ นางก็ได้เปลี่ยนฐานะกลายเป็นไทเฮาน้อยไปแล้ว ก็ต้องมีชีวิตต่อไปในร่างนี้ให้ดี
ในตอนนั้นเอง ได้ยินเชียนเชียนส่งเสียงรายงานเข้ามาว่า “ไทเฮาเพคะ องค์หญิงใหญ่และพระสนมหยวนเฟยเสด็จมาเยี่ยมท่านแล้วเพคะ”
นางพึ่งจะร้องออกไป ก็เห็นท่านหญิงน้อยซุนเอ๋อร์หอบกระโปรงตัวน้อยวิ่งตึงๆ เข้ามาแล้ว นางวิ่งมากอดตู๋กูซิงหลัน กระโจนเข้ามาในอ้อมอกของนางในครั้งเดียว ใช้ศีรษะน้อยๆ ของตนถูไปมา
“ท่านย่าน้อย ซุนเอ๋อร์คิดถึงท่านเหลือเกิน” ซุนเอ๋อร์กอดเอาไว้แน่นพักใหญ่จึงยอมปล่อยนาง หลังจากนั้นก็ถอดสร้อยไข่มุกทองที่อยู่บนข้อมือออกมาส่งให้กับนาง
“ท่านแม่บอกว่าเม็ดมุกพวกนี้สามารถนำโชคดีมาให้ ซุนเอ๋อร์ให้ท่านย่าน้อย ขอให้ต่อไปท่านย่าน้อยไม่เจ็บไม่โชคร้ายอีก ให้สงบสุขราบรื่นตลอดชีวิต”
ตู๋กูซิงหลันมองดูเด็กน้อย ไม่ได้พบกันนาน เด็กน้อยสูงขึ้นบ้างแล้ว ทั้งยังสะสวยขึ้นด้วย
“ช่วงที่ผ่านมานางคิดถึงเจ้าอยู่ตลอด” องค์หญิงใหญ่ประทับยืนอยู่ด้านข้าง พอได้เห็นตู๋กูซิงหลันที่ต้องมานอนอยู่บนเตียงในวันนี้ นางก็เกิดความรู้สึกสงสาร
ตู๋กูซิงหลันลูบศีรษะของเด็กน้อย ส่งยิ้มหวานให้กับนาง “ขอบคุณเจ้ามาก ซุนเอ๋อร์”
แน่นอนว่าตู๋กูจุนย่อมเป็นฝ่ายสละที่ให้กับองค์หญิงใหญ่
องค์หญิงใหญ่พบกับเขาก็มิได้แสดงทีท่าขับไล่ หากแต่ทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุ ไม่ตรัสอะไรด้วยแม้แต่ประโยคเดียว
หากมิใช่เพราะว่าตอนนั้นตู๋กูซิงหลันได้ช่วยเหลือซุนเอ๋อร์เอาไว้ เกรงว่าแม้แต่โอกาสที่จะได้เห็นพวกเขาทั้งสองยืนอยู่ใกล้กันก็คงจะไม่มีแล้ว
เมื่ออยู่ต่อหน้าจีฉุน ตู๋กูจุนก็คอยระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ด้วยความเกรงว่าจะไปทำอะไรให้นางไม่พอใจเข้า ถึงแม้ว่าจะมีน้องสาวของตนเองอยู่ด้วยก็ยังเป็นเช่นนี้
หยวนเฟยเห็นแล้ว ก็รู้สึกว่าหัวใจไร้รสชาติอย่างบอกไม่ถูก
ยากนักที่จะหาคนที่มีขนหน้าอกดกๆ ได้สักคน แต่ว่าในใจของเขากลับมีผู้อื่นอยู่แล้ว
นับตั้งแต่ที่ตู๋กูซิงหลันหายตัวไป ตู๋กูจุนก็ไม่กลับไปเป่ยเจียง หากแต่เสาะหาน้องอยู่ตลอด
นางเองก็คอยช่วยเหลือเขา…..
ยิ่งได้ใกล้ชิดกับตู๋กูจุน ก็ยิ่งรู้สึกว่าบุรุษที่คมเข้มและบึกบึนผู้นี้น่าเกรงขามแต่ภายนอกเท่านั้น ที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่จิตใจละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง
บางครั้งไม่ทันระวังก็บังเอิญได้เห็นเขาอาบน้ำ….จุ๊ จุ๊ …..ขนหน้าอกแบบนั้นแม้แต่นักรบอันดับหนึ่งของหนานเจียงก็ยังเทียบไม่ได้เลย
ช่างน่าเสียดาย…..
นางเก็บสายตากลับมา เดินไปที่เบื้องหน้าของตู๋กูซิงหลัน “ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันก็คิดถึงท่านเช่นกัน”
คิดถึงตู๋กูซิงหลันนั้นเป็นเรื่องจริง ช่วงที่นางไม่อยู่ในวัง ตนก็เบื่อมากจริงๆ
ตอนนี้ในเมื่อปลอดภัยกลับมา ก็นับว่าดีแล้ว
“ข้าเองก็คิดถึงเจ้า เสี่ยวหยวนเฟย” ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนกับว่าอยู่ดีๆ ตนก็เปิดวังหลังส่วนตัวขึ้นมา ในวังหลังนี้มีเหล่าคนน่ารักที่ตนโปรดปรานมากมาย
คนนั้นนางก็อยากจะลูบๆ คลำๆ คนนี้นางก็คิดจะใกล้ชิดสนิทสนม วุ่นวายทำอะไรไม่ทันไปหมดแล้ว
ทางนี้พึ่งจะพูดกันจบ ก็ได้ยินเสียงเรียกดังมาจากด้านนอก “อาหลัน!”
ทันใดนั้นก็เห็นซูกุ้ยเฟยที่ท้องโตพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แม้แต่นางกำนัลข้างกายของนางก็ยังรั้งไว้ไม่ทัน
พอซูเม่ยมาถึงเบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน แม้แต่ตู๋กูเจวี๋ยก็ยังต้องถอยออกไปด้านข้าง
“อาหลัน วันนี้ข้ามาช้าไปแล้ว” ถึงซูเม่ยจะเห็นว่ามีผู้คนภายในห้องมากมาย ก็ยังไม่คิดจะเก็บอาการ เขาแทบจะเอาตัวครึ่งหนึ่งพาดลงไปบนร่างของตู๋กูซิงหลันอยู่แล้ว
เขาถึงกับสูดดมกลิ่นกายจากตัวนางเข้าไปอย่างอาจหาญ ค่อยรู้สึกว่าจิตใจอิ่มเอิบ สบายใจขึ้น
“อาหลัน ข้าฝันถึงเจ้าทั้งคืนเลย เช้านี้ก็ฝันถึงเจ้า ก็เลยตื่นสายไปหน่อย” ซูเม่ยกอดแขนของนางเอาไว้ “ข้าฝันว่าเจ้าหายไปอีกแล้ว ทำเอาข้าตกอกตกใจหมดเลย”
ซูเม่ยพูดพลาง ขนตาก็เปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำ “อาหลัน เจ้าอย่าได้หายไปอีกเลยนะ ได้ไหม?”
ตอนที่นางหายสาปสูญไป เขาไม่เป็นอันกินอันนอน และเพราะว่าฐานะของตนคือซูกุ้ยเฟย จึงไม่อาจไปตามหานางได้อย่างเปิดเผย ได้แต่ตามหานางอย่างเงียบๆ
แต่มิว่าอย่างไรก็ไม่เจอแม้แต่เงา พอคิดว่านางอาจจะ….หัวใจของเขาก็เย็นยะเยือกแล้ว
ตอนนี้ดีแล้ว นางกลับมาแล้ว
ขาพิการ
ก็ไม่เป็นไร…..เขาจะต้องหาหนทางทำให้นางหายดี
ตู๋กูซิงหลันมองดูซูเม่ย นับตั้งแต่ที่นางกลับมา ซูเม่ยก็ขยันมาเยี่ยมเหมือนกับพวกพี่ชาย อะไรดีอะไรอร่อยล้วนต้องขนมายัดเยียดให้นาง
——
คุยกันนิดนึง:
ไรท์: หยวนเฟยคะ บังเอิญยังไงให้ได้เห็นผู้ชายอาบน้ำคะ
หยวนเฟย: (เขินอาย) บังเอิญตาดีค่ะ
——
ไรท์ : ตู๋กูซิงหลัน อบอุ่นจนร้อนเลยไหม?
ตู๋กูซิงหลัน: ข้าชอบ ครึกครื้นดีออก
ไรท์: งั้นเพิ่มอีกเบอร์เป็นไง?
ตู๋กูซิงหลัน:???
ไรท์: เดี๋ยวก็รู้ว่าใครมา….หุ หุ
ตอนที่ 347 ต้องรักเขาอย่างคลั่งไคล้หล...
ก่อนหน้านี้ซูเม่ยยังมาหานางแต่เช้าก่อนพวกพี่ชายเสียอีก
จีเฉวียนเคยบอกนางว่า ซูเม่ยเป็นบุรุษ
แต่ช่วงหลายวันนี้ นางมองซ้ายมองขวาอย่างไรก็ยังมองไม่ออกว่าซูเม่ยคนงามจะเป็นบุรุษไปได้อย่างไร
ยิ่งดูท้องนั่น ก็กลมดั่งลูกบอล …..หากว่าท้องอยู่จริงๆ ดูท่าอีกไม่เกินสองเดือนก็คงจะคลอดแล้วกระมัง
ซูเม่ยมาปรากฏตัวอย่างถืออภิสิทธิ์ อยู่ใกล้ชิดตู๋กูซิงหลันมากที่สุด กอดแขนตู๋กูซิงหลันเอาไว้ไม่ยอมวางมือราวกับว่าตนเองคือคนโปรด
“อาหลัน เจ้าเองก็คิดถึงข้าเหมือนกันใช่ไหม?”
ทำถึงขั้นนี้ สองพี่ชายตระกูลตู๋กูก็ทนดูไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
ซูเม่ยออดอ้อนเสียจนไม่สนใจขอบเขต ยังคงกอดแขนของนางเอาไว้ “เจ้าอย่าได้เอาแต่คิดถึงหยวนเฟยนะ เจ้าต้องคิดถึงข้าด้วย ข้าคิดถึงเจ้าจนจะขาดใจตายอยู่แล้ว”
ผู้คนทั้งหลาย “……”
ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้พวกเขาถึงได้รู้สึกว่าตู๋กูซิงหลันก็คือฮ่องเต้
ส่วนพวกเขาก็เป็นเหล่านางสนมที่มาแย่งชิงความโปรดปราน
โดยเฉพาะซูเม่ยนั้นทำเกินหน้าไปแล้ว!
นางถือว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ ยิ่งต้องแย่งความโปรดปรานอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
ตู๋กูซิงหลันไหนเลยจะเคยปฏิเสธคนงามมาก่อน แค่พูดว่าตนก็คิดถึงนาง ไม่ได้จะตายสักหน่อย
นางตบหลังมือของซูเม่ยเบาๆ หัวเราะเฮฮาตอบไปว่า “น่ารัก คิดถึงสิ คิดถึงทุกคน!”
ดูผิวที่ออกจะนุ่มละมุนถึงเพียงนี้สิ แล้วจะเป็นบุรุษไปได้อย่างไร?
คงจะต้องเป็นเพราะว่าฮ่องเต้สุนัขนั่นคิดจะหาทางออกให้กับความเจ้าชู้ของตนเอง ถึงได้คิดหาเหตุผลมั่วๆ เช่นนี้ขึ้นมา
ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดเช่นนี้อยู่ในใจ นางย่อมไม่มีทางทำถึงขั้นจับซูเม่ยมาถอดเสื้อผ้าเพื่อพิสูจน์ร่างกายอยู่แล้ว
หากว่าซูเม่ยเป็นหญิง แล้วขณะที่นางกำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น ก็ถูกคน ‘แย่งชิง’ สามี ตู๋กูซิงหลันคิดแล้วก็รู้สึกละอายใจกว่าเดิม
หากให้ถอยออกมาคิดดู สมมติว่าเขาเป็นบุรุษจริงๆ แล้วยังอุตส่าห์คิดหาหนทางร้อยพันวิธีเพื่อแต่งให้กับจีเฉวียน ก็ต้องเป็นเพราะว่ารักเขาอย่างหลงใหลคลั่งไคล้อย่างแน่นอน
จะคิดกลับไปกลับมาอย่างไรก็เป็นตนเองที่แย่งชิงความรักของผู้อื่นมา
ตู๋กูซิงหลันตัดสินใจแล้วว่าต่อไปจะต้องชดเชยให้กับซูเม่ยให้มากๆ
ดูสิคนก็งามขนาดนี้ หากไม่ทนุถนอมเอาไว้ในมือ คงต้องผิดคุณธรรมในใจจนจิตใจไม่สงบสุขแน่นอน
“น้องเล็ก เป็นสตรีหากสนิทสนมใกล้ชิดกันมากไปจะไม่ค่อยดี” ตู๋กูเจวี๋ยถูกบีบให้ออกจากวงไป ทั้งๆ ที่นั่นเป็นน้องสาวของตนเองแท้ๆ แต่ตอนนี้เขากระทั่งตัวเองก็ยังแทรกเข้าไปไม่ได้เลย
พอได้เห็นซูหวงกุ้ยเฟยกับน้องสาวสนิทสนมใกล้ชิดกัน ก็คิดถึงใบหน้าแข็งทื่อของจีเฉวียนขึ้นมา
ทำให้เขาอดที่จะหนาวสั่นขึ้นมาไม่ได้ ฮ่องเต้ทรงมีเป้าหมายที่ไม่ถูกไม่ควรบางประการในตัวน้องเล็กอย่างแน่นอน
หากว่าพระองค์เสด็จมาเห็นภาพในยามนี้ เกรงว่าพระพักตร์คงจะดำทะมึนเสียยิ่งกว่าที่เขาคาดคิดไว้เสียอีก
พระสนมของพระองค์ แต่ละคนแต่ละองค์ล้วนเอนเอียงมาทางน้องเล็กทั้งนั้น…..
ช่างบังเอิญโดยแท้ เขาพึ่งจะพูดจบไป อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าแผ่นหลังเย็นวาบขึ้นมา
“ตำหนักเฟิ่งหมิงกงช่างครึกครื้นดีจริงๆ” ฮ่องเต้เสด็จเข้ามาดั่งสายลม ยามเสด็จมาก็หอบเอาลมหนาวจากด้านนอกเข้ามาด้วย
ผู้คนมองออกไป ก็เห็นว่าเส้นพระเกศาและพระอังสะมีละอองหิมะ ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมา พระองค์ยังคงเย็นชาเสียยิ่งกว่าเกล็ดหิมะที่ขาวๆ ฟูๆ เหล่านั้นเสียอีก
จีเฉวียนก้าวพระบาทเพียงไม่กี่ก้าวก็เสด็จถึงข้างกายตู๋กูซิงหลัน สายพระเนตรเย็นชากวาดมองไปยังร่างของซูเม่ยและหยวนเฟย
หยวนเฟยนับว่ารู้ตัวดี นางรีบถอยออกไปข้างๆ
นางเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง เรื่องระหว่างฝ่าบาทและไทเฮานั้น ต้องเรียกว่าแจ่มแจ้งชัดเจนจนไม่ต้องพูดอะไรออกมาอีกแล้ว
ซูเม่ยนั้นไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เขาหันหน้ามาสบตากับจีเฉวียนครั้งหนึ่ง มือก็ลูบลงไปบนหน้าท้องที่กลมเป็นลูกบอลของตนเอง “ฝ่าบาท พระนัดดาทรงคิดถึงไทเฮามาก ต้องให้ไทเฮาทรงลูบบ่อยๆ จะได้เติบโตและแข็งแรงนะเพคะ”
เขาพูดออกมาอย่างมีความหมายให้จีเฉวียนเข้าใจโดยเฉพาะ มือข้างหนึ่งก็คว้ามือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ แอ่นท้องจนปูดขึ้นมา ทั้งยังทำสีหน้าเหมือนไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างเพียงพอ แต่ข้างในกลับลอบสะใจ ที่จีเฉวียนทำลงไปมิเท่ากับว่าขุดหลุมฝังตนเองหรอกหรือ?
ตอนนี้ตนทำตามพระประสงค์แล้ว แบกท้องโตแล้วไง ก็ยิ่งสามารถมาเกาะหนึบอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลันได้อย่างเปิดเผย
หากว่าพระองค์กล้าขับไล่เขาออกไป ก็มีแต่จะหาเรื่องให้เป็นขี้ปากผู้คนเท่านั้น
หากว่าเขากล้าทำท่าทำท่างโหดร้ายกับหวงกุ้ยเฟยที่กำลังท้องโต มิเท่ากับว่ามอบโอกาสให้ผู้อื่นที่กำลังมีแผนการอยู่แล้วออกมาต่อต้านเขาหรอกหรือ?
ดวงเนตรของจีเฉวียนหรี่ลงเป็นเส้นบาง นับตั้งแต่ที่พระองค์นำซิงซิงกลับมา คนที่มาคอยเกาะติดหนึบอยู่ข้างกายนางยิ่งทียิ่งเพิ่มขึ้นทุกวันจนนับไม่ไหว
สองพี่น้องตู๋กูนั่นก็แล้วไปเถอะ อย่างไรเสียก็เป็นพี่ชายของนาง
แต่ว่าซูเม่ยผู้นี้เหมือนดั่งก้อนอึที่ติดหนึบ ทั้งวี่ทั้งวันเอาแต่เกาะติดอยู่กับตู๋กูซิงหลัน ไม่รู้สำนึกตนบ้างเลยสักนิด
เสี่ยวซิงซิงพระองค์เป็นผู้พากลับมา คิดว่าพระองค์จะยอมให้เขาแย่งไปง่ายๆ หรือ?
ฮ่องเต้ทรงพระสรวลเสียงเย็นชาออกมาครั้งหนึ่ง แต่มิได้จัดการกับซูเม่ยอย่างแจ่มชัด พระองค์ประทับยืนอยู่ด้านข้าง สายพระเนตรทอดลงไปบนร่างของตู๋กูซิงหลัน
แม้แต่น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นมา “อากาศหนาวมากแล้ว เราไปล่าสัตว์มา โชคดีได้จิ้งจอกมาตัวหนึ่ง จึงให้ถลกหนังทำเป็นเสื้อคลุมมาให้เจ้า”
ตรัสแล้ว หลี่กงกงก็นำเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวนั้นเข้ามาถวาย
ขนจิ้งจอกเป็นสีแดงราวกองเพลิง ทั้งยังเป็นประกายมันวาว แสดงให้เห็นว่ายามปกตินั้นเจ้าจิ้งจอกตัวนี้อยู่ดีกินดีเพียงไร
“ปกติเจ้าชอบสวมใส่แต่เสื้อผ้าธรรมดา เราคิดว่า สีแดงราวอาทิตย์ยามพลบค่ำเช่นนี้เหมาะสมกับเจ้ามากนัก” จีเฉวียนตรัสแล้วก็หยิบเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวนั้นขึ้นมา
ส่งถึงตรงหน้าตู๋กูซิงหลัน น้ำเสียงของพระองค์ยิ่งอ่อนโยนกว่าเดิม “ลองลุกขึ้นมาสวมดูหน่อยไหม?”
ที่จริงแล้วตัดขึ้นมาเพื่อนางโดยเฉพาะ ย่อมต้องพอดีตัวอยู่แล้ว
จีเฉวียนจงใจส่งเสื้อคลุมจิ้งจอกไปตรงหน้าซูเม่ย
สีแดงเพลิงนั้นบาดตาอย่างยิ่ง ซูเม่ยมองดูอยู่สองรอบในสมองพลันเจ็บจี๊ดขึ้นมา ในใจบังเกิดความหวาดกลัวอย่างไร้สาเหตุ
ภาพมากมายไหลผ่านเข้ามาในสมอง เป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เป็นภาพของจิ้งจอกสีแดงตัวหนึ่งที่ถูกโยนลงไปในวงล้อวัฏสังขาร
เขาเห็นชัดเลยว่า…คนที่โยนเขาลงไปนั้น มีสายตาที่เย็นชาแบบเดียวกันกับจีเฉวียน
ซูเม่ยรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาในทันที
ตอนที่เขาเกิดมานั้น เหล่าสรรพสัตว์ต่างก็พากันมาคำนับถึงตำหนักหย่งเฉิงอ๋อง บรรพชนของตนก็เป็นจิ้งจอก
เรื่องนี้เล่าลือกันไปทั่วเมืองหลวง จนไม่มีอะไรน่าแปลกใจ ทั้งยังมีคนเคยพูดว่าเขาเป็นเซียนจิ้งจอกกลับชาติมาเกิด แม้แต่บิดามารดาของตนก็มิได้ปฏิเสธ
ที่จีเฉวียนเอาหนังจิ้งจอกมายื่นใส่เขาตรงหน้าเขา ก็เพื่อตักเตือน และเพราะขยะแขยงเขา
ขณะที่ซูเม่ยกำลังจิตใจเลื่อนลอยอยู่นั้น จีเฉวียนก็เบียดบังเข้ามานั่งลงตรงข้างกายตู๋กูซิงหลันอย่างคุ้นเคย
ยื่นพระหัตถ์ออกมาคลุมเสื้อหนังจิ้งจอกนั้นให้กับนาง
สีหน้าของตู๋กูซิงหลันกลับไม่ดีเท่าไร พอมองเห็นหนังจิ้งจอกสีแดงเพลิง นางก็หวนนึกไปถึงจิ้งจอกน้อยที่เคยเลี้ยงเอาไว้ในโลกก่อนทันที
นางเฝ้าดูจิ้งจอกน้อยตัวนั้นฝึกฝนและสั่งสมตบะมาโดยตลอด…..ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามันอาจจะถูกคนจับไปถลกหนังกลายเป็นเสื้อผ้าไปได้
แต่ไหนแต่ไรตู๋กูซิงหลันก็ไม่เคยสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากขนหรือหนังของสัตว์
ไม่ใช่เพราะนางเป็นพวกยอดมารดาแสนดีอะไร แต่เพราะว่าการทำเสื้อผ้าจากขนสัตว์เช่นนี้มันโหดร้ายเกินไป
พวกนางอยู่ในสำนักหุบเขาภูติเร้นลับเป็นสำนักที่ให้ความเคารพต่อชีวิต กฏของสำนักคือห้ามไม่ให้สวมใส่เสื้อผ้าที่ทำขึ้นมาจากขนหนังของสัตว์
พอจีเฉวียนคลุมเสื้อหนังจิ้งจอกลงมา ตู๋กูซิงหลันส่งเสียงอึกอักอยู่ครู่หนึ่งก็อาเจียนออกไป
อาเจียนใส่จีเฉวียนทั้งตัว
พระองค์พึ่งจะเลิกว่าราชการ ทรงฉลองพระองค์ชุดมังกร ทั้งหัวมังกรและเล็บมังกรล้วนถูกตู๋กูซิงหลันอาเจียนใส่อย่างเต็มที่ ล้วนเป็นขาหมูที่กินเข้าไปแล้วยังไม่ทันย่อย
ผู้คนทั้งหมดตื่นตะลึงไป
หยวนเฟยและองค์หญิงใหญ่ต่างก็ตื่นตัวขึ้นมา
พวกนางต่างก็รู้ว่าฮ่องเต้ทรงรักความสะอาดมากเพียงไร ต้องเรียกว่ารักความสะอาดอย่างบ้าคลั่งจนคนต้องหวาดหวั่นขวัญผวาไปเลยดีเดียว
หลี่กงกงยิ่งตื่นตระหนกจนแทบจะขาดใจตายลงไปตรงนี้แล้ว เขาจำได้ว่าครั้งหนึ่งขันทีน้อยไม่ทันระมัดระวัง ขณะที่คีบอาหารถวายฝ่าบาท ไม่ทันระวังทำน้ำแกงกระเด็นใส่ฝ่าบาท…….
ถูกฝ่าบาทลงโทษให้ไปอยู่โรงซักล้าง ทำความสะอาดเสื้อผ้าอยู่ถึงสามเดือน
นี่ถึงขนาดอ้วกใส่ชุดมังกรเลยรึ ท่านตู๋กูซิงหลันช่างโหดเ**้ยมต่อผู้คนเสียจริงๆ
…………………………………..
ตอนต่อไป “นางมารที่ล้มชาติล้างเมือง”
ตอนที่ 348 นางมารที่ล้มชาติล้างเมือง
“น้องเล็ก เจ้าเป็นอะไรไป?” สองพี่ชายตกใจจนกระโดดเข้ามาหา ไหนเลยยังจะมีอารมณ์ไปสนใจจีเฉวียนอยู่อีก
ทั้งสองต่างก็บุกเข้าไปถึงด้านหน้าด้วยความหวั่นเกรงว่าตู๋กูซิงหลันจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก
ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้สัมผัสตัวตู๋กูซิงหลัน จีเฉวียนก็เขวี้ยงหนังจิ้งจอกในมือทิ้งไป คว้ามือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้แน่น “ไม่สบายหรือ?”
ผู้คนทั้งหมดต่างก็ตื่นตระหนกขึ้นมา เนื่องเพราะว่านางขาพิการทั้งสองข้าง ไม่แน่ว่าบางทีร่างกายอาจจะมีอาการบาดเจ็บภายในอะไรบางอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้
ในขณะที่กำลังตื่นตระหนกกันอยู่นั้นเอง ก็ได้ยินเสียงซุนเอ๋อร์กล่าวอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ว่า “ท่านย่าน้อยกำลังจะมีทารกหรือเจ้าคะ? ตอนที่ท่านแม่ตั้งครรภ์ซุนเอ๋อร์ก็อาเจียนเช่นนี้”
นางเองก็เคยได้ยินพวกหมัวมัวในจวนพูดกัน ท่านแม่ตั้งครรภ์นางอย่างลำบาก อาเจียนอยู่ทุกๆ วัน
แค่ประโยคเดียวก็ทำเอาคนทั้งหมดตกใจจนชะงักค้างไป
ทันใดนั้นทุกคนต่างก็พากันหันสายตาไปมองดูจีเฉวียน
สองพี่ชายตระกูลตู๋กูต่างก็ตาลุกโชนขึ้นมา ตอนนี้เกิดเงื่อนไขที่จะให้พวกเขาก่อกบฏอย่างสมเหตุสมผลขึ้นตรงหน้าแล้ว
พอคิดดูให้ละเอียด ช่วงที่พวกเขาทั้งสองอยู่ในเมืองกู่เย่วนั้น จีเฉวียนก็ทำตัวเหมือนหมาป่าเฒ่าอยู่ตลอด ส่วนน้องเล็กนั้นถูกกล่าวหาจนกลายเป็นนางมารล้มบ้านล้างเมืองที่ทำเอาคนสงสัยกันกลุ่มใหญ่
เจ้าสุนัขเฒ่าจีเฉวียน ไม่รู้ว่าได้แอบทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีกับน้องเล็กไปหรือไม่?
องค์หญิงใหญ่เองก็ตกใจไปด้วย นางไม่นึกไม่ฝันว่าซุนเอ๋อร์จะพูดอะไรออกมาเช่นนั้น
องค์หญิงใหญ่อับอายจนสีพระพักตร์มีแต่ความขออภัย “เด็กน้อยไม่รู้ความ เด็กน้อยไม่รู้ความ”
ซุนเอ๋อร์ไม่เข้าใจความนัย จึงเอียงศีรษะกล่าวว่า “ซุนเอ๋อร์ไม่ได้พูดจาไม่รู้เรื่องนะเจ้าคะ ท่านย่าน้อยมิใช่ว่ากำลังจะมีทารกหรอกหรือ?”
ตู๋กูซิงหลันเดิมทีคิดจะอาเจียนออกมาอีก แต่เพราะได้ยินคำของซุนเอ๋อร์ทำเอานางชะงักจนกลืนทุกอย่างกลับไป
แหวะ…..ยิ่งน่าอ้วกกว่าเดิม
นางยิ่งทียิ่งอาเจียนอย่างหนัก ทั้งแหวะทั้งอาเจียนออกมาใส่จีเฉวียนไปครึ่งตัว
ฮ่องเต้ทรงตระหนกขึ้นมา รีบหันไปรับสั่งกับหลี่กงกง “เรียกหมอหลวงมาเร็วเข้า!”
ขายังไม่ทันจะรักษาหาย หากว่ายังมีปัญหาอะไรขึ้นมาอีก มิใช่ว่าเขาต้องปวดใจหนักกว่าเดิมหรอกหรือ!
พระองค์ทางหนึ่งตรัส ทางหนึ่งหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยตู๋กูซิงหลันเช็ดปาก โดยมิได้สนใจความสกปรกบนพระวรกายของพระองค์เอง ทั้งยังคว้าเอาน้ำค้างสาลี่หิมะในมือตู๋กูเจวี๋ยมาป้อนให้นางด้วย
ตู๋กูเจวี๋ย “…..” น้องสาวของเขา เขาไม่มีสิทธิ์ดูแลหรืออย่างไร? ถึงต้องให้ฮ่องเต้มาจัดการ?
ทั้งยังถูกพระองค์ยืมดอกไม้ไหว้พระอีก [1] !
ตู๋กูจุนเองก็แทบจะหันกลับไปคว้าดาบใหญ่ของตนเองขึ้นมาแล้ว
หลังดื่มน้ำค้างสาลี่หิมะลงไปหลายคำ ตู๋กูซิงหลันถึงได้ค่อยๆ สงบลงได้บ้าง
แต่พอมองเห็นหนังจิ้งจอกที่อยู่ด้านข้าง ตู๋กูซิงหลันก็คิดจะอาเจียนออกมาอีก
แค่คิดว่าจิ้งจอกน้อยที่นางเลี้ยงเอาไว้ถูกคนเอาไปถลกหนัง ในสมองของนางก็เห็นภาพขึ้นมาทันที ทำเอาปวดใจจนอยากจะอาเจียน
“ฝ่าบาทมีพระทัยกตัญญูน่าสรรเสริญ แต่น่าเสียดายที่แต่ไหนแต่ไรหม่อมฉันไม่อาจทนใช้หนังหรือขนสัตว์ได้” ตู๋กูซิงหลันหันหน้ากลับมา มองดูจีเฉวียน “ต่อไปฝ่าบาทอย่าได้ทรงส่งของพวกนี้มาให้หม่อมฉันเลยนะเพคะ”
จีเฉวียนตะลึงไป หมอหลวงบอกว่านางไม่อาจทนความหนาว ดังนั้นพระองค์จึงเสด็จไปยังเขตล่าสัตว์ของราชวงศ์ล่ามาให้นางเป็นกรณีพิเศษ
เสื้อคลุมหนังจิ้งจอกตัวนี้พระองค์คอยทอดพระเนตรดูชาววังเหล่านั้นเย็บขึ้นมาแต่ละเข็ม หวังเพียงจะให้นางได้อบอุ่น
คิดไม่ถึงว่า สิ่งของพวกนี้กลับทำให้นางเกิดความทรมาน
คำพูดของตู๋กูซิงหลัน ทำให้องค์หญิงใหญ่ หยวนเฟย และหลี่กงกงตระหนกจนแทบจะกระโดดแล้ว
ฝ่าบาทที่ทรงเป็นพ่อไก่ขนเหล็กที่ไม่ยอมเสียทรัพย์แม้สักอีกแปะ กลับเป็นฝ่ายมอบของขวัญให้ผู้อื่น นี่ต้องถือว่าเป็นบุญกุศลที่บรรพชนทั้งสิบแปดรุ่นได้สั่งสมมาแล้ว
ไทเฮาน้อยกลับปฏิเสธออกมาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้?
ฝ่าบาทจะต้องทรงพิโรธอย่างแน่นอน พิโรธอย่างรุนแรงเสียด้วย
ทั้งสามต่างก็คิดเช่นนี้อยู่ในใจ แต่หลังจากนั้นพวกนางก็ต้องประหลาดใจด้วยความผิดคาดอย่างแรง
ฝ่าบาทมิได้ทรงพิโรธเลยสักน้อยนิด พระองค์ประทับนั่งข้างกายตู๋กูซิงหลัน ดวงพักตร์ที่งดงามไร้ที่ตินั้นกลับมีแต่การตำหนิพระองค์เอง
“เราผิดไปแล้ว ไม่สมควรมอบอะไรให้เจ้าอย่างไม่รอบคอบ”
ท่าทางของพระองค์นั้นเกลียดชังพระองค์เองจนแทบจะตบพระพักตร์สักสองรอบ
ผู้คนทั้งหลาย “???”
นี่มันเรื่องอะไรกัน? เมื่อครู่พวกเขาได้ยินว่าอะไรนะ?
ฮ่องเต้ทรงตรัสขอโทษ!
นอกจากสองพี่ชายตระกูลตู๋กูแล้ว ผู้อื่นต่างพากันสูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว
สวรรค์ทรงโปรด! ไทเฮาน้อยทรงใช้วิธีการใดถึงได้สามารถจัดการพระองค์จนอยู่หมัดได้ถึงเพียงนี้?
กลายเป็นเชื่องเชื่อจนไม่ธรรมดาแล้ว!
นี่คือเชื่อฟังจนหมอบราบคาบแก้วหรือว่าที่จริงแล้วยังมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง?
หากเป็นก่อนหน้านี้ พวกนางต่างก็ไม่ยอมเชื่อ…..
นี่สมควรจะต้องเป็นเพราะว่าฝ่าบาททรงมีแผนการอื่นอยู่อีก….กำลังทรงดำริจะให้ตระกูลตู๋กูออกไปทำอะไรอีกแล้วใช่ไหม?
แดนเป่ยเจียงก็ตีมาได้แล้ว ก้าวต่อไปสมควรถึงเวลาจัดการกำราบพิชิตแคว้นอื่นแล้ว
ต้าเหยียน
ใช้แล้ว…พิชิตแคว้นเหยียน
ในดินแดนนี้ แคว้นที่ยังพอจะสามารถเทียบเคียงกันได้อย่างมากก็คงจะเป็นแคว้นต้าฉิน
จะต้องเป็นเพราะมีพระดำริจะให้ตระกูลตู๋กูไปตีแคว้นต้าเหยียนเป็นแน่ ดังนั้นคราวนี้ถึงได้รีบเสด็จมาทำท่าลูกกตัญญูที่เชื่อฟัง
พวกองค์หญิงใหญ่ล้วนแล้วแต่คิดเช่นนี้ด้วยกันทั้งนั้น
เนื่องเพราะว่าคนเช่นฮ่องเต้นั้น….แต่ไหนแต่ไรไหนเลยจะเคยมีความจริงพระทัยให้กับใครเขากัน
พอดีกับที่สองพี่ชายตระกูลตู๋กูก็คิดเช่นนี้อยู่เหมือนกัน
แดนเป่ยเจียงถึงตอนนี้ก็นับรวมเข้ามาอยู่ในแผนที่ของแคว้นต้าโจวแล้ว ดังนั้นท่านปู่จึงสามารถกลับมาจากเป่ยเจียงได้อย่างวางใจ
ก้าวต่อไป ก็คือแคว้นเหยียนแล้ว
จีเฉวียนต้องการให้ตระกูลตู๋กูขยายดินแดนให้กับพระองค์ จึงได้มาเล่นงิ้วให้พวกเขาดู
ฮึ ฮึ ……ฮ่องเต้สุนัขอย่างไรเสียก็ยังเป็นฮ่องเต้สุนัข แต่ละก้าวล้วนคิดคำนวนมาแล้วอย่างละเอียด เรียกว่าแทบจะอยากให้ทุกคนเข้าไปอยู่ในแผนการของตน
ที่จริงแล้วยามนี้ฮ่องเต้ไม่ทรงสนพระทัยแล้วว่าใครกำลังคิดอะไรอยู่ พระองค์ทอดพระเนตรมองดูตู๋กูซิงหลันด้วยความกังวลพระทัย “ในเมื่อเจ้าไม่ชอบหนังจิ้งจอก เช่นนั้นพวกเราก็ไม่เอาอีกแล้ว นับจากวันนี้ไป ผู้คนในต้าโจวทั้งหมดไม่อาจสวมใส่หนังจิ้งจอกอีก”
พอฝ่าบาททรงตรัสออกมา ก็เสมือนหนึ่งว่ามีราชโองการออกไปแล้ว
ความรวดเร็วเช่นนี้ ทำให้ผู้คนทั้งหลายต้องแปลกใจเป็นรอบที่สาม
ดูเอาสิ……เพราะความร้อนพระทัยที่อยากจะให้คนตระกูลตู๋กูไปออกรบ แม้แต่ราชโองการเช่นนี้ก็ยังมีออกมาได้!
ฝ่าบาท แผนการนี้ของพระองค์มิใช่ว่าแสดงออกมาได้แจ่มแจ้งจนเกินไปแล้วหรือไม่?
ตู๋กูซิงหลันเองก็ตกตะลึงไป ก่อนหน้านี้จีเฉวียนทรงตรัสอยู่ตลอดเวลาว่าชอบนาง
แต่ว่านี้เป็นครั้งแรกที่จีเฉวียนทรงออกราชโองการเพราะความเคลื่อนไหวของนาง
อยู่ๆ นางก็รู้สึกว่าตนเองช่างคล้ายกับนางมารที่ล้มชาติล้างเมืองเข้าจริงๆ
หนังจิ้งจอกถูกนำออกไป ตู๋กูซิงหลันก็ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย นางกระแอมเล็กน้อย “ฝ่าบาท ขนที่ตัดออกมาจากสัตว์ยังสามารถใช้ได้อยู่…..ขอเพียงมิได้พรากชีวิตของสัตว์ล้วนไม่เป็นปัญหาเพคะ”
“เราจะออกราชโองการอย่างละเอียด ร่างข้อกำหนดว่าอะไรสามารถสวมใส่ได้ อะไรสวมใส่ไม่ได้ ต่อไปภายหน้าในสายตาของเจ้า จะได้ไม่ต้องเห็นสิ่งของที่ทำให้แสลงเช่นนี้อีก” จีเฉวียนประทับอยู่ข้างกายนาง ดึงมือของนางเข้ามา ตบลงบนหลังมือเบาๆ อย่างปลอบประโลม
ความปวดใจที่สื่อออกมาทางสายตานั้นทำเอาตู๋กูซิงหลันเลี่ยนแทบตายแล้ว
เหล่าพี่ชายตระกูลตู๋กูต่างก็คิดว่าการแสดงของฮ่องเต้สุนัขช่างสมบทบาทนัก คำพูดแต่ละคำ ความเคลื่อนไหวแต่ละอย่าง กระทั่งสายตาก็ยังแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน
ช่างกตัญญูเกินไปแล้ว!
หากมิใช่เพราะว่าพวกเขาเข้าใจพระองค์เป็นอย่างดี เกรงว่าตอนนี้คงจะต้องถูกพระองค์หลอกลวงเข้าแล้ว
พอจีเฉวียนตรัสจบ หมอหลวงผู้หนึ่งก็รีบรุดเข้ามา
เมื่อมีหมอหลวงซุนเป็นตัวอย่างมาก่อน ก็แทบจะไม่มีหมอหลวงคนใดกล้ามาจับชีพจรถวายไทเฮาอีก ครั้งนี้ที่มาคือย่วนสื่อ [2] ของสำนักแพทย์หลวง
เขาสูงวัยมากจนใกล้จะมีอายุครบแปดสิบปีแล้ว ทั้งสายตาและหูก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ กระทั่งมือของเขาก็ทั้งเ**่ยวทั้งแข็งจนเปลี่ยนรูปไปแล้ว
ขณะที่จับชีพจรถวายไทเฮาน้อยด้วยมือที่สั่นเทา ใบหน้าของเขาก็พลันแสดงสีหน้าปิติยินดีออกมา “ฝ่าบาท….นี่พระสนมทรงตั้งพระครรภ์แล้วพะยะค่ะ!”
………………………………………
ไรท์: เป็นเรื่องแล้ว!!!
ตอนต่อไป “ซิงซิงตั้งครรภ์?”
——
[1] 借花献佛: ฉวยสิ่งของของผู้อื่นมามอบให้กับอีกคน
[2] 太医院院使: ขุนนางขั้นห้ามีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยภายในทั้งหมดของสำนักแพทย์หลวง
ตอนที่ 349 ซิงซิงตั้งครรภ์
“พรวด!” น้ำค้างสาลี่หิมะที่ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะกลืนลงไปคำหนึ่งพุ่งเข้าใส่ใบหน้าชราอย่างเต็มที่
ท้องกับผีหรือยังไง!
นางยังไม่เคยหลับนอนกับบุรุษ จะท้องได้อย่างไร?
จะให้ท้องกับตัวเองหรือ?
ผู้คนทั้งหลายต่างก็อ้าปากกว้างขึ้นมา ราวกับจะยัดไข่ไก่ลงไปได้ทั้งใบ!
พระทัยของฮ่องเต้เหมือนถูกเข็มทิ่มแทง ผ่านไปแล้วพักใหญ่ก็ยังไม่ได้พระสติกลับมา!
ซิงซิงท้อง? ใครทำกัน?
จีเฉวียนสาดพระเนตรเย็นชาไปที่ซูเม่ย เนื่องเพราะช่วงนี้ซูเม่ยขยันมาตำหนักเฟิ่งหมิงอยู่เสมอ แทบจะอยากจะทำตัวติดกับซิงซิงอยู่ตลอดเวลา เขาน่าสงสัยที่สุดแล้ว
อีกทั้งคนผู้นี้ยังเป็นตัวปีศาจยั่วยวน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะใช่เล่ห์กลอะไร ไปล่อลวงซิงซิง
เกรงว่าซิงซิงเองคงจะไม่ทันได้รู้เรื่องอะไร ก็ถูกเขา….
ฝ่าบาทกำพระหัตถ์แน่น พยายามระงับความต้องการที่จะฆ่าคนในตอนนี้เอาไว้ก่อน
ซูเม่ยเองก็กำหมัดแน่นเช่นกัน ในใจของเขาพุ่งเป้าไปว่านี่จะต้องเป็นการกระทำของฮ่องเต้ เขาลอบกัดฟันขบเขี้ยว คิดจะฆ่าคนอยู่เช่นกัน
ตู๋กูจุนกระชับดาบเล่มใหญ่ของเขาขึ้นมาแล้ว หากมิใช่เพราะว่าตู๋กูเจวี๋ยพยายามห้ามเอาไว้อย่างสุดชีวิต เกรงว่าดาบเล่มใหญ่นี้คงจะบั่นพระเศียรของฮ่องเต้สุนัขลงมาแล้ว
องค์หญิงใหญ่และหยวนเฟยต่างก็คิดจะหลบออกไปจากที่นี่
พวกนางไม่ทันระวังตัวจึงบังเอิญได้มารับรู้ความลับอันยิ่งใหญ่ …..หากว่ายังไม่ระมัดระวังอีกเกรงว่าอาจทำให้สมองต้องย้ายบ้านไปด้วย
แต่ว่าซุนเอ๋อร์กลับติดตามเหตุการณ์อย่างไม่ลดละ ทั้งยังเข้ามาจับมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ด้วยความสนอกสนใจ “ท่านย่าน้อย เห็นไหมว่าซุนเอ๋อร์พูดไว้ไม่ผิดเลย ท่านกำลังจะมีทารกแล้วจริงๆ! เช่นนี้ก็หมายความว่าซุนเอ๋อร์ก็จะได้มีน้องชายหรือว่าน้องสาวแล้วใช่ไหมเพคะ?”
สมองของตู๋กูซิงหลันว่าตามอย่างมึนงง “จะเป็นเสด็จอาชายหรือว่าเสด็จอาหญิงกันนะ”
พูดแล้วนางก็อยากจะตบหน้าตนเองสักครั้ง ท้องบ้าท้องบออะไรกัน นางเป็นอะไรไปแล้วถึงไปต่อคำกับเด็กสาวตัวน้อย?
พอนางพูดประโยคนั้นออกไป ผู้คนทั้งหลายได้ฟังแล้วต่างก็คิดว่ายังไม่ทันบีบคั้นก็สารภาพออกมาด้วยตนเองเสียแล้ว
เหล่าย่วนยิ่งยิ้มกว้างเกลื่อนใบหน้าเ**่ยวๆ “ฝ่าบาททรงมีเรื่องมงคลต่อเนื่องจริงๆ หวงกุ้ยเฟยใกล้จะทรงมีพระประสูติกาล พระสนมก็ทรงพระครรภ์ขึ้นมา กระหม่อมขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอถวายพระพรฝ่าบาท”
เขาอายุมากถึงปานนี้แล้ว มือไม่นิ่งแล้ว วิชาแพทย์ก็แทบจะคืนไปหมดแล้ว
เหล่าตัวแสบในสำนักแพทย์หลวงต่างก็บอกกับเขาว่า วันนี้ต้องมาจับชีพจรถวายพระสนมที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานมากที่สุด พวกตนเกรงว่าจะศึกษาวิชาแพทย์มาไม่แตกฉานพอ เกิดมองไม่ออกว่าเป็นอะไรอาจทำให้ไปกระตุ้นพระพิโรธของฝ่าบาทเข้า
จึงได้แต่ต้องให้ผู้เฒ่ากระดูกผุเช่นเขาขึ้นเวทีด้วยด้วยตนเอง
โอ้ย… ตลอดทางมานี้เขาตื่นเต้นแทบตายแล้ว ตาก็ลายจนมึนงงไปหมด ขนาดว่าคนที่ข้างหน้าก็ยังเห็นหน้าไม่ชัด
ตอนที่จับชีพจรให้พระสนมผู้นั้น ก็รู้สึกว่าชีพจรลื่นไหลเป็นพิเศษ จะต้องเป็นเพราะว่าตั้งครรภ์เป็นแน่
พระสนมตั้งครรภ์ แล้วเขาก็เป็นผู้ตรวจเจอ หมอชรารู้สึกว่าวันนี้ตนช่างมีโชคดีไม่ธรรมดาจริงๆ
โดยมากหมอหลวงที่ตรวจพบว่าพระสนมตั้งครรภ์ ล้วนได้รับรางวัลจากฝ่าบาทอย่างงาม
เขาที่อายุปูนนี้ก็ไม่คิดขอสิ่งอื่นใดอีกแล้ว ขอเพียงได้อยู่อย่างสุขสบายในวังก็พอ
เหล่าย่วนกล่าวเพียงประโยคเดียว กลับทำให้ฝ่าบาททรงพระพักตร์ดำมืดกว่าเดิม
“เจ้าแน่ใจหรือว่าตั้งครรภ์จริงๆ?” จีเฉวียนนั่งอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน ดวงเนตรมีแต่เส้นเลือดสีแดง
“กระหม่อมศึกษาวิชาแพทย์มาหลายสิบปี ไม่เคยจับชีพจรผิดมาก่อนพะยะค่ะ” เหล่าย่วนกราบทูลออกไปอย่างมั่นใจ
ตู๋กูซิงหลันถูกคำพูดของเขาทำร้ายจนปางตายแล้ว นางพิงลงไปบนเบาะอ่อน นางกำลังคิดว่าเหล่าย่วนอาจจะถูกลูกสะใภ้น้อยๆ คนใดซื้อตัวไว้หรือไม่ ถึงได้จงใจหาเรื่องให้นางเช่นนี้
แล้วดูเจ้าลูกชายสุนัขของนางสิ….เกรงว่าป่านนี้ในใจคงคิดจะสับนางให้กลายเป็นเนื้อบดแล้วเอาไปเลี้ยงสุนัขแล้วกระมัง
“น้องเล็ก เป็นไอ้ชาติสุนัขตัวใดกัน?” ตู๋กูจุนเดินมาที่ข้างกายนาง ดาบใหญ่ในมือขยับครั้งหนึ่งก็ปักลงไปที่ข้างพระวรกายจีเฉวียน
น้องเล็กตั้งครรภ์เสียแล้ว คงจะต้องเป็นเพราะถูกจีเฉวียนบังคับเป็นแน่ ไอ้บุรุษที่ชอบปล้นชิงตามไฟ [1] ผู้นี้ หากไม่เอาชีวิตมันอย่างน้อยๆ ก็ต้องถลกหนังออกมา!
“อย่าไปกลัว พวกพี่อยู่นี่ จะต้องจัดการระบายโทสะให้เจ้าอย่างแน่นอน”
ตู๋กูเจวี๋ยเองก็พยักหน้า “เชือดเนื้อ ตัดหัว เจ้าบอกมาเลยว่าจะให้จัดการเจ้าบุรุษสุนัขนั่นเช่นไร?”
ในเมื่อมีพี่ใหญ่คอยหนุนหลังอยู่ข้างๆ เขาก็มีความกล้าขึ้นมาในทันที
จีเฉวียนกล้าบังคับหักหาญน้องเล็ก นี่ไม่เท่ากับว่าบีบให้พวกเขาก่อกบฏหรอกหรือ?
ตู๋กูซิงหลัน “….” พูดเสียอย่างกับว่านางกำลังท้องขึ้นมาจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น
นางอ้าปากขึ้นมา กำลังจะอธิบายออกไป ก็เห็นฮ่องเต้ทรงกำพระหัตถ์ของพระองค์เอาไว้อย่างแนบแน่น ตรัสท่ามกลางผู้คนว่า “เป็นเราเอง”
ผู้คน “……”
ตู๋กูซิงหลัน “???!!!”
วิญญาณทมิฬ “ชิบหายแล้ว! พวกเจ้าได้เสียกันตั้งแต่เมื่อไหร่? นี่ข้าถึงกับความจำเสื่อมไปหรือเปล่า? หรือว่าพวกเจ้าตบข้าจนสลบไปแล้วค่อยเล่นจ้ำจี้กัน?”
มันกล้าสาบานเลยนะว่า ตนเองไม่รู้สึกระแคะระคายอะไรเลย
หลันหลันเปิดกว้างเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
บอกนอนก็นอนกันเลย? นอนกันแล้ว? แถมยังนอนจนได้ลูกมาคนหนึ่ง?
แล้ว….ผู้เฒ่าซื่อมั่วนั่นจะทำอย่างไร?
“ฝ่าบาท…..พระองค์ทรงทำไปแล้ว แถมยังสำเร็จในครั้งเดียว?” หยวนเฟยมีหรือจะไม่กลัวตาย นางค่อยๆ ยื่นศีรษะออกมาจากในหมู่คนด้านข้าง ถามเบาๆ ด้วยความระมัดระวัง
องค์หญิงใหญ่รีบกระตุกเสื้อของนาง ดึงนางถอยออกมาด้านหลัง กลัวตายแล้วยังจะพูดมาก ก็คือคนอย่างหยวนเฟยนั่นเอง
ซูเม่ยหน้าเขียวคล้ำ น้ำตาหยดแหมะๆ “ฝ่าบาท พระองค์ช่างเป็นบุรุษไร้น้ำใจ หม่อมฉันอุ้มครรภ์ท้องโตเพียงนี้ พระองค์ก็ยัง….กระทั่งพระมารดาของตนเองก็ยังไม่ยอมวางมือ พระองค์ทรงทำให้หม่อมฉันต้องอับอาย และยังทำให้ไทเฮาต้องอับอายอีกด้วย?”
“หม่อมฉันทำกรรมอันใดเอาไวกัน ถึงได้ต้องมาเจอกับ….บุรุษ….เสเพล มิสู้ให้หม่อฉันกับบุตรในครรภ์โขกศีรษะกับกำแพงให้จบสิ้นไป!” ซูเม่ยพูดพลาง ก็หันไปพุ่งศีรษะเข้าไปที่หน้าต่างที่อยู่ใกล้ๆ ตู๋กูซิงหลัน
เขาเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า จงใจจะให้ตู๋กูซิงหลันรั้งเขาเอาไว้
“ซูเม่ย เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน” ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าตอนนี้ศีรษะของนางพองโตขึ้นมาอีกหลายเท่า
หากนางรู้ว่าเป็นฝีมือของลูกสะใภ้ตัวน้อยคนไหนละก็ นางจะต้องจับมาตีเสียให้เข็ด
“ฮือ ฮือ ฮือ ข้าไม่ฟัง ข้าไม่ฟัง” ซูเม่ยส่ายศีรษะอย่างไม่คิดชีวิต ร้องไห้น้ำตานองอย่างเจ็บช้ำ ราวกับสะใภ้ที่ถูกทอดทิ้งอย่างชอกช้ำ เขากอดตู๋กูซิงหลันเอาไว้ สูดจมูกเช็ดน้ำตาไปกับร่างของนาง
จะไม่ให้ชอกช้ำจนใจสลายได้อย่างไร ผักกาดขาวที่สวยงามที่สุดที่เขาคอยเฝ้าดูมาตั้งแต่เล็ก กับถูกไอ้หมูอย่างจีเฉวียนมารวบกินไปแล้ว!
แถมยังจะมีไอ้ลูกหมูออกมาอีก! นี่ไม่เท่ากับว่าขยี้หัวใจของเขาหรอกหรือ?
“ซูเม่ย เราคือโอรสสวรรค์ ย่อมต้องเผื่อแผ่สายพิรุณโดยทั่วถึง การแผ่ขยายกิ่งก้านของราชวงศ์คือหน้าที่ของเราในฐานะโอรสสวรรค์” จีเฉวียนลากตัวของเขาออกมาจากตู๋กูซิงหลัน “เจ้าเป็นพระสนมของเรา เอะอะโวยวายทำจะเป็นจะตายไปได้”
วิญญาณทมิฬ “สุดยอด ช่างเป็นบุรุษที่ไร้น้ำใจโดยแท้”
ซูเม่ยหลั่งน้ำตาเป็นสาย สองมือโอบกอดตู๋กูซิงหลันเอาไว้ แต่ก็ไม่กล้าใช้แรงมากเกินไป
ด้วยเกรงว่าตอนนี้นางท้องแล้ว หากว่าไม่ระมัดระวังอาจทำให้นางเกิดอันตรายได้ นั่นคงต้องย่ำแย่แน่ๆ
เช่นนี้เรี่ยวแรงของเขาจะไปสู้กับจีเฉวียนได้อย่างไร เพียงครู่เดียวก็ถูกจีเฉวียนลากออกไปด้านข้าง
จีเฉวียนประทับลงข้างกายตู๋กูซิงหลัน ดวงเนตรหงส์จดจ้องมองนาง ราวกับจะมองเข้าไปข้างในให้ทะลุปรุโปร่ง
พระองค์ไม่ทราบว่าเป็นใครที่กล้าแตะต้องนาง
แต่พระองค์ทรงรู้ว่า …..นางจะต้องไม่เต็มใจอย่างแน่นอน จะต้องทุกข์ทรมานอย่างมาก
นับตั้งแต่ตอนที่หายตัวไปจากแคว้นเซอปี่ซือ นางคงต้องรับความทุกข์ทรมานมาโดยตลอด ….พระองค์กลับมิได้อยู่เคียงข้างนางในยามที่นางตกระกำลำบาก นี่ถือเป็นความผิดของพระองค์
จีเฉวียนนอกจากจะทรงพิโรธอย่างรุนแรงแล้ว ก็ทรงปวดพระทัยอย่างที่สุด
หากว่าเป็นที่ผ่านมา สตรีคนใดในวังหลังกล้าสวมเขาให้พระองค์ คงต้องจบชีวิตลงอย่างอนาถยิ่งกว่าความตายเสียอีก
…………………
ไรท์ : ตอนต่อไป “……….” (อย่าพึ่งบอกดีไหม)
——
[1] 趁火打劫: คนที่ถือโอกาสซ้ำเติมผู้อื่นในยามเดือดร้อน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น