ท่านเทพมาแล้ว 344-347

 บทที่ 344 ยังคิดหมิ่นเกียรติ?

โดย

Ink Stone_Romance

แต่ละคำของมู่จิ่วมั่นคงหนักแน่น แววตาเป็นประกายแรงกล้า แรงกดดันทั่วร่างทรงพลังเดิมในห้องไม่มีลมพัด แต่ปอยผมริมหูของนางกลับขยับไหวเล็กน้อย


ซ่างกวนสุ่นเดินกลับมา อาฝูก็ยืดตัวยืนข้างนาง


ถึงแม้หลินเจี้ยนหรูมั่นใจว่าพละกำลังของเขาแกร่งกล้ากว่ามู่จิ่ว แต่เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางก็จำต้องสะกดกลั้นความโกรธกลับลงไปหลายส่วน มือทั้งสองจับริมโต๊ะไว้ “ข้าไม่ได้กล่าวเลื่อนลอย! ยามนี้พลังในร่างข้ากลายเป็นพลังสายเสวียนหมิงหมดแล้ว และแต่ก่อนข้าฝึกฝนพลังสายเสวียนชี่ของหงจวินเหล่าจู่! อีกทั้งข้าก็ไม่ใช่คนที่หลอกเขา เป็นหัวชิงที่ถามข้าเอง…”


“ถามอะไร!”


“ถามข้า…ถามข้าว่าเคยเจอลู่ยาเต้าจู่มาก่อนหรือไม่” หลินเจี้ยนหรูกัดฟัน “เขาไม่เพียงดูออกว่าข้ามีพลังเสวียนหมิง แต่ยังมองออกด้วยว่าพลังเสวียนชี่ทั้งหมดถูกผนึกไว้ในชีพจรเส้นหนึ่ง ตอนนั้นเขาเชื่อว่าข้ากับลู่ยาเป็นอาจารย์ศิษย์กัน ดังนั้นข้าถึงได้ตอบรับตามน้ำไป!”


มู่จิ่วถลึงตาใส่หลินเจี้ยนหรู พลันยื่นมือไปจับข้อมือเขา!


นางจับมือลู่ยามาไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ฟังเสียงลมหายใจของเขาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ อีกทั้งบนแขนของนางยังมีดอกบัวที่เขาประทับไว้ให้อีก ใช่พลังสายเสวียนหมิงหรือไม่ นางแค่ดูก็รู้แล้ว อย่าได้คิดจะหลอกนาง!


ยามที่มือนางสัมผัสโดนข้อมือเขา พลังอันคุ้นเคยก็ไหลปราดเข้ามาสัมผัสปลายนิ้วราวกับกระแสไฟ จากนั้นก็ไหลระเรื่อยเข้ามายังกลางฝ่ามือและหลังมือ…เป็นพลังเสวียนหมิง! และยังเป็นพลังเสวียนหมิงที่บริสุทธิ์ยิ่งนัก!


นางชักมือกลับทันที ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง ราวกับต้องการจ้องเขาจนแหลกละเอียด!


“นี่มันเรื่องอะไรกัน?!”


นอกจากรุ่ยเจี๋ยกับอาฝูแล้ว ลู่ยาก็ไม่ได้รับศิษย์คนอื่นอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเอาพลังของตนเองยกให้คนอื่นเลย! หากพลังบนร่างหลินเจี้ยนหรูไม่ใช่พลังที่ลู่ยาให้จะเป็นของใครได้อีก? แต่ลู่ยาเอาพลังให้เขา ทำไมนางถึงไม่รู้!


“เจ้าจำคืนที่ข้าไปที่ปรโลกเก้าแดนได้หรือไม่?”


หลินเจี้ยนหรูยืดตัวตรง ความโกรธแค้นในแววตาโหมซัดออกมาราวกับคลื่นทะเล “คืนที่ข้าไปปรโลกเก้าแดน ข้าเจอคนคนหนึ่ง”


มู่จิ่วไม่ได้พูดสิ่งใด


เขาเลียริมฝีปากล่าง ก่อนเอ่ยต่อว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาคือใคร ตอนที่ข้ากำลังตามหาจิตต้นกำเนิดของอู่หลานเอ๋อร์ที่แตกออกไป เขาพลันปรากฏตัวขึ้นมา เอาเศษเสี้ยวจิตต้นกำเนิดนั้นมาข่มขู่ข้า! บังคับให้ข้าเข้าสู่หนทางมาร แต่ข้าไม่ยอม ข้าบอกว่าข้าได้สัญญากับเจ้าไว้แล้ว ย่อมไม่ลงมือทำเรื่องเลวร้ายอีก! หลังจากนั้นเขาก็ขโมยกุญแจจันทราของข้าไป แล้วส่งพลังนี้เข้ามาในร่างกายข้า!”


เขากัดฟันกรอด ความขมขื่นที่กักเก็บไว้นานพลันระเบิดออกมา “เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากเป็นคนดีหรือ? ทำไมข้าต้องเย็นชากับเหลียงชิวฉาน? ไม่ใช่เพราะข้าทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าหรือไร! ข้ายอมรับว่าแต่ก่อนข้าเคยคิดหลอกใช้นาง แต่เพื่อกลับมาเป็นคนดีตามที่สัญญาไว้กับเจ้า ข้าไม่ลังเลเลยที่จะตัดขาดสัมพันธ์กับนางทันที!”


“เป็นนางเองที่ไปฟ้องหัวชิง ทำให้หัวชิงรู้ว่าข้ามีพลังนี้ ถึงได้เกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้น!”


“ข้าเคยมาขอร้องเจ้าให้ช่วยข้าหลุดพ้นจากแรกพยับ แต่เจ้าปฏิเสธไม่ยอมช่วยข้า! ในเมื่อเจ้าไม่ยอมช่วย ข้าจะยังเหลือทางเลือกใดอีก? หรือจะให้ข้ายอมให้พวกแรกพยับกดขี่ต่อไป?! ข้ามีพลังอาคมติดตัวขนาดนี้แล้ว ยังต้องยินยอมใช้ชีวิตเยี่ยงสุนัขรับใช้ไร้เกียรติต่อไปหรือ?!”


“ข้าไม่ได้เป็นคนบอกว่าตนเป็นศิษย์ของลู่ยา เป็นหัวชิงคิดเอาเอง! เขาโง่เขลาขนาดนี้ หรือข้าจะต้องทำตัวโง่เช่นเขาแล้วปฏิเสธเรื่องดีๆ ที่เข้ามา?! เจ้าไม่มีทางเข้าใจความอับอายและอยุติธรรมที่ข้าได้รับมาตลอดสองร้อยปีหรอก! เจ้าไม่มีคุณสมบัติมาทำตัวสูงส่งว่าข้าทำถูกหรือผิด!”


ทั้งลานนั้นก้องไปด้วยเสียงของเขา แต่มีเขตพลังอยู่ เสียงจึงไม่ออกไปข้างนอก


มู่จิ่วทำหน้าเย็นชาเดินขึ้นไป “เจ้าบอกว่าคนผู้นี้บังคับเจ้าเข้าสู่หนทางมาร ยังกล้าเรียกคนผู้นี้ว่าลู่ยาอีก?!”


หลินเจี้ยนหรูกัดฟันยิ้มเยาะ “หากเจ้าคิดดีๆ หลังจากที่ข้ากลับมาจากปรโลกเก้าแดนมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นบ้างหรือไม่!”


มือทั้งสองของมู่จิ่วเกือบจะกำด้ามดาบจนแหลกเป็นผง


ถึงแม้ผ่านมาหลายเดือนแล้ว นางก็ยังจำชัดเจนว่าคืนนั้นหลังจากที่หลินเจี้ยนหรูออกมา เขาดูเงียบผิดปกติ ไม่มีท่าทีดีใจอย่างที่ควรจะเป็น และนางยิ่งจำได้ชัดเจนว่าหลังจากที่กลับมา ลู่ยายังถามว่าระหว่างทางที่นางกับหลินเจี้ยนหรูเดินทางไปปรโลกเก้าแดนมีอะไรผิดปกติหรือไม่!


แต่ลู่ยาจะมอบพลังทำให้เขาเป็นมารได้อย่างไร?


เป็นไปไม่ได้แน่!


“เจ้าคิดว่าลู่ยาเป็นคนดีหรือ? ถึงเขาจะมีชื่อเป็นถึงเทพชั้นสูง ก็เกรงว่าจะเป็นเพียงชื่อที่ได้มาเพราะแผนชั่ว!” หลินเจี้ยนหรูกัดฟันมองนาง ปลายหางตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “ข้าเกรงว่าเจ้าจะโดนหลอกก็เท่านั้น ฐานะของเขาสูงส่งนัก จะมาชอบเจ้าที่ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งเซียนได้อย่างไร? หรือว่า…”


พูดยังไม่ทันจบก็มีเงาหนึ่งพาดผ่านด้านหน้า มือขวาของมู่จิ่วจับคอเขาเอาไว้ “หากเจ้าอยากตาย ก็บอกมาได้เลย!”


เขาไม่ทันได้ปัดป้อง ถอยร่นไปหลายก้าว แผ่นหลังชนกำแพงและไม่อาจขัดขืน!


ซ่างกวนสุ่นไม่เคยเห็นมู่จิ่วในลักษณะนี้ เขายืนนิ่งอึ้งอยู่นานแล้ว ส่วนอาฝูเดินวนไปตามอารมณ์ของมู่จิ่ว ตอนนี้ตั้งท่าพร้อมต่อสู้ ราวกับว่าหากหลินเจี้ยนหรูมีอะไรผิดปติ เขาก็จะพุ่งเข้าไปกลืนกินทั้งเป็น!


มู่จิ่วไม่ได้อาละวาด ไม่ได้กระทืบเท้า ทั้งร่างมีเพียงไอสังหาร


พลังบนร่างค่อยๆ หลั่งไหลออกมา เหล่าขวดกระเบื้องใต้ม่านหน้าต่างรับแรงกระแทกไม่ไหว พากันแตกกระจายเป็นทิวแถว ผ้าปูโต๊ะและม่านต่างก็สะบัดไหวอยู่ตลอด นกแก้วตัวหนึ่งที่เกาะหลังหน้าต่างร้องเสียงดังทั้งยังร่วงลงกระทบพื้น ถึงแม้รอบด้านเรือนจะมีเขตพลังปกคลุมอยู่ แต่พลังนี้ก็ยังม้วนตัวเข้าปะทะต้นไม้ใหญ่หลายต้นในลานบ้านจนโอนเอน


“กัวมู่จิ่ว!”


ถึงแม้ซ่างกวนสุ่นจะเกลียดหลินเจี้ยนหรู แต่เห็นนางเป็นเช่นนี้ก็อดตกใจไม่ได้ ท่าทางเช่นนี้ทำให้เขานึกถึงนางที่คุนหลุนตะวันออก!


สายตาของหลินเจี้ยนหรูไม่มีความเกรงกลัว แต่ดวงตาก็ไม่กล้าละจากใบหน้านางแม้แต่น้อย!


เขาไม่อาจเชื่อมโยงนางที่อยู่ตรงหน้ากับนางที่เป็นมิตรจิตใจดีมาตลอดได้เลย ปกตินางมักจะซื่อตรง ใสซื่อ เกือบจะปฏิเสธคนไม่เป็นด้วยซ้ำ ทั้งยังทนมองคนถูกเอารัดเอาเปรียบไม่ได้ แต่นางตรงหน้านี้ไม่มีความอ่อนโยนในแววตาแม้แต่นิด นางลงมือโดยไม่ลังเล เป้าหมายของนางชัดเจนยิ่ง เพียงแค่มีคนหรือคำพูดใดทำร้ายลู่ยา ก็มีเพียงความตายรออยู่เท่านั้น…


เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มาจากไหน เห็นชัดอยู่ว่านางเป็นเพียงหัวเสิน หรือหลังจากติดตามลู่ยาจึงก้าวหน้าขึ้น แต่ก็น่าจะห่างจากขั้นที่อาจฆ่าเขาได้อยู่มาก แต่เขาคิดว่านางทำได้! เล็บทั้งห้าของนางกดลึกเขาไปบนผิว กำรอบลำคอเขาไว้พอดี เพียงแค่เขาขยับ จะอยู่หรือตายก็ไม่มีใครเดาได้!


“คนผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร?! เจ้าก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นลู่ยา ในเมื่อเจ้าบอกว่าคนผู้นั้นคือลู่ยา ทำไมถึงบอกว่าไม่รู้ว่าคือใคร!”


ซ่างกวนสุ่นพุ่งเข้าไปข้างหน้า ถามหลินเจี้ยนหรูอย่างร้อนรน


มู่จิ่วได้ยินคำนี้มือก็ชะงักเล็กน้อย แววตาก็แข็งกร้าวขึ้นทันที!


“เขา เขาสวมเสื้อเขียว…” หลินเจี้ยนหรูออกเสียงในลำคออย่างยากลำบาก


เสื้อเขียว!


มู่จิ่วพลันคลายมือออก ถามเสียงแข็งว่า “นอกจากเสื้อเขียวล่ะ!”


……………………………………….


บทที่ 345 มีนกดีที่ไหนกัน?

โดย

Ink Stone_Romance

ร่างของหลินเจี้ยนหรูที่ได้รับอิสระอีกครั้งร่วงหล่นลงไป เขายันตัวกับกำแพงเพื่อพยุงร่างไว้ กุมลำคอพลางพูด “นอกจากเสื้อสีเขียวแล้ว เขามีผมยาวสยาย หน้าตาไม่เหมือนลู่ยาก็จริง แต่นี่จะยืนยันอะไรได้? สำหรับเทพชั้นสูงอย่างพวกเขา การเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาเป็นเรื่องง่ายดายนัก! ประเด็นคือถึงแม้หน้าตาไม่เหมือน วิชาอาคมของเขากลับไม่ด้อยกว่าลู่ยาแน่!”


ชายชุดเขียว!


มู่จิ่วรู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นราดหัว เย็นเฉียบในพริบตาเดียว


คนที่เขาเจอที่ปรโลกเก้าแดนคือชายชุดเขียว!


ชายชุดเขียวมอบพลังบำเพ็ญและพลังวิญญาณให้หลินเจี้ยนหรู บีบให้เขาเข้าสู่ทางมาร และพลังที่เขาฝึกยังเป็นสายเสวียนหมิงอีก!


เช่นนี้หมายความว่าการคาดเดาของลู่ยาถูกต้อง คนที่อยู่ที่คลื่นจิตพสุธาคือชายชุดเขียว!


แต่ทำไมเขาถึงได้มีพลังสายเสวียนหมิงได้?


และทำไมอาคมของเขาถึงแข็งแกร่งกว่าลู่ยาอีก!


นี่มันไม่สมเหตุสมผล!


“เขายังพูดอะไรกับเจ้าอีก!” นางถาม


หลินเจี้ยนหรูกลับคืนสู่สภาพปกติ เขาลูบแขนเสื้อ พลันนึกถึงภาพในม่านแสงที่ชายชุดเขียวให้เขาดู นางในตอนนี้กับนางในอนาคตนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งชายชุดเขียวยังบอกอีกว่าอีกหมื่นปีให้หลังเขาจะตายด้วยเงื้อมมือของนาง! แต่เดิมเขาไม่เชื่อ แต่หลังผ่านเรื่องเมื่อครู่ไป เขากลับไม่อาจไม่เชื่อแล้ว


เขาตอบ “ไม่ได้พูดอะไร เขามอบพลังให้ข้าแล้วก็จากไป”


หลินเจี้ยนหรูไม่อาจพูดเรื่องเหล่านั้นออกมาได้ ไม่ว่าชายชุดเขียวจะใช่ลู่ยาหรือไม่ เขาก็เป็นคนคุ้นเคยยิ่งของนางทั้งนั้น หากนางรู้ทีหลังแล้วไปหาเขา เกรงว่าเขาก็คงเดือดร้อนไม่น้อย


มู่จิ่วมองเขาอย่างเย็นชา ก่อนนั่งลงไปบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านหลัง


ชายชุดเขียวที่พวกเขาตาหามาตลอด ที่แท้ก็เคยปรากฏตัวออกมา และยังเข้าใกล้หลินเจี้ยนหรูภายใต้สายตาของนาง เขาไม่ใช่ลู่ยาแน่นอน! ลู่ยาไม่ทำเรื่องพวกนี้แน่ๆ! เขาต้องไม่ช่วยคนชั่วทำเรื่องเลวร้าย รู้ว่าหลินเจี้ยนหรูทำเรื่องไม่ดีไว้ยังมอบพลังให้อีก!


ชายชุดเขียวผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่?


ไม่ นางต้องไปบอกลู่ยา!


“อาฝู!”


“ใต้เท้า!”


นางลุกขึ้นอีกครั้ง ขณะกำลังจะสั่งอาฝู เสียงของหลี่อี้ก็พลันลอยมาจากข้างนอก


นางรีบเก็บเขตพลัง ซ่างกวนสุ่นที่อยู่ใกล้ประตูเปิดประตูออก หลี่อี้เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตอนเห็นหลินเจี้ยนหรูเขาชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยอย่างรวดเร็ว “ใต้เท้า เกิดเรื่องที่เขาขลุ่ยหยกแล้ว! ไม่รู้ว่าจีหมิ่นจวินได้ข่าวมาจากไหนว่าหลินเจี้ยนหรูสืบทอดตำแหน่งผู้อาวุโสของฉางหลิวเจินเหริน จึงโกรธเกรี้ยวอย่างมาก ตอนนี้กำลังอาละวาดอยู่ที่นั่น!”


มู่จิ่วกวาดตามองหลินเจี้ยนหรูอย่างรวดเร็ว สีหน้าหลินเจี้ยนหรูพลันเปลี่ยน ความเย็นชาในแววตากลายเป็นความรังเกียจ


“ซ่างกวนสุ่นรั้งอยู่ก่อน ส่วนพวกเจ้าตามข้ามา!”


มู่จิ่วหยิบกระบี่เดินออกไป อาฝูรีบติดตาม


เขาบัวหยกกับเขาขลุ่ยหยกห่างกันเพียงสิบกว่าลี้ กั้นด้วยหุบเขาลึกเท่านั้น


พวกมู่จิ่วเดินทางมาได้ครึ่งทางก็ได้ยินเสียงวิวาทลอยมาแล้ว


มู่จิ่วคาดเดาไว้แล้วว่าจีหมิ่นจวินอาจจะอาละวาดแบบนี้ ในใจก็อยากเห็นว่านางที่เกรี้ยวกราดอยู่ตลอดเวลาจะกู้หน้ากลับมาอย่างไร แต่เรื่องบังเอิญเกิดขึ้นมาพอดี มู่จิ่วกลับไม่อาจสบายใจได้เช่นตอนแรก


ไม่นานก็มาถึงเขาขลุ่ยหยก เพิ่งเข้ามาก็ได้ยินเสียงแหลมสูงของจีหมิ่นจวิน “…ตั้งใจรวมหัวกันกลั่นแกล้งพวกเราแม่ลูก! หลินเจี้ยนหรูนับเป็นอะไร? มันฆ่าพ่อฆ่าน้องสาว เป็นเพียงสวะที่สมควรถูกฟ้าลงทัณฑ์! พวกเจ้ากลับยกย่องคนอย่างมันมาเป็นผู้อาวุโสของสำนัก ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ ไม่มีทาง! หากข้ายังอยู่ คนอย่างหลินเจี้ยนหรูอย่าได้คิดเป็นใหญ่ในแรกพยับ!”


มู่จิ่วเหลือบมองหลินเจี้ยนหรูที่ตามมาด้วยกัน ใบหน้านิ่งเฉยยามเดินผ่านประตูเข้ามา


ใบหน้าหลินเจี้ยนหรูเขียวคล้ำ เขาเดินเข้าประตูมา สายตาจับจ้องไปยังจีหมิ่นจวินที่ชี้กระบี่ไปทางพวกหัวชิงและคนอื่นอยู่กลางลานเปิดโล่ง


แน่นอนว่าสีหน้าของหัวชิงและคนอื่นไม่สู้ดีนัก แต่เมื่อเห็นมู่จิ่วนำเข้ามา ก็ยังเดินขึ้นมารับเล็กน้อยอย่างอับอาย ประสานมือเอ่ยว่า “เจ้าสำนักโชคไม่ดี ให้ใต้เท้ากัวเห็นเรื่องน่าหัวเราะแล้ว”


“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” มู่จิ่วเดินเข้าไปข้างใน ผ่านกลางวงพวกเขา ตรงเข้าไปยังโถงหลัก


กลุ่มคนเดินตามเข้าไป หัวชิงให้นางนั่งในตำแหน่งแขก ก่อนเอ่ย “เรื่องเป็นเช่นนี้ อีกไม่นานจะมีการเลือกเจ้าสำนัก ก่อนหน้านี้กำหนดไว้แล้วว่าให้ฉางหลิวเจินเหรินเป็นผู้สืบทอด และคิดจะเลื่อนให้หลินเจี้ยนหรูขึ้นมาแทนที่ตำแหน่งผู้อาวุโสของเขา คิดไม่ถึงว่าจีหมิ่นจวินกลับคัดค้าน ยืนกรานเสียงแข็ง ดังนั้นจึงเกิดการทะเลาะเบาะแว้งขึ้น”


มู่จิ่วมองไปทางหลินเจี้ยนหรูก่อนถาม “ตามที่ข้ารู้มา หลินเจี้ยนหรูไม่ได้มีพลังบำเพ็ญเพียงแค่สองร้อยปีหรือ? ด้วยพื้นฐานเช่นนี้ของเขา จะสืบทอดตำแหน่งสำคัญอย่างผู้อาวุโสได้อย่างไร?”


มือทั้งสองของหลินเจี้ยนหรูกำหมัดแน่น เห็นได้ชัดว่าตึงเครียดอยู่บ้าง


“มีส่วนที่ใต้เท้ายังไม่รู้อีก ถึงแม้อายุของหลินเจี้นหรูจะน้อย แต่เขามีพรสวรรค์ ทั้งยังมีวาสนาหลายต่อหลายครั้ง ตอนนี้ไม่เพียงมีพลังเท่าขั้นหัวเสิน พลังวิญญาณก็ยังเพิ่มขึ้นมาก ทั้งยังมีพลังเสวียนหมิงในร่าง ระดับความลึกล้ำไม่ได้ต่ำกว่าซ่านเซียนเลย และเขายังได้รับอิทธิฤทธิ์จากลู่ยาเต้าจู่มาอีก หากนับกันตามลำดับศักดิ์ เขาได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสก็นับว่าเหมาะสมแล้ว”


“เขาจะเป็นผู้สืบทอดของลู่ยาได้อย่างไร! เขาต้องไปฝึกวิชามารที่ไหนมาแน่!”


หัวชิงเพิ่งพูดจบ จีหมิ่นจวินก็แทรกเข้ามาทันที ชี้หลินเจี้ยนหรูพร้อมทั้งด่าทอเสียงดัง


หลินเจี้ยนหรูสีหน้าเรียบเฉย


มู่จิ่วมองหัวชิง “เจินเหรินแน่ใจได้อย่างไรว่าพลังเสวียนหมิงในร่างของเขามาจากลู่ยาเต้าจู่? หากบอกว่าคนที่ฝึกพลังเสวียนหมิงคือลู่ยา เช่นนั้นเสือขาวน้อยของข้าก็ฝึกพลังเสวียนหมิง เขาก็ต้องได้รับการเคารพยกย่องจากพวกเจ้าด้วยน่ะสิ?”


ลูกศิษย์ของลู่ยานับว่าเป็นรุ่นเดียวกับไท่ซ่างเหล่าจวิน ฐานะของอาฝูสูงกว่าพวกเขาไม่รู้ตั้งกี่เท่า ได้รับการเคารพจากพวกเขาก็ถูกแล้ว


หัวชิงพลันตอบโต้ไม่ออก


มือของหลินเจี้ยนหรูที่กำด้ามกระบี่อยู่แน่นขึ้นอีก


มู่จิ่วเห็นอยู่ แต่กลับไม่ใส่ใจ


“ไม่ผิด!” จีหมิ่นจวินรีบเข้ามาเสริม “ยืนยันได้อย่างไรว่าฝึกพลังสายเสวียนหมิงแล้วต้องเป็นลูกศิษย์ของลู่ยา? เขาไม่ได้ฝึกพลังสายเสวียนหมิงแล้ว ก็ยิ่งต้องถีบออกจากสำนักถึงจะถูก!”


“เจ้าหุบปากซะ!” มู่จิ่วหันกลับมา “พวกเราทำคดีก็ว่ากันไปตามจริง ในเมื่อเจ้าคิดว่าหลินเซี่ยกับจีหย่งฟางถูกสังหาร ทั้งยังปล่อยมานานขนาดนี้ค่อยมาร้องทุกข์ เช่นนั้นขอให้ในช่วงนี้เจ้ารีบรวบรวมหลักฐานมาให้ข้าโดยเร็ว ข้าจะได้รับสรุปเรื่องราวส่งไปให้ใต้เท้าหลิวตัดสิน”


พูดแล้วนางก็เงยหน้าขึ้นมองหัวชิง “ข้าจะไม่ก้าวก่ายเรื่องราวในสำนัก แต่เท่าที่ข้ารู้ ลู่ยาเต้าจู่ไม่เคยรับศิษย์ที่เป็นมนุษย์มาก่อน เจินเหรินเห็นความสำคัญของพลังเสวียนหมิงเป็นเรื่องดี แต่อย่าได้พลั้งเผลอทำเรื่องชั่วด้วยความตั้งใจดี หากลู่ยารู้ว่ามีคนอ้างชื่อเป็นศิษย์เขา หลอกคนไปทั่ว เกรงว่าถึงตอนนั้นเจินเหรินคงรับไม่ไหว!”


นางเหลือบตามองหลินเจี้ยนหรูอย่างเย็นชา ก่อนจะพาอาฝูกับหลี่อี้ออกไป


นางไม่อาจให้อภัยเรื่องที่หลินเจี้ยนหรูหมิ่นเกียรติลู่ยาได้! ถึงแม้เขาจะเล่าเรื่องขมขื่นหรือเรื่องที่จำเป็นมากกว่านี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะทำให้ลู่ยาแปดเปื้อน! ยิ่งไปกว่านั้นเขายังวางแผนใช้ชื่อลู่ยาหลอกลวงผู้คน ถึงขั้นนี้นางก็ไม่อาจให้อภัยคนเช่นเขาได้แล้ว!


………………………………


บทที่ 346 อาจารย์อาก่อเรื่อง

โดย

Ink Stone_Romance

กลุ่มคนเดินทางกลับเขาบัวหยก


ซ่างกวนสุ่นรอรับมู่จิ่วอยู่ที่ระเบียงทางเดิน หยิบบันทึกที่จดไว้เมื่อครู่นี้เข้ามาในห้องด้วย “คำให้การเมื่อครู่นี้ ต้องมอบให้หลี่อี้ด้วยหรือไม่?”


มู่จิ่วชะงักอยู่ตรงปากประตู


คำให้การของหลินเจี้ยนหรูเมื่อครู่สามารถยืนยันเรื่องที่เขาเป็นคนฆ่าหลินเซี่ยกับจีหย่งฟางได้แล้ว มีคำให้การอยู่ นางสามารถมุ่งกลับไปยังสวรรค์ได้ทันที แต่นางอยากทำเช่นนี้จริงๆ หรือ?


นางกำหมัด คิดถึงหลินเจี้ยนหรูที่ถูกจีหมิ่นจวิ้นชี้หน้าด่าทอ จึงโบกมือ “เก็บไว้ก่อนเถิด”


นางไม่อยากใจกว้างกับหลินเจี้ยนหรูอย่างไร้เหตุผล แต่ก็ไม่อยากให้เป็นไปตามใจของจีหมิ่นจวิน หากหลินเจี้ยนหรูจะตายก็ต้องตายด้วยกฎของสวรรค์เท่านั้น ไม่ควรตายด้วยความแค้นของจีหมิ่นจวิน เขาสามารถเป็นอย่างทุกวันนี้ จีหมิ่นจวินก็มีส่วนต้องรับผิดชอบเช่นเดียวกัน! นางอย่าได้คิดลำพองใจไป!


ซ่างกวนสุ่นตอบ “เช่นนั้นข้าจะเก็บไว้ก่อนแล้วกัน!”


พูดจบเขาก็นำอาฝูกลับห้อง


มู่จิ่วก็เข้าห้องไปนั่งอยู่ข้างโต๊ะ ไม่รู้สึกง่วงเลย


เรื่องที่ชายชุดเขียวช่วยหลินเจี้ยนหรูทำเรื่องชั่วนั้น ทำให้นางกระสับกระส่ายได้มากกว่าคดีในตอนนี้เสียอีก พลังที่ชายชุดเขียวให้เขาคือพลังเสวียนหมิง นางทดสอบด้วยตนเองแล้ว หัวชิงก็เชื่อโดยไม่มีข้อแม้ นี่เป็นการยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง ชายชุดเขียวฝึกพลังสายเสวียนหมิง ถ้าพิจารณาจากจุดนี้ เขาต้องเป็นคนสร้างเขตพลังที่คลื่นจิตพสุธาอย่างไม่ต้องสงสัย


แต่ที่แท้จริงเขาเป็นใครกันแน่? มีพลังแก่กล้าขนาดนี้มาจากไหน? แล้วทำไมเขาถึงได้คุ้ยเคยกับนางนัก? และทำไมต้องขวางทางลู่ยาด้วย?


ความเป็นไปได้เดียวที่จะฝึกพลังเสวียนหมิงได้กล้าแกร่งเช่นนี้มีเพียงปฐมวิญญาณ แต่ปฐมวิญญาณลาโลกไปนานแล้ว ย่อมต้องไม่อาจรู้จักนาง และยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะทำเรื่องน่าเบื่อพรรค์นี้ หากเขาคิดจะทำอะไรบางอย่าง จำต้องวางแผนซับซ้อนอย่างนี้ด้วยหรือ?


หากไม่ใช่ปฐมวิญญาณก็ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว


แต่พลังเสวียนหมิงของหลินเจี้ยนหรูเป็นของจริง…หรือว่าจะเป็นลู่ยาจริงๆ?


ลู่ยาวางแผนเรื่องเหล่านี้ไว้แต่แรก?


…ไม่ นี่จะเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!


ไม่เพียงลู่ยาจะทำเช่นนี้ไม่ได้ นับแต่เขาปรากฏตัวอยู่ข้างกายนาง เขาก็ไม่เคยห่างกายนางเลย! นางเจอชายชุดเขียวบนเขาไท่ครั้งแรก ยังอาศัยดอกบัวที่ลู่ยาประทับไว้หลบหนีออกมา หากเป็นเขาที่ก่อเรื่องทั้งหมดนี้ หากบอกว่าชายชุดเขียวก็คือเขา เช่นนั้นเป้าหมายของเขาคืออะไร?


หากลู่ยาคิดจะอาศัยพลังของคลื่นจิตพสุธามาเติมเต็มความทะเยอทะยานของตน…แต่เขาเป็นถึงหนึ่งในสี่จตุรเทพแล้ว ทำไมเขาต้องทำแบบนี้อีก? เขาเป็นคนที่ฐานะสูงส่งที่สุดในโลกนี้ วิชาอาคมแก่กล้าที่สุด เป็นหนึ่งในสี่เทพที่มีอำนาจมากที่สุด และในสายตาของเขาอำนาจก็ไม่ได้มีค่าอะไรกระมัง? พูดในอีกแง่หนึ่ง ถ้าเขาทะเยอทะยานก็ไม่จำเป็นต้องรอถึงตอนนี้!


อีกทั้งยิ่งไม่จำเป็นต้องยืมมือนาง และยิ่งไม่ต้องตั้งใจหลบซ่อนไม่ให้นางรู้ด้วย!


นางไม่เชื่อ ชายชุดเขียวไม่ใช่ลู่ยาแน่นอน!


แต่เขาเป็นใครกันแน่?


มือทั้งสองของนางยกขึ้นกุมหัว รู้สึกสมองชาไปทั้งหมด ทำให้ราวกับมีพลังเคลื่อนไหว วิ่งพล่านไปทั่วทั้งแขนขา


เขาไม่เพียงวางแผนสร้างคดีมากมายขนาดนั้น แต่ยังช่วยให้หลินเจี้ยนหรูเข้าสู่ทางสายมาร! หากนางเห็นย่อมต้องไม่อาจญาติดีกับเขาได้เหมือนเมื่อก่อนอีก…


ตอนนี้นางพลันคิดถึงความผิดปกติตอนที่จับหลินเจี้ยนหรูไว้ก่อนหน้านี้


ดูจากอาคมของเขา หากตอนนี้นางคิดจะบีบคอเขาก็ลำบากเกินไปแล้ว เว้นก็แต่เขาจะไม่ขัดขืนเลย แต่เมื่อครู่นี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดขัดขืน เห็นได้ชัดว่าสู้ไม่ได้ ตอนนั้นแม้นางจะกำลังโกรธอยู่ ทว่าตอนนี้หวนนึกถึงแล้วกลับรู้สึกเหมือนพลังพุ่งพล่าน ไม่ต้องพูดว่าเป็นหลินเจี้ยนหรู ถึงเป็นไท่ซ่างเหล่าจวินนางก็ไม่ละเว้น…


นี่คือเรื่องอันใดกัน?


นางมองมือตนเอง ยิ่งรู้สึกสับสน


นางจำได้ว่าคราวก่อนที่นางมีพลังทำลายฟ้าดินเช่นนี้ก็คือที่คุนหลุนตะวันออก นั่นเป็นเพราะลู่ยา ครั้งนี้แม้จะไม่ผิดปกติถึงขั้นนั้นแต่ก็เป็นเพราะลู่ยาเช่นกัน…


หรือพลังวิญญาณในร่างนางกับเขาจะเป็นเหมือนอย่างที่หลิวหยางบอก มีความเกี่ยวข้องกัน?


นางจ้องไปด้านหน้าแน่นิ่ง ก่อนจะยืนขึ้นมากะทันหัน…


ไม่ว่าพูดอย่างไร นางก็ควรจะไปหาลู่ยา บอกเขาเรื่องที่ว่าชายชุดเขียวเป็นคนสร้างเขตพลังที่คลื่นจิตพสุธา!


“อาฝู!”


นางเปิดประตูห้องอาฝู เรียกเขาออกมา ก่อนจะไปบอกซ่างกวนสุ่น แล้วขึ้นขี่อาฝูออกจากแรกพยับไป


มู่จิ่วเดาว่าลู่ยายังอยู่หงชาง นางจึงมุ่งหน้าไปที่นั่น จะได้ขอคำชี้แนะว่าจะจัดการเรื่องหลินเจี้ยนหรูอย่างไรดีด้วย


ลู่ยาอยู่ที่เรือนสนครวญมาสามวันแล้ว ไม่เห็นจื่อเย่าจะมา ในใจจึงไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก


จุ่นถีกลับอยู่อย่างสงบยิ่ง ทุกวันตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ไปฝึกพลังที่ป่าไผ่สักรอบ ก่อนกลับเรือนไปกินข้าวเช้า…นี่เป็นนิสัยที่ถูกบ่มเพาะมาตอนอยู่กับมู่จิ่ว ตอนนี้เคยชินไปเสียแล้ว ประเด็นคือที่นี่ยังมีอีกคนที่ถูกนางอบรมจนเป็นนิสัยอยู่ด้วย อาหารเช้าจึงสำคัญยิ่งนัก


หลังอาหารเขาก็จะไปอ่านหนังสือสักหนึ่งชั่วยาม จากนั้นกลับไปห้องคัมภีร์หรือไปชมดอกไม้ ให้อาหารนก อาหารกลางวันก็ไม่ชักช้า ยามกลางวันพักผ่อนสักครู่ ช่วงบ่ายก็ไปคัดลอกคัมภีร์ ฝึกสมาธิ ทำแบบนี้ทุกวันใช้เวลาเท่าเดิมไม่ขาดไม่เกิน กระทั่งก้าวเดินยังราวกับคำนวณมาแล้ว


ลู่ยาไม่ชินกับท่าทางดังคนแก่เช่นนี้ของเขาเลย


แต่ว่างก็คือว่าง เมื่อเห็นจุ่นถีเพิ่งออกมาจากโถงหลักที่สอนเหล่าศิษย์ฝึกพลัง ก็หมุนตัวเข้าไปแจกขนมให้เหล่าเด็กๆ ลู่ยาอาศัยตอนที่เขาไปเขียนยันต์พาเหล่าเด็กน้อยไปจับนกเป็ดน้ำ คราวก่อนที่เขาพลั้งมือทำลายเขาของสำนักตะวันอำพรางไปทำให้เกิดพื้นที่ราบแห่งหนึ่ง จื่อจิ้งสร้างสนามประลองที่นี่แล้วให้พวกเขาต่อสู้กัน ใครชนะจะได้ขวดที่ใส่ปลาส่องแสงได้จากทางช้างเผือกไป


ตอนนี้เหล่าเด็กๆ เล่นสนุกอยู่กับท่านอาจารย์ผู้ก่อตั้ง วันวันเล่นอยู่ในหุบเขาจนผมเผ้ายุ่งเหยิง


พวกมู่หัวมู่อวิ๋นมองจนปากสั่น ทำได้แต่ขอบคุณในความกรุณาอันล้นพ้นของอาจารย์อาใหญ่ผู้นี้


ล่วงเกินไม่ได้จริงๆ!


แต่หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปก็ไม่เข้าที! ดังนั้นหลังจากปรึกษาหารือกันแล้วจึงวิ่งโร่ไปฟ้องจุ่นถี


จุ่นถีฟังจบก็นิ่งไปครู่หนึ่ง เขาเพียงรู้ว่าลู่ยาพาเด็กๆ ออกไปเล่นข้างนอก ดูแล้วก็ไม่นับว่าเกินไป แต่คิดไม่ถึงว่าจะพาเด็กๆ ไปเปิดลานต่อสู้ให้ตีกัน!


นี่มันจะเกินไปแล้ว!


เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงลุกขึ้นไปหาลู่ยาที่ห้อง เรียกอีกฝ่ายอยู่ที่ริมหน้าต่าง


“อาจารย์อา”


ลู่ยาเพิ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา ทั่วทั้งร่างสะอาดสดชื่น เขารับชาหอมที่จื่อจิ้งส่งมาให้ก่อนถาม “จื่อเย่ามาแล้วหรือ?”


“ยังขอรับ” จุ่นถีฝืนตอบ “แม้จะยังไม่มา ท่านก็ไม่ควรทำให้เหล่าเด็กเสียคน และยังทำลายกฎระเบียบด้วย ต่อไปข้าจะสอนพวกเขาได้อย่างไร?”


“กฎ? ในสายตาข้าไม่มีกฎอะไรทั้งนั้น” ลู่ยาถือชาพลางนั่งลง นิ่งสงบอยู่บนเก้าอี้พร้อมเหลือบตามองเขา “หากเจ้าอยากคุยเรื่องกฎกับข้าจริงๆ เช่นนั้นก็ยึดตามมกฎของข้าก่อน จะดีร้ายข้าก็คืออาจารย์อาของเจ้าใช่หรือไม่? คนที่ข้าถามหาล่ะ? ไม่พาคนมาเจอข้าก็อย่าหวังจะมาพูดเรื่องกฎอะไร”


……………………….


บทที่ 347 เทพเซียนทะเลาะกัน

โดย

Ink Stone_Romance

***ประกาศ***

ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 62 เป็นต้นไป ท่านเทพมาแล้ว! ปรับวันอัปเดตเป็นทุกวัน เวลา 11.30 น. ค่ะ


“อาจารย์อา”


จุ่นถีมองเขา เดินหน้าเข้าไปสองก้าว “แต่ก่อนข้าเคยบอกแล้ว ความจริงที่ท่านต้องการข้าก็ไม่รู้ ส่วนจื่อเย่าอยู่ที่ไหนข้าก็ไม่ได้รู้อยู่ตลอดเวลา หากให้ข้าหา ข้าก็หาไม่เจอหรอก”


“หาไม่เจอก็อย่ามาวอแวกับข้า” ลู่ยายกเท้าสองข้างขึ้นวางบนโต๊ะกลม “เมื่อไหร่ที่เจ้าตามคนมาได้ ถึงตอนนั้นข้าค่อยสอนให้พวกเขาตั้งใจฝึกฝนบำเพ็ญเพียร” เขาหลุบตาลงจิบชา ก่อนเอ่ยอีกว่า “ที่จริงเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องลำบากเลย เพียงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังอย่างชัดเจน ข้าก็จะไปทันที ไม่อยู่ขวางตาเจ้า แต่เจ้ากลับไม่ฟัง!”


จุ่นถีชะงักไปนิด กุมมือมองลู่ยาอยู่นาน ก่อนสะบัดผ้าคลุมนั่งลงและรินชาให้ตนเอง


“ท่านไม่กลัวอาจิ่วเห็นท่าทางเช่นนี้ของท่านหรือ?”


ลู่ยามองตาขวาง “เจ้ากำลังเตือนข้าว่าให้ระวังเจ้าฟ้องนางเช่นนั้นหรือ?”


“ถึงข้าไม่ได้พูด ไม่ช้าเร็วนางก็จะรู้เอง” จุ่นถีพูดอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ถึงแม้ปกตินางจะดูโง่ แต่จริงๆ แล้วความคิดกลับไม่เป็นเช่นนั้น หากนางรู้ว่าท่านรั้งอยู่ที่นี่หลายวัน ทั้งยังก่อกวนหงชาง เกรงว่ากลับไปอาจารย์อาจะลำบากเอา”


แววตาของลู่ยาเย็นเยียบ “เช่นนั้นเจ้าว่าคู่หมั้นสำคัญกว่าหรืออาจารย์สำคัญกว่า?”


“นั่นก็ตอบยาก” จุ่นถีก็รินชาให้ตนเอง พูดเรียบๆ ว่า “ตอนเด็กอาจิ่วติดข้าที่สุด ตอนนางอายุได้สามขวบข้าชะล้างรากฐานวิญญาณให้นาง ตั้งแต่เข้าสู่หนทางเซียน นางเติบโตช้านัก ก่อนหน้านางจะเดินได้ตอนอายุห้าสิบปี ก็นอนอยู่ห้องเดียวกับข้าตลอด”


สีหน้าของลู่ยาไม่น่าดูยิ่งนัก


จุ่นถีกลับเอ่ยต่อไป “ไม่เพียงอยู่ห้องเดียวกับข้า แม้แต่เสื้อที่นางสวมก็ล้วนเป็นเสื้อที่ข้าทอขึ้นมาเอง บางครั้งยังเป็นข้าที่ผลัดเปลี่ยนเสื้อให้นาง…เรื่องนี้ไม่อาจโทษข้าได้ ข้ารับนางเป็นศิษย์หญิงเพียงคนเดียว คนทั้งภูเขาล้วนเป็นชายหนุ่ม มีเพียงข้าเท่านั้นที่ทำได้”


ถ้วยชาในมือลู่ยาแตกละเอียด! ใบหน้าก็คล้ำทะมึนราวกับเมฆฝน เหมือนไม่นานจะมีน้ำหยดออกมา


จุ่นถีกลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เดินหน้าพูดต่อ “ตอนมู่จิ่วยังเด็กไม่ว่าข้าจะเดินไปที่ไหน นางก็จะติดตามไปทุกที่ หากไม่พานางไป นางจะดึงชายเสื้อข้าไว้ไม่ยอมให้ไป แต่เพราะนางมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ สติปัญญาเติบโตมากกว่าเด็กทั่วไป ดังนั้นจึงไม่เคยงี่เง่าไร้เหตุผล


“มู่จิ่วจิตใจดี ไม่วุ่นวาย เด็กเช่นนี้แม้แต่ข้ายังเอ็นดูไม่น้อย อีกทั้งนางยังเป็นเด็กผู้หญิงและเป็นศิษย์คนเล็ก ดังนั้นข้าจึงปฏิบัติต่อนางใกล้ชิดกว่าศิษย์คนอื่น ไม่ว่าเรื่องอะไรนางก็สามารถคุยกับข้าได้ มีปีศาจแถวนี้เขียนจดหมายหานางหรือว่าผู้ฝึกตนหนุ่มคนไหนส่งดอกไม้ให้ เรื่องเหล่านี้ข้าล้วนรู้ทั้งหมด”


ลู่ยาก้มหน้าลงมองมือตนเอง ไม่รู้ว่าควรฟาดฝ่ามือนี้ให้เขาตายไปเลยดีหรือไม่…


จุ่นถีมองใบชาในถ้วยพลางเลิกคิ้วพูด “ลืมบอกท่านไป ตอนยังเด็กนางยังเคยพูดกับปีศาจจิ้งจอกที่ตีนเขาว่าอยากแต่งให้กับคนที่เป็นเหมือนข้า นางบอกว่าข้าเป็นคนที่อ่อนโยนที่สุด จิตใจดีที่สุด พึ่งพาได้ที่สุด และแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนที่นางพบเจอมา อาจารย์อาก็เห็นแล้ว ถึงแม้นางจะอยู่ด้วยกันกับท่าน แต่หลังจากที่นางรู้ว่าข้าหายไปยังทรุดตัวลงร่ำไห้เลย”


“เช่นนั้นเจ้าหมายความว่า สำหรับอาจิ่วพวกเราสองคนใครสำคัญกว่ากันแน่?”


ลู่ยารู้สึกว่าฟาดลงไปฝ่ามือเดียวจะเอาเปรียบเขาเกินไป


เขาควรจะเผาจุ่นถีให้เป็นจุณไปเสียเลย!


จุ่นถีเปลี่ยนเสื้อให้อาจิ่วหรืออยู่ห้องเดียวกับนางก็แล้วไปเถอะ แต่กลับกล้าโอ้อวดว่าตัวเองเป็นชายในฝันของนางต่อหน้าเขาอย่างจองหอง?


อีกฝ่ายคงอยากทดสอบว่ากระดูกของตนแข็งขนาดไหนแทบใจจะขาด…


“ศิษย์พี่จุ่นถี ท่านอย่าเล่นกับไฟ!”


จื่อจิ้งที่มองพวกเขาลับฝีปากกันอยู่นานพุ่งเข้ามาด้านหน้าดุจฟ้าแลบ ดึงแขนจุ่นถีไว้ “ท่านพูดเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าปีศาจน้ำส้มสายชูนี่ ท่านไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ!”


ถึงแม้หลายปีมานี้เขาจะก้าวหน้าขึ้น แต่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อกรของลู่ยาอยู่ดี! เขาบ้าไปแล้วหรือ ก็รู้ว่าเจ้าคนระยำนี่จัดการคนได้โดยไม่กะพริบตา ยังกล้าพูดแบบนี้อีก!


จุ่นถีไม่สนใจจื่อจิ้ง ยังคงมองเพียงลู่ยา


เขาเลี้ยงมู่จิ่วมาจนโต มองนางเป็นเหมือนลูกสาวของตนเอง ถึงแม้รู้ว่าวันหนึ่งนางก็ต้องออกเรือนจากตนไป แต่นี่เพิ่งไปสวรรค์ได้ไม่กี่เดือนกลับมีคนมาชอบพอเข้าแล้ว หากบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยจะเป็นไปได้อย่างไร แถมคนผู้นั้นยังเป็นอาจารย์อาของตนเองผู้นี้อีก ความรู้สึกบางอย่าง มีเพียงคนในอย่างเขาเท่านั้นที่เข้าใจจริงๆ


“เจ้ายังมีอะไรอยากพูดอีกหรือไม่? มิสู้พูดออกมาให้หมด” ลู่ยาวางมือบนเข่า หรี่ตามองจุ่นถี ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องให้เขาลงมือ เพียงแค่มองด้วยสายตาก็สามารถแผดเผาอีกฝ่ายจนเป็นจุณได้แล้ว เห็นแก่อาจิ่ว เขาจะให้จุ่นถีพูดให้พอก่อน จากนั้นจะให้ตายอย่างมีความสุข


“ไม่มีแล้ว” จุ่นถีเลิกคิ้ว “แต่ถ้าจะให้พูด ก็ขอให้อาจารย์อารักษาตัวให้ดี อันที่จริงหากข้าตายแล้วอาจิ่วทะเลาะกับท่านอีก นางก็จะไม่มีแม้แต่บ้านให้กลับ ไม่แน่ว่าอาจไม่สนใจใยดีท่านอีกตลอดชีวิต”


ลู่ยาไม่อยากพูดไร้สาระกับเขาอีก


เขาเป็นคนที่ยอมรับคำข่มขู่ของผู้อื่นหรือ?


ไม่ใช่แน่!


ลู่ยาพลันสะบัดผ้าคลุม ม้วนเอาลมขุมหนึ่งขึ้นมา กลางอากาศมีดอกบัวทองลอยขึ้นมากมาย ราวกับสายฟ้าฟาดท่ามกลางฝน ฝนดาวตกท่ามกลางฟ้ามืด พลันล้อมรอบตัวจุ่นถีเอาไว้


จุ่นถีนั่งอย่างสงบ ไม่ได้ลงมือตอบโต้ ทั้งยังไม่มีท่าทีตกใจ เพียงดื่มชาแก้วนั้นจนหมดอย่างสงบ ก่อนถอยไปด้านหลังกลางอากาศ พร้อมสร้างกำแพงน้ำขึ้นมาขวางด้านหน้า


พูดไปก็แปลก ดอกบัวเหล่านั้นเมื่อเจอกับกำแพงน้ำก็พลันถอยร่น เรียงตัวกลายเป็นกำแพงดอกไม้…


“ศิษย์พี่จุ่นถีสุดยอด!”


จื่อจิ้งปรบมือชื่นชม


ลู่ยาเก็บดอกบัวมาด้วยใบหน้าบึ้งตึง มองฝ่ายตรงข้ามอย่างเย็นชา “หลายปีมานี้นับว่าเจ้าไม่ได้เสียเวลาเปล่า นี่คือมหาอาคมดูดกลืนวิญญาณใช่หรือไม่?”


“อาจารย์อาชมเกินไปแล้ว” จุ่นถีเดินกลางอากาศ ก่อนเอ่ย “เทียบกับอาจารย์อาแล้วยังไม่นับเป็นอะไรได้”


ลู่ยายิ้มเยาะ “รู้ก็ดีแล้ว!”


เขาพูดยังไม่ทันจบ ทันใดนั้นจุ่นถีพลันขยับตัวไม่ได้…ไม่ใช่ไม่อยากเดิน เท้าขวาของเขายังสามารถยกขึ้น แต่ขยับไม่ได้!


ไม่เพียงขยับไม่ได้ ใต้เท้ายังมีหลุมไฟปรากฏขึ้นมาอย่างช้าๆ ด้วย!


หลุมไฟนี้เริ่มจากใต้เท้าเขา จากนั้นค่อยๆ กระจายไปทั้งสี่ทิศ หินไฟสีแดงเพลิงเหมือนกับน้ำแกงสีแดง คลื่นไอร้อนลอยขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า!


จื่อจิ้งร้องครวญพลางถอยออกไปก่อนแล้ว


จุ่นถีมองลู่ยา “อาจารย์อาลงมือว่องไวนัก”


“เก็บคำพูดไร้สาระไว้ซะ!” ลู่ยายิ้มเยาะ “เล่าเรื่องที่เจ้ารู้ออกมาให้หมด จื่อเย่าคือใคร ชายชุดเขียวคือใคร พวกเขาหรือพวกเจ้าวางแผนร้ายอะไรไว้? อีกอย่าง พลังวิญญาณในร่างมู่จิ่วคืออะไร? พวกเจ้ายังคิดจะทำอะไรอีก? อย่าได้พูดตกไปสักประโยคเดียว ไม่เช่นนั้นแล้วข้าจะทำให้เจ้าอับจนหนทาง แล้วก็ไม่ต้องมาคอยรับผลลัพธ์ที่ตามมาอีก”


ใบหน้าของจุ่นถีกระตุก แม้เปลวเพลิงใต้เท้าจะแผดเผาจนเขาร้อน แต่ดวงตาทั้งสองกลับเย็นเยียบ


…………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)