ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 343-344
ตอนที่ 343 เขาบอกว่าข้าน่าเกลียด ไม่ใ...
กลีบดอกไม้ปลิวใส่ใบหน้าของตู๋กูซิงหลัน ส่งกลิ่นหอมจางๆ ทำให้คนรู้สึกสดชื่น
ชือหลียิ้มมองดูนาง “ในโลกนี้มิได้มีเพียงแผ่นดินแห่งนี้แห่งเดียว ยังมีดินแดนที่ทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแออื่นๆ อีกมากมาย และไม่ได้มีแต่พวกมนุษย์ แต่ยังมีจิตวิญญาณภูติเทพผีปีศาจอื่นๆ อีกเยอะแยะ ต่างก็มีที่ทางของตนเองทั้งนั้น”
“ในหมู่มนุษย์ก็มีนักพรตที่ฝึกฝนจนเป็นเทพเซียน โบยบินขึ้นสู่สวรรค์” ชือหลีว่าต่อไป “ต่อให้เป็นเผ่ามังกรตะวันตก ก็ยังเป็นเพียงแค่มุมเล็กๆ ของใต้หล้าเท่านั้น ในใต้หล้าที่กว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้ ข้าผู้เป็นเทพกลับได้พบกับเจ้าอย่างบังเอิญ ก็ถือเป็นวาสนา ได้คบหาเจ้าเป็นสหาย”
คำว่าสหายสองคำนี้ ทำให้ชือหลีอยู่ๆ ก็คิดถึงคำพูดของตู๋กูเจวี๋ยขึ้นมา “มีสหายเพิ่มคนหนึ่งก็มีหนทางเพิ่มขึ้น มีพี่น้องเพิ่มคนหนึ่งก็มีครอบครัว”
จะว่าอย่างไรดี ตู๋กูซิงหลันผู้นี้ถือว่าควรค่าแก่การคบหาเป็นสหายได้อย่างแท้จริง
ไม่แน่ว่าอาจมีสักวันหนึ่ง ตนอาจจะได้ไปที่ท่องเที่ยวในโลกโน้นของนางบ้างก็ได้
คำพูดนี้ของชือหลี ได้เปิดประตูบานใหญ่ให้กับตู๋กูซิงหลัน นางเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่จะต้องเผชิญต่อไปในอนาคตนั้นไม่ใช่เพียงแค่โลกใบเล็กๆ นี้เท่านั้น
“โอรสสวรรค์ต้าโจวผู้นั้นก็มิใช่คนธรรมดา จึงไม่อาจจะคาดเดาได้เลยว่าต่อไปพวกเจ้าจะต้องเผชิญกับสิ่งใด สมควรถนอมวันเวลาตรงหน้าทุกวันเอาไว้ อยู่อย่างมีความสุขเถอะ” ชือหลีพูดพลางก็เลื้อยเสียงสวบสาบลงมาจากบนต้นไม้ ส่งไข่มุกสีฟ้าลูกใหญ่ลูกหนึ่งให้กับตู๋กูซิงหลัน “นี่คือไข่มุกมังกรแห่งทะเลตะวันตก ถือเป็นของขวัญจากลาให้เจ้าละกัน”
ไข่มุกลูกใหญ่ส่องประกายแสงสีฟ้างดงาม ภายในยังมีมังกรน้อยสีทองอยู่ตัวหนึ่ง งดงามน่าดูอย่างยิ่ง
ไข่มุกมังกรนี้ ถือเป็นสิ่งของล้ำค่าของเผ่ามังกร ชือหลีพอมอบของขวัญก็ให้สิ่งนี้กับนาง ตู๋กูซิงหลันถึงกับต้องตกตะลึงแล้ว
“ไข่มุกมังกรนี้เจ้าต้องเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี อย่าเอาไปขายล่ะ” ชือหลีสั่งกำชับ “ภายหน้าพวกเราจะต้องได้พบกันอีก เผื่อว่าข้าจำเจ้าไม่ได้แล้ว อย่างไรเสียก็ยังจำไข่มุกมังกรนี้ได้”
พูดเสียเช่นนี้ใจของตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกหวิวๆ ขึ้นมา “การเดินทางไปเผ่ามังกรตะวันตกของเจ้า มันตรายมากเลยหรือ?”
มิเช่นนั้นไฉนจึงบอกได้ว่าคราวหน้าอาจจะไม่รู้จักกัน
ชือหลีเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก็ส่งยิ้มหวานให้กับนาง “หากว่าข้าเกิดตกในอันตรายจริงๆ เจ้าจะมาช่วยข้าหรือไม่?”
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ชือหลีนั้นคือคนงามอย่างแท้จริง
เส้นผมสีแดงดวงตาสีชาด งดงามอย่างหยิ่งทนง บนร่างยังเปล่งประกายเสน่ห์ที่น่าดึงดูดเป็นพิเศษบางอย่างออกมา
ตู๋กูซิงหลันเองก็หัวเราะออกมาแล้ว “หากว่าเจ้ากลายเป็นพี่สะใภ้รองของข้า ข้าก็จะลองคิดๆ ดูดีไหม?”
“เพ้ย” ชือหลีกรอกตาขาวใส่นาง “เจ้าพี่รองกระต่ายน้อยของเจ้า ไม่เข้าตาเราผู้เป็นเทพหรอก”
ใช่แล้ว….นางผ่านการผิดหวังในความรักมาครั้งหนึ่งแล้ว เกือบจะทำให้ตนเองถูกกลบฝังเสียด้วยซ้ำ ไหนเลยจะยอมทำตัวโง่เง่าไปแส่หาคนรักอีกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ากระต่ายน้อยตู๋กูเจวี๋ยนั่นก็ยังปากมากเสียขนาดนั้น หากว่านางอยู่กับเขา มีหวังต้องรำคาญเขาจนตาย
“ไม่เข้าตาจริงๆ หรือ?” ตู๋กูซิงหลันจับจ้องมองดูนางด้วยสายตาหยาดเยิ้ม “พี่รองของข้าทั้งรูปงาม ผิวก็ขาว ขาก็ยาว ใสซื่อบริสุทธิ์ดั่งดอกฉูจวี๋ [1] …..”
“พอเถอะๆๆ สตรีเช่นเจ้าเนี่ยนะ ทำไมถึงได้ไม่รู้จักความเขินอายกับเขาบ้าง” ชือหลีสะบัดแขนเสื้อ “อยู่ดีๆ ก็ทำตัวเป็นยายแก่ นั่นนะเป็นพี่ชายของเจ้านะ มิใช่เด็กน้อยในบ้านที่เจ้าต้องไปคอยดูแล”
ดูท่าทางของตู๋กูซิงหลันสิ แตกต่างอะไรกับพวกย่ายายที่คอยนำเสนอจับคู่ลูกหลานในบ้าน
ตู๋กูซิงหลันเห็นนางหงุดหงิดจนอารมณ์เสีย ก็มิได้หยอกเย้านางอีก เพียงพูดว่า “เจ้าไม่ไปเมืองหลวงสักรอบเป็นเพื่อนข้าจริงๆ หรือ ไปเจอคนรู้จักเก่าๆ ก็ดีออกนะ?”
“ไม่ไป ไม่ไป” ในใจของชือหลีบังเกิดความลังเล แต่ปากกับแข็งขืน “คนบ้านเจ้าเป็นพวกปากมากสืบทอดมาแต่บรรพชนเสียจริงๆ ทำไมถึงได้ไปเหมือนกับพี่ชายของเจ้าเช่นนี้ พูดมากอยู่นั่น”
ตู๋กูซิงหลัน คิดดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตอบอย่างจริงจังว่า “พี่รองพูดเก่งกว่าข้าอยู่ชัดๆ”
ว่าแล้ว ก็จิ้มปลายหางของนางเล็กน้อย “หากว่าเจ้าไม่ไปเมืองหลวง แล้วมีอะไรอยากจะฝากข้าไปหรือไม่?”
“เจ้าอย่ามาทำเป็นพอได้เปรียบก็ชักจะเจ้าเล่ห์ขึ้นมา” ชือหลีดึงหางของตนเองกลับไป “ไข่มุกมังกรตะวันตกก็ให้เจ้าไปแล้ว ยังคิดจะเอาอะไรอีก เป็นคนอย่าได้โลภมากนัก”
สตรีผู้นี้ช่างละโมบเสียจนผู้คนต้องหงุดหงิด
นางทางหนึ่งพูดไปทางหนึ่งก็ดึงเกล็ดงูชิ้นหนึ่งออกมา “ให้พี่ชายเจ้าไปเสีย บอกให้เขาวาดภาพข้าให้ดีๆ หน่อย หางของข้าเป็นสีเขียวเหลื่อมพรายที่งดงาม ไหนเลยจะเป็นสีน่าเกลียดเหมือนที่เขาวาดออกมากัน”
ตู๋กูซิงหลันหัวเราะพลางเก็บเอาไว้ ขณะที่นางคิดจะพูดอะไรกับชือหลีต่ออีกสักหน่อย ก็ได้ยินเสียงนางเลื้อยสวบสาบขึ้นไปบนต้นไม้ ปีนกำแพงออกไป เพียงแวบเดียวก็จากไปโดยไม่เหลือเงาอีก
“ภูเขายังเขียวขจีสายน้ำยังรินไหล พวกเราจะต้องได้พบกันอีก”
เสียงของชือหลีลอยมาในยามค่ำ สะท้อนกลับไปกลับมาในอากาศ
ตู๋กูซิงหลันถือเกล็ดสีเขียวที่งดงามแผ่นนั้นเอาไว้ ริมฝีปากแดงขยับยก “แล้วพบกันใหม่”
จะต้องได้เจอกันอีกแน่นอน
……………………..
เหลียงเซิงเซิงตื่นขึ้นมาในอีกเจ็ดวันให้หลัง เป็นฉู่เจียงที่มารักษาให้ด้วยตนเอง
เด็กน้อยผู้นี้ ตื่นก็ตื่นขึ้นมาแล้ว เกรงว่าเพราะถูกฉู่เจียงกัดไปไม่เบา พอรู้สึกตัว ได้ยินข่าวเรื่องที่เหลียงป๋อจากไปแล้ว คนก็กลายเป็นสติสตางค์เลื่อนลอยขึ้นมา
หลังจากที่ร้องไห้น้ำตาไหลพรากอยู่ทั้งวันแล้ว พอตกดึกเงียบสงบไร้ผู้คนก็ตระเตรียมเชือกออกมาเส้นหนึ่งจะเอาไปแขวนคอส่งตัวเองไปสวรรค์
พึ่งจะแขวนเชือกขึ้นไป ก็เห็นบนต้นไม้มีศีรษะคนหลายศีรษะหล่นลงมา
เหลียงเซิงเซิงตระหนกเสียจนวิญญาณเกือบจะหลุดออกจากร่างอยู่แล้ว
พอหันหน้าไปก็เห็นว่าฉู่เจียงกำลังอยู่ข้างกายนาง ดวงตาสีเขียวราวมรกตคู่นั้นจับจ้องมาที่ตัวนาง
จากนั้นเขาก็กวาดตามองขึ้นไปบนเชือกป่านบนต้นไม้ “ยังไม่ทันได้รับอนุญาตจากข้า เหยื่อตัวน้อยอย่างเจ้าก็กล้าจะตัดสินความเป็นตายของตนเองแล้วหรือ?”
เหลียงเซิงเซิงทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว น้ำตาของนางไหลพราก “ไม่มีท่านปู่แล้ว ข้าเสียใจเหลือเกิน มิสู้ติดตามท่านปู่ไปดีกว่า ข้าตายไปแล้วเจ้าจะขบข้า กัดข้า กินข้าอย่างไร ข้าก็ไม่กลัวอีกแล้ว”
สุดท้ายแล้วนางก็ยังเป็นเพียงสาวน้อยนางหนึ่งที่เหลียงจวิ้นอ๋องเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม ใสซื่อเสียจนคนอยากจะขยุ้มหัวตนเอง
“ปู่ของเจ้าตายไปแล้ว เจ้าไม่คิดจะล้างแค้นให้เขา เอาแต่เฝ้าครุ่นคิดด้วยความคิดถึงอย่างเดียว?” ฉู่เจียงกอดอกเอาไว้ ไล่บี้นาง
“ข้า…ข้าเป็นเพียงแค่เด็กสาวคนหนึ่ง ข้าจะไปแก้แค้นให้กับท่านปู่ได้อย่างไร ฮือ ฮือ ฮือ”
“เจ้าเป็นพระสนมกุ้ยเฟยที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องของฮ่องเต้ เป็นหลานสาวของเหลียงจวิ้นอ๋อง ติดตามฮ่องเต้เข้าวัง กลายเป็นคนข้างหมอนของเขา พอเขาหลับเมื่อไหร่ ก็แทงคอเขาดาบหนึ่ง มิใช่ว่าแก้แค้นได้แล้วหรือไร?”
ฉู่เจียงซึมซับไอแค้นมานาน ความคิดความอ่านออกไปทางดำมืด ชอบช่วยผู้อื่นวางแผนร้าย
ที่จริงแล้วเขามิได้คิดร้ายต่อจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลัน เพียงคิดอย่างง่ายๆ ว่าหากเหลียงเซิงเซิงทำเช่นนั้นจริง ก็คงจะเป็นเรื่องน่าสนุกไม่น้อย
เหลียงเซิงเซิงตะลึงไป ครุ่นคิดคำพูดของเขาอย่างละเอียด
เมื่อครู่นางร่ำไห้ด้วยความเสียใจมากไป ตอนที่นางตื่นขึ้นมานั้น ฮ่องเต้ก็ได้เสด็จมาเยี่ยมนาง
ท่านปู่ก่อกบฏล้มเหลวพ่ายแพ้จนตัวตาย …….นางก็ถือเป็นลูกหลานของกบฏ เมื่อไม่ถูกประหารก็ต้องนับว่าเป็นโชคดีแล้ว
ฝ่าบาทยังทรงอุตส่าห์เสด็จมาเยี่ยมนาง ยิ่งกลายเป็นเรื่องเหลือเชื่อแล้ว
นางเองก็เคยทูลถามออกไป ว่าฝ่าบาทจะทรงมีพระประสงค์ให้นางเข้าวังหรือไม่
แต่ว่าฟังคำ….ที่พระองค์ทรงตรัสออกมาสิ
“ฮือ ฮือ ฮือ ทรงตรัสว่าข้าน่าเกลียดเกินไปแล้ว ไม่ให้ข้าเข้าวัง!” เหลียงเซิงเซิงร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง
——
[1] 雏菊ดอกเดซี่
——
ตอนต่อไป “ถูกเจ้าจับกิน”
ตอนที่ 344 ถูกเจ้าจับกิน
ตั้งแต่เล็กจนโต ทุกคนต่างก็บอกว่านางงดงามน่ารักเหมือนดั่งดอกไม้ มีแต่ฮ่องเต้พระองค์เดียวที่ตรัสว่านางน่าเกลียดจนไม่อยากเจอ
ทรงตรัสว่ารู้สึกเสียพระทัยที่แต่งตั้งนางเป็นพระสนม จะทรงเรียกราชโองการกลับคืน ให้นางไปเป็นประชาชนคนธรรมดา
“ข้าไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าวังแล้ว แล้วจะไปล่อลวงฮ่องเต้ได้อย่างไร….ฮือ ฮือ ฮือ พระองค์ยังทรงรังเกียจว่าข้าอัปลักษณ์…..” เหลียงเซิงเซิงร้องไห้ออกมาอีกครั้ง คนลงไปนั่งกับพื้น สะอึกสะอื้นฮึกฮัก เหมือนดั่งเด็กน้อยที่ถูกรังแกโดยไม่ได้รับความยุติธรรม
“ยิ่งไปกว่านั้น…..ในวังมีพระสนมตั้งมากมาย ข้าเคยได้ยินท่านปู่บอกว่า สตรีเหล่านั้นเก่งกาจและน่ากลัว ล้วนสามารถควักหัวใจเลาะกระดูก ถลกหนังผู้คน ข้า…..ข้าแม้แต่มดยังไม่กล้าเหยียบ แล้วข้าจะไปสู้กับพวกนางได้อย่างไร…..”
เหลียงเซิงเซิงยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ พึ่งจะสงบลงมาได้สักหน่อยก็ร้องไห้ออกมาอีก
“ฮือ แงๆ …..ข้ามันใช้ไม่ได้จริงๆ! หน้าตาอัปลักษณ์แล้วยังโง่ ……ท่านปู่ เซิงเซิงไม่ได้เรื่อง เซิงเซิงได้แต่ตายไปอยู่เป็นเพื่อนท่าน….ฮือ แง แง แง…”
พูดแล้ว นางก็ลุกขึ้นมา ยื่นลำคอเข้าไปในบ่วง เขย่งเท้าอยู่บนเก้าอี้เตี้ย จะเอาตัวเองขึ้นไปแขวนคอจริงๆ
ฉู่เจียงมองแล้วก็ยิ้มไม่ออก หัวเราะไม่ได้
ความใสซื่อนั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่นางก็รู้จักตนเองเป็นอย่างดี
ทั้งยังคิดจะฆ่าตัวตายจริงๆ!
ฉู่เจียงมองดูอยู่ด้านข้าง เห็นใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นดิ้นรนเอาชีวิตรอดจนสีเขียวคล้ำ
เหลียงเซิงเซิงรู้สึกถูกรัดคอเสียจนสมองมึนงง ความรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกอย่างแรงนั้นทำเอานางสำนึกเสียใจขึ้นมาแล้ว
ความตายไม่น่ากลัว…..ที่น่ากลัวคือความทรมานขณะที่กำลังจะตายนั้นต่างหาก
นางแยกเขี้ยวตะกายมือออกไป เห็นฉู่เจียงยืนมองตนเองอย่างเย้ยหยัน
ก็หันไปหายื่นมือไปทางเขา
ฉู่เจียงยื่นมือออกไปในทันที คว้ามือของนางเอาไว้ “สำนึกเสียใจแล้ว? ไม่อยากตายแล้ว?”
กลัวตายเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ไม่มีอะไรน่าละอาย
เหลียงเซิงเซิงผงกศีรษะ ทำท่าทำทางชี้ไปที่ลำคอของตนเอง อยากให้ฉู่เจียงช่วยจัดการให้นางตายอย่างรวดเร็ว
ฉู่เจียงขมวดหัวคิ้ว พอเห็นว่าใบหน้าของนางเริ่มแดงดั่งตับหมูขึ้นมา ปลายนิ้วของเขาก็ขยับเล็กน้อย เชือกป่านเส้นนั้นก็ขาดลงในทันที
เสียงของหล่นดัง ‘ตุบ’ เหลียงเซิงเซิงล้มลงไปบนพื้น ก้นกระแทกกับแผ่นหินจนแทบแตกแล้ว
นางแสบคออย่างหนัก หอบหายใจเข้าไปอีกหลายครั้ง การขาดอากาศทำให้นางมึนศีรษะจนตาลาย ต้องสูดหายใจลึกๆ อยู่หลายรอบถึงได้ค่อยสงบลง
เมื่อครู่…….นางดิ้นรนอยู่บนเส้นแบ่งของความตาย
ความรู้สึกเมื่อครู่นั้นช่างทรมานจริงๆ ตอนนี้ยิ่งเหมือนกับได้เกิดใหม่
“ขนาดตายยังไม่กลัว แล้วยังจะกลัวการมีชีวิตอยู่?” ฉู่เจียงยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้านาง ดวงตาสีมรกตคู่นั้นจับจ้องดูนาง “ใต้หล้านี้มีผู้คนตั้งมากมายเท่าไหร่ที่ต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิตเพื่อความอยู่รอด เจ้ามาขอตายเอาง่ายๆ เป็นการไม่ให้ความเคารพต่อคุณค่าของชีวิต”
สำหรับฉู่เจียงแล้ว สิ่งที่เขาชิงชังที่สุดก็คือคนที่ยอมจบชีวิตตนเองไปอย่างง่ายๆ พวกนั้น…..
เขาจำไม่ได้แล้วว่ามันนานกี่ปีมาแล้ว ตอนที่เขายังเคยเป็นมนุษย์อยู่นั้น ก็เคยต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นกัน
ความรู้สึกในตอนนั้น เขายังคงจดจำมันได้อย่างชัดเจนจนถึงตอนนี้
เหลียงเซิงเซิงยังโชคดีกว่าผู้คนอื่นๆ อีกมากมาย
เหลียงป๋อตายไปแล้ว แต่ก็ยังทิ้งสมบัติเอาไว้ให้นางสามารถอยู่ได้อย่างสุขสบายไปจนชั่วชีวิต
จีเฉวียนไม่พานางเข้าวัง เพราะอยากเว้นทางรอดไว้ให้นาง
ไม่มีใครตามล่านาง นางสามารถอยู่ต่อไปได้อย่างสบายแต่ว่ากลับอ่อนแอจนร้องหาความตาย
เหลียงเซิงเซิงลืมตาโตขึ้นมามองดูฉู่เจียง นางแทบจะไม่เชื่อสายตาของตนเอง
ว่านางจะมาได้ยินคำว่า ‘เคารพต่อคุณค่าของชีวิต’ จากปากของเขา นางเกือบจะสงสัยว่าตัวเองหูฝาดไปแล้ว
ตอนที่เขาตัดศีรษะคนนั้น ดวงตายังไม่ได้กระพริบเลยเสียด้วยซ้ำ
ราวกับว่าฆาตกรกำลังมาสั่งสอนนาง ถ้อยคำที่จะมาโน้มน้าวสักคำก็ไม่มี
เหลียงเซิงเซิงกุมลำคอของตนเองเอาไว้ กระแอมไอออกมาอีกหลายครั้ง สีหน้าค่อยดูเป็นปกติขึ้นมา
นางมองดูฉู่เจียงตาไม่กระพริบ กล่าวอย่างอ่อนล้าว่า “แต่ว่าต่อให้ข้าไม่ตาย….ก็ต้อง…ก็ต้องโดนเจ้าจับกินอยู่ดีนี่….”
“มีชีวิตอยู่ตอนถูกจับกิน มันเจ็บปวดมากเกินไปแล้ว …… หากว่าตายแล้วค่อยถูกกิน….ก็จะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแล้ว”
จนถึงตอนนี้นางก็ยังจำความรู้สึกที่ถูกฉู่เจียงกัดในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี นี่คงจะกลายเป็นเงาอยู่ในใจไปชั่วชีวิต
ฉู่เจียงถูกนางยั่วโมโหจนต้องทั้งโกรธทั้งขำแล้ว
เพราะฉะนั้นที่นางคิดจะจัดการกับตนเองนั้นที่สุดแล้วก็เป็นเพราะตัวเขา?
“ก็อย่างที่ฮ่องเต้ทรงรับสั่งว่า เจ้ามันอัปลักษณ์ แล้วข้าจะกินเจ้าทำไม? ให้ตนเองกลายเป็นอัปลักษณ์หรือ?” ฉู่เจียงสองมือไขว้หลังพูดด้วยท่าทางกวนๆ
เหลียงเซิงเซิงที่พึ่งจะสงบอารมณ์ลงได้ ความเชื่อมั่นต้องพังทลายลงอีกครั้ง
ตอนนี้นางชักจะจมดิ่งลงไปในความเชื่อที่ว่าตนเองนั้นอัปลักษณ์เสียจนผู้คนชิงชังเทพผีรังเกียจ แม้แต่ปีศาจก็ยังไม่อยากจะกินนางแล้วหรือ?
เหลียงเซิงเซิงเริ่มสะอึกสะอื้นอีกครั้ง พอเริ่มสะอื้น ฉู่เจียงก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
เขากลัวการได้ยินสตรีร้องไห้ที่สุด แต่พอได้เห็นเหลียงเซิงเซิงที่ทำท่าทำทางน่าสงสารกลับไม่ได้รู้สึกรังเกียจสักเท่าไร
มือของเขายื่นออกไปก็แบกนางขึ้นมาบนหัวไหล่
เหลียงเซิงเซิงปาดเช็ดจมูก นางถูกฉู่เจียงแบกเอาไว้ ก็ชักจะรู้สึกว่าเลือดกำลังไหลไปรวมที่หัวหมดแล้ว
“เจ้าไม่ใช่ …..ไม่ใช่บอกว่าข้าอัปลักษณ์มากหรอกหรอ?” เหลียงเซิงเซิงกล่าวอย่างระมัดระวังเกรงว่าจะทำให้เขาขุ่นเคือง ในใจยิ่งเต็มไปด้วยความกังวล
ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือนางกลัวเจ็บ ….ถูกกินทั้งเป็นจะต้องเจ็บมากอย่างแน่นอน
ที่กลัวที่สุดก็คือกลัวเขาจะกลับคำ ถึงจะบอกว่านางอัปลักษณ์แต่ก็ยังจะกินลงไป
ฉู่เจียงอยากจะตบหัวนางให้ป่นเป็นผงลงไปในครั้งเดียวเสียจริงๆ สีหน้าของเขาเคร่งขรึม “ข้าจะไม่กินเจ้า แต่จะพาเจ้ากลับไปเขาฝูซางซาน ยกน้ำชาเทน้ำเจ้าทำได้ใช่ไหม?”
เหลียงเซิงเซิงถูกเลี้ยงดูมาอย่างคุณหนูน้อยมาตั้งแต่เล็ก ยกน้ำชาเทน้ำเป็นกับเขาที่ไหนกัน
แต่พอคิดว่าให้ทำเรื่องเหล่านี้ก็ยังดีกว่าถูกกิน ก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่รับไม่ได้
นางพยักหน้าอยู่บนหัวไหล่ของฉู่เจียง “ข้า….ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุด”
ทำไม่เป็น ก็หัดเอาได้….
เหลียงเซิงเซิงกำหมัดขึ้นมา อย่างตัดสินใจได้แล้ว
นางเป็นคนไร้ค่า ไม่มีความสามารถจะไปแก้แค้นให้กับท่านปู่ ต่อให้มี….นางก็ไม่สามารถทำเรื่องทำร้ายหรือฆ่าคนได้ลง
นางมีนิสัยเมตตาอ่อนโยน ไม่อาจทนเห็นการเข่นฆ่าหลั่งเลือด ให้ไปรอคอยความตายอยู่ที่เขาฝูซางซานก็ดีไม่น้อย
พอคิดได้ถึงตรงนี้ นางก็ไม่ขัดขืนแล้ว ยอมอยู่นิ่งๆ บนไหล่ของฉู่เจียงอย่างเชื่อฟัง ขณะที่กำลังจะออกจากเรือนไปถึงได้ถามฉู่เจียงออกไปเบาๆ ด้วยความระมัดระวัง “ข้าสามารถ….เอาต้นไห่ถางไปสักต้นได้ไหม?”
ฉู่เจียงหยุดลง ยื่นมือไปถอนต้นไห่ถางเล็กๆ ต้นหนึ่งมาให้นาง “ที่เขาฝูซางซาน สิ่งเหล่านี้ไม่อาจปลูกได้”
เหลียงเซิงเซิง “ต่อให้มันเฉาไป….ก็ยังใช้เป็นที่ระลึกถึงได้”
ด้วยความเกรงว่านับจากวันนี้ไปนางคงไม่อาจออกมาจากภูเขาฝูซางซานได้อีกแล้ว หากว่าคิดถึงบ้าน คิดถึงท่านปู่ ได้มองดูต้นไห่ถางนี้บ้างก็ยังดี
ฉู่เจียงไม่กล่าวอะไร ขยับเท้าเล็กน้อยก็เหาะขึ้นไปในท้องฟ้า
เกี้ยวอ่อนสีแดงเลือดหลังหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ เขาก็นำนางเข้าไป
ทันใดนั้น ด้านนอกของเกี้ยวก็ปรากฏศพสตรีในชุดสีแดงขึ้นแปดนางแบกเกี้ยวมุ่งหน้าไปทางเขาฝูซางซาน
สายลมพัดเข้ามา จนคนหนาวยะเยือก
เหลียงเซิงเซิงหวาดกลัวจนเอาแต่มองออกไปข้างนอก นางเห็นทิวทัศน์ทั้งหมดของเมืองกู่เย่วอยู่ใต้เท้าของตนเอง
ธัญพืชที่สุกเป็นสีทองไหวเอนอยู่ด้านล่าง ใบเฟิ่งทั้งหลายเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว แดงดุจเดียวกับดอกไห่ถางไปทั้งแถบ ช่างงดงามน่าดู
——
ตอนต่อไป “กอดน้องสาวสุดที่รัก”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น