ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 345-349
บทที่ 345 อันธพาลแห่งฟาร์มปลา
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อเทียบกับเสี่ยวฮุยแล้ว การคำนวณของเชอร์ลี่ย์และเด็กๆ ที่เหลือนั้นสามารถอธิบายได้เพียงแค่คำว่า น่าเวทนาเหลือเกิน
เมื่อเห็นว่าหลานชายของตัวรายงานบัญชีรายรับของวันนี้ได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ พ่อแม่ของฉินสือโอวก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของพวกเขานั้น ก็บอกได้ว่าพวกเขาภูมิใจมาก
แต่เชอร์ลี่ย์และคนอื่นๆ ก็ไม่ได้สนใจอะไร คำนวณไม่เก่งแล้วอย่างไร พวกเขาก็มีความสุขเหมือนกันเวลาที่ได้เรียนหนังสือ
เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ ไฟที่อยู่ตามถนนเมืองเล็กๆ แห่งนี้ก็สว่างขึ้น เหล่านักท่องเที่ยวพากันเดินเล่นรอบเมืองเป็นกลุ่มๆ เพลิดเพลินกับบรรยากาศอันเงียบสงบและความสบายของเมืองริมทะเลแห่งนี้
บางครั้งก็มีแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปสว่างขึ้น บ่อยครั้งที่ผู้คนต่างชูสองนิ้วเป็นรูปกรรไกรในขณะที่ถ่ายรูป
พ่อของฉินสือโอวเดินไป แล้วพูดขึ้นมาอย่างเสียดายว่า “เหมือนกับตอนที่อยู่ในหมู่บ้านเมื่อแปดปีก่อนเลย ตอนนั้นผู้คนในหมู่บ้านก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่รีบร้อน ไม่วุ่นวาย ทุกคนใช้ชีวิตกันอย่างช้าๆ แม้ว่าจะไม่ได้กินของดีๆ แต่ก็ใช้ชีวิตทุกวันไปอย่างมีความสุข”
“ไม่มีเงินแต่มีความสุข” แม่ของฉินสือโอวพูดเสริม “แต่ว่าถ้าเทียบกับตอนนี้ถือว่าดีกว่านะ ไม่มีโรคระบาดมากมาย ธัญพืชก็ปลูกเองได้ ผักที่ปลูกทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน การเป็ดไก่และหมูทั้งหลายได้ พอตอนนี้มาคิดดูแล้ว ตอนนั้นก็ถือว่าดีอยู่เหมือนกัน”
ฉินสือโอวรีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “งั้นพ่อกับแม่มาอยู่ที่นี่ก็ได้น่ะสิ ที่ดินในฟาร์มปลามีตั้งเยอะแยะ อยากปลูกธัญพืชปลูกผักก็ทำได้เลย”
พ่อแม่ของเขารีบส่ายหัวปฏิเสธทันที โดยไม่มีช่องว่างให้ฉินสือโอวได้ลองคุยเลย
พี่สาวของเขาพูดกลั้วหัวเราะว่า “เสี่ยวโอว นายไม่รู้เหรอว่าสิ่งที่ทำให้พ่อกับแม่มีความสุขในช่วงเวลานั้นคืออะไร? ในเวลานั้นความสัมพันธ์ของผู้คนนั้นเป็นไปอย่างเรียบง่าย ที่นั่นพวกเขามีเพื่อนมีพี่น้อง การอยู่กับคนเหล่านั้นทำให้พวกเขามีความสุข”
ฉินสือโอวเข้าใจขึ้นมาทันที เขาจำได้ว่าตอนที่เขาเรียนชั้นประถม พ่อของเขามักจะออกไปดื่มน้ำชาและดูละครกับพวกเพื่อนๆ ของเขาทุกครั้งที่มีเวลาว่างในช่วงเย็น ตอนนั้นในหมู่บ้านมีโทรทัศน์จอสีมีแค่ไม่กี่เครื่องเท่านั้น เมื่อถึงตอนเย็น บ้านใครที่มีโทรทัศน์จอสี บ้านของคนคนนั้นก็จะคึกคักขึ้นมาทันที
ตอนนี้อย่าว่าแต่ทุกบ้านมีโทรทัศน์จอสีกันเลย โฮมเธียเตอร์หรือคอมพิวเตอร์ทุกบ้านก็มีเหมือนกันหมด รายการทีวีก็มีมากมาย น่าเสียดายที่ความสัมพันธ์ของคนในหมู่บ้านนั้นลดลง
ในเมื่อพวกเขาเข้ามาในเมืองแล้ว อาหารเย็นวันนี้พวกเขาเลยตัดสินใจหากินในเมืองเลย ฉินสือโอวพาพ่อกับแม่ไปกินพิซซ่า เบอร์เกอร์ และพาไปลองชิมซุปครีมหอย เมื่อเทียบกับอาหารมื้อใหญ่ที่บ้านแล้ว การกินอาหารที่หากินได้ง่ายๆ แบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่การพาคนที่ไม่เคยกินอย่างเช่นพ่อแม่ของเขามากินนั้น ถือว่าเป็นเรื่องดีเลยทีเดียว
เมื่อกลับถึงบ้าน พ่อและแม่ของฉินสือโอวก็รู้สึกเบื่อขึ้นมา พี่สาวของเขานั้นได้ดาวน์โหลดละครทีวีที่กำลังเป็นที่นิยมที่ประเทศจีนในขณะนี้ลงในฮาร์ดดิสก์และพกมาด้วย ฉินสือโอวจึงเปิดละครพวกนั้นให้พ่อแม่ของเขาดู แต่ว่าพวกเขานั้นก็ไม่ได้สนใจที่จะดู
กลับกลายเป็นเชอร์ลี่ย์และเด็กคนอื่นๆ ที่สนใจรายการทีวีพวกนั้นแทน ฉินสือโอวถามพวกเด็กๆ ว่าดูรู้เรื่องเหรอ เชอร์ลี่ย์จึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใสว่า “ดูไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ แต่หนูเรียนภาษาจีนจากในนี้ได้”
วินนี่ชงน้ำชามาให้พ่อของฉินสือโอว แล้วนำขนมกินเล่นอย่างถั่วพิสตาชิโอ เมล็ดทานตะวัน และถั่วพีแคนพวกนั้นมาให้แม่ของฉินสือโอว ทั้งสองคนชวนวินนี่มานั่งคุยด้วย หลังจากนี่คุยกันไปสักพัก พ่อของฉินสือโอวก็พูดขึ้นด้วยความหดหู่ว่า “เสี่ยวโอว พวกแกอาศัยอยู่ที่นี่ มันดูอ้างว้างไปหน่อยนะ”
ฉินสือโอวพูดกลั้วหัวเราะว่า “ที่ไหนกัน ตอนนี้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่อยากจะย้ายมาอาศัยอยู่ที่เมืองเล็กๆ แบบนี้จะตาย พวกเรามีที่ดินขนาดใหญ่ผืนหนึ่งที่ถมที่พร้อมสร้างบ้านแล้ว พวกเราจะขายให้พวกเจ้าของโครงใหญ่ๆ พวกนั้นโดยเฉพาะ”
พูดถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกกดดันขึ้นมาเล็กน้อย ฟาร์มปลาแกธเธอริงนั้นแทบจะทำเงินไม่ได้เลย เขาส่งคนไปเจรจากับเจ้าหน้าที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของฟาร์มปลาแกธเธอริงหลายครั้ง แต่ไม่มีใครสนใจเลย
พ่อของเขาส่ายหัว แล้วพูดออกมาด้วยความเป็นห่วงว่า “ลูกพ่อ แกบอกว่าที่นี่ถูกทิ้งร้าง หากมีคนไม่ดีย่องเข้าไปขโมยปลาของแกตอนกลางคืน…”
แม่ของเขาตีไปที่พ่อหนึ่งที แล้วพูดขึ้นมาด้วยความโมโหว่า “พูดอะไรไร้สาระ ไม่เป็นมงคลเลย”
ฉินสือโอวหยิบแปลนก่อสร้างขึ้นมา แล้วอธิบายว่า “ไม่ต้องกลัวไป ฟาร์มปลาของพวกเราติดกล้องวงจรปิดไว้ครอบคลุมไปทั่วฟาร์มปลาเลย หากใครเข้ามาผมก็จะรู้ได้หมด”
“อีกอย่าง พวกเรามีปืนด้วย” วินนี่พูดเสริมว่า “เรื่องความปลอดภัยนั้นไม่เป็นปัญหาเลยค่ะ”
เมื่อแม่ของฉินสือโอวได้ยินดังนั้น ก็พูดขึ้นมาว่า “ที่นี่พวกแกมีทั้งแม่น้ำทั้งทะเล ทำไมถึงไม่เลี้ยงห่านไว้สักฝูงล่ะ”
ฉินสือโอวนิ่งไปครู่หนึ่ง และถามอย่างสงสัยว่า “เลี้ยงห่านเหรอ?”
แม่ของเขาพยักหน้า แล้วพูดขึ้นว่า “ใช่แล้ว พวกห่านเลี้ยงไม่ยากเลยนะ พวกมันหาอาหารกินเองได้ อีกอย่างพวกมันไม่สกปรก เวลาถ่ายก็ถ่ายในแม่น้ำ ที่สำคัญคือพวกมันเป็นสัตว์ที่ช่วยดูแลบ้านได้อย่างดีเลยนะ ดีกว่าหมาตั้งเยอะ”
“แถมยังกินเนื้อพวกมันได้อีกด้วย พอมันกินได้พวกแกก็เอามาตุ๋นทำซุปห่าน ทั้งอร่อยและบำรุงร่างกายได้ ถ้ากินไม่หมดก็เอาไปทำขายได้เงินดีด้วยนะ” พ่อของเขาพูดออกมาอย่างเห็นด้วย
ฉินสือโอว วินนี่รวมถึงชาร์คและคนอื่นๆ หันมาปรึกษากัน พวกเขารู้สึกว่าคำแนะนำนี้ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว ที่ดินบริเวณฟาร์มปลานั้นเป็นพื้นหญ้าและชายหาด เหมาะจะเป็นที่อาศัยของห่านอย่างมาก
ตอนที่ฉินสือโอวยังเด็กที่บ้านของเขานั้นทำปศุสัตว์ขนาดใหญ่ หากไม่สนใจว่าท่าทางของห่านนั้นจะดูโง่เง่า ความจริงแล้วพวกมันฉลาดมาก นอกจากนี้ยังช่วยเฝ้าบ้านได้ดีอีกด้วย หากมีคนแปลกหน้าเข้ามาล่ะก็มันจะส่งเสียงร้องเสียงดังทันที หลายครอบครัวที่ทำไร่ พวกเขาจะฝึกห่านให้เหมือนสุนัข ไว้คอยเฝ้าบ้านและยังกินไข่มันได้อีกด้วย
เมื่อพูดแล้วก็ต้องลงมือทำ วันต่อมาฉินสือโอว ชาร์คและคนอื่นๆ ก็ไปยังนครเซนต์จอห์นเพื่อไปยังฟาร์มสัตว์ปีกแห่งหนึ่ง ฟาร์มสัตว์ปีกแห่งนี้ใหญ่มาก ไม่ว่าจะเป็นไก่เป็ดห่านพวกเขามีหมด นอกจากนี้ยังมีสัตว์ปีกพวกนกกระทา นกพิราบ ห่านเทาปากดำ หรือแม้แต่ ไก่ฟ้าและไก่ฟ้าสีทองก็ยังมี
เมื่อพนักงานรู้ว่าฉินสือโอวต้องการซื้อห่าน เขาก็รีบแนะนำทันทีว่า “พวกเราเลี้ยงห่านสายพันธุ์เอ็มเด็นและห่านโทรเลาซ์เป็นหลัก ห่านสายพันธุ์เอ็มเด็นนั้นเป็นพันธุ์ที่ออกไข่ค่อนข้างเยอะ อายุสิบเดือนก็สามารถออกไข่ได้แล้ว จากนั้นพวกมันจะออกไข่สองถึงสามครั้งต่อเดือน…”
“ห่านโทรเลาซ์นั้นเป็นห่านที่โตเร็ว หากว่าอยากกินฟัวร์กราส์ เลือกห่านชนิดนี้ถือว่าดีที่สุด พวกมันเป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดตัวใหญ่ที่สุดในโลก”
ฉินสือโอวเดินตามพนักงานที่กำลังพูดแนะนำไปเรื่อยๆ ห่านพวกนี้มีขนาดใหญ่มากจริงๆ ห่านตัวโตเต็มไวสามารถมีขนาดถึงหนึ่งเมตร เมื่อมันสยายปีกออกแล้วทำให้ดูเหมือนเครื่องบินลำเล็กๆ
แต่ว่าเรื่องที่ทำให้ฉินสือโอวผิดหวังก็คือ ห่านพวกนี้ซื่อสัตย์เกินไป เหมือนกับเลี้ยงไก่เนื้อก็ไม่ปาน พวกมันนอนอยู่ในฟาร์มนิ่งแทบไม่ขยับไปไหนเลย นอกจากตอนให้อาหารพวกมันถึงจะรีบเข้ามาทันที แต่เมื่อกินเสร็จก็กลับไปอยู่นิ่งๆ เหมือนเดิม
ฉินสือโอวพูดความต้องการของตัวเองออกมา “ผมไม่ได้อยากให้พวกมันโตเร็วหรือว่าออกไข่ได้เยอะ พวกคุณมีห่านที่ต่อสู้เก่งไหม?”
“ต่อสู้? ห่านนักสู้เหรอ?” พนักงานถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
ฉินสือโอวนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ห่านนักสู้คือห่านอะไรครับ?”
แค่ชื่อก็รู้แล้วว่าเก่งกาจแค่ไหน คงจะใช้มันเฝ้าบ้านได้ไม่เป็นปัญหาแน่นอน
พนักงานคนนั้นอธิบายให้ฟังว่า “ห่านนักสู้ไม่ได้เป็นชื่อสายพันธุ์ห่าน แต่เป็นกีฬาชนิดหนึ่ง เป็นการแข่งขันห่านของประเทศมาซิโดเนีย ทุกปีเมืองสโกเปีย ประเทศมาซิโดเนียจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันห่านขึ้น โดยไม่มีการกำหนดสายพันธุ์ของห่าน ขอเพียงพวกมันเป็นห่านที่ดุร้ายก็พอ”
พนักงานยังคงอธิบายต่อไปว่า “การแข่งขันห่านโดยปกติแล้วพวกเขาไม่เลือกใช้ห่านบ้านกัน แต่พวกเขาจะเลือกห่านเทาปากชมพูและห่านเทาปากดำที่ฝึกง่ายกัน แต่มันเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย เพราะสองสายพันธุ์นี้เป็นสัตว์คุ้มครอง”
ฉินสือโอวให้พนักงานคนนั้นเลือกห่านมาสายพันธุ์หนึ่งที่เหมาะกับความต้องการของเขา พนักงานคนนั้นโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันมาพูดกับฉินสือโอวว่า “ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เขาเลี้ยงห่านหัวสิงโตไว้อยู่ มันเป็นสายพันธุ์ลูกผสมของห่านหัวสิงโตกับห่านสายพันธุ์จีน การเคลื่อนไหวของพวกมันแข็งแกร่งมาก คุณลองไปดูได้”
ฉินสือโอวไปยังฟาร์มสัตว์ปีกอีกแห่งหนึ่ง ที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ หลังจากที่พวกเขาขับรถไปถึง ชายสูงวัยเชื้อสายจีนคนหนึ่งก็ออกมาต้อนรับเขา ฉินสือโอวคุยกับเขาอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้รู้ว่าเขานั้นเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน เป็นชาวเมืองหลูเป่ย
เมื่อรู้ว่าฉินสือโอวนั้นสนใจห่านลูกผสมที่เขาเลี้ยงเอาไว้นั้น ชายสูงวัยคนนี้ก็พูดขึ้นว่า “ผมขอบอกคุณก่อนว่า ห่านชนิดนี้เลี้ยงยาก พวกมันชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง นิสัยดุร้ายราวกับสัตว์ป่า ชอบจู่โจมคน ถ้าคุณอยากเลี้ยงพวกมันไว้ที่ฟาร์มปลา เจ้าพวกนี้ก็จะกลายเป็นอันธพาลแห่งฟาร์มปลา!”
…………………………………………….
บทที่ 346 เรื่องวุ่นในฟาร์มปลา
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อฉินสือโอวได้ฟังคำแนะนำ เขาก็พูดมาอย่างชอบใจว่า “ผมต้องการห่านสายพันธุ์นี้”
ชายแก่มองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ ถ้าหากว่าเลี้ยงห่านหนึ่งคู่ก็พอจะเข้าใจได้ แต่นี่ต้องการเลี้ยงเป็นฝูง เอาไปทำอะไรกันนะ?
ฉินสือโอวพูดกลั้วหัวเราะว่า “ผมมีฟาร์มปลาอยู่ที่หนึ่ง พื้นที่ค่อนข้างกว้าง การเลี้ยงฝูงห่านจะช่วยให้เป็นที่นิยมมากขึ้น และห่านยังช่วยเฝ้าบ้านได้อีกด้วย”
ชายแก่คิดได้ในทันที เขาตอบกลับว่า “ถ้าเป็นแบบนั้น คุณต้องการห่านหัวสิงโตแบบไหน ผมมีตัวที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณอยู่ ห่านไท่หู! อย่ามองว่ามันตัวเล็ก แต่ว่าห่านสายพันธุ์นี้นั้นแข็งแกร่งกว่าห่านหัวสิงโตหลายเท่า เมื่อก่อนผมเคยเลี้ยงพวกมันจำนวนหนึ่งไว้เป็นหมาเฝ้าประตู ทุกคนต่างโดนห่านไท่หูนี้ไล่หนีไปหมด”
ภายใต้การนำของชายแก่ที่พาฉินสือโอวไปเดินดูฟาร์มนั้น ฟาร์มที่นี่ถูกแบ่งเป็นหลายๆ ส่วน ส่วนใหญ่นั้นเป็นพื้นที่ที่เป็นดินโคลนและบึง ห่านฝูงใหญ่หลายฝูงเดินไปทั่วพื้นที่แห่งนี้
เมื่อเทียบกับฟาร์มก่อนหน้านี้ ห่านของที่นี่ดูดุร้ายกว่ามาก ส่วนใหญ่แล้วพวกมันจะเดินไปมา บางครั้งเมื่อพวกห่านเดินชนกันพวกมันก็ส่งเสียงร้องแล้วเริ่มต่อสู้กัน
จากที่ชายแก่แนะนำ ห่านตัวเล็กที่มีขนสีขาวพวกนั้นที่ทุกคนกำลังเห็นอยู่ในตอนนี้
เมื่อเทียบกับห่านเอ็มเด็นและห่านโทรเลาซ์ที่สามารถสูงได้ถึงขึ้นหนึ่งเมตรแล้วนั้น ห่านสายพันธุ์นี้ถือว่าตัวเล็กกว่า สูงได้เพียงครึ่งหนึ่งของสองสายพันธุ์นั้นเท่านั้น ขนของพวกมันนั้นเป็นสีขาวราวหิมะ แต่ขนบริเวณรอบดวงตาและที่คอนั้นเป็นสีดำ มีหงอนขนาดเล็กสีเหลืองอยู่ที่ด้านบนหัว ดูกระฉับกระเฉง ท่าทางในการกางปีกนั้นสวยงามมาก
“ห่านสายพันธุ์นี้ต่อสู้ได้ใช่ไหม?” ฉินสือโอวถามคำถามที่ตัวเองสงสัยออกมา
ชายแก่ยิ้มออกมา เขาทำเสียงเลียนแบบห่าน จากนั้นเจ้าห่านพวกนั้นก็วิ่งมาทางเขาทันที พวกมันเบียดกันเข้ามาเพื่อเข้าใกล้ชายแก่มากขึ้น พวกมันคิดว่าถึงเวลากินอาหารแล้ว
รั้วตาข่ายที่สร้างขึ้น ห่านไท่หูไม่สนใจความแข็งแรงของตาข่ายพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย ชายชราเอื้อมมือที่กำอยู่ออกมาแล้ววางไว้ที่พื้นเพื่อส่งสัญญาณให้ฉินสือโอวเตะห่านเหล่านั้น
ฉินสือโอวลองยื่นเท้าออกไปเตะเบาๆ ที่ห่านตัวใหญ่สีขาวหนึ่งทีด้วยความสงสัย ห่านตัวใหญ่ตัวนั้นสยายปีกและร้องตอบกลับออกมาสองสามครั้งทันที ฉินสือโอวยังคงไม่พูดอะไรออกมา
ผลปรากฏว่าผ่านไปไม่นาน ห่านสีขาวตัวใหญ่ตัวนั้นก็พุ่งเข้ามา ราวกับสุนัขที่ดุร้ายก็ไม่ปาน ปากของมันยังคงส่งเสียงร้องออกมาไม่หยุด ปากสีส้มของมันนั้นอ้ากว้าง แล้วพุ่งเข้ามายังเท้าของฉินสือโอวที่เป็นเป้าหมายอย่างดุร้าย มันสะบัดปากของตัวเองแล้วกัดเข้าที่เท้าของเขาทันที
ฉินสือโอวรีบถอยหลังหนีไป แต่ห่านตัวนั้นไม่ยอมปล่อยเขาไป มันวิ่งไล่ศัตรูอย่างแน่วแน่ด้วยความกล้าหาญ ห่านตัวนั้นกระพือปีกและใช้เท้าขนาดใหญ่ของมันวิ่งไล่หลังมาติดๆ เสียงร้องของมันนั้นสูงแหลม น้ำเสียงทรงพลังเป็นอย่างมาก ทำเอาฉินสือโอวเกือบจะฉี่ราด
ข้างในรั้วตาข่าย ฝูงห่านสีขาวและตัวที่อยู่ด้านนอกที่เป็นเพื่อนร่วมสายพันธุ์กันนั้นกำลังร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู เสียงร้อง ‘แคว๊กแคว๊ก’ ดังขึ้น ปีกของพวกมันกระพือไปมา ราวกับกำลังก่อจลาจลอยู่
ชายแก่สั่งให้ห่านสีขาวตัวใหญ่ตัวนั้นปล่อยฉินสือโอว เขาพูดกลั้วหัวเราะว่า “เป็นยังไง ห่านพวกนี้เก่งพอไหม?”
ฉินสือโอวรีบพยักหน้า แล้วพูดขึ้นว่า “เอาห่านสายพันธุ์นี้แล้วกัน มีกี่ตัว ผมก็เอาทั้งหมด”
ชายแก่ตอบกลับว่า “ห่านโตเต็มวัยที่อายุมากกว่าสิบเดือนมีทั้งหมดแปดสิบตัว ส่วนลูกห่านมีร้อยห้าสิบตัว คุณต้องการห่านแบบไหน? ผมแนะนำว่าควรเป็นห่านที่โตแล้ว อีกไม่นานก็จะเข้าฤดูหนาวแล้ว ลูกห่านจะไม่สามารถรอดผ่านฤดูหนาวไปได้”
“ผมต้องการทั้งหมด” เป็นอีกครั้งที่ฉินสือโอวแสดงถึงสไตล์การใช้เงินฟุ่มเฟือยของตนเอง
เมื่อมาคิดดูแล้ว พื้นที่ฟาร์มปลานั้นออกจะมากมาย ห่านสองร้อยตัวก็ใช้พื้นที่ไม่เท่าไรเอง ฉินสือโอวสนใจห่านหัวสิงโตที่มีจำนวนมากกว่า
ห่านหัวสิงโตนี้ตัวใหญ่มาก ห่านสายพันธุ์นี้เมื่อโตเต็มวัยจะมีน้ำหนักถึงแปดเก้าสิบกิโลกรัม ร่างกายแข็งแรง เสียงร้องทรงพลัง เมื่อเทียบราคาขายกับห่านโทรเลาซ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นห่านที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลกแล้วนั้นไม่ได้ต่างกันมาก
ห่านหัวสิงโตพวกนี้มีจำนวนที่มากกว่า ห่านโตเต็มวัยมีร้อยหกสิบตัว ลูกห่านอีกสี่ร้อยกว่าตัว
อย่ามองว่าห่านไท่หูนั้นตัวเล็ก แต่ราคาของมันนั้นสูงมาก ราคาของมันอยู่ที่สิบสี่ดอลลาร์แคนาดาต่อหนึ่งปอนด์ ส่วนห่านหัวสิงโตนั้นเพียงแค่สิบสองดอลลาร์แคนาดาเท่านั้น
ฉินสือโอวนั้นขี้เกียจที่จะคำนวณ เขาซื้อห่านโดยยึดจำนวนที่มากที่สุด ห่านไท่หูที่โตเต็มวัยตกตัวละร้อยยี่สิบดอลลาร์แคนาดา ส่วนลูกห่านนั้นยี่สิบดอลลาร์แคนาดา ห่านหัวสิงโตเต็มวัยตัวละสองร้อยหยวน และลูกห่านราคาสิบดอลลาร์แคนาดา
ฝูงห่านที่คละขนาดกันนั้น มีทั้งหมดแปดร้อยตัว ฉินสือโอวจ่ายเงินไปทั้งหมดห้าหมื่นดอลลาร์แคนาดา
เงินจำนวนห้าหมื่นดอลลาร์แคนาดานี้ ทำให้ชายแก่ดีใจเป็นอย่างมาก ห่านพวกนี้เป็นสายพันธุ์ที่เขาทุ่มแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อนำเข้ามาจากประเทศจีน เนื่องจากเนื้อของพวกนั้นอร่อย เดิมทีเขาคิดจะสร้างแบรนด์เนื้อห่านของตัวเองในแคนาดา
แต่ใครจะรู้ว่าคนพื้นที่ที่นี่นั้นไม่สนใจกินเนื้อห่าน ที่พวกเขากินคือฟัวร์กราส์ ตับห่านไท่หูนั้นไม่เหมาะที่จะนำไปทำอาหาร และห่านหัวสิงโตที่แม้ว่าจะตัวใหญ่ แต่ตับของมันนั้นไม่ได้อร่อยมาก ที่ฉินสือโอวมารับพวกมันไปทั้งหมดนั้น ถือว่าเป็นการช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้เขาได้เป็นอย่างดี
ฉินสือโอวเสียเงินอีกหกพันกว่าดอลลาร์แคนาดาในการเช่ารถและเรือ บ่ายวันนั้นห่านเหล่านั้นก็ถูกส่งไปยังฟาร์มปลาอย่างยิ่งใหญ่
เมื่อใกล้ถึงฟาร์มปลา ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องส่งห่านพวกนั้นถึงบนฝั่ง เรือที่ขนพวกมันมาสามารถเปิดกรงเหล็กแล้วปล่อยพวกมันลงทะเลได้เลย
ทันใดนั้น บริเวณน่านน้ำของฟาร์มปลาก็ราวกับเป็นการเปิดหม้อต้ม ห่านขนาดเล็กใหญ่จำนวนแปดร้อยตัวนั้นลอยตัวอยู่กลางทะเล เสียงร้องของมันดังสนั่นหวั่นไหว จนแทบจะพลิกทะเลแห่งนี้เป็นฟาร์มห่าน
หลังจากที่ปล่อยห่านทุกตัวลงทะเลแล้ว งานของก็ฉินสือโอวก็สิ้นสุดลง เรือส่งห่านก็กลับไปแล้ว
พวกห่านไม่ได้ต่อสู้กันในทันที พวกมันรีบหนีออกจากคลื่นทะเลพวกนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ไม่นาน พวกห่านก็ขึ้นมาอยู่บนชายหาด
พวกของฉินสือโอวพากันมามองดูห่านที่ชายหาดกันอย่างสนอกสนใจ ห่านจำนวนสิบกว่าตัวหลังจากที่ขึ้นมาบนชายหาด พวกมันก็สะบัดขนของตัวเอง จากนั้นก็เดินเลียบชายฝั่งไปเรื่อยๆ
หู่จือ เป้าจือและฉงต้ามองไปยังห่านตัวอ้วนพวกนั้นด้วยความสนุกสนาน พวกมันตัดสินใจวิ่งเข้าไปหยอกล้อห่านพวกนั้น
เมื่อเห็นว่าเจ้าสุนัขพวกนั้นวิ่งเข้าไปอย่างสนุกสนาน ฉินสือโอวก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน ที่ชายฝั่งนี้เป็นพื้นที่ของห่านไท่หูฝูงใหญ่นะ เขารู้ถึงความเก่งกาจของห่านพวกนั้นดี เพราะเขาสัมผัสประสบการณ์ตรงมาแล้ว
ฉินสือโอวอยากจะหยุดพวกมัน แต่หู่จือนั้นเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว และได้เข้าไปอยู่ในฝูงห่านแล้ว มันยกอุ้งเท้าขึ้นตะปบ ดัง ‘พั่บ’ ลงไปที่คอของห่านตัวหนึ่ง หลังจากนั้นมันก็กระโดดถอยออกมา แล้วก็กระโดดเข้าไปอีกครั้งหวังจะใช้อุ้งเท้าตะปบเข้าไปที่ห่านตัวใหญ่อีกหนึ่งตัว
“แคว๊ก แคว๊ก!” ห่านทั้งฝูงเกิดอาการโมโหขึ้นมาทันที ห่านตัวหนึ่งโก่งคอไปข้างหน้า ราวกับงูที่ตั้งท่าจะพุ่งเข้าฉก มันอ้าปากอันแหลมคมของตัวเองแล้วกัดเข้าไปที่แก้มของหู่จือ แล้วบิดอย่างรุนแรง…
“เอ๋ง…” หางของหู่จือนั้นตกลงทันที มันรู้สึกเจ็บเป็นอย่างมาก ผิวหนังบนใบหน้าของสุนัขลาบราดอร์นั้นอ่อนโยนเป็นอย่างมาก โดนห่านไท่หูกัดเข้าไปแบบนี้ ฉินสือโอวรู้สึกเจ็บแทนหู่จือขึ้นมาทันที!
ที่เลวร้ายไปกว่านั้น คือหู่จือนั้นฆ่าตัวตายโดยการกระโดดเข้าไปฝูงห่าน ทำให้โดนห่านโจมตีทั่วทุกทิศ ปากเหล่านั้นจิกเข้ามาราวกับห่าฝนทั่วร่างกายของมัน หู่จือนั้นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดไม่หยุด
เมื่อเป้าจือที่พึ่งมาถึงฝูงเป็ดได้ยินเสียงร้องอันเจ็บปวดของน้องชายตนเอง มันก็รีบเบรกฝีเท้าของตัวเองทันที ดวงตากลมโตอันน่ารักของมัน กำลังมองไปยังห่านตัวหนึ่งที่กำลังอ้าปากแล้วหันมาทางนี้!
“เอ๋ง เอ๋ง!” เป้าจือร้องออกมาด้วยความกลัว มันรีบวิ่งกลับไปทางเดิมทันที หู่จือใช้ประโยชน์จากจังหวะนี้ กลิ้งตัวออกมาจากบริเวณนั้น แล้ววิ่งสะบัดหางกลับมาอย่างรวดเร็ว
ห่านไท่หูที่ถูกทำให้โมโหนั้นจะไม่ยอมปล่อยศัตรูของตนไปง่ายๆ พวกมันเริ่มเดินตามหลังเจ้าสุนัขสองตัวที่วิ่งไปอย่างช้าๆ พวกมันดูทรงพลังมากขึ้น ห่านตัวใหญ่แต่ละตัวนั้นสยายปีกแล้ววิ่งตามข้างหลังอย่างรวดเร็ว เสียงร้องของห่านดังออกมาไม่หยุด เหมือนฝูงเสือตัวเล็กๆ เลย!
ฉงต้ามองดูเหตุการณ์นั้นไม่วางตา เนื่องจากมันเคลื่อนไหวช้าจึงไม่ได้ปะทะเข้ากับฝูงห่านพวกนั้น เมื่อเห็นหู่จือกับเป้าจือโดนตามล่า มันก็รีบกลับไปที่เดิมทันที
ห่านตัวใหญ่พวกนี้ควรได้รับสมญานามว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม เมื่อห่านอยู่รวมกันเป็นฝูง ยังดุร้ายกว่าฝูงหมาป่าเสียอีก แม้แต่ฉงต้าที่มีขนาดตัวที่ใหญ่ เมื่อถูกฝูงห่านไล่ก็ยังอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้!
วินนี่มองเหตุการณ์นั้นอย่างรู้สึกปวดใจเป็นที่สุด “ต่อไปจะอาบน้ำให้ฉงต้าทุกวันไม่ได้แล้ว จิตวิญญาณของหมีสีน้ำตาลนั้นไม่มีอีกแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกห่านคงไม่กล้ามารบกวนมันหรอก…”
ฉินสือโอวร้อนรนเป็นอย่างมาก เขาคิดหาวิธีที่จะปกป้องฉงต้าและสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ แต่ว่าหลังจากนี้ เรื่องที่ทำให้เขากังวลนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว การต่อสู้ของฝูงห่าน!
………………………………………………..
บทที่ 347 อำนาจของนิมิตส์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในตอนที่อยู่ที่ฟาร์มสัตว์ปีกนั้น ฉินสือโอวดูไม่สนว่าห่านไท่หูหรือว่าห่านหัวสิงโตพันธุ์ไหนจะร้ายกาจมากกว่ากัน แต่เมื่อพวกมันสองสายพันธุ์อยู่รวมกันแล้ว พวกมันนั้นสงบเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงได้ซื้อห่านมามากมายแบบนี้
แต่เมื่อมาถึงที่ฟาร์มปลา เมื่อพวกมันสองสายพันธุ์อยู่รวมกัน กลับเกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โต!
วุ่นวายอุตลุดไปหมด!
จนการต่อสู้ได้เริ่มขึ้น!
ห่านขาวทั้งสองสายพันธุ์ในตอนที่ถูกปล่อยลงทะเลก็ยังดีๆ กันอยู่ พวกมันต่างพากันวุ่นวายอยู่กับการว่ายขึ้นมาบนฝั่ง หลังจากที่พวกมันขึ้นฝั่งกันอย่างสงบแล้วครู่หนึ่ง ห่านไท่หูก็เริ่มโจมตีก่อน มันชูคอของตัวเองขึ้นไปกัดห่านหัวสิงโต
ห่านหัวสิงโตนั้นก็ไม่ได้อ่อนแอ แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้ต่อสู้เก่งเหมือนห่านไท่หู แต่ร่างของพวกมันนั้นใหญ่กว่า พลังมากกว่า จำนวนก็มากกว่าด้วยเช่นกัน จากนั้นห่านหัวสิงโตสองสามตัวก็เข้าไปล้อมห่านไท่หูตัวหนึ่งแล้วเริ่มรุมกัดมัน
แม้ว่าห่านไท่หูจะเป็นคนเริ่มเปิดศึก แต่พวกมันไม่ได้เป็นฝ่ายได้เปรียบ ปัญหาใหญ่ที่สุดของพวกมันคือพวกมันแยกย้ายกันต่อสู้ แบบนี้จำนวนของห่านหัวสิงโตยิ่งสร้างความได้เปรียบมากขึ้น ห่านหัวสิงโตมักจะไล่ล่าห่านไท่หูทีละตัว แล้วจากนั้นก็รุมกัดพวกมัน
แบบนี้ต่อให้เป็นฉงต้า หู่จือและเป้าจือจะได้รับการปลดปล่อยออกมาแล้ว แต่การต่อสู้ระหว่างห่านสองสายพันธุ์ก็มากขึ้นเรื่อยๆ ห่านไท่หูที่ไล่พวกสุนัขอยู่นั้นหันกลับไปช่วยเพื่อนของตนเอง
พวกของฉงต้าที่รอดจากการถูกไล่แล้ววิ่งมาหยุดอยู่ข้างฉินสือโอวทั้งที่ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ พวกมันพากันวิ่งปีนขึ้นมาที่สูงเพื่อปกป้องตัวเอง
หู่จือนั้นน่าสงสารเป็นที่สุด ขนสีทองอ่อนนุ่มของมันขาดเป็นกระจุกๆ วีรบุรุษผู้สง่าผ่าเผยได้หายไปแล้ว เหลือไว้เพียงแค่สุนัขตัวหนึ่งที่อยู่ในสภาพดูไม่ได้ วินนี่กอดหู่จือ ส่วนมันก็ร้องครางออกมาเบาๆ อย่างน่าสงสาร
ฉงต้าก็อยากให้ฉินสือโอวปลอบมันด้วยเช่นกัน แต่ฉินสือโอวนั้นกำลังร้อนใจกับการต่อสู้ที่ชายหาด แล้วเขาจะมีเวลาว่างที่ไหนมาเล่นกับมันกัน? เมื่อฉงต้าขึ้นมาจากชายหาด มันก็ยกอุ้งเท้าตะปบเข้าที่ก้นของหู่จือเบาๆ เพื่อที่จะให้หู่จือออกจากอ้อมกอดของวินนี่
พ่อของฉินสือโอวรีบวิ่งมาอย่างร้อนใจ แล้วพูดขึ้นว่า “ไอ้เด็กเวร ทำไมแกพาห่านกลับมาถึงสองฝูงฮะ? ห่านขาวนั้นหวงอาณาเขตมากที่สุด นอกจากเจ้าของแล้ว ใครที่เข้าไปในที่ของมัน มันก็จะกัดคนคนนั้น ไม่อย่างนั้นคนเขาจะเลี้ยงพวกมันไว้เฝ้าบ้านทำไม?”
แม่ของฉินสือโอวพูดขึ้นด้วยความร้อนรนว่า “แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรดี?”
นางเลี้ยงไก่เป็ดห่านมาครึ่งชีวิต มีประสบการณ์มากมายในการเลี้ยงสัตว์ปีก แต่ตอนนี้เกิดการต่อสู้ของห่านทั้งแปดร้อยตัว แน่นอนว่า ยังมีลูกห่านอีก เจ้าห่านตัวเล็กๆ พวกนี้ก็สามารถต่อสู้ได้ พวกมันตามห่านตัวใหญ่เข้าไปร่วมวงต่อสู้ด้วย จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้นั้นไม่ได้น้อยหน้ากว่าตัวใหญ่เลย
สถานการณ์การต่อสู้อุตลุดเช่นนี้ เหมือนกับการต่อสู้ที่เคยเกิดขึ้นในชนบท แต่แม่ของฉินสือโอวที่เป็นคนชนบทนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรได้
เมื่อปอหลัวที่นอนอาบแดดอยู่บนพื้นหญ้าเห็นการต่อสู้ที่วุ่นวายบนชายหาดมันก็นึกสนุกวิ่งเข้าไปร่วมด้วย ผลที่ได้นั้นไม่ต่างกัน ห่านหัวสิงโตตัวหนึ่งหันมาอ้าปากร้องใส่มัน
นี่อาจจะเป็นภัยพิบัติสำหรับมันที่ทำแบบนี้ เพราะปอหลัวคือใครกันล่ะ? เจ้าหนุ่มขี้หงุดหงิดคนนี้ ยกเท้าหน้าที่มีกีบของมันขึ้นเตะห่านตัวนั้นเพราะความเจ็บปวด ทำให้ห่านตัวนั้นลอยขึ้นบนฟ้าราวกับเครื่องบิน ร่างของมันลอยห่างไปไกล
แต่ว่ามันไม่ได้สร้างความเจ็บให้ห่านขาวมากนัก เพราะว่าห่านก็คือสัตว์ปีกชนิดหนึ่ง แม้ว่ามันจะไม่สามารถบินได้ แต่มันก็มีปีก หลังจากที่ถูกเตะมันก็กระพือปีกไปมาสองที แล้วตกลงบนทรายอย่างนุ่มนวลและไม่ได้บาดเจ็บอะไร
ห่านขาวไม่เป็นอะไร แต่ปอหลัวนั้นเป็น
ห่านหัวสิงโตนั้นสามัคคีกันเป็นอย่างมาก เมื่อพวกมันเห็นปอหลัวเตะเพื่อนของตัวเอง ห่านตัวใหญ่ที่อยู่รอบๆ ก็ส่งเสียงร้องออกมาทันที ราวกับเสียงคลื่นที่ซัดไปมา ห่านขาวหลายสิบตัวนั้นพุ่งเข้าไปล้อมปิดตายปอหลัวทันที
เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ฉงต้าก็ปล่อยอุ้งเท้าหน้าที่กำลังกอดวินนี่อยู่ แล้วยกอุ้งเท้าขึ้นปิดตาของตัวเองอย่างรวดเร็ว หู่จือและเป้าจือก็หดคอของตัวเอง ตาเล็กๆ ของพวกมันหลับตาปี๋อย่างไม่สามารถทนดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้าได้
แม้กวางกวางอูฐจะเป็นสัตว์ป่าที่มีผิวหนังหนาและหยาบกร้าน แต่ก็ไม่สามารถทนพลังการโจมตีของเหล่าห่านขาวพวกนี้ได้ มันร้องขึ้นมาอย่างเจ็บปวด ปอหลัวนั้นวิ่งฝ่าฝูงห่านขาวที่อยู่ด้านหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อมันเห็นทะเลที่อยู่ข้างหน้า มันก็คิดได้ว่าผืนทะเลนี้เป็นที่ของมัน… สิ่งที่สัตว์ป่าที่ใช้ชีวิตบนบกอื่นๆ ไม่สามารถทำได้เหมือนกวางอูฐคือ ทักษะในการว่ายน้ำและการดำน้ำ ปอหลัวไม่ลังเลเลยที่จะกระโจนลงไปในน้ำทะเล
น่าเสียดายที่ครั้งนี้มันคิดผิด ที่ของห่านหัวสิงโตก็เป็นในทะเลเช่นเดียวกัน…
นีลเซ็นคิดแผนบางอย่างขึ้นมาได้ จึงพูดออกมาว่า “บอสครับ พวกเราไปเอาปืนมา แล้วยิงปืนสักสองนัดขึ้นฟ้าอาจจะทำให้พวกมันแยกย้ายได้”
“มันจะได้ผลไหม?”
“ตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นแล้วครับ พวกเราทำได้เพียงลองดูเท่านั้น”
ฉินสือโอวที่กำลังจะวิ่งเข้าไปในบ้านนั้น ก็เห็นนิมิตส์ที่ออกไปบินเที่ยวเล่นข้างนอกกลับมาพอดี มันเหมือนกับเป็นอัศวินที่บินผ่านน่านฟ้าเข้ามาพอดี มันมองไปยังเหตุการณ์วุ่นวายที่ชายหาดด้วยแววตาสับสน มันออกไปข้างนอกเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทำไมสภาพบ้านถึงได้เละเทะแบบนี้ล่ะ? นี่เป็นการบุกรุกข้ามสายพันธุ์งั้นหรือ?
การต่อสู้อันวุ่นวายที่อยู่บนพื้นดินนั้น ทำให้นิมิตส์ไม่กล้าที่บินลงไปเฉยๆ มันบินวนไปมารอบๆ บริเวณนั้นสักพัก
แต่ว่านกฟรีเกตนั้นเป็นนักล่าแห่งท้องนภา ปีกของมันกางออกมาอย่างหยิ่งผยองและแข็งแรง ความสง่างามของมันนั้นไม่ต่างอะไรกับนกอินทรีเลย
ห่านขาวพวกนั้นมองไปยังนิมิตส์ที่ดำลงน้ำไป จิตสำนึกของพวกมันนั้นสั่งให้ตัวเองไปหาเพื่อนของพวกมันอย่างรวดเร็ว พวกมันร้องออกมาเสียงดังด้วยความตกใจกลัว
โดยเฉพาะลูกห่าน พวกมันก็เหมือนกับลูกเจี๊ยบ พวกมันต่างเป็นอาหารสำหรับผู้ล่าที่ตัวใหญ่กว่า ดังนั้นเมื่อเห็นนิมิตส์แลัวพวกมันก็ไม่สามารถที่จะต่อสู้กันได้อีก ตอนนี้ต้องรีบหนีเอาชีวิตรอดก่อน
เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า แววตาของฉินสือโอวก็เป็นประกาย เขาผิวปากออกมาหนึ่งครั้ง นิมิตส์เก็บปีกแล้วบินโฉบลงมาเป็นแนวครึ่งวงกลม ฉินสือโอวยื่นแขนของตนออกไป เพื่อให้มันบินลงมาเกาะที่แขนของเขา
เมื่อไม่มีนกฟรีเกต เหล่าห่านตัวใหญ่ก็เริ่มต่อสู้กันอีกครั้ง
ฉินสือโอวชี้ไปยังห่านตัวใหญ่เหล่านั้น เขาออกแรงย่อตัวพลางลดระดับแขนลง จากนั้นก็สะบัดแขนขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อให้นิมิตส์ได้บินขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง
นิมิตส์เข้าใจในสิ่งที่ฉินสือโอวนั้นจะสื่อ มันกระพือปีก แล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงจนถึงระดับหนึ่งร้อยเมตรจากนั้นมันก็เก็บปีกของตัวเองแล้วพุ่งลงมาเพื่อที่จะจับเหยื่ออย่างรวดเร็ว!
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของนิมิตส์ ห่านตัวโตเต็มไว้ฝูงนั้นก็รีบกระพือปีกหนีและร้องออกมาด้วยความกลัวก่อนจะหนีไป
แต่นกที่อยู่บนบกนั้นมักจะเสียเปรียบต่อการโจมตีทางอากาศ นิมิตส์ที่โฉบลงมาจับเหยื่อนั้น กางกรงเล็บทั้งสองที่เหมือนตะขอเหล็กของตัวเองออกแล้วจับห่านตัวโตเต็มไว้ที่ดูเย่อหยิ่งก่อนหนึ่งตัว จากนั้นก็กระพือปีกเพื่อบินขึ้นอย่างรวดเร็ว
ห่านผู้โชคร้ายตัวนั้น ถูกนิมิตส์ผู้หยิ่งผยองพาไปโฉบวนไปมาบริเวณพื้นดินถึงสองรอบด้วยกัน พวกห่านที่เหลือไม่ว่าจะเป็นห่านไท่หูหรือห่านหัวสิงโต ต่างก็ร้องโวยวายและวิ่งไปมาอย่างอลหม่านเพราะความกลัว ตอนนี้พวกมันไม่มีเวลาที่จะมาคิดเรื่องต่อสู้แล้ว ต้องหนีเอาชีวิตรอดให้ได้ก่อน!
เมื่อบินไปมาอยู่ครู่หนึ่ง นิมิตส์ก็ดึงร่างของห่านตัวนั้นขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็คลายอุ้งเท้าของตัวเองแล้วโยนห่านผู้โชคร้ายตัวนั้นลอยขึ้นไปบนอากาศ
เจ้าห่านตัวนั้นตอนที่ถูกโยนขึ้นก็กลัวเกือบตายแล้ว นี่ยังต้องตกลงมาจากกลางอากาศอีก ช่างน่ากลัวเหลือเกิน ยังดีที่พื้นข้างล่างเป็นหาดทรายอันอ่อนนุ่มทำให้มันยังรักษาชีวิตน้อยๆ ไว้ได้ แต่ว่ามันไม่กล้าทำตัวหยิ่งยโสอีกแล้ว มันนอนราบไปกับพื้นทรายแล้วเอาหน้ามุดทรายเพื่อแกล้งตาย…
การฆ่าห่านให้ห่านดูนี้ ทำให้ห่านไท่หูและห่านหัวสิงโตนั้นหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ห่านทั้งสองสายพันธุ์ที่ถูกโดนไล่จนแตกกระเจิงนั้นแยกกันอยู่เป็นฝั่งซ้ายขวา ส่วนที่อยู่ตรงกลางนั้นคือ ห่านผู้โชคร้ายที่กำลังเอาหัวมุดทรายอยู่
นิมิตส์ไม่ได้สนุกกับการเล่นแบบนี้เลย มันรู้สึกไม่ดีที่จะต้องไล่ล่าฝูงห่าน และบางครั้งก็ต้องจับเหยื่อทีละตัวบินวนไปมาสองรอบแล้วก็โยนพวกมันลงมา ไม่นานทั่วทั้งสองฟ้าก็เกิดฝนห่านขาวตกลงมามากมาย ห่านตัวเล็กใหญ่ต่างหากันร้องด้วยความหวาดกลัวหนีไปหนีมา
เมื่อมันทำให้ห่านทั้งสองสายพันธุ์นั้นแยกกันได้ในที่สุด ฉินสือโอวก็ผิวปากเรียกให้นิมิตส์กลับมา
นิมิตส์บินโฉบผ่านหัวห่านเหล่านั้นให้พวกมันตกใจอีกครั้ง ราวกับจะเป็นการเตือนพวกมัน ในที่สุดมันก็มาหยุดอยู่ที่ข้างๆ ฉินสือโอว ดวงตาอันเปล่งประกายของนิมิตส์กวาดมองไปยังห่านทั้งสองฝูงที่แยกกันอยู่ ราวกับว่ามันเป็นแม่ทัพใหญ่ก็ไม่ปาน
“เด็กดี จัดการได้สวยงามมาก!” ฉินสือโอวกอดนิมิตส์และลูบขนให้มันอย่างรักใคร่
นิมิตส์นั้นเป็นนกที่ดี มันออดอ้อนอยู่ในอ้อมกอดของฉินสือโอว จากนั้นมันคายปลาแฮร์ริ่งตัวเล็กๆ หนึ่งตัวออกมาจากถุงใต้คางให้ฉินสือโอว ทุกครั้งที่มันกลับบ้านมันก็จะนำปลากลับมาให้หนึ่งตัวทุกครั้ง
………………………………………………
บทที่ 348 ปลิงทะเลเป็นอะไรเหรอ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากที่ห่านทั้งสองสายพันธุ์แยกกันไปแล้วนั้น ฉินสือโอวก็รอจนถึงเวลาพลบค่ำ เมื่อเห็นว่าห่านทั้งสองสายพันธุ์นั้นไม่ได้ส่งสัญญาณที่จะต่อสู้กันจริงๆ แล้ว เขาจึงกลับบ้านไปได้อย่างสบายใจ
ที่ประตูบ้าน บุชยังคงหลบอยู่ในพุ่มไม้หน้าประตูบ้านแล้วยื่นหน้าออกมาอย่างหวาดระแวง เมื่อเห็นว่าฉินสือโอวกลับมา มันจึงกระพือปีกออกมาจากพุ่มไม้มาหาเขาอย่างรวดเร็ว ขาทั้งสองข้างที่ยังสั่นอยู่นั้น แสดงให้เห็นว่าเด็กคนนี้พึ่งจะถูกทำให้กลัวมาอย่างแน่นอน
ฉินสือโอวนั้นเข้มงวดเพราะอยากให้มันทำตัวดีขึ้น บุชนั้นทำอะไรอยู่กันแน่ มันเป็นนกอินทรีหัวขาว เป็นสัญลักษณ์ของอเมริกา! เป็นเจ้าแห่งมหาสมุทร! ไม่ต้องพูดถึงนกฟรีเกตอย่างนิมิตส์เลย นกอีแร้งนกอินทรีมองเห็นมันแล้วต้องกลัวสิถึงจะถูก!
อาหารเย็นวันนี้แม่และพี่สาวของเขาเป็นคนแสดงฝีมือทำ ไก่ตุ๋นเห็ด และ เนื้อเป็ดผัดพริก
ฟาร์มสัตว์ปีกที่เลี้ยงไก่และเป็ดพื้นเมืองนั้นมีการขยายพันธุ์ได้เป็นอย่างดี ไข่ไก่ก็มีออกมาให้กินอยู่เสมอ ลูกเป็ดลูกไก่ตัวเล็กปุกปุยเดินตามแม่เป็ดแม่ไก่ของพวกมันต้อยๆ ไปทั่วฟาร์ม ดูน่ารักเป็นอย่างมาก
ไก่ตุ๋นนั้นทำงาน แค่นำไก่ใส่ลงไปในหม้อความดันสูงรวมกับเห็ด ขิง โป๊ยกั๊กและมะแข่นและเครื่องปรุงรสอื่นๆ ตุ๋นรวมกัน
เนื้อเป็ดผัดพริกเป็นเมนูที่ต้องใช้เทคนิคในการทำอาหารเป็นอย่างมาก และเป็นอาหารเฉพาะของบ้านเกิดของฉินสือโอวอีกด้วย
เพราะว่าหนังเป็ดนั้นหนาและเต็มไปด้วยน้ำมัน ถ้าหากไม่มีเตาอบ ไม่ว่าจะนำไปตุ๋นหรือทำเป็นสตูก็ไม่อร่อย น้ำมันเยอะ ทำให้มันเลี่ยนเกินไป ด้วยเหตุนี้ บ้านเกิดของฉินสือโอวได้ค้นพบการทำผัดพริกกับเนื้อเป็ดจนแห้ง
เนื้อเป็ดจะถูกล้างจนสะอาดออกมาก่อนจะนำมานึ่งอย่างง่าย เพื่อเป็นการนำน้ำมันออกมาจากเนื้อเป็ดก่อน จากนั้นก็หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นก็ตั้งกระทะให้ร้อนจัดแล้วนำไปผัด วิธีทำอาหารเช่นนี้ต้องใช้พลังงานเป็นอย่างมาก ระหว่างที่ผัดอาจทำให้น้ำระเหยบางส่วนได้ ดังนั้นจำเป็นต้องคอยเทน้ำและเติมน้ำมันตลอดเวลา
เมื่อเนื้อเป็ดถูกคั่วจนน้ำออกมาจนหมด ผิวหนังด้านนอกนั้นจะกลายเป็นรอยยับยู่ยี่ จากนั้นก็นำออกมาพัก แล้วจากนั้นก็นำขิงและหัวหอมใหญ่นำมาผัดไฟในกระทะอีกครั้ง จากนั้นก็ใส่พริกแห้ง มะแข่นและเนื้อเป็ดลงไปผัดรวมกัน หลังจากที่ผัดจนมีกลิ่นหอมไปทั่ว จึงใส่ซอสถั่วเหลืองและโรยเกลือตบท้าย จากนั้นถึงเทลงใส่จาน
ฉินสือโอวนั้นชอบเนื้อเป็ดผัดฝีมือแม่ของเขาเป็นอย่างมาก ทั้งเผ็ดทั้งหอม เป็นอาหารที่เหมาะจะกินคู่กับข้าวสวยอย่างมาก ฉินสือโอวนั้นทำอาหารง่ายๆ ได้บ้าง แต่อาหารเมนูนี้นั้นเขาทำไม่ได้ เขาไม่ได้มีความอดทนขนาดนั้น
หลังจากอาบน้ำเสร็จเขาก็ลงมาข้างล่าง พี่สาวเขาก็นำเนื้อเป็ดผัดจานใหญ่ออกมาเสิร์ฟ กลิ่นหอมเผ็ดร้อนนั้นคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ฉินสือโอวเอื้อมมือออกไปหยิบเนื้อชิ้นหนึ่งที่โรยด้วยมะแข่นเข้าปาก แล้วเคี้ยวอย่างช้าๆ ทั้งหอมทั้งเผ็ดจริงๆ!
พ่อของฉินสือโอวที่กำลังเล่นกับหู่จือและเป้าจือ เมื่อเห็นฉินสือโอวหยิบเนื้อเป็ดขึ้นมากิน ก็มองดุไปทางเขา ตอนนั้นวินนี่เดินเข้ามาพอดี ฉินสือโอวเดินเข้ามากอดเธอ แล้วหยิบเนื้อเป็ดชิ้นหนึ่งขึ้นมาให้เธอ แล้วถามเธอด้วยสายตาเปล่งประกายว่า “ที่รัก รสชาติเป็นยังไงบ้าง?”
“สุดยอดมากเลย” วินนี่ยกมือข้างหนึ่งป้องปากแล้วใช้มืออีกข้างยกนิ้วให้
สีหน้าของพ่อของฉินสือโอวนั้นเปลี่ยนมาเป็นอ่อนโยนทันที เขาหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วพูดขึ้นว่า “เสี่ยวเวยชอบกินล่ะสิ ชอบก็ดีแล้ว กินก่อนสิ หากเย็นแล้วรสชาติจะไม่อร่อย แล้วก็เสียวเสว่และเด็กๆ พวกนี้ กินกันก่อนเลย”
ไม่รู้ว่าทำไม พ่อและแม่ของฉินสือโอวถึงชอบเติมชื่อให้คนในบ้านด้วยคำว่า ‘เสี่ยว’ วินนี่ก็เป็นเสี่ยวเวย เชอร์ลี่ย์ก็เป็นเสียวเสว่ พาวลิสก็เป็นเสี่ยวเป้า มิเชลก็เป็นเสียวหมี่ ยังดีที่กอร์ดอนไม่ได้ได้ถูกตั้งชื่อขึ้นมาใหม่ พวกเขาก็เรียกว่ากอร์ดอนเหมือนเดิม
ฉินสือโอวรีบพูดแก้ไขชื่อพวกนั้นว่า “พ่อ พวกเขาชื่อวินนี่กับเชอร์ลี่ย์ ทำไมพ่อเรียกชื่อเต็มๆ ไม่ได้?”
พ่อของฉินสือโอวตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาว่า “เรียกแบบนี้ไม่ดูสนิทสนมกันมากกว่าหรือไง? ที่ฉันเรียกแกว่าเสี่ยวโอว แกไม่ชอบเหรอ? งั้นต่อไปฉันเรียกแกว่าฉือโอวดีไหม?”
ฉินสือโอวไม่ได้พูดอะไร เขาไม่ได้มีสิทธิ์ร้องเรียนอยู่แล้ว ชื่อของเขาถูกตั้งขึ้นจากอะไรกันนะ? สือโอว? เรียกว่า ‘โซ่วโซ่ว’ ก็ได้
เมื่อถึงเวลาทานอาหาร เสี่ยวฮุยและเด็กคนอื่นๆ ก็กินไปพลางพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ส่วนวินนี่นั้นนั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ ไม่ว่าจะใช้ตะเกียบหรือมีดกับส้อม เธอก็ใช้มันได้อย่างสง่างาม
ก่อนหน้านี้พ่อแม่ของฉินสือโอวสังเกตเห็นข้อนี้ด้วยเช่นกัน ตอนนี้ค่อนข้างสนิทกันแล้ว จึงได้พูดออกมาว่า “เห็นเด็กสาวอย่างเสี่ยวเวยแล้ว อย่าว่าแต่ท่าทางการทำงานและการพูดจาเลย จะหาคนที่กินข้าวได้สง่างามแบบนี้ หาได้ยากนัก”
วินนี่วางตะเกียบในมือลงแล้วยิ้มออกมา เธอประสานมือเข้าด้วยกันที่ด้านหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “มหาวิทยาลัยของหนูเป็นมหาวิทยาลัยหญิงล้วน มีหลักสูตรที่สอนเรื่องมารยาทโดยเฉพาะ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เคยเรียนมาค่ะ”
แม่ของฉินสือโอวมองไปยังเด็กๆ ที่เสียงดังวุ่นวายราวกับลูกลิง พลางพูดออกมาว่า “เสี่ยวเวย เช่นนั้นหนูสอนเด็กๆ ของพวกเราหน่อยได้ไหม? สอนให้พวกเขาเรียนรู้เรื่องมารยาท ต่อไปจะได้ไม่ขายหน้าคนอื่นเขา”
วินนี่พยักหน้า แล้วตอบกลับว่า “ได้ค่ะ หลังจากกินข้าวเสร็จเดี๋ยวหนูจะเริ่มสอนตั้งแต่เรื่องพื้นฐานเลยค่ะ”
เมื่อได้ยินคำว่าเรียน เสี่ยวฮุยก็แทบจะร้องไห้ออกมาทันที สีหน้าซุกซนเหมือนลิงเปลี่ยนเป็นซีดเผือดเหมือนไก่ต้มทันที เขาเริ่มกัดตะเกียบด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย
เมื่อกินข้าวเสร็จ วินนี่ก็สอนเรื่องมารยาทให้เด็กทั้งห้าคน ฉินสือโอวนั้นกลับมาที่ห้องแล้ว เขาใช้จิตสำนึกโพไซดอนพาตัวเขาไปยังฟาร์มปลา
เขาเริ่มไปตรวจดูการเจริญเติบโตของปลิงทะเลขั้วโลกเหนือก่อน ไม่ผิดหรอก ปลิงทะเลขั้วโลกเหนือน้อยใหญ่พวกนั้นได้เข้าสู่แนวปะการังแล้ว พวกมันเกาะอยู่ตามแนวปะการังเหล่านั้น หรือไม่ก็เข้าไปอยู่ในรอยแตกบริเวณแนวปะการัง พวกมันไม่ได้มีศัตรูตามธรรมชาติอยู่แล้ว อาหารของพวกมันที่นี่ก็อุดมสมบูรณ์ ตอนนี้พวกมันค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับฟาร์มปลาได้แล้ว
ปลิงทะเลขั้วโลกเหนือนั้นชอบนอนอยู่บริเวณก้นทะเล ดังนั้นบริเวณหน้าท้องและหลังของพวกมันนั้นจึงแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งตัวไหนที่มีคุณภาพที่ดี ความแตกต่างของพวกปลิงทะเลขั้วโลกเหนือก็ยิ่งเห็นได้ชัด สิ่งนี้บ่งบอกได้ว่ามลพิษที่พวกมันได้รับนั้นค่อนข้างน้อย ทำให้ชีวิตของมันนั้นยืนยาวขึ้น
ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวได้ถ่ายทอดพลังแห่งโพไซดอนให้แก่ปลิงทะเลขั้วโลกเหนือพวกนั้น เขาไม่คิดว่าพลังนี้จะทำให้ปลิงทะเลขั้วโลกเหนือเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เหล่าปลิงทะเลขั้วโลกเหนือพวกนี้ร่างกายเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
ปลิงทะเลขั้วโลกเหนือแต่ละตัวที่อยู่บนแนวปะการังนั้น มองดูพวกมันอาจจะรู้สึกว่าพวกมันไม่ได้ขยับ แต่ความเป็นจริงแล้วพวกมันส่วนใหญ่กำลังคลานอยู่ เพียงแต่ความเร็วช้ามากเท่านั้น หนึ่งชั่วโมงยังขยับไปไม่ถึงสองเมตรเลย
ฉินสือโอวให้พลังโพไซดอนแก่พวกมันเพราะอยากดูว่าพวกมันเหมือนปลาทะเลหรือไม่ เมื่อปลิงทะเลรับพลังโพไซดอนไปแล้วความเร็วในการเคลื่อนไหวของมันก็เพิ่มขึ้นไปด้วย ผลที่ได้นั้นเป็นที่แน่นอนว่า ปลิงทะเลขั้วโลกนั้นเคลื่อนไหวเร็วขึ้น พวกมันเหมือนกับหนอนผีเสื้อ ที่หดตัวขึ้นลงแล้วขยับตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
แต่ว่าการที่ผลเป็นเช่นนี้ก็มีเรื่องที่ไม่ดีอยู่ เพราะว่าเวลาที่ปลิงทะเลขั้วโลกเหนือขยับคือตนที่พวกมันกินอาหาร พวกมันใช้หนวดในการขยับตัว แต่มือของพวกมันนั้นคือทิวบ์ฟีทที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงแบบพิเศษมาก่อน โดยพวกมันสามารถจับอาหารเข้าปากได้เลย แบบนี้การเคลื่อนไหวที่เร็วขึ้นของมัน ก็ทำให้พวกมันหาอาหารไม่พบ
เมื่อลองดูพวกมันอีกครั้ง หากไม่เจอปัญหาอะไรฉินสือโอวก็เตรียมที่จะไปที่อื่นต่อ แต่จู่ๆ เขาก็สังเกตเห็นปลิงทะเลขั้วโลกเหนือตัวใหญ่ตัวหนึ่งกำลังกินทรายอยู่
เขาคิดว่าตัวเองนั้นมองผิดไป อาหารของปลิงทะเลขั้วโลกเหนือนั้นเป็นพวกซากพืชซากสัตว์ที่อยู่ในทรายและพวกสาหร่ายที่อยู่บริเวณหน้าดิน เรื่องนี้ฉินสือโอวรู้ดี
จิตสำนึกโพไซดอนเข้าไปตรวจสอบปลิงทะเลขั้วโลกเหนือตัวนั้น เขานั้นคิดถูก ปลิงทะเลขั้วโลกเหนือตัวนี้มันกินทรายจริงๆ
ฉินสือโอวไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาขยายจิตสำนึกโพไซดอนให้กว้างขึ้น แล้วเขาก็พบว่ามีปลิงทะเลขั้วโลกเหนือหลายตัวกำลังกินทรายอยู่!
เรื่องนี้ทำให้เขาตกใจกลัวเป็นอย่างมาก การมีกุ้งมังกรแก๊ฟคี่อยู่นั้นทำให้ในใจของเขานั้นรู้สึกไม่ดี ในใจของเขากังวลว่าจะเกิดเรื่องกับปลิงทะเลที่อยู่ที่นี่
เมื่อเห็นว่าปลิงทะเลขั้วโลกเหนือนั้นกินทราย ฉินสือโอวก็รีบออกมาจากทะเลแล้วโทรหาบิลทันที เขาถามว่า “เพื่อน ฉันเจอว่าตอนนี้ปลิงทะเลขั้วโลกเหนือของฉันมันกินทราย มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันเหรอ?”
บิลตอบกลับว่า “นี่เป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องกังวลไป เชื้อราและแบคทีเรียบางตัวนั้นอาศัยอยู่ตามทรายที่ก้นทะเลและบนแนวปะการังที่แตกหัก ทรายพวกนี้มันจะช่วยปลิงทะเลขั้วโลกเหนือในการย่อยอาหาร เพื่อเป็นการรักษาสุขภาพของพวกมัน”
ฉินสือโอวพึ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองนั้นเป็นกระต่ายตื่นตูม เขาหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ปลิงทะเลขั้วโลกเหนือขนาดตัวเต็มวัยนั้นจะสามารถกินทรายเข้าไปได้เกือบสี่สิบลิตรต่อปี ดังนั้นเรื่องจริงคือปลิงทะเลขั้วโลกเหนือป่านั้นจะต้องทำความสะอาดท้องก่อนที่จะกินอาหาร เพราะหากไม่ทำความสะอาดก่อนท้องของพวกมันก็จะเต็มไปด้วยทรายและซากปะการัง
……………………………………………………….
บทที่ 349 ภาพประวัติศาสตร์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปลิงทะเลไม่เป็นอะไร ฉินสือโอวจึงวางใจ ตรวจตราตามปกติรอบฟาร์มปลารอบหนึ่ง เขาจึงไปหาเฮยป้าหวัง
เฮยป้าหวังเข้าสู่น่านน้ำลึกหลายวันแล้ว ฉินสือโอวไม่ค่อยสนใจมันเท่าไรนัก เพราะมันไม่มีทางมีอันตรายแน่นอน เดิมทีแล้วฉลามขาวก็เป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องทะเล นอกเสียจากว่าจะเจอเข้ากับเทพสงครามแห่งทะเลวาฬเพชฌฆาต หมึกยักษ์และหมึกโคลอสซัลใต้ทะเล ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครที่จะจัดการพวกมันได้
อีกอย่าง เฮยป้าหวังยังผ่านการดัดแปลงจากพลังโพไซดอนอีก ถึงแม้จะเจอเข้ากับวาฬเพชฌฆาตก็สามารถสู้ได้บ้าง แม้ว่าอาจจะไม่ชนะ แต่ด้วยความฉลาดของมันก็สามารถหนีเอาตัวรอดได้แน่นอน
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนส่งไปยังเพรียงตีนเต่าบนหน้าผากของเฮยป้าหวัง ฉินสือโอวเห็นพืชจำนวนมากเหมือนดอกไม้ปรากฏอยู่ภายหน้า
พืชเหล่านี้ลอยพลิ้วไหวอยู่ใต้ทะเล ร่างกายอ่อนนุ่ม พวกมันมีก้านยาวประมาณครึ่งเมตรจนถึงหนึ่งเมตร รูปร่างห้าแฉกแบ่งออกเป็นหลายๆ ข้อส่วน แต่ละส่วนต่างก็มีกิ่งม้วนขึ้น บนสุดของกิ่งม้วนเป็นดอกตูม ราวกับเป็นดอกลิลลี่ที่กำลังเบ่งบาน
ฉินสือโอวมองดูด้วยความสนใจ จากนั้นก็นึกได้ทันที ให้ตายสิ นี่มันคือพลับพลึงทะเลสินะ?
นี่ยังเป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เห็นสัตว์ที่มหัศจรรย์แบบนี้ ใช่แล้ว สิ่งที่มองไปแล้วเหมือนกับดอกไม้นี้ไม่ใช่พืชแต่เป็นสัตว์ และยังเป็นญาติห่างๆ กับปลิงทะเลขั้วโลกเหนือ ต่างก็เป็นสัตว์ที่มีผิวหนังเป็นหนาม
ยืนยันแล้วว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นคือพลับพลึงทะเล ฉินสือโอวจึงรู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในทะเลลึกแล้ว เพราะว่าสภาวะแวดล้อมที่พลับพลึงทะเลอาศัยจะอยู่คือใต้ทะเลลึกทั้งสิ้น
เฮยป้าหวังสังเกตเห็นเหล่าพลับพลึงทะเลก็ขยับเข้าไปใกล้ นำร่างกายที่ใหญ่ยักษ์กดไปยังด้านบน
พอเฮยป้าหวังเข้าใกล้ตัวเอง เหล่าพลับพลึงทะเลก็เริ่มขยับตัว
ตรงใจกลางด้านล่างเป็นปากของพวกมัน รอบๆ ปากมีการแตกแขนงขึ้นห้าแขนงนั่นเป็นแขนของพวกมัน แต่ละแขนมีแขนงเล็กๆ แตกออกมาเหมือนขนนก นั่นคือแขนเล็กของพวกมัน
พลับพลึงทะเลขยายแขนเล็กใหญ่ออกไป ด้านในแขนพวกนี้ต่างก็มีร่องเล็กๆ ใหญ่ๆ ภายในร่องนี้มีนิ้วที่นุ่มและยืดหยุ่นขึ้นอยู่สองข้าง เวลาที่ขยายออกก็เหมือนกับดอกลิลลี่ ติดเข้าไปกับร่างกายของเฮยป้าหวัง จับพวกแพลงก์ตอนและปรสิตที่อยู่อาศัยอยู่ภายนอกลงมา
ด้วยการทำแบบนี้ พลับพลึงทะเลช่วยทำความสะอาดร่างกายเฮยป้าหวัง เฮยป้าหวังนำอาหารมาให้กับพลับพลึงทะเล ทั้งสองฝ่ายพึ่งพาอาศัยอยู่ร่วมกัน ต่างฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ
เฮยป้าหวังกลิ้งอยู่ในกลุ่มพลับพลึงสักพักหนึ่ง ปรสิตบนร่างก็ถูกทำความสะอาดไปพอสมควรแล้ว มันจึงสะบัดหางว่ายจากไปอย่างสบายตัว
ว่ายอยู่ในทะเลอย่างไม่มีเป้าหมาย หมึกกล้วยขนาดใหญ่หลายตัวปรากฏอยู่ในสายตา หลังจากที่เฮยป้าหวังเห็นพวกมันก็ราวกับแปลงร่างเป็นตอร์ปิโด พุ่งเข้าไปอย่างแรง อ้าปากกลืนอย่างบ้าคลั่ง
หนวดหมึกกล้วยพวกนี้ต่างก็มีความยาวเมตรสองเมตร ขนาดตัวใหญ่ก็เหมือนกัน พวกมันไม่ยอมถูกจับโดยละม่อม เด้งออกอย่างต่อเนื่องจากนั้นก็ปีนป่ายไปบนร่างของเฮยป้าหวัง
หนวดของหมึกกล้วยบางตัวแทงไปยังดวงตาของเฮยป้าหวัง บางตัวก็แทงไปยังจมูก คิดไม่ถึงว่าจะสู้จนถึงที่สุดเอาให้เฮยป้าหวังตาย
แต่พวกมันดูถูกเฮยป้าหวังเกินไปแล้ว
เฮยป้าหวังพุ่งไปยังทิศต้นลมไปกับหมึกกล้วยพวกนี้อย่างเร็ว สายน้ำพัดผ่านร่างหมึกกล้วย ทำให้พวกมันปีนป่ายไม่อยู่ร่วงลงมา เฮยป้าหวังกลับหลังอ้าปาก กินพวกหมึกกล้วยอันแสนอร่อยเข้าไปอย่างง่ายดาย
ว่ายออกไประยะทางหนึ่ง ฉินสือโอวไม่ได้พบเจออะไร จึงมองดูรอบข้างอย่างสนใจ สุดท้ายก็ว่ายไปอีกครึ่งชั่วโมงกว่า ด้านหน้าของเฮยป้าหวังค่อยๆ ปรากฏเงาร่างอันใหญ่โตร่างหนึ่ง!
เงาร่างนี้ค่อยๆ ปรากฏออกมา จากเล็กจนใหญ่ จากเลือนรางค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา…
เริ่มแรกฉินสือโอวคิดว่าเป็นโขดหินหนึ่งที่งอกออกมาในใต้ทะเล ใต้มหาสมุทรพบเจอโขดหินแบบนี้บ่อย มีเล็กมีใหญ่ ถ้าหากเงาร่างนี้เป็นโขดหิน ก็คงเป็นเพียงโขดหินเล็ก แต่มันกลับไม่ใช่โขดหิน แต่เป็นเรืออับปางลำหนึ่ง!
ใช่แล้ว นี่คือซากเรืออับปางลำหนึ่ง มองจากด้านหน้า เงาร่างของเรืออับปางนี้ใหญ่โตมาก ด้านข้างเอียงจมอยู่ใต้ทะเล แม้ว่าจะถูกปกคลุมไปด้วยสนิม แต่ก็หาใดเปรียบได้
อยู่ๆ ก็เจอเข้ากับซากเรืออับปางลำหนึ่ง ฉินสือโอวดีใจเป็นอันดับแรก เพราะว่านี่หมายถึงว่าเขาสามารถค้นหาเจอสมบัติ แต่ว่าหลังจากนั้นก็ใจเย็นลงได้ ที่นี่เป็นใต้ทะเลลึก อยากจะกู้ซากเรืออับปางในที่แบบนี้ นั่นเป็นเรื่องที่ลำบากมาก
สั่งการให้เฮยป้าหวังขยับเข้าไปใกล้ ฉินสือโอวพิจารณาซากเรืออับปางลำนี้อย่างละเอียด ด้านหน้าของเขาคือดาดฟ้ารูปสี่เหลี่ยมเก่า ดาดฟ้าที่กว้างขวางสามารถเห็นความรุ่งโรจน์ของวันวานรางๆ แต่ว่าปัจจุบันภายใต้แบคทีเรียกินเนื้อเหล็กและกระแสน้ำมหาสมุทรได้ปกคลุมด้วยสนิมรูปแท่งน้ำแข็ง
จากหัวเรือมองไม่เห็นอะไร แต่ว่ามองจากด้านข้าง กลับพบว่าซากเรืออับปางนี้มีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ค้นหาอีกสักพัก บริเวณห่างไปประมาณ500เมตร ก็พบเข้ากับซากเรืออับปางอีกครึ่งหนึ่ง
น่าเกรงขามเหมือนกัน ผุพังเหมือนกัน แต่ละครึ่งของซากเรืออับปางต่างก็มีความยาว100กว่าเมตร โดยรวมแล้วทำขึ้นมาจากแผ่นเหล็กกล้า
แต่ไม่ว่าจะเป็นเหล็กที่แข็งยังไงก็ต้านทานการกัดกร่อนของกระแสน้ำมหาสมุทรและกาลเวลาไม่ได้ เรือลำนี้ถูกปกคลุมไปด้วยสนิมจนผุพังอย่างมาก ราวกับว่าขอแค่เฮยป้าหวังชนเข้าไปทีเดียวก็สามารถทำให้มันแยกออกเป็นชิ้นๆ ได้อย่างนั้น
ฉินสือโอววนรอบซากเรืออับปางรอบหนึ่งอยากรู้ชื่อและสถานะของเรือลำนี้ จากนั้นจะได้กลับไปตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้
แต่ว่าสนิมหนักเกินไป เหมือนกับเรือดังเคิลออสเตียส หาชื่อของมันจากภายนอกเรือไม่เจอเลย
แต่ตอนที่เขาว่ายไปถึงดาดฟ้าหัวเรือ กลับพบของแปลกประหลาดอย่างหนึ่งเข้า เป็นอุปกรณ์เหล็กกล้าอันหนึ่งรูปขั้นบันไดเล็กที่ภายนอกค่อนข้างเรียบลื่น
ของสิ่งนี้แค่ดูก็รู้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์อารยธรรมสมัยใหม่ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเรือลำนี้แน่นอน ยังไม่บอกว่าในเรือที่ถูกปกคลุมไปด้วยสนิมอุปกรณ์นี้เป็นสิ่งเดียวที่ไม่ขึ้นสนิม เพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกที่โค้งมนของมัน ก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถผลิตออกมาในเมื่อ100ปีก่อนได้
ขยับเข้าไปดูอีกนิด ฉินสือโอวก็เห็นถึงภาษาอังกฤษบรรทัดหนึ่งบนแผ่นป้ายข้างบนนั่น แท่นทดสอบเหล็กไทเทเนียมเรือไททานิก 2002…
“ให้ตายเถอะ!” ฉินสือโอวถึงกับพ่นคำหยาบออกมา ถ้าจนถึงตอนนี้แล้วเขายังไม่รู้ว่าเป็นเรืออะไร คงบอกได้แค่ว่าเขาโง่ นี่เป็นเรือไททานิกเรืออับปางที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก!
ข้อมูลของเรือลำนี้ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ฉินสือโอวเชื่อว่าทุกคนที่เคยดูภาพยนตร์ที่กำกับโดยเจมส์ คาเมรอน เรื่อง ‘เรือไททานิก’ ตัวเอกในมหากาพย์ความรักและภัยพิบัติทางทะเลที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่ต่างก็รู้กันทุกคน
ฉินสือโอวไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะพบเจอเข้ากับเรือลำนี้ที่เคยเป็นเรืออับปางในตำนานที่นี่ เขาเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาตรวจดูแผนที่ ก็พบว่าที่แท้ภัยพิบัติทางทะเลเกิดขึ้นไม่ไกลจากเกาะแฟร์เวล อยู่ทางทิศตะวันออก 500 กิโลเมตรของเกาะ
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกตถึงเลย ไม่อย่างนั้นคงมาตรวจดูซากเรืออับปางลำนี้ก่อนแล้ว เรือไททานิกเชียวนะ เป็นบอสใหญ่ที่ไม่รู้ว่าทำให้สาวน้อยใหญ่เสียน้ำตาไปกันเท่าไรในตอนนั้น เป็นที่สุดของซูเปอร์สตาร์ในบรรดาซากเรืออับปางในมหาสมุทร
วนอยู่รอบเรือไททานิกสักพัก ฉินสือโอวตัดสินใจให้พวกหมึกกล้วยเข้าไปตรวจดูข้างใน แน่นอนว่าครั้งนี้ไม่ใช่แค่ชมดูซากเรือแล้ว อีกอย่างซากเรือลำหนึ่งที่แทบจะถูกทำลายจากสนิมมีอะไรน่าดูกัน?
สิ่งที่เขาจะทำ ก็คือจะหาดูว่าซากเรือลำนี้ยังมีสมบัติอะไรอีก
หน้าจอคอมพิวเตอร์ ฉินสือโอวตรวจสอบดูข้อมูลเกี่ยวกับซากเรือนี้ ทำให้เขารู้สึกท้อแท้นิดหนึ่ง เพราะในปี 1985 นักสำรวจโรเบิร์ต บัลลาร์ด ก็นำทีมสำรวจค้นพบเข้ากับซากเรือแล้ว
และในปี 1994 บริษัทอาร์เอ็มเอสไททานิกอิงก์ เป็นผู้ได้รับสิทธิ์ในกอบกู้ซากเรือไททานิกแต่เพียงผู้เดียว เห็นทีบนเรือคงไม่มีอะไรหลงเหลือแล้ว สมบัติเองก็คงถูกคนพวกนั้นกอบกู้ไปหมด
แต่แค่มองไปเรื่อยๆ ฉินสือโอวก็มีความสุขแล้ว
……………………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น